คานน้อย คอยรัก (จบแล้วค่ะ)
คานน้อย คอยรัก
ในลักษณ์นั้นว่าประหลาด…………….คนบนคานนั้นว่าน่าประหลาด
เป็นเชื้อชาตินักรบกลั่นกล้า…………...เป็นเชื้อชาตินักรักผู้หาญกล้า
เหตุไฉนย่อท้อรอรา…………………..เหตุไฉนย่อท้อรอเวลา
ฤาจะกล้าแต่เพียงวาที…………………ฤาไม่กล้าบอกรักใครสักที
เห็นแก้วแวววับที่ดับจิต…………………เห็นคานแก้วแวววับสดับจิต
ใยไม่คิดอาจเอื้อมให้ถึงที่……………...ใยไม่คิดปีนไปให้ถึงที่
เมื่อไม่เอื้อมจะได้อย่างไรมี……………อย่ามัวรอจงขึ้นมาเร็วรี่
อันมณีฤาจะโลดไปถึงมือ………………บนคานนี้มีรักให้ฝึกปรือ
อันของสูงแม้ปองต้องจิต………………..คานเราสูงไม่เป็นรองของใครอื่น
ถ้าไม่คิดปีนป่ายจะได้ฤา………………..อย่าได้ขืนลงไปให้เสียชื่อ
มิใช่ของตลาดที่อาจซื้อ………………….มิใช่ทองตามตลาดที่อาจซื้อ
ฤาแย่งยื้อถือได้โดยไม่ยอม……………..เพราะเราถือความพอใจจึงลงไป
ไม่คิดสอยมัวคอยดอกไม้ร่วง……………ไม่คิดสอยมัวคอยให้คานทับ
คงชวดดวงบุปผาชาติสะอาดหอม………..รอให้ดับคาคานหรืออย่างไร
ดูแต่ภุมรินเที่ยวบินตอม…………………..ฤาต้องคอยรักแท้จนแก่ใช่ไหม
จึงได้ออมอบกลิ่นสุมาลี…………………..เกาะคานน้อยคอยรักต่อไป
…………………..........จนกว่าจะเจอคนที่ใช่…ใช่ไหมคาน………………
(อ้างอิงกลอนจากบทละครเรื่องท้าวแสนปม)
มาดูเหตุผลของคนที่ยังไม่ลงจากคานกันค่ะ...
อาจจะมีเหตุผลมากมายที่ไม่อยากลงจากคาน
หรืออาจมีเพียงแค่หนึ่งเหตุผลง่ายๆก็คือ...
...ไม่ใช่คนที่ใช่ก็ไม่ใช่...
หรือว่า
...โดนข้อหาหลายใจ เพราะเคยมีแฟนหลายหน...
หรืออาจเป็นเพรา
...เขาบอกให้รอ เราก็รอ...
หรือจริงๆแล้ว
...ขออยู่รอคนสุดท้ายคนนั้นได้ไหม...
หรือลึกลงไป
...กำลังรอเจ้าชายในฝันอยู่อย่างอดทนได้ทุกอย่าง...
หรือกำลังปลอบใจตัวเองว่า
...ครึ่งหนึ่งของฉันยังมาไม่ถึง...ซึ่งสักวันเขาจะมาอยู่ข้างกัน...
หรือกำลังหลอกตัวเองด้วยการปกปิดว่า
...ไม่หวั่นไหว หัวใจไม่ปรารถนา...
ทั้งๆที่จริงๆแล้ว
...อยากรัก อยากฝัน แต่เพราะกลัว ก็เลยไม่กล้ารักใคร...
หรือว่าอาจจะเป็นเหตผลสุดท้ายที่ไม่ค่อยมีใครกล้ายอมรับดังๆว่า
...ไม่เคยมีใครมาจีบ ไม่มีใครสน เรามันคนธรรมดาๆ...
แต่ไม่ว่าจะเหตุผลใด...
เราก็ยังหวังและยังคงรอคอยปาฏิหาริย์ว่าจะได้เจอคนที่ใช่ในสักวัน...
ในลักษณ์นั้นว่าประหลาด…………….คนบนคานนั้นว่าน่าประหลาด
เป็นเชื้อชาตินักรบกลั่นกล้า…………...เป็นเชื้อชาตินักรักผู้หาญกล้า
เหตุไฉนย่อท้อรอรา…………………..เหตุไฉนย่อท้อรอเวลา
ฤาจะกล้าแต่เพียงวาที…………………ฤาไม่กล้าบอกรักใครสักที
เห็นแก้วแวววับที่ดับจิต…………………เห็นคานแก้วแวววับสดับจิต
ใยไม่คิดอาจเอื้อมให้ถึงที่……………...ใยไม่คิดปีนไปให้ถึงที่
เมื่อไม่เอื้อมจะได้อย่างไรมี……………อย่ามัวรอจงขึ้นมาเร็วรี่
อันมณีฤาจะโลดไปถึงมือ………………บนคานนี้มีรักให้ฝึกปรือ
อันของสูงแม้ปองต้องจิต………………..คานเราสูงไม่เป็นรองของใครอื่น
ถ้าไม่คิดปีนป่ายจะได้ฤา………………..อย่าได้ขืนลงไปให้เสียชื่อ
มิใช่ของตลาดที่อาจซื้อ………………….มิใช่ทองตามตลาดที่อาจซื้อ
ฤาแย่งยื้อถือได้โดยไม่ยอม……………..เพราะเราถือความพอใจจึงลงไป
ไม่คิดสอยมัวคอยดอกไม้ร่วง……………ไม่คิดสอยมัวคอยให้คานทับ
คงชวดดวงบุปผาชาติสะอาดหอม………..รอให้ดับคาคานหรืออย่างไร
ดูแต่ภุมรินเที่ยวบินตอม…………………..ฤาต้องคอยรักแท้จนแก่ใช่ไหม
จึงได้ออมอบกลิ่นสุมาลี…………………..เกาะคานน้อยคอยรักต่อไป
…………………..........จนกว่าจะเจอคนที่ใช่…ใช่ไหมคาน………………
(อ้างอิงกลอนจากบทละครเรื่องท้าวแสนปม)
มาดูเหตุผลของคนที่ยังไม่ลงจากคานกันค่ะ...
อาจจะมีเหตุผลมากมายที่ไม่อยากลงจากคาน
หรืออาจมีเพียงแค่หนึ่งเหตุผลง่ายๆก็คือ...
...ไม่ใช่คนที่ใช่ก็ไม่ใช่...
หรือว่า
...โดนข้อหาหลายใจ เพราะเคยมีแฟนหลายหน...
หรืออาจเป็นเพรา
...เขาบอกให้รอ เราก็รอ...
หรือจริงๆแล้ว
...ขออยู่รอคนสุดท้ายคนนั้นได้ไหม...
หรือลึกลงไป
...กำลังรอเจ้าชายในฝันอยู่อย่างอดทนได้ทุกอย่าง...
หรือกำลังปลอบใจตัวเองว่า
...ครึ่งหนึ่งของฉันยังมาไม่ถึง...ซึ่งสักวันเขาจะมาอยู่ข้างกัน...
หรือกำลังหลอกตัวเองด้วยการปกปิดว่า
...ไม่หวั่นไหว หัวใจไม่ปรารถนา...
ทั้งๆที่จริงๆแล้ว
...อยากรัก อยากฝัน แต่เพราะกลัว ก็เลยไม่กล้ารักใคร...
หรือว่าอาจจะเป็นเหตผลสุดท้ายที่ไม่ค่อยมีใครกล้ายอมรับดังๆว่า
...ไม่เคยมีใครมาจีบ ไม่มีใครสน เรามันคนธรรมดาๆ...
แต่ไม่ว่าจะเหตุผลใด...
เราก็ยังหวังและยังคงรอคอยปาฏิหาริย์ว่าจะได้เจอคนที่ใช่ในสักวัน...
Tags: ดราม่า หวานซึ้ง อบอุ่น หมอรัง สิ้นรัก วายุ ปองขวัญ
ตอน: ยกที่ 60 ถอดทิ้ง
ยกที่ 60 ถอดทิ้ง
ตะวันมองแผ่นหลังของน้องสะใภ้ที่กำลังยืนมองไปทางศาลาท่าน้ำตรงระเบียงบ้านนิ่ง…
นานๆจะเห็นเธอยกมือขึ้น เหมือนกำลังปาดน้ำตาทิ้ง
เขาจึงเข็นรถเข้าไปใกล้ๆ พันทิวาได้ยินเสียงของรถเข็นก็รีบปาดน้ำตา
ที่กำลังไหลทิ้งไปทันทีก่อนจะหันหลังไปทางคนมาใหม่ด้วยรอยยิ้ม…
“อยู่บ้านแบบนี้เซ็งรึเปล่า…”ตะวันถามด้วยน้ำเสียงและแววตาห่วงใย
พันทิวายิ้มบางพลางส่ายหน้า
“ไม่หรอกค่ะ…ถ้ามุมเซ็ง พี่เพลิงคงเซ็งยิ่งกว่า…”
“นั่นน่ะสิ…”แล้วทั้งสองก็ยิ้มออกมาพร้อมกัน…ก่อนที่ตะวันจะเริ่มเข้าเรื่อง
“ยังเจ็บเท้าอยู่มั้ย…”พันทิวาส่ายหน้า
“ค่อยยังชั่วแล้วค่ะ…ไม่เจ็บแล้ว…”
น้ำเสียงตอนท้ายฟังดูสะท้อนจนคนฟังสำเหนียกได้ถึงความรู้สึกบางอย่างของคนพูด
เพราะบาดแผลของเธอที่ดูเหมือนจะเล็กๆในตอนแรกกลับติดเชื้อ
จนควบคุมให้หายยากกว่าที่คาดคิดกันไว้ จนล่วงเลยเวลาเป็นเดือนๆ
มันก็ยังไม่ยอมหายเป็นปกติ...จนต้องพยายามดูและรักษามันอย่างดีที่สุุดเท่าที่จะทำได้...
“นายดินทำอะไรให้เราไม่สบายใจรึเปล่า…พี่เห็นเราดูเหงาๆซึมๆมาหลายวันแล้ว…
ปกติเราไม่ใช่คนแบบนี้สักหน่อย…”
พันทิวารู้สึกเหมือนต่อมน้ำตากำลังจะกลับมาทำงานอีกครั้ง
เมื่อโดนสะกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นมา…
พันทิวาจึงคุกเข่าลงตรงหน้าตะวันที่กำลังนั่งอยู่บนรถเข็น
“มุมมีเรื่องจะบอกพี่เพลิงค่ะ…เมื่อก่อนมุมไม่กล้าบอก
เพราะกลัวว่าจะมองหน้าพี่เพลิงต่อไปไม่ได้อีก…แต่ยิ่งนานวันมุมก็ยิ่งอึดอัด…”
ตะวันลอบกลืนน้ำลายลงคอเมื่อมองแววตาคู่นั้นของพันทิวา…
แววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกดีๆที่มีให้กับเขา…
“มุมรักพี่เพลิง…รักมานานแล้ว…”
เสียงสั่นๆพร้อมน้ำตาที่ไหลลงมาเป็นทางทำให้ตะวันอดยกมือขึ้นวางบนบ่าของคนตรงหน้าไม่ได้…
“และมุมก็รู้มาตลอดว่าพี่เพลิงไม่ได้คิดกับมุมแบบนั้นเลยสักนิด…
มุมรู้ดีว่าพี่เพลิงรู้ว่ามุมรู้สึกยังไงกับพี่…แค่ให้มุมได้บอกพี่ บอกให้พี่ได้รู้ความในใจของมุม…
เพราะถ้ามุมไม่บอก มุมคงเสียใจไปอีกนาน…
มุมไม่อยากเก็บมันเอาไว้แล้ว…มุมแค่อยากจะบอกพี่…แค่นั้น
แล้วมุมจะลืมพี่…มุมจะเปลี่ยนรักในใจที่มีต่อพี่ให้ได้ค่ะ…”
ตะวันยกมือขึ้นลูบหัวคนตรงหน้าเบาๆแล้วโอบบ่านั้นเอาไว้
“พี่ขอบใจที่เธอรู้สึกดีๆกับพี่ ดูแลพี่อย่างดีมาตลอด…
พี่เองก็รักเธอ รักอย่างที่รักยัยฟ้า…และพี่ก็แน่ใจว่าเธอเองก็รักพี่
อย่างที่รักพี่ยักษ์ของเธอ เพียงแต่พี่ไม่ใช่พี่ชายในสายเลือด
แต่เป็นเหมือนฮีโร่ เหมือนพระเอกขี่ม้าขาวของเธอ…
ซึ่งความจริงแล้วพี่ไม่ใช่เลย…ภาพความประทับใจที่เธอมีต่อพี่
ทำให้เธอมักมองข้ามผู้ชายดีๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต…
เพราะเธอจะนำเขามาเปรียบเทียบกับภาพความประทับใจที่เธอมีต่อพี่เสมอ…
ถ้าเธอลบภาพความประทับใจเหล่านั้นออกไป
เธอก็จะเห็นว่าพี่ก็เป็นคนธรรมดาที่ไม่ได้เป็นพระเอกขี่ม้าขาวอย่างที่เธอเห็นเมื่อตอนเด็กๆ…”
พันทิวาเงยหน้าขึ้นมองคนพูดนิ่งราวกับจะค้านความคิดนั้น
หากตะวันกลับพูดขึ้นก่อนว่า
“พี่เกือบทำร้ายคนที่พี่รักเพราะมองข้ามสิ่งดีๆที่เขามีให้พี่…
เราเกือบจะทำร้ายซึ่งกันและกันเพราะความไม่เข้าใจกัน ไม่พูดคุยกัน…
ไม่ปรับความเข้าใจกัน…ปล่อยให้อีกฝ่ายคิดเอาเอง…”
ตะวันเล่าให้อีกฝ่ายฟังด้วยน้ำเสียงราบเรียบน่าฟัง…
จนพันทิวาระบายยิ้มฝืดๆออกมาขณะพูดว่า…
“พี่เพลิงทำให้มุมรู้สึกดีได้เสมอ เข้าใจมุมมากกว่าคนบางคนเสียอีก
ทั้งๆที่เขาอยู่กับมุมมากกว่าพี่ ใกล้มุมมากกว่าพี่ แต่เขาไม่เคยเข้าใจมุม
ดีแต่ทำให้มุมเสียใจ…เขาไม่เคยพูดจาดีๆกับมุมเลย…”
ประโยคหลังหญิงสาวพูดพลางร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่อีกรอบ
“แต่มุมก็ยังยืนยันว่ามุมรักพี่จริงๆ…”
ตะวันยิ้มบางกับถ้อยคำนั้นของอีกฝ่ายที่ดูจะไม่ยอมลดละง่ายๆ…
“เธอไม่ได้รักพี่เหมือนที่รักนายดินหรอก เธอแค่ประทับใจในตัวพี่ก็เท่านั้น
คนที่เธอรักจริงๆคือนายดินต่างหาก…เธอรักนายดินทั้งๆที่ไม่ค่อยประทับใจในตัวมันสักเท่าไหร่…
ลองถามใจตัวเองดีๆสิ…ว่าอะไรคือภาพฝัน อะไรคือภาพความเป็นจริง”
พันทิวาได้แต่ส่ายหน้า
…ใครจะรู้ใจเธอได้เท่ากับตัวเธอ…
“สำหรับบางคน…เราไม่อาจร่วมทางกันไปได้ ทำได้แค่รู้สึกดี…”
จบคำพูดนั้นพันทิวาก็ยิ้มออกมา คนตรงหน้าเข้าใจและรู้ใจเธอเสมอ
“มุมขอกอดพี่เพลิงได้มั้ยคะ…”คนฟังยิ้มกว้าง
“พี่ก็ไม่ได้ห้ามนี่ น้องสาวจะกอดพี่ชายจะเป็นไรไป…นายดินคงไม่หึงหรอก”
พันทิวาจึงโผเข้าโอบกอดตะวันพร้อมเสียงร้องไห้…
ที่เต็มไปด้วยความดีใจและเสียใจปะปนกัน…
“ขอบคุณค่ะที่เข้าใจมุม…”
“พี่ดีใจมากเลยนะที่รู้ว่าจะได้เธอมาเป็นน้องสะใภ้…เพราะพี่เห็นเธอมาตั้งแต่เด็ก…
เห็นเธอครั้งใดก็นึกถึงยัยฟ้าทุกครั้ง…”
พันทิวายิ้มกว้างให้กับตะวัน…แล้วปาดน้ำตาทิ้ง ทำไมเธอถึงได้อ่อนแอขนาดนี้นะ…
ไม่เคยเลยที่จะร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลังแบบนี้มาก่อน…
ตั้งแต่ชีวิตได้รู้จักและพบเจอกับนายดินทราย ต่อมน้ำตาของเธอก็เริ่มตื้นเขินขึ้นทุกวัน
“เล่าเรื่องน้องสาวคนนี้ของพี่เพลิงให้มุมฟังได้มั้ยคะ…”
“ได้สิ…แล้วเธอจะรู้ว่านายดินรักน้องสาวคนนี้มากแค่ไหน…”
พันทิวากระตุกคิ้วนิดนึงก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มแล้วลุกขึ้นนั่งลงตรงม้านั่งริมระเบียงบ้าน
ฟังเรื่องราวของพิศนภา หญิงสาวผู้ล่วงลับไปแล้ว…
“นี่คือกิ๊บติดผมของยัยฟ้า…”พันทิวารับกิ๊บติดผมจากมือของตะวันแล้วเพ่งดู
ก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น เงยหน้ามองตะวันด้วยแววตาใคร่รู้
“วันที่เขาเสียชีวิต เขาก็ยังติดกิ๊บอันนี้เอาไว้ที่ผม…ตอนที่พี่เห็นมัน
พี่ก็อดน้ำตาไหลไม่ได้ และเก็บกิ๊บอันนี้เอาไว้ตั้งแต่วันนั้นมาตลอด…”
ตะวันมองหน้าพันทิวานิ่งก่อนจะยิ้มให้…
“เห็นมั้ยว่ามันถูกออกแบบมาเหมือนๆกับกิ๊บติดผมที่พี่เคยให้กับเธอ…”
พันทิวาพยักหน้า…
“เพียงแต่ของเธอเป็นรูปแมงมุม ส่วนของยัยฟ้าเป็นรูปพระอาทิตย์กับดวงดาวและพระจันทร์เสี้ยว…”
พันทิวามองพระอาทิตย์สีเหลืองกับพระจันทร์เสี้ยวสีน้ำเงินที่มีดวงดาวดวงเล็กๆสีชมพูหนึ่งดวงอยู่ตรงกลาง
“พี่ออกแบบมันออกมาพร้อมกัน…เพราะวันเกิดเธอกับวันเกิดของยัยฟ้าเป็นวันเดียวกัน
ต่างกันตรงที่เธอเกิดก่อนยัยฟ้าสองปีเท่่านั้นเอง…
พี่ก็เลยทำของขวัญในแบบเดียวกันให้กับเธอและยัยฟ้า…”
พันทิวาเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาหลังจากที่ฟังเรื่องเล่าต่างๆ
เก่ียวกับน้องนุจสุดท้องของบ้านอาทิตยะ…
“แล้วทำไมพระจันทร์ถึงได้เป็นสีน้ำเงินแล้วดวงดาวเป็นสีชมพูล่ะคะ…”
ตะวันยิ้มบาง หยิบกิ๊บติดผมในมือพันทิวาแล้วมองพระจันทร์เสี้ยว
กับดวงดาวด้วยแววตามีความสุข…
“ตอนเด็กๆยัยฟ้าชอบวาดภาพสิ่งที่อยู่บนท้องฟ้าบ่อยๆ…
แล้วมักจะระบายสีดวงอาทิตย์เป็นสีเหลือง ดวงจันทร์เป็นสีน้ำเงิน
แล้วให้ดวงดาวเป็นสีชมพู…นายดินกับพี่เคยถามนะว่าทำไม…
เขาบอกว่า…มันดูไม่เหมือนของเพื่อนๆในห้อง…เพราะนี่คือดวงอาทิตย์
ดวงจันทร์และดวงดาวของฟ้า…จะเหมือนของคนอื่นได้ยังไง…”
พันทิวาอมยิ้มกับถ้อยคำนั้น ตะวันก็เช่นกัน…
“พี่จำคำตอบนั้นได้…กิ๊บติดผมของยับฟ้าจึงถูกออกแบบมาอย่างนี้…
ดูตัวอักษรนี่สิ…”พันทิวาอ่านตัวอักษรตัวเล็กๆที่ถูกแกะสลักเอาไว้ว่า
“หนึ่งฟ้าตะวันเดียว…”พันทิวายิ้มแล้วเงยหน้าขึ้นมองตะวัน
“พี่เพลิงคงรักน้องสาวคนนี้มาก…”
“สำหรับพี่ พี่รักน้องๆทุกคนเหมือนๆกัน…แต่กับยัยฟ้า
อย่าว่าแต่พี่เลย คนอื่นๆก็รุมรักแม่คุณกันทั้งนั้น…
เพราะยัยฟ้าค่อนข้างอ่อนแอและขี้โรค แต่มีรอยยิ้มสดใสและสู้ทนกับโรคภัยไข้เจ็บมาตลอด…
ตอนที่เขาไม่อยู่บ้านหลังนี้เงียบเหงายิ่งกว่าอะไร…เหมือนไร้ชีวิตชีวา…ไร้เสียงหัวเราะ
ไร้เสียงเจื้อยแจ้วของคนขี้อ้อน นายดินทนไม่ไหว ก็เลยขอไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นกับพี่สาวก่อนกำหนด…
ส่วนเจ้าลมน้องชายก็ย้ายไปอยู่ที่ใต้อยู่นาน ไม่กล้ากลับมาพบสภาพบ้านที่ไร้ยัยฟ้า
ส่วนน้ำ ก็ย้ายไปอยู่ที่บ้านสามี นานๆจะกลับมาที่นี่สักครั้ง…
เพราะยังทำใจไม่ได้ จะมีก็แต่พี่ที่ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน
นอกจากกินนอนที่บ้านหลังนี้คนเดียว…เพราะไม่ใช่แต่ยัยฟ้าที่หายไป
หงส์น้องสาวฝาแฝดของเหยี่ยวก็หายไปจากเรือนหลังนี้ด้วย…
พวกเราเจ็บกับเหตุการณ์ครั้งนั้นที่สุด เพราะแม่ที่ถึงจะไม่ได้อยู่บ้านหลังนี้ตลอดก็จากไปด้วย…
เรือนหลังนี้จึงเหมือนเรือนร้าง กว่าจะกลับมามีสีสันได้อีกครั้งก็ตอนที่เจ้าแฝดคลอด…
เสียงเด็กๆทำให้บ้านหลังนี้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง…”
แววตาหมองๆของตะวันทำให้พันทิวาวางมือลงบนหลังมือเขาแล้วยิ้มให้
“ต่อไปเรือนหลังนี้ก็คงจะยิ่งคึกคักอีกเท่าตัว…”
ตะวันขมวดคิ้วนิดนึงมองสีหน้าซีดๆของพันทิวากับรอยยิ้มหม่นๆนั้นด้วยแววตาแปลกใจ
“มุมกำลังจะมีน้องค่ะพี่เพลิง…”ตะวันยิ้มกว้างทันทีที่ได้ยินข่่าวดีจากปากของพันทิวา
ก่่อนจะกุมมือของเธอแล้วถามย้ำอีกครั้ง
“จริงๆเหรอ…”พันทิวาพยักหน้า
“นายดินรู้เรื่องนี้รึยัง…”พันทิวาส่ายหน้า
“ยังค่ะ…มุมยังไม่ได้บอก…”
“พี่ว่าถ้านายดินรู้คงดีใจ…”
“ค่ะ…คงดีใจ…ยิ่งถ้าเป็นผู้ชายคงยิ่งดีใจ…”
ถ้อยคำนั้นทำให้ตะวันอดแปลกใจไม่ได้ เพราะสีหน้าท่าทางของคนพูดดูจะไม่ยินดีนัก
“กี่เดือนแล้ว…”ตะวันถาม เพราะน้องชายของเขาแต่งงานมาเกือบสี่เดือนแล้ว…
“สองเดือนค่ะ…"
“พี่ว่าเธอควรบอกเจ้าดินนะ…”พันทิวาพยักหน้า
“ค่ะ…”
“นอกจากพี่แล้ว มีใครรู้เรื่องนี้รึยัง…”พันทิวาส่ายหน้าไหวๆ ทั้งที่จริงๆแล้ว
ยังมีรังสิมันต์อีกคนที่รู้เรื่องนี้ เพราะเขาถึงทำให้พันทิวารู้ตัวว่ากำลังตั้งท้อง
เนื่องจากช่วงหลังๆที่บาดแผลลุกลาม พันทิวาโทรไปปรึกษารังสิมันต์
ซึ่งประจวบเหมาะกับเขาขึ้นมากรุงเทพฯ ทำให้รังสิมันต์ต้องงดตัวยาฆ่าเชื้อบางตัวไป
เนื่องจากสงสัยจนตรวจพบว่าพันทิวา กำลังตัั้งครรภ์น้อยๆอยู่...
และเธอได้ขอร้องให้รังสิมันต์เก็บเรื่องนี้เอาไว้ก่อน ห้ามบอกใคร...
เพราะเธออยากบอกด้วยตัวเธอเอง...
ตะวันลอบถอนใจ เขาไม่รู้ว่าคนตรงหน้ากำลังมีปัญหาอะไรในใจ
พักหลังๆมาถึงได้เศร้าหมองลง จากคนที่เคยสนุกสนานร่าเริงกลับเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน…
นานๆเขาจะเห็นเธอออกไปไหนมาไหน
เจ้าน้องชายของเขาเองก็เอาแต่ยุ่งกับเรื่องงาน นี่ถ้าเขาสะดวกกว่านี้
เขาก็อยากจะกลับไปช่วยแบ่งเบาภาระที่บริษัทบ้าง…
น้องชายจะได้มีเวลาดูแลหญิงสาวตรงหน้าเขามากกว่านี้…
“งั้นเราไปเดินเล่นกันที่สวนดอกไม้หลังเรือนกันดีมั้ย…พี่ไม่ได้ไปนานแล้ว
ไม่รู้ว่าช่วงนี้มีดอกอะไรออกดอกบ้าง”
ตะวันเริ่มชวนคนเท้าเจ็บด้วยความลืมตัว เพราะเขาเองก็ยังเดินเหินไม่ได้ ต้องอาศัยรถเข็น
พันทิวาจึงยิ้มขันกับสีหน้าของคนชวนที่เริ่มรู้สึกตัวแล้ว
“ว้า…แล้วอย่างนี้ต้องทำไง…เธอกับพี่ถึงจะไปเที่ยวที่สวนดอกไม้ได้ล่ะ”
“ก็ไม่เห็นจะยากนี่คะ…แมงมุมซะอย่าง…ทำได้สบายอยู่แล้ว…”
แล้วทั้งสองก็สามารถถ่อสังขารลงมายังสวนดอกไม้ได้ในที่สุด
ด้วยการช่วยเหลือของผู้ช่วยพยาบาลนั่นเอง…
เมื่อถึงด้านล่่างแล้ว พันทิวาจึงอาสาเข็นรถให้ตะวันเอง
เพราะเธอก็ไม่ได้ง่อยเพลี้ยเสียขาเสียหน่อย…ก็เลยสามารถกะเผลกเท้าเข็นรถ
พาตะวันเดินชมดอกไม้สีสันสวยงามในสวนท่ามกลางผีเสื้อหลากหลายชนิด
ด้วยสีหน้าสดใสขึ้น…
“ขอบคุณนะคะสำหรับไอเดียดีๆ”พันทิวากล่าวขณะนั่งลงตรงม้านั่ง
“บางครั้งสิ่งดีๆ สิ่งที่สวยงาม ก็อยู่ใกล้ๆตัวเรานี่เอง…ว่ามั้ย…”
พันทิวายิ้มกว้างมองไปรอบๆกาย แล้วสูดลมหายใจเต็มปอด เห็นด้วยกับคำพูดนั้น
“นั่นน่ะสิคะ…มุมมาอยู่ที่นี่เกือบสี่เดือนแล้ว แต่ยังไม่เคยลงมาชมดอกไม้ในสวนนี้สักครั้ง…”
ตะวันได้ฟังดังนั้นถึงกับหัวเราะฮึๆในลำคอ
“อย่าว่าแต่เราเลย พี่เองยังนึกไม่ออกเลยว่าเคยมาที่นี่ครั้งสุดท้ายตอนไหน
ยังสงสัยอยู่เลยว่าดอกไม้พวกนี้ยังมีชีวิตอยู่อีกรึเปล่า…ดีนะที่จ้างคนดูแลสวน
ถ้าให้เจ้าของบ้านดูแลเอง มีหวังต้นไม้พวกนี้คงเหี่ยวตายตั้งแต่ยังไม่ทันออกดอกแน่ๆ…”
พูดไปก็หัวเราะไป ทำให้บรรยากาศดีๆกับอากาศดีๆยามบ่ายสดใสขึ้นกว่าก่อนหน้านี้…
“อยากไปเที่ยวที่ไหนเป็นพิเศษรึเปล่า…”ตะวันหันมาถามหญิงสาวที่กำลัง
ก้มลงดมกลิ่นดอกไม้ในสวนอยู่
“เอ่อ…ว่าแต่ถ้ามุมบอกไปแล้วพี่เพลิงจะพาไปรึเปล่าล่ะคะ…”
ตะวันยิ้มที่มุมปาก…
“อย่าบอกนะคะว่าลวงถามเพื่อให้คนอื่นพาไป…”พันทิวาหันมายิ้มให้อย่างรู้เท่าทัน
“รู้ทันอีก…”
“ว่าไง…อยากไปไหนเป็นพิเศษรึเปล่า…”ตะวันยังคงเซ้าซี้ถาม
หลังจากที่พันทิวาไม่ยอมตอบสักที
“มุมไม่ได้อยากไปไหนเป็นพิเศษหรอกค่ะ…เพราะอยู่ที่นี่มุมก็โอเคดีอยู่แล้ว…”
พันทิวาตอบออกไปด้วยน้ำเสียงปกติ
“แต่พี่จำได้ว่าเธอกับนายดินยังไม่ได้ไปฮันนีมูนกันที่ไหนเลยนี่…”
พันทิวาลอบถอนใจนิดนึงก่อนจะเด็ดดอกมะลิมาไว้ในมือ
แล้วเดินกลับมายังคนที่นั่งอยู่บนรถเข็น
“มุมว่าดอกมะลิทำให้รู้สึกสดชื่นจังเลยค่ะ เมื่อก่อนไม่ค่อยชอบกลิ่นของมันสักเท่าไหร่
แต่ไม่รู้ทำไมตอนนี้ถึงได้ชอบเป็นพิเศษนัก…”
ตะวันมองคนที่พยายามเปลี่ยนเรื่องด้วยรอยยิ้มปราย
“ไปเที่ยวที่สวนปักษาวายุของเจ้าลมดูมั้ย ที่นั่นมีครบทุกบรรยากาศที่เป็นกลิ่นไอของธรรมชาติ…
โดยเฉพาะสวนดอกไม้…มีไม้ดอกไม้ประดับหลากหลายชนิด…แถมยังมีกระท่อมกลางนา
ที่ใช้ตะเกียงเจ้าพายุ ไม่มีไฟฟ้าและน้ำประปา…เป็นบรรยาลูกทุ่งๆ”
พันทิวาถึงกับเลิกคิ้วมองคนพูดด้วยแววตาสนใจ
“สมัยนี้ยังมีสถานที่แบบนั้นหลงเหลืออยู่อีกเหรอคะ…”ตะวันพยักหน้า
เมื่อปลาเริ่มกำลังกระตุกเหยื่อที่หย่อนไปเมื่อครู่แล้ว…
“มีสิ เจ้าลมเขาพยายามทำรีสอร์ทและสถานที่รองรับนักท่องเที่ยว
แบบหลากหลายสไตล์ ใครที่ชอบบรรยาลูกทุ่งๆก็ไปที่นั่นได้
เพราะที่สวนปักษาวายุมีทั้งท้องทุ่งและขุนเขา มีทั้งลำธารใส
และน้ำตกเลียนแบบธรรมชาติ มีวิถีชีวิตแบบบ้านๆให้ดูให้ชม
ให้ทดลองใช้ชีวิตอิงธรรมชาติดูได้ที่นั่น…
และที่สำคัญนอกจากกระท่อมกลางนาแล้ว ยังมีกระท่อมกลางสวนเงาะ สวนทุเรียน
สวนลองกองด้วยนะ ใครอยากเป็นชาวสวนชั่วคราวก็ย่อมได้…
หรือจะเป็นเจ้าของสวนดอกไม้นานาชนิดก็มีนะ เพราะที่นั่นมีโรงกล้วยไม้ขนาดใหญ่
แถมยังมีสวนดอกไม้เมืองร้อนอีกมากมายด้วย…
สวนดอกมะลิก็มี…สนใจรึเปล่าล่ะเรา”พันทิวาถึงกับตาโต
“โอ้โห…นี่ที่พี่เพลิงโฆษณามาทั้งหมด มีอยู่ที่สวนปักษาวายุจริงๆเหรอคะเนี่ย…”
ตะวันพยักหน้า เมื่อรู้ว่ายังไงเสีย ปลาตัวนี้ก็หนีไม่รอดแล้ว
“จริงๆ…พี่ถึงอยากให้เธอลองไปเที่ยวเปิดหูเปิดตาดู
แล้วจะรู้ว่าพี่ลมของนายดินน่ะเขาสุดยอดแค่ไหน…
นั่นน่ะเจ้าพ่อกิจการทัวร์ของที่โน้นเชียวนะ…”
“แหม…พี่เพลิงพูดซะมุมอยากไปเลย…ว่าแต่เที่ยวฟรีิ พักฟรี กินฟรีรึเปล่าก็ไม่รู้…”
ตะวันหัวเราะร่วนกับถ้อยคำนั้นของพันทิวา
ดูท่าทางหวงกินกับหวงนอนนั่นสิ…เขาว่าไม่ต่างจากหลานแฝดของเขาเลย
“อันนี้คงต้องถามเจ้าของสถานที่ แต่ถ้าไปในนามของน้องสะใภ้คงไม่เป็นไรมั้ง”
คราวนี้พันทิวาถึงกับอมยิ้ม รู้ว่าโดนกลลวงของคนตรงหน้าเข้าให้แล้ว
แต่ถ้าที่นั่นเป็นดั่งว่าจริง เธอก็ยอมให้หลอกล่ะเอ้า…
“แสดงว่าที่นั่นต้องกว้างใหญ่ไพศาล อลังการงานสร้างมากเลยใช่มั้ยคะ
ชักอยากเห็นแล้วสิ…”ตะวันพยักหน้า ยิ้มกว้างเมื่อปลายอมกินเหยื่อแล้ว
“และก็แสดงว่าพี่ลมก็ต้องรวยมากๆด้วย ทั้งหล่อทั้งรวยทั้งเก่งอย่างนี้
พี่ปองคงมีคู่แข่งเยอะแน่ๆ…”
ถ้อยคำและน้ำเสียงนั้นทำให้ตะวันอมยิ้มให้กับคนที่ดูจะห่วงใยในสวัสดิภาพของปองขวัญ
โดยไม่ได้มองคู่แข่งของตนเองบ้างเลย…
เพราะเจ้าลมน้องชายของเขานั้นไม่คิดจะยุ่งกับหญิงใดที่ไม่มีใจเสน่หาอยู่แล้ว
เรื่องคู่แข่งก็เลยหายห่วง แต่เจ้าดินน้องชายของเขานี่สิ…เจ้าชู้ประตูดินแค่ไหนใครๆย่อมรู้ดี…
แถมสาวๆยังติดแจ ขนาดแต่งงานแล้วก็ยังไม่วายพาขนมจีบไปป้อนเจ้าน้องชายของเขาถึงที่ทำงาน
ดีที่พันทิวาอยู่ที่บ้าน ก็เลยไม่ค่อยรับรู้ข่าวคราวดังกล่าว
เพราะหญิงสาวเป็นคนไม่ค่อยอยากรู้อยากเห็นเรื่องของผู้อื่นสักเท่าไหร่
นี่ถ้ารู้ สถานการณ์อาจจะย่ำแย่ยิ่งกว่านี้ก็เป็นได้…
“คู่แข่งเยอะไม่เยอะพี่ไม่รู้หรอก แต่ที่รู้ๆหมอปองมาวินเห็นๆ…”
“แล้วพี่เพลิงล่ะคะ ไม่คิดจะพาพี่ตามไปเที่ยวที่นั่นบ้างเหรอคะ…
พี่ตามทำงานเหนื่อยๆ อาจจะอยากพักผ่อนคลายเครียดก็ได้…”
คำแนะนำดังกล่่าวทำให้ตะวันหันกลับมาคิดบ้าง
“พี่ก็ว่าเป็นไอเดียที่ดีไม่น้อยเลย…แต่พี่จะพาสาวๆไปไหนได้ล่ะ
ขนาดตัวพี่พี่ยังพาไม่รอดเลย…”พูดพลางก็มองสภาพของตัวเองไปด้วย
พันทิวาจึงปลอบใจไปว่า
“ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย เดี๋ยวนี้รถราพาหนะก็ออกจะสะดวกสบาย
ถ้าพี่เพลิงจะไป เราก็เอารถคันใหญ่ไปด้วยกันเลย…พาผู้ช่วยพยาบาลไปเปิดหูเปิดตาด้วย…
แค่นี้ก็ไร้ปัญหา…เอาช่วงที่พี่ปองย้ายไปอยู่ที่โน้นแล้วเป็นไงคะ…”
ตะวันยิ้มกว้างเห็นด้วยกับความคิดของหญิงสาวเป็นที่สุด…จึงพยักหน้าหงึกๆ
“มุมจะได้ชวนพี่รักไปด้วย เอาครอบครัวของเจ้าแฝดไปด้วย ปิดบริษัท
ไปพักกันทั้งบ้านอาทิตยะและบ้านของมุมด้วยเป็นไงคะ…”
คราวนี้คนฟังถึงกับตาค้าง ไอ้ที่คาดๆเอาไว้ว่าจะให้แม่คุณได้ไปฮันนีมูนกับน้องชายของเขาตามลำพัง
เป็นอันจะพาพังลงไปเรื่อยๆแล้ว เมื่อดูเหมือนจะมีเรือพ่วงตามหลังไปอีกหลายลำ…
แต่ละลำดูจะมีสัมภาระติดสอยห้อยตามไปด้วยไม่น้อยเลย…
“พี่ว่ามันจะดูเอิกเริกไปนิดนึงนา…”ตะวันหยั่งเชิง พันทิวากลับส่ายหน้า
“เอิกเริกที่ไหนล่ะคะ อบอุ่นจะตาย ไปกันหลายคน สนุกสนานเฮฮาออก”
ตะวันเหมือนจะพ่ายแพ้ต่อความอบอุ่นของคนพูดเสียแล้ว
“งั้นเอาไว้เราค่อยปรึกษาเรื่องนี้กับคนอื่นๆดูเอามั้ย…”พันทิวาฉีกยิ้มกว้าง
ราวกับเด็กน้อยที่ได้ของเล่นหลังจากที่อ้อนขอพ่อแม่อยู่นาน…
ทำให้อดนึกไปถึงน้องสาวคนเล็กของเขาที่จากไปแล้วไม่ได้…
“พี่ว่าเรากลับขึ้นเรือนกันดีกว่า…”พันทิวาพยักหน้าเมื่อได้ยินเสียง
เครื่องยนต์แล่นเข้ามาในบ้าน
“สงสัยเจ้าแฝดคงกลับจากโรงเรียนกันแล้ว…งั้นขอมุมเก็บดอกมะลิอีกสักนิดนะคะ…”
พูดเสร็จพันทิวาก็ก้มเก็บดอกมะลิใส่ตะกร้า
ที่เตรียมมาเพื่อเก็บดอกไม้ไปจัดแจกันบนเรือน…
“มา…เดี๋ยวพี่ช่วยถือตะกร้าให้…”ตะวันยื่นมือเข้าช่วย
พันทิวาจึงส่งตะกร้าให้ แล้วรีบเก็บดอกมะลิใส่ตะกร้าพลางร้องเพลงไปด้วย
เสียงใสๆของหญิงสาวทำให้ตะวันยิ้มกว้างอย่างมีความสุข
ที่เห็นคนตรงหน้าดูสดใสร่าเริงอย่่างแต่ก่อน…
“ถ้ามองไปไม่มีดอกไม้ แต่ใจฉันมีดอกไม้
อะไรดูสวยงาม สดใสไปทุกอย่างเลย
ตัวฉันเป็นอย่างนี้ ก็เพราะมันไม่เคย เลยลังเลไม่ค่อยเข้าใจ…
ถ้ามองไปที่ตรงขอบฟ้า ลอยล่องไปสุดฟ้า
ส่งใจไปหาใคร คิดถึงใครสักหนึ่งคน…
ใจฉันเป็นอย่างนี้ ฉันชักจะสับสน
ก็อยากที่จะลองหาต้นเหตุ…
เพราะเธอรึเปล่า…ใช่เธอรึเปล่า
เพราะเธอรึเปล่า ที่คอยเข้ามาในจิตใจฉันทุกวัน
เพราะฉันรึเปล่า…ฉันเองรึไง ฉันเองใช่ไหม
ที่ไปหวั่นไหว หรือแต่แค่ฝัน…ไปคนเดียว…”
เสียงร้องเพลงของพันทิวาบังเอิญไปกระแทกหูของสามีตัวเอง
ที่กำลังเดินตามหาภรรยาตามคำบอกเล่่าของแม่บ้านเข้าพอดี
ทำให้ภาพน่ารักๆของเธอกับพี่ชายของเขาบาดทรวงของคนพบเห็นเข้าพอดิบพอดี…
…อดหมั่นไส้ไม่ได้ ทีอยู่กับเขาทำตัวราวกับแมงมุมสารพัดพิษ
แต่กับพี่ชายของเขาแม่คุณกลับถอดเขี้ยวถอดเล็บถอนพิษออก
ลอกคราบกลายเป็นแมงมุมน้อยร้องเพลงเสียงใสกิ๊งเชียว…
แถมยังร้องเพลงไปยิ้มไป เก็บดอกไม้ไปอย่่างสบายจิต
คงลืมคิดถึงสามีอย่างเขาไปสนิทเลยล่ะสิ…
และก็พอดีที่ตะวันหันมาเห็นน้องชายยืนทำหน้างอ ตาเขียวปั๋ดเข้าพอดี
ผู้เป็นพี่จึงส่งตะกร้าไปให้น้องชาย แล้วพยักพเยิดไปทางพันทิวา
ที่ดูจะเพลิดเพลินกับการก้มเก็บดอกมะลิจนไม่รู้เลยว่ามีสามีของตนเองยืนจ้องไม่ยอมวางตา…
ตะวันจึงหลบมุมให้ทั้งสองได้พูดคุยเจรจากัน
อย่างน้อยๆตอนนี้พันทิวาก็ดูอารมณ์ดี คงจะไม่ทะเลาะกันอย่างเคย…
หากเขาคงไม่รู้ว่าลับหลังเขาไปเพียงนิด จากเสียงใสๆ
ของคนที่กำลังร้องเพลงอย่างสบาบจิตเปลี่ยนเป็นเสียงร้องไห้ของหญิงสาวแทน…
“พี่เพลิงล่ะไปไหน…”พันทิวาถามพสุธเสียงเข้ม
พลางสอดส่ายสายตามองหาตะวันที่เห็นกำลังเข็นรถออกไปอยู่ไม่ไกลนัก
หญิงสาวจึงตั้งหน้าจะเดินไปช่วยเข็นรถให้อีกฝ่าย แต่กลับถูกขวางไว้
“ถอยนะ จะกลับแล้ว…”
“ไม่เก็บดอกไม้ต่อแล้วรึไง รึว่าเห็นคนถือตะกร้าเป็นสามีขึ้นมา
เลยหมดอารมณ์สุนทรีย์…”
“ใช่…หมดอารมณ์แล้ว…เอาคืนมานะ”พูดพลางก็แย่งยื้อตะกร้าดอกมะลิในมือของพสุธ
หากชายหนุ่มกลับไม่ยอมคืนให้ง่ายๆ
“อยากได้คืนก็ตามไปเก็บเอาที่อ่างอาบน้ำกับบนเตียงก็แล้วกัน…”
ไม่พูดเปล่าพสุธเดินจ้ำอ้าวไปตามทางกลับเรือนทันที
พันทิวารีบเดินตามไปทันทีโดนลืมไปสนิทว่าเท้าของเธอเป็นแผลอยู่
และแผลนั่นดันไปเหยียบเข้ากับก้อนหินพอดี
หญิงสาวเจ็บจนน้ำตาเล็ดออกมา นั่งพับเพียบเอามือกุมแผลนั่นเอาไว้แน่นด้วยความเจ็บ…
เลือดไหลซิบผ่านผ้าพันแผลออกมาอย่างเห็นได้ชัด
ทั้งๆที่มันจวนจะหายอยู่แล้ว....และแทนที่จะหายวันหายคืน...
คราวนี้เธอคงต้องรอไปอีกหลายวันกว่าแผลจะหายเป็นปกติ…
ทั้งๆที่มันก็แค่แผลเล็กๆแม้จะค่อนข้างลึก แต่ทำไมมันถึงได้กินระยะเวลาในการรักษาเยียวยา
ยาวนานขนาดนี้ด้วยนะ...พันทิวาขบคิดจนอดมองดูบาดแผลดังกล่าวไม่ได้
มันคงเหมือนแผลในใจเธอกับเขา ที่ยิ่งนานวันก็ยิ่งลุกลามขึ้นทุกที...
