คานน้อย คอยรัก (จบแล้วค่ะ)
คานน้อย คอยรัก

ในลักษณ์นั้นว่าประหลาด…………….คนบนคานนั้นว่าน่าประหลาด
เป็นเชื้อชาตินักรบกลั่นกล้า…………...เป็นเชื้อชาตินักรักผู้หาญกล้า
เหตุไฉนย่อท้อรอรา…………………..เหตุไฉนย่อท้อรอเวลา
ฤาจะกล้าแต่เพียงวาที…………………ฤาไม่กล้าบอกรักใครสักที

เห็นแก้วแวววับที่ดับจิต…………………เห็นคานแก้วแวววับสดับจิต
ใยไม่คิดอาจเอื้อมให้ถึงที่……………...ใยไม่คิดปีนไปให้ถึงที่
เมื่อไม่เอื้อมจะได้อย่างไรมี……………อย่ามัวรอจงขึ้นมาเร็วรี่
อันมณีฤาจะโลดไปถึงมือ………………บนคานนี้มีรักให้ฝึกปรือ

อันของสูงแม้ปองต้องจิต………………..คานเราสูงไม่เป็นรองของใครอื่น
ถ้าไม่คิดปีนป่ายจะได้ฤา………………..อย่าได้ขืนลงไปให้เสียชื่อ
มิใช่ของตลาดที่อาจซื้อ………………….มิใช่ทองตามตลาดที่อาจซื้อ
ฤาแย่งยื้อถือได้โดยไม่ยอม……………..เพราะเราถือความพอใจจึงลงไป

ไม่คิดสอยมัวคอยดอกไม้ร่วง……………ไม่คิดสอยมัวคอยให้คานทับ
คงชวดดวงบุปผาชาติสะอาดหอม………..รอให้ดับคาคานหรืออย่างไร
ดูแต่ภุมรินเที่ยวบินตอม…………………..ฤาต้องคอยรักแท้จนแก่ใช่ไหม
จึงได้ออมอบกลิ่นสุมาลี…………………..เกาะคานน้อยคอยรักต่อไป
…………………..........จนกว่าจะเจอคนที่ใช่…ใช่ไหมคาน………………
(อ้างอิงกลอนจากบทละครเรื่องท้าวแสนปม)

มาดูเหตุผลของคนที่ยังไม่ลงจากคานกันค่ะ...
อาจจะมีเหตุผลมากมายที่ไม่อยากลงจากคาน
หรืออาจมีเพียงแค่หนึ่งเหตุผลง่ายๆก็คือ...

...ไม่ใช่คนที่ใช่ก็ไม่ใช่...

หรือว่า

...โดนข้อหาหลายใจ เพราะเคยมีแฟนหลายหน...

หรืออาจเป็นเพรา

...เขาบอกให้รอ เราก็รอ...

หรือจริงๆแล้ว

...ขออยู่รอคนสุดท้ายคนนั้นได้ไหม...

หรือลึกลงไป

...กำลังรอเจ้าชายในฝันอยู่อย่างอดทนได้ทุกอย่าง...

หรือกำลังปลอบใจตัวเองว่า

...ครึ่งหนึ่งของฉันยังมาไม่ถึง...ซึ่งสักวันเขาจะมาอยู่ข้างกัน...

หรือกำลังหลอกตัวเองด้วยการปกปิดว่า

...ไม่หวั่นไหว หัวใจไม่ปรารถนา...

ทั้งๆที่จริงๆแล้ว

...อยากรัก อยากฝัน แต่เพราะกลัว ก็เลยไม่กล้ารักใคร...

หรือว่าอาจจะเป็นเหตผลสุดท้ายที่ไม่ค่อยมีใครกล้ายอมรับดังๆว่า

...ไม่เคยมีใครมาจีบ ไม่มีใครสน เรามันคนธรรมดาๆ...

แต่ไม่ว่าจะเหตุผลใด...

เราก็ยังหวังและยังคงรอคอยปาฏิหาริย์ว่าจะได้เจอคนที่ใช่ในสักวัน...


Tags: ดราม่า หวานซึ้ง อบอุ่น หมอรัง สิ้นรัก วายุ ปองขวัญ

ตอน: ยกที่ 58 รักครั้งสุดท้าย

เอานายหัวรังมาฝากกันค่ะ...



ยกที่ 58 รักครั้งสุดท้าย

“คุณหญิง…”รังสิมันต์เรียกมารดาด้วยสีหน้าแปลกใจ

ปกติมารดาของเขาจะไม่แวะมาที่บ้านบนเกาะลันตาแห่งนี้ หากไม่มีเหตุจำเป็น…

แต่วันนี้ท่านกลับเดินทางมาที่นี่
แล้วมาหยุดยืนอยู่ตรงหลุมฝังศพของบิดาของเขากับมารดาของสิ้นรัก…

ซึ่งเขาเองตั้งใจจะแวะมาดูแลบ้านเรือนที่นี่ ทั้งเรือนรติซึ่งเป็นบ้านเกิดของสิ้นรัก
กับบ้านอีกหลังของเขาที่อยู่ไม่ไกลกันนัก…

จึงอดแปลกใจไม่ได้ที่เห็นมารดาของเขา ณ ที่ตรงนี้
ที่ที่มารดาของเขาบอกว่าจะไม่มาเหยียบอีก…

“พ่อแกจากพวกเราไปกี่ปีแล้วเจ้ารัง…”

น้ำเสียงนั้นราบเรียบ รังสิมันต์ไม่แน่ใจว่าประโยคเมื่อครู่เป็นประโยคทักทาย
หรือเป็นประโยคคำถามกันแน่

เนื่องจากมารดาของเขานั้นรู้ดีว่าพ่อของเขาจากไปเมื่อไหร่
และที่สำคัญเขาอยู่ด้านหลังของท่าน
จึงไม่รู้ว่าสีหน้าของท่านตอนนี้บ่งบอกถึงความรู้สึกเช่นไร

“คงต้องเอาอายุตอนนี้ของยัยตัวเล็กตั้งแล้วลบด้วยเจ็ดครับ…
เพราะพ่อจากพวกเราไปตอนวันเกิดของยัยตัวเล็กกับนายรัก
ตอนนั้นยัยตัวเล็กแค่เจ็ดขวบ…ส่วนนายรักอายุหกขวบ…

ดังนั้นตอนนี้พ่อจากพวกเราไป…ยี่สิบห้าปีแล้วครับ…
ส่วนน้ารติก็จากพวกเราไปสามสิบสองปี ซึ่งเป็นอายุของสิ้นรักในตอนนี้…”

รังสิมันต์ตอบมารดาออกไปอย่างมีนัยยะซ่อนเร้น

“แกกำลังจะบอกฉันว่า…พ่อแกกับน้ารติของแกเขาตายวันเดียวกัน
แต่ห่างกันเจ็ดปีใช่มั้ย…มันคงเป็นความบังเอิญที่ไม่น่าจดจำสักเท่าไหร่”

“ครับ…วันมะรืนนี้ก็จะครบรอบวันตายของท่านทั้งสอง…
และก็เป็นวันคล้ายวันเกิดของยัยตัวเล็กกับนายรัก…”

คำตอบนั้นทำให้ผู้เป็นมารดาหันมามองหน้าลูกชายที่ยืนซ้อนทางด้านหลังทันที…

“พรุ่งนี้…นายรักกับครอบครัวจะกลับมาที่นี่พร้อมกับยัยตัวเล็กครับ…”

รังสิมันต์สบตามารดานิ่ง…เขาอ่านสายตาของท่านออกว่าท่่านรู้สึกอย่างไร
จึงเดินไปใกล้ๆท่าน กุมมือทั้งสองของท่านเอาไว้

“ชีวิตพวกเราไม่ต่างจากคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่งอยู่ตลอดเวลา…
บางอย่างก็กลืนหายไปกับผืนทราย แต่บางอย่างกลับซัดไปซัดมาอยู่อย่างนั้น ไม่มีเลือนหาย…

ผมอยากให้แม่ซัดพาสิ่งที่ทำให้ใจหมองหม่นกลืนหายไปกับผืนทราย
แล้วเก็บสิ่งดีๆ ความทรงจำดีๆกลับสู่ท้องทะเล
แล้วซัดกระทบฝั่งไปมาไม่มีเลือนหายแทน…”คนฟังถึงกับถอนใจ
เพราะเข้าใจถึงความนัยนั้นดี…

“แต่แม่ไม่ชอบปลาดาวแกก็รู้ ถ้าแม่เป็นคลื่น แม่ก็จะซัดปลาดาวไปให้ไกลฝั่ง
จะไม่นำปลาดาวกลับสู่ท้องทะเลให้รำคาญใจ รกหูรกตา”

รังสิมันต์ลอบถอนใจกับถ้อยคำบนใบหน้าราบเรียบของมารดา
เพราะปลาดาวในความหมายของท่าน คือ สิ้นรักหรือยัยตัวเล็กของเขา

“แต่ปลาดาวที่แม่ไม่ชอบ สามารถสร้างสมดุลให้กับท้องทะเลได้
ถ้าขาดปลาดาวไป ทะเลคงเหงา หาดทรายคงขาดสีสัน…
ระบบนิเวศก็จะค่อยๆถูกทำลายไปเรื่อยๆ…แม่อยากเห็นผมมีความสุข ผมรู้…
และแม่ก็รู้ดีว่าความสุขของผมคือ การพาปลาดาวกลับสู่ท้องทะเล
ซึ่งเป็นบ้านเป็นสถานที่ที่เธอควรจะได้อยู่อย่างมีความสุข…

แม่จะผลักใสเธอเพียงเพราะเธอทำให้รำคาญใจ
รกหูรกตาไปอีกนานแค่ไหนครับ…หรือแม่ไม่รักเธอ…ไม่เอ็นดูเธอ
หรือแม่ลืมสัญญาที่ให้ไว้กับน้ารติไปแล้ว”

รังสิมันต์จำคำมั่นสัญญานั้นได้ เพราะแม่เคยพูดให้พวกเขาฟังประจำเมื่อยังเยาวัย…
ว่ายัยตัวเล็กคือน้องสาวของเขาและเป็นพี่สาวของนายรัก…
เป็นลูกสาวของท่านที่เพื่อนของท่านซึ่งเป็นแม่บังเกิดเกล้าฝากฝังเธอไว้ก่อนสิ้นใจ…
และท่านก็รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะดูแลเธอเสมือนลูกสาวแท้ๆ…

แพรวาได้แต่มองหน้าลูกชายด้วยแววตาวูบไหวกับคำพูดท้ายประโยค

แล้วภาพวันที่เพื่อนรักอย่างรติคลอดลูกก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

‘ฝากลูกสาวฉันด้วยนะแพรว…แกเกิดมาอาภัพแม่…
ฉันคงหมดวาสนาที่จะเลี้ยงดูแกให้เติบใหญ่
และคงไม่มีโอกาสได้ทำสิ่งดีๆให้แกมีความสุขได้เหมือนแม่คนอื่นๆ
ไม่มีโอกาสมอบความรักความห่วงใยให้แกได้อบอุ่นใจ…

เธอเป็นแม่ให้แกแทนฉันได้มั้ยแพรว…รักแกเหมือนที่แม่คนนึงพึงจะรักลูก
ทำให้แกรู้สึกถึงความรักของแม่แทนฉันได้มั้ยแพรว…ฉันสงสารลูก…’

แพรวาพยักหน้าขณะที่น้ำตาเลอะแก้มมองใบหน้าซีดเซียวระโหยโรยแรง
ของเพื่อนรักแล้วกุมมือนั้นเอาไว้แน่นราวกับจะรั้งให้เพื่อนไม่ไปไหน…

‘ได้สิรติ…ฉันจะรักจะเลี้ยงดูแกให้มีความสุข…จะเป็นแม่ให้แกเอง…
เธอไม่ต้องเป็นห่วงนะ…หลับให้สบายเถอะ…’

