คานน้อย คอยรัก (จบแล้วค่ะ)
คานน้อย คอยรัก

ในลักษณ์นั้นว่าประหลาด…………….คนบนคานนั้นว่าน่าประหลาด
เป็นเชื้อชาตินักรบกลั่นกล้า…………...เป็นเชื้อชาตินักรักผู้หาญกล้า
เหตุไฉนย่อท้อรอรา…………………..เหตุไฉนย่อท้อรอเวลา
ฤาจะกล้าแต่เพียงวาที…………………ฤาไม่กล้าบอกรักใครสักที

เห็นแก้วแวววับที่ดับจิต…………………เห็นคานแก้วแวววับสดับจิต
ใยไม่คิดอาจเอื้อมให้ถึงที่……………...ใยไม่คิดปีนไปให้ถึงที่
เมื่อไม่เอื้อมจะได้อย่างไรมี……………อย่ามัวรอจงขึ้นมาเร็วรี่
อันมณีฤาจะโลดไปถึงมือ………………บนคานนี้มีรักให้ฝึกปรือ

อันของสูงแม้ปองต้องจิต………………..คานเราสูงไม่เป็นรองของใครอื่น
ถ้าไม่คิดปีนป่ายจะได้ฤา………………..อย่าได้ขืนลงไปให้เสียชื่อ
มิใช่ของตลาดที่อาจซื้อ………………….มิใช่ทองตามตลาดที่อาจซื้อ
ฤาแย่งยื้อถือได้โดยไม่ยอม……………..เพราะเราถือความพอใจจึงลงไป

ไม่คิดสอยมัวคอยดอกไม้ร่วง……………ไม่คิดสอยมัวคอยให้คานทับ
คงชวดดวงบุปผาชาติสะอาดหอม………..รอให้ดับคาคานหรืออย่างไร
ดูแต่ภุมรินเที่ยวบินตอม…………………..ฤาต้องคอยรักแท้จนแก่ใช่ไหม
จึงได้ออมอบกลิ่นสุมาลี…………………..เกาะคานน้อยคอยรักต่อไป
…………………..........จนกว่าจะเจอคนที่ใช่…ใช่ไหมคาน………………
(อ้างอิงกลอนจากบทละครเรื่องท้าวแสนปม)

มาดูเหตุผลของคนที่ยังไม่ลงจากคานกันค่ะ...
อาจจะมีเหตุผลมากมายที่ไม่อยากลงจากคาน
หรืออาจมีเพียงแค่หนึ่งเหตุผลง่ายๆก็คือ...

...ไม่ใช่คนที่ใช่ก็ไม่ใช่...

หรือว่า

...โดนข้อหาหลายใจ เพราะเคยมีแฟนหลายหน...

หรืออาจเป็นเพรา

...เขาบอกให้รอ เราก็รอ...

หรือจริงๆแล้ว

...ขออยู่รอคนสุดท้ายคนนั้นได้ไหม...

หรือลึกลงไป

...กำลังรอเจ้าชายในฝันอยู่อย่างอดทนได้ทุกอย่าง...

หรือกำลังปลอบใจตัวเองว่า

...ครึ่งหนึ่งของฉันยังมาไม่ถึง...ซึ่งสักวันเขาจะมาอยู่ข้างกัน...

หรือกำลังหลอกตัวเองด้วยการปกปิดว่า

...ไม่หวั่นไหว หัวใจไม่ปรารถนา...

ทั้งๆที่จริงๆแล้ว

...อยากรัก อยากฝัน แต่เพราะกลัว ก็เลยไม่กล้ารักใคร...

หรือว่าอาจจะเป็นเหตผลสุดท้ายที่ไม่ค่อยมีใครกล้ายอมรับดังๆว่า

...ไม่เคยมีใครมาจีบ ไม่มีใครสน เรามันคนธรรมดาๆ...

แต่ไม่ว่าจะเหตุผลใด...

เราก็ยังหวังและยังคงรอคอยปาฏิหาริย์ว่าจะได้เจอคนที่ใช่ในสักวัน...


Tags: ดราม่า หวานซึ้ง อบอุ่น หมอรัง สิ้นรัก วายุ ปองขวัญ

ตอน: ยกที่ 59 รักเกินตัดใจ

ยกที่ 59 รักเกินตัดใจ

“ทำไมต้องทำหน้าไม่พอใจด้วย…”พสุธกล่าวอย่างเหลืออด
หลังจากอดทนมาตลอดตั้งแต่อยู่ต่อหน้าพี่สาวจนกระทั่งขับรถพาเธอกลับบ้าน
เมื่อถึงห้องเขาก็เลยต้องเคลียร์ให้รู้เรื่อง…

“บอกมาสิว่าทำไม…”พสุธรั้งบ่าพันทิวาเมื่ออีกฝ่ายพยายามเลี่ยง
โดยการเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบชุดนอนขึ้นมาเตรียมจะเข้าห้องน้ำ…

“ฉันเหนื่อย อยากอาบน้ำเข้านอน…”พสุธไม่ยอมปล่อยอีกฝ่าย
ที่พยายามเลี่ยงไม่ยอมตอบเหตุผลง่ายๆ พันทิวาเริ่มรู้สึกไม่พอใจ
จนแสดงออกทางสีหน้าท่าทางชัดเจน…

“อย่าหาเรื่องทะเลาะจะได้มั้ย…”

“ก็เธอบอกเหตุผลมาสิว่าทำไมต้องไม่พอใจด้วย แค่ฉันบอกพี่น้ำว่า
อยากมีลูก เธอถึงกับทำหน้าไม่พอใจ หรือเธอไม่อยากมีลูกกับฉัน…
อยากมีกับคนอื่นงั้นสิ…ฝันไปเถอะว่าฉันจะยอม…”

“เผียะ…”พันทิวาเหลืออดจนฟาดหน้าพสุธให้หายแค้นใจไปหนึ่งฉาด
แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงลอดไรฟันออกมาว่า

“ดูถูกฉันเกินไปแล้ว…นายเห็นฉันเป็นอะไร…แม่วัวรึไง…
นี่ถ้าย้อนเวลากลับไปได้…ฉันจะไม่มีวันยอมแต่งงานกับนายเด็ดขาด…ฉันไม่น่า…”
พันทิวาพูดด้วยอารมณ์กรุ่นๆที่โดนเขาดูถูกเมื่อครู่

“ไม่น่าอะไร…”พสุธลูบแก้มที่เพิ่งถูกตบไปหมาดๆ
ขณะจ้องอีกฝ่ายตาเขม็ง พันทิวาเห็น แต่เธอรึจะกลัว…จึงโพล่งออกไปว่า

“ก็ไม่น่าเอานายมาเป็นสามีน่ะสิ…”พสุธถึงกับโกรธหน้าแดง
กับแววตาท่่าทางและคำพูดของพันทิวาที่เหมือนจะดูหมิ่นเขา

…เธอไม่เคยรู้เลยว่าเขาเหนื่อยล้าและท้อแท้แค่ไหนที่ต้องต่อสู้กับความรัก
ที่เธอมีให้กับพี่ชายของเขา เหมือนหยดน้ำที่พยายามราดรดลงไปบนผืนทราย
ที่ซึมผ่านไปแห้งแล้งเหลือเกิน

…ไม่รู้ว่าเขาต้องรออีกนานแค่ไหนถึงจะเติมใจเธอจนเต็มสักที…
เพราะสิ่งที่เธอให้คืนกลับมามีแต่ความว่างเปล่า…จนเขารู้สึกเหนื่อยล้ากับการทุ่มเท…

รักข้างเดียวมันเหน่ือยหัวใจอย่างนี้นี่เอง…

“ทำไมล่ะ…สามีอย่างฉันมันยังไง…มันเติมให้เธอไม่เต็มรึไง
เคยแคร์หัวใจฉันบ้างมั้ย…เธอเคยเห็นใจฉันบ้างมั้ยว่ามันรู้สึกยังไง…

ทำดีด้วยเท่าไหร่ เธอก็ไม่เคยรู้สึกอะไรเลยใช่มั้ย…กลับไปรักคนอื่น…
รักเข้าไปสิไอ้คนที่เขาไม่เคยรักเธอน่ะ…รักเข้าไปสิ…รักเข้าไป…”

พสุธเขย่าบ่าทั้งสองของพันทิวาจนศีรษะของเธอส่ายไปมา…

“นายเองก็เลิกรักซะสิ เลิกรักคนที่เขาไม่เคยคิดจะรักนายซะสิ…
จะรักทำไมคนที่เขาไม่คิดจะรักนาย…จะมัวทนอย่างนี้ไปทำไม…
ทำไมไม่เลิกรักไปซะที…”

เท่านั้น พสุธถึงกับหยุดกึก จ้องแววตาหญิงสาวตรงหน้านิ่งราวกับค้นใจเธอ
ให้แน่ว่าสิ่งที่เธอพูดมานั้น เธอพูดจากใจหรือแกล้งประชดประชันเขาเท่านั้น…

“คิดว่ามันง่ายนักรึไงกับการตัดใจจากใครสักคน…ถ้าง่ายนัก นายก็ทำให้ดูเลยสิ…
ที่แท้นายมันก็ขี้ขลาดตาขาวเหมือนกันนั่นแหล่ะ”

เสียงนั้นราวกับท้าทายและเย้ยหยันในคราวเดียวกัน…

“ปล่อย…”พันทิวากัดฟันข่มความเจ็บเมื่ออีกฝ่ายบีบบ่าทั้งสองข้างของเธอเสียแน่นหนัก
จนกระดูกแทบหักแหลกคามือเขา…

“นี่ใช่มั้ย เหตุผลที่เธอไม่อยากมีลูกกับฉัน…”

พสุธหัวเราะฮึๆในลำคอราวกับเย้ยหยันตัวเองที่สู้อุตส่าห์เอาใจเธอมาตลอด

…แล้วดูเธอพูดออกมา แต่ละคำสิ…มันเกินใจจะอดทนไหว…
ทุกถ้อยคำมีแต่ทำร้ายหัวใจเขาทั้งนั้น

เหนือกว่าถ้อยคำก็คือแววตาว่างเปล่าที่เธอมองเขาตอนนี้…

“แต่ฉันไม่สนใจหรอก…ถ้าฉันอยากจะได้ ใครก็ห้ามไม่ได้…
ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็เอาด้วยกำลังมันนี่แหล่ะ”

จบคำพันทิวาก็ถูกผลักไปบนเตียงนอนสุดแรงจนหน้าคะมำกับพื้นเบาะ
พสุธถอดเสื้อตัวเองโยนทิ้งอย่างไม่แยแสก่อนจะโถมกายเข้าหาหญิงสาว
ที่พยายามหลีกหนีรสสัมผัสที่เธอแน่ใจว่ามิอาจต้านทานได้…

และก็เหมือนที่ผ่านมา เธอแพ้หมดรูปอีกตามเคย…

ปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจด้วยใจจำยอม…เพราะศึกด้านนี้
เธอยอมรับว่าเธอกับเขากระดูกคนละเบอร์…เขาเหนือกว่่าเธอทุกท่าที…

“จะเต็มใจหรือไม่เต็มใจ ฉันก็จะทำอย่างนี้จนกว่าเธอจะมีลูกให้ฉัน
หลังจากนั้นจะไปไหนก็ไป จะจมปลักรักใครก็เชิญ…
แต่ถ้ายังให้ฉันไม่ได้เธอก็ต้องเป็นแม่วัวอยู่ออกลูกให้ฉันต่อไปจนกว่าจะได้ลูก…”