พสุธเห็นอีกคนยังไม่เดินตามมาก็หันหลังกลับไปดู
นึกขึ้นมาได้ว่าเท้าเธอยังเจ็บอยู่ และสีหน้าของชายหนุ่มถึงกับถอดสี
เมื่อเห็นหญิงสาวนั่งร้องไห้กระซิกเบาๆน้ำตาไหลอาบแก้มตรงโคนต้นมะลิ
โดยมือยังกุมเท้าเอาไว้แน่น…ด้วยความปวดหนึบ...
พสุธคุกเข่าลงข้างๆแล้วยกร่างนั้นขึ้นอุ้ม
“ฉันขอโทษ…ขอโทษนะ…”เสียงขอโทษและแววตาเสียใจนั้น
ทำให้พันทิวาถึงกับหลุบตาต่ำ ก่อนจะนึกขึ้นได้
“ดอกมะลินั่น…”หญิงสาวชี้ไปยังตะกร้าดอกมะลิที่วางอยู่บนพื้น
พสุธส่ายหน้านิดนึงก่อนจะหย่อนเข่่าลงหยิบตะกร้านั้นขึ้นมา
พันทิวาจึงรับมาถือเอาไว้…
“จะมีสักวันไหมที่ฉันกลับมาแล้วพบว่าเธอไม่พาเท้ามาเดินซุกซนจนได้เรื่องแบบนี้…”
เสียงดุๆนั้นทำให้พันทิวาถึงกับเบ้ปาก เถียงออกไปข้างๆคูๆว่า
“ก็ฉันเบื่อ ฉันเซ็งเป็นเหมือนกันนี่ ไม่ใช่นายนี่ ที่พาหน้าผากแตกๆไปอวดสาวๆที่ทำงานได้ทุกวัน…
ไม่เห็นฉันจะบ่นสักคำ…”พสุธถึงกับอมยิ้มที่ได้ยินถ้อยคำนั้นของคนที่กำลังอุ้มอยู่
“อยากไปเที่ยวมั้ยล่ะ เดี๋ยวฉันพาไป…”พันทิวาไม่ตอบ นอกจากเสหน้าไปทางอื่น…
ลอบยิ้มอยู่ในใจไม่ให้อีกฝ่ายได้รู้แผนการของเธอกับพี่เพลิงที่วางเอาไว้ก่อนหน้านี้…
“แต่คงต้องรอให้เท้าของเธอหายก่อน…”
“และคงต้องรอให้หน้าผากของนายหายก่อนด้วยใช่มั้ย…”พันทิวาต่อให้
จนคนฟังแอบขำกับน้ำเสียงและสีหน้างอๆของคนพูด…
“อยู่ๆก็นึกหึงสาวๆที่ทำงานขึ้นมารึไง…”พันทิวาถึงกับถลึงตาใส่คนพูดทันทีที่เขาพูดจบ
“อะไร…ใครหึง…”
“ก็เธอนั่นแหล่ะ…เห็นๆอยู่ว่าหึง…”
“ฉันไม่ได้หึง…ก็แค่พูดไปตามที่ตาเห็น…”
“แสดงว่านั่งทางในได้ด้วย…สุโค่ยน่า…”พสุธกระเซ้าพันทิวาอย่างนึกสนุก
“ถึงไม่มีตาทิพย์ แต่เพราะตาใจของฉันนี่แหล่ะที่ทำให้เห็น
ว่าผู้ชายเจ้าชู้อย่างนายมีกิจวัตรประจำวันคืออะไรบ้าง…”
พสุธอมยิ้มกับคำพูดนั้นอย่างปิดไม่มิด
“อะไรบ้างล่ะ อยากรู้จริงๆว่าจะใช่อย่างที่ฉันเป็นรึเปล่า…”
“อย่าให้พูด…”หญิงสาวเบ้ปากราวกับไม่สบอารมณ์จะพูดด้วย
“ที่ไม่พูดเพราะเขินมากกว่าล่ะมั้ง เพราะกิจวัตรของฉันแต่ละวัน
ไม่เห็นจะมีอะไรนอกจากนอนกอดเมียก่อนตื่นไปทำงาน
พอเลิกงานก็กลับมาหาเมีย แล้วก็ทำการบ้านก่อน…”
ไม่ทันพูดจบก็โดนฝ่ามืออรหันต์ของเมียปิดปากเสียหนักมือ…
“พูดมากจริง…”พสุธหัวเราะฮึๆในลำคอก่อนจะจูบฝ่ามือที่ปิดปากของเขาเล่น…
พันทิวาสะบัดมือออกทันทีราวกับโดนของร้อน
พสุธจึงหัวเราะร่วนกับสีหน้าท่าทางของคนในอ้อมกอด
ทำให้คนที่เขาเดินผ่านหน้าไปถึงกับอมยิ้มกับภาพนั้นของทั้งสอง
“ว่าแต่ทำไมถึงได้นึกเก็บดอกมะลิขึ้นมา ร้อยวันพันปีไม่เห็นจะชอบกลิ่นของมันสักเท่าไหร่นี่…”
พสุธทักขึ้นเมื่ออุ้มหญิงสาวมาวางไว้บนเตียงโดยสวัสดิภาพอย่างเคยเสร็จ
พันทิวามองดอกมะลิในตะกร้าก็ให้ฉงนสงสัยตัวเองขึ้นมาเหมือนกัน
ปกติเธอไม่ค่อยหวั่นไหวกับความสวยงามของพวกดอกมงดอกไม้กับเขาสักเท่าไหร่
แต่อยู่ๆกลับนึกพิศวาสดอกไม้พวกนี้ขึ้นมาได้…หรือว่า…
หญิงสาวยกมือขึ้นแตะตรงหน้าท้องทันที…
พสุธมองสีหน้าท่าทางนั้นอย่างงงๆ…แล้วอดถามออกไปไม่ได้ว่า
“ไม่มีข่าวดีมาบอกฉันบ้างเหรอ นี่ก็หลายเดือนแล้วนะที่เราแต่งงานกันมา”
พันทิวาถึงกับหน้าแดงที่เจอคำถามแบบโจ่งแจ้ง ตรงๆแบบขวานผ่าซากขนาดนั้นของเขา…
“เอ่อ…ยังหรอก…”
“ก็ดี…เธอจะได้ติดแหง็กอยู่กับฉันไปอีกนานแสนนานไง…เธอคงไม่ชอบสักเท่าไหร่
แต่สำหรับฉัน ยังไงก็ได้อยู่แล้ว…”พูดเสร็จก็หอมแก้มหญิงสาวฟอดใหญ่
พันทิวาหลบหลีกเมื่อเขาพยายามจะทำมากกว่านั้น…
“วันนี้ฉันไม่สะดวก เป็นวันนั้นของเดือนน่ะ…”หญิงสาดปดคำโต…
พสุธจึงเพียงแค่กอดเธอเอาไว้นิ่งอย่างนั้นก่อนจะนึกขึ้นได้
จึงลุกขึ้นไปหยิบอุปกรณ์ทำแผล…แล้วจับเท้าของหญิงสาวมากุมไว้
เพื่อสำรวจดูบาดแผล ก่อนจะเริ่มแกะผ้าพันแผลนั่นออกแล้วล้างแผลให้พันทิวาอย่างเบามือ
หญิงสาวมองการกระทำนั้นของเขาอย่างเพลิดเพลิน
ก่อนจะกัดฟันข่มความเจ็บจี๊ดๆ พสุธจึงช้อนตาขึ้นมองคนเจ็บนิดนึง
ก่อนจะก้มกลับลงไปเพื่อพันผ้าพันแผลต่อ…
“ดูเธอมีความสุขเวลาอยู่กับพี่เพลิงนะ บอกฉันได้มั้ยว่าพี่เพลิงทำยังไง
ทำไมเธอถึงหัวเราะยิ้มได้ แถมยังร้องเพลงได้ไม่อายผีเสื้อ…”
พันทิวาถึงกับค้อนให้กับประโยคสุดท้ายของคนถามที่ยังคงวุ่นอยู่กับบาดแผลของเธอ
ก่อนจะตอบออกไปตรงๆว่า…
“ก็ไม่เห็นจะทำอะไร นอกจากชวนฉันไปมองอะไรสวยๆงามๆ
ไม่หาเรื่องทะเลาะกับฉัน ไม่ทำให้ฉันร้องไห้ ไม่ทำให้ฉันเสียใจ
เข้าใจฉัน และก็เอาใจฉัน ชวนไปโน่นไปนี่ พยายามมองหาสถานที่ดีๆ
ให้ฉันไปพักผ่อนคลายเครียด แก้เซ็งก็เท่านั้น…”
“ซึ่งฉันไม่เคยทำได้แบบนั้นเลยใช่มั้ย…”พสุธต่อให้อย่างหมั่นไส้คนพูด
ที่ดูจะชื่นชมพ่ีชายของเขาเสียออกนอกหน้า…
“นายถามฉัน ฉันก็ตอบไปตรงๆ ถ้าไม่อยากได้ยินคำตอบแบบนี้
นายก็ไม่ควรถามคำถามแนวนี้กับฉันนี่…”พสุธกระตุกยิ้มที่มุมปากนิดนึง
เมื่อคิดอะไรออก…
“เมื่อเช้าพี่ลมโทรมาชวนให้ฉันพาเธอไปฮันนีมูนที่สวนปักษาวายุของพี่เค้า
เที่ยวฟรี พักฟรี กินฟรี เธอจะว่าไง…”พันทิวาถึงกับตกใจตาค้างในสิ่งที่ได้ยิน
ทำไมเรื่องมันถึงบังเอิญได้ขนาดนี้…
“จะมาฮันนีมูนอะไรกันตอนนี้…ทีก่อนหน้านี้ไม่เห็นชวน…”
พสุธยิ้มให้กับท่าทางงอนๆของหญิงสาวที่นานปีจะมีมาให้เห็นสักครั้ง
“จะเมื่อไหร่ตอนไหน ก็ฮันนีมูนได้ทั้งนั้นแหล่ะน่า…สนใจจะไปมั้ย
สัปดาห์หน้าฉันว่างพอดี…”พสุธเลิกคิ้วถาม
“พาพี่เพลิงไปด้วยสิ…”คนฟังเลิกคิ้วนิดนึง ก่อนจะยิ้มแล้วตอบว่า
“จะพาไปทำไม เกะกะออก…”
“ไม่เห็นจะเกะกะตรงไหน ฉันจะชวนพี่ตามไปด้วย แล้วก็จะชวนพี่รัก
ชวนเจ้าแฝด และก็ชวนที่บ้านไปด้วย…”
“โอ้โห…นี่เธอกะจะขนกันไปทั้งลำเลยเหรอ…ไม่กลัวเรือแตกรึไง…”
“ถ้านายไม่โอเค ฉันก็ไม่เซย์เยส…อยากไปก็ไปคนเดียวก็แล้วกัน
ไปกับนายตามลำพังวังเวงจะตาย…”พันทิวาตีหน้าตาย
“แล้วมีคู่ฮันนีมูนที่ไหนเขาขนคนไปเป็นก้างมากมายอย่างเธอบ้างล่ะ”
“ก็คู่ของนายกับฉันไง…”พสุธยกมือกุมขมับทันทีเมื่อสิ้นคำพูดนั้น
ก่อนจะเก็บอุปกรณ์ทำแผลเข้าที่…
“ถ้าไปคราวนี้ ไม่มีลูกมาฝากฉัน เธอแย่แน่ๆพันทิวา…”เสียงคาดโทษนั้น
มิได้ทำให้พันทิวารู้สึกรู้สาอะไร…
“อยากได้ลูกมากเลยรึไง…”พันทิวาถามออกไปด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนิดๆ
พสุธจึงเดินกลับมาหลังจากนำอุปกรณ์ไปเก็บเรียบร้อยแล้ว
ก่อนจะนั่งลงตรวจดูบาดแผลที่ฝ่าเท้าของพันทิวาให้แน่ใจอีกรอบพลางตอบไปว่า
“อยากได้สิ…อิจฉาพี่รักกับพี่เหยี่ยวจะแย่ มีลูกทีเดียวได้ถึงสองคน…
ที่เขาเรียกทูอินวันไง…แถมน่ารักน่่ากอดอีก…อยากมีแบบนั้นบ้าง…”
ว่าแล้วพสุธก็ช้อนตาขึ้นมองภรรยาของตนแล้วกล่าวอีกว่า
“เธอช่วยฉันหน่อยนะ…แมงมุมนะ…”แววตาขี้อ้อนของเขาทำเอาพันทิวา
ถึงกับหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย…
“ช่วยยังไงได้เล่า…”
“ก็แค่เต็มใจ ไม่ใช่ฝืนใจ…จะได้ไหม…”พันทิวากัดปากตัวเอง
จนแทบจะพูดออกไปด้วยความโกรธแล้วว่า
ถ้าที่ผ่านมาเธอไม่เต็มใจ มีหรือเธอจะยอมเขา…
แต่เพราะความกระดากอาย เธอจึงเลือกที่จะเงียบ…
และเพราะความเงียบ จึงทำให้คนฟังลุกขึ้นมานั่งลงข้างๆภรรยาสาว
“ฉันรู้ว่าคงยากที่จะขอให้เธอหันมารักฉัน…ฉันคงไม่ขอเธอมากเกินไป
ถ้าจะขอให้เธอมีลูกให้ฉันเพื่อเป็นตัวแทนความรักที่ฉันมีต่อเธอ…
ถึงเธอจะไม่รักฉัน…ถึงเธอจะไม่…”พันทิวายกนิ้วปิดปากนั้นเอาไว้
พลางส่ายหน้าไปมา แล้วเปลี่ยนเป็นยกสองมือขึ้นประคอง
คางสากๆนั่นเอาไว้ก่อนจะจุมพิตริมฝีปากชายหนุ่มเบาๆ…
พสุธออกจะแปลกใจกับสัมผัสนั่นที่เธอมอบให้กับเขา…
หากก็รู้สึกดีจนอดใจที่จะตอบรับสัมผัสนั้นไม่ได้…
“เป็นวันนั้นของเดือนไม่ใช่เหรอ…”พสุธถามขึ้นเมื่อเริ่มยั้งใจเอาไว้ไม่อยู่
พันทิวาส่ายหน้า
“ฉันโกหกนาย…”เท่านั้นพสุธก็เหมือนเห็นสัญญาณไฟเขียวอยู่ตรงหน้า
จึงไม่รอรีอีกต่อไป…
“ฉันรักเธอ…แมงมุม…”พสุธกล่าวขึ้นขณะยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนใบหน้าให้ภรรยาสาว
ก่อนจะจุมพิตหนักๆตรงหน้าผากมนนั่นด้วยความรักใคร่เสน่หา
…ถึงจะรู้ว่าเธอมีพี่ชายของเขาอยู่เต็มหัวใจ
สิ่งที่เธอทำกับเขามันดูรุนแรง เหมือนแกล้งรักให้เขาสับสน
แต่ที่ยอมให้เธอก็เพราะรักและต้องการให้เธออยู่กับเขาเรื่อยไปอย่างนี้
และคงทำใจไม่ได้ที่จะยอมให้เธอจากไปจริงๆ จึงพยายามหาหนทางรั้งเธอเอาไว้
แม้จะเจ็บปวดทุกครั้งที่รู้ว่าเธอรักคนอื่นไม่ใช่เขา
แต่เขาก็เต็มใจที่จะอดทน ทั้งๆที่ไม่เคยยอมให้ใครมากมายขนาดนี้มาก่อน
ก็เพราะรักเธอทั้งหัวใจ อะไรก็ยอมได้ทั้งนั้น…
“บางครั้ง…ฉันรู้สึกเหมือนเธอเองก็มีใจให้ฉัน…
ในขณะที่บางครั้ง…เธอก็ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนไร้ตัวตน…
บอกฉันได้มั้ย…ว่าเธอรู้สึกยังไงกับฉันกันแน่…”
พสุธเปรยออกมาในขณะที่เอามือก่ายหน้าผากมองเพดานห้องนิ่ง
ความสุขที่เธอมอบให้กับเขาเมื่อครู่นี้มันไม่ใช่ความฝันแต่เป็นความจริง…
เธอทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความรัก…หากเขาไม่แน่ใจว่ามันจะใช่ความรักจริงๆรึเปล่า
…เธออาจจะแกล้งหลอกเขาให้ตายใจเล่นก็ได้…
“ถ้าฉันมีลูกชายให้นาย…นายจะปล่อยฉันเป็นอิสระจริงๆรึเปล่า…”
พันทิวาเลือกที่จะถามอีกฝ่ายแทนด้วยสีหน้าและน้ำเสียงราบเรียบ
ยากที่ใครจะล่วงรู้ความคิดข้างในนั้นได้…พสุธตะแคงข้างมองหน้า
พันทิวาที่กำลังนอนจ้องเพดานห้องนิ่ง…ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างฝืดๆ
“เธออยากเป็นอิสระจากฉันมากถึงขนาดยอมปรนเปรอฉัน
แกล้งทำเป็นว่ารักฉัน เธอยอมทำเพื่ออิสรภาพได้ขนาดนี้เลยเหรอ…”
พสุธกล่าวพลางลุกขึ้นหยิบเสื้อผ้าบนพื้นยัดใส่ตะกร้า
แล้วคว้าเสื้อคลุมอาบน้ำขึ้นสวมใส่ มองแผ่นหลังของคนบนเตียงนิ่ง
“หรือเป็นเพราะเธอเห็นใจฉัน ที่อยากมีลูกกับเธอ
สำหรับเธอ ฉันคงเป็นได้แค่นี้ เป็นแค่เศษดินที่น่ารำคาญ…
และน่ารังเกียจสินะ…แต่ต่อให้เธอจะรังเกียจฉันแค่ไหน
เธอก็ไม่มีวันสลัดฉันออกไปจากชีวิตเธอได้หรอก…
เพราะฉันจะเกาะติดเธอไปทุกที่ คอยรังควานเธออยู่อย่างนี้…
จนกว่าเธอจะให้ในสิ่งที่ฉันต้องการ…”พูดจบพสุธก็เดินหุนหันเข้าห้องน้ำไป
พันทิวาได้แต่ลอบถอนใจครั้งแล้วครั้งเล่า
เธอกับเขาคงจะพูดดีๆกันได้ไม่เกินห้านาที…ไม่รู้เป็นเพราะเธอพูดไม่เป็น
หรือเป็นเพราะเขาไม่เคยเข้าใจในสิ่งที่เธอพูดกันแน่…
ถึงได้ตีความกันไปคนละทิศคนละทางอย่างที่เป็นอยู่อย่างนี้…
ไม่ใช่เขาเท่่านั้นที่เหนื่อย เธอเองก็เหนื่อยเหมือนกัน…
เหนื่อยจนอยากกลับไปใช้ชีวิตแบบสาวโสดอีกครั้ง…
ที่วันๆไม่ต้องมานั่งปวดหัวกับเรื่องราวความรักความใคร่
มีอะไรให้สนุกสนานเฮฮาได้เรื่อยๆ…อยากไปไหนทำอะไรก็ดูเบาตัว สะดวกไปหมด…
เพราะไร้พันธะผูกพันกับใคร…
แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่ออะไรๆมันไม่ได้เหมือนเดิมอีกแล้ว
และตอนนี้ก็มีสิ่งแปลกใหม่ที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อนกำลังก่อกำเนิดขึ้นในครรภ์ของเธอ…
และคนที่พันทิวานึกถึงมากที่สุดในยามนี้คือ มารดา…
หลังจากวันนั้นพันทิวาก็หอบผ้าหอบผ่อนไปนอนบ้านบิดามารดาที่สุพรรณบุรี
พสุธก็ไม่ยอมมาตามภรรยากลับเรือน ร้อนจนคนเป็นพ่อเป็นแม่ทนไม่ไหว…
“แม่ว่ามีอะไรก็น่าจะคุยกันนะเจ้ามุม เล่นหอบผ้าหอบผ่อนหนีมาอย่างนี้ ไม่ดีเลย…”
แม่ตำลึงบอกกับลูกสาวอย่างกังวล
“มุมไม่ได้หนีมานะแม่ แค่จะหาที่พักที่ไม่มีคนคอยหาเรื่องทะเลาะสักวันสองวันก็เท่านั้นเอง…
แม่ไม่รู้หรอกว่านายดินทรายน่ะชอบหาเรื่องมาทะเลาะกับมุมอยู่เรื่อย
มุมหมดความอดทนจะฟังเขาพูดจาหาเรื่องจะแย่อยู่แล้ว…”
พันทิวาบ่นออกมาอย่างหงุดหงิด
ไม่รู้เป็นเพราะกำลังท้องกำลังไส้จึงอารมณ์แปรปรวนง่าย
หรือเป็นเพราะไม่ได้ดั่งใจที่อีกคนทำเหมือนไม่สนใจตนกันแน่…
“แกก็ยัดกำปั้นเข้าปากมันสักดุ้นสองดุ้น เดี๋ยวก็เลิกหาเรื่องไปเองแหล่ะ”
คนเป็นพ่อไม่รู้จะพูดอะไรให้ลูกสาวเย็นลง เพราะเอาน้ำเย็นเข้าลูบก็แล้วก็ไม่เป็นผล
สามวันแล้วที่เห็นลูกสาวนั่งถอนหายใจ
เดินถอนหายใจ แล้วก็นอนถอนหายใจรดหัวชาวบ้านเขา…
“หาเรื่องยุให้ผัวเมียเขาทะเลาะกันเข้าไป”
“ดีสิ…โบราณเขาว่า ยิ่งทะเลาะกันลูกยิ่งดก แม่ตำลึงไม่เคยได้ยินรึ”
“ได้แท้งลูกล่ะสิไม่ว่า…”มาถึงตรงนี้พันทิวาถึงกับเอามือแตะตรงหน้าท้อง
ด้วยสัญชาตญาณความเป็นแม่ทันที แม่ตำลึงหันมาเห็นภาพนั้นเข้า
ถึงกับขมวดคิ้วสงสัย…และเมื่ออยู่กันตามลำพังสองแม่ลูก
ผู้เป็นแม่จึงไม่ลืมที่จะถามในสิ่งที่สงสัย…
“แกท้องใช่มั้ยเจ้ามุม…”พันทิวาหันมามองหน้ามารดาด้วยแววตาตกใจ
“แม่รู้?”
