มนตรากระดังงา
นางพริมา กีรติอนันต์ พัฒนภิรมย์ กับ นายภัทร์ พัฒนภิรมย์ คู่สามีภรรยาที่ครองรักกันมากว่า 6 ปี และมีพยานรักเป็นเด็กชายน่ารัก 2 คน ต้องจบชีวิตคู่ที่เริ่มจากรั้วมหาวิทยาลัยลงเพราะฝ่ายชายไปมีเมียน้อยซึ่งกำลังจะมีลูกสาวด้วยกัน หญิงสาวยอมหย่าให้และยอมเป็นแม่หม้ายในวัยเพียง 30 ปี ชีวิตคู่ที่พังทลายกลับสร้างพริมาคนใหม่ให้แกร่งกว่าเดิม เธอเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวขึ้น กระดังงาลนไฟดอกนี้จึงกลายเป็นที่หมายปองของชายหนุ่มทั้งหลาย รวมทั้งภัทร์ พัฒนภิรมย์ ที่เพิ่งสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของอดีตภรรยา จนทำให้ความรักที่เขาคิดว่าได้มอดเชื้อไปแล้วนั้นปะทุขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
รักครั้งใหม่กับคนเดิมจะสมหวังได้หรือไม่ เพราะฝ่ายชายก็มีครอบครัวใหม่แล้ว ส่วนฝ่ายหญิงก็มีชายหนุ่มมากมายมาเข้าแถวให้เลือก อานุภาพของความรักจะประสานรอยร้าวของหัวใจสองดวงให้กลับมาหลอมเป็นหนึ่งเดียวได้อีกครั้งหรือไม่ โปรดติดตาม......อาทิตา

Tags: รักร้าว มีเมียน้อย คืนดี

ตอน: ตอนที่ 11.....100% ค่ะ

งานล้นมือเลยทำให้ไฟในการเขียนลดลง แหะ ๆๆ ช้าหน่อยไม่ว่ากันนะคะ
ตอนที่ 11

พริมายังคงนั่งนิ่งอยู่ในห้องนอนซึ่งครั้งหนึ่งเคยใช้เป็นห้องหอในคืนส่งตัวของเธอกับภัทร์ หญิงสาวกลับเข้ามาในห้องนี้ หลังจากที่ได้พูดคุยรายละเอียดกับทั้งผู้รับเหมา สถาปนิกและมัณฑนากรเสร็จเรียบร้อยเมื่อครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา ภัทร์อยู่รับฟังความต้องการของเธอในการปรับปรุงคอนโดฯอย่างเงียบ ๆ เขาไม่ได้เสนอแนะหรือทักท้วงอะไร เพราะรู้ดีว่าเขาไม่ใช่คนที่จะได้มาร่วมชายคาแห่งนี้กับเธออีกต่อไป.....สายใยรักได้ขาดสะบั้นลงเสียแล้ว
ในระหว่างที่พูดคุยกับผู้รับเหมานั้นพริมาทำราวกับว่าภัทร์ไม่มีตัวตน หญิงสาวไม่แนะนำผู้รับเหมาให้รู้จักกับเขา ไม่แม้แต่จะชายตามองมายังจุดที่เขานั่งอยู่เสียด้วยซ้ำ ภัทร์เองรู้สึกหัวเสียไม่น้อยที่ถูกลดทอนความสำคัญลงเพราะเขาอุตส่าห์ยอมเสียเวลา ไม่ยอมกลับไปทำงานเพื่อนั่งอยู่เป็นเพื่อนเธอ เนื่องจากรู้ดีว่าพวกผู้รับเหมา สถาปนิก และมัณฑนากรนั้นส่วนใหญ่มักเป็นผู้ชาย นอกจากพริมาจะไม่กล่าวขอบคุณเขาแล้ว หญิงสาวยังเดินเข้าห้องนอนไปในทันทีที่พวกผู้รับเหมากลับออกไป ทิ้งให้ภัทร์นั่งอยู่เงียบ ๆ คนเดียวโดยไม่ดูดำดูดีแม้แต่น้อย หากไม่มีโทรศัพท์จาก ‘วิภาวี’ ที่โทรมาให้เขาไปรับหล่อนจากศูนย์การค้าแห่งหนึ่ง เขาคงมีโอกาสได้พูดคุยกับพริมาอีกสักครั้ง ซึ่งเขาก็แอบหวังว่าจะเป็นโอกาสที่ได้ปรับความเข้าใจกันใหม่ แต่ผลสุดท้ายเขาก็เลือกที่จะให้พริมาได้อยู่เงียบ ๆ ตามลำพังเพื่อได้ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น เวลานี้อาจไม่เหมาะที่จะปรับความเข้าใจกันเพราะต่างคนต่างก็มีทิฐิด้วยกัน ชายหนุ่มจึงออกจากคอนโดฯไปโดยไม่กล่าวคำลาใด ๆ เช่นกัน น้ำตาของพริมาไหลลงมาอย่างพรั่งพรูในทันทีที่ได้ยินเสียงประตูที่ภัทร์ปิดลง......ความรักครั้งนี้ของเธอก็คงปิดฉากลงพร้อม ๆ กันแล้ว
คุณแม่ลูกสองนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นเสียงดัง เธอปลดปล่อยทุกอย่างออกมาโดยไม่ต้องอายใคร เพราะที่คอนโดฯแห่งนี้เธอไม่ต้องกลัวว่าลูกหรือคนในบ้านจะได้ยินเสียงร่ำไห้ หญิงสาวปล่อยโฮอย่างอดกลั้น เธอกักเก็บความรู้สึกนี้ไว้ตั้งแต่ที่ได้ระเบิดอารมณ์ใส่ภัทร์ แต่เพราะมีนัดกับพวกผู้รับเหมา เธอจึงต้องอดทนข่มอารมณ์เหล่านั้นไว้ข้างในแล้วจัดการธุระให้เรียบร้อยเสียก่อน อันที่จริงอารมณ์ขุ่นมัวและน้อยใจที่ก่อตัวขึ้นนั้นเกือบจะสลายไปหมดแล้วถ้าไม่มีตัวจุดชนวนมาเร่งปฏิกิริยาอีกครั้งหนึ่ง ชนวนระเบิดที่ว่าก็คือประโยคสนทนาที่เล็ดลอดเข้ามาให้เธอได้ยิน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความตั้งใจที่คนพูดต้องการให้เธอได้ยินหรือเป็นเพราะความบังเอิญกันแน่