พสุธกล่าวเสียงขรึมขณะผละออกจากหญิงสาวเมื่อเสร็จกิจ
หยิบกางเกงขึ้นมาสวมพลางมองหาเสื้อของตัวเอง…

…ในเมื่อไม่เคยคิดจะรักเขาอย่างที่พูดมา
เขาก็ไม่บ้าพอที่จะรักเธอให้เหนื่อยหัวใจอีกต่อไปแล้ว…

เมื่ออยู่กันแบบสามีภรรยาหวานชื่นไม่ได้ ก็อยู่มันแบบขมๆแบบนี้แหล่ะ

…คิดซะว่าหวานเป็นลมขมเป็นยา…

ความพยายามที่จะเติมน้ำตาลให้เธอวันละนิด มันหมดสิ้นลงไปแล้ว
เพราะไม่ว่าจะเติมยังไงก็มีแต่จะรั่ว…ในเมื่อรอยรั่วนั้นเจ้าของไม่เคยคิดจะช่วยปิดมันเลย
มีแต่จะเปิดอ้ารอความรัก รอเศษใจเหลือๆจากพี่ชายของเขาอยู่ทุกเช้าค่ำ

…เธอคงคิดว่ายังมีหวังเพราะพี่ชายของเขายังไม่แต่งงาน…
ถึงได้ตั้งหน้าตั้งตาคอยชะเง้อชะแง้รอเศษใจจากพี่ชายของเขาอยู่อย่างนี้

…ยิ่งคิดยิ่งเจ็บใจ…

เขามันไม่ดีตรงไหน ทำไมเธอถึงไม่รักกันบ้าง…

เคยคิดจะอุดรอยรั่วในหัวใจเธอ แต่บัดนี้เขาเหนื่อยเกินกว่าจะทำอีกแล้ว

เพราะคนไม่รักก็คือไม่รัก…ทำไงก็คงไม่รักอยู่ดี…ยิ่งฝืนก็ยิ่งเสียใจเปล่าๆ

“ฝันไปเถอะ…นายไม่วันได้ในสิ่งที่นายต้องการหรอก…
เพราะฉันจะทำลายทุกอย่างที่มาจากนายให้หมด…แบบนี้ไง…”

ไม่พูดเปล่าพันทิวาปาตุ๊กตาของพสุธที่ทำจากเซรามิกซึ่งวางอยู่บนหัวเตียง
กระแทกหน้าผากของพสุธแม่นราวกับจับวางด้วยความคับแค้นใจ
และด้วยอารมณ์คลุ้มคลั่งจนขาดสติในการควบคุม

ชายหนุ่มกุมหน้าผากตัวเองเมื่อรู้สึกถึงความชาหนึบ
ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเจ็บจี๊ดๆ แววตาดำสนิทจ้องพันทิวานิ่งยิ้มเย็น
เมื่อเห็นรอยเลือดเต็มฝ่ามือของตัวเอง
แถมมันยังไหลลงเป็นทางบนใบหน้าของเขาจนรู้สึกได้…

พันทิวารู้สึกหนาวขึ้นมาเมื่อสบแววตาที่จ้องมองเธอ

“ฉันมันบ้าไปเอง ที่รักผู้หญิงหัวใจรั่วอย่างเธอ…”

พูดจบพสุธก็เดินไปหยิบผ้าเช็ดหน้าตรงลิ้นชักแล้วกดแผลเอาไว้
ก่อนจะเดินออกจากห้อง ปิดประตูดังปั้งด้วยแรงโทสะ
เดินลงไปยังด้านล่างเพื่อหาอุปกรณ์ทำแผล…

พันทิวามองตามแผ่นหลังที่เดินจากไปด้วยความรู้สึกโหวงเหวง
ความรู้สึกห่วงใยผุดขึ้นมาเมื่อเห็นเลือดของคนที่เธอเพิ่งทำร้ายไปไหลลงมาเป็นทาง…

หากทิฐิที่มีมากกว่าสั่งให้เธอนั่งนิ่งๆบนเตียงต่อไป…
พลางมองหาเสื้อผ้าของเธอที่ถูกเขาถอดโยนทิ้งไปว่าอยู่ตรงส่วนไหนของห้อง
แล้วก็ต้องลอบถอนใจเมื่อเห็นมันถูกโยนทิ้งเกลื่อนห้องไปคนละทิศละทาง…

เธอแทบไม่เหลืออะไรให้ภูมิใจอีกแล้ว
สิ่งที่หวงแหนมานานถูกเขาย่ำยีซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างได้ใจและเอาแต่ใจ…

เขาบอกว่ารักเธอ แต่การกระทำของเขามันไม่ต่างกับเขากำลังเห็นเธอเป็นแค่แม่วัวตัวหนึ่ง

…เวลานี้ แม้แต่หัวใจก็ไม่เหลือ เธอไม่กล้าปักใจรักใครอีกแล้ว
เพราะมันเหนื่อยและเจ็บปวดทรมาน…

ทรมานกายและใจจนไม่อยากทรมานแบบนี้อีก…


พันทิวามองไปยังประตูห้องอีกครั้งเมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบหายไปนาน…
ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีจึงสั่งให้เธอทำตามหัวใจ

หญิงสาวจึงผุดลุกขึ้นเพื่อลงไปหยิบเสื้อผ้ามาสวมใส่แล้วลงไปดูเขา
ที่คงจะทำแผลอยู่ข้างล่าง…ทว่าเมื่อย่างเท้าลงบนพื้นห้องเท่านั้น
เสียงร้องครางของหญิงสาวก็ดังขึ้นด้วยความเจ็บปวดตรงฝ่าเท้าข้างขวา
เมื่อก้มลงดูจึงเห็นเศษกระเบื้องเซรามิกของตุํกตาที่เธอปาใส่พสุธ
ตกแตกอยู่จนตำเท้าเธอเข้าให้

…เหมือนเป็นกรรมของเวรที่ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว…
หญิงสาวสูดปากดังซีดๆด้วยความเจ็บแปลบตรงแผลสด…

ก่อนจะค่อยๆเขย่งเท้าอย่างระวังเพื่อหาผ้าสะอาดๆมาพันเท้าห้ามเลือด
ที่กำลังไหลไม่หยุด…แต่เพียงขยับเท้าเท่านั้น ความเจ็บปวดก็แล่นแปล้บเข้าใส่ทันที

สงสัยแผลคงจะลึกน่าดู เพราะเมื่อครู่เธอทิ้งน้ำหนักมากไปนิด

พันทิวาจึงกัดฟันข่มความเจ็บ ให้กำลังใจตัวเองว่าแผลแค่นี้ถือว่ายังน้อยนัก
สำหรับนักมวยเหรียญทองอย่างเธอ…ทว่ายังมิทันได้ก้าวเท้าไปไหน
ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง

พันทิวามองไปยังประตูห้องก็พบกับพสุธที่ตอนนี้มีผ้าพันแผลแปะอยู่
บนหน้าผากเป็นที่เรียบร้อยแล้ว…

ชายหนุ่มมองมายังเธอแล้วเดินเข้ามาใกล้ๆ
พันทิวานั่งลงบนเบาะกระเถิบเท้าหนีไปเรื่อยๆ
จนเลือดหยดไหลลงเป็นทางไปตามพื้นห้อง

พยายามไม่ใส่ใจเขาในขณะที่คว้าผ้าห่มขึ้นมาปิดกายที่กำลังเปลือยเปล่าเอาไว้
เพราะใจนึงที่นึกอาย อีกใจก็นึกกลัวว่าเขาจะสมน้ำหน้าเธอ…

ทว่ากลับไม่เป็นดังคาด…พสุธเดินเข้ามาใกล้แล้วทรุดเข่่าลงตรงหน้าเธอ
พลิกฝ่าเท้าของเธอขึ้นมาสำรวจดูแผล แล้วดึงเศษกระเบื้องที่ปักอยู่บนฝ่าเท้าของเธอออก

พันทิวากัดปากแน่นไม่ให้ส่งเสียงร้องออกมา
น้ำตาไหลลงยังหางตานิดนึงด้วยความเจ็บ…

ชายหนุ่มเอาแต่ก้มหน้าก้มตาไม่พูดหรือถามไถ่สิ่งใด
นอกจากลุกขึ้นหยิบผ้าเช็ดหน้าในลิ้นชักออกมาแล้วพันเท้าเธอเอาไว้เพื่อห้ามเลือด

หลังจากนั้นก็เดินลงไปยังข้างล่าง กลับมาอีกทีก็มีกระเป๋าอุปกรณ์ทำแผลติดมือมาด้วย…

พสุธล้างแผลและสำรวจให้แน่ใจว่าแผลนั้นจะไม่ลึกเกินไป
เพราะถ้าลึกมากเขาคงต้องพาเธอไปเย็บบาดแผลที่โรงพยาบาล

และเท่าที่ดูแผลนั้นค่อนข้างลึกใช้ได้…เขาจึงพันแผลให้เธอเอาไว้
เพื่อไม่ให้โดนน้ำ ตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะพาไปพบหมอเพื่อดูแผลให้แน่ใจ…

พสุธช้อนตาขึ้นมองคนที่นั่งนิ่งๆอยู่นิดนึง
แล้วก้มลงเช็ดคราบเลือดรอบๆบาดแผลของเธอจนสะอาด
ก่อนจะลุกขึ้นหยิบขวดยาแล้วส่งยาแก้ปวดให้เธอไปหนึ่งเม็ดพร้อมแก้วน้ำ…

พันทิวามองคนตรงหน้าด้วยแววตาลังเลที่จะรับมา
พสุธเห็นท่าทีนั้นของเธอจึงวางแก้วน้ำกับยาเอาไว้บนโต๊ะ
แล้วนำอุปกรณ์ทำแผลไปเก็บไว้เข้าที่ยังด้านล่าง…

กลับมาอีกครั้งพร้อมไม้กวาดกับที่โกยขยะ…เริ่มจัดการกับตัวต้นเหตุ
ที่ทำให้เขาหัวร้างข้างแตกและเธอที่เจ็บฝ่าเท้าจนเดินไม่คล่อง…

พันทิวามองภาพเหล่านั้นด้วยหัวใจที่สั่นไหว…ยิ่งเมื่อเขาช้อนตาขึ้นมองเธอเพียงนิด
ความหวั่นไหวในหัวใจก็เริ่มก่อตัวจนเธอต้องหลบสายตานั้นแล้วก้มหน้างุด
ค่อยๆล้มตัวลงนอนตะแคงข้างกอดผ้าห่มเอาไว้แน่น

…สักพักเสียงตะกุกตะกักของเขาก็เงียบลง ต่อจากนั้นเสียงประตูห้องก็ถูกปิดและถูกเปิดอีกครั้ง…
พร้อมการมาของเขาที่เสียงเดินมาหยุดอยู่ตรงกลางเตียงนอน…
ก่อนจะรู้สึกถึงการยุบตัวของที่นอนข้างๆกายเธอ

พันทิวาใจสั่นเมื่อรู้ว่าเขานอนลงข้างๆเธอ…
หญิงสาวไม่ยอมหันกลับไปมอง ได้แต่นอนกอดผ้าห่มอยู่อย่างนั้น

ไร้เสียงเจรจานอกจากความเงียบกับเสียงลมหายใจของกันและกัน…

พสุธยกมือก่ายหน้าผากมองเพดานห้องนิ่ง…
รู้ตัวว่าเขาคงตัดใจไม่ไหวไม่ให้รักเธอ…แค่เห็นเธอเจ็บนิดเดียว
ไอ้ที่ตั้งใจจะทำก็ทำไม่ไหว เขาทิ้งเธอไปไม่ลง…