“ฉันเป็นแม่แก และก็เป็นแม่คน…ทำไมฉันจะไม่รู้…
แกดูจะระวังกว่าปกติ แถมหน้าตาก็ดูผ่องขึ้น มีน้ำมีนวลขึ้นผิดหูผิดตา
สรีระต่างๆที่เห็นมันบ่งบอกชัดๆว่าแกกำลังท้อง…บอกมาว่ากี่เดือนแล้ว”
พันทิวาถอนใจหนัก…ตอบเสียงเบาๆออกไปว่า
“สอง…”
“สองเดือน…แสดงว่ามันก็มีน้ำยากับเขาเหมือนกัน…”
“แม่!!!”พันทิวาค้อนมารดาด้วยสีหน้าแดงจัด…
“ทำมาเขิน จะเป็นแม่คนอยู่แล้ว ยังทำตัวเหมือนเด็กไม่มีผิด
แกควรจะกลับไปปรับความเข้าใจกับพ่อเด็กให้รู้เรื่อง…
เขาไม่มารับเราก็กลับเองได้ มาเองกลับเอง ไม่ต้องง้อใคร แม่ว่าเท่ออก…
อย่าบอกนะว่าพ่อเด็กยังไม่รู้เรื่องนี้”
พันทิวาเสมองไปทางด้านอื่นทันที เมื่อเจอเข้ากับคำถามนี้…
“จะกลัวอะไร บอกเขาไปเลยว่าแกกำลังจะมีลูกกับเขา…”
“แม่ไม่เข้าใจมุมหรอก…ยังไงมุมก็ไม่บอกอีตานั่นหรอก…”
“วันนี้แกไม่บอก แต่แกคิดเหรอว่าอีกสองเดือนข้างหน้า
หน้าท้องแกจะไม่ฟ้องให้พ่อเด็กรู้…”
“ถ้าอยากโง่นัก ก็ปล่อยให้รออีกสองเดือนมันนั่นแหล่ะ…
เห็นกินข้าวทุกวัน ทำไมถึงไม่ฉลาดขึ้นบ้างก็ไม่รู้สิแม่…
ทีเรื่องอื่นล่ะเจ้าเล่ห์นัก…กะอีแค่เรื่องง่ายๆกลับมองไม่ออก…
ปล่อยให้ไถนาต่อไปอย่างนั้นแหล่ะแม่…”พันทิวาต่อว่าต่อขาน
ไปถึงอีกคนด้วยสีหน้าเจ็บใจ…
“สรุปว่า แกจะไม่ยอมบอกพ่อเด็ก…ก็ดี…งั้นแม่จะโทรไปบอกเอง”
“ไม่นะแม่…”พันทิวารีบคว้าข้อมือของมารดาเอาไว้ด้วยแววตาอ้อนวอน
“อย่านะแม่…ปล่อยให้เขารู้เอง…มุมอยากรู้ว่าเขาฉลาดพอที่จะเป็นพ่อของลูกมุมรึเปล่า…”
คนเป็นแม่ได้ฟังเหตุผลของลูกสาว
ถึงกับหัวเราะพลางส่ายหน้าไหวๆ…
“แม่ไม่ได้รำคาญที่แกมาอยู่ด้วยนะเจ้ามุม
แต่แกควรจะกลับไปหาพ่อเด็กได้แล้ว
ผัวเมียกัน ไม่ควรโกรธกันเกินสามวัน มันไม่ดี…
และที่สำคัญ เขาไม่ให้นอนหันหลังให้กันรู้มั้ย มันบาป…”
คนเป็นแม่แตะมือลงบนบ่าของลูกสาวแล้วลูบเบาๆ
พันทิวามองมารดาที่พูดราวกับตาเห็นนิ่ง…
“โดยเฉพาะคนเป็นเมีย ไม่ควรเลยที่จะนอนหันหลังให้สามี
เราควรจะรักและเคารพเขา เชื่อฟังเขา…คอยอยู่ดูแลเอาใจใส่เขา
หนักนิดเบาหน่อยก็พยายามอดทนและให้อภัยกัน
ถ้าไม่แล้ว บ้านก็ไม่เป็นบ้านอีกต่อไป แม่ไม่อยากให้ครอบครัวของแกต้องพังลง…
เพราะแม่เชื่อว่าเขารักลูกสาวของแม่
และแกเองก็คงรักเขาอยู่เหมือนกันแหล่ะ ไม่อย่างนั้น
คงไม่ยอมมีลูกกับอีตานั่นของแกหรอก จริงมั้ย…
ผู้หญิงเราน่ะ ไม่รักผัวตัวเอง แล้วจะไปรักผัวใคร แกว่ามั้ยเจ้ามุม”
พันทิวาถึงกับหน้าแดงก่ำเมื่อมารดาพูดคำว่าผัวเมียเสียชัดถ้อยชัดคำ
ย้ำกันจริงๆกับสองคำนี้…
“ขอให้จริงเถอะแม่ มุมเห็นมาเยอะแล้วที่ไปแย่งสามีชาวบ้านเขา
ถ้าไม่รักสามีชาวบ้านเขา ก็คงไม่แย่งหรอก…”คนเป็นลูกไม่วาย
แย้งมารดาด้วยรอยยิ้มยียวน…
“งั้นถ้าแกรักผัวแก แกก็ระวังเอาไว้บ้าง เดี๋ยวจะโดนแย่งไป…
แม่ไม่ได้ขู่นะ แต่นายดินทรายอะไรนั่นของแก
หน้าตาก็หล่อเหลาเอาการอยู่ ทรัพย์สมบัติก็มีมากมาย…
ผู้ชายแบบนี้แหล่ะที่สาวๆอยากได้…มีของดีอยู่ในมือแล้ว ถ้าดูแลไม่ได้ ปล่อยให้หลุดมือไปอีก…
แกนั่นแหล่ะที่จะต้องไถนากินหญ้าแทนข้าวซะเอง…”
พันทิวาค้อนคนเป็นแม่ไปหลายวง เพราะไม่ว่าเธอจะพูดอย่างไร แม่ก็เข้าข้างนายนั่นทุกที
ไม่รู้นายนั่นไปทำอะไรเข้าให้ จากที่คุณแม่ไม่ปลื้มกลับให้ท้ายแทน…
“ไปหาพ่อดีกว่า แถวนี้มีแต่คนเข้าข้างอีตานั่น…”
พันทิวาลุกหนีลงเรือนไปยังค่ายมวยทันที ทิ้งให้คนเป็นแม่
นั่งส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยใจ…
การเลี้ยงลูกให้โตไม่ใช่เรื่องง่าย…
โตแค่กาย…ให้ข้าวให้น้ำทุกวันก็เห็นผล
แต่ความคิดนี่สิ…ไม่รู้ต้องป้อนให้อีกสักเท่าไหร่ถึงจะโตเห็นผล…
เพราะเท่าที่ดู ลูกสาวของหล่อนยังไม่โตเท่าไหร่เลย
ทั้งๆที่เนื้อตัวก็ไม่ใช่เด็กๆแล้ว…แถมอีกไม่นานก็จะกลายเป็นแม่คนอยู่รอมร่อ
…หล่อนมิต้องอบรมเลี้ยงดูลูกไปพร้อมๆกับหลานหรือนี่
“แกไม่คิดที่จะไปตามเมียแกกลับบ้านบ้างรึไงเจ้าดิน…
นี่เขาหายไปหลายวันแล้วนะ…”ตะวันทักทายน้องชาย
ตอนที่เดินขึ้นเรือนมา หลังจากที่หายหน้าหายตาไปหลายวัน
ไม่ยอมกลับบ้านกลับช่อง…
“ไปเองได้ เดี๋ยวก็กลับมาเองได้แหล่ะพี่…ผมไม่ได้ไล่เขาไปสักหน่อย”
“วะ…ไอ้นี่…”ตะวันถึงกับกระชากเสียงใส่น้องชายด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์นัก
กับคำพูดของน้องชายเมื่อครู่…
“ปากแกอย่างนี้น่ะสิ แมงมุมถึงทนฟังไม่ได้…”
“ปากผมก็เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร…ใครจะปากหวานช่างเอาใจอย่างพี่ล่ะ”
พสุธย้อนเสียงขุ่น
“เมื่อก่อนแกจะทำอะไร นอนกับใครฉันไม่ว่า เพราะแกยังไม่แต่งงาน
แต่ตอนนี้แกมีเมียแล้ว แกก็ควรจะเอาใจใส่ความรู้สึกของเขาบ้าง…
ฉันไม่เชื่อหรอกว่าแกจะเลิกนิสัยเดิมๆของแกได้…”
ตะวันเตือนน้องชาย หากอีกฝ่ายกลับตีสีหน้าไม่พอใจเมื่อโดนแทงใจดำเข้าอย่างจัง…
“พี่ไม่เข้าใจหรอกว่าผมต้องเผชิญอยู่กับอะไร…ถ้าผมกลับไปแก้ไขอดีตได้
ผมคงไม่แต่งงานกับเธอ…คงปล่อยตัวเองให้เป็นโสดต่อไป ไม่ต้องเหนื่อยใจอย่างนี้…”
ตะวันลอบถอนใจมองหน้าน้องชายนิ้ง
“แล้วแกกลับไปแก้ได้รึเปล่า คนเราเรียนผูกก็ต้องเรียนแก้เอง…
ฉันไม่เห็นว่าแมงมุมเขาจะเลวร้ายตรงไหน ดีและมีความคิดกว่าผู้หญิงหลายๆคนที่แกคบอยู่ด้วยซ้ำ
ถ้าแกปล่อยผู้หญิงคนนี้ให้หลุดมือไปได้ แกนั่นแหล่ะที่จะต้องเสียใจ…
ชีวิตที่ไม่มีจุดหมายปลายทาง ลอยไปลอยมาน่ะมันไม่ได้น่่าพิศวาสนักหรอก…
ถ้าแกอยากกลับไปใช้ชีวิตแบบนั้น ฉันก็ขอเตือนแกว่า
สุดท้ายแกจะไม่เหลือความภูมิใจอะไรในชีวิต…
มองพี่สาวแกสิ เขามีลูกๆให้ช่ืนชม ให้ภาคภูมิใจ แล้วแกดูฉันสิ
อยู่มาจนอายุปูนนี้แล้วมีอะไรบ้าง…ที่ฉันต้องการสร้างครอบครัว
ก็เพียงเพื่อต้องการที่พักพิง…ต้องการทำอะไรเพื่อลูกเพื่อเมีย
เพราะนั่นมันคือความภาคภูมิใจ หรือแกไม่เคยต้องการสิ่งนี้…
ถึงได้อยากกลับไปใช้ชีวิตแบบเก่า…”
คำถามนั้นทำให้อีกฝ่ายนิ่งคิดตามก่อนจะถอนใจออกมา…
“ผมรักเขานะพี่เพลิง…รักมากซะด้วย…แต่ดูเหมือนเขาไม่ได้รักผมเลย…
รักข้างเดียวมันเหนื่อยรู้มั้ยพี่…”
“แกมองยังไงถึงได้คิดว่าเขาไม่ได้รักแกเลย…ถ้าเขาไม่รักแก
เขาจะยอมอยู่กับแก ยอมมี…”ตะวันเกือบหลุดคำว่า ลูก ออกไปแล้ว
“ยอมมีอะไรพี่เพลิง…”พสุธเลิกคิ้วถาม คาดคั้นเอาคำตอบ
หากตะวันกลับส่ายหน้า…
“ช่่างเถอะ…ไม่มีอะไรหรอก…แกไปนอนเถอะ…”
คนเป็นพี่ไล่น้องชายให้ไปนอนเสีย…เพราะรู้ได้ทันทีว่าพันทิวา
ยังมิได้บอกเรื่องลูกให้น้องชายของเขารู้ เขาก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร
แต่การปล่อยให้ทั้งสองเคลียร์กันมันคงจะดีกว่า…
“แล้วพรุ่งนี้อย่าลืมไปรับเธอกลับมาด้วยล่ะ…”ตะวันสั่งเสียงเข้มตามหลังน้องชายไป
หากพสุธกลับนิ่งเฉย…ตอบกลับไปว่า
“เขาอยู่ที่ไหนแล้วสบายใจ ก็ให้เขาอยู่ไป…ผมไม่อยากไปบังคับใจเขาอย่างที่แล้วมาอีก…”
ตะวันได้แต่ส่ายหน้าไหวๆด้วยสีหน้าหนักใจ
ก่อนจะพึมพำออกมาคนเดียวว่า
“จะเป็นพ่อคนอยู่แล้วแท้ๆ…”
“อ้าวเจ้าแฝด มาทำอะไรที่ห้องน้าดินนี่…”พสุธแปลกใจที่อยู่ๆ
ก็เห็นหลานแฝดของเขากำลังนั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่บนเตียงนอนในห้องของเขา
และเมื่อได้ยินเสียงของน้าชาย ทั้งสองก็รีบลุกกระโดดจากเตียงวิ่งมาหาน้าชายเกาะแข้งเกาะขาทันที
“น้าดินไปพาน้ามุมกลับมานะคะ…ปายคิดถึง…”
“นะครับน้าดิน ต้นกับน้องปายไม่เห็นน้ามุมมาหลายวันแล้ว
แม่จังบอกว่าน้ามุมกลับบ้าน…น้าดินไปตามน้ามุมกลับมานะครับ…
ไม่มีน้ามุม บ้านเราเหง้าเหงา…”ทั้งหลานชายและหลานสาวของเขา
ต่่างส่งสายตาอ้อนวอนจนคนเป็นน้าต้องนั่งคุกเข่ากอดทั้งสองเอาไว้
แล้วตอบว่า
“เมื่อก่อนตอนไม่มีน้ามุม ไม่เห็นเราสองคนจะบ่นว่าบ้านเหง้าเหงานี่”
“เมื่อก่อนกับตอนนี้มันไม่เหมือนกันนี่ครับ…”เด็กชายต้นหนาวแย้ง
“น้าดินพาเราสองคนไปด้วยนะคะ เราสองคนจะไปหาพี่พะยูนด้วย
พรุ่งนี้วันเสาร์ โรงเรียนหยุด…”พสุธอมยิ้มกับแผนการของหลานแฝด
“ปล่อยให้น้ามุมเขากอดแม่จนหายคิดถึง เดี๋ยวน้ามุมก็คงกลับมาเอง”
“แล้วถ้าน้ามุมไม่กลับมาล่ะคะ…”คำถามนั้นทำให้พสุธนิ่งไป…
เขาก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่า พันทิวาจะกลับมาที่นี่เองรึเปล่า
แต่จะให้เขาไปรับเธอกลับมา คงไม่ไหว เขาก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกัน
ที่สำคัญ เธอเลือกที่จะไปเอง
หลายวันจนเกือบสัปดาห์พันทิวายังคงอยู่กับบ้าน
ช่วยมารดาทำอาหารทั้งคาวหวานเลี้ยงคนในค่ายมวย
“เป็นผู้หญิงควรฝึกเอาไว้ ไหนๆแกก็จะเป็นแม่คนแล้ว
ต่อไปจะได้มีวิชาทำให้ลูกกิน ลูกจะได้ปลอดภัยจากอาหารที่ไม่ได้เรื่อง…”
“อาหารไม่ได้เรื่อง เป็นอาหารแบบไหนเหรอแม่…”
พันทิวาถามขึ้นขณะที่กำลังปั้นขนมลูกชุบเป็นรูปผลไม้และรูปสัตว์ต่างๆอยู่
“ก็อาหารที่ไม่ได้ให้ประโยชน์ไม่พอยังปนเปื้อนสารพิษอีกน่ะสิ
อย่างขนมลูกชุบนี่อย่างน้อยๆก็ทำจากถั่ว มีประโยชน์สำหรับเด็กๆ
หน้าตาก็น่าทาน สีที่เราใช้ผสมก็เป็นสีจากธรรมชาติไม่ใช่สีสังเคราะห์…
กรรมวิธีในการทำเราก็ทำอย่างดี สะอาด ปลอดภัย…ห่างไกลจากอาหารไม่ได้เรื่องเยอะ”
แม่ตำลึงของพันทิวาสาธยายไปพลาง
ก็ละลายแป้งเพื่อทำขนมครกสี่หน้าต่อจากลูกชุบไปพลาง…
“มาอยู่กับแม่หลายวัน ทำขนมได้ตั้งหลายชนิด แถมทำกับข้าวได้ด้วย
ถ้ามีลูก มุมคงขุนจนกลายเป็นลูกหมูแน่ๆ...”หญิงสาวพูดไปขำไป
วาดภาพของลูกเอาไว้ในใจแล้วยิ้มอยู่คนเดียวได้เป็นนานสองนาน
จนคนเป็นแม่นึกขำขึ้นมา…
“ถ้าแกขยันทำให้กินเหมือนที่แม่ทำให้แกกับพี่ยักษ์แกกิน
ลูกแกก็จะมีสุขภาพที่ดี เพราะสุขภาพที่ดีเริ่มจากอาหารการกิน
แกเห็นพ่อแกมั้ย แก่จนป่านนี้ยังมีแรงเตะกระสอบทรายได้อยู่เลย…”
“แล้วยังเตะปี๊บดังอีกรึเปล่่าแม่…”พันทิวาอดไม่ได้ที่จะกระเซ้ามารดา
จนจานบินผ่านข้ามหัวเธอไปอย่างหวุดหวิด…
“ปากหาเรื่องแล้วมั้ยแกไอ้มุม…”
“แม่นี่ดุไม่เคยเปลี่ยนเลย นี่ถ้ามุมหลบไปทัน หัวมุมไม่แบะผ่าออกเป็นสองซีกแล้วเหรอ…
ดีนะที่เป็นจานสแตนเลส ไม่งั้นแม่คงต้องเสียตังซื้อใหม่แหงมๆ”
“ก็ปากแกนี่น้า…ถามหน่อยเถอะ แกปากดีกับผัวแกแบบนี้รึเปล่า…”
“โหย…ปากมุมที่แม่ว่าแย่แล้ว ยังเทียบปากนายนั่นไม่ได้หรอกแม่
อย่างกับส้วมแตก…”พูดไปก็นึกถึงหน้าพสุธไป
“อย่าให้พูดถึงนะแม่ กำลังเคืองๆอยู่…”
“เคืองที่เขาไม่มาง้อล่ะสิ ก็บอกแล้วว่าให้กลับไปเอง…
ไม่รู้จะโกรธอะไรกันนักกันหนา ผู้หญิงน่ะงอนได้แต่พองาม…
วันนี้ก็ถือโอกาสกลับได้แล้ว เอาขนมพวกนี้กลับไปฝากเด็กๆด้วย
คงจะดีใจกันแหล่ะ เดี๋ยวจะให้เจ้ายักษ์พาไปส่ง เอาไอ้พะยูนไปด้วย
จะได้เป็นกันชนให้แกได้…”พันทิวาหน้างอทันทีที่เจอไม้นี้เข้า
“แม่ขอร้องล่ะเจ้ามุม แกอยู่ที่นี่ต่อก็ไม่มีอะไรดีขึ้น…”
“ดีสิแม่ มุมจะได้เรียนทำกับข้าวและขนมกับแม่ต่อไง…”
“ที่สอนไปน่ะก็เหลือแหล่แล้ว…”
สุุดท้ายพันทิวาก็ต้องหอบผ้าหอบผ่อนและหอบหิ้วขนมลูกชุบ
ฝีมือการปั้นของตนเองกับขนมครกสี่หน้าที่เธอหยอดลงรางอย่างตั้งอกตั้งใจมาด้วย
เด็กๆที่กำลังเล่นอยู่ตรงสนามหญ้าเห็นรถของพ่อพี่พะยูนก็จำได้
เลยวิ่งตื๋อเข้าไปหาก่อนจะร้องตะโกนดีใจ
เมื่อเห็นพันทิวายืนกางแขนรอรับทั้งสองอยู่…
“คิดถึงน้ามุมจังเลยค่ะ…”
“ต้นก็คิดถึง…”พันทิวายิ้มกว้าง
“น้ามุมทำขนมมาฝากด้วยนะ…”พันทิวาชูขนมในมือ
ก่อนจะพาเด็กๆกับหลานสาวเดินเข้าบ้านไป พยัคฆ์เดินตาม
ทั้งหมดเข้าไปพร้อมรอยยิ้มโล่งใจ…
“ฉันนึกว่าน้องสาวแกจะไม่ยอมกลับมาที่นี่ซะแล้ว…”
ตะวันทักทายเพื่อนสนิทด้วยรอยยิ้มโล่งใจ
“อย่างที่เห็น ยังไม่โตเท่าไหร่…ว่าแต่น้องชายแกล่ะหายหัวไปไหน”
ตะวันถึงกับหน้าเจื่อนเมื่อโดนย้อนเข้าให้บ้าง
“ยังไม่กลับบ้านเลย…”พยัคฆ์ลอบถอนใจ มองหน้าเพื่อนรัก
อย่างตะวันด้วยสีหน้าหนักใจ
“แกก็รู้ว่าน้องสาวฉันไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผล…หรืองอนได้ไม่เลือกเวลา
ไอ้มุมน่ะบทจะใจแข็ง ใครก็ทำให้อ่อนไม่ได้…”
“ฉันรู้…แล้วฉันจะเตือนเจ้าดินมันให้…”ทั้งสองจึงคุยกันพักใหญ่
ก่อนจะร่วมรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน…
“ขับรถกลับบ้านดีๆนะคะพี่ยักษ์…แล้วแวะมาหาอาบ้างนะพะยูน…”
พันทิวาหันไปลูบหัวหลานสาวอย่างรักใคร่เอ็นดู…
“อามุมก็เหมือนกันนะคะ…ดูแลตัวเองด้วย…”
“จ้า…”
“ไปนะน้องต้นน้องปาย…”เด็กหญิงพะยูนยกมือลาเจ้าแฝด
“แล้วมาอีกนะพี่พะยูน…”
เมื่อร่ำลากันเสร็จสรรพ พันทิวาก็จูงมือหลานแฝดของสามีขึ้นเรือนไป
อากิโกะกับฑยาวีย์ยืนรอรับลูกๆพาเข้านอน
“พี่พยายามโทรหาเจ้าดินแล้ว แต่โทรไม่ติด…”อากิโกะยิ้มเจื่อน
เธอเองก็สุดปัญญา เพราะน้องชายไม่กลับมานอนที่บ้านหลายคืนแล้ว
เจอหน้ากันก็แค่ที่บริษัทเท่านั้น และพอดีวันนี้เธอก็ไม่ได้เข้าบริษัทเสียด้วย
จึงไม่รู้ว่าน้องชายหายหัวไปไหน
“ราตรีสวัสดิ์นะคะ…”พันทิวาพูดได้แค่นั้น ก่อนจะขอตัวเข้าห้องไป
ขนมที่ตั้งใจจะแบ่งไว้ให้เขาทานคงเป็นหมันแน่ๆ…
มองดูหน้าปัดนาฬืกาก็ยังไม่ดึกมากนัก หญิงสาวจึงแต่งตัว
แล้วหยิบกุญแจรถและไม่ลืมควานหาคีย์การ์ดของคอนโดของพสุธ
ที่เขาเคยให้เธอเก็บไว้สำรองก่อนหน้านี้…
เพราะเวลาไม่สะดวกกลับบ้าน เขาก็มักจะไปนอนค้างอยู่ที่นั่น
มันใกล้ที่ทำงานและเดินทางไปไหนมาไหนสะดวก…
เธอเองยังไม่เคยไปที่นั่นหรอก…ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะอยู่ที่นั่นรึเปล่า…
แต่ด้วยความเป็นห่วง หญิงสาวจึงอดไม่ที่จะออกไปดูให้แน่ใจว่าเขาสบายดี
กลัวว่าจะแอบไปนอนซมเป็นไข้เหมือนเมื่อครั้งก่อนอีก
…ยังไงเขาก็เป็นพ่อของลูกในท้องของเธอ
“จะไปไหนเหรอแมงมุม นี่ก็ค่ำมืดแล้วนะ…”ตะวันทักขึ้นตรงหน้าห้อง
เมื่อเห็นพันทิวาเดินออกจากห้อง ทำท่าจะออกไปไหน
“เอ่อ…ออกไปข้างนอกค่ะพี่เพลิง…”
“ไปตามเจ้าดินเหรอ…อย่าเสียเวลาเลย เดี๋ยวมันก็คงกลับมาเอง…
เราเป็นผู้หญิง…มันอันตราย…”
“แต่มุมเกรงว่าเขาจะไม่สบายเหมือนครั้งก่อนน่ะค่ะ…”
พันทิวากล่าวออกไปตรงๆด้วยแววตาห่วงใย ตะวันลอบยิ้ม
กับกิริยาท่าทางและสีหน้ากังวลเป็นห่วงเป็นใยน้องชายของเขานั่น
“งั้นก็ขับรถระวังๆด้วยนะ…”
“ค่ะ…”พันทิวายิ้มกว้างแล้วรีบเดินไปยังเจ้าพาหนะที่จะพาเธอ
ไปยังคอนโดของพสุธ
ก่อนจะมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องอย่างชั่งใจ
ว่าจะเคาะเรียกดูหรือว่าจะรูดคีย์การ์ดเข้าไปเลย…
สุดท้ายพันทิวาก็เลือกที่จะรูดคีย์การ์ดเข้าไปโดยไม่เคาะประตู
เพราะเกรงว่าจะรบกวนคนข้างใน เพราะกว่าจะขับรถมาถึงนี่
ก็เกือบห้าทุ่มแล้ว เธอเกรงว่าเขาอาจจะหลับไปแล้วก็ได้…
ทว่า…พอเปิดประตูเข้าไป สิ่งที่ทำให้พันทิวาแปลกใจเป็นอันดับแรก
คือสภาพของห้อง ตั้งแต่หน้าประตูตลอดจนถึงห้องรับแขก
มีแต่รองเท้าและข้าวของถอดทิ้งไว้เกลื่อนกลาด ราวกับไม่ใส่ใจ
และหนึ่งในนั้นก็มีรองเท้าส้นสูงปรี๊ดสีชมพูรวมอยู่ด้วย
หัวใจของหญิงสาวหล่นไปกองอยู่ตรงตาตุ่ม…
แล้วอยู่ๆคำพูดของมารดาก็ผุดขึ้นมา…
‘ถ้าแกรักผัวแก แกก็ระวังเอาไว้บ้าง เดี๋ยวจะโดนแย่งไป…’
…นี่เขากำลังจะนอกใจเธอด้วยการมีผู้หญิงอื่นอย่างนั้นเหรอ…
พันทิวามือสั่นขณะจับลูกบิดประตูห้องนอนที่เปิดแง้มอยู่
เสียงที่เธอได้ยินดังออกมาจากในนั้นทำหัวใจเธอไหวยวบ
ไม่ต้องเข้าไปดูก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในนั้น…
หากคนหัวรั้นอย่างเธอที่เจออะไรก็ขอให้ได้เจอด้วยตัวเอง
ก็หน้าทนพอที่จะเข้าไปดูให้เห็นกับตา…
แล้วสิ่งแรกที่เธอสะดุดเมื่อย่างเท้าเข้าไปในห้องนอนก็คือ
บราเซียสีชมพูสีเดียวกับรองเท้าส้นสูงคู่นั้น พันทิวาก้มลงหยิบมันขึ้นมา
ก่อนจะค่อยๆประคองร่างกายและหัวใจให้เดินไปยังเตียงนอน
ที่มีกำแพงกั้นอยู่อย่างสุดที่กำลังจะพาไปไหว...