‘ได้สิ เดี๋ยวผมไปรับคุณเอง รออยู่ที่ห้างนั้นนะ เดี๋ยวไปถึงแล้ว ผมจะโทรหาอีกที แค่นี้นะ’
ไม่ต้องมีภาพประกอบ ไม่ต้องได้ยินเสียงของคู่สนทนา พริมาก็เข้าใจทุกอย่างได้แจ่มแจ้ง น้ำตาที่ไหลรินไม่ขาดสายเป็นเครื่องยืนยันความรู้สึกของเธอได้เป็นอย่างดี ‘เจ็บแทบขาดใจ’
พริมาหวนคิดไปถึงวันที่ผู้หญิงคนนั้น ‘วิภาวี คุณานนท์’ ได้เดินเข้ามาทำลายชีวิตครอบครัวของเธอให้พังทลายลงอย่างยับเยิน หญิงสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นเมียน้อยของสามีเธอนั้น คือ ผู้ช่วยหัวหน้าฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ของธนาคาร เธอเพิ่งเข้ามาทำงานได้เพียง 2 ปีกว่าเท่านั้น แต่ไต่เต้าได้เร็วเหลือเกิน เพียง 2 ปีกว่าก็ได้ขึ้นแท่นเป็นภรรยาอีกคนของเจ้าของธนาคารได้แล้ว หญิงสาวในวัยเพียง 25 ปีมีผิวพรรณขาวสะอาดตาเพราะด้วยความที่เป็นคนเหนือโดยกำเนิด เธอมีบุคลิกคล่องแคล่ว บวกกับหน้าตาที่ดูเก๋ไก๋ไม่ถึงกับสวยจัดแต่ก็ชวนมองอยู่ไม่น้อย จึงไม่น่าแปลกที่เธอจะเป็นที่สนใจและหมายปองของเพื่อนร่วมงานและคนรอบข้างได้อย่างง่ายดาย ข้อมูลเหล่านี้พริมาเพิ่งได้รับมาไม่นานจากภัทราที่สั่งให้ ‘คนใน’ ช่วยเป็นสายสืบหาประวัติพร้อมรูปถ่ายของ ‘วิภาวี คุณานนท์’ มาให้ เพื่อนสนิทที่ควบตำแหน่งน้องสาวของสามีส่งรายละเอียดทั้งหมดของ ‘ศัตรู’ มาให้เธอทางอีเมล พร้อมเขียนกำกับมาว่า
‘แม่นั่นคงเป็นแค่ของเล่นชั่วคราวของพี่โป๊ป แต่บังเอิญว่าเหลี่ยมจัดเลยมัดมือชกด้วยการตั้งท้อง ไอ้คนของเรารึ! ก็ดันซื่อบื้อ ไม่รู้จักป้องกัน เสียชื่อคาสโนว่าหมด แต่ปริมแกอย่าเพิ่งหย่าจากพี่โป๊ปนะ รอดูสถานการณ์ก่อน เด็กในท้องอาจไม่ใช่ลูกของพี่โป๊ปก็ได้เพราะแม่นั่นเคยมีแฟนและอยู่ด้วยกันมาก่อน ชีเพิ่งเลิกกับแฟนได้ปีนิด ๆ เอง พอเลิกกับแฟนปุ๊บก็มาจับพี่โป๊ปต่อเลย อย่าเพิ่งทำอะไรหรือตัดสินใจอะไรนะ รอฉันกลับไปก่อน’
แต่พริมาก็ไม่รอ...ไม่รอทั้งสถานการณ์และไม่รอให้ภัทรากลับมา เธอขอหย่าและเริ่มปรับปรุงคอนโดฯ เพื่อที่จะตั้งต้นชีวิตใหม่ เขามีคนอื่นมาร่วมปี จะให้เธอทนรออะไรได้อีก ชีวิตเป็นของเธอ จะสุขหรือเศร้าก็ขอให้มาจากน้ำมือเธอเอง ไม่ใช่จากฝีมือของคนอื่น
เหตุการณ์ในวันนั้นยังคงฝังแน่นและตามหลอกหลอนเธออยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เหตุการณ์ที่เธอเคยภาวนาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายให้มันกลายเป็นเพียงภาพฝัน....ฝันร้าย แต่คำภาวนาของเธอก็ไม่สมหวัง
‘คุณปริมคะ คุณท่านให้มาเรียนเชิญไปพบที่ตึกใหญ่ค่ะ’ แม่บ้านจากตึกใหญ่แจ้งกับเธอในขณะที่เธอกำลังเล่นกับลูก ๆ ในช่วงสายของวันที่ได้กลายเป็นวันมหาวิปโยคสำหรับชีวิตเธอ
‘ได้จ้ะ ไปน้องป๊อปน้องปิ๊ปไปหาคุณปู่คุณย่ากันครับ’ พริมาที่คิดว่าปู่และย่าคงคิดถึงหลาน ๆ และอยากพบหน้า เธอจึงเรียกลูก ๆ ทั้งสองให้ไปพบปู่กับย่าเหมือนเช่นที่เคยปฏิบัติอยู่เป็นประจำ
‘เอ่อ คุณท่านสั่งว่าไม่ต้องพาคุณหนู ๆ ไปค่ะ ท่านขอคุยธุระกับคุณปริมตามลำพังค่ะ’ น้ำเสียงและสีหน้าของแม่บ้านคนเก่าคนแก่ของตระกูลทำให้พริมาเริ่มสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ
‘อ้าว อย่างงั้นเหรอจ๊ะ’ พริมาเลยหันไปบอกพี่เลี้ยงให้ดูแลเด็ก ๆ แทน แล้วรีบเดินตามแม่บ้านไปยังตึกใหญ่ แม่บ้านคนดังกล่าวเดินนำเธอไปยังห้องรับแขกขนาดใหญ่ของบ้าน ห้องที่ได้รับการตกแต่งให้ดูโอ่โถงและสมฐานะเจ้าของบ้านด้วยเครื่องเรือนและของตกแต่งราคาแพงจากต่างประเทศ ซึ่งในห้องดังกล่าว พริมาได้พบว่านอกจากประมุขทั้งสองของบ้านแล้ว ก็มีสามีของเธอและหญิงสาวอีกหนึ่งคน หญิงสาวคนนั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างสามีเธอ ที่สะดุดตาและสะกิดใจพริมาเป็นพิเศษ คือ เธอคนนั้นใส่ชุดคลุมท้องสีหวาน เห็นเพียงแค่นั้นหัวใจของพริมาก็แทบจะหยุดเต้น ในหัวสมองมีทั้งคำถามและสมมุติฐานต่าง ๆ นานาเกิดขึ้นมาพร้อม ๆ กัน โดยปกติแล้วพริมาไม่ใช่คนมองโลกในแง่ร้าย เธอเติบโตมากับครอบครัวที่อบอุ่นและค่อนข้างมีหน้าตามีตาในสังคมข้าราชการ และถึงแม้ชีวิตจะไม่ได้เพียบพร้อมสมบูรณ์สุขอย่างลูกมหาเศรษฐีเช่นภัทราเพื่อนสนิท แต่ก็ไม่ขาดเหลือหรือต้องลำบากแต่อย่างใด แต่ ณ เวลานั้นความคิดและจิตใต้สำนึกของเธอกลับเอนเอียงไปแต่ในด้านลบ ถึงแม้เธอจะพยายามมองหาความเป็นไปได้มาหักลบกับสิ่งที่ตาเห็นแต่ก็ไม่สำเร็จ
‘ถ้ามีสามี สามีเธอก็ต้องมาด้วยสิ เอ๊ะ! หรือว่าสามีเธอลุกไปเข้าห้องน้ำอยู่นะ... ไม่หรอก พี่โป๊ปต้องไม่ทำอย่างนั้นหรอก อย่าคิดมากสิปริม แต่ถ้าใช่ละ เราจะทำยังไง เราจะต้องไม่ร้องไห้ต่อหน้าคนอื่นอย่างเด็ดขาดนะ คุณพระคุณเจ้าช่วยคุ้มครองลูกด้วยเถิด อย่าให้เป็นอย่างที่ลูกคิดเลย ขอให้ลูกคิดมากไปทีเถอะ.....แต่ถ้าใช่ล่ะ เราจะทำยังไงดี แล้วลูก ๆ อีกจะเป็นไงบ้าง เฮ้อ! ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายช่วยให้มันไม่ใช่เรื่องจริงด้วยเถิด สาธุๆๆๆ’
แม้พริมาไม่อยากให้สิ่งที่คาดเดาเป็นความจริงแต่ก็แอบหวั่นใจอยู่ไม่น้อย เพราะเคยได้ยินได้เห็นมาบ้างว่า ‘รักกับคนเจ้าชู้นั้น ต้องเผื่อหัวใจและสำรองน้ำตาเอาไว้อยู่เสมอ’ พริมายอมรับว่าเธอเองเคยคิดแบบนั้นก่อนที่จะตกลงแต่งงานกับภัทร์ แต่หลังจากนั้นความไว้ใจที่มีให้กับคู่ชีวิตก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นจนเต็มปรี่เพราะการกระทำที่เสมอต้นเสมอปลายของภัทร์ที่พิสูจน์ให้เธอได้เห็นว่า ‘ความรักสามารถเปลี่ยนแปลงคนเราได้’ พริมาได้แต่แอบหวังว่าภัทร์จะไม่ทำให้เธอผิดหวัง แต่เมื่อได้พิจารณาสีหน้าของทุกคนที่อยู่ในห้องรับแขกนั้นแล้ว พริมาก็ยิ่งต้องทำใจให้เข้มแข็งไว้ เธอจะต้องพร้อมรับกับทุกสถานการณ์....ตั้งแต่ได้เป็นแม่คนทำให้เธอเริ่มมองทุกอย่างตามวัฏจักรของมันมากยิ่งขึ้น แต่ก็ต้องยอมรับว่าตัวเธอเองยังคงมีกิเลส มีรัก โลภ โกรธ หลงอยู่อย่างปุถุชนคนอื่น ๆ เธอยังกลัวและเจ็บเป็น ยิ่งเมื่อหันมาเห็นสีหน้าของภัทร์ที่หันมามองและสบตากับเธอ สีหน้าที่กำลังฉายความรู้สึกผ่านดวงตาคมคู่นั้นมายังเธอ ‘ผมขอโทษ’ ความรู้สึกที่ทำให้พริมาถึงกับใจหายวาบ เธอเปรียบตัวเองในขณะนั้นเป็นญาติของคนไข้ที่อาการสาหัส และรอให้คุณหมอที่กำลังเดินออกมาจากห้องผ่าตัดบอกว่าปาฏิหาริย์มีจริงเหมือน พริมาสูดลมหายใจเฮือกใหญ่เข้าปอดก่อนที่จะนั่งลงและพร้อมที่จะเผชิญกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น สิ่งที่จะทำให้ชีวิตเธอและลูก ๆ เปลี่ยนไปนับจากวันนี้
‘หนูปริม ทำใจให้เข้มแข็งไว้นะ แม่มีเรื่องจะบอก’ คุณแม่ของสามีเริ่มบทสนทนากับเธอ เพียงแค่นี้ พริมาก็สามารถคาดเดาเรื่องราวทั้งหมดได้แล้ว หญิงสาวพยายามบังคับอารมณ์ตัวเองอย่างยากเย็น เธอยังแอบหวังอยู่ลึก ๆ แม้ความหวังนั้นจะริบหรี่มากขึ้นทุกทีแล้วก็ตาม
‘หนูปริม นี่ วิภาวี เขาบอกว่าเขาท้องกับตาภัทร์’ ยิ่งกว่าสายฟ้าฟาดลงกลางใจ พริมาชาวาบไปทั้งตัว แปลกที่ไม่มีน้ำตาไหลรินออกมา.....มันคงไหลย้อนลงไปอยู่ข้างใน และถึงแม้คำพูดของคุณหญิงปานวาด พัฒนภิรมย์ จะดูเหมือนดูถูกดูแคลนและไม่เชื่อว่าผู้หญิงคนนั้น ‘วิภาวี’ พูดความจริงอยู่ก็ตาม แต่มันก็มีน้ำหนักเพียงพอที่จะทำให้คนฟังอย่างพริมาเจ็บปวดรวดร้าวที่ถูกผู้ชายที่ได้ชื่อว่าคู่ชีวิตทรยศหักหลัง พริมาที่กำลังนั่งประสานมืออยู่บนหน้าตักจึงจิกเล็บลงไปบนมือของตัวเองจนเจ็บเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ฝันร้ายอยู่ ก่อนที่จะหันหน้าอย่างช้า ๆ ไปสบตากับภัทร์ที่จ้องมองเธออยู่ก่อนแล้ว พริมาตั้งคำถามผ่านสายตาที่บ่งบอกถึงความปวดร้าวไปว่า ‘จริงหรือคะ’ แต่ก็เป็นคำถามที่เกิดขึ้นในใจ มันจึงไม่มีคำตอบหรือคำแก้ตัวใด ๆ ออกมาจากปากของ ‘จำเลย’ ให้ได้ยิน