ทั้งๆที่รู้ว่าเจ็บช้ำเพราะรักเธอ แต่แล้วทำไมตอนนี้ถึงไม่คิดจะจากไป…

ทำไมถึงเกลียดเธอไม่ลง ไม่เข้าใจว่าเขาต้องมนต์อะไร
ถึงได้รักเธอไม่เลิกอยู่อย่างนี้ ทั้งๆที่เธอใจร้าย ไม่เคยแคร์เขาสักนิด
แต่เขากลับยังรักและแคร์เธอ

…เพียงแค่คิดจะตัดใจเลิกรักเธอ หัวใจก็สั่นหวั่นไหว ตัดใจไม่ลงสักที…

พสุธเหลือบมองคนที่นอนหันหลังให้เขานิดนึง อยากจะดึงเธอเข้ามากอดเอาไว้แต่กลับไม่กล้า

…กลัวว่าเธอจะผลักใสด้วยความรังเกึยจ…

เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นเขาคงทำใจไม่ได้…
ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเอาแต่วิ่งตามก้นผู้หญิงที่ไม่สนใจตัวเองแบบนี้ด้วย

…อย่างเขาน่ะหาผู้หญิงข้างกายที่พร้อมและยินดีจะทำตามใจเขาสักกี่คนก็ย่อมได้…

เขามันบ้า บ้าไปแล้วจริงๆที่รักผู้หญิงหัวแข็ง ปากร้าย และมีพิษสงร้ายกาจ
อย่างยัยแมงมุมสารพัดพิษที่นอนอยู่ข้างๆเขา

…พิษของเธอคั่งทรวงจนยากจะหายาถอนพิษดังกล่าวได้
เพราะพิษสวาทจากเธอทำเอาเขาคลั่งไคล้ ตัดไม่ขาด ไปไหนไม่รอด
ตัดรอนถอนพิษไม่หาย เหมือนตายไปแล้วทั้งเป็น…

เรือนร่างที่ไร้ที่ติตรึงกายและใจของเขาเอาไว้ไม่ให้ไปไหนยามได้มองและสัมผัส
เขาไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำว่าผู้หญิงอย่างเธอจะมีเสน่ห์มัดใจเขาได้มากมายขนาดนี้

…แต่ยิ่งได้สัมผัสก็ยิ่งทึ่ง…เธอทำให้เขาลืมผู้หญิงคนอื่นได้หมดทุกคน…
จนอยากหยุดหัวใจรังทัง โลเลและเจ้าชู้ของตัวเองเอาไว้ที่เธอเพียงผู้เดียว

…แค่เธอจะรักเขาบ้าง…มองเขาด้วยแววตาที่ใช้มองพี่ชายของเขาบ้างเท่านั้น…




เมื่อแสงแรกโผล่พ้นขอบฟ้า นกน้อยใหญ่บินออกจากรัง ส่งเสียงทักทายกันในยามรุ่งสาง
พันทิวาค่อยๆลืมตาตื่นก็พบว่าตัวเองกำลังนอนกอดคนข้างกายเอาไว้เสียแน่น…

หญิงสาวมองดวงหน้าของเขาก่อนจะเตะตากับผ้าพันแผลตรงหน้าผากนั่น
ความทรงจำเมื่อคืนโผล่เข้ามาทักทาย
จนทำให้รู้สึกปวดหนึบตรงฝ่าเท้าของตนขึ้นมาเมื่อเริ่มขยับดู…

คนตรงหน้าเธอก็คงเจ็บไม่น้อยไปกว่าเธอเช่นกัน…

หญิงสาวมองใบหน้าที่แสนคุ้นเคยนั้นนิ่งนานจนเผลอยกมือขึ้นแตะตรงผ้าพันแผลนั้นอย่างลืมตัว…
คราบเลือดตรงหางคิ้วดกดำยังคงทิ้งรอยเอาไว้เด่นชัดบนใบหน้าขาวเกลี้ยงเกลาของเขา…

พันทิวาจึงเกลี่ยออกให้อย่างเบามือที่สุด…

พสุธลืมตาขึ้นแอบมองแววตาที่กำลังจดจ้องอยู่ตรงแผลของเขากับการกระทำนั้นของเธอ
แล้วลอบยิ้มนิดนึง…

พันทิวารู้สึกเหมือนถูกจ้องจึงเหลือบตาลงต่ำ
ก็พบกับแววตาคมวาวที่กำลังจดจ้องเธออยู่ หญิงสาวชะงักตกใจ ก่อนจะขยับกายผละออก
หากพสุธกลับกระชับอ้อมแขนของตนแน่นขึ้น…
แล้วจุมพิตลงบนหน้าผากของหญิงสาวหนักๆ…

หลังจากนั้นก็ค่อยๆเลื่อนจมูกลงมาแล้วพักจมูกโด่งของตนเอาไว้ตรงปลายจมูกของอีกคน
แล้วกอดร่างบางนุ่มนิ่มไร้อาภรณ์ใดๆใต้ผ้าห่มนั้นเอาไว้แนบกายไม่ยอมให้ห่างหนี

…ไม่ได้กอดหัวใจ ก็ขอได้กอดกายเอาไว้อย่างนี้ก็ยังดี…
ขอแค่มีเธอเอาไว้ให้กอดและคิดถึงเวลาเหงาก็พอ…

“ฉันเข้าใจเธอ และจะไม่ขอให้เธอลืมคนที่เธอไม่อาจลืม…
เพราะมันก็เป็นเหมือนที่ฉันรักเธอ…รักจนเกินจะตัดใจ…”

ถ้อยคำดังกล่าวทำเอาหัวใจของคนฟังถึงกับชา วาบไหว
สำเหนียกได้ถึงความจริงจังมั่นคงในน้ำเสียงนั้น…

“ฉันขอโทษนะที่ทำนายเจ็บ…”พันทิวาพยายามกล่าวขอโทษอีกฝ่ายออกไปไม่ให้น้ำเสียงสั่น…
ราวกับต้องมนต์ความกรุ่นโกรธในใจของพสุธก่อนหน้านี้มลายหายไปกับถ้อยคำนั้นของพันทิวา

…ริมฝีปากหนาคลี่ยิ้มก่อนจะค่อยๆบรรจงจุมพิตลงไปบนริมฝีปากบางอย่างรักใคร่สิเน่หา
พันทิวาตอบรับสัมผัสนั้นด้วยความเต็มใจ…

บางครั้ง…เราก็ยอมทำทุกอย่างเพื่อคำว่ารัก…

ใครไม่เจอะกับตัวก็ไม่มีวันรู้ว่าคนที่ยอมเจ็บยอมทุ่มเททั้งๆที่ไม่ได้อะไรกลับคืนมา
เหมือนเหนื่อยเปล่า…สู้อดทนให้เสียเวลานั้นเพื่ออะไร…

เขาเข้าใจแล้วว่าที่เขาทำไปทั้งหมดนั้นเพื่อคำว่ารัก เพื่อเธอ…

และสิ่งที่ทำให้ยอมสู้ทนอยู่กับคนที่ไม่ได้มีหัวใจให้เลยก็คือความหวัง…

พันทิวาเองก็คงหวังอยู่ลึกๆว่าพี่เพลิงจะหันมารักเธอในสักวันเช่นกัน…

เราจึงไม่อาจรู้ได้เลยว่าท้ายที่สุดแล้วใครจะสมหวัง…
หากสิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ก็คือหวังต่อไปเรื่อยๆ…

เพราะหลายครั้งเขารู้สึกเหมือนเธอมีใจให้เขาอยู่บ้าง เนื่องจากสิ่งที่เธอทำให้เหมือนเธอมีใจให้เขา

ทว่าบางครั้ง แววตาของเธอว่างเปล่าเหมือนไม่มีเขาอยู่ในนั้นเลย…
เขายอมรับว่าเขาดูไม่ออกเลยว่าเธอคิดอย่างไรกับเขากันแน่

“เธอมีใจให้ฉันบ้างมั้ยพันทิวา…”

พสุธเอ่ยขึ้นเมื่อถอนริมฝีปากออก แม้ไม่กล้าเรียกร้องอะไรมากมายจากเธอ
แต่เขาก็อดถามออกไปไม่ได้

พันทิวาก้มหน้าหลุบตาต่ำ ได้แต่นิ่งเงียบ…พสุธจึงเชยคางนั้นขึ้นมาสบตาหญิงสาวนิ่ง

…ตาใสๆแบบนี้มีอะไรซ่อนอยู่บ้างนะ เขาไม่กล้าเดาเลย เพราะกลัวคำตอบที่ซ่อนอยู่ในนั้น…

“ช่างเถอะ…ฉันไม่อยากรู้แล้ว…”พสุธตัดบทก่อนจะแตะริมฝีปากลงบนริมฝีปากบางนั้น
เพื่อเปิดปากที่กำลังเม้มแน่นนั้นให้คลี่ออก

แล้วจึงบรรจงจูบเบาๆอย่างเอาใจจนพันทิวาลืมตัวเผลอใจไปกับเขาอีกจนได้






“จะไปไหนกันเหรอดิน…ทานข้าวเช้าด้วยกันก่อนสิ…”ตะวันถามน้องชาย
ท่ีประคองร่างของพันทิวาลงจากบันไดแล้วมาหยุดยืนอยู่ข้างโต๊ะอาหาร

“แล้วนี่เกิดอะไรขึ้น หัวเรากับเท้าน้องมุมไปโดนอะไรมา…”อากิโกะถาม
ด้วยน้ำเสียงห่วงใยทั้งสอง…ตะวันเองก็กะจะถามอยู่เช่นกัน

“ไม่มีอะไรหรอกครับ อุบัติเหตุนิดหน่อย…”คนเป็นน้องหน้าเจื่อน
ขณะที่ตอบ ส่วนพันทิวาได้แต่ยิ้มเฝื่อน พสุธจึงประคองเธอนั่งลงบนเก้าอี้
ก่อนจะนั่งลงข้างๆ…มองหาหลานๆแต่กลับไม่เจอ

“เจ้าแฝดกับพี่รักล่ะครับ…”

“ยังไม่ลงมาเลยจ๊ะ…สงสัยจะยังอาบน้ำแต่งตัวไม่เสร็จ…
วันนี้คุณป๋าจะมารับไปเที่ยวด้วย…”อากิโกะตอบพลางมองสีหน้า
ของน้องสะใภ้ที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก

“ไม่สบายรึเปล่าน้องมุม ทำไมหน้าซีดๆจัง…”น้ำเสียงนั้นทำให้พสุธ
รีบก้มลงมองสำรวจหน้าของคนข้างกายทันที ก่อนจะตกใจ
เพราะก่อนหน้านี้เขายังเห็นเธอดีๆอยู่เลย

…ไวเท่่าความคิด พสุธยกมือขึ้นอังหน้าผากหญิงสาวทันที…

“มีไข้นิดหน่อยครับ สงสัยแผลจะติดเชื้อ…”
พสุธสรุปความเสร็จก็รึบลุกจากโต๊ะอาหารทันที…

“จะพาน้องมุมไปโรงพยาบาลเหรอ…พี่ว่าคงไม่ต้องหรอกจ๊ะ…
วันนี้คุณหมอจะมาเยี่ยมบ้านเราถึงสองคน…เดี๋ยวพี่จะโทรเคลียร์ให้
หมอรังกับหมอปองจะได้เตรียมอุปกรณ์มาด้วย”อากิโกะกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ
ก่อนจะแนะนำน้องชายและน้องสะใภ้ว่า

“พี่ว่าเราพาน้องมุมขึ้นไปพักผ่อนดีกว่า เดี๋ยวพี่จะยกข้าวต้มขึ้นตามไป”
พสุธจึงประคองพันทิวาให้ลุกขึ้นแล้วยกร่างเธอขึ้นอุ้ม