หากใจของเธอมันยังกล้าดีที่จะเดินเข้าไปให้ถึงเตียงนอนนั่น...
แล้วภาพของคนที่กำลังกอดรัดกันบนเตียงอย่างถึงพริกถึงขิง
จนไม่แม้แต่จะรับรู้ถึงการมาของเธอนั้นทำเอาพันทิวาตาค้าง หูตาพร่ามัว…
แทบลมจับ รู้สึกราวกับโลกหมุนคว้าง...
เมื่อผู้หญิงที่สามีของเธอกำลังกอดจูบลูบคลำอยู่ในขณะนี้
คือดาราหน้าใหม่ไฟแรงซึ่งเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับชุดชั้นในยี่ห้อหนึ่ง
แถมเพิ่งถูกทาบทามให้มาลงปกนิตยสารของสำนักพิมพ์สองตะวันเมื่อไม่นานมานี้…
เขาคงเป็นดั่งหลุมดำที่กินพวกดาวเป็นอาหาร...
เพราะนอกจากยัยพริกขี้นกนั่นแล้ว เขายังมีคนอื่นอีกมากมายที่เธอไม่เคยรู้
ใช่สินะ เขามันหนุ่มจ้าวเสน่ห์ผู้ร่ำรวย ยัยพริกขี้นกนั่นก็แค่ดาวเด่นในช่วงระยะเวลาหนึ่งก็เท่านั้น
แท้จริงแล้วเขายังมีผู้หญิงในโกดังอีกเหลือเฟือที่พอเบื่อก็คงเข่ียทิ้ง
ถึงว่าสิ เธอหายไปจากชีวิตเขาเป็นสัปดาห์ เขาถึงไม่รู้สึกห่วงหาอะไรเลย
…เขาคงเริ่มเบื่อเธอขึ้นมาแล้วเหมือนกันสินะ
ที่ผ่านมาเป็นเพราะเธอง่ายเองที่ยอมเขา เขาได้เธอมาง่ายไปจนไม่เห็นคุณค่า
เขาก็เลยไม่เคยหวงแหนหรือสนใจใส่ใจความรู้สึกของเธอแบบนี้
…เขาคงเห็นเธอเป็นของตาย!!!
เพียงเท่านั้น น้ำตาของหญิงสาวก็ไหลลงมาโดยไม่รู้ตัว…
มองเสื้อผ้าของคนทั้งสองที่ทิ้งเกลื่อนกลาดตั้งแต่ประตูห้องนอน
ไปจนถึงเตียงนอนก่อนจะมองชุดชั้นในสีชมพูในมือที่แค่มองดูก็รู้ว่าคับอะไร
...นายดินทรายช่างเลือกคู่นอนได้ดีเยี่ยมเสมอ...
พันทิวากัดปาก คับแน่นในทรวง...มือไม้เริ่มสั่น ปากคอตีบตันไปหมด…
ก่อนจะยกมืออีกข้างปิดปากตัวเองเอาไว้เมื่อเห็นสามีของตัวเองกับผู้หญิงคนนั้น
ร้องครางออกมาเมื่อปึนถึงยอดต้นงิ้วสำเร็จต่อหน้าต่อตาเธอ…
“อุ้ย…”เสียงอุทานนั้นทำให้พสุธหันกลับไปมองตามทิศทางที่หญิงสาวใต้ร่างของเขาเพ่งมองอยู่
ก็ถึงกับตกใจตาค้างมองภาพพันทิวาที่กำลังยืนนิ่งไม่ไหวติง ยกมือปิดปากน้ำตาอาบแก้ม
“แมงมุม!”พสุธครางชื่อภรรยาของตัวเองออกมาอย่างแผ่วเบา
พันทิวาขว้างชุดชั้นในใส่หน้าพสุธเต็มๆก่อนจะตวัดสายตามองหญิงสาว
ที่นั่งทำหน้าไม่ถูกอยู่บนเตียงในสภาพไร้อาภรณ์ใดๆ...
ก่อนจะปาดน้ำตาแล้ววิ่งออกไป...เพราะไม่อาจทนมองภาพนั้นได้อีกต่อไป...
พสุธดีดกายลุกขึ้นแล้วควานหาเสื้อคลุมมาสวมใส่ กระโดดวิ่งตามพันทิวาออกไป…
ก่อนจะคว้าข้อมือเธอเอาไว้ได้ทันตรงหน้าประตูทางออก…
“เอามือสกปรกของนายออกไป…”พันทิวาพูดลอดไรฟันออกมา
โดยไม่ยอมหันไปมองคนที่อยู่ทางด้านหลัง
“ฉันเสียใจ…ฉันไม่ได้ตั้งใจ…ฉันขอโทษ…”พันทิวาสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด
หันมาพูดกับคนมักง่ายหลายใจว่า…
“เสียใจ ไม่ได้ตั้งใจ ขอโทษ…นี่หรือคือสิ่งที่นายตอบแทนฉัน…
มันไม่ง่ายเกินไปหน่อยเหรอ…”
“ฟังฉันก่อนนะ…ได้โปรด”พันทิวาส่ายหน้า หมดแรงจะฟังเหตุผล
เพราะมันจะมีเหตุผลอะไรสำหรับภาพเมื่อครู่ที่เธอเห็นเต็มๆสองลูกกะตา
นอกเสียจากความมักมาก หลายใจของเขา ถ้าเธอจะผิด ก็ผิดตรงที่ปล่อยให้เขาเหงา…
“พอสักที…ฉันไม่อยากฟัง…เพราะการกระทำของนายมันก็มากพอ
ที่จะอธิบายเรื่องทุกอย่างได้ดีอยู่แล้ว…นายเหงาฉันเข้าใจ…
และฉันก็ไม่ใช่หินไม่ใช่ดินที่ไร้หัวใจอย่่างนายด้วย…”
พสุธพูดไม่ออก เพราะเขาไม่รู้จะพูดอะไรได้ในตอนนี้ เขาผิดเต็มประตู…
“ใครกันเหรอคะพี่ดิน…”เสียงใสๆขัดขึ้น พันทิวาจึงเหลือบตามอง
ก็พบสาวน้อยวัยทีนหน้าใสที่อยู่ในชุดคลุมอาบน้ำหมิ่นเหม่
จุดประกายรอยยิ้มหยันบนใบหน้าของพันทิวายามมองบุคคลทั้งสองตรงหน้าตัวเอง…
“เมียพี่…”คำตอบนั้นทำให้สาวน้อยถึงกับตกใจ หน้าเจื่อนลงนิดนึง
หากแค่แว้บเดียวก็เปลี่ยนเป็นปกติ…
“นี่เหรอคะเมียพี่…”น้ำเสียงเหมือนจะหยันนิดๆนั้นทำให้พันทิวาจ้องตาคนพูดนิ่ง
แววตานั้นของเธอทำให้สาวหน้าใสคนนั้นถึงกับหลบตา
เหมือนมีประกายบางอย่างที่บอกให้คนถูกมองรู้ว่า ไม่ควรลองดีกับผู้หญิงคนนี้…
“อย่าไปเลย นี่มันก็ดึกมากแล้ว…”พสุธรั้งหญิงสาวที่กำลังจะเดินออกไปจากห้อง
ด้วยน้ำเสียงห่วงใย พันทิวายิ้มหยันแล้วหันกลับมา
“แล้วจะให้ฉันอยู่ในห้องนี้กับนายกับผู้หญิงคนนี้อย่างนั้นเหรอ
ฉันไม่สนุกด้วยหรอกนะ อยากจะลงนรกหรือขึ้นสวรรค์อีกสักกี่รอบก็เชิญ
แต่ต่อจากนี้ไป นายกับฉันขาดกัน!!!…”
น้ำเสียงหนักแน่น แววตามาดมั่นนั้นทำให้พสุธถึงกับเข่าอ่อน
รีบคว้าแขนพันทิวาเอาไว้แน่นราวกับกลัวว่าเธอจะหลุดลอยหายไป...
“ไม่นะ!…”พสุธยืนกรานเสียงแข็ง ยังไงเขาก็ไม่ยอมให้ลงเอยแบบนี้แน่ๆ
“ถ้าไม่…นายก็ต้องเลือกเอา ว่าจะกินน้ำพริกถ้วยเดียวตลอดไป
หรือจะกินไม่เลือกแบบนี้…เพราะสำหรับนายอาจจะไม่รู้สึกอะไร
กับการนอนกับผู้หญิงไม่เลือกหน้า แต่สำหรับฉัน ฉันไม่ชอบใช้ของส่วนตัวร่วมกับใคร
และเมื่อของส่วนตัวกลายเป็นของใช้สาธารณะ
ฉันคงนำกลับมาใช้โดยไม่รู้สึกอะไรไม่ได้…
นายอาจไม่รู้สึกขยะแขยงกับการใช้กางเกงในร่วมกับผู้ชายคนอื่น”
พูดแล้วก็มองหน้าหญิงสาวที่หลบอยู่ข้างหลังพสุธนิ่ง
ก่อนจะหันมายิ้มหยันให้สามีของตัวเองแล้วกล่าวด้วยวาจาเผ็ดร้อน
เชือดเฉือนบุคคลทั้งสองว่า
“แต่ฉันเป็นผู้หญิง ฉันทำใจไม่ได้ที่จะใช้สามีร่วมกับชาวบ้านเขา…
เพราะกางเกงในยังถอดเอามาซักให้สะอาดได้
แต่ผู้ชายอย่างนาย มันคงต้องถอดทิ้งเท่านั้น…”
พสุธมองหน้าพันทิวานิ่ง พูดไม่ออกราวกับเป็นใบ้ไปชั่วขณะ
“ไม่ได้นะ อย่าเพิ่งถอดทิ้งนะแมงมุม…”แววตาเว้าวอนนั้น
ไม่อาจทำให้หัวใจแตกยับพังไปเมื่อครู่ของพันทิวาอ่อนลงได้…
“ถ้านายไม่เลิกนิสัยเดิมๆของนาย นายก็ไม่เหมาะที่จะเป็นสามีหรือเป็นพ่อของใคร…”
พูดจบพันทิวาก็รีบจ้ำอ้าวออกจากห้องไป
ก่อนจะปาดน้ำตาที่พยายามกลั้นเอาไว้ไม่ให้ไหลให้ผู้หญิงคนน้ันเห็นทิ้ง
แล้วกดลิฟต์ลงไปยังชั้นล่าง สตาร์ทรถออกไปทั้งๆที่ม่านน้ำตา
ยังคงบดบังเส้นทางสัญจรจนมองถนนหนทางไม่ชัดกว่าที่เป็น…
พสุธใจหายที่เห็นพันทิวาวิ่งออกไปทั้งอย่างนั้น เขาจึงรีบวิ่งเข้าไปในห้องอีกครั้ง
แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างลวกๆพลางสั่งกับหญิงสาวที่ยืนทำตัวไม่ถูกอยู่ว่า
“เธออยู่ที่นี่แหล่ะ…ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น…พรุ่งนี้พี่จะให้รถมารับไปส่งที่บ้าน…”
จบคำพสุธก็รีบวิ่งออกจากห้องไป คว้ารถได้ก็บึ่งไล่ตามพันทิวาออกไป
เห็นป้ายทะเบียนรถคุ้นตานำหน้าอยู่ไม่ไกล
…ทว่า…
หัวใจของชายหนุ่มเหมือนจะหยุดเต้นเมื่ออยู่ๆก็เห็นรถคันดังกล่าว
เลี้ยวหักหลบรถที่ขับปาดหน้าตรงทางแยกแล้วพุ่งขึ้นไปบนฟุตบาท
ชนกับป้ายรถเมล์เข้าเต็มๆ…
“ไม่!!!”
พสุธตะโกนสุดเสียงก่อนจะหยุดรถแล้วเปิดประตูวิ่งไปยังรถคันดังกล่าวทันที
เห็นภาพหญิงสาวสลบคาพวงมาลัย หัวใจของเขาก็แทบจะหล่นหาย
พสุธพยายามเปิดประตูออกอยู่นานแต่มันกลับล็อก
เขาจึงหาท่อนเหล็กแถวๆนั้นกระแทกกระจกตรงหน้าต่างแล้วเปิดประตูเข้าไป
อุ้มร่างนั้นขึ้น พาไปยังรถของเขานำส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันที…
....โปรดติดตามตอนต่อไป.......
ยกนี้กะจะมาทำให้อยากอ่านต่อ แล้วจากไปนอนหลับเอาแรงก่อนค่ะ...อิอิอิ...
ช่วงนี้ใกล้สิ้นปี งานโหมหนักหน่อย หวังว่านักอ่านหลายๆท่าน
จะเข้าใจเต่าโยนะคะ หากมาให้ล่าช้าไปบ้างหรือมาให้ไม่สม่ำเสมอบ้างเป้นบางช่วง....
ดีใจค่ะที่เห็นนักอ่านเข้ามาให้กำลังใจกันมากกว่าครั้งไหนๆที่เคยผ่านมา...
ทำให้หัวใจคนเขียนมีแรงขึ้นมา...ทั้งๆที่ตาแทบปิดทุกครั้งที่มาโพสต์...อิอิอิ....
รู้สึกซาบซึ้งกับน้ำใจของนักอ่านในเว็บนี้มากๆเลยทีเดียวค่ะ...
เพราะยามใดที่คนเขียนต้องการกำลังใจ นักอ่านก็ไม่อยู่นิ่งเฉยที่จะส่งเสียง
เพื่อเป็นกำลังใจให้...ขอบคุณมากๆเลยค่ะ...จุ๊บๆทุกท่านที่เข้ามาอ่าน
ที่เข้ามาเม้นท์ และที่เข้ามาส่องนะคะ...และก็ขอบคุณสำหรับไลค์ที่กดให้กันด้วยค่ะ...
ขอคุยกับนักอ่านจากยกที่แล้วกันก่อนนะคะ...
1.คุณบัวขาว...ขอบคุณค่ะที่ส่งรอยยิ้มพิมพ์ใจมาให้เต่าโยเป็นคนแรกเลย...จุ๊บๆนะคะ
2.คุณAprilSK...คงจะพอๆกับคนเขียนค่ะ งานโหมหนักจนเครียดจัดค่ะช่วงนี้
อารมณ์สุนทรีย์หนีหาย สังเกตได้จากเรื่องอะรูซาตีฯ ที่ต้องหยุดชะงักไป
เพราะไม่อาจหาอารมณ์ดีๆมานั่งเขียนได้ เพราะเรื่องนั้นต้องอารมณ์สุนทรีย์จริงๆ
ถึงจะปั่นมันออกมาได้ไหลลื่น...ภาวะเครียดๆไม่อาจทำให้เขียนเรื่อง
ที่ค่อนข้างไปทางหวานซึ้งได้น่ะค่ะ
ก็เลยต้องรอให้อารมณ์นิ่งและหายกังวลกับเรื่องที่รุมเร้าเข้ามาก่อนน่ะค่ะ...
แม้ใจจะอยากปั่นแค่ไหน...แต่ไร้แรงค่ะ...ดีที่เรื่องนี้มีอยู่ในโกดังเยอะ...
เลยแค่โพสต์ให้นักอ่านอ่านกัน...เลยไม่ค่อยชะงักงันไป...
ขอบคุณนะคะสำหรับกำลังใจดีๆที่มอบให้โย..จุ๊บๆค่ะ
3.คุณmhengjhy...ยกนี้อาจจะทำให้นักอ่านเศร้าเพิ่มอีกนิดนึงนะคะ...อิอิ
ขอบคุณค่ะสำหรับกำลังใจดีๆที่มีให้เต่าโย...
4.คุณหมีสีชมพู...ใช่แล้วค่ะ ตัวร้ายกำลังจะออกมาวาดลวดลายให้เห็นกันเต็มๆ
ขอบคุณนะคะสำหรับกำลังใจที่มีให้เต่าโยอย่างสม่ำเสมอเลย...จุ๊บๆนะคะ
5.คุณwii....น่าจะให้แมงมุมลองทำแบบนั้นดูบ้างนะคะ...หอบลูกหนีไปเลย..อิอิอิ...
แต่พอดีโยดันเขียนเรื่องราวของคู่นี้จบไปก่อนหน้านี้ซะแล้วน่ะสิคะ..
.จะเปลี่ยนพล็อตกะทันหันคงไม่ทันแล้วอ่ะสิ...อิอิอิ...
ต้องมาดูกันค่ะว่าเรื่องราวของคู่นี้จะเป็นไปอย่างไร...อิอิ
ขอบคุณค่ะสำหรับกำลังใจและการติดตาม....
6.คุณใบบัวน่ารัก...คนร่วมบ้านในที่นี้หมายถึงพี่เพลิงใช่มั้ยคะ...อิอิอิ...
ก็น่าเห็นใจพี่เพลิงจริงๆแหล่ะค่ะ...แต่รายนั้นสมควรต้องโดนรบกวนซะบ้างค่ะ
ปล่อยให้เดินเหินยั่วน้ำลายสาวใหญ่สาวน้อยมาหลายปีแล้ว...เอาให้เข็ดไปเลย...อิอิอิ
(เหมือนคนเขียนจะแค้นฝังหุ่นพี่เพลิงมากกว่าตามตะวันซะงัั้น...อิอิอ)
ขอบคุณค่ะที่ส่งเสียงมาเป็นกำลังใจให้เต่าโย...จุ๊บๆนะคะ...
7.คุณgoldensun...เป็นการแต่งงานจำเป็นน่ะค่ะ เพราะว่าชื่อเสียงมันก็เป็นสิ่งที่เราต้องปกป้อง
ที่สำคัญ...พ่อกับแม่เคยบอกว่า...ชีวิตคู่ หากขาดความอดทนต่อกันและกันแล้ว
ก็ยากที่จะประคองสถานะแห่งการใช้ชีวิตคู่ต่อไปได้...มันต้องอดทนน่ะค่ะ ถึงจะอยู่ด้วยกันได้...
ไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่งต้องเป็นฝ่ายอดทนอยู่ฝ่ายเดียว เราต้องเดินเข้าหากันคนละครึ่งทาง
จะได้ไม่ทำร้ายใครคนใดคนหนึ่งให้ต้องเจ็บปวดอยู่ฝ่ายเดียว...
แมงมุมกับดิน มีหลายอย่างที่เหมือนกันมากๆเลยก็คือ ชอบทำตามอารมณ์
และเอาแต่ใจมากจนเกินไปน่ะค่ะ...แทนที่จะฟังกันให้มากก็ไม่ เล่นเชื่อแต่ตัวเอง...
แรงมาก็แรงกลับไป ไม่มีผ่อนสั้นผ่อนยาว ไม่มีใครยอมลงให้ใคร...
ผลสรุปเลยออกมาเป็นแบบนั้น...
ขอบคุณนะคะสำหรับกำลังใจและการติดตาม...จุ๊บๆค่ะ
8.คุณviolette....ใช่แล้วค่ะคู่เอกของเรายังวอร์มอยู่ข้างๆสังเวียนค่ะ
ใกล้เวลาขึ้นสังเวียนแล้วล่ะค่ะ...อิอิอิ...ขอบคุณค่ะสำหรับกำลังใจและการติดตาม...จุ๊บๆค่ะ
9.คุณPampam...คู่แมงมุมกับนายดินใกล้แล้วค่ะ...