รอยยิ้มของเพื่อนก่อนสิ้นใจในวันนั้นยังติดตาตรึงใจของเธอไม่จางหาย

คิดขึ้นมาครั้งใดน้ำตาพาลจะไหลทุกครั้งไป…

…เธอเคยสัญญากับเพื่อนไว้อย่างนั้น…แต่เธอทำตามสัญญาได้เพียงแค่เจ็ดปี…
เพราะหลังจากที่รับรู้ความจริงเมื่อสามีสิ้นชีวิต
จิตใจของเธอถูกทำลายจนไม่อาจมองหน้าเด็กสาวที่หน้าตาเหมือนเพื่อนรักได้อีกต่อไป

และด้วยความรักที่มีต่อสามี ทำให้เธออดน้อยใจไม่ได้ที่สามีแอบรักเพื่อนของเธอมาตลอด
โดยที่เธอไม่เคยรับรู้ แถมเขายังเผื่อแผ่ความรักนั้นไปยังลูกสาวที่เป็นดั่งตัวแทนของรติอีก…

เขารักลูกสาวของรติผู้หญิงที่เขาแอบรักมาตลอด
มากกว่าลูกชายท้ังสองของเธอซึ่งเป็นแค่ภรรยาที่เขามีหน้าที่ต้องรัก

เพราะวันที่เขาสิ้นใจ เขาเลือกที่จะเอาของขวัญวันเกิดไปให้ลูกสาวของรติที่เกาะแห่งนี้
แทนที่จะอยู่กับลูกชายคนเล็กที่รอพ่อและของขวัญวันเกิดจากพ่อของตัวเอง
จนไม่ยอมหลับ…ข้าวไม่ยอมทาน…

ความรู้สึกของเธอในวันนั้นมิเคยเลือนหายไปจากความทรงจำ

…เขาทำลายความรู้สึกของเธอจนหมดสิ้น

โดยเฉพาะแหวนบุษราคัมวงนั้นที่เขายังกำเอาไว้แน่นในมือตอนเสียชีวิต

แหวนบุษราคัมที่สลักคำว่า 'รติ' เอาไว้นั้นทำลายจิตวิญญาณแห่งความรักของเธอ

สำหรับคนอื่นคงเป็นเรื่องหยุมหยิม
หากใครไม่มาเป็นเธอ คงไม่รู้ว่าตลอดช่วงเวลาที่ร่วมชีวิตกันมา
ดูภายนอกเขารักเธอ เอาใจใส่เธอทุกอย่าง

แต่เธอรู้ดีว่าไม่ว่าอย่างไรเธอก็ไม่เคยเติมช่องว่างในหัวใจของเขาให้เต็มได้
เพราะไม่เคยรู้ว่าช่องว่างในหัวใจของสามีที่นอนกอดเธอทุกคืนนั้นมีไว้เพื่อสิ่งใด…

กว่าจะรู้ ก็เมื่อต้องสูญเสียเขาไปแล้ว…มันเจ็บจนสุดจะบรรยาย
กลายเป็นบาดแผลที่มองไม่เห็น…เมื่อคนเป็นอย่างเธอแพ้คนตาย อย่างรติเพื่อนรัก…
เจ้าของหลุมศพที่สามีของเธอระบุว่าเมื่อเขาตายให้ฝังเขาไว้ใกล้ๆเธอ

…ก่อนสิ้นลมเขาก็ยังกำแหวนวงนั้นเอาไว้แน่น
ตายไปก็ขอได้ฝังศพไว้ใกล้ๆอีก…

มันตอกย้ำบาดแผลของคนที่ยังไม่ตายอย่างเธอให้ช้ำใจมาจนทุกวันนี้…

แถมยังทิ้งอนุสรณ์ให้ระลึกถึงเอาไว้ด้วยประโยคที่อยากได้ลูกสาวของรติ
ที่หน้าตาท่าทางเหมือนรติราวกับแกะมาเป็นลูกสะใภ้คนโตอีก

…จะให้เธอมองภาพลูกชายคนโตที่หน้าตาเหมือนพ่อของเขา
กับหญิงสาวที่หน้าตาเหมือนรติเดินเคียงคู่กัน รักกันหวานชื่นได้อย่างไร

…เขาคงไม่เคยรักเธอเลยถึงได้เหยียบย่ำหัวใจของเธอถึงเพียงนี้…

“พ่อรักแม่…ผมดูออก…”

รังสิมันต์กล่่าวพลางซับน้ำตามารดา…

ทำไมเขาจะมองไม่ออกว่ามารดากำลังน้ำตาตกด้วยความรู้สึกเช่นไร

สมุดบันทึกรักของพ่ออาจจะมีแต่เรื่องราวของผู้หญิงที่ชื่อรติกับสิ้นรักก็จริง…
แต่บันทึกหน้าสุดท้ายที่เขามีโอกาสได้อ่านมันบ่งบอกถึงความรู้สึกของบิดาของเขา
ว่ารักมารดาของเขามากแค่ไหน…

ท่านอาจจะไม่ได้เขียนคำว่ารักผู้หญิงที่ชื่อแพรวาก็จริง…
แต่ประโยคนั้นมันแปลว่ารักทุกคำ และสื่อออกมาได้ชัดเจนยิ่งกว่าคำว่ารัก

“รักแรกอาจจะฝังตรึงจิตใจจนยากจะลบเลือนก็จริงครับแม่…
แต่รักครั้งไหนก็ไม่สำคัญเท่ารักครั้งสุดท้าย…
เพราะคนที่ทำให้เราอยากหยุดหัวใจเอาไว้จนสิ้นลมหายใจนั้น
หมายถึงเรารักสุดหัวใจจนอยากจะฝากชีวิตเป็นคนสุดท้ายไว้กับเธอผู้นั้น…

ถ้าพ่อรักน้ารติมากกว่าแม่ พ่อก็คงไม่รักแม่…เพราะถ้าให้ผมตอบ
ว่าระหว่างอากิกับยัยตัวเล็ก ผมรักใครมากกว่ากัน ผมตอบได้เต็มปาก
ว่าผมรักยัยตัวเล็กมากกว่า…เพราะถ้าผมรักอากิมากกว่าผมคงไม่รักยัยตัวเล็ก…

ถ้าผมรักคนแรกมากกว่าคนที่สอง ผมจะรักคนที่สองทำไมล่ะครับแม่…

ผมไม่ได้มองเธอเป็นตัวแทนใคร ผมรักเธอเพราะผมรักเธอ…
ผมรักเธอที่ตัวของเธอ…แม่เข้าใจความรู้สึกผม แม่ก็จะเข้าใจความรู้สึกของพ่อ…
และแม่ก็จะเข้าใจความรู้สึกของตัวเอง…”

แพรวามองหน้าลูกชายผ่านม่านน้ำตา แล้วหันไปยังหลุมฝังศพของสามี
ผู้ชายที่เธอรักมากที่สุด เพราะเขาเองก็เป็นรักครั้งสุดท้ายของเธอ…


“พ่อเคยเขียนตรงบันทึกหน้าสุดท้ายเอาไว้ว่า…

ทั้งชีวิตที่เคยผ่านมาของฉัน กับรักที่มันไม่เคยสมหวังไม่เป็นดังใจ
เธอคือสายฝนที่ชะโลมหัวใจแห้งแล้ง…เยียวยาบาดแผลให้แห้งหาย
จากนี้และตลอดไปเธอคือที่หนึ่งในใจฉัน…คือที่สุดของหัวใจ…
คือดอกไม้สดใสในใจฉันตลอดมา…”

รังสิมันต์ท่องจำประโยคที่บิดาของเขาเขียนไว้ตรงท้ายบันทึกให้มารดาฟัง
ทำเอาคนฟังถึงกับสะเทือนใจ ทรุดเข่าน้ำตาร่วงตรงหลุมฝังศพนั่น…

“ผมจำไม่เคยลืม เพราะผมอ่านบันทึกพ่อทีไรก็นึกถึงเรื่องราวความรักของตัวเองทุกครั้ง…
โดยเฉพาะประโยคเมื่อกี้ ผมจำได้ เพราะผมเองก็รู้สึกเช่นนั้นกับยัยตัวเล็กเหมือนกัน…

เมื่อก่อนผมเข็ดกับความรักจนคิดว่าคงรักใครไม่ได้อีกแล้ว…
และอากิเท่านั้นคือรักแรกและรักสุดท้าย

แต่เมื่อผมกลับมาเจอยัยตัวเล็กอีกครั้ง ภาพเก่าๆเมื่อยังเยาว์ปรากฏขึ้นฉายชัด
แววตาที่เธอมองผม มันทำให้ใจผมเรรวน…เธอมีอะไรที่แตกต่าง
จนทำให้แรงต้านทานสั่นสะเทือน…จนผมห้ามใจให้ไม่รักเธอไม่ได้…

แม้แม่จะบอกว่าเธอคือน้อง ผมก็ไม่อาจหยุดรักเธอได้…

แม่เลิกโกหกผม เลิกโกหกหัวใจตัวเองเถอะนะครับ…
เพราะประโยคนั้นมันยิ่งกว่าคำว่ารัก…มันมากกว่าคำว่ารัก

ที่แม่บอกผมว่าพ่อไม่เคยบอกรักแม่แม้แต่ครั้งเดียว…
มันไม่ได้แปลว่าพ่อไม่ได้รักแม่…

คำว่ารักมันสำคัญจนแม่มองผ่านประโยคเหล่านั้น
ที่แม่เคยเปิดอ่านไปได้อย่างนั้นเหรอครับ”

ถ้อยคำดังกล่าวตอกย้ำให้คนที่กำลังร่ำไห้ยิ่งร้องไห้หนักเข้าไปอีก
แพรวารู้สึกอยากกอดสามีอีกครั้งให้แน่นๆ…
เพราะเธอเองก็ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะบอกว่ารักเขา…

ถึงเธอจะเคยแอบรักบันลือ พ่อของสิ้นรักหรือสามีของเพื่อนมาก่อน
แต่หลังจากที่ได้แต่งงานกับนาลันธ์ พ่อของลูกๆของเธอ
ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เขาทำให้เธอมีความสุข…ปลดปล่อยเธอจาก
ความทุกข์จากการแอบรักสามีผู้อื่นข้างเดียว…

กว่าจะรู้ตัว เธอก็รักเขาจนไม่เหลือที่ในหัวใจให้ใครอีกแล้ว…

จนกระทั่งวันนี้ เวลานี้ เธอก็ยังคงรักเขา…
ไม่คิดจะมีรักใหม่กับใครอีกแล้วหลังจากที่ได้รักเขา

…เขาอาจไม่ใช่รักแรกแต่เขาคือรักครั้งสุดท้ายของเธอ…เธอแน่ใจ…

ลูกชายของเธอพูดถูก…ถ้าเธอเข้าใจความรู้สึกของตัวเอง
เธอก็จะเข้าใจความรู้สึกของสามี…

เพราะม่านบังใจทำให้เธอมองผ่านความรักที่สามีมอบให้เธอเสมอมา…

รังสิมันต์เห็นมารดาร้องไห้ตัวโยนจึงทรุดเข่าลงข้างๆแล้วโอบกอดท่านเอาไว้
ผู้เป็นมารดาจึงยกสองมือขึ้นโอบกอดตอบ…
ไร้คำพูดใดๆต่อจากนั้น…นอกจากรอยยิ้มและคราบน้ำตา…





การถางทางในครั้งนั้นของรังสิมันต์
ทำให้การเผชิญหน้ากันอีกครั้งระหว่างสิ้นรักกับแพรวาในตอนนี้
เป็นไปได้ด้วยดีกว่าครั้งไหนๆ…

เมื่อสิ้นรักยกสองมือขึ้นเพื่อขอสัมผัสมือของมารดาคนรักตามศาสนปฏิบัติ…
และอีกฝ่ายก็มิได้เกี่ยงงอน ทั้งสองจึงได้สัมผัสมือที่เป็นสื่อไปถึงหัวใจได้ใกล้ชิดกัน
มีโอกาสได้สัมผัสกันถึง…

รังสิมันต์ยิ้มกับภาพนั้นด้วยความสุขใจ ฑยาวีย์ก็เช่นกัน…

“ขอบคุณค่ะ…”สิ้นรักยิ้มให้แพรวาด้วยรอยยิ้มจริงใจ…

ทว่าอีกฝ่ายกลับมีสีหน้าราบเรียบ สิ้นรักบอกกับตัวเองในใจว่าไม่เป็นไร
ยังมีเวลาอีกมากสำหรับการตื้อท่าน แค่ท่านยอมตอบรับการทักทายของเธอเมื่อครู่
ก็ถือว่าเป็นนิมิตหมายอันดีแล้ว