“ไม่เป็นไร ฉันเดินเองได้…”พันทิวาขัดขืนเสียงแข็ง ใบหน้าแดงกล่ำ
ด้วยความเขินอายที่กลายเป็นเด็กให้คนอื่นอุ้ม…

“อย่าดื้อสิ เธอกำลังไม่สบายและเจ็บเท้าอยู่นะ…”

พสุธกล่าวพลางพาหญิงสาวขึ้นห้องไปท่ามกลางสายตาของอากิโกะและตะวัน
ที่มองตามไปด้วยแววตาห่วงใย

ตะวันนั้นได้แต่ลอบถอนใจ เพราะคนห้องข้างอย่างเขาได้ยินทั้งสองทะเลาะเสียงดัง
และปาข้าวของกันแทบทุกคืน…หลักฐานบนหน้าผากของน้องชาย
กับที่ฝ่าเท้าของพันทิวาบอกเขาได้ดีว่า ทั้งสองทะเลาะกันรุนแรงแค่ไหน…

“คนหัวแข็งทั้งคู่มาเจอกัน…มันก็ต้องมีทะเลาะเลือดตกยางออกกันบ้างเป็นธรรมดาค่ะพี่เพลิง…
เหยี่ยวหวังลึกๆนะคะว่าทั้งสองจะค่อยๆปรับตัวเข้าหากันได้…
และครองคู่กันอย่างมีความสุขได้ในที่สุด…

เพราะเท่าที่ดู เหยี่ยวว่าเจ้าดินดูรักใคร่เป็นห่วงน้องมุมอยู่ไม่น้อยเลยนะคะ
นอกจากยัยฟ้าแล้วก็ไม่เห็นเจ้าดินเคยโอ๋ใครเท่านี้มาก่อน…”

ตะวันยิ้มเฝื่อน พยักหน้าเบาๆ…เขาก็หวังให้เป็นเช่นนั้น…

เพราะการอยู่กินกันโดยไม่ได้มีพื้นฐานมาจากความรักมาก่อนนั้น
มันไม่ง่ายอย่างคนสมัยก่อน…ยิ่งทะเลาะกันรุนแรงถึงกับหัวร้างข้างแตกเช่นนี้…
เห็นแล้วเขายิ่งกลุ้มใจแทน…ทว่าพอหันกลับมามองคู่ของตัวเขาเอง
ระหว่างเขากับตามตะวันก็ใช่ย่อย…ก่อนหน้านี้ก็เคยทะเลาะกัน
จนแทบฆ่ากันได้ด้วยซ้ำไป…กว่าจะรู้ใจกันและกันก็เกือบสาย…

“แปลกอยู่อย่างนะคะพี่เพลิง คนอื่นน่ะถ้าทะเลาะกันหัวร้างข้างแตก
ตบกันด่าทอกันขนาดนี้มีหวังเลิกคบกันไปแล้ว แต่คนเป็นผัวเมียกัน
ต่อให้ทะเลาะกันขนาดไหน เดี๋ยวเดียวก็กลับมาคืนดีกันได้แล้ว…

เป็นคนอื่นคงมองหน้ากันไม่ติดไปแล้วล่ะค่ะ…เหมือนลิ้นกับฟัน
อยู่ใกล้กันก็ต้องมีกระทบกระทั่งกันบ้าง ถึงจะเป็นคู่กัดแต่อย่างไรก็คู่กันอยู่ดี…”

ถ้อยคำนั้นทำให้ตะวันรู้ได้ทันทีว่าน้องสาวของเขา
ก็ได้ยินเสียงทะเลาะของน้องชายกับน้องสะใภ้เช่นกัน…

“แล้วเราว่าสองคนนั่น ใครเป็นลิ้น ใครเป็นฟันล่ะ…”อากิโกะยิ้มกว้าง
กับถ้อยคำเชิงกระเซ้าของพี่ชายคนโต…

“นั่นน่ะสิคะ…เพราะถ้าใครเป็นลิ้น มีหวังเสียเปรียบฟัน
เพราะคงต้องเป็นฝ่ายเจ็บตลอด แต่เท่าที่เห็น เจ็บทั้งคู่นี่คะ…”

เสียงหัวเราะของทั้งสองจึงดังขึ้น เพราะลึกลงไปในความเป็นห่วงคู่กัดที่เพิ่งลับหลังไปนั้น

ความเอ็นดูและความน่่ารักของทั้งคู่ก็ยังมีอยู่ให้เห็นเช่นกัน

…มันเป็นธรรมดาของคนที่เป็นสามีภรรยากัน
ที่จะให้หวานชื่นตลอดนั้นคงเป็นไปได้ยาก

นี่ขนาดยังไม่มีลูกยังทะเลาะกันปานนี้ มีลูกแล้วจะเป็นอย่างไร…ก็ได้แต่ภาวนาให้ทั้งคู่
ประคับประคองชีวิตคู่กันไปได้ตลอด…






“เดี๋ยวพี่จะฉีดยาฆ่าเชื้อให้นะครับ…”รังสิมันต์บอกกล่าวคนป่วย
ที่นอนซมเพราะพิษไข้บนเตียงเสียงนุ่มหลังจากที่ตรวจดูบาดแผลที่เริ่มบวม…

พันทิวาหน้าซึดขึ้นอีกเท่าตัวเมื่อได้ยินคำว่าฉีดยา

“เอ่อ…ต้องฉีดยาด้วยเหรอคะ…”รังสิมันต์ลอบยิ้มกับท่าทางนั้นของคนไข้
ที่เขาเห็นมาจนชินตา…

“ไม่เจ็บหรอกครับ เดี๋ยวนี้เข็มฉีดยารูเท่านิดเดียว และรับรองเลยว่า พี่ฉีดไม่เจ็บ
แค่รู้สึกเหมือนยุงกัดเท่านั้นเอง…”ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็อดวางใจไม่ได้อยู่ดี

…หมอน่ะชอบพูดแบบนี้ทุกที แต่พอตอนเอาเข็มทิ่มเราน่ะ…เจ็บยิ่งกว่ามดกัดซะอีก…
โตมาตั้งนานก็ไม่เคยต้องให้หมอฉีดยา…นี่แผลแค่นิดเดียว ทำไมต้องฉีดยาด้วยก็ไม่รู้

“เอ่อ…เปลี่ยนจากฉีดเป็นกินไม่ได้เหรอคะ…”พันทิวาต่อรอง
จนพสุธกับปองขวัญและสิ้นรักที่อยู่ในห้องด้วยถึงกับยิ้มขัน…

“ฉีดด้วยและก็กินด้วยครับ จะได้หายไวๆไง…
เพราะพี่จะให้ยาผ่านทางน้ำเกลือขวดเล็กขวดนี้…แล้วจะให้ยาเอาไว้กินต่อด้วย”
รังสิมันต์กล่าวขณะแขวนขวดน้ำเกลือ…

“ให้น้ำเกลือ!!!”พันทิวาตาโตมองขวดน้ำเกลือที่ห้อยต่องแต่ง
แล้วหันไปมองหน้าคุณหมอหน้าหล่อที่กำลังยิ้มที่มุมปากราวกับจะอ้อนวอน…

“ครับ…เผื่อว่าร่างกายของน้องมุมเกิดแพ้ยาที่พี่ให้…
พี่ก็เลยจำเป็นต้องให้ยาผ่านทางน้ำเกลือ จะได้ดูปฏิกิริยาตอบรับในระหว่างนั้น
หากมีอาการแพ้ยาตัวนี้ขึ้น พี่ก็จะได้เลิกให้ไงครับ…”

เสียงอธิบายนุ่มและทุ้มน่าฟังนั้นก็มิได้ทำให้พันทิวารู้สึกโล่งอกขึ้นมาได้เลยสักนิดเดียว…
เธอต้องนอนแช่มองเข็มที่กำลังทิ่มแทงตัวเองตั้งหลายนาทีเชียวนะ

…ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยต้องรับน้ำเกลือเลย

“กลัวเข็มเหรอ…”พสุธคุกเข่าลงข้างเตียงถามคนป่วยเสียงนุ่มปนขำนิดๆ
จนพันทิวารู้สึกเหมือนถูกลูบคมยังไงก็ไม่รู้…

“ใครบอก…ฉันก็แค่ไม่ชอบก็เท่านั้น…มันดูวุ่นวายเกินไป…”

“งั้นก็หลับๆตาให้พี่รังทำไปสิ...เดี๋ยวเดียวก็เสร็จแล้ว จะได้หายไวๆไง…
เดี๋ยวพี่รังต้องพาเจ้าแฝดไปเที่ยวอีกนะ…เด็กๆรอคุณป๋าใจจะขาดรอนๆอยู่ข้างล่างแล้วรู้รึเปล่า…”

พสุธกล่าวพลางวางมือลงบนมือบางราวกับส่งกำลังใจไปให้

รังสิมันต์เห็นว่าคนไข้เริ่มพร้อมแล้วจึงลงมือทันที…
ปองขวัญยืนยิ้มอยู่ข้างๆมองภาพความน่ารักของคู่รักข้าวใหม่ปลามัน

“เรียบร้อยครับ รออีกยี่สิบนาทีก็เป็นอันว่าเสร็จครับ…พี่ฝากดูต่อให้ด้วยนะปอง
เดี๋ยวเด็กๆจะรอนาน…”พูดกับคนไข้เสร็จก็หันไปทาง
ปองขวัญซึ่งพยักหน้ารับด้วยความเต็มใจ

“ค่ะพี่รัง…ไม่ต้องเป็นห่วงทางนี้นะคะ…”

“ฝากดูแลน้องสาวพี่ด้วยนะดิน…เค้ากลัวเข็มยิ่งกว่ากลัวเขี้ยวเสือซะอีก…”
สิ้นรักกระเซ้าคนป่วยที่นอนค้อนเธออยู่ ก่อนจะหันไปทางเพื่อนรัก

“ขอตัวนะจ๊ะเพื่อนรัก…”รอยยิ้มและท่าทางยักคิ้วหลิ่วตาชวนให้ปองขวัญ

นึกหมั่นไส้ยัยเพื่อนตัวดีขึ้นมา แถมยังมีหน้ายื่นแขนไปควงพี่รังให้เธออิจฉาเล่นอีก…
แล้วถ้อยคำต่อมาอีกนั่นเล่า

“คนไม่มีคู่ไม่รู้หรอกเนอะพี่รังเนอะ…”รังสิมันต์ยิ้มขันกับท่าทางพยักพเยิดนั้นของคนตัวเล็ก
ที่กำลังแกล้งเพื่อนได้น่าหยิก

“ใครไม่มีคู่ยะ…”ปองขวัญถามเสียงเชิดสูงอย่างหมั่นไส้เพื่อนรักสุดๆ

รังสิมันต์ยืนอมยิ้มเพราะไม่กล้าหัวเราะดังๆอย่างต้องการได้กับสีหน้า

ท่าทางของสิ้นรักที่กำลังเย้ยเพื่อนรักอย่างปองขวัญได้น่าหมั่นไส้ปนน่ารักน่าขัน…
พันทิวากับพสุธเองแทบอยากจะหลุดก๊ากออกมาเช่นกัน…

“ก็ใครล่ะยะที่ไม่มีคู่…ข้างล่างมีอยู่สองคู่ คือคู่นายรักกับคู่พี่เพลิง
ส่วนข้างบนนี่ก็มีอยู่สองคู่…ใครกำลังคี่อยู่ ก็คนนั้นแหล่ะย่ะ…”