สะใภ้หนึ่งเดียวตามกฎหมายของตระกูล พัฒนภิรมย์ ยังครองสติได้เป็นอย่างดีแม้ว่าจะตกใจอยู่ไม่น้อยกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน ซึ่งอาจจะเป็นเพราะบารมีของท่านเจ้าของบ้านทั้งสองที่นั่งเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้กับเธอ ท่านทั้งสองรักและเอ็นดูเธอราวกับเป็นลูกสาวแท้ ๆ คนหนึ่งของพวกท่าน แววตาของคุณหญิงปานวาดที่มองมาที่เธอมาอย่างอ่อนโยนนั้นเต็มไปด้วยความสงสารและให้กำลังใจ พริมาเองก็แปลกใจตัวเองอยู่ไม่น้อยที่เธอสามารถตั้งรับกับเหตุการณ์ตรงหน้าได้อย่างมีศักดิ์ศรี เธอไม่ได้ร้องไห้คร่ำครวญ หรือตีโพยตีพายอย่างบรรดาเมียหลวงในละคร เธอคิดว่าอาจเป็นเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ใช่เรื่อง ‘ที่สุดของชีวิต’ สำหรับตัวเธอเองก็เป็นได้ เพราะนับตั้งแต่เด็กชายตัวน้อย ๆ ทั้งสองได้ลืมตาขึ้นดูโลก ลูกชายทั้งสองคนก็กลายเป็น ‘ที่สุดของชีวิต’ ของเธอแทนทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไปแล้ว.....เจ็บเพราะสามีตายจากกันทั้งเป็น อย่างไรก็ไม่ทุกข์ทนเท่าต้องเห็นร่างไร้วิญญาณของเลือดในอก
‘ว่าไงล่ะโป๊ป จะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ’ เสียงประมุขใหญ่ของบ้านดังกังวานขึ้นทำลายความเงียบ
‘ผูกขึ้นมาเอง ก็ต้องรู้จักแก้สิ’ นายพัฒนสำทับลูกชายตัวดีผู้ก่อเรื่องอีกครั้ง
พริมาที่ยังคงจ้องหน้าสามีเพราะแอบหวังว่าจะได้ยินคำปฏิเสธออกมาจากปากของภัทร์ เสไปเหลือบมองหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ผู้หญิงคนนั้นก้มหน้านิ่ง มือข้างหนึ่งวางอยู่แนบท้องที่นูนออกมาอย่างเห็นได้ชัด พริมาแอบเดาว่าคงไม่น้อยกว่า 5 เดือน ว่าที่คุณแม่ใช้นิ้วหัวแม่มือลูบท้องขึ้นลงเหมือนจะส่งผ่านความรู้สึกไปยังชีวิตน้อย ๆ ที่ได้ก่อกำเนิดขึ้นมา พริมาถอนหายใจช้า ๆ และรู้สึกสมเพชตัวเองที่ยังไปนึกสงสารเด็กในท้องทั้ง ๆ ที่ในเวลานั้นตัวเธอเองยังแทบเอาตัวไม่รอด เธอสงสารลูกของคนที่มาทำลายชีวิตครอบครัวของเธอเอง! พริมาคิดในใจว่าอย่างน้อยในความทุกข์ใหญ่หลวงครั้งนี้ เธอก็ยังโชคดีที่ลูก ๆ ของเธอไม่ต้องมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ลูก ๆ ของเธอไม่ต้องเกิดมาพร้อมกับฉายาว่า ‘ลูกเมียน้อย’ เหมือนกับเด็กในท้องคนนั้น เด็กที่ใครต่อใครเปรียบว่าเป็นดั่งผ้าขาวบริสุทธิ์ กลับต้องมาแปดเปื้อนตั้งแต่ยังไม่ได้ลืมตาดูโลกเพราะความขาดสำนึกของพ่อและแม่!
‘เด็กในท้องเป็นลูกของคุณภัทร์จริง ๆ นะคะ วิกล้าท้าให้ตรวจดีเอ็นเอได้ค่ะ’ เสียงของวิภาวีดังขึ้นแทนที่จะเป็นเสียงของชายหนุ่มผู้ถูกตั้งคำถาม ซึ่งก็เรียกความสนใจจากทุกคนได้เป็นอย่างดี
‘ใครถามหล่อนฮะ!’ คุณหญิงปานวาดถามขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
‘เป็นแค่เมียน้อย เมียลับ จะลูกจริงลูกปลอมก็แค่นั้นแหละ ยังไงก็เรียกว่าลูกนอกสมรส กรรมของเด็กเพราะแม่ไม่รู้จักรักดี’
‘ของแบบนี้ตบมือข้างเดียวได้ที่ไหนละคุณวาด ทำไมไม่โทษพ่อลูกชายตัวดีของคุณบ้าง’ เสียงทรงอำนาจของเจ้าของบ้านทะลุกลางป้องขึ้นมาบ้าง คุณหญิงปานวาดที่ถูกตำหนิจึงต้องหาที่ลง
‘ก็นี่ไงคะ ดิฉันถึงได้ให้ตาโป๊ปเข้ามาคุยกันที่บ้านให้รู้เรื่องรู้ราว’ คุณหญิงรีบออกตัวแล้วพูดต่อว่า
‘ว่าไงล่ะโป๊ป บอกพ่อเขาไปสิว่าเรื่องนี้น่ะเกิดขึ้นได้เพราะอะไร คราวนี้พ่อกับแม่คงถูกท่านผู้ว่ากับคุณนายถอนหงอกแน่ ๆ’
‘นี่ถ้าแม่แกไม่ไปบังเอิญเจอที่โรงพยาบาล แกก็คงยังปิดบังพวกเราอยู่สินะ’ นายพัฒนดุลูกชาย
‘ผม...ผมไม่ได้....’ ภัทร์พูดไม่ออก ยิ่งได้เห็นสายตาที่ปวดร้าวของภรรยาที่แต่งงานและรู้จักกันมากว่า 10 ปีแล้ว คำพูดที่จะเปล่งออกมาจึงจุกอยู่ที่คอหอย
‘วิเป็นคนผิดเองล่ะค่ะ วิรู้ทั้งรู้ว่าคุณภัทร์มีครอบครัวแล้ว แต่วิก็ยัง.....’