…สิ้นรักให้กำลังใจตัวเองไม่ให้ท้อแท้
แล้วมองหากำลังใจจากรังสิมันต์ที่นั่งอยู่ห่างๆ

รอยยิ้มของเขาทำให้เธอรู้สึกใจชื้นขึ้นมา…

“พ่อบันฝากสิ่งนี้มาให้แม่แพรว เอ่อ…คุณแพรวาด้วยค่ะ…”

สิ้นรักเผลอเรียกอีกฝ่ายด้วยความเคยชิน
เลยต้องแก้คำเมื่อเห็นสีหน้าท่าทางไม่ค่อยพอใจของอีกฝ่ายนิดๆ…

แพรวารับกล่องไม้เก่าๆที่สิ้นรักส่งให้แล้วเปิดออกดู…
คิ้วเรียวขมวดนิดนึงก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาแล้วมองไปยังสิ้นรัก…

“นี่คือ…จดหมายที่พ่อบันฝากมาด้วยค่ะ…”

สิ้นรักส่งจดหมายให้แพรวาตามคำสั่งของบิดาที่ให้ส่งจดหมาย
หลังจากที่กล่องนั้นถูกเปิดออก

แพรวาแกะจดหมายขึ้นอ่านถ้อยคำสั้นๆในนั้นในใจว่า

‘อ่านบันทึกในกล่องนั้นให้จบ แล้วเธอจะพบคำตอบที่หามานาน…

ความรักสามารถทำให้คนเห็นแก่ตัว หรือเป็นผู้เสียสละก็ได้…อยู่ที่เราจะเลือกเป็น…’

แพรวามองบันทึกหนาๆสามเล่มในกล่องไม้แล้วมองหน้าสิ้นรักนิ่ง

มีเพียงรอยยิ้มจากคนตรงหน้าเท่านั้นที่เธอได้รับ…

แพรวาจึงพยักหน้าเพียงนิด ปิดกล่องไม้นั้นลง
เธอคงต้องใช้เวลาอ่านมัน…หวังว่าสิ่งที่อยู่ในนั้นจะทำให้เธอ
ได้คำตอบที่ค้นหามานานจริงๆด้วยเถอะ…





“ฉันอาจจะดูร้ายกับคนที่ฉันไม่ต้องการ และเอาแต่เรียกร้องจากคนที่ฉันรัก…
เธอคงมองว่าฉันเห็นแก่ตัว…แต่ที่ฉันทำไปทั้งหมด เพราะฉันรักลูกชายของฉัน…
ฉันอยากให้เขาได้รับสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่ฉันจะหาให้เขาได้…

นี่แหล่ะความรู้สึกของคนเป็นแม่…

เมื่อตอนที่ฉันยังไม่เป็นแม่ ฉันจึงไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อกับแม่ของฉัน
ถึงต้องบังคับให้ฉันแต่งงานกับพ่อของเจ้ารัง

แต่เมื่อฉันมีลูก ฉันจึงมีโอกาสได้เข้าใจแล้ว…ว่าทำไม…”

แพรวากล่าวกับสิ้นรักเมื่อมีโอกาสได้อยู่กันตามลำพังสองต่อสอง

“อากิโกะเคยเป็นรักแรกของเจ้ารัง…”สิ้นรักเลิกคิ้วสูง ดวงตาปรือ
เมื่อได้ยินคำพูดนั้นจากปากของตรงหน้า...เธอไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน

“ผู้หญิงอย่างอากิ…เป็นผู้หญิงที่เก่งรอบด้าน…สุขุมรอบคอบ
มีความมั่นใจในตัวเองสูง ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใดง่ายๆ…เข้มแข็ง
ไม่อ่อนแอให้ใครคอยเหยียบย่ำ…อดทนต่ออุปสรรคและรู้จักการรอคอย

เป็นเหมือนต้นไม้ใหญ่ที่พร้อมจะให้ร่มเงาแก่สัตว์น้อยใหญ่ที่มาพักพิง…
มิใช่ไม้เลื้อยที่ต้องคอยอาศัยต้นไม้ใหญ่ไว้พักพิง…ถึงจะเอาตัวเองรอด…
ไปที่ไหนก็ต้องพึ่งพาสิ่งรอบกายที่นั่นไปเรื่อยๆ
เพราะไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวของตัวเอง…”

สิ้นรักก้มหน้าฟังน้ำเสียงราบเรียบนั้นด้วยหัวใจชอกช้ำ

ทำไมเธอจะไม่เข้าใจความนัยที่คนพูดต้องการสื่อ

…เธอคงเป็นเพียงแค่ไม้ป่า ไม้เลื้อยที่ไร้ค่า ไม่คู่ควรกับลูกชายของท่านสินะ…

ใช่สิ แต่ไหนแต่ไรมา เธอมันไม่เก่งอะไรสักอย่าง…
ต้องคอยพึ่งพาคนโน้นคนนี้มาตลอด…เอาตัวเองไม่เคยรอด
ไปไหนมาไหนก็ต้องมีคนคอยดูแลตลอดเวลา…

ความมั่นใจในตัวเองก็แทบจะไม่มี ก็จะให้เธอมีความมั่นใจได้อย่างไร
ในเมื่อเธอมันไม่ได้มีดีพอจะพึ่งตัวเองได้มากมายอะไรเลยนี่…

เจอะใครหน้าตาดีก็รักเขาง่ายๆ…ไม่เข้มแข็ง อ่อนแอได้ทุกเวลา…

เธอไม่มีอะไรเทียบกับอากิโกะ ลูกสะใภ้คนเล็กของท่านได้เลย…

บางทีถ้าไม่มีพ่อ ไม่มีลุงดิด ไม่มีพี่ริว เธออาจจะแย่ไปแล้วก็ได้…

ขนาดอายุเธอเลยสามสิบมาแล้ว เธอกลับรู้สึกเหมือนตัวเองไม่ได้โตขึ้น
จากแต่ก่อนสักเท่าไหร่ เพราะทุกเรื่องเธอยังคงต้องพึ่งบิดา
พึ่งพาคนโน้นคนนี้ให้วุ่นวาย…

“ส่วนหนูซาเนียนั้น…ก็ไม่ได้แตกต่างไปจากหนูอากิ…เพราะเธอมีทุกอย่างเพียบพร้อม
ทั้งความสง่างาม มีบุคลิกที่โดดเด่นไม่เป็นรองใคร กิริยามารยาทดีพร้อม

ถ้าพาไปออกงานใดก็คงไม่อายใคร
เหมือนดอกกุหลาบสวยงามที่มีหนามคอยปกป้องตัวเอง
มิใช่ดอกหญ้าที่อยู่ที่ไหนก็บานได้ทุกที่…แต่กลับไม่มีอาวุธปกป้องตัวเอง…”

สิ้นรักก้มหน้าซ่อนน้ำตาที่กำลังรื้นขึ้นมาเรื่อยๆ
โดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองคนพูด

มือบางจับราวระเบียงเอาไว้ยึดเหนี่ยว…ลมทะเลพัดกระทบกายเป็นระลอก

“ฉันรู้ดีว่าเจ้ารังหลงรักหนูอากิตรงนิสัยใจคอและบุคลิกที่เข้มแข็ง
ไม่อ่อนไหวต่อสิ่งใดง่ายๆ มันทำให้เขารู้สึกท้าทาย…

และฉันก็ภูมิใจในตัวลูกสะใภ้คนนี้มาตลอด…เธอทำงานเก่ง เลี้ยงลูกก็เก่ง…
และหนูซาเนียเองก็ดูไม่ได้แตกต่างไปจากหนูอากิเลย

ทั้งสองมีอะไรหลายๆอย่างที่เหมือนฉัน…

ธุรกิจของฉันมีมากมายให้ต้องดูแล…
ผู้หญิงที่จะคอยอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่ลูกชายคนโตของฉันที่มีภาระมากมายแบกรับอยู่นั้น
จะต้องเป็นผู้ที่เข้ามาแบ่งเบาภาระนั้น ต้องเข้มแข็งและอดทน
ไม่เหยาะแหยะและทำตัวเป็นภาระเพิ่มให้กับเขา…”

แพรวากล่าวพลางมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของอีกคนที่เอาแต่ฟัง
ไม่มีตอบโต้ ไม่มีปากไม่มีเสียง…
จนทำให้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนไม่ดีที่รังแกคนอื่น…

จนบางครั้ง การไม่มีปากไม่มีเสียงของอีกฝ่าย
ก็ทำให้เธอรู้สึกเอ็นดูขึ้นมาเหมือนกัน…

“เธอจะไม่พูดอะไรบ้างเลยเหรอ…หรือเป็นใบ้ไปแล้ว…”
ถ้อยคำนั้นทำให้สิ้นรักพยายามกลืนน้ำตาแล้วเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายนิ่ง
ก่อนจะฝืนยิ้มออกไป…แล้วส่ายหน้าไหวๆ

“ทะเลที่นี่สวยนะคะ…ดูสิคะ เด็กๆกำลังเก็บเปลือกหอยกันเพลินเลย
ไม่รู้ว่าท้ายเกาะจะมีหอยนางรมให้แง้งอีกรึเปล่า…”
สิ้นรักแสร้งเปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉยจนคนฟังถึงกับกระตุกคิ้ว
ที่อยู่ๆคนข้างๆก็เปลี่ยนอารมณ์ได้เร็วจนเธอแทบตั้งตัวไม่ทัน

รอยยิ้มทั้งปากทั้งตานั้นทำให้เธออดนึกไปถึงสิ้นรักยามวัยเยาว์ไม่ได้

…ผู้ใหญ่น้อยคนนักที่จะยิ้มได้เหมือนเด็กๆ

“เราลงไปหาเด็กๆกันดีกว่ามั้ยคะ…ดูท่าจะสนุก…”

ไม่พูดเปล่่าสิ้นรักถือวิสาสะจับมือมารดาของรังสิมันต์
แล้วพาลงไปยังหาดทรายด้านล่างที่เจ้าแฝดกำลังวิ่งไล่จับกับเก็บเปลือกหอยเล่นกัน
กับพ่อแม่และคุณป๋าของพวกเขาอยู่…

รังสิมันต์เงยหน้าจากปราสาททรายของหลานๆ
มองเห็นสิ้นรักกำลังกุมมือมารดาของเขาอยู่อย่างทึ่งๆ…

“ขอเล่นด้วยคนสิคะ…”พูดเสร็จก็ปล่อยมือมารดาของรังสิมันต์
แล้ววิ่งไปหารังสิมันต์กับเด็กๆ…

“โอ้โห…ปราสาทนี้เป็นของใครคะเนี่ย…ซ้วยสวย…”สิ้นรักถามเด็กๆเสียงใส…

“ของเจ้าหญิงค่ะ…คุณป๋าบอกว่าเราจะสร้างปราสาทให้เจ้าหญิงกัน”

“เอ…แล้วไหนล่ะคะเจ้าหญิง…”สิ้นรักเอียงคอถาม

“ก็ป้ารักไงล่ะครับ…ป้ารักเป็นเจ้าหญิง เพราะคุณป๋าเป็นเจ้าชาย…”
อากิโกะกับฑยาวีย์ที่กำลังนั่งเล่นอยู่ข้างๆถามขึ้นทันทีที่ได้ยินดังนั้น

“อ้าว…พ่อจังก็นึกว่าเจ้าหญิงคือน้องปาย ส่วนพี่ต้นเป็นเจ้าชายซะอีกนะเนี่ย”
เด็กๆส่ายหน้าอย่างน่าเอ็นดูพร้อมเฉลยว่า

“ไม่ใช่ค่ะ…ของปายน่ะเอาไว้สร้างทีหลัง…คุณป๋าบอกว่าอยากให้ป้ารักมาอยู่ด้วยที่นี่…
ก็เลยต้องช่วยกันสร้างปราสาทให้ค่ะ กลัวว่าเดี๋ยวป้ารักจะบินหายไปไม่กลับมาอีก…”