สิ้นรักทำหน้าทำตาดัดเสียงเย้ยเพื่อนอย่างนึกสนุก
ก่อนจะควงแขนรังสิมันต์ออกไปด้วยเสียงหัวเราะระรื่น…

แถมยังมีร้องเพลงเย้ยทิ้งท้ายขณะเดินออกจากห้องไปอีกนะนั่น…

“จับมือกันเข้าไป กอดคอกันเข้าไป ส่วนฉันไม่มีใครให้ซึ้งเลย
คู่นั้นก็สบตา อิจฉาเขาจังเลย…ส่วนฉันก็เป็นอย่างเคย…มันเศร้าเลย…
อยู่ในมุมที่อับเฉา เหมือนคนไม่มีแม้เงา อยู่ในมุมที่ใครเขา…รักกัน…”

เสียงเพลงนั้นบาดใจปองขวัญจนต้องมองตามคนร้องเพลงเย้ยเธออย่างหมั่นไส้…
และอดไม่ได้ที่จะหันไปทางอีกคู่ในห้องที่กำลังมองมาทางเธอด้วยรอยยิ้มขำๆอยู่พอดี…

“น่าเสียดายนะครับที่พี่ลมไม่อยู่ ไม่อย่างนั้นคงช่วยพี่ปองได้เยอะทีเดียว”

พสุธกระเซ้าปองขวัญที่กำลังยืนหน้าแดง ไม่รู้เป็นเพราะเขินหรือโกรธกันแน่…

แต่ที่แน่ๆ พี่ปองคงเคืองพี่ชายของเขาอยู่ไม่น้อย
ที่ปล่อยให้พี่ปองยืนคี่ไม่มีคู่จนโดนล้ออยู่อย่างนี้…

“ป่านนี้คงยุ่งๆอยู่ที่สวนปักษาวายุนั่นแหล่ะค่ะ…เห็นบอกว่าพนักงานยกพวกตีกับลูกทัวร์…
ไม่รู้ว่าเคลียร์กันได้รึยัง…”
พสุธเลิกคิ้วนิดนึง…มองปองขวัญด้วยแววตาใคร่รู้

“เป็นไปได้ยังไงครับ…”


“ก็ชวนกันเมาตอนดึกๆ พูดผิดคอกันก็เลยยกพวกตีกัน…
ทั้งๆที่กฎของที่นั่นห้ามจำหน่ายและห้ามนำของมีนเมาและยาเสพติดทุกชนิดเข้าไป…
สงสัยคงฝ่ากฎข้อห้ามกัน ถึงได้ออกมาในสภาพนั้น…”

ปองขวัญกล่าวพลางส่ายหน้าไหวๆ หนักใจแทนเจ้าของที่ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง…
มีหวังคงได้ปิดสวน

“ตอนนี้ที่ทางใต้ กระแสน้ำกระท่อมผสมยาแก้ไอกำลังระบาดหนักในหมู่พวกวัยรุ่นค่ะ…
พี่ลมเองก็กำลังเผชิญหน้าอยู่กับเรื่องนี้…
เพราะมีพนักงานบางส่วนแอบลักลอบนำน้ำกระท่อมมาขายกับลูกค้าที่มาพักในสวน…
แถมยังมีกรณีทะเลาะตีกันอีก…อาจโดนใบสั่งให้ปิดสวนก็ได้…”

ปองขวัญหน้าเจื่อนด้วยความเสียดายหากสวนปักษาวายุที่ดูร่มรื่นน่่าพักผ่อนต้องปิดตัวลง
เพราะเธอมีโอกาสได้ไปเที่ยวแล้วและค่อนข้างติดอกติดใจ
จนอยากกลับไปที่นั่นอีก…

“ผมว่าคงไม่ถึงขั้นนั้นมั้งครับ…พี่ลมคงแก้ไขสถานการณ์นี้ได้แน่ๆ…”

พสุธกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นด้วยความเชื่อใจพี่ชาย
เพราะหากพี่ชายของเขาไม่บอกกล่าวปัญหานี้กับพี่ๆน้องๆ

นั่นแสดงว่าปัญหาดังกล่าวไม่ยากเกินกว่ากำลังและสติปัญญา
ที่พี่ชายของเขาจะฝ่ามันไปได้ตามลำพัง…

“แล้วเมื่อไหร่พี่ปองจะย้ายลงไปที่โน่นล่ะครับ…”พสุธเปลี่ยนเรื่อง
พันทิวาท่ีนอนมองสายน้ำเกลืออยู่ถึงกับขมวดคิ้วกับคำถามนั้น

“พี่ปองจะย้ายลงไปอยู่ที่ใต้เหรอคะ…”ปองขวัญยิ้มบาง
มองทั้งสองแล้วตอบว่า

“ค่ะ…จะย้ายไปอยู่เดือนหน้านี่แหล่ะค่ะ…เพราะทุกอย่างทางนี้ลงตัวดีแล้ว
พี่ก็เลยกะจะกลับไปอยู่ดูแลพ่อกับแม่น่ะค่ะ…”

“และก็จะได้อยู่ใกล้ๆพี่ลมด้วยใช่มั้ยครับ…”พสุธเย้าอีกฝ่ายเล่น
ปองขวัญถึงกับเก็บอาการไม่อยู่ หน้าแดงหูแดงให้คนมองแอบอมยิ้ม

“มีข่าวดีเมื่อไหร่ อย่าลืมบอกมุมด้วยนะคะ…”พันทิวากระเซ้าต่อ
จนปองขวัญถึงกับมือไม้อยู่ไม่สุข แล้วก็พบตัวช่วยเมื่อหันไปมองสายน้ำเกลือ

“ยาหมดพอดีเลย เดี๋ยวพี่จะถอดสายน้ำเกลือออกให้นะคะ…”

พูดพลางจัดแจงถอดสายน้ำเกลือให้พันทิวาที่นอนหันหน้าไปอีกทาง
เพราะไม่อยากเห็นเข็มที่ถูกดึงออกจากลำแขนของตน…

“อย่าลืมทานยาให้หมดด้วยนะคะ เดี๋ยวจะดื้อยา…”

“ค่ะ…”พันทิวารับคำ มองพสุธแว้บนึงแล้วหันไปถามปองขวัญว่า

“พี่ปองจะทิ้งมุมไปอยู่ที่โน่นจริงๆเหรอคะ…”ปองขวัญได้ฟัง
ถึงกับมองคนพูดนิ่ง แล้วค่อยๆวางมือลงบนหลังมือของพันทิวาแล้วยิ้มบาง

“ทิ้งที่ไหนกันล่ะ…ที่โน่นกับที่นี่ก็ไม่ได้ไกลกันสักหน่อย
ถ้าคิดถึงพี่ อยากเจอพี่ก็แค่นั่งเครื่อง แป้บเดียวก็บินไปถึง…”
พันทิวายังคงหน้างอ

“อีกหน่อยพี่รักเองก็คงจะตามพี่ปองไปอยู่ที่โน่นด้วยแน่ๆ…
เพราะพี่หมอรังก็อยู่ที่โน่น…ไปกันหมดเลยทีนี้…มุมอยู่ทางนี้คงเหงาแย่”
ปองขวัญอมย้ิมกับสีหน้าท่าทางของคนพูด ก่อนจะหันไปทางพสุธ

“พี่ว่าคงไม่เหงาแล้วล่ะ…”พันทิวามองตามสายตาก็ปองขวัญ
ก็รู้ว่าคนพูดหมายถึงอะไร…

“ใช่ครับพี่ปอง…มีผมอยู่ทั้งคนจะปล่อยให้เหงาได้ยังไง…”
พสุธไม่รีรอที่จะตอบรับออกไปทันทีพร้อมรอยยิ้มกว้างที่บ่งบอกถึงความเปิดเผย…
พันทิวาเบ้ปากแล้วกล่าวว่า

“อยู่คนเดียวไม่เหงาเท่ามีนายอยู่ด้วยหรอก…”พสุธถึงกับขมวดคิ้ว
มองคนพูดด้วยแววตาไม่เข้าใจ…ปองขวัญถึงกับวางตัวไม่ถูก
เมื่อตกอยู่ในฐานะคนกลาง…

“หมายความว่าไง…”เสียงราบเรียบนั้นทำให้พันทิวาถึงกับยิ้มออกมา
ที่รู้ว่าสามารถทำให้อีกฝ่ายอารมณ์เสียได้…

“ก็หมายความว่า…มีกับไม่มีนาย…ก็ไม่ได้แตกต่างกันน่ะสิ…
ภาษาไทยแท้ๆ ทำไมต้องให้แปลเป็นไทยให้ฟังอีกก็ไม่รู้…”

พันทิวายังไม่วายยียวนกวนประสาทอีกฝ่าย…ปองขวัญเห็นแววตาของบุรุษ
หนึ่งเดียวในห้องแล้วชักกลุ้ม เลยพูดแทรกออกไปว่า

“อย่าเพิ่งหยอกล้อกันค่ะ…ตอนนี้พี่ว่าน้องมุมทานยาก่อนดีกว่านะ…
หยิบยาให้น้องเขาหน่อยสิดิน…น้ำด้วย…”

ปองขวัญสั่งอีกฝ่ายที่นั่งหน้าตูมก่อนจะจัดแจงเก็บของเข้าที่เข้าทาง…
พสุธจึงทำตามอย่างไม่เกี่ยงงอนส่งยาและน้ำให้คนป่วยด้วยแววตาคาดโทษ

พันทิวาไม่สน หยิบยาส่งเข้าปากแล้วตามด้วยน้ำ…ก่อนจะหันไปส่งยิ้มหวานให้ปองขวัญ…

“พี่ปองอยู่เป็นเพื่อนมุมก่อนนะคะ…”ปองขวัญรู้ใจคนขอ
แต่จะให้ทำตามคำขอคงจะลำบาก…

“ไม่ได้หรอกจ๊ะ…พี่มีธุระต้องเคลียร์อีกแยะ เอาไว้จะแวะมาเยี่ยมนะจ๊ะ…
แล้วก็พักผ่อนเยอะๆ…อย่าให้แผลโดนน้ำนะ…พี่กลับก่อนล่ะ…”

พันทิวาถึงกับหน้างอทันทีที่ได้ยินดังนั้น เพราะสภาพของเธอตอนนี้
ไม่อาจเดินเหินไปไหนมาไหนได้สะดวก และคงต้องนอนแหงกอยู่กับเตียง
อย่างเลี่ยงไม่ได้แน่ๆ…

“งั้นเดี๋ยวผมเดินไปส่งนะครับ…มาครับ…เดี๋ยวผมช่วยถือ…”
พสุธอาสาถือกระเป๋าอุปกรณ์ทางการแพทย์แล้วเดินตามหลัง
ปองขวัญออกไป ทิ้งให้พันทิวานอนมองทั้งสองคล้อยหลังอย่างเซ็งๆ







“มันน่าเจ็บใจที่สุด…”ร่างท้วมของชายสูงวัยลุกขึ้น มือทุบโต๊ะดังปั้ง
ด้วยแววตาโกรธขึง มองคู่สนทนานิ่ง

“พี่พลก็รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะกำจัดไอ้หมอนั่น…
กี่ครั้งแล้วที่เราล้มเหลว…ตอนนี้มันกลับไปที่เกาะรังแล้ว…”

เสียงตอบกลับจากคู่สนทนาทำให้ชายสูงวัยค่อยๆนั่งลง แล้วพ่นลมหายใจออกอย่างเซ็งๆ

“ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้บัน มันจะรอดไปได้ยังไง…
ไอ้บันมันแส่หาเรื่องแกว่งเท้าหาเสี้ยนแบบนี้ เห็นทีคงปล่อยเอาไว้ไม่ได้ซะแล้ว…”
ชายสูงวัยร่างท้วมหากดูภูมิฐานน่าเกรงขามกล่าวด้วยแววตาอาฆาต