ส่วนเป็ดวากำลังมีภัยนั้น ต้องมาลุ้นกันค่ะ...เพราะการ์ดคนสำคัญของคุณเธอ
กำลังจะโผล่หน้ามาแล้วนะคะ...พ่อกุญแจซอล ตัวแปรสำคัญนั่นแหล่ะค่ะ...อิอิอิ...
งานนี้นายหัวรังจะว่าไง ต้องมาลุ้นกันค่ะ...
10.คุณaom...คู่นายหัวรังกับน้องรักกำลังจะได้เวลาขึ้นสังเวียนแล้วค่ะ...
แต่ระหว่างขึ้นสังเวียนก็มีอีกคู่ให้ติดตามด้วยนะคะ....
11.คุณtam...คงไม่ใช่นายดินแล้วล่ะค่ะที่จะซวย...งานนี้คนแช่งโดนเด็มๆค่ะ...
แช่งคนอื่นเลยโดนเองเลย...อิอิ...ขอบคุณค่ะสำหรับกำลังใจและการติดตาม จุ๊บๆนะคะ
12.คุณsai...ว้าววววววว...โยก็นึกว่าคนsaiจะเซ็งๆแล้วทิ้งเค้าไปแล้วซะอีกนะนั่นน่ะ...
เลยลองส่งเสียงเรียกดู...ดีใจค่ะที่ยังอยู่เป็นเพื่อนกันอยู่...สภาพเต่าโยตอนนี้
ดูไม่ค่อยได้เลยค่ะ...อย่างโทรม....อิอิอิ...หลังปีใหม่คงต้องหาเวลาทำสวย
ดูแลตัวเองบ้างแล้วล่ะค่ะ...มองกระจกที่ไร มันช่างสะท้านทรวง...อิอิอิ
ขอบคุณนะคะที่ส่งเสียงมาให้โยได้ยิน...จุ๊บๆค่ะ
13.คุณpumkin...ดีใจจังเลยค่ะที่นักอ่านที่เคยติดตามอ่านเมื่อครั้งก่อน
(นานมาแล้วนั้น)ยังจำเต่าโยได้...ขอบคุณค่ะที่ส่งเสียงส่งกำลังใจให้เต่าโย
ได้อ่านแบบนี้แล้วมีแรงขึ้นอีกโขค่ะ...จุ๊บๆนะคะ...โยเองก็กะจะวิ่งเข้าเส้นชัยให้ได้ค่ะ
แม้จะวิ่งมาราธอนมาหลายปีแล้วก็ตาม...อิอิอิ...
14.คุณพอใจ...ขอบคุณหลายๆค่ะที่ทำให้เต่าโยมีแรงใจ....
อย่างน้อย แม้จะแบตหมดยังไงก็ยังพอคลานมาโพสต์ได้ค่ะ...อิอิ
15.คุณkonhin...ตอนนี้คงต้องมารอลุ้นกันว่า แมงมุมจะรอดมั้ย...เหอๆ
ส่วนเรื่องเกลือเป็นหนอนนั้น...เต่าโยขออุบเอาไว้ก่อนนะคะ...
กลัวนอนจะถูกทอดเกลือน่ะค่ะ...อิอิอิ...ขอบคุณค่ะสำหรับกำลังใจและการติดตาม...จุ๊บๆค่ะ
16.คุณsupayalak...นายดินเขาเลือดร้อนค่ะ...ร้อนไม่แพ้คนเป็นพี่เลย...อิอิอิ...
ถ้าจะให้รู้ใจและรู้ทันนายดินที่สุดคงหนีไม่พ้นพี่เพลิงแล้วล่ะค่ะ...เฮะๆ
อ่านความเห็นของคุณsupayalak แล้วทำให้โยยิ้มได้เยอะเลยทีเดียวค่ะ
ขนาดว่าอ่านตอนกำลังเครียดจัดยังอารมณ์ดีได้เลยค่ะ...ฮ่าๆๆๆ
ขอบคุณนะคะสำหรับกำลังใจน่ารักๆ ทำให้คนกำลังเครียดอารมณ์ขันได้...จุ๊บๆค่ะ
17.คุณsunflower...ขอบคุณค่ะสำหรับรอยยิ้มพิมพ์ใจที่มอบให้เต่าโย
ชื่นใจสุดๆค่ะ...จุ๊บๆนะคะ...
18.คุณแว่นใส...ตอนนี้ยิ่งลำบากเพิ่มค่ะ...คู่นายดินกับแมงมุมเขาไม่ค่อยใช้หูฟังกัน...
เล่นแต่ตีฝีปากกันเป็นประจำแบบนี้ ชอบชวนทะเลาะกันให้เป็นเรื่องเป็นราวประจำ...
ผลสรุปมันก็เลยออกมาเป็นแบบน้ัน...
คงต้องหันมาทบทวนตัวเองกันอย่างถ้วนทั่วค่ะงานนี้...อิอิ...
ขอบคุณนะคะทีี่ส่งแรงใจมาให้เต่าโยขาสั้น...อิอิ...จุ๊บๆค่ะ
19.คุณLittlewitch...โยก็ว่าแล้วว่าคุณแม่มดต้องโดนยึดขายึดแข้งไว้แน่ๆเลย
เลยไม่โผล่มาให้โยเห็น...ที่แท้ก็เป็นงานนี่เองที่พรากเราให้ห่่างกัน...อิอิอิ..
โยเองก็กำลังโดนดีอยู่ค่ะ...เครียดอย่างไรก็ต้องมาโพสต์นิยายค่ะ
เพราะว่าที่นี่ทำให้โยไม่เครียด...โยไม่อยากจมกับความเครียดตลอดเวลา
ก็เลยต้องปลีกเวลามาโพสต์นิยายให้หายเครียด...เฮะๆๆ
ขอให้ทุกเรื่องผ่านไปได้ด้วยดีนะคะ แล้วจะได้กินหวานแน่ๆค่ะ...อิอิอิ
เต่าโยเองก็เหนื่อยกับการปีนยอดตาลแล้วเหมืิอนกันค่ะ ไม่รู้ว่าจะถึงยอดตาล
ทื่มีน้ำหวานอยู่บนนั้นเมื่อไหร่อ่ะสิ...อิอิอิ...อดใจรอเต่าโยอีกนิดนะคะ...เฮๆ
ขอบคุณนะคะที่ไม่ลืมส่งเสียงมาทำให้โยรู้สึกอุ่นใจ...จุ๊บๆค่ะ
สุดท้ายไม่ท้ายสุด...
ขอบคุณนักอ่านทุกๆท่านค่ะ ไม่ว่าจะนักอ่านเงาหรือนักอ่านที่ผลุบๆโผล่
เหมือนเต่าโย...โยก็ขอขอบคุณค่ะ...เพราะทุกครั้งที่ได้ดูจำนวนผู้เข้าชม
มันทำให้โยรู้ว่า...โยจะต้องคลานไปสู่เส้นชัยให้ได้...แม้จะขาสั้น...อิอิอิ...
เชื่อว่าใกล้สิ้นปีแบบนี้...คนทำงานคงต้องเหนื่อยกันหน่อย
ส่วนนักศึกษาก็คงวุ่นกันไม่น้อย...เพราะคงมีเรื่องให้ต้องสะสางก่อนสิ้นปี...
สู้ๆนะคะ...
ว่าแล้วก็ทำให้นึกถึงเพลง "คืนข้ามปี" ขึ้นมาอีกแล้ว...อิอิ...
ติดใจเพลงนี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ฟังเลยค่ะ...
เพื่อนโยเขาส่งเพลงนี้มาให้โยฟังตอนโยเคาท์ดาวน์คนเดียวที่เกียวโต...
แบบว่ามันกระแทกใจสุดๆค่ะตอนนั้น...
และปีนั้นแหล่ะค่ะเป็นเหตุให้เกิด...ชื่อนิยายเรื่อง คานน้อย คอยรัก
ซึ่งเป็นภาคที่สามขึ้นมา...เนื่องจากยังหาชื่อเรื่องของภาคต่อรังรักกับหัวใจไร้ที่อยู่ไม่ได้...
เคยคิดมาเสมอว่าเราเลือกมากไปรึเปล่า...เพราะหลายๆคนก็ว่าโยเลือกมาก....
แต่เมื่อลองทบทวนดูดีๆ...เรายังไม่มีโอกาสได้เลือกเลยนะเนี่ย...เหอๆ
"อยากมีคนพิเศษอยู่ในคืนพิเศษ...คืนสำคัญอีกคืนที่ต้องอยู่อย่างเหงาใจ
อยากมีคนพิเศษ จับมือกันข้ามผ่าน คืนสำคัญอีกคืนที่ความเหงาคืบคลาน...หัวใจ..."
...แล้วเจอกันยกหน้าค่ะ...
...รักษาสุขภาพนะคะ...
...ส่วนใครที่ใกล้จะสิ้นปีนี้แล้วแต่ยังไม่เห็นแววว่าจะเจอคนที่ใช่...
ก็อย่าได้กังวลใจไปนะคะ...คานน้อย คอยรัก ยังรอนักอ่านอยู่เสมอค่ะ...อิอิอิ...
"เต่าโย"
ตะวันมองแผ่นหลังของน้องสะใภ้ที่กำลังยืนมองไปทางศาลาท่าน้ำตรงระเบียงบ้านนิ่ง…
นานๆจะเห็นเธอยกมือขึ้น เหมือนกำลังปาดน้ำตาทิ้ง
เขาจึงเข็นรถเข้าไปใกล้ๆ พันทิวาได้ยินเสียงของรถเข็นก็รีบปาดน้ำตา
ที่กำลังไหลทิ้งไปทันทีก่อนจะหันหลังไปทางคนมาใหม่ด้วยรอยยิ้ม…
“อยู่บ้านแบบนี้เซ็งรึเปล่า…”ตะวันถามด้วยน้ำเสียงและแววตาห่วงใย
พันทิวายิ้มบางพลางส่ายหน้า
“ไม่หรอกค่ะ…ถ้ามุมเซ็ง พี่เพลิงคงเซ็งยิ่งกว่า…”
“นั่นน่ะสิ…”แล้วทั้งสองก็ยิ้มออกมาพร้อมกัน…ก่อนที่ตะวันจะเริ่มเข้าเรื่อง
“ยังเจ็บเท้าอยู่มั้ย…”พันทิวาส่ายหน้า
“ค่อยยังชั่วแล้วค่ะ…ไม่เจ็บแล้ว…”
น้ำเสียงตอนท้ายฟังดูสะท้อนจนคนฟังสำเหนียกได้ถึงความรู้สึกบางอย่างของคนพูด
เพราะบาดแผลของเธอที่ดูเหมือนจะเล็กๆในตอนแรกกลับติดเชื้อ
จนควบคุมให้หายยากกว่าที่คาดคิดกันไว้ จนล่วงเลยเวลาเป็นเดือนๆ
มันก็ยังไม่ยอมหายเป็นปกติ...จนต้องพยายามดูและรักษามันอย่างดีที่สุุดเท่าที่จะทำได้...
“นายดินทำอะไรให้เราไม่สบายใจรึเปล่า…พี่เห็นเราดูเหงาๆซึมๆมาหลายวันแล้ว…
ปกติเราไม่ใช่คนแบบนี้สักหน่อย…”
พันทิวารู้สึกเหมือนต่อมน้ำตากำลังจะกลับมาทำงานอีกครั้ง
เมื่อโดนสะกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นมา…
พันทิวาจึงคุกเข่าลงตรงหน้าตะวันที่กำลังนั่งอยู่บนรถเข็น
“มุมมีเรื่องจะบอกพี่เพลิงค่ะ…เมื่อก่อนมุมไม่กล้าบอก
เพราะกลัวว่าจะมองหน้าพี่เพลิงต่อไปไม่ได้อีก…แต่ยิ่งนานวันมุมก็ยิ่งอึดอัด…”
ตะวันลอบกลืนน้ำลายลงคอเมื่อมองแววตาคู่นั้นของพันทิวา…
แววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกดีๆที่มีให้กับเขา…
“มุมรักพี่เพลิง…รักมานานแล้ว…”
เสียงสั่นๆพร้อมน้ำตาที่ไหลลงมาเป็นทางทำให้ตะวันอดยกมือขึ้นวางบนบ่าของคนตรงหน้าไม่ได้…
“และมุมก็รู้มาตลอดว่าพี่เพลิงไม่ได้คิดกับมุมแบบนั้นเลยสักนิด…
มุมรู้ดีว่าพี่เพลิงรู้ว่ามุมรู้สึกยังไงกับพี่…แค่ให้มุมได้บอกพี่ บอกให้พี่ได้รู้ความในใจของมุม…
เพราะถ้ามุมไม่บอก มุมคงเสียใจไปอีกนาน…
มุมไม่อยากเก็บมันเอาไว้แล้ว…มุมแค่อยากจะบอกพี่…แค่นั้น
แล้วมุมจะลืมพี่…มุมจะเปลี่ยนรักในใจที่มีต่อพี่ให้ได้ค่ะ…”
ตะวันยกมือขึ้นลูบหัวคนตรงหน้าเบาๆแล้วโอบบ่านั้นเอาไว้
“พี่ขอบใจที่เธอรู้สึกดีๆกับพี่ ดูแลพี่อย่างดีมาตลอด…
พี่เองก็รักเธอ รักอย่างที่รักยัยฟ้า…และพี่ก็แน่ใจว่าเธอเองก็รักพี่
อย่างที่รักพี่ยักษ์ของเธอ เพียงแต่พี่ไม่ใช่พี่ชายในสายเลือด
แต่เป็นเหมือนฮีโร่ เหมือนพระเอกขี่ม้าขาวของเธอ…
ซึ่งความจริงแล้วพี่ไม่ใช่เลย…ภาพความประทับใจที่เธอมีต่อพี่
ทำให้เธอมักมองข้ามผู้ชายดีๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต…
เพราะเธอจะนำเขามาเปรียบเทียบกับภาพความประทับใจที่เธอมีต่อพี่เสมอ…
ถ้าเธอลบภาพความประทับใจเหล่านั้นออกไป
เธอก็จะเห็นว่าพี่ก็เป็นคนธรรมดาที่ไม่ได้เป็นพระเอกขี่ม้าขาวอย่างที่เธอเห็นเมื่อตอนเด็กๆ…”
พันทิวาเงยหน้าขึ้นมองคนพูดนิ่งราวกับจะค้านความคิดนั้น
หากตะวันกลับพูดขึ้นก่อนว่า
“พี่เกือบทำร้ายคนที่พี่รักเพราะมองข้ามสิ่งดีๆที่เขามีให้พี่…
เราเกือบจะทำร้ายซึ่งกันและกันเพราะความไม่เข้าใจกัน ไม่พูดคุยกัน…
ไม่ปรับความเข้าใจกัน…ปล่อยให้อีกฝ่ายคิดเอาเอง…”
ตะวันเล่าให้อีกฝ่ายฟังด้วยน้ำเสียงราบเรียบน่าฟัง…
จนพันทิวาระบายยิ้มฝืดๆออกมาขณะพูดว่า…
“พี่เพลิงทำให้มุมรู้สึกดีได้เสมอ เข้าใจมุมมากกว่าคนบางคนเสียอีก
ทั้งๆที่เขาอยู่กับมุมมากกว่าพี่ ใกล้มุมมากกว่าพี่ แต่เขาไม่เคยเข้าใจมุม
ดีแต่ทำให้มุมเสียใจ…เขาไม่เคยพูดจาดีๆกับมุมเลย…”
ประโยคหลังหญิงสาวพูดพลางร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่อีกรอบ
“แต่มุมก็ยังยืนยันว่ามุมรักพี่จริงๆ…”
ตะวันยิ้มบางกับถ้อยคำนั้นของอีกฝ่ายที่ดูจะไม่ยอมลดละง่ายๆ…
“เธอไม่ได้รักพี่เหมือนที่รักนายดินหรอก เธอแค่ประทับใจในตัวพี่ก็เท่านั้น
คนที่เธอรักจริงๆคือนายดินต่างหาก…เธอรักนายดินทั้งๆที่ไม่ค่อยประทับใจในตัวมันสักเท่าไหร่…
ลองถามใจตัวเองดีๆสิ…ว่าอะไรคือภาพฝัน อะไรคือภาพความเป็นจริง”
พันทิวาได้แต่ส่ายหน้า
…ใครจะรู้ใจเธอได้เท่ากับตัวเธอ…
“สำหรับบางคน…เราไม่อาจร่วมทางกันไปได้ ทำได้แค่รู้สึกดี…”
จบคำพูดนั้นพันทิวาก็ยิ้มออกมา คนตรงหน้าเข้าใจและรู้ใจเธอเสมอ
“มุมขอกอดพี่เพลิงได้มั้ยคะ…”คนฟังยิ้มกว้าง
“พี่ก็ไม่ได้ห้ามนี่ น้องสาวจะกอดพี่ชายจะเป็นไรไป…นายดินคงไม่หึงหรอก”
พันทิวาจึงโผเข้าโอบกอดตะวันพร้อมเสียงร้องไห้…
ที่เต็มไปด้วยความดีใจและเสียใจปะปนกัน…
“ขอบคุณค่ะที่เข้าใจมุม…”
“พี่ดีใจมากเลยนะที่รู้ว่าจะได้เธอมาเป็นน้องสะใภ้…เพราะพี่เห็นเธอมาตั้งแต่เด็ก…
เห็นเธอครั้งใดก็นึกถึงยัยฟ้าทุกครั้ง…”
พันทิวายิ้มกว้างให้กับตะวัน…แล้วปาดน้ำตาทิ้ง ทำไมเธอถึงได้อ่อนแอขนาดนี้นะ…
ไม่เคยเลยที่จะร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลังแบบนี้มาก่อน…
ตั้งแต่ชีวิตได้รู้จักและพบเจอกับนายดินทราย ต่อมน้ำตาของเธอก็เริ่มตื้นเขินขึ้นทุกวัน
“เล่าเรื่องน้องสาวคนนี้ของพี่เพลิงให้มุมฟังได้มั้ยคะ…”
“ได้สิ…แล้วเธอจะรู้ว่านายดินรักน้องสาวคนนี้มากแค่ไหน…”
พันทิวากระตุกคิ้วนิดนึงก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มแล้วลุกขึ้นนั่งลงตรงม้านั่งริมระเบียงบ้าน
ฟังเรื่องราวของพิศนภา หญิงสาวผู้ล่วงลับไปแล้ว…
“นี่คือกิ๊บติดผมของยัยฟ้า…”พันทิวารับกิ๊บติดผมจากมือของตะวันแล้วเพ่งดู
ก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น เงยหน้ามองตะวันด้วยแววตาใคร่รู้
“วันที่เขาเสียชีวิต เขาก็ยังติดกิ๊บอันนี้เอาไว้ที่ผม…ตอนที่พี่เห็นมัน
พี่ก็อดน้ำตาไหลไม่ได้ และเก็บกิ๊บอันนี้เอาไว้ตั้งแต่วันนั้นมาตลอด…”
ตะวันมองหน้าพันทิวานิ่งก่อนจะยิ้มให้…
“เห็นมั้ยว่ามันถูกออกแบบมาเหมือนๆกับกิ๊บติดผมที่พี่เคยให้กับเธอ…”
พันทิวาพยักหน้า…
“เพียงแต่ของเธอเป็นรูปแมงมุม ส่วนของยัยฟ้าเป็นรูปพระอาทิตย์กับดวงดาวและพระจันทร์เสี้ยว…”
พันทิวามองพระอาทิตย์สีเหลืองกับพระจันทร์เสี้ยวสีน้ำเงินที่มีดวงดาวดวงเล็กๆสีชมพูหนึ่งดวงอยู่ตรงกลาง
“พี่ออกแบบมันออกมาพร้อมกัน…เพราะวันเกิดเธอกับวันเกิดของยัยฟ้าเป็นวันเดียวกัน
ต่างกันตรงที่เธอเกิดก่อนยัยฟ้าสองปีเท่่านั้นเอง…
พี่ก็เลยทำของขวัญในแบบเดียวกันให้กับเธอและยัยฟ้า…”
พันทิวาเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาหลังจากที่ฟังเรื่องเล่าต่างๆ
เก่ียวกับน้องนุจสุดท้องของบ้านอาทิตยะ…
“แล้วทำไมพระจันทร์ถึงได้เป็นสีน้ำเงินแล้วดวงดาวเป็นสีชมพูล่ะคะ…”
ตะวันยิ้มบาง หยิบกิ๊บติดผมในมือพันทิวาแล้วมองพระจันทร์เสี้ยว
กับดวงดาวด้วยแววตามีความสุข…
“ตอนเด็กๆยัยฟ้าชอบวาดภาพสิ่งที่อยู่บนท้องฟ้าบ่อยๆ…
แล้วมักจะระบายสีดวงอาทิตย์เป็นสีเหลือง ดวงจันทร์เป็นสีน้ำเงิน
แล้วให้ดวงดาวเป็นสีชมพู…นายดินกับพี่เคยถามนะว่าทำไม…
เขาบอกว่า…มันดูไม่เหมือนของเพื่อนๆในห้อง…เพราะนี่คือดวงอาทิตย์
ดวงจันทร์และดวงดาวของฟ้า…จะเหมือนของคนอื่นได้ยังไง…”
พันทิวาอมยิ้มกับถ้อยคำนั้น ตะวันก็เช่นกัน…
“พี่จำคำตอบนั้นได้…กิ๊บติดผมของยับฟ้าจึงถูกออกแบบมาอย่างนี้…
ดูตัวอักษรนี่สิ…”พันทิวาอ่านตัวอักษรตัวเล็กๆที่ถูกแกะสลักเอาไว้ว่า
“หนึ่งฟ้าตะวันเดียว…”พันทิวายิ้มแล้วเงยหน้าขึ้นมองตะวัน
“พี่เพลิงคงรักน้องสาวคนนี้มาก…”
“สำหรับพี่ พี่รักน้องๆทุกคนเหมือนๆกัน…แต่กับยัยฟ้า
อย่าว่าแต่พี่เลย คนอื่นๆก็รุมรักแม่คุณกันทั้งนั้น…
เพราะยัยฟ้าค่อนข้างอ่อนแอและขี้โรค แต่มีรอยยิ้มสดใสและสู้ทนกับโรคภัยไข้เจ็บมาตลอด…
ตอนที่เขาไม่อยู่บ้านหลังนี้เงียบเหงายิ่งกว่าอะไร…เหมือนไร้ชีวิตชีวา…ไร้เสียงหัวเราะ
ไร้เสียงเจื้อยแจ้วของคนขี้อ้อน นายดินทนไม่ไหว ก็เลยขอไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นกับพี่สาวก่อนกำหนด…
ส่วนเจ้าลมน้องชายก็ย้ายไปอยู่ที่ใต้อยู่นาน ไม่กล้ากลับมาพบสภาพบ้านที่ไร้ยัยฟ้า
ส่วนน้ำ ก็ย้ายไปอยู่ที่บ้านสามี นานๆจะกลับมาที่นี่สักครั้ง…
เพราะยังทำใจไม่ได้ จะมีก็แต่พี่ที่ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน
นอกจากกินนอนที่บ้านหลังนี้คนเดียว…เพราะไม่ใช่แต่ยัยฟ้าที่หายไป
หงส์น้องสาวฝาแฝดของเหยี่ยวก็หายไปจากเรือนหลังนี้ด้วย…
พวกเราเจ็บกับเหตุการณ์ครั้งนั้นที่สุด เพราะแม่ที่ถึงจะไม่ได้อยู่บ้านหลังนี้ตลอดก็จากไปด้วย…
เรือนหลังนี้จึงเหมือนเรือนร้าง กว่าจะกลับมามีสีสันได้อีกครั้งก็ตอนที่เจ้าแฝดคลอด…
เสียงเด็กๆทำให้บ้านหลังนี้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง…”
แววตาหมองๆของตะวันทำให้พันทิวาวางมือลงบนหลังมือเขาแล้วยิ้มให้
“ต่อไปเรือนหลังนี้ก็คงจะยิ่งคึกคักอีกเท่าตัว…”
ตะวันขมวดคิ้วนิดนึงมองสีหน้าซีดๆของพันทิวากับรอยยิ้มหม่นๆนั้นด้วยแววตาแปลกใจ
“มุมกำลังจะมีน้องค่ะพี่เพลิง…”ตะวันยิ้มกว้างทันทีที่ได้ยินข่่าวดีจากปากของพันทิวา
ก่่อนจะกุมมือของเธอแล้วถามย้ำอีกครั้ง
“จริงๆเหรอ…”พันทิวาพยักหน้า
“นายดินรู้เรื่องนี้รึยัง…”พันทิวาส่ายหน้า
“ยังค่ะ…มุมยังไม่ได้บอก…”
“พี่ว่าถ้านายดินรู้คงดีใจ…”
“ค่ะ…คงดีใจ…ยิ่งถ้าเป็นผู้ชายคงยิ่งดีใจ…”
ถ้อยคำนั้นทำให้ตะวันอดแปลกใจไม่ได้ เพราะสีหน้าท่าทางของคนพูดดูจะไม่ยินดีนัก
“กี่เดือนแล้ว…”ตะวันถาม เพราะน้องชายของเขาแต่งงานมาเกือบสี่เดือนแล้ว…
“สองเดือนค่ะ…"
“พี่ว่าเธอควรบอกเจ้าดินนะ…”พันทิวาพยักหน้า
“ค่ะ…”
“นอกจากพี่แล้ว มีใครรู้เรื่องนี้รึยัง…”พันทิวาส่ายหน้าไหวๆ ทั้งที่จริงๆแล้ว
ยังมีรังสิมันต์อีกคนที่รู้เรื่องนี้ เพราะเขาถึงทำให้พันทิวารู้ตัวว่ากำลังตั้งท้อง
เนื่องจากช่วงหลังๆที่บาดแผลลุกลาม พันทิวาโทรไปปรึกษารังสิมันต์
ซึ่งประจวบเหมาะกับเขาขึ้นมากรุงเทพฯ ทำให้รังสิมันต์ต้องงดตัวยาฆ่าเชื้อบางตัวไป
เนื่องจากสงสัยจนตรวจพบว่าพันทิวา กำลังตัั้งครรภ์น้อยๆอยู่...