‘ยอมง่าย ๆ ใช่ไหมจ๊ะ’ คุณหญิงปานวาดจบประโยคให้ด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่ดูหมิ่นดูแคลน
‘คุณวาด! พอเถอะนะ คนเขาพลาดมาแล้ว จะซ้ำเติมอะไรนักหนา เวลานี้ต้องมาช่วยกันคิดสิว่าจะเอายังไงกัน จะทำยังไงกันต่อไปดี’ อดีตนายธนาคารใหญ่เตือนสติภรรยาคู่ทุกข์คู่ยาก
‘หนูปริมละ มีอะไรจะพูดไหม’ นายพัฒนหันไปถามลูกสะใภ้ที่ยังคงนิ่งงัน
‘หนูปริมไม่ต้อง แม่จัดการเอง ถ้าคุณพี่ถามดิฉัน ๆ ก็มีคำตอบอยู่แล้ว จะฟังไหมละคะ’
‘ไหนคุณลองว่ามาสิ’
‘ที่เราคิดกันไม่ตกก็เพราะมีเด็กในท้องเข้ามาเกี่ยว ใช่ไหมคะ’ คุณหญิงปานวาดหยุดพูดเพื่อให้สามีพยักหน้าเห็นพ้องด้วย แล้วจึงกล่าวต่อว่า
‘ถ้าไม่มีเด็ก ก็คงให้จบ ๆ กันไป เพราะตาโป๊ปก็มีเมียมีลูกอยู่แล้ว แต่ในเมื่อใช้เด็กมาต่อรองกันแบบนี้’ คุณหญิงหยุดพูดอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนกำลังตั้งใจฟังทุกถ้อยคำที่เธอกำลังจะกล่าว
‘เมื่ออยากให้เด็กใช้นามสกลุเรานัก เราก็จะเอาเฉพาะเด็กไว้ ส่วนเธอก็ไปตามทางของเธอ แต่ถ้าตรวจเลือดตรวจดีเอ็นเอแล้วพบว่าไม่ใช่เลือดของตระกูลพัฒนภิรมย์แล้วละก็ เธอก็มารับลูกกลับไปได้เลย’ คุณหญิงกล่าวอย่างเฉียบขาด
‘ไม่ได้นะคะ วิไม่ยอมยกลูกให้ใครหรอกค่ะ’ วิภาวีผู้มีสัญชาติญาณของความเป็นแม่อย่างผู้หญิงคนหนึ่งกล่าวทั้งน้ำตาที่เริ่มไหลริน
‘อ้าว แล้วที่ปล่อยให้ท้องนี่ จะเลี้ยงเองเหรอ เลี้ยงไหวเหรอคนเดียวน่ะ’ คุณหญิงปานวาดถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย น้ำตาของวิภาวีทำอะไรเธอไม่ได้
‘ลูกของวิ วิก็ต้องเลี้ยงเองสิคะ’ วิภาวีตอบกลับในทันทีเช่นกัน
‘คุณแม่ครับ ผมถามหน่อย ถ้าคุณแม่จะเอาเด็กไว้ คุณแม่จะให้ใครเลี้ยง’ ภัทร์ถามขึ้น เพราะไม่อยากให้เรื่องราวบานปลายไปกว่านี้
‘ก็จ้างคนเลี้ยงสิ หรือแกจะให้หนูปริมเลี้ยงให้แกฮะ ฝันไปเถอะยะ ถึงเป็นเด็กผู้หญิงก็เถอะ ฉันคนหนึ่งล่ะไม่ยอม หนูปริมว่าไงลูก’ คุณหญิงหันมาถามลูกสะใภ้คนโปรดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
‘เอ่อ...ไม่ใช่ลูกปริม ปริมคงเลี้ยงไม่ได้หรอกค่ะ’ พริมาตอบตรง ๆ ด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ยากจะคาดเดาว่าเธอพูดจริงหรือประชด แต่คนที่รู้จักเธอเป็นอย่างดีเช่นภัทร์ย่อมรู้ดีว่าพริมาตอบออกมาจากใจจริง ผู้หญิงที่ไหนจะไปรักและเลี้ยงลูกของเมียน้อยได้ลง
‘ลูกใครก็คนนั้นเลี้ยงสิ ไม่เห็นจะต้องมาถามกันเลย’ เจ้าของบ้านฝ่ายชายปิดประเด็น
‘ที่ถามและยังไม่มีใครตอบสักคน คือ จะเอายังไงกันต่อ ว่าไงล่ะโป๊ป’
‘ผมขอรับผิดชอบเรื่องลูก’ ณ วินาทีนั้น พริมาที่คิดไว้ตอนแรกว่าจะนั่งฟังเงียบ ๆ ก็ต้องโพล่งออกไป
‘ปริมขอหย่าค่ะ’
‘ปริม!’ เสียงของภัทร์ดังขึ้นอย่างตกใจพร้อม ๆ กับเสียงของคุณหญิงปานวาด
‘หนูปริมไม่ได้นะ! แม่ไม่ยอม หนูมาก่อนนะ หนูมาอย่างถูกต้องทั้งธรรมเนียมประเพณีและกฎหมายด้วย เรื่องอะไรที่เราจะต้องมาเป็นฝ่ายสูญเสียแบบนี้ล่ะ!’