“ผมว่าเราจะประมาทไอ้หมอนั่นกับไอ้บันไม่ได้…
เพราะตอนนี้ผมได้ข่าวมาว่ามันกำลังจะกลายเป็นลูกเขยของไอ้บัน…

อีกอย่างหมอปองกับนายวายุก็เช่นกัน ไหนจะคู่ของตามตะวันกับนายตะวันนั่นอีก…
แล้วไหนจะคู่ที่เพิ่งแต่งงานไปอีกล่ะ…

พี่ลองคิดดูว่ามันเป็นการรวมคนตระกูลใหญ่ และมีอิทธิพลเข้าด้วยกันถึงห้าตระกูล
โดยเฉพาะตระกูลอาทิตยะ…และตระกูลยุรยวรวงศ์กับลือสื่อสกุล
แถมยังมีพวกพันธกาลเข้าร่วมด้วยอีก…เราแค่หนึ่ง จะสู้พวกนั้นถึงสี่ได้อย่างไร…
ยิ่งมันผนึกกำลังช่วยกันเมื่อไหร่เราทั้งนั้นที่จะแย่”

เสียงนั้นราวกับสิ้นหวังเพราะการที่ศัตรูผนึกกำลังร่วมกันได้อย่างเป็นปึกแผ่นเช่นนี้
มีแต่ทำให้พวกเขาเสียเปรียบเท่านั้น…

“แกจะกลัวอะไร…ในเมื่อเรายังมีไพ่ที่เหนือกว่าพวกมันอยู่หนึ่งใบ…
ฉันจะทำให้แกดูว่่าไพ่ใบนั้นมันทำอะไรได้มากกว่าที่คิด…”

แววตามาดมั่นนั้นทำให้คนฟังมองผู้เป็นพี่ชายด้วยแววตาที่ประกายวาวขึ้นอย่างมีความหวัง

…อย่างน้อย เขาก็จะไม่ยอมให้ใครมาเหยียบจมูกเขาได้ง่ายๆแน่…

“ไอ้บันมันตบตาใครๆว่าลูกสาวคนเดียวของมันตายไป
ตั้งแต่เหตุการณ์เครื่องบินตกเมื่อสิบกว่าปีก่อนได้อย่างแยบยล

นี่ถ้าไอ้หลานชายมันไม่ไปคลำจนเจอตอ เราก็คงไม่รู้ว่าลูกของมันอยู่แค่ปลายจมูก…”

น้ำเสียงและแววตานั้นซ่อนนัยยะเอาไว้อย่างปิดไม่มิด…

น้อยคนนักที่จะรู้ว่าสิ้นรักกับบันลือมีความสัมพันธ์กันแบบใด…
นอกเสียจากคนรู้จักสนิทกันจริงๆเท่านั้น…

การที่สองพี่น้องจอมปลวกที่หลายๆคนตั้งฉายาให้รู้ความสัมพันธ์นั้นได้…
มิใช่อื่นใด…นอกเสียจากว่าเกลือที่คานน้อยคอยรักกำลังเป็นหนอน…
แล้วส่งนกพิราบคาบหนอนที่ว่ามาให้ทางนี้ทราบข่าว

“พี่คิดจะทำยังไงต่อ…”

“ก็จะมีอะไรดีไปกว่ายิงปืนนัดเดียว ได้นกถึงสามตัวล่ะ เผลอๆอาจได้ทั้งฝํูงด้วยซ้ำ…”

รอยยิ้มที่มุมปากกับแววตาเจ้าเล่ห์นั้นทำให้คนฟังเบาใจ
ที่อย่างไรซะงานนี้พวกเขาก็ไม่ได้สิ้นหวังเสียทีเดียว

“ลูกสาวใคร ใครก็รัก แกว่าจริงมั้ย…”แววตานั้นมองน้องชายอย่างรู้กัน

“ไอ้บองหลามันหวงไข่ถึงกับเอาไปแอบกกที่ญี่ปุ่นตั้งหลายปี…
ถ้ามันรู้ว่าไข่ของมันกำลังถูกขโมยแอบย่องเข้าไปกินถึงรัง
แกว่าเรื่องมันจะสนุกแค่ไหน…”ทั้งสองจ้องตากันแล้วหัวเราะอย่างมีความสุข
จนเสียงนึงดังขัดขึ้น…

“พ่อกับลุงดูมีความสุขจัง มีอะไรดีๆก็น่าจะแบ่งปันกันบ้างนะครับ…”
ทั้งสองหันไปมองคนพูดด้วยแววตาคาดหมาย
ทำเอาผู้มาใหม่ถึงกับเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“แกจะต้องมีความสุขด้วยแน่ๆ…พ่อขอยืนยัน…”
จอมทััพวางมือลงบนบ่าของลูกชายด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ทำเอาคนเป็นลูกถึงกับงง
แล้วค่อยๆเปลี่ยนเป็นยิ้มกริ่มเมื่อได้ฟังแผนการของผู้เป็นบิดาและผู้เป็นลุงจบ…

“แกเห็นว่าไง…”คำถามนั้นทำให้คนถูกถามยิ้มทั้งปากทั้งตา

“ผู้หญิงสวยใสไร้ราคี บริสุทธิ์เหมือนดอกไม้ป่าสีขาวน่าทนุถนอมแบบนั้น
มีหรือครับที่ผู้ชายอย่างผมจะปฏิเสธได้ โดยเฉพาะดอกรักของไอ้รัง…”

แววตายามที่พูดถึงรังสิมันต์นั้นดูเหยียดหยันและเป็นประกายเจิดจ้า
ซ่อนนัยบางอย่างเอาไว้ในรอยยิ้มนั้น…






พสุธกลับถึงบ้านก็รีบมุ่งไปยังห้องนอนทันที
หวังจะเข้าไปหาเพื่อดูว่าคนป่วยที่นอนอยู่ในห้องนั้นค่อยยังชั่วขึ้นหรือยัง
ทั้งๆที่อยากอยู่ดูแลเธอทั้งวัน แต่เนื่องจากมีเอกสารสำคัญที่ต้องเซ็น
เขาจึงต้องออกไปจัดการ กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็ใกล้ค่ำแล้ว

หากขาของพสุธต้องชะงักหยุดลงเมื่อไม่เห็นคนที่ควรจะนอนอยู่บนเตียงในตอนนี้…
ชายหนุ่มมองไปรอบๆห้องก็ไม่พบแม้แต่เงา
จึงเดินลงมายังชั้นล่างก็พบกับแม่บ้านกำลังเช็ดโต๊ะรับแขกอยู่จึงถามออกไป

“เห็นคุณแมงมุมมั้ย…”คนถูกถามยิ้มนิดนึงแล้วตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“เห็นเดินลงไปด้านล่างตรงสวนหย่อมน่ะค่ะ…”

“ไปกับใคร…”น้ำเสียงนั้นค่อนข้างแข็งนิดๆจนคนฟังรับรู้ได้

“เอ่อ…ไปคนเดียวค่ะ…”

“หา…ไปคนเดียว…”คนฟังหน้าเจื่อน

“แล้วปล่อยให้เดินลงไปคนเดียวได้ยังไง ก็รู้ๆอยู่ว่าคุณเค้าเดินไม่สะดวก”

“เอ่อ…”น้ำเสียงและท่าทางนั้นทำให้พสุธส่ายหน้าก่อนจะยกมือห้าม

“ไม่ต้องพูดแล้ว…เดี๋ยวฉันลงไปตามเอง…”จบคำพสุธก็รีบวิ่งลงไปยังสวนหย่อมดังกล่าวทันที
หากก็ไม่พบแม้แต่เงาของคนที่กำลังตามหา
ชายหนุ่มเริ่มร้อนรนเมื่อมองไปรอบๆกลับไม่พบใครสักคน…จึงร้องเรียกหาพันทิวา

“แมงมุม…แมงมุม…”

“……”ไม่มีเสียงตอบรับ สักพักชายหนุ่มก็เดินไปยังใต้ถุนเรือน
ก็เห็นเงาตะคุ่มของใครบางคนกำลังก้มๆเงยๆอยู่ตรงซุ้มดอกแก้ว

พสุธจึงเดินเข้าไปใกล้ๆจึงรู้ว่าเจ้าของเงาตะคุ่มๆนั้นเป็นใคร
เสียงถอนหายใจด้วยความโล่งอกถูกพ่นออกมาพร้อมรอยยิ้ม

หากเมื่อเห็นรอยยิ้มจากเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนที่กำลังก้มๆเงยๆเมื่อครู่
ยามที่เจอของชิ้นหนึ่งซึ่งตอนนี้อยู่ในมือเธอแล้วนั้น กลับทำให้รอยยิ้ม
ของชายหนุ่มหุบลงทันที…

“นายดินทราย…”พันทิวาพึมพำชื่อนั้นออกมาด้วยสีหน้าซีดเผือด
เมื่อเห็นเจ้าของชื่อยืนมองเธออยู่ไม่ไกลกันมากนัก

หญิงสาวรีบซ่อนของในมือไว้ทางด้านหลังของตนทันที
ราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะมาแย่งมันไปจากเธออีก…

พสุธมองท่าทางนั้นด้วยแววตานิ่งสนิท
ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ๆคนที่พยายามลุกขึ้นยืนอย่างมั่นคง
ทั้งๆที่เท้าข้างหนึ่งกำลังบาดเจ็บอยู่

พันทิวามองมือเย็นเยียบที่แตะลงบนข้อมือเธอก่อนจะมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเขา

“เธอนี่ช่างขยันทำให้ฉันวุ่นวายใจได้ไม่หยุดหย่อนเลยนะ…”

พูดจบชายหนุ่มก็ยกร่างโปร่งขึ้นอุ้มพาขึ้นเรือนไป โดยที่พันทิวามิได้ขัดขืน
หรือดิ้นรนแต่อย่างใด ได้แต่หันหน้ามองไปทางอื่นไม่กล้าสบตาหม่นๆคู่นั้นของเขา
มันทำให้เธอใจสั่นหวั่นไหวได้ทุกครั้งที่มองเข้าไปแล้วพบกับความรู้สึกที่เขามีต่อเธอ

…เธอเองก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรกับความรู้สึกของตัวเอง…

ความรักที่มีต่อพี่เพลิงนั้นยังไม่จางหายไปทั้งๆที่เธอพยายามจะลบลืม แต่มันกลับยิ่งจดจำ
ในขณะที่ความรู้สึกบางอย่างก็กำลังก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ

ความรู้สึกที่เธอไม่แน่ใจว่าคืออะไรกันแน่

จะใช่ความรักได้อย่างไร เธอจะรักผู้ชายถึงสองคนในเวลาเดียวกันได้อย่างไร
เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นเธอคงรับไม่ได้

เธอไม่อยากเป็นนางวันทองสองใจที่ชาวสุพรรณบุรีซึ่งเป็นบ้านเกิดของเธอ
ต่างประณามและเล่าขานเรื่องราวกันมาถึงหญิงสองใจที่สุดท้าย
ก็ไม่ยอมเลือกใครสักคนจนต้องโทษประหารชีวิตพร้อมคำสาปแช่งด่าว่าเป็นหญิงสองใจ…

“สำหรับเธอพี่เพลิงคงเป็นที่หนึ่งเสมอไม่เปลี่ยนแปลงใช่มั้ย…
แหวนเพชรชมพูที่นิ้วนางข้างซ้ายของเธอมันไร้ค่ากว่ากิ๊บติดผมหงิกงอ
ที่กำลังอยู่ในกำมือของเธอตอนนี้มากเลยใช่มั้ย…”