และเธอได้ขอร้องให้รังสิมันต์เก็บเรื่องนี้เอาไว้ก่อน ห้ามบอกใคร...
เพราะเธออยากบอกด้วยตัวเธอเอง...
ตะวันลอบถอนใจ เขาไม่รู้ว่าคนตรงหน้ากำลังมีปัญหาอะไรในใจ
พักหลังๆมาถึงได้เศร้าหมองลง จากคนที่เคยสนุกสนานร่าเริงกลับเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน…
นานๆเขาจะเห็นเธอออกไปไหนมาไหน
เจ้าน้องชายของเขาเองก็เอาแต่ยุ่งกับเรื่องงาน นี่ถ้าเขาสะดวกกว่านี้
เขาก็อยากจะกลับไปช่วยแบ่งเบาภาระที่บริษัทบ้าง…
น้องชายจะได้มีเวลาดูแลหญิงสาวตรงหน้าเขามากกว่านี้…
“งั้นเราไปเดินเล่นกันที่สวนดอกไม้หลังเรือนกันดีมั้ย…พี่ไม่ได้ไปนานแล้ว
ไม่รู้ว่าช่วงนี้มีดอกอะไรออกดอกบ้าง”
ตะวันเริ่มชวนคนเท้าเจ็บด้วยความลืมตัว เพราะเขาเองก็ยังเดินเหินไม่ได้ ต้องอาศัยรถเข็น
พันทิวาจึงยิ้มขันกับสีหน้าของคนชวนที่เริ่มรู้สึกตัวแล้ว
“ว้า…แล้วอย่างนี้ต้องทำไง…เธอกับพี่ถึงจะไปเที่ยวที่สวนดอกไม้ได้ล่ะ”
“ก็ไม่เห็นจะยากนี่คะ…แมงมุมซะอย่าง…ทำได้สบายอยู่แล้ว…”
แล้วทั้งสองก็สามารถถ่อสังขารลงมายังสวนดอกไม้ได้ในที่สุด
ด้วยการช่วยเหลือของผู้ช่วยพยาบาลนั่นเอง…
เมื่อถึงด้านล่่างแล้ว พันทิวาจึงอาสาเข็นรถให้ตะวันเอง
เพราะเธอก็ไม่ได้ง่อยเพลี้ยเสียขาเสียหน่อย…ก็เลยสามารถกะเผลกเท้าเข็นรถ
พาตะวันเดินชมดอกไม้สีสันสวยงามในสวนท่ามกลางผีเสื้อหลากหลายชนิด
ด้วยสีหน้าสดใสขึ้น…
“ขอบคุณนะคะสำหรับไอเดียดีๆ”พันทิวากล่าวขณะนั่งลงตรงม้านั่ง
“บางครั้งสิ่งดีๆ สิ่งที่สวยงาม ก็อยู่ใกล้ๆตัวเรานี่เอง…ว่ามั้ย…”
พันทิวายิ้มกว้างมองไปรอบๆกาย แล้วสูดลมหายใจเต็มปอด เห็นด้วยกับคำพูดนั้น
“นั่นน่ะสิคะ…มุมมาอยู่ที่นี่เกือบสี่เดือนแล้ว แต่ยังไม่เคยลงมาชมดอกไม้ในสวนนี้สักครั้ง…”
ตะวันได้ฟังดังนั้นถึงกับหัวเราะฮึๆในลำคอ
“อย่าว่าแต่เราเลย พี่เองยังนึกไม่ออกเลยว่าเคยมาที่นี่ครั้งสุดท้ายตอนไหน
ยังสงสัยอยู่เลยว่าดอกไม้พวกนี้ยังมีชีวิตอยู่อีกรึเปล่า…ดีนะที่จ้างคนดูแลสวน
ถ้าให้เจ้าของบ้านดูแลเอง มีหวังต้นไม้พวกนี้คงเหี่ยวตายตั้งแต่ยังไม่ทันออกดอกแน่ๆ…”
พูดไปก็หัวเราะไป ทำให้บรรยากาศดีๆกับอากาศดีๆยามบ่ายสดใสขึ้นกว่าก่อนหน้านี้…
“อยากไปเที่ยวที่ไหนเป็นพิเศษรึเปล่า…”ตะวันหันมาถามหญิงสาวที่กำลัง
ก้มลงดมกลิ่นดอกไม้ในสวนอยู่
“เอ่อ…ว่าแต่ถ้ามุมบอกไปแล้วพี่เพลิงจะพาไปรึเปล่าล่ะคะ…”
ตะวันยิ้มที่มุมปาก…
“อย่าบอกนะคะว่าลวงถามเพื่อให้คนอื่นพาไป…”พันทิวาหันมายิ้มให้อย่างรู้เท่าทัน
“รู้ทันอีก…”
“ว่าไง…อยากไปไหนเป็นพิเศษรึเปล่า…”ตะวันยังคงเซ้าซี้ถาม
หลังจากที่พันทิวาไม่ยอมตอบสักที
“มุมไม่ได้อยากไปไหนเป็นพิเศษหรอกค่ะ…เพราะอยู่ที่นี่มุมก็โอเคดีอยู่แล้ว…”
พันทิวาตอบออกไปด้วยน้ำเสียงปกติ
“แต่พี่จำได้ว่าเธอกับนายดินยังไม่ได้ไปฮันนีมูนกันที่ไหนเลยนี่…”
พันทิวาลอบถอนใจนิดนึงก่อนจะเด็ดดอกมะลิมาไว้ในมือ
แล้วเดินกลับมายังคนที่นั่งอยู่บนรถเข็น
“มุมว่าดอกมะลิทำให้รู้สึกสดชื่นจังเลยค่ะ เมื่อก่อนไม่ค่อยชอบกลิ่นของมันสักเท่าไหร่
แต่ไม่รู้ทำไมตอนนี้ถึงได้ชอบเป็นพิเศษนัก…”
ตะวันมองคนที่พยายามเปลี่ยนเรื่องด้วยรอยยิ้มปราย
“ไปเที่ยวที่สวนปักษาวายุของเจ้าลมดูมั้ย ที่นั่นมีครบทุกบรรยากาศที่เป็นกลิ่นไอของธรรมชาติ…
โดยเฉพาะสวนดอกไม้…มีไม้ดอกไม้ประดับหลากหลายชนิด…แถมยังมีกระท่อมกลางนา
ที่ใช้ตะเกียงเจ้าพายุ ไม่มีไฟฟ้าและน้ำประปา…เป็นบรรยาลูกทุ่งๆ”
พันทิวาถึงกับเลิกคิ้วมองคนพูดด้วยแววตาสนใจ
“สมัยนี้ยังมีสถานที่แบบนั้นหลงเหลืออยู่อีกเหรอคะ…”ตะวันพยักหน้า
เมื่อปลาเริ่มกำลังกระตุกเหยื่อที่หย่อนไปเมื่อครู่แล้ว…
“มีสิ เจ้าลมเขาพยายามทำรีสอร์ทและสถานที่รองรับนักท่องเที่ยว
แบบหลากหลายสไตล์ ใครที่ชอบบรรยาลูกทุ่งๆก็ไปที่นั่นได้
เพราะที่สวนปักษาวายุมีทั้งท้องทุ่งและขุนเขา มีทั้งลำธารใส
และน้ำตกเลียนแบบธรรมชาติ มีวิถีชีวิตแบบบ้านๆให้ดูให้ชม
ให้ทดลองใช้ชีวิตอิงธรรมชาติดูได้ที่นั่น…
และที่สำคัญนอกจากกระท่อมกลางนาแล้ว ยังมีกระท่อมกลางสวนเงาะ สวนทุเรียน
สวนลองกองด้วยนะ ใครอยากเป็นชาวสวนชั่วคราวก็ย่อมได้…
หรือจะเป็นเจ้าของสวนดอกไม้นานาชนิดก็มีนะ เพราะที่นั่นมีโรงกล้วยไม้ขนาดใหญ่
แถมยังมีสวนดอกไม้เมืองร้อนอีกมากมายด้วย…
สวนดอกมะลิก็มี…สนใจรึเปล่าล่ะเรา”พันทิวาถึงกับตาโต
“โอ้โห…นี่ที่พี่เพลิงโฆษณามาทั้งหมด มีอยู่ที่สวนปักษาวายุจริงๆเหรอคะเนี่ย…”
ตะวันพยักหน้า เมื่อรู้ว่ายังไงเสีย ปลาตัวนี้ก็หนีไม่รอดแล้ว
“จริงๆ…พี่ถึงอยากให้เธอลองไปเที่ยวเปิดหูเปิดตาดู
แล้วจะรู้ว่าพี่ลมของนายดินน่ะเขาสุดยอดแค่ไหน…
นั่นน่ะเจ้าพ่อกิจการทัวร์ของที่โน้นเชียวนะ…”
“แหม…พี่เพลิงพูดซะมุมอยากไปเลย…ว่าแต่เที่ยวฟรีิ พักฟรี กินฟรีรึเปล่าก็ไม่รู้…”
ตะวันหัวเราะร่วนกับถ้อยคำนั้นของพันทิวา
ดูท่าทางหวงกินกับหวงนอนนั่นสิ…เขาว่าไม่ต่างจากหลานแฝดของเขาเลย
“อันนี้คงต้องถามเจ้าของสถานที่ แต่ถ้าไปในนามของน้องสะใภ้คงไม่เป็นไรมั้ง”
คราวนี้พันทิวาถึงกับอมยิ้ม รู้ว่าโดนกลลวงของคนตรงหน้าเข้าให้แล้ว
แต่ถ้าที่นั่นเป็นดั่งว่าจริง เธอก็ยอมให้หลอกล่ะเอ้า…
“แสดงว่าที่นั่นต้องกว้างใหญ่ไพศาล อลังการงานสร้างมากเลยใช่มั้ยคะ
ชักอยากเห็นแล้วสิ…”ตะวันพยักหน้า ยิ้มกว้างเมื่อปลายอมกินเหยื่อแล้ว
“และก็แสดงว่าพี่ลมก็ต้องรวยมากๆด้วย ทั้งหล่อทั้งรวยทั้งเก่งอย่างนี้
พี่ปองคงมีคู่แข่งเยอะแน่ๆ…”
ถ้อยคำและน้ำเสียงนั้นทำให้ตะวันอมยิ้มให้กับคนที่ดูจะห่วงใยในสวัสดิภาพของปองขวัญ
โดยไม่ได้มองคู่แข่งของตนเองบ้างเลย…
เพราะเจ้าลมน้องชายของเขานั้นไม่คิดจะยุ่งกับหญิงใดที่ไม่มีใจเสน่หาอยู่แล้ว
เรื่องคู่แข่งก็เลยหายห่วง แต่เจ้าดินน้องชายของเขานี่สิ…เจ้าชู้ประตูดินแค่ไหนใครๆย่อมรู้ดี…
แถมสาวๆยังติดแจ ขนาดแต่งงานแล้วก็ยังไม่วายพาขนมจีบไปป้อนเจ้าน้องชายของเขาถึงที่ทำงาน
ดีที่พันทิวาอยู่ที่บ้าน ก็เลยไม่ค่อยรับรู้ข่าวคราวดังกล่าว
เพราะหญิงสาวเป็นคนไม่ค่อยอยากรู้อยากเห็นเรื่องของผู้อื่นสักเท่าไหร่
นี่ถ้ารู้ สถานการณ์อาจจะย่ำแย่ยิ่งกว่านี้ก็เป็นได้…
“คู่แข่งเยอะไม่เยอะพี่ไม่รู้หรอก แต่ที่รู้ๆหมอปองมาวินเห็นๆ…”
“แล้วพี่เพลิงล่ะคะ ไม่คิดจะพาพี่ตามไปเที่ยวที่นั่นบ้างเหรอคะ…
พี่ตามทำงานเหนื่อยๆ อาจจะอยากพักผ่อนคลายเครียดก็ได้…”
คำแนะนำดังกล่่าวทำให้ตะวันหันกลับมาคิดบ้าง
“พี่ก็ว่าเป็นไอเดียที่ดีไม่น้อยเลย…แต่พี่จะพาสาวๆไปไหนได้ล่ะ
ขนาดตัวพี่พี่ยังพาไม่รอดเลย…”พูดพลางก็มองสภาพของตัวเองไปด้วย
พันทิวาจึงปลอบใจไปว่า
“ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย เดี๋ยวนี้รถราพาหนะก็ออกจะสะดวกสบาย
ถ้าพี่เพลิงจะไป เราก็เอารถคันใหญ่ไปด้วยกันเลย…พาผู้ช่วยพยาบาลไปเปิดหูเปิดตาด้วย…
แค่นี้ก็ไร้ปัญหา…เอาช่วงที่พี่ปองย้ายไปอยู่ที่โน้นแล้วเป็นไงคะ…”
ตะวันยิ้มกว้างเห็นด้วยกับความคิดของหญิงสาวเป็นที่สุด…จึงพยักหน้าหงึกๆ
“มุมจะได้ชวนพี่รักไปด้วย เอาครอบครัวของเจ้าแฝดไปด้วย ปิดบริษัท
ไปพักกันทั้งบ้านอาทิตยะและบ้านของมุมด้วยเป็นไงคะ…”
คราวนี้คนฟังถึงกับตาค้าง ไอ้ที่คาดๆเอาไว้ว่าจะให้แม่คุณได้ไปฮันนีมูนกับน้องชายของเขาตามลำพัง
เป็นอันจะพาพังลงไปเรื่อยๆแล้ว เมื่อดูเหมือนจะมีเรือพ่วงตามหลังไปอีกหลายลำ…
แต่ละลำดูจะมีสัมภาระติดสอยห้อยตามไปด้วยไม่น้อยเลย…
“พี่ว่ามันจะดูเอิกเริกไปนิดนึงนา…”ตะวันหยั่งเชิง พันทิวากลับส่ายหน้า
“เอิกเริกที่ไหนล่ะคะ อบอุ่นจะตาย ไปกันหลายคน สนุกสนานเฮฮาออก”
ตะวันเหมือนจะพ่ายแพ้ต่อความอบอุ่นของคนพูดเสียแล้ว
“งั้นเอาไว้เราค่อยปรึกษาเรื่องนี้กับคนอื่นๆดูเอามั้ย…”พันทิวาฉีกยิ้มกว้าง
ราวกับเด็กน้อยที่ได้ของเล่นหลังจากที่อ้อนขอพ่อแม่อยู่นาน…
ทำให้อดนึกไปถึงน้องสาวคนเล็กของเขาที่จากไปแล้วไม่ได้…
“พี่ว่าเรากลับขึ้นเรือนกันดีกว่า…”พันทิวาพยักหน้าเมื่อได้ยินเสียง
เครื่องยนต์แล่นเข้ามาในบ้าน
“สงสัยเจ้าแฝดคงกลับจากโรงเรียนกันแล้ว…งั้นขอมุมเก็บดอกมะลิอีกสักนิดนะคะ…”
พูดเสร็จพันทิวาก็ก้มเก็บดอกมะลิใส่ตะกร้า
ที่เตรียมมาเพื่อเก็บดอกไม้ไปจัดแจกันบนเรือน…
“มา…เดี๋ยวพี่ช่วยถือตะกร้าให้…”ตะวันยื่นมือเข้าช่วย
พันทิวาจึงส่งตะกร้าให้ แล้วรีบเก็บดอกมะลิใส่ตะกร้าพลางร้องเพลงไปด้วย
เสียงใสๆของหญิงสาวทำให้ตะวันยิ้มกว้างอย่างมีความสุข
ที่เห็นคนตรงหน้าดูสดใสร่าเริงอย่่างแต่ก่อน…
“ถ้ามองไปไม่มีดอกไม้ แต่ใจฉันมีดอกไม้
อะไรดูสวยงาม สดใสไปทุกอย่างเลย
ตัวฉันเป็นอย่างนี้ ก็เพราะมันไม่เคย เลยลังเลไม่ค่อยเข้าใจ…
ถ้ามองไปที่ตรงขอบฟ้า ลอยล่องไปสุดฟ้า
ส่งใจไปหาใคร คิดถึงใครสักหนึ่งคน…
ใจฉันเป็นอย่างนี้ ฉันชักจะสับสน
ก็อยากที่จะลองหาต้นเหตุ…
เพราะเธอรึเปล่า…ใช่เธอรึเปล่า
เพราะเธอรึเปล่า ที่คอยเข้ามาในจิตใจฉันทุกวัน
เพราะฉันรึเปล่า…ฉันเองรึไง ฉันเองใช่ไหม
ที่ไปหวั่นไหว หรือแต่แค่ฝัน…ไปคนเดียว…”
เสียงร้องเพลงของพันทิวาบังเอิญไปกระแทกหูของสามีตัวเอง
ที่กำลังเดินตามหาภรรยาตามคำบอกเล่่าของแม่บ้านเข้าพอดี
ทำให้ภาพน่ารักๆของเธอกับพี่ชายของเขาบาดทรวงของคนพบเห็นเข้าพอดิบพอดี…
…อดหมั่นไส้ไม่ได้ ทีอยู่กับเขาทำตัวราวกับแมงมุมสารพัดพิษ
แต่กับพี่ชายของเขาแม่คุณกลับถอดเขี้ยวถอดเล็บถอนพิษออก
ลอกคราบกลายเป็นแมงมุมน้อยร้องเพลงเสียงใสกิ๊งเชียว…
แถมยังร้องเพลงไปยิ้มไป เก็บดอกไม้ไปอย่่างสบายจิต
คงลืมคิดถึงสามีอย่างเขาไปสนิทเลยล่ะสิ…
และก็พอดีที่ตะวันหันมาเห็นน้องชายยืนทำหน้างอ ตาเขียวปั๋ดเข้าพอดี
ผู้เป็นพี่จึงส่งตะกร้าไปให้น้องชาย แล้วพยักพเยิดไปทางพันทิวา
ที่ดูจะเพลิดเพลินกับการก้มเก็บดอกมะลิจนไม่รู้เลยว่ามีสามีของตนเองยืนจ้องไม่ยอมวางตา…
ตะวันจึงหลบมุมให้ทั้งสองได้พูดคุยเจรจากัน
อย่างน้อยๆตอนนี้พันทิวาก็ดูอารมณ์ดี คงจะไม่ทะเลาะกันอย่างเคย…
หากเขาคงไม่รู้ว่าลับหลังเขาไปเพียงนิด จากเสียงใสๆ
ของคนที่กำลังร้องเพลงอย่างสบาบจิตเปลี่ยนเป็นเสียงร้องไห้ของหญิงสาวแทน…
“พี่เพลิงล่ะไปไหน…”พันทิวาถามพสุธเสียงเข้ม
พลางสอดส่ายสายตามองหาตะวันที่เห็นกำลังเข็นรถออกไปอยู่ไม่ไกลนัก
หญิงสาวจึงตั้งหน้าจะเดินไปช่วยเข็นรถให้อีกฝ่าย แต่กลับถูกขวางไว้
“ถอยนะ จะกลับแล้ว…”
“ไม่เก็บดอกไม้ต่อแล้วรึไง รึว่าเห็นคนถือตะกร้าเป็นสามีขึ้นมา
เลยหมดอารมณ์สุนทรีย์…”
“ใช่…หมดอารมณ์แล้ว…เอาคืนมานะ”พูดพลางก็แย่งยื้อตะกร้าดอกมะลิในมือของพสุธ
หากชายหนุ่มกลับไม่ยอมคืนให้ง่ายๆ
“อยากได้คืนก็ตามไปเก็บเอาที่อ่างอาบน้ำกับบนเตียงก็แล้วกัน…”
ไม่พูดเปล่าพสุธเดินจ้ำอ้าวไปตามทางกลับเรือนทันที
พันทิวารีบเดินตามไปทันทีโดนลืมไปสนิทว่าเท้าของเธอเป็นแผลอยู่
และแผลนั่นดันไปเหยียบเข้ากับก้อนหินพอดี
หญิงสาวเจ็บจนน้ำตาเล็ดออกมา นั่งพับเพียบเอามือกุมแผลนั่นเอาไว้แน่นด้วยความเจ็บ…
เลือดไหลซิบผ่านผ้าพันแผลออกมาอย่างเห็นได้ชัด
ทั้งๆที่มันจวนจะหายอยู่แล้ว....และแทนที่จะหายวันหายคืน...