‘ถึงไม่หย่า ปริมก็เป็นฝ่ายสูญเสียไปแล้วนี่คะคุณแม่’ พริมาพูดตามจริง ไม่ได้ตั้งใจจะประชดหรือกระแทกแดกดันใคร
‘ใจเย็น ๆ สิหนูปริม ค่อย ๆ คิด หนูน่ะไม่ใช่ตัวคนเดียวนะ มีลูกที่ต้องดูแลอีก 2 คน หนูจะต้องตอบในฐานะแม่ของพวกแกด้วย ไม่ใช่แค่ในฐานะของภรรยานะ ใช้สติสิ อย่าใช้อารมณ์’ นายพัฒนให้สติลูกสะใภ้
‘หนูตอบอย่างมีสติค่ะคุณพ่อ และไม่ว่าหนูจะตอบในสถานะไหนหนูก็ไม่มีสิทธิ์ไปตัดพ่อตัดลูกได้อยู่แล้ว พ่อกับแม่จะอยู่ด้วยกันหรือแยกทางกัน ลูกก็ยังคงเป็นสายเลือดอยู่ดี แต่สำหรับคนเป็นสามีภรรยา กัน เมื่อไม่สามารถรักษาความซื่อสัตย์อย่างที่สัญญาไว้ได้ ก็คงต้องจบสถานะนี้ ไปเป็นเพียง.....เพื่อน....เพื่อนที่ต้องช่วยกันเลี้ยงดูลูกให้เติบโตต่อไป’ พริมาตอบพ่อสามีอย่างใจเย็น แต่มองไปที่คนต้นเรื่องด้วยสายตาที่ตัดพ้อและน้อยใจ
‘ไม่ได้นะ! แม่ไม่ยอม! หนูไม่ได้ทำผิดอะไรนะลูก’
‘ปริมกลับคิดว่า ปริมคงทำอะไรผิดสักอย่างล่ะค่ะคุณแม่ เพราะถ้าไม่ผิดเลย พี่โป๊ปคงไม่นอกใจปริมแบบนี้หรอกค่ะ’ พริมาตอบพร้อมจ้องหน้าผู้เป็นสามี
‘ปริมไม่ได้ทำอะไรผิด พี่ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้ พี่พลาดเอง’ คำตอบของภัทร์บาดลึกลงไปในหัวใจของวิภาวี เฉกเช่นเดียวกันกับพริมาที่อยากตะโกนถามเขากลับไปว่า ‘ถ้าไม่ตั้งใจ แล้วปล่อยให้ท้องโตได้ยังไง’ แต่เธอก็เก็บคำถามนั้นไว้ในใจเพราะไม่อยากมาทะเลาะกันต่อหน้าคนอื่น ๆ
‘เอาล่ะ ๆ จะหย่าไม่หย่าค่อยว่ากัน พ่ออยากให้คุยกันดี ๆ จะว่าพ่อเข้าข้างลูกชายตัวเองก็ได้นะหนูปริม เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ถึงกับต้องหย่ากัน ลองคุยกันก่อน เผื่อจะมีทางออกที่ดีกว่าการนี้นะ’ นายพัฒนบอกเจตนารมณ์อย่างชัดเจน
‘นั่นสิหนูปริม แม่เข้าใจนะว่าหนูรู้สึกยังไง แต่หนูต้องนึกถึงตาป๊อปกับตาปิ๊ปด้วยสิ ไม่สงสารลูกเหรอที่ต้องเห็นพ่อกับแม่แยกทางกันน่ะ’ คุณหญิงปานวาดรีบสนับสนุนความคิดของสามี
‘คนเป็นแม่ทำไมจะไม่สงสารลูกล่ะคะ แต่สำหรับปริม สำหรับเรื่องแบบนี้ ปริมคงต้องหย่า เพราะปริมกับพี่โป๊ปเคยตกลงกันไว้แล้วว่าถ้าพี่โป๊ปมีคนอื่นเมื่อไร ปริมมีสิทธิ์ที่จะขอหย่าได้ทันที.........ปริมไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้ ไม่ได้อยากให้ชีวิตครอบครัวของปริมต้องลงเอยแบบนี้ ไม่ได้อยากให้ลูกต้องเป็นเด็กบ้านแตก......ปริมไม่ได้เป็นคนเริ่ม แต่ปริมต้องจบมัน’ น้ำตาใส ๆ เริ่มไหลรินลงมาบนใบหน้าหมอง น้ำตาที่ทำให้ทุกคนตระหนักว่าเธอเองก็เสียใจกับสิ่งที่ต้องเลือก พริมาพยายามกลั้นสะอื้นด้วยฝ่ามือที่สั่นระริกไม่แพ้น้ำเสียงของเธอเอง
‘เอาล่ะ ๆ พ่อว่าเราอย่าเพิ่งด่วนสรุปหรือตัดสินใจอะไรกันเลยนะ ไปพูดจาตกลงกันให้รู้เรื่องก่อน แล้วถ้าหนูปริมยังยืนยันคำเดิม พ่อก็คงไม่ว่าอะไร เพราะคนที่ผิดมันก็สมควรได้รับผลของการกระทำเช่นกัน แต่ยังไงก็ตาม พ่ออยากให้หนูปริมคิดตรึกตรองให้รอบคอบนะ คิดถึงเจ้าป๊อปเจ้าปิ๊ปมันให้มาก ๆ หน่อยนะ พวกเด็ก ๆ จะเป็นคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดนะ’
‘ไม่ใช่ปริมหรอกเหรอคะคุณพ่อ’ พริมาเก็บคำถามนี้ไว้ในใจแทนที่จะเปล่งมันออกไป เพราะไม่อยากให้เรื่องมันยุ่งยากไปกว่านี้ ที่สำคัญเธอไม่อยากนั่งอยู่ในห้องนี้ให้นานไปกว่านี้อีกแล้ว
‘และไม่ว่าผลจะออกมายังไง แม่ก็ขอบอกไว้ตรงนี้เลยแล้วกันนะว่า แม่มีลูกสะใภ้แค่คนเดียว คือ หนูปริมเท่านั้น!’ คุณหญิงปานวาดพูดขึ้นมาพร้อมทั้งจ้องมองไปที่วิภาวีด้วยสายตาเย็นชา