พสุธเปรยออกมาขณะวางร่างพันทิวาลงบนเตียงนอน
หญิงสาวมองตาคนพูดนิ่งแล้วกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงเบาหวิวว่า

“นายคงไม่รู้ว่าฉันทรมานแค่ไหนกับการเลิกรักคนๆหนึ่งที่รักมานาน
เพื่อที่จะพยายามรักอีกคนที่ฉันควรจะรัก…
ฉันผิดเอง…ผิดที่ทำอะไรให้ดีกว่านี้ไม่ได้…ผิดต่อนาย…”

พันทิวาสารภาพความรู้สึกผิดในหัวใจต่อหน้าพสุธ
ที่ตอนนี้น้ำตาของบุรุษแทบจะไหลออกทางตาด้วยความเจ็บ
เมื่อได้ยินประโยคดัวกล่าวจากปากของภรรยาตน…

เธอกำลังบอกว่ารักพี่ชายของเขาอย่างมากมายจนยากเกินจะตัดใจ
ทำให้ตอนนี้ต้องใช้ความพยายามที่จะรักเขา

…การจะรักใครสักคนมันต้องใช้คำว่าพยายามด้วยหรือ…

เขาไม่เคยรู้เลยว่าเขารักเธอได้อย่างไร เขาเคยพยายามรักเธอมาก่อนหรือก็ไม่ใช่…

เธอทำเหมือนเขาเป็นอะไรที่เอาไว้คอยยึดเหนี่ยว
อยู่กับเขาแค่เพียงให้เขามาแทนพี่ชาย เขาเป็นแค่ตัวแทน เป็นแค่เงาของพี่ชาย
เขาไม่ได้มีตัวตนในสายตาของเธอเลย…

“ถ้าการจะรักฉันมันทำให้เธอเหนื่อย ทำให้เธอหนักใจ
และต้องพยายามมากมายขนาดนี้ก็อย่าฝืนใจต่อไปอีกเลย…

เพราะฉันก็เต็มที่แล้วเหมือนกัน ไม่รักก็ไม่เป็นไร
ถ้ารักกันแล้วมันแย่ขนาดนี้ ก็อย่ามัวมาทนเสียเวลากับคนอย่างฉันอีกเลย…”

พสุธพูดด้วยความรู้สึกที่อัดอั้นมานาน
แววตาอ่อนล้ากับสีหน้าแข็งกร้าวนิดๆนั้น ทำเอาพันทิวาถึงกับตกใจ
ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินถ้อยคำดังกล่าวจากปากของเขา…

“แล้วนายมาแต่งงานกับฉันทำไมเล่า…ทำไมไม่ปล่อยให้ฉันเป็นโสดต่อไป
มาฉุดฉันลงจากคานทำไม วันก่อนก็บอกว่ารอได้ จะรอ
พอมาวันนี้ก็บอกว่าไม่ต้องฝืนใจอีกต่อไป…นายเป็นบ้าอะไรของนาย”

หญิงสาวลุกขึ้นนั่งพร้อมตวาดชายหนุ่มเสียงดังลั่นห้องด้วยสีหน้าโกรธจัด

…เขามันผีเข้าผีออก เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย จนเธอเอาใจไม่ถูกอยู่แล้ว…

“ใช่…ฉันมันบ้า…บ้าเพราะรักเธอนั่นแหล่ะ…บ้าที่แต่งงานกับผู้หญิงอย่างเธอ
บ้าที่เอาตัวและหัวใจไปพัวพันกับแมงมุมสารพัดพิษอย่างเธอ
ฉันคิดผิดจริงๆที่เลือกเธอ”

พสุธกล่าวขณะจับบ่าของหญิงสาวแล้วเขย่าไปมา
พันทิวาถึงกับตาค้างตกใจกับประโยคสุดท้ายที่เขาหลุดปากออกมาจนได้

“คิดผิดที่เลือกฉันงั้นเหรอ…งั้นก็กลับไปเลย กลับไปหายัยพริกขี้นกนั่นเลยสิ
ยัยนั่นคงยินดีให้อภัยนายและคงอ้าแขนรับนายอยู่แล้ว…ไปเลยสิ ไปเลย…”

พันทิวาชี้ไปยังประตูห้อง ไล่อีกคนให้ออกไปขณะตวาดเสียงลั่นไม่ยอมลดละ

ทำให้ตะวันที่กำลังนั่งอ่านรายงานการประชุมของบริษัทตรงระเบียงบ้านได้ยินเสียงแว่วๆนั้นเข้า
ถึงกับเข็นรถมาดูทั้งๆที่ลึกๆแล้วไม่อยากเข้าไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของสามีภรรยาเขา…

“เธอนั่นแหล่ะที่ต้องไป…ไม่ใช่ฉัน…”
พันทิวาสะอึกราวกับมีก้อนอะไรบางอย่างจุกตรงคอหอย จ้องตาคมที่กำลังจ้องเธออยู่อย่างไม่ลดละ

“ได้…”พูดจบพันทิวาก็ถอดแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายออกแล้วขว้างมันใส่พสุธ
ราวกับว่ามันเป็นสิ่งไร้ค่าขณะที่ยื่นคำขาดว่า

“งั้น…เราเลิกกัน…”

จบคำนั้นของเธอ พสุธถึงกับเข่าอ่อน

เพิ่งมารู้ว่าเขาเผลอพูดไม่ดีออกไป อยากจะกลับคำแต่ดูเหมือนมันจะสายเกินไปเสียแล้ว

ตอนนี้พันทิวาลุกขึ้นแขย่งเท้าเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า รื้อข้าวของออกมากองบนเตียง
แล้วยัดข้าวของเสื้อผ้าเหล่านั้นลงกระเป๋าด้วยสีหน้าท่าทางเอาจริงเอาจังตั้งใจ…

แล้วอยู่ๆกิ๊บติดผมของหวงของเธอก็กระเด็นมาตกลงข้างๆเท้าของเขาพอดิบพอดี

พสุธก้มมองกิ๊บติดผมหงิกงอด้วยฝีมือเขา
แล้วหยิบมันขึ้นมาพร้อมๆกับแหวนแต่งงานที่มารดาของเขาออกแบบ
และเตรียมเอาไว้ให้สำหรับลูกสะใภ้คนเล็กของท่าน

แล้วดูเธอทำสิ เธอเขวี้ยงมันทิ้งราวกับไม่เห็นคุณค่าของมันบ้างเลย

พสุธกัดฟันกรอดด้วยแววตาโกรธเกรี้ยวที่คนตรงหน้าไม่เห็นคุณค่า
ของสิ่งที่มารดาของเขาพยายามตระเตรียมเอาไว้ให้เลยสักนิด…

ก่อนจะเหลือบเห็นพันทิวามองมาทางเขา

“ขอของๆฉันคืนด้วย…”สั่งเสียงแข็งโดยไม่ยอมเดินมาหาเขา…

“อยากได้ก็เดินมาเอาเองสิ…”พสุธเย้าอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก
แววตาเจ้าเล่ห์ฉายแสง…

“หวงมากไม่ใช่เหรอ…งั้นก็ดูมันซะให้เต็มตาก่อนที่จะไม่ได้มองมันอีก…”

พูดจบพสุธก็เดินเข้าไปยังห้องน้า
พันทิวามองภาพที่เขาโยนกิ๊บติดผมในมือลงในชักโครกแล้วกดชักโครกโดยที่เธอ
ได้แต่มองจากที่ไกลๆ ทำอะไรไม่ได้

เพราะกว่าจะเดินเขย่งเท้ามาถึงตัวของพสุธ กิ๊บติดผมของเธอก็หายไปในท่อชักโครกเสียแล้ว

หญิงสาวตวัดสายตามองพสุธราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
หากอีกฝ่ายกลับทำหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาว…

“จะฆ่าฉันก็เชิญ…แต่ต่อให้ฆ่าฉันให้ตาย เธอก็ไม่มีวันได้กิ๊บนั่นกับหัวใจพี่เพลิงหรอก…”

น้ำเสียงและแววตาเย้ยหยันนั้นทำให้พันทิวาถึงกับกำหมัดแน่น
จ้องตาคนพูดอย่างไม่ลดละ…ก่อนจะฟาดมันไปยังใบหน้านั่น
หากพสุธกลับคว้าไว้ได้ทันแล้วพลิกข้อมือนั้นรวบเอาไว้ทางด้านหลังของเธอ
แล้วรั้งร่างบางเข้าหาตน ก่อนจะกระซิบข้างๆหูของหญิงสาวเบาๆทว่าหนักแน่นว่า

“ถ้าอยากเป็นอิสระ ก็มีลูกชายให้ฉันสิ…แล้วฉันจะปล่อยเธอไป…”

สิ้นคำพสุธก็ก้มลงไซร้ซอกคอหอมกรุ่นนั้นก่อนจะอุ้มร่างโปร่งแล้วพาไปยังเตียงนอน…
สลัดข้าวของบนเตียงกับกระเป๋าเดินทางออก

พันทิวามิได้ขัดขืนการกระทำนั้นของเขา ได้แต่ปล่อยให้น้ำตาไหลพราก
โดยปราศจากเสียงร้องไห้คร่ำครวญ…

ตะวันมองประตูห้องของน้องชายที่ปิดสนิทนิ่ง
ก่อนจะค่อยๆเข็นรถจากไปเมื่อเสียงทะเลาะกันของทั้งสองเงียบไปแล้ว…

การที่เขาต้องกลายเป็นคนป่วยที่ต้องอยู่กับบ้านอย่างนี้
ทำให้เขารับรู้สภาพและความสัมพันธ์ของน้องชายกับน้องสะใภ้ที่ดูจะหนักขึ้นเรื่อยๆ…

หากเขาก็ไม่รู้ว่าจะช่วยอะไรได้ไปมากกว่ามองดูอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ…



พันทิวาลืมตาตื่น มองไปยังที่นอนข้างๆที่มีแต่ความว่างเปล่า
ก่อนจะมองหน้าปัดนาฬิกา ที่กำลังบอกเวลาหกโมงเช้า…

หญิงสาวรู้สึกหิวขึ้นมา เพราะมื้อค่ำของเมื่อวานจนบัดนี้ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเธอเลย
แผลที่เท้าเริ่มเจ็บจี๊ดๆขึ้นมาอีกแล้ว สงสัยคงเป็นเพราะเธอใช้เท้ามากเกินไป

เนื่องจากเมื่อวานกว่าเธอจะหากิ๊บติดผมที่นายดินทรายขว้างทิ้งไปทางหน้าต่างห้องเจอ
เธอก็เดินควานหาจนทั่วสวนหย่อม…

และสุดท้ายก็โดนเขาโยนทิ้งลงชักโครก…

เขาบอกว่ารักเธอทั้งๆที่เขาไม่เคยเข้าใจเธอเลยสักนิดเดียว…

นี่หรือคนที่บอกว่ารักเธอคนรักกันเขาทำกันอย่างนี้หรือ…

หญิงสาวปาดน้ำตาทิ้งแล้วขยับร่างลงจากเตียง

แสงวิววับของอะไรบางอย่างที่กระทบแสงอาทิตย์ยามเช้าทำให้พันทิวาหันไปมอง
ก็พบแหวนแต่งงานของเธอวางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง
ใกล้ๆกันนั้นมีกิ๊บติดผมของเธอวางอยู่ด้วย…

พันทิวากระตุกคิ้วขณะค่อยๆยกมือไปแตะกิ๊บติดผมนั่นดูว่าเธอไม่ได้ตาฝาด
และเป็นดังคาด กิ๊บติดผมนั่นยังไม่ได้โดนเขาทิ้งลงท่อชักโครกไป
เขาหลอกเธอให้ร้องไห้เสียใจเล่น!!!