สิ้นรักมองไปยังรังสิมันต์ที่กำลังมองเธออยู่ก่อนหน้านี้แล้ว
ก็เห็นแววตาปลอบประโลมจากเขา…

จะมีสักครั้งมั้ยที่เขาจะอ่านเธอไม่ออก…สิ้นรักจึงหันไปทางมารดาของรังสิมันต์
ที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมแล้วก้มลงแตะปราสาททรายเบาๆพลางกล่าวว่า…

“ถ้าเจ้าชายรักเจ้าหญิงจริง เจ้าหญิงก็จะไม่ทิ้งเจ้าชายไปไหนหรอกค่ะ…
จะช่วยกันสร้างปราสาททรายด้วยกัน…”

แล้วหันไปทางอากิโกะนิดนึงก่อนจะหันไปทางรังสิมันต์…

รังสิมันต์มองเห็นแววตาบางอย่างของสิ้นรัก…
แววตาที่เขาไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่

แล้วอดไม่ได้ที่จะหันไปทางมารดาของเขาที่ยืนทำสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้…

“ทำไมป้ารักถึงเรียกปราสาททรายล่ะครับ…”เด็กชายต้นซักถามด้วยความสงสัย
เรียกสายตาของผู้ใหญ่หลายๆคนให้หันมาสนใจคำตอบ

“ก็มันทำมาจากทรายนี่คะ…เกิดจากเม็ดทรายเล็กๆมากมายมารวมกัน…
เราเองก็สนุกและต่างก็มีความสุขที่ได้สร้างมันด้วยกันว่ามั้ยครับ…”

“ครับ…”

“แต่มันก็ไม่จีรังยั่งยืน…สุดท้ายก็ไม่เหลืออะไรเลย…
เพราะไม่นานปราสาททรายก็จะถูกสายลมและคลื่นพัดพาไป…
ส่วนเราเองก็ต้องกลับบ้านจริงๆของเรา…เนอะ…จะเหลือไว้ก็แค่
ความสุขและความสนุกในความทรงจำที่ได้สร้างมัน…”

สิ้นรักกล่าวในขณะที่มองยอดปราสาทอันสวยงามนั้นด้วยแววตาเลื่อนลอย
ก่อนจะถูกดึงกลับมากับคำถามของเด็กหญิงตัวน้อยๆว่า

“ไม่จีรังแปลว่าไงคะ…”สิ้นรักยิ้มบาง…มองหน้ารังสิมันต์นิ่งขณะที่ตอบว่า

“ก็แปลว่า ไม่แน่นอนไงคะ…”







“อย่าค่ะ…”สิ้นรักห้ามปรามเมื่อรังสิมันต์ฉวยโอกาสโอบรอบเอวเธอจากทางด้านหลัง…

“ไม่มีใครเห็นสักหน่อย…”รังสิมันต์แข็งขืนเมื่อมือบางพยายามแกะออก

“แต่พระเจ้าเห็น พระองค์คงไม่พอใจที่พี่รังทำแบบนี้…”
รังสิมันต์จึงปล่อยเธอด้วยความเสียดาย…

“ก็แล้วเมื่อไหร่พี่จะกอดเธอได้โดยไม่ผิดล่ะ…”

“ก็หลังจากที่เราแต่งงานกันแล้วไงคะ…”

“ว้า…แล้วเมื่อไหร่ล่ะ…พรุุ่งนี้เลยไม่ได้เหรอ…”

“มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับรักสักหน่อย…ถ้าพี่รังเอาแหวนบุษราคัมมาหมั้นรักได้
เราก็แต่งงานกันได้…”รังสิมันต์ถอนใจทันที

“วันนี้แม่พี่พูดอะไรกับเธอ…”สิ้นรักส่ายหน้า

“ไม่เชื่อหรอก…วันนี้เธอพูดจาแปลกๆ…”

“ก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน…”รังสิมันต์จึงจับบ่าคนพูดให้หันมาทางเขา

“แววตาเธอดูแปลกไป…”สิ้นรักเบือนหน้าหนี

“พี่รังเคยรักใครมาก่อนรึเปล่าคะ…”คำถามนั้นทำให้รังสิมันต์ถึงกับขมวดคิ้วมุ่น
มองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนถามนิ่ง

“เคย…”สิ้นรักหันมามองเจ้้าของคำตอบนั้นทันที…

“พี่เคยรักอากิมากๆ มากจนคิดว่าคงรักใครไม่ได้อีกแล้ว…”
แววตาคมจ้องสิ้นรักนิ่ง…

“แล้วตอนนี้ยังรักเธออยู่รึเปล่าคะ…”สิ้นรักถามทั้งๆที่รู้ว่าไม่ควรถาม

“ถามทำไม…”นั่่นไง น้ำเสียงนั้นเริ่มไม่พอใจ…

“พี่รังคิดว่ารักควรรู้รึเปล่าล่ะคะ…”รังสิมันต์ลอบถอนใจ…

“ยังรัก และก็จะไม่เลิกรักด้วย…”พูดพลางจ้องตาอีกฝ่ายนิ่ง

สิ้นรักหลบตาแล้วหันหลังตั้งท่าจะเดินหนีไป เพราะไม่อยากฟังต่ออีกแล้ว

“เดี๋ยวสิ…ฟังให้จบก่อน”รังสิมันต์รั้งข้อมือนั้นเอาไว้

“ก็พี่ตอบเธอไปตั้งแต่ต้นแล้วว่าเคยรักอากิ…เธอก็ยังถามย้ำอีกว่ายังรักอยู่รึเปล่า…
คำว่าเคยรัก แปลว่าไงครับคนสวยขี้หึง…”

สิ้นรักหันกลับมาแล้วค้อนให้คนพูดหนึ่งวงด้วยรอยยิ้มเก้อ…

“สรุปว่าตอนนี้พี่ไม่ได้รักเธอแล้ว…”รังสิมันต์เลิกคิ้ว

“ฮือฮี…”

“จริงนะ…”

“จริงสิครับ…เธอก็รู้นี่ว่าตอนนี้พี่รักใคร…ไม่ทันแต่งหึงขนาดนี้
ถ้าแต่งไปแล้วจะขนาดไหนนะเนี่ย…”

รังสิมันต์เริ่มล้อคนที่แสดงออกอย่างชัดเจนทั้งถ้อยคำและท่าทางว่าหึงเขาอย่างนึกสนุก
ทว่าสิ้นรักไม่คิดจะสนุกด้วยสักนิด…

“แล้วกับคุณซาเนียล่ะ…”

“สำหรับซาเนีย พี่ก็เคยตอบไปแล้วไงว่าพี่ไม่ได้รักเธอฉันท์ชู้สาว
และพี่รู้ว่าแม่พี่อยากได้ซาเนียมาเป็นสะใภ้ใหญ่แค่ไหน…
แต่พี่อยากได้เธอมาเป็น…”สิ้นรักปิดปากนั้นเมื่อรู้ว่าเขาจะพูดคำว่าอะไรออกมา…

“รู้แล้วค่ะ…ไม่ต้องพูดแล้ว…”

“รู้แล้ว…และเชื่อใจด้วยรึเปล่า…”สิ้นรักพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม

“เชื่อสิคะ…เชื่อหมดใจเลย…”

“รักเชื่อใจพี่…แล้วพี่รังล่ะ…เชื่อใจรักรึเปล่า…”รังสิมันต์กระตุกคิ้วนิดนึง
ขณะมองหาที่มาของคำถามนั้นในดวงตาที่มักจะสื่อออกมาเสมอ

“ทำไมถึงคิดว่าพี่ไม่เชื่อใจเธอ…”

“เพราะพี่มีความลับกับรัก…ถ้ารักไม่ถามเรื่องคุณอากิ…พี่ก็คงไม่บอก…
ส่วนเรื่องอื่นๆที่รักยังไม่ถาม พี่ก็คงไม่คิดจะเล่าด้วยใช่มั้ยคะ…”

“พี่ว่ามันไม่จำเป็นเลย บางเรื่องรู้ไปก็ไม่มีประโยชน์”

“อย่างเรื่องที่พี่โดนยิงแล้วหายตัวไปเป็นเดือนๆปล่อยให้รักรอ…
ร้องไห้และกินไม่ได้นอนไม่หลับ…พอกลับมาอีกทีก็มีแต่รอยกระสุนนั่นด้วยใช่มั้ยคะ…”

รังสิมันต์เริ่มมีสีหน้าหนักใจอีกรอบ

“ถ้าเธอเชื่อใจพี่ พ่ีขอให้เธอเชื่อว่าทุกอย่างที่พี่ทำ พี่ทำไปเพื่อเธอ
อยากให้เธอมีความสุข…”

“โดยที่ไม่มีวันรู้เลยว่า พี่กำลังทุกข์แค่ไหนอย่างนั้นเหรอคะ…
ไหนบอกว่าเราจะเดินไปด้วยกัน แต่พี่ทำเหมือนให้รักหลบอยู่ข้างหลังพี่
โดยไม่เคยเห็นอะไรตรงหน้าพี่เลย…

หรือพี่มองว่ารักอ่อนแอเกินกว่าจะเคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับพี่ได้…
งั้นพี่รังก็หาผู้หญิงคนอื่นที่เขาเก่งกว่ารัก
อยู่เคียงบ่าเคียงไหล่เป็นที่ปรึกษาที่ดีให้พี่ได้สิคะ…จะได้ไม่ห่วงหน้าพะวงหลังอย่างนี้…”

รังสิมันต์มองคนตรงหน้าด้วยสีหน้าหนักใจ…
ไม่รู้จะอธิบายคนที่กำลังใช้อารมณ์นำหน้าให้เข้าใจได้อย่างไรดี

…นอกจากกุมมือนั้นเอาไว้…

“ฟังพี่นะ…พี่ไม่ได้ต้องการภรรยาที่พร้อมจะลุยโคลนไปกับพี่ทุกสถานการณ์
แต่พี่อยากได้ภรรยาที่เมื่อพี่กลับบ้านไปแล้วเห็นเธอนั่งรอพี่ ยิ้มให้พี่
เป็นกำลังใจให้พี่ ซับเหงื่อให้พี่…หาน้ำเย็นๆมาให้พี่คลายร้อน
ยามหนาวก็หาผ้าห่มอุ่นๆมาให้

ทำให้พี่รู้สึกเป็นเจ้าชายที่ไม่ต้องทำอะไรเลยเมื่ออยู่ในบ้าน…
และทำให้พี่ยิ้มได้มีความสุขเมื่ออยู่ใกล้ คอยเลี้ยงลูกๆให้เติบใหญ่เป็นคนดี…

ไม่ต้องฟันดาบเก่ง ไม่ต้องเตะต่อยเก่ง ไม่ต้องทำงานข้างนอกเก่งก็ได้
ขอแค่ยิ้มเก่ง เอาใจเก่ง ขี้อ้อนเก่ง ทำกับข้าว ทำงานบ้านเก่งก็พอ…”
สิ้นรักเม้มปากก้มหน้างุด…รังสิมันต์จึงจับคางนั้นแล้วเชยขึ้น

“ผู้ชายอย่างพี่ ไม่ได้ต้องการอะไรจากคนรักมากมายเลย
นอกจากลูกๆที่ดีจากเธอ…พี่อยากได้แม่ของลูก…แม่ที่มีเวลาให้ลูก
ไม่ใช่แม่ที่เก่งทุกอย่าง…แต่เป็นแม่ที่อยู่ให้ความอบอุ่นกับลูกๆ…
สอนลูกๆในสิ่งที่ดี…และพี่รู้ว่ายัยตัวเล็กของพี่ทำได้อยู่แล้ว…”

สิ้นคำสิ้นรักถึงกับร้องไห้โฮ…

รังสิมันต์ตกใจกับปฏิกิริยานั้นของเธอจนแทบทำอะไรไม่ถูก…
ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงได้ร้องไห้ขนาดนั้น