เหตุการณ์ต่อจากนั้นจะเป็นอย่างไรพริมาก็ไม่อาจจะรับรู้ได้ เพราะเธอกราบลาบุพการีของสามีและเดินลิ่วกลับไปยังบ้านของตนเอง......กลับไปร้องไห้คนเดียว

************************

หลังจากเหตุการณ์ที่คอนโดฯในวันนั้น ภัทร์และพริมาก็ไม่ได้พูดคุยกันอีกเลย บรรยากาศในบ้านที่เคยอบอุ่นเปลี่ยนเป็นเงียบเหงาและไร้ซึ่งชีวิตชีวา ถึงแม้จะไม่มีเสียงทะเลาะเบาะแว้งของคนทั้งคู่ให้ได้ยินเพราะดูเหมือนว่าต่างฝ่ายต่างได้ตายจากกันไปแล้ว แต่หัวใจดวงน้อย ๆ ของ ด.ช. ภัทรดนัย ก็ยังคงได้รับผลกระทบอยู่ดี เด็กชายตัวน้อยในวัยห้าขวบสามารถรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในด้านลบที่เกิดขึ้น พ่อกับแม่ไม่พูดคุยหยอกล้อกัน ไม่มีกิจกรรมร่วมกันของครอบครัว ถ้าพ่ออยู่ชั้นล่าง แม่ก็จะอยู่ชั้นบน ถ้าแม่มานั่งกินข้าวกับลูก ๆ ในตอนเช้า พ่อก็ยังอยู่ในห้องนอน ไม่มีครั้งไหนที่จะอยู่กันพร้อมหน้า แต่สิ่งที่แปลกไปแต่ตัวหนูน้อยกลับชอบใจก็คงจะเป็นที่แม่มานอนร่วมห้องกับเขาและน้องด้วยทุกคืน
“คุณแม่ครับ คุณพ่อไม่ว่าเหรอครับที่คุณแม่มานอนกับพี่ป๊อปกับน้องปิ๊ปทุกคืนแบบนี้” เด็กชายตัวน้อยถามขึ้นด้วยความใสซื่อต่อหน้าคุณปู่คุณย่าที่ออกมาเดินออกกำลังกายในตอนเช้า แล้วถือโอกาสเข้ามาแวะเยี่ยมหลาน ๆ ที่กำลังรับประทานมื้อเช้าก่อนไปโรงเรียน ถึงแม้พริมาจะสบตากับดวงตาใสแจ๋วคู่นั้นอยู่ แต่เธอก็รู้สึกได้ว่ากำลังถูกจับตามองจาก “ผู้ใหญ่ของบ้าน” ทั้งสองท่าน ผู้ใหญ่ที่ไม่เห็นด้วยกับการหย่าร้างที่จะเกิดขึ้นเพราะสงสารหลานตาดำ ๆ ทั้งสองคน แต่คงลืมนึกไปว่าลูกสะใภ้คนนี้ก็มีเลือดเนื้อและหัวใจเช่นกัน
“แล้วพี่ป๊อปไม่ชอบเหรอครับที่คุณแม่มานอนด้วยน่ะ” พริมาถามลูกชายตัวน้อยกลับไป
“ชอบสิครับ แต่พี่ป๊อปก็สงสารคุณพ่อนี่ครับ คุณพ่อต้องนอนคนเดียวทุกคืน น่าสงสารแย่เลยนะครับ”
“งั้นคุณแม่ให้คุณพ่อมานอนกับพี่ป๊อปกับน้องปิ๊ปบ้างดีไหมครับ”
“นอนกันทั้งหมด 4 คนเลยเหรอครับ เย่ ๆ ๆ ดีใจจังเลย” พริมาได้แต่ยิ้มเมื่อลูกชายตีความคำพูดของเธอไปอีกทาง เธอเลือกที่จะเงียบแทนที่จะทำลายความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ของลูกชาย
“ตกลงไม่เปลี่ยนใจแน่แล้วใช่ไหมหนูปริมเรื่องที่จะย้ายน่ะ” คุณหญิงปานวาดเอ่ยถามเบา ๆ เพราะไม่อยากให้หลานชายคนโตที่เริ่มรู้ประสาได้ยิน แม้ว่าจะเห็นแล้วว่ากำลังพูดคุยและหยอกล้อกับคุณปู่อยู่แล้วก็ตาม
“ค่ะ คุณแม่ รอคอนโดตกแต่งเสร็จก็จะย้ายไปอยู่เลยค่ะ”
“แล้วเรื่องหย่าละ” คุณหญิงซักถามต่อ
“รอให้คอนโดเรียบร้อยก่อนน่ะค่ะ” พริมาตอบ
“แค่ย้ายออกก็พอแล้วมั้งลูก ลองห่างกันสักพัก ถ้าหนูตักบัวไม่เหลือใยแล้วจริง ๆ ค่อยมาว่ากันใหม่ ดีไหมจ๊ะ” คุณหญิงยังคงแอบหวังให้ลูกชายและลูกสะใภ้ได้กลับมาคืนดีกันเหมือนคู่สามีภรรยาอีกหลาย ๆ คู่ที่เคยผ่านมรสุมเรื่องทำนองนี้มาแล้ว
“........” พริมาเงียบแทนคำตอบ เพราะกลัวว่าคำพูดในวันนี้จะมาผูกมัดตัวเธอเองในวันข้างหน้า.....วันข้างหน้าที่เธอรู้ดีว่าความเจ็บปวดจากเรื่องนี้คงเบาบางลง และเธอก็อาจจะให้อภัยเขาอีกครั้ง แต่ในวันนี้บาดแผลครั้งนี้มันยังสาหัสสากรรจ์เหลือเกิน....มันทำร้ายเธอได้ลึกสุดใจจริง ๆ
“แม่เข้าใจหนูนะ แต่อยากให้คิดไว้ว่าพ่อโป๊ปน่ะไม่ได้มีแต่ความผิดความเลวนะลูก ลองนึกย้อนไปดูความดีที่เขาทำมาบ้างสิ มันหักกลบลบหนี้กันไม่ได้เลยเหรอ” คุณหญิงยังคงเข้าข้างลูกชายตนเอง