ทว่าพันทิวาก็อดระบายยิ้มออกมาขณะหยิบกิ๊บติดผมนั่นขึ้นมาไม่ได้
เธอเก็บมันเอาไว้ในกล่องอย่างดีก่อนจะมองแหวนแต่งงานที่ยังวางนิ่งอยู่บนโต๊ะ

นานกว่าที่หญิงสาวจะตัดสินใจหยิบมันขึ้นมา
ก่อนจะสวมมันกลับไปที่นิ้วนางข้างซ้ายดังเดิม…

เธอตั้งใจว่าจะอดทนจนกว่าจะมีลูกชายให้กับเขาตามข้อตกลง…
เพราะถึงเขาจะแย่แค่ไหน แต่ก็ยังพอมีข้อดีให้เห็นอยู่บ้าง…



...โปรดติดตามตอนต่อไป.....



มาให้กันอีกแล้วนะคะ...

นักอ่านหดหายไปเยอะเลยทีเดียว ทำเอาคนเขียนชักใจไม่ดี
แต่ก็ยังคงโพสต์ต่อไปค่ะ...เพราะว่ายังมีนักอ่านเงายามที่ได้มองเห็น
จำนวนผู้เข้าชมอยู่...และยังมีจำนวนไลค์ที่บ่งบอกว่า
ยังมีนักอ่านที่ไร้เสียงอยู่อีกหลายคนที่กำลังติดตามอ่านอยู่...

แต่ถึงจะไม่ค่อยมีใครอ่าน เต่าโยก็จะเดินหน้าโพสต์ต่อไปอยุ่ดีค่ะ...
ก็คนมันอยากโพสต์นิเนอะ...อิอิอิ...

ตอนนี้เรื่องดำเนินเข้าสู่เกินใจกลางของเรื่องแล้วนะคะ
เหลืออีกประมาณ 35% ก็คงจะปิดฉากเรื่องนี้แล้ว...

และ 35% นั้นก็เป็นเรื่องของมวยคู่เอกกับอีกคู่นึงซึ่งเป็นตัวแปรของเรื่องนี้...

นักอ่านท่านใดที่ไม่รู้จะว่าจะพิมพ์หรือเม้นท์อะไร แค่ส่งเพียงรอยยิ้มพิมพ์ใจให้โย
โยก็ชื่นใจแล้วล่ะค่ะ...


งั้นขอคุยกับนักอ่านจากยกที่แล้วนะคะ

1.คุณหมีสีชมพู...ขอบคุณค่ะสำหรับกำลังใจและการติดตาม
ที่มีให้เสมอมาค่ะ...โยนำตอนใหม่ล่าสุดมาให้แล้วนะคะ...
จุ๊บๆค่ะ

2.คุณmallow...ขอบคุณค่ะที่ส่งเสียงให้โยได้ยินว่ายังอยู่ใกล้ๆ...อิอิ
ดีใจค่ะที่ยังไม่ได้ห่างหายไปไหน เพราะคุณmallow เป็นนักอ่าน
ที่ติดตามอ่านผลงานของเต่าโยรุ่นก่อนๆโน้นเลยทีเดียว
ตั้งแต่ตอนเว็บเลิฟเวอร์ชั่นก่อนหน้า จวบจนตอนนี้...โยเลยรู้สึกดีใจมากค่ะ
ที่คุณmallow ยังอยู่ และยังคงติดตามอ่านอยู่น่ะค่ะ....จุ๊บๆนะคะ

สุดท้ายไม่ท้ายสุด

ขอบคุณทุกไลค์ ทุกกำลังใจ และขอบคุณนักอ่านเงาทุกท่าน
ที่เข้ามาอ่านมาติดตามกันนะคะ...

...แล้วเจอกันยกหน้าค่ะ...

"เต่าโย"










yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 ธ.ค. 2555, 10:07:52 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 ธ.ค. 2555, 10:07:52 น.

จำนวนการเข้าชม : 3009





<< ยกที่ 58 รักครั้งสุดท้าย   ยกที่ 60 ถอดทิ้ง >>
บัวขาว 2 ธ.ค. 2555, 10:42:34 น.
ดีใจที่ได้อ่านก่อนจะออกไปธุระ .. แล้วคืนนี้จะมาอีกหรือเปล่าค้ะ?

=^_^=


AprilSK 2 ธ.ค. 2555, 10:43:26 น.
แวะมาบอกว่ายังตามอ่านอยู่เรื่อยๆ ค่ะ แต่ตอนนี้กำลังอยู่ในภาวะใกล้สิ้นปี หลายสิ่ง(เรื่องเรียน)รุมเร้า เลยไม่ค่อยสำราญบานใจพอจะเขียนคอมเม้นท์ค่ะ


mhengjhy 2 ธ.ค. 2555, 11:15:48 น.
ทำไมคู่นายดินกันแมงมุม มันเศร้าขนาดนี้ล่ะคะ T^T


หมีสีชมพู 2 ธ.ค. 2555, 12:20:10 น.
ตัวร้ายเริ่มทำงาน


wii 2 ธ.ค. 2555, 12:22:02 น.
อ้าว คู่นายดินนี่ยุ่งเหยิงซะจริงๆ เรื่องมากปากเสีย ขิงก็ราข่าก็เเรง ถึงใด้พังกันเป็นเเถบๆเเบบนี้ เรื่องมากนักเเมงมุมก็หอบท้องหนีนายดินซะก็หมดเรื่อง เเละนายดินต้องมาเริ่มต้นจีบเมียใหม่ เพราะทำไม่ถูกมาตั้งเเต่เเรกเเล้วล่ะ


ใบบัวน่ารัก 2 ธ.ค. 2555, 12:34:59 น.
คนร่วมบ้านลำบากใจนะ
กะการกระทำของนายดิน
เกรงใจบ้างนะ


goldensun 2 ธ.ค. 2555, 13:15:24 น.
ดินไม่อดทน ไม่พยายามเข้าใจมุมเลย ทำร้ายจิตใจขนาดนี้ ที่เริ่มๆในใจมุมคงฝ่อหมดแล้ว
สงสารมุม เสียทั้งตัว เสียทั้งใจ แต่งงานก่อนรู้จัก รู้ใจกัน ก็อย่างนี้


violette 2 ธ.ค. 2555, 13:32:27 น.
เพิ่งได้เข้ามาอ่านก็เจอดราม่าคู่นี้เลย
สงสารแมงมุมและนายดิน แต่ต่างคนต่างก็ไม่เปิดใจ(จริงๆ)ก็จะเป็นปัญหาแบบนี้ละนะ จะรอดูว่าท้องแล้วจะทำยังไง
คู่เอกสองคู่ก็ยังไม่คืบ โดยเฉพาะพี่ลมกับหมอปอง ฮ่าๆ


Pampam 2 ธ.ค. 2555, 13:56:04 น.
แมงมุมกับนายดินเมื่อไหร่จะเข้าใจกันซะที
สิ้นรักกำลังจะมีภัย พี่รังช่วยตัวเล็กด้วย


aom 2 ธ.ค. 2555, 15:19:39 น.
คู่ดินกับแมงมุมก็ดราม่าไม่แพ้คู่อื่น
รอเชียร์คู่พี่รังกับรักนะคะ


tam 2 ธ.ค. 2555, 16:15:41 น.
หวังว่านายดินคงจะไม่ได้ตายก่อนเห็นลูกนะ ^^! เห็นแมงมุมแช่งจังกลัวจะเป็นแบบนั้นก่อนแล้วค่อยรู้ใจตัวเองละแย่เลย


sai 2 ธ.ค. 2555, 18:00:05 น.
คุณโยยยยยยย เค้ามาแล้วคร้าาา เพิ่งจะได้มีเวลาหาความสุขใส่ตัวเนี่ยแหละ วันนี้เลยฉลองด้วยการอ่านคานน้อย 10 ตอนรวดได้มั้ง ยาวได้ใจเลยยยย สงสารนายดินและแมงมุมอ่ะ

ปล.คู่หมอรังกะสิ้นรักเหมือนจะดี แต่เงาร้ายก็ตามมารังควานเรื่อยๆเลยนะเนี่ยยย


pumkin 2 ธ.ค. 2555, 23:06:35 น.
อ่านเรื่องนี้มาตั้งแต่ครั้งแรก ตอนคุณโยหยุดเขียน เสียดายมาก
ขอบคุณนะค่ะที่กลับมาเขียนต่อ
ตามอ่านทุกเรื่องของคุณโย แต่ไม่ค่อยได้เข้ามาทักทาย เป็นกำลังใจให้นะคะ
P.s.คู่ดินกับแมงมุมน่ารักดีค่ะ


พอใจ 2 ธ.ค. 2555, 23:16:58 น.
ยังติดตามอยู่ทุกตอนนะคะ เป็นเงาบ้าง โผล่มาบ้าง เป็นกำลังใจให้คุณโยค่ะ


konhin 3 ธ.ค. 2555, 02:35:06 น.
คู่นี้จะรอดมั้ยเนี่ยยยยย ว่าแต่หนอนตัวไหน จะได้จับไปทอดเกลือถูก


supayalak 3 ธ.ค. 2555, 11:40:15 น.
อ่อยยยย เอ่อออ นายดินค่ะน้องมุมค่ะ พี่จะแย่แล้วค่ะ ลุ้นคุณน้องทั้ง 2 คน เนี่ยค่ะ อีกคนก็ช่างปัญหาด้วยการ***** ไม่ใจเย็นนิดนึงอ่ะค่ะถึงแม้สุดท้ายจะดูยินยอมทั้งคู่ก็เถอะ ส่วนน้องมุมต้องให้คุณแพรวามาช่วยอธิบายในกรณีของคนรุ่นพ่อไหมค่ะว่ารักแรก กับรักสุดท้ายต่างกันที่ตรงไหน อย่าขยันหาเรื่องมาให้พี่ดินของอิชั้นโมโหบ่อยๆสิค่ะ อิชั้นหวงเดี๊ยวปัดยุให้พี่ดินเลิกจริงๆซะเลย แล้วคุณน้องจะหนาวนะคะ น้องดินค่ะใจเย็น ใจร่มๆ บ้างก็ได้บางทีก็ต้องให้เวลาเค้าบ้างนะคะหรือถ้ารอไม่ไหว งั้นเอาเจ้ไปแทนได้ไหมค่ะเจ้พร้อมค่ะ


sunflower 3 ธ.ค. 2555, 12:46:21 น.
^_^


แว่นใส 3 ธ.ค. 2555, 17:08:55 น.
ทำเรื่องให้ลำบากนะ


Littlewitch 3 ธ.ค. 2555, 17:16:33 น.
เพิ่งผ่าน 7 วัน 7 คืนอันแสนหนักหน่วง แถมบทสรุปสุดท้ายพ่ายไปในการทำงานยกที่ 1 ต้องขอขยายเวลาอีก เลยติดตามมาถึงแค่ ตาดินงอนเมีย และยังไม่ได้อ่านฉากปล้ำแมงมุมเลย พยายามอดเปรี้ยวไว้กินหวาน อ่านรวดเดียวคะ พูดมาทั้งหมดสรุปว่าไม่ได้หายไปไหนเลย


พัชรี 5 ธ.ค. 2555, 19:04:12 น.
ก็อยาก จะcomment นะ แต่มันเข้มข้น จนเขียนไม่ออกเลยอ่ะ ทำไมคู่นี้โหดกันจังอ่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account