นี่เขาทำอะไรหรือพูดอะไรผิดไปหรือ เธอถึงร้องไห้เสียใจ…

“พี่ขอโทษ…พี่…พี่…”รังสิมันต์รู้สึกมือไม้เกะกะไปหมด
ไม่รู้จะพูดอะไรให้อีกฝ่ายหยุดร้องไห้ตัวโยนแบบนี้…

“ฮื้อๆๆๆ…”สิ้นรักรู้สึกตื้นตันใจจนพูดไม่ออก
หลังจากที่รู้สึกอึดอัดใจมาตลอดกับคำพูดของมารดาของเขาที่พร่ำบอกพร่ำย้ำ
ว่าเธอมันไม่ดี ไม่คู่ควรกับลูกชายของท่านสักนิด
เธอมันไม่เก่ง ไม่เอาไหนสักอย่าง

ทว่าตอนนี้ ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจกลับถูกลบออกไป
พร้อมกับประโยคเมื่อครู่ของคนตรงหน้า

เขาทำให้เธอรู้สึกมีค่ามีความหมายสำหรับเขา
เขาทำให้เธอรู้ว่าเธอมีดีพอที่จะรักเขา…

“พี่รังพูดจริงนะคะ…ไม่โกหก…”รังสิมันต์ออกอาการงงเข้าไปอีก
กับคำพูดนั้นของเธอ…

“ครับๆ…พี่ไม่โกหก…”ตอบไปทั้งๆที่ยังงงๆอยู่

“รักดีพอที่จะรักพี่? และเคียงคู่กับพี่?”คราวนี้รังสิมันต์ก็ถึงบางอ้อเสียที

“แน่นอนที่สุด…”สิ้นรักยิ้มทั้งน้ำตามองรังสิมันต์ที่กำลังยิ้มขันเธออยู่

“สรุปว่าที่ร้องไห้เมื่อกี้นี้ดีใจ ไม่ใช่เสียใจ…”สิ้นรักยิ้มเก้อ ก้มหน้างุดด้วยความเขินอาย…
ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ

รังสิมันต์มองท่าทางนั้นอย่างขำๆปนเอ็นดูนิดๆ…
หากก็รู้สึกโล่งใจที่เธอเข้าใจอะไรง่ายๆเช่นนี้

ตอนแรกนึกว่าจะอธิบายยากจนทำให้ต้องงอนง้อกันเป็นวันๆเสียอีก…

ข้อดีอีกข้อของสิ้นรักที่เขาค้นพบก็คือ…เธอเป็นคนเข้าใจอะไรง่าย
มีอะไรก็มักจะสื่อออกมาตรงๆ ไม่มัวมาเก็บงำให้คาดเดากันไปต่างๆนาๆ

ไม่มีอะไรในหัวใจเธอที่เขาอ่านไม่ออก เพราะเธอเป็นคนง่ายๆ
และก็ตรงไปตรงมา จริงใจเสมอ…

ถ้าเปรียบเธอเป็นข้อสอบ เขาก็คงเดาคำตอบได้ทุกๆคำถามจนไม่ต้องลุ้น…

หากข้อสอบที่เดาคำตอบได้ง่ายๆเหมือนปอกกล้วยเข้าปากอย่างเธอ
กลับมีบางอย่างที่เขาไม่เข้าใจอยู่เหมือนกัน…

นั่นก็คือ เธอเป็นคนสองบุคลิก…เขาแน่ใจว่าสิ้นรักมีอีกด้านที่น้อยคนจะแตะถึง…

ที่ดูเธอออกได้ง่ายๆ เพราะเธอทำให้ดูง่ายเท่านั้นเอง
เพราะยามที่เธอคิดจะซ่อนตัวตนเมื่อไหร่ ใครจะตามหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ…
เหมือนเธอเดาความคิดของคนอื่นได้ไม่แพ้เขา…

มิเช่นนั้น เธอจะหายไปจากชีวิตเขาและคนอื่นๆอีกหลายๆคน
เป็นเวลาสิบกว่าปีก่อนหน้านี้เหมือนตายจากกันได้อย่างไร…

“พี่จำได้เมื่อตอนเด็กๆเวลาเราเล่นซ่อนหากันทีไร
เธอเป็นคนเดียวที่พี่กับนายรักหาไม่เจอ ไม่ว่าจะพยายามหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ
จนกว่าเธอจะออกมาจากที่ซ่อนเท่านั้น…จากวันนั้นจนวันนี้
พี่ก็ยังสงสัยอยู่เลยว่าเธอทำได้อย่างไรไม่ให้ใครๆหาเจอ…”

สิ้นรักยิ้มกริ่มจนเห็นลักยิ้มสองข้างแก้ม

“ความลับค่ะ…บอกไม่ได้หรอก…”

“ทำไมถึงบอกไม่ได้ หรือคิดจะทำแบบนั้นอีก…”สิ้นรักยักไหล่

“มันก็ไม่แน่…”

“อย่าแม้แต่จะคิด…พี่ไม่ยอมให้ทำแบบนั้นอีกแน่ๆ…”

“แน่ใจเหรอคะว่ามีอำนาจพอที่จะสั่งไม่ให้ทำแบบนั้นได้…
ข้อเสียของพี่รังข้อนี้แหล่ะค่ะที่ทำให้หารักไม่เคยเจอ…
ใครที่เป็นเหมือนพี่รังก็จะหารักไม่เจอเหมือนๆกันนั่นแหล่ะ…”

รังสิมันต์ขมวดคิ้วมุ่น สิ้นรักยิ้มทั้งปากทั้งตาจนดูน่ามองยิ่งนักในสายตาของรังสิมันต์
เขาไม่แน่ใจว่าเริ่มชอบรอยยิ้มแบบนี้ของเธอตั้งแต่เมื่อไหร่
รู้แค่เพียงว่าเธอยิ้มได้น่ารักน่ามองเหมือนเด็กไร้เดียงสา…
ทั้งๆที่ความจริงแล้วไม่ได้ไร้เดียงสาเลยสักนิดเดียว…

“ยังไง…ไหนลองบอกมาซิว่าข้อเสียที่ว่าคืออะไร…”

“ก็นิสัยที่คิดว่าตัวเองเก่งและมีอำนาจเหนือกว่าน่ะสิคะ…
ก็เลยทำให้มองข้ามจุดเล็กๆบางจุดไป…ซึ่งจุดนั่นแหล่ะค่ะคือจุดบอด
ที่ทำให้พี่หารักไม่เคยเจอ…”รังสิมันต์จ้องคนพูดนิ่ง เขาอดทึ่งไม่ได้
กับสิ่งที่เธอพูดมา…นี่แหล่ะอีกด้านของเธอ…

“รอบกายรักมีแต่คนเก่ง…รักเกิดมาท่ามกลางคนเก่งๆทั้งนั้น
ไม่ว่าจะเป็นแม่แพรว พ่อลันธ์ พี่รัง นายรัก ขนาดมีเพื่อนก็ยังมีเพื่อนเก่ง
อย่างไอ้ปองและนายปุ๊ พอมีพี่รหัสก็ดันเก่งหาตัวจับยากอย่างพี่ลมอีก…

พอจะมีคนรักก็เก่งเกินคนอย่างพี่รัง ศัตรูคู่แข่งก็ล้วนแล้วแต่เก่งๆทั้งนั้น
ทุกคนที่รักคบล้วนแล้วแต่เป็นคนเก่งท้ังนั้น…มันเลยทำให้รักรู้สึกว่า
ตัวเองเป็นจุดดำจุดเล็กๆบนผืนผ้าขนาดใหญ่ทำให้ใครๆมองเห็นรัก
ได้เด่นชัดถึงความแปลกแยก เหมือนมีคนตัวดำคนเดียว
อยู่ท่ามกลางคนขาวนั่นแหล่ะค่ะ…ไม่ว่าคนผิวดำจะพยายามซ่อนตัว
อยู่ตรงซอกไหนมุมไหนก็ซ่อนไม่มิด…เพราะว่าดำเด่นเห็นแต่ไกล…อิอิ…”

สิ้นรักหัวเราะแฮะๆในตอนท้าย มันก็แน่อยู่แล้ว

เพราะเธอน่ะใช่ว่าจะเป็นคนผิวขาวอย่างปองขวัญหรือแมงมุม
ตอนอยู่ญี่ปุ่นก็เด่นเห็นแต่ไกลเหมือนกัน…

แต่คนญี่ปุ่นหลายๆคนก็ยังแอบอิจฉาอยากมีผิวสีแทนอย่างเธออยู่ดี…

“พี่ไม่เห็นว่ามันจะทำให้เธอซ่อนตัวง่ายขึ้นยังไง…”

“ค่ะ…รักน่ะซ่อนตัวจากสายตาคนทั่วไปน่ะยาก…
แต่ซ่อนตัวไม่ยากสำหรับคนเก่งๆที่อยู่รอบตัวรักเลย…

เพราะเมื่อพวกเขารวมหัวกัน เขาก็จะรวมความเก่งเข้าด้วยกัน
กลายเป็นจุดสีขาวจุดใหญ่ๆ
รัศมีความเก่งของคนเก่งก็จะค่อยๆบดบังจุดเล็กๆสีดำข้างๆไปเอง

ไม่ต่างจากการที่เรามองไม่เห็นดวงดาวในตอนกลางวัน…
เพราะแสงอาทิตย์เจิดจ้าเกินไป…พอพี่คิดว่าพี่เก่ง…อะไรๆก็ง่ายสำหรับพี่…
มันก็ทำให้พี่มองข้ามจุดเล็กๆไป…ถ้าพี่รัง ไอ้ปองและพี่ลม ไม่มองข้ามสิ่งเล็กๆไป…
พวกพี่ก็คงจะรู้ว่าพี่ยักษ์เพื่อนพี่เพลิงกับแมงมุมเป็นพี่น้องกัน
และรักกับพี่ยักษ์และแมงมุมเราสามคนเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน…

แมงมุมไปเรียนที่ญี่ปุ่นโดยอาศัยอยู่กับญาติสนิท ซึ่งญาติสนิทที่ว่าก็คือลุงดิด
ลุงแท้ๆของรักเอง ลุงที่เคยเป็นมือขวาเจ้าพ่อยากุซ่่าแถมยังมีภรรยาเป็นลูกสาวเจ้าพ่ออีก…

และเจ้าพ่อยากุซ่าที่ว่าก็เป็นฝ่่ายตรงข้ามกับคุณอากิโกะ ทาคาฮิโระอีก…

รักได้ยินชื่อเสียงของคนตระกูลนี้มาจากลุง…

แต่ปัจจุบันนั้นลุงดิดเลิกทำอะไรแบบนั้นไปแล้ว…
ทางฝ่ายคุณอากิโกะเองก็เลิกราไปแล้วเช่นกัน…

รักรู้มาตั้งแต่อยู่ญี่ปุ่นแล้วว่าคุณอากิโกะเป็นภรรยาของนายรัก
แต่ไม่เคยรู้ว่าพี่รังก็เคยมีใจให้เธอเหมือนกัน…”

น้ำเสียงในตอนท้ายที่ค่อนข้างขุ่นๆไม่ใสกิ๊งเหมือนก่อนหน้านี้
ทำให้รังสิมันต์ถึงกับลอบยิ้ม…

“ส่วนพี่ตามพี่สาวไอ้ปองก็เป็นคนรักของพี่เพลิง…
พี่ตามเคยไปพักฟื้นตัวอยู่ที่รีสอร์ทรอรักของพ่อบันอยู่ตั้งนาน
โดยที่ใครก็หาไม่เจอเหมือนกัน…

พี่รังคงไม่รู้ว่ารักนี่แหล่ะเป็นคนบอกให้พ่อบันแนะนำให้พี่โมเล็ก
พาพี่ตามไปพักที่รีสอร์ทเพื่อหลบหลีกผู้คนที่รู้จัก…
ทั้งๆที่พี่โมเล็กบอกเองว่ากลัวไอ้ปองจะรู้
แต่รักแน่ใจว่าอย่างไรซะไอ้ปองก็ไม่มีทางหาพี่ตามเจอท่ีรีสอร์ทรอรักแน่ๆ

และก็เป็นดังคาด ไม่มีใครรู้สักคน…ยกเว้นมณีนิลที่พี่ลมไปสืบเรื่องราว
จนรู้มาจนได้ในภายหลัง…