“บุญกับบาปมันคนละส่วนกันนะคะคุณแม่” คุณหญิงสะอึกเมื่อจนมุมจนเห็นสีหน้าได้ชัด เธอจึงหยุดการสนทนากับลูกสะใภ้ไว้เพียงแค่นั้น และทำท่าจะหันไปพูดคุยกับหลาน ๆ ทั้งสองแทน
“เอ่อ....คุณแม่คะ ปริมจะขอฝากหลาน ๆ สัก 2 - 3 วันนะคะ” คุณหญิงทำหน้าฉงนสงสัยเมื่อได้ยินพริมาเปลี่ยนประเด็น
“คือ อีก 2 วันปริมจะไปเชียงใหม่น่ะค่ะ พอดีอัณณ์เขาเพิ่งคลอดลูกคนที่สาม ปริมเลยว่าจะแวะไปเยี่ยมสักหน่อย”
“อ๋อ ได้ซิ......หนูอัณณ์ได้ลูกสาวหรือลูกชายล่ะ” คุณหญิงที่รู้จักครอบครัว ‘นิมมานรดี’ เป็นอย่างดีเพราะสนิทสนมคุ้นเคยกับแม่เลี้ยงปวีณาตั้งแต่ที่ได้รู้จักอย่างเป็นส่วนตัวในงานแต่งงานของหลานชายของแม่เลี้ยง ‘วิชญ์และพิชญธิดา นิมานรดี’ ที่มาจัดงานแต่งงานหลังจากมีลูกคนที่ 2 ไปแล้ว จากคนที่เคยเป็นเพียงคนรู้จักในแวดวงสังคมและธุรกิจ ก็กลายเป็นเพื่อนของครอบครัวไปเมื่อพบว่าลูกสะใภ้ของเธอเป็นเพื่อนร่วมคณะกับหลานสะใภ้ของแม่เลี้ยงดังแห่งภาคเหนือ
“ได้ลูกชายค่ะ”
“งั้นก่อนไป หนูแวะไปเอาเงินรับขวัญจากแม่ก่อนนะ แม่ฝากไปรับขวัญหลานหน่อย” คุณหญิงกล่าว
“ได้ค่ะ” พริมารับปาก
“ดีเหมือนกัน หนูจะได้ไปพักสมองผ่อนคลายกับเขาบ้าง ตั้งแต่มีเรื่องมานี่ก็ร่วมจะ 2 เดือนแล้ว ใช่ไหม ไปพักผ่อนเปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็ดีนะ เผื่อจะคิดจะเปลี่ยนใจอะไร” คุณหญิงยังคงแอบหวังที่จะเห็นภาพวันชื่นคืนสุขของครอบครัวลูกชายอีกสักครั้ง
“หนูฝากลูกด้วยนะคะ จะพาแต่ป๊อปไปก็กลัวปิ๊ปจะร้องหา ช่วงนี้พี่น้องเขาติดกันมากค่ะ” พริมาอธิบาย
“ไปคนเดียวน่ะดีแล้ว พาลูกไปด้วยเราจะได้พักผ่อนอะไร ไม่ต้องรีบกลับหรอกนะ พักผ่อนสนุกสนานกับเพื่อน ๆ ให้เต็มที่ก่อน นาน ๆ จะมีโอกาสแบบนี้ หนูต้องหาเวลาให้ตัวเองบ้างนะ” คุณหญิงจับมือลูกสะใภ้มาบีบกระชับเพื่อถ่ายทอดความรักและห่วงใยส่งผ่านไปให้
“เรื่องลูกไม่ต้องห่วงหรอกนะ แม่จะดูแลเอง ไปพักผ่อนให้หายเครียดเถอะ จะได้มีแรงกลับมาสู้ชีวิตต่อนะลูก” ถึงแม้จะอยากให้คนทั้งคู่กลับมาครองรักกันอย่างเดิม แต่คุณหญิงปานวาดก็เข้าใจถึงความรู้สึกของพริมา
“อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด” คุณหญิงปลงในตอนท้าย

************************



อาทิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ก.ย. 2555, 04:22:28 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 ก.ย. 2555, 04:22:28 น.

จำนวนการเข้าชม : 2044





<< ตอนที่ 11 มา 70% ก่อนนะคะ   ตอนที่ 12 (70%) >>
Niceday 16 ก.ย. 2555, 06:35:19 น.
ผัวเฮงซวย


violette 16 ก.ย. 2555, 13:46:58 น.
ยังไงนายโป๊ปก็ผิด ยืนยันคำเดิมค่ะ มาโทษเมียไม่ได้จริงๆอย่างที่บอกไปแล้ว
ว่าพลาดประสาอะไรจนท้อง มันหลงมากกว่าไม่ใช่พลาด
แล้อีกอย่างที่บอกไปถ้าจะอ้างว่าเมียไม่มีเวลาให้แล้วทำไมตัวเองมีเวลาให้ผู้หญิงอื่นได้ล่ะ
เลวน่ะเลว พ่อแม่สามีเหมือนจะรักลูกสะใภ้แต่ก็ไม่เข้าใจความเสียใจของลูกสะใภ้ที่สุดอยู่ดี ห่วงแต่หลานน่ะ
แล้วพ่อลูกชายตัวเองน่ะ รักลูกมั่งมั้ย ถึงได้อ้างว่าเมียสนใจแต่ลูก
แล้วพอมีเมียน้อยมีลูกกลับไปใส่ใจใยดีเค้า แน่ใจเหรอว่ารักเมียตัวเองจริงๆ
ไม่คิดจะปรับปรุงตัวใครจะให้โอกาสล่ะ ไม่อยากให้คืนดีกันจริงๆค่ะ ผลัดกันเลี้ยงลูกได้แต่ไม่อยากให้คืนดีกันเลย
คนแบบนายโป๊ปแนวโน้มนอกใจอีกรอบสูงจะตาย


tity 16 ก.ย. 2555, 14:55:54 น.
สงสารปริม


pumkin 17 ก.ย. 2555, 22:16:17 น.
สงสารปริมเหมือนกันต่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account