เขาว่าที่ไหนที่อันตรายที่สุดมักปลอดภัยที่สุด

และที่แรกที่รักไปอยู่หลังจากหายไปจากชีวิตของพวกพี่ก็คือโจฮันเนสเบิร์ก…
ที่ที่มีดอกศรีตรังบานสะพรั่งทั่วเมือง
ที่ที่มีดอกศรีตรังเป็นสัญลักษณ์ประจำเมือง…
และเป็นที่ที่พี่ลมเคยไปเที่ยวออกบ่อย…”

รังสิมันต์พอจะเข้าใจแล้วว่าคนตรงหน้าใช้หลักการใดในการเล่นซ่อนหา

…แต่ที่เขายังสงสัยอยู่ก็คือ…

“เธอรู้จักกับคุณชนาธิป ด้วยเหรอ…”

“เปล่าหรอกค่ะ…พ่อบันต่างหากที่รู้จัก…พ่อบันเป็นคนกว้างขวาง
รู้จักคนมากหน้าหลายตา…และตอนที่พี่โมเล็กโทรไปหาพ่อบัน
ว่าอยากได้ที่พักเงียบๆห่างไกลผู้คน…พ่อบันถามไปถามมา
จึงรู้ว่าคนที่พี่โมเล็กจะพามาพักด้วยเป็นลูกสาวของเพื่อน…
ซึ่งเป็นพี่สาวของไอ้ปองเพื่อนสนิทของรัก…ก็เลยโทรไปปรึกษารัก…
รักก็เลยแนะนำไปตามนั้นค่ะ…รักรู้เท่าที่รู้ ไม่ได้รู้อะไรมากไปกว่านั้น
รู้แค่ว่าพ่ีตามอยากพักผ่อนโดยไม่อยากให้ทางบ้านรับรู้ก็เท่านั้น…”

“เจ้าเล่ห์…”รังสิมันต์กล่่าวลอยๆไม่ระบุว่าเป็นใครออกมาด้วยสีหน้ายียวน

“ก็ไม่รู้ว่าใครสอน…ความซื่อน่ะไม่ได้แปลว่าโง่เสมอไปหรอกค่ะพี่รัง…
เห็นซื่อๆน่ะ อย่าคิดว่าโง่นะ…”

“สรุปว่าเธอเห็นเหตุการณ์ต่างๆมาตลอด…”สิ้นรักยิ้มทั้งปากทั้งตา
ตามแบบฉบับขณะกล่าวว่า

“คนที่ออกมาอยู่นอกวงโคจรก็มักจะเห็นอะไรโดยรวมได้ไม่ยากไม่ใช่เหรอคะ…
อย่างน้อยๆก็ได้เห็นความเป็นไปของคนที่เราจากมาได้ชัดเจนกว่าตอนที่อยู่ใกล้ๆกัน…

ที่เขาบอกไงคะว่าใกล้ตามองไม่เห็น
หรืออีกนัยนึงที่มักได้ยินบ่อยๆที่ว่า เส้นผมบังภูเขา…

จริงๆแล้วรักก็ไม่ได้ห่างหายไปไหนเลยสักนิด ยังมองเห็นพวกพี่อยู่ตลอดเลย…
ไปไหนมาไหนก็ส่งโปสการ์ดให้พี่ลมกับไอ้ปองเสมอ…

เพราะรู้ว่ายังไงซะพี่ลมกับไอ้ปองก็คงไม่ยอมพูดกันหรอก…

ถ้ารักไม่ทำอย่างนั้น ไอ้ปองกับพี่ลมก็คงไม่พบกันสักที...

คนเก่งน่ะเขาทะนงตนจนมองข้ามสิ่งเล็กๆเสมอแหล่ะค่ะ…
บางทีรักกันแทบตาย แต่ต้องตายเพราะไม่มีใครยอมอ่อนให้ใคร…
ก็คิดว่าตัวเองเก่งไม่ต้องง้อใครนี่คะ…ก็เลยรอ ร้อ รอ
รอรักอยู่บนคานไง…เหมือนใครก็ไม่รู้…อิอิอิ…”สิ้นรักขำในตอนท้าย
ราวกับจะหัวเราะเยาะตัวเองด้วยและอีกฝ่ายไปด้วย…

“แสดงว่าเธอก็รู้มาตลอดน่ะสิว่าพี่ยังโสด ก็เลยกลับมาหาพี่…
เพราะกลัวพี่จะขึ้นคานนานหรือไม่ก็กลัวว่าจะไม่มีใครพาตัวเอง
ลงมาจากคานน้อยสักที…พอได้ฤกษ์ก็เลยรีบกลับมาทันที…”

สิ้นรักตาโตด้วยคาดไม่ถึงก่อนจะรู้สึกหมั่นไส้คนพูดขึ้นมานิดๆ

“ใครว่า…รักกลับมาหาเพื่อนต่างหาก…”

“แน่ใจนะว่ากลับมาหาเพื่อน ไม่ใช่กลับมาทวงสัญญาในวัยเด็ก…”
แววตาเหมือนรู้เท่าทันทำเอาสิ้นรักถึงกับเขินหน้าแดง…

“สัญญาอะไร ไม่เห็นจะรู้เรื่อง…”

“ไม่ต้องทำเป็นไขสือเลย…ก็สัญญาว่าเราจะครองคู่กันไปจนตายไง…
จำไม่ได้เหรอ…แม่มดยัดดาม่อน…”สิ้นรักหันมามองรังสิมันต์
ด้วยแววตาแวววาวระยิบระยับ

…นี่พี่รังยังจำเรื่องราวตอนนั้นได้ด้วยเหรอ
นึกว่าจะมีแค่เธอเสียอีกที่ยังมัวจดจำอะไรแบบนั้นอยู่…

“สัญญาเด็กๆ ใครจะจำ…รักน่ะโง่จะตาย จำไม่ได้หรอกค่ะ…”
รังสิมันต์ลอบยิ้มกับถ้อยคำนั้นของคนช่างลืม…

“สมกับที่เคยเป็นเด็กช่างจริงๆ…”

“เด็กช่าง?”สิ้นรักเลิกคิ้วสูงขณะชี้มาที่ตัวเอง รังสิมันต์พยักหน้า

“ใช่…ก็ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย กับช่างลืมน่ะสิ…
หรือต้องให้พี่ช่วยเตือนความจำให้…”สิ้นรักทำตาประหลับประเหลือก
งงๆไม่เข้าใจจนรังสิมันต์ถึงกับอมยิ้ม

“ก็เธอเป็นแม่มดยัดดาม่อนจอมแก่น ส่วนพี่เป็นเจ้าชายไทม่อน
ผู้พิทักษ์แม่มดจอมแก่นไม่ให้ซุกซนเกินเหตุ…ส่วนเจ้ารัก
เป็นโต๊ะอีหม่ามทำพิธีแต่งงาน มีผีเสื้อมากมายเป็นพยาน…

เธอกับพี่ต่างให้สัญญาต่อหน้านายรักกับผีเสื้อนับสิบตัวว่าจะครองคู่กันไปจนวันตาย
นายรักเลยบอกให้พี่หอมแก้มเจ้าสาวของพี่
แต่พี่ไม่ยอม เพราะหน้าเจ้าสาวมอมแมมดูไม่ได้เลย…

เธอกับนายรักก็เลยไปแอบขโมยเครื่องสำอางก์ของแม่พี่มาโบ๊ะหน้า
จนสุดท้ายพี่ก็ต้องยอมๆหอมแก้มเธอไปไง…

จำไม่ได้หรืออายที่จะบอกว่ายังจำอยู่กันแน่…ฮึ…”

สิ้นรักอมยิ้มแก้มตุ่ย ก่อนจะเสมองไปทางอื่นด้วยความเขินอาย

…ใครจะนึกว่าพี่รังจะจำทุกฉากทุกตอนได้ขนาดนี้ ขนาดผีเสื้อกี่ตัวพี่ท่านยังจำได้เลย…

เรื่องที่เธอแอบขโมยเครื่องสำอางก์อะไรนั่นเธอยังเบลอๆอยู่เลยว่าใช่รึเปล่า
เพิ่งแน่แก่ใจก็เมื่อได้ฟังที่พี่รังเล่าให้ฟังนี่แหล่ะ…

“ตกลงที่กลับมาเนี่ย เพ่ือมาทวงสัญญาใช่มั้ย…ปองขวัญบอกพี่หมดแล้วล่ะ”

“หา!!!”สิ้นรักถึงกับตกใจตาค้าง

“นี่ไอ้ปองเป็นคนบอกพี่รังเองเหรอ…น่าเคืองที่สุด…”รังสิมันต์ยิ้มขัน

“ก็สมควรอยู่หรอก เธอน่ะนับวันยิ่งทำตัวเผ็ด โดนแก้เผ็ดซะบ้างก็ดี…”

“ใครทำตัวเผ็ด…เผ็ดยังไงคะ…”

“นั่นน่ะสิ…พี่ก็อยากทดลองชิมดูเหมือนกันว่าเผ็ดยังไง…
ว่าแต่จะยอมให้ชิมรึเปล่าล่ะ…”

“บ้า…”สิ้นรักค้อนตาคว่ำ

“สงสัยคงต้องรีบจัดการเรื่องแหวนบุษราคัมวงนั้นซะแล้วล่ะมั้งเนี่ย
ไม่งั้นมีหวังต้องกินแกงจืดไปจนตาย…”สิ้นรักจ้องคนที่ยังไม่ยอมเลิกหาเรื่องเธอ…

“งั้นก็บอกให้แม่มาขอสิ…ทำได้รึเปล่าล่ะ…”สิ้นรักท้าเสียงดัง

รังสิมันต์หมั่นไส้ก็เลยโยกหัวทุยนั่นไปมาอย่างห้ามไม่อยู่
ใจจริงอยากทำมากกว่านั้น แต่ต้องหยุดใจเอาไว้แค่นี้ก่อน…

“พูดถึงแหวนวงนั้นมันสำคัญกับแม่พี่มากเลยเหรอคะ…
ท่านถึงได้หวงขนาดนั้น…รักว่าถ้าท่่านหวง เราก็ไม่น่าจะบังคับเอามันมาจากท่านเลย”

รังสิมันต์ลอบถอนใจเฮือกใหญ่…

มันไม่ใช่เรื่องหวงของน่ะสิแต่มันมีเหตุมาจากเรื่องอื่นที่เขาคงอธิบาย
ให้คนตรงหน้าฟังไม่ได้…เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวของมารดา…
ที่ไม่ควรเลยที่จะพูดออกไป

“พ่อบันของเธอเองก็มีเหตุผลที่ต้องการให้พี่นำแหวนวงนั้นมาหมั้นเธอ
เพราะ…เพราะ…”

“เพราะอะไรคะ…”สิ้นรักจ้องคนตรงหน้าตาไม่กะพริบด้วยความสนใจใคร่รู้

“เพราะ…พ่อพี่ต้องการให้เป็นอย่างนั้นน่ะสิ…”นั่นคือคำตอบสั้นๆ
ที่รังสิมันต์พอจะอธิบายให้อีกฝ่ายได้เข้าใจ…

เพราะมากกว่านั้นเขาทำไม่ได้ เขาไม่อยากพูดเรื่องที่มารดาของเขาจะไม่พอใจ
หากรู้ว่าเขาเอาเรื่องของท่่านมาพูด…

“พ่อพี่ต้องการ แต่แม่พี่ไม่ต้องการ พ่อบันก็เลยต้องทำแบบนั้น
เพราะถ้าแม่พี่ไม่ยอมยกแหวนวงน้ันแก่พี่รังเพื่อเอามาหมั้นรัก
นั่นก็หมายความว่า ท่านยังไม่ยอมรับในตัวรัก…พ่อบันก็จะไม่ยอม
ให้รักแต่งงานกับพี่ทั้งๆที่แม่พี่ไม่ยอมรับรัก…ใช่มั้ยคะ…”

รังสิมันต์มองคนตรงหน้าด้วยรอยยิ้มโล่งใจ

…อีกครั้งที่เธอเข้าใจอะไรง่ายๆโดยที่เขาไม่ต้องพูดหรืออธิบายให้ยืดยาว…

“แหวนวงนั้นคงสวยมากๆเลยใช่มั้ยคะ…แม่พี่ถึงได้หวง…”

“มันไม่ใช่แค่สวยมากๆหรอก…วันใดที่พี่นำมันมาหมั้นเธอได้
เธอก็จะเข้าใจว่าทำไมแม่พี่ถึงได้ไม่ยอมยกมันให้เจ้าของที่แท้จริง…

ท่านอาจจะหวงลูกชายของท่านเหมือนแม่จงอางหวงไข่ แต่เชื่อพี่เถอะว่า
ท่านไม่ได้หวงแหวนวงนั้นเพราะต้องการครอบครองมัน…”

“ชักอยากเห็นหน้าตาของแหวนวงนั้นซะแล้วสิคะ…”รังสิมันต์ยิ้มกว้างทันที
เมื่อได้ยินประโยคนั้นจากปากของสิ้นรัก

“แสดงว่าอยากแต่งงานกับพี่เร็วๆแล้วใช่มั้ยล่ะ…พี่รู้ว่าความหล่อของพี่
ทำให้เธออดใจไม่ไหว…กลัวว่าสาวๆแถวนี้จะแอบมาแย่งไป…”

“หาเรื่อง…เค้าแค่อยากเห็นแหวนหรอกน่า…”

“ไม่ต้องมาทำเป็นกลบเกลื่อนจุดประสงค์ที่แท้จริงหน่อยเลย…
อยากแต่งงานไวๆแล้วแน่ๆ พี่ดูออกน่า…”

รังสิมันต์ล้ออีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มกวนๆ สิ้นรักทำหน้าไม่ถูกเมื่อโดนล้ออย่างนั้น
ก็เลยฟาดงวงฟาดงาใส่คนช่างแกล้งไปหลายที…






“จี้ที่น้องมุมห้อยอยู่เนี่ย ไม่ใช่พลอยสีชมพูหรอกค่ะ
และก็ไม่ใช่หินสีชมพูทั่วๆไปที่พบตามลำธารด้วย…แต่มันเป็นเพชรสีชมพูค่ะ…”

พันทิวาถึงกับตกใจเมื่อพี่สาวของพสุธตอบเธอหลังจากที่ขอดูจี้ที่เธอห้อยคออยู่…
โดยที่ข้างๆเธอมีพสุธยืนยิ้มราวกับไม่ได้แปลกใจอะไร

“เพชรสีชมพูมีด้วยเหรอคะ…”พันทิวาถามด้วยเพราะไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน
ธารายิ้มบางหันไปทางน้องชายนิดนึงแล้วพยักหน้าเบาๆ

“มีสิคะ…จริงๆแล้วเพชรมีหลายสีค่ะ…มีทั้งสีชมพู สีเหลือง สีน้ำเงิน สีเขียว…
ซึ่งสีเขียวกับสีน้ำเงินเนี่ยหายากมากกว่าสีอื่นๆค่ะ…

แต่ที่พี่ชอบที่สุด ก็คือ เพชรสีเหลืองค่ะ สีของมันสวยมากๆ…
ยิ่งยามที่ต้องแสงไฟด้วยแล้วล่ะก็…สุดจะบรรยายเลยล่ะค่ะ…”

ธารายิ้มพลางหยิบตัวอย่างจากตู้เซฟของตระกูลขึ้นมาให้พันทิวาชม

“โอ้โห…สวยจริงๆด้วยค่ะ…มุมไม่ค่อยรู้เรื่องเครื่องประดับหรอกค่ะ
เพราะเมื่อก่อนไม่ค่อยชอบสวมใส่เท่าไหร่นัก มันรู้สึกเกะกะน่ะค่ะ…”

พันทิวายิ้มแหย ซึ่งข้อนั้นพสุธเข้าใจ เพราะไม่เคยเห็นเธอสวมใส่เครื่องประดับชิ้นใด

นอกจากช่วงหลังๆที่เห็นสวมสร้อยคอทองคำขาวจี้เพชรสีชมพู
ที่เขามองออกตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นมันแล้วด้วยซ้ำว่ามันไม่ใช่ก้อนหินธรรมดาๆ…

“ที่อยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของน้องมุมเองก็เป็นเพชรสึชมพูค่ะ…
ไม่ใช่พลอยล้อมเพชร แต่เป็นเพชรสีชมพูล้อมเพชรค่ะ…

แม่พี่เป็นคนออกแบบและควบคุมการทำทั้งหมดเองค่ะ…
ท่านทำเอาไว้ให้ลูกชายหมั้นหมายลูกสะใภ้ของท่านน่ะค่ะ…

เพชรสีชมพูน่ะเป็นของเจ้าดินค่ะ…

ส่วนของลมน่ะ…เป็นเครื่องเพชรประจำตระกูลที่พี่เพลิงแกล้งลมเขา
ให้เอาไปหมั้นน้องปองวันนั้นค่ะ…

เพราะของพี่เพลิงจริงๆน่ะเป็นชุดโอปอลดำ
ที่เจ้าตัวเขาขอคุณแม่ว่าจะเป็นคนเลือกอัญมณีแทนตัวเจ้าสาวของตัวเองด้วยตัวเองค่ะ…

คุณแม่ก็เลยเกรงว่าเจ้าดินจะน้อยหน้าพี่ๆก็เลยออกแบบเครื่องเพชร
แบบเดียวกับเครื่องเพชรประจำตระกูล

แต่เปลี่ยนเป็นเพชรสีชมพูล้อมรอบเพชรแทน ทำให้ดูน่ารักสมกับเป็นสะใภ้เล็กน่ะจ๊ะ…

และพี่ก็เห็นแล้วว่าน้องมุมน่ะเหมาะกับตำแหน่งนี้ที่สุด
เพราะสวมเพชรสีชมพูที่แม่พี่ออกแบบไว้ให้ได้อย่างสวยงามลงตัว…

ถ้าแม่พี่ยังอยู่ท่านคงมีความสุขไม่น้อยเนอะดิน…”

ท้ายประโยคหันไปพูดกับน้องชายที่เอาแต่นั่งยิ้มหวานอยู่ข้างๆภรรยา…

“ครับพี่น้ำ…ผมเห็นด้วยทุกประการ”

พูดในขณะที่ดวงตาไม่วางจากใบหน้าของภรรยาสาว
ที่ทำให้เขารู้สึกมีความสุขเมื่ออยู่ด้วยจนแทบไม่อยากห่างไปไหน

“แสดงว่านายรู้มาตั้งแต่ต้นใช่มั้ยว่าหินสีชมพูเนี่ยเป็นเพชรสีชมพู
ไม่ใช่ก้อนหินธรรมดาๆ…”

พสุธยิ้มกับคำถามที่พันทิวาแอบกระซิบข้างๆหูเขา
ไม่ให้พี่สาวของเขาที่กำลังเพลิดเพลินอยู่กับการชื่นชมเครื่องประดับได้ยิน

“ก็ทำไมฉันจะมองไม่ออก…ฉันแยกออกหรอกน่าว่าอะไรเพชร อะไรพลอย
อะไรก้อนหิน…แต่ที่อยากจะบอกเธอก็คือ

คุณค่าของมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามันเป็นอะไร แต่มันอยู่ที่มันได้มาอย่างไรมากกว่า…

ของที่หายากมักมีค่าเสมอ และมักสวยงามแปลกตาตรึงตาตรึงใจเสมอเช่นกัน…

ต่อให้เป็นเพชรเม็ดงามล้ำค่า หากได้มาอย่างง่ายดายก็ไร้ค่าได้เช่นกัน…

แม่ของฉันรักเครื่องเพชรชุดนี้มากเลยนะ เพราะท่านบอกว่ากว่าจะทำมันสำเร็จ
ท่านใช้เวลาและฝีมือทั้งหมดที่มี เนื่องจากเพชรประจำตระกูลน่ะ
ตกทอดมาหลายต่อหลายรุ่น ยากที่จะทำได้เหมือน

แต่ท่่านก็พยายามจนสุดความสามารถที่มีเพื่อทำเครื่องเพชร
ชุดที่ฉันใช้หมั้นเธอออกมาได้…มันก็เลยเป็นความภาคภูมิใจของท่าน
และความตื้นตันใจของฉันที่มีต่อแม่…”

พันทิวาก้มหน้ายิ้มบางด้วยความขวยเขิน

พักหลังๆมานี่นายดินทรายมักพูดและทำให้เธอเขินได้บ่อยเหลือเกิน
เธอเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องหวั่นไหวไปกับน้ำคำ แววตาและท่าทางของเขาด้วยก็ไม่รู้…

“ฉันจะเก็บรักษามันไว้อย่างดี…วันใดที่นายพบคนที่ใช่ ฉันจะคืนให้
รับรองว่าฉันไม่ยึดหรือไม่ยอมคืนให้อย่างแน่นอน…”

พสุธออกจะไม่พอใจกับถ้อยคำนั้นสักเท่าไหร่นัก
แต่ก็ไม่อยากทำให้บรรยากาศดีๆต้องหมองมัวลงด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง…

“การจะครองคู่กัน…ไม่ใช่แค่ความรักเท่านั้นนะคะที่ทำให้ชีวิตคู่อยู่รอด
แต่เป็นความเข้าใจกัน…ไว้ใจ เชื่อใจกัน…รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว…

ที่สำคัญ…เราต้องมีโซ่มาร้อยชีวิตคู่เอาไว้ด้วยกัน…
ชีวิตคู่ที่คิดว่าจะพังลงง่ายๆ ก็จะไม่ง่ายอย่างที่คิด…”

ธาราเอ่ยขึ้นขณะมองหน้าน้องชายกับน้องสะใภ้ด้วยรอยยิ้มบาง…

“โซ่เหรอคะ…”พันทิวาเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัยว่าโซ่ที่ว่าคืออะไร…
ธารายิ้มกว้างมองหน้าน้องชายก่อนจะหันไปตอบน้องสะใภ้ว่า

“ก็ลูกไงล่ะคะ…ลูกจะเป็นโซ่รัก โซเสน่หา ที่ทำให้พ่อกับแม่ที่ความสัมพันธ์
กำลังร่อแร่กลับมาดีกันได้อย่างน่าประหลาด…

ตอนที่พี่แต่งงานกับกฤษใหม่ๆ เราสองคนทะเลาะกันเรื่องไม่เป็นเรื่องบ่อยมาก
เพราะต่างฝ่ายต่างก็เก่ง ไม่มีใครยอมให้ใคร…

พี่งี้ขอเลิกกับกฤษไปเป็นร้อยๆครั้ง แต่กฤษเขาก็ไม่เคยเอ่ยคำๆนั้นออกมาแม้แต่ครั้งเดียว…

เขาบอกพี่ว่าเวลาพี่เอ่ยคำว่าเลิก หัวใจเขาแทบขาดสะบั้น
อยากจะเลิกให้รู้แล้วรู้รอดไปเหมือนกัน

แต่เพราะเข้าใจอารมณ์ผู้หญิงว่ามีขึ้นมีลง เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย
พี่กฤษเขาก็เลยเลี่ยงๆ ยอมๆให้

กว่าจะรู้ว่าที่พี่อารมณ์ไม่อยู่กับร่องกับรอยนั้นมีสาเหตุมาจากที่พี่กำลังจะมีน้องฝน

…รู้มั้ยว่าตอนที่เราสองคนรู้ว่ากำลังจะมีลูกด้วยกัน
เรื่องที่เคยทะเลาะกันมามันเล็กจนเราลืมไปจนหมด…

สุดท้าย ทุกวันนี้ก็ต้องมาทะเลาะกันเพราะเรื่องลูกอีก…
เวลาที่พี่เผลอจนดูแลลูกไม่ดี จนน้องฝนหกล้มบาดเจ็บ เป็นต้องได้ทะเลาะกับพี่กฤษตลอด
หาว่าพี่ละเลยลูกบ้างล่ะ สารพัดค่ะ…

ก็เขาหวงและเป็นห่วงลูก เราเองก็ห่วงไม่แพ้เขา…ก็ผลัดกันต่อว่าอีกฝ่ายอยู่อย่างนั้น…

ชีวิตคู่ก็เป็นอย่างนี้แหล่ะจ๊ะ ลิ้นกับฟัน คู่กันก็ต้องมีกระทบกันบ้างเป็นธรรมดา

วันใดขาดฟันไป ก็กินอะไรไม่อร่อยลิ้นเหมือนกัน…ก็เลยต้องประคองชีวิตคู่กันไป…
ยิ่งลูกยิ่งโตก็ยิ่งทำให้สายใยความผูกพันเหนียวแน่นขึ้น…”

พสุธหันไปมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของพันทิวาทันที…

ชีวิตเขาไม่เคยคิดจะมีลูกกับผู้หญิงคนใดมาก่อนเลย
เพราะไม่ต้องการการผูกมัด…เนื่องจากมีหลานๆให้ชื่นชมอยู่แล้ว…
ไม่จำเป็นต้องมีเป็นของตัวเอง ยามอยากชื่นชมก็มีหลานๆให้ชื่นชม
พอเบื่อก็คืนให้พ่อแม่เขา…เขาคิดว่าแค่นั้นมันพอแล้วสำหรับชีวิตของเขา

ทว่า…แปลกดี…ที่ช่วงหลังๆมานี่ เรื่องนี้ค่อยๆก่อตัวขึ้นในหัวใจเขา…
ทำให้เขาอยากมีลูกที่หน้าตาเหมือนเขา
เป็นตัวแทนของเขาหรือไม่ก็เหมือนพันทิวา…

เขาอยากเห็นพันทิวาตัวน้อยๆขึ้นมา

…แล้วเธอล่ะ เธอคิดเหมือนกันบ้างรึเปล่า…

“พี่น้ำพูดแบบนี้ เหมือนเชียร์ให้ผมมีน้องให้ยัยฝนอย่างนั้นแหล่ะ…”

พสุธแสร้งพูดออกไปเพื่อดูปฏิกิริยาจากอีกฝ่ายว่าจะรู้สึกอย่างไร

ทว่ากลับไม่พบร่องรอยใดๆบนใบหน้านั้นเลย สีหน้าเธอดูปกติ

“ก็พี่อยากรู้นี่ว่าถ้าเธอสองคนมีลูกด้วยกัน หน้าตาหลานของพี่จะออกมายังไง…
ขอเป็นผู้ชายได้มั้ย…ยัยฝนบ่นอยากได้น้องชาย
ขอพี่มาหลายรอบแล้ว แต่พี่มีลูกยาก…”

พสุธหัวเราะขันแล้วกล่าวกับพี่สาวของตนว่า

“เจ้าต้นก็บอกว่าอยากได้น้องชายเอาไว้เตะบอลเหมือนกันครับ…
สรุปว่า ผมต้องทำลูกชายใช่มั้ยครับเนี่ย ถึงจะทำให้เด็กๆสมหวังกัน…”

ถ้อยคำนั้นทำให้พันทิวาหันมามองคนพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจสุดขีด
จนคนที่กำลังหัวเราะอยู่ถึงกับชะงัก…

ธารามองภาพนั้นด้วยสีหน้าราบเรียบและอดเป็นห่วงคู่นี้อยู่ลึกๆไม่ได้…


...โปรดติตตามตอนต่อไป....

เอานายหัวรังมาฝากกันแล้วนะคะ....

ต้องขอโทษนักอ่านด้วยนะคะ หากช่วงนี้ไม่อาจมาโพสต์ให้ได้ทุกวัน
เหมือนก่อนหน้านี้...เนื่องจากใกล้สิ้นปีเลยมีเรื่องยุ่งๆเข้ามาเยอะ
ให้ต้องเคลียร์น่ะค่ะ...แต่จะพยายามมาให้ถี่จนกว่าที่เขียนไว้โกดังจะหมดน่ะค่ะ
เพราะที่ค้างอยู่ 10% นั้น โยยังไม่มีโอกาสได้ปั่นต่อเลยค่ะ...
แต่ในโกดังยังมีอีกหลายยกมากค่ะ...อิอิ...



งั้นขอคุยกับนักอ่านจากยกก่อนหน้ากันค่ะ

1.คุณหมีสีชมพู...เอาสิ้นรักมาฝากให้กันแล้วนะคะ...
ขอบคุณค่ะสำหรับกำลังใจและการติดตาม...

2.คุณmhengjhy...เพราะแรงหึงมั้งคะ นายดินเริ่มหึงเป็นแล้วนะนั่น...อิอิ
ขอบคุณค่ะสำหรับกำลังใจและการติดตาม....ซ้ำยังเป็นผู้ชายที่ปากไม่หนักซะด้วย
รู้ว่ารักก็บอกออกไปทันที...แต่การกระทำมันคงยากจะเชื่อนะคะ...

3.คุณkonhin...ยกนี้ไม่ได้มาแต่ชื่อนะคะ มาทั้งตัวและหัวใจเลย...
อย่างน้อยหมอรังก็รู้จักจะปลอบใจแม่นะคะนั่น...คงต้องรอแม่งูว่าจะใจอ่อนเมื่อไหร่

4.คุณบัวขาว...ขอบคุณค่ะที่แวะมาส่งกำลังใจและรอยยิ้มให้เต่าโย
ขอให้หายป่วยไวๆควิกๆนะคะ...จุ๊บๆค่ะ

5.คุณLittlewitch...น้องที่ทำงานของโยก็ลาออกไปเหมือนกันค่ะ
ก่อนจะสิ้นปีนี้เหมือนจะมีคนหอบผ้าหอบผ่อนไปซบอกที่อื่นอยู่หลายคนเหมือนกันค่ะ...
ส่วนเรา...ยังสนุกกับงานที่ทำอยู่ แม้จะเหนื่อยๆไปบ้าง แต่มันก็เป็นอะไรที่ทำแล้ว
รู้สึกว่าใช่ และได้ประสบการณ์เยอะค่ะ...สู้ๆนะคะ มีอารมณ์สุนทรีย์เมื่อไหร่
แวะมาอ่านมาคอมเม้นท์ให้กันอีกนะคะ เพราะโยเองเมื่อวานกว่าจะกลับมาถึงที่พัก
ก็เกือบห้าทุ่ม...หัวถึงหมอนนอนทันที ไม่มีอารมณ์และไม่มีแรงทำอะไรอีกเลยค่ะ
เพราะตามันหนักจนยากจะลืมได้...อิอิอิ...

6.คุณviolette...มาแล้วค่ะคู่เอก เพียงแต่มาแบบแย้มๆ
ยังไม่ได้เวลาขึ้นสังเวียนจริงๆ ต้องรอพญาครุฑก่อนค่ะ...
พญาครุฑมาเมื่อไหร่ ระฆังก็จะดังทันทีค่ะ...อิอิ...

7.คุณPampam...น่าว่าจะยากค่ะสำหรับแมงมุม เพราะคิดมาคลอด
ว่าชอบพี่เพลิง เพราะพี่เพลิงคือมายฮีโร่...คนเราลองปักใจเชื่ออะไรแล้ว
ก็ยากที่จะสลัดมันออกไปนะคะ แม้จะมีสิ่งแปลกปลอมบางอย่างเข้ามาแทนที่
แล้วก็ตามที...เราก็ยังไม่อาจทำใจยอมรับสิ่งแปลกปลอมดังกล่าวได้...ว่ามั้ยคะ

8.คุณaom...ขอบคุณค่ะสำหรับแรงใจดีๆที่มอบให้เต่าโยค่ะ...จุ๊บนะคะ...
ส่วนเรื่องของแมงมุม ใกล้ถึงจุดไคลแมกซ์แล้วล่ะค่ะ...
มารอดูว่า อะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้...

9.คุณแว่นใส...ขอบคุณค่ะสำหรับกำลังใจและการติดตามค่ะ...
ว่าแต่ใครดีคะที่ควรจะระวังตัว...อิอิอิ...
หรือว่าจะเป็นเต่าโย...อิอิอิ...เพราะว่าเต่าโยมาโพสต์ให้ช้าไปรึเปล่า...ฮ่าๆๆๆ

10.คุณsopayalak...มีแต่คนเชียร์ให้นายดินเสกน้องชายให้เจ้าต้นกับน้องฝนกันใหญ่เลย
ขนาดพี่น่ำก็เอากับเขาด้วย แม้แต่นักอ่าน งานเข้าแล้วนายดินเอ๋ย...อิอิอิ
เพราะดูท่าแล้ว แมงมุมจะไม่ยอมให้ท้องโย้ง่ายๆซะด้วยสิ...
ขอบคุณนะคะสำหรับกำลังใจและการติดตาม ก็มีแต่คุณsupayalak นี่แหล่ะค่ะ
ที่บอกออกมาโต้งๆว่าเชียร์นายดิน...อิอิอิ...เชียร์ต่อไปนะคะ นายดินน่าสงสารออกค่ะ...

11.คุณwii....คงต้องรอต่อไปน่ะค่ะ...เรื่องของหัวใจนั้นยากจะหยั่งถึง...
ในเมื่อเคยรักและประทับใจคนหนึ่งมาตั้งแต่เด็กๆ...
นายดินคงต้องขยันทำคะแนนต่อไปค่ะ ถึงจะได้แต้ม
แต่เท่าที่ดูแต้มจะติดลบไปแล้วนะคะนั่น...แต่ลึกลงไป ใครจะไปรู้ใช่มั้ยคะ
บางทีแต้มอาจเพิ่มขึ้นโดยที่อีกฝ่ายยังไม่รู้ตัวก็ได้ค่ะ...อิอิอิ
ขอบคุณค่ะสำหรับกำลังใจและการติดตาม...

12.คุณgoldensun...ขอบคุณค่ะสำหรับกำลังใจที่มอบให้โยมาอย่างสม่ำเสมอ...จุ๊บๆค่ะ
หนุ่มๆบ้านอาทิตยะดูจะร้อนๆกันทั้งนั้นนะคะ เว้นสายลมเอาไว้คนเดียวเอง...อิอิอิ
รายนั้นดูจะผิดพี่ผิดน้องอยู่ค่ะ...แหวกแนวและยังแยกไปทำธุรกิจส่วนตัวที่ทางใต้อีก...
ถ้าไม่เรียกว่าผิดพี่ผิดน้องก็คงจะไม่ใช่แล้วล่ะค่ะ...อิอิ...


สุดท้ายไม่ท้ายสุด...

ไม่มีใครคิดถึงพี่ลมบ้างเลยหรือคะ...อิอิอิ...

พี่ลมก็หายไปนานเหมือนกันนะคะ ผลุบๆโผล่ๆตลอดเลย...

เอาไว้อีกสักพัก นักสืบโคนัน เย้ย นักสืบโคถึกอย่างสายลมจะกลับมา
เพื่อ....


...ขอบคุณทุกไลค์ ทุกๆกำลังใจและทุกๆคนที่เข้ามาอ่านมาติดตามกันนะคะ...
ดูจากจำนวนนักอ่านที่เข้ามาชม ก็ทำให้โยยิ้มได้แล้วล่ะค่ะ
อย่างน้อยโยก็คงไม่ได้พร่ามอยู่คนเดียว...อิอิอิ..


ปล.คุณmallow กับ คุณsai และน้องหนอน...ยังอยู่อีกรึเปล่าคะ...ถ้ายังอยู่
ส่งเสียงให้โยได้ยินบ้างนะคะ...
เพราะเหมือนจะหายไปนานนนนนนนนนนนมากกกกกกกเลยค่ะ....อิอิอิ...
คิดถึงค่ะคิดถึง...

"เต่าโย"











yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 ธ.ค. 2555, 13:27:51 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 ธ.ค. 2555, 13:27:51 น.

จำนวนการเข้าชม : 2791





<< ยกที่ 57 วอน   ยกที่ 59 รักเกินตัดใจ >>
หมีสีชมพู 1 ธ.ค. 2555, 18:34:24 น.
รออ่านต่อค่ะ


mallow 1 ธ.ค. 2555, 19:28:19 น.
มาส่งเสียงค่ะว่ายังอยู่แต่ไม่ค่อยได้เข้าบ่อย แต่ยังคอยตามอยู่ค่ะ คิดถึงเช่นกันค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account