คราวนี้เธอคงต้องรอไปอีกหลายวันกว่าแผลจะหายเป็นปกติ…
ทั้งๆที่มันก็แค่แผลเล็กๆแม้จะค่อนข้างลึก แต่ทำไมมันถึงได้กินระยะเวลาในการรักษาเยียวยา
ยาวนานขนาดนี้ด้วยนะ...พันทิวาขบคิดจนอดมองดูบาดแผลดังกล่าวไม่ได้
มันคงเหมือนแผลในใจเธอกับเขา ที่ยิ่งนานวันก็ยิ่งลุกลามขึ้นทุกที...
พสุธเห็นอีกคนยังไม่เดินตามมาก็หันหลังกลับไปดู
นึกขึ้นมาได้ว่าเท้าเธอยังเจ็บอยู่ และสีหน้าของชายหนุ่มถึงกับถอดสี
เมื่อเห็นหญิงสาวนั่งร้องไห้กระซิกเบาๆน้ำตาไหลอาบแก้มตรงโคนต้นมะลิ
โดยมือยังกุมเท้าเอาไว้แน่น…ด้วยความปวดหนึบ...
พสุธคุกเข่าลงข้างๆแล้วยกร่างนั้นขึ้นอุ้ม
“ฉันขอโทษ…ขอโทษนะ…”เสียงขอโทษและแววตาเสียใจนั้น
ทำให้พันทิวาถึงกับหลุบตาต่ำ ก่อนจะนึกขึ้นได้
“ดอกมะลินั่น…”หญิงสาวชี้ไปยังตะกร้าดอกมะลิที่วางอยู่บนพื้น
พสุธส่ายหน้านิดนึงก่อนจะหย่อนเข่่าลงหยิบตะกร้านั้นขึ้นมา
พันทิวาจึงรับมาถือเอาไว้…
“จะมีสักวันไหมที่ฉันกลับมาแล้วพบว่าเธอไม่พาเท้ามาเดินซุกซนจนได้เรื่องแบบนี้…”
เสียงดุๆนั้นทำให้พันทิวาถึงกับเบ้ปาก เถียงออกไปข้างๆคูๆว่า
“ก็ฉันเบื่อ ฉันเซ็งเป็นเหมือนกันนี่ ไม่ใช่นายนี่ ที่พาหน้าผากแตกๆไปอวดสาวๆที่ทำงานได้ทุกวัน…
ไม่เห็นฉันจะบ่นสักคำ…”พสุธถึงกับอมยิ้มที่ได้ยินถ้อยคำนั้นของคนที่กำลังอุ้มอยู่
“อยากไปเที่ยวมั้ยล่ะ เดี๋ยวฉันพาไป…”พันทิวาไม่ตอบ นอกจากเสหน้าไปทางอื่น…
ลอบยิ้มอยู่ในใจไม่ให้อีกฝ่ายได้รู้แผนการของเธอกับพี่เพลิงที่วางเอาไว้ก่อนหน้านี้…
“แต่คงต้องรอให้เท้าของเธอหายก่อน…”
“และคงต้องรอให้หน้าผากของนายหายก่อนด้วยใช่มั้ย…”พันทิวาต่อให้
จนคนฟังแอบขำกับน้ำเสียงและสีหน้างอๆของคนพูด…
“อยู่ๆก็นึกหึงสาวๆที่ทำงานขึ้นมารึไง…”พันทิวาถึงกับถลึงตาใส่คนพูดทันทีที่เขาพูดจบ
“อะไร…ใครหึง…”
“ก็เธอนั่นแหล่ะ…เห็นๆอยู่ว่าหึง…”
“ฉันไม่ได้หึง…ก็แค่พูดไปตามที่ตาเห็น…”
“แสดงว่านั่งทางในได้ด้วย…สุโค่ยน่า…”พสุธกระเซ้าพันทิวาอย่างนึกสนุก
“ถึงไม่มีตาทิพย์ แต่เพราะตาใจของฉันนี่แหล่ะที่ทำให้เห็น
ว่าผู้ชายเจ้าชู้อย่างนายมีกิจวัตรประจำวันคืออะไรบ้าง…”
พสุธอมยิ้มกับคำพูดนั้นอย่างปิดไม่มิด
“อะไรบ้างล่ะ อยากรู้จริงๆว่าจะใช่อย่างที่ฉันเป็นรึเปล่า…”
“อย่าให้พูด…”หญิงสาวเบ้ปากราวกับไม่สบอารมณ์จะพูดด้วย
“ที่ไม่พูดเพราะเขินมากกว่าล่ะมั้ง เพราะกิจวัตรของฉันแต่ละวัน
ไม่เห็นจะมีอะไรนอกจากนอนกอดเมียก่อนตื่นไปทำงาน
พอเลิกงานก็กลับมาหาเมีย แล้วก็ทำการบ้านก่อน…”
ไม่ทันพูดจบก็โดนฝ่ามืออรหันต์ของเมียปิดปากเสียหนักมือ…
“พูดมากจริง…”พสุธหัวเราะฮึๆในลำคอก่อนจะจูบฝ่ามือที่ปิดปากของเขาเล่น…
พันทิวาสะบัดมือออกทันทีราวกับโดนของร้อน
พสุธจึงหัวเราะร่วนกับสีหน้าท่าทางของคนในอ้อมกอด
ทำให้คนที่เขาเดินผ่านหน้าไปถึงกับอมยิ้มกับภาพนั้นของทั้งสอง
“ว่าแต่ทำไมถึงได้นึกเก็บดอกมะลิขึ้นมา ร้อยวันพันปีไม่เห็นจะชอบกลิ่นของมันสักเท่าไหร่นี่…”
พสุธทักขึ้นเมื่ออุ้มหญิงสาวมาวางไว้บนเตียงโดยสวัสดิภาพอย่างเคยเสร็จ
พันทิวามองดอกมะลิในตะกร้าก็ให้ฉงนสงสัยตัวเองขึ้นมาเหมือนกัน
ปกติเธอไม่ค่อยหวั่นไหวกับความสวยงามของพวกดอกมงดอกไม้กับเขาสักเท่าไหร่
แต่อยู่ๆกลับนึกพิศวาสดอกไม้พวกนี้ขึ้นมาได้…หรือว่า…
หญิงสาวยกมือขึ้นแตะตรงหน้าท้องทันที…
พสุธมองสีหน้าท่าทางนั้นอย่างงงๆ…แล้วอดถามออกไปไม่ได้ว่า
“ไม่มีข่าวดีมาบอกฉันบ้างเหรอ นี่ก็หลายเดือนแล้วนะที่เราแต่งงานกันมา”
พันทิวาถึงกับหน้าแดงที่เจอคำถามแบบโจ่งแจ้ง ตรงๆแบบขวานผ่าซากขนาดนั้นของเขา…
“เอ่อ…ยังหรอก…”
“ก็ดี…เธอจะได้ติดแหง็กอยู่กับฉันไปอีกนานแสนนานไง…เธอคงไม่ชอบสักเท่าไหร่
แต่สำหรับฉัน ยังไงก็ได้อยู่แล้ว…”พูดเสร็จก็หอมแก้มหญิงสาวฟอดใหญ่
พันทิวาหลบหลีกเมื่อเขาพยายามจะทำมากกว่านั้น…
“วันนี้ฉันไม่สะดวก เป็นวันนั้นของเดือนน่ะ…”หญิงสาดปดคำโต…
พสุธจึงเพียงแค่กอดเธอเอาไว้นิ่งอย่างนั้นก่อนจะนึกขึ้นได้
จึงลุกขึ้นไปหยิบอุปกรณ์ทำแผล…แล้วจับเท้าของหญิงสาวมากุมไว้
เพื่อสำรวจดูบาดแผล ก่อนจะเริ่มแกะผ้าพันแผลนั่นออกแล้วล้างแผลให้พันทิวาอย่างเบามือ
หญิงสาวมองการกระทำนั้นของเขาอย่างเพลิดเพลิน
ก่อนจะกัดฟันข่มความเจ็บจี๊ดๆ พสุธจึงช้อนตาขึ้นมองคนเจ็บนิดนึง
ก่อนจะก้มกลับลงไปเพื่อพันผ้าพันแผลต่อ…
“ดูเธอมีความสุขเวลาอยู่กับพี่เพลิงนะ บอกฉันได้มั้ยว่าพี่เพลิงทำยังไง
ทำไมเธอถึงหัวเราะยิ้มได้ แถมยังร้องเพลงได้ไม่อายผีเสื้อ…”
พันทิวาถึงกับค้อนให้กับประโยคสุดท้ายของคนถามที่ยังคงวุ่นอยู่กับบาดแผลของเธอ
ก่อนจะตอบออกไปตรงๆว่า…
“ก็ไม่เห็นจะทำอะไร นอกจากชวนฉันไปมองอะไรสวยๆงามๆ
ไม่หาเรื่องทะเลาะกับฉัน ไม่ทำให้ฉันร้องไห้ ไม่ทำให้ฉันเสียใจ
เข้าใจฉัน และก็เอาใจฉัน ชวนไปโน่นไปนี่ พยายามมองหาสถานที่ดีๆ
ให้ฉันไปพักผ่อนคลายเครียด แก้เซ็งก็เท่านั้น…”
“ซึ่งฉันไม่เคยทำได้แบบนั้นเลยใช่มั้ย…”พสุธต่อให้อย่างหมั่นไส้คนพูด
ที่ดูจะชื่นชมพ่ีชายของเขาเสียออกนอกหน้า…
“นายถามฉัน ฉันก็ตอบไปตรงๆ ถ้าไม่อยากได้ยินคำตอบแบบนี้
นายก็ไม่ควรถามคำถามแนวนี้กับฉันนี่…”พสุธกระตุกยิ้มที่มุมปากนิดนึง
เมื่อคิดอะไรออก…
“เมื่อเช้าพี่ลมโทรมาชวนให้ฉันพาเธอไปฮันนีมูนที่สวนปักษาวายุของพี่เค้า
เที่ยวฟรี พักฟรี กินฟรี เธอจะว่าไง…”พันทิวาถึงกับตกใจตาค้างในสิ่งที่ได้ยิน
ทำไมเรื่องมันถึงบังเอิญได้ขนาดนี้…
“จะมาฮันนีมูนอะไรกันตอนนี้…ทีก่อนหน้านี้ไม่เห็นชวน…”
พสุธยิ้มให้กับท่าทางงอนๆของหญิงสาวที่นานปีจะมีมาให้เห็นสักครั้ง
“จะเมื่อไหร่ตอนไหน ก็ฮันนีมูนได้ทั้งนั้นแหล่ะน่า…สนใจจะไปมั้ย
สัปดาห์หน้าฉันว่างพอดี…”พสุธเลิกคิ้วถาม
“พาพี่เพลิงไปด้วยสิ…”คนฟังเลิกคิ้วนิดนึง ก่อนจะยิ้มแล้วตอบว่า
“จะพาไปทำไม เกะกะออก…”
“ไม่เห็นจะเกะกะตรงไหน ฉันจะชวนพี่ตามไปด้วย แล้วก็จะชวนพี่รัก
ชวนเจ้าแฝด และก็ชวนที่บ้านไปด้วย…”
“โอ้โห…นี่เธอกะจะขนกันไปทั้งลำเลยเหรอ…ไม่กลัวเรือแตกรึไง…”
“ถ้านายไม่โอเค ฉันก็ไม่เซย์เยส…อยากไปก็ไปคนเดียวก็แล้วกัน
ไปกับนายตามลำพังวังเวงจะตาย…”พันทิวาตีหน้าตาย
“แล้วมีคู่ฮันนีมูนที่ไหนเขาขนคนไปเป็นก้างมากมายอย่างเธอบ้างล่ะ”
“ก็คู่ของนายกับฉันไง…”พสุธยกมือกุมขมับทันทีเมื่อสิ้นคำพูดนั้น
ก่อนจะเก็บอุปกรณ์ทำแผลเข้าที่…
“ถ้าไปคราวนี้ ไม่มีลูกมาฝากฉัน เธอแย่แน่ๆพันทิวา…”เสียงคาดโทษนั้น
มิได้ทำให้พันทิวารู้สึกรู้สาอะไร…
“อยากได้ลูกมากเลยรึไง…”พันทิวาถามออกไปด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนิดๆ
พสุธจึงเดินกลับมาหลังจากนำอุปกรณ์ไปเก็บเรียบร้อยแล้ว
ก่อนจะนั่งลงตรวจดูบาดแผลที่ฝ่าเท้าของพันทิวาให้แน่ใจอีกรอบพลางตอบไปว่า
“อยากได้สิ…อิจฉาพี่รักกับพี่เหยี่ยวจะแย่ มีลูกทีเดียวได้ถึงสองคน…
ที่เขาเรียกทูอินวันไง…แถมน่ารักน่่ากอดอีก…อยากมีแบบนั้นบ้าง…”
ว่าแล้วพสุธก็ช้อนตาขึ้นมองภรรยาของตนแล้วกล่าวอีกว่า
“เธอช่วยฉันหน่อยนะ…แมงมุมนะ…”แววตาขี้อ้อนของเขาทำเอาพันทิวา
ถึงกับหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย…
“ช่วยยังไงได้เล่า…”
“ก็แค่เต็มใจ ไม่ใช่ฝืนใจ…จะได้ไหม…”พันทิวากัดปากตัวเอง
จนแทบจะพูดออกไปด้วยความโกรธแล้วว่า
ถ้าที่ผ่านมาเธอไม่เต็มใจ มีหรือเธอจะยอมเขา…
แต่เพราะความกระดากอาย เธอจึงเลือกที่จะเงียบ…
และเพราะความเงียบ จึงทำให้คนฟังลุกขึ้นมานั่งลงข้างๆภรรยาสาว
“ฉันรู้ว่าคงยากที่จะขอให้เธอหันมารักฉัน…ฉันคงไม่ขอเธอมากเกินไป
ถ้าจะขอให้เธอมีลูกให้ฉันเพื่อเป็นตัวแทนความรักที่ฉันมีต่อเธอ…
ถึงเธอจะไม่รักฉัน…ถึงเธอจะไม่…”พันทิวายกนิ้วปิดปากนั้นเอาไว้
พลางส่ายหน้าไปมา แล้วเปลี่ยนเป็นยกสองมือขึ้นประคอง
คางสากๆนั่นเอาไว้ก่อนจะจุมพิตริมฝีปากชายหนุ่มเบาๆ…
พสุธออกจะแปลกใจกับสัมผัสนั่นที่เธอมอบให้กับเขา…
หากก็รู้สึกดีจนอดใจที่จะตอบรับสัมผัสนั้นไม่ได้…
“เป็นวันนั้นของเดือนไม่ใช่เหรอ…”พสุธถามขึ้นเมื่อเริ่มยั้งใจเอาไว้ไม่อยู่
พันทิวาส่ายหน้า
“ฉันโกหกนาย…”เท่านั้นพสุธก็เหมือนเห็นสัญญาณไฟเขียวอยู่ตรงหน้า
จึงไม่รอรีอีกต่อไป…
“ฉันรักเธอ…แมงมุม…”พสุธกล่าวขึ้นขณะยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนใบหน้าให้ภรรยาสาว
ก่อนจะจุมพิตหนักๆตรงหน้าผากมนนั่นด้วยความรักใคร่เสน่หา
…ถึงจะรู้ว่าเธอมีพี่ชายของเขาอยู่เต็มหัวใจ
สิ่งที่เธอทำกับเขามันดูรุนแรง เหมือนแกล้งรักให้เขาสับสน
แต่ที่ยอมให้เธอก็เพราะรักและต้องการให้เธออยู่กับเขาเรื่อยไปอย่างนี้
และคงทำใจไม่ได้ที่จะยอมให้เธอจากไปจริงๆ จึงพยายามหาหนทางรั้งเธอเอาไว้
แม้จะเจ็บปวดทุกครั้งที่รู้ว่าเธอรักคนอื่นไม่ใช่เขา
แต่เขาก็เต็มใจที่จะอดทน ทั้งๆที่ไม่เคยยอมให้ใครมากมายขนาดนี้มาก่อน
ก็เพราะรักเธอทั้งหัวใจ อะไรก็ยอมได้ทั้งนั้น…
“บางครั้ง…ฉันรู้สึกเหมือนเธอเองก็มีใจให้ฉัน…
ในขณะที่บางครั้ง…เธอก็ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนไร้ตัวตน…
บอกฉันได้มั้ย…ว่าเธอรู้สึกยังไงกับฉันกันแน่…”
พสุธเปรยออกมาในขณะที่เอามือก่ายหน้าผากมองเพดานห้องนิ่ง
ความสุขที่เธอมอบให้กับเขาเมื่อครู่นี้มันไม่ใช่ความฝันแต่เป็นความจริง…
เธอทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความรัก…หากเขาไม่แน่ใจว่ามันจะใช่ความรักจริงๆรึเปล่า
…เธออาจจะแกล้งหลอกเขาให้ตายใจเล่นก็ได้…
“ถ้าฉันมีลูกชายให้นาย…นายจะปล่อยฉันเป็นอิสระจริงๆรึเปล่า…”
พันทิวาเลือกที่จะถามอีกฝ่ายแทนด้วยสีหน้าและน้ำเสียงราบเรียบ
ยากที่ใครจะล่วงรู้ความคิดข้างในนั้นได้…พสุธตะแคงข้างมองหน้า
พันทิวาที่กำลังนอนจ้องเพดานห้องนิ่ง…ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างฝืดๆ
“เธออยากเป็นอิสระจากฉันมากถึงขนาดยอมปรนเปรอฉัน
แกล้งทำเป็นว่ารักฉัน เธอยอมทำเพื่ออิสรภาพได้ขนาดนี้เลยเหรอ…”
พสุธกล่าวพลางลุกขึ้นหยิบเสื้อผ้าบนพื้นยัดใส่ตะกร้า
แล้วคว้าเสื้อคลุมอาบน้ำขึ้นสวมใส่ มองแผ่นหลังของคนบนเตียงนิ่ง
“หรือเป็นเพราะเธอเห็นใจฉัน ที่อยากมีลูกกับเธอ
สำหรับเธอ ฉันคงเป็นได้แค่นี้ เป็นแค่เศษดินที่น่ารำคาญ…
และน่ารังเกียจสินะ…แต่ต่อให้เธอจะรังเกียจฉันแค่ไหน
เธอก็ไม่มีวันสลัดฉันออกไปจากชีวิตเธอได้หรอก…
เพราะฉันจะเกาะติดเธอไปทุกที่ คอยรังควานเธออยู่อย่างนี้…
จนกว่าเธอจะให้ในสิ่งที่ฉันต้องการ…”พูดจบพสุธก็เดินหุนหันเข้าห้องน้ำไป
พันทิวาได้แต่ลอบถอนใจครั้งแล้วครั้งเล่า
เธอกับเขาคงจะพูดดีๆกันได้ไม่เกินห้านาที…ไม่รู้เป็นเพราะเธอพูดไม่เป็น
หรือเป็นเพราะเขาไม่เคยเข้าใจในสิ่งที่เธอพูดกันแน่…
ถึงได้ตีความกันไปคนละทิศคนละทางอย่างที่เป็นอยู่อย่างนี้…
ไม่ใช่เขาเท่่านั้นที่เหนื่อย เธอเองก็เหนื่อยเหมือนกัน…
เหนื่อยจนอยากกลับไปใช้ชีวิตแบบสาวโสดอีกครั้ง…
ที่วันๆไม่ต้องมานั่งปวดหัวกับเรื่องราวความรักความใคร่
มีอะไรให้สนุกสนานเฮฮาได้เรื่อยๆ…อยากไปไหนทำอะไรก็ดูเบาตัว สะดวกไปหมด…
เพราะไร้พันธะผูกพันกับใคร…
แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่ออะไรๆมันไม่ได้เหมือนเดิมอีกแล้ว
และตอนนี้ก็มีสิ่งแปลกใหม่ที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อนกำลังก่อกำเนิดขึ้นในครรภ์ของเธอ…
และคนที่พันทิวานึกถึงมากที่สุดในยามนี้คือ มารดา…
หลังจากวันนั้นพันทิวาก็หอบผ้าหอบผ่อนไปนอนบ้านบิดามารดาที่สุพรรณบุรี
พสุธก็ไม่ยอมมาตามภรรยากลับเรือน ร้อนจนคนเป็นพ่อเป็นแม่ทนไม่ไหว…
“แม่ว่ามีอะไรก็น่าจะคุยกันนะเจ้ามุม เล่นหอบผ้าหอบผ่อนหนีมาอย่างนี้ ไม่ดีเลย…”
แม่ตำลึงบอกกับลูกสาวอย่างกังวล
“มุมไม่ได้หนีมานะแม่ แค่จะหาที่พักที่ไม่มีคนคอยหาเรื่องทะเลาะสักวันสองวันก็เท่านั้นเอง…
แม่ไม่รู้หรอกว่านายดินทรายน่ะชอบหาเรื่องมาทะเลาะกับมุมอยู่เรื่อย
มุมหมดความอดทนจะฟังเขาพูดจาหาเรื่องจะแย่อยู่แล้ว…”
พันทิวาบ่นออกมาอย่างหงุดหงิด
ไม่รู้เป็นเพราะกำลังท้องกำลังไส้จึงอารมณ์แปรปรวนง่าย
หรือเป็นเพราะไม่ได้ดั่งใจที่อีกคนทำเหมือนไม่สนใจตนกันแน่…
“แกก็ยัดกำปั้นเข้าปากมันสักดุ้นสองดุ้น เดี๋ยวก็เลิกหาเรื่องไปเองแหล่ะ”
คนเป็นพ่อไม่รู้จะพูดอะไรให้ลูกสาวเย็นลง เพราะเอาน้ำเย็นเข้าลูบก็แล้วก็ไม่เป็นผล
สามวันแล้วที่เห็นลูกสาวนั่งถอนหายใจ
เดินถอนหายใจ แล้วก็นอนถอนหายใจรดหัวชาวบ้านเขา…
“หาเรื่องยุให้ผัวเมียเขาทะเลาะกันเข้าไป”
“ดีสิ…โบราณเขาว่า ยิ่งทะเลาะกันลูกยิ่งดก แม่ตำลึงไม่เคยได้ยินรึ”
“ได้แท้งลูกล่ะสิไม่ว่า…”มาถึงตรงนี้พันทิวาถึงกับเอามือแตะตรงหน้าท้อง
ด้วยสัญชาตญาณความเป็นแม่ทันที แม่ตำลึงหันมาเห็นภาพนั้นเข้า
ถึงกับขมวดคิ้วสงสัย…และเมื่ออยู่กันตามลำพังสองแม่ลูก
ผู้เป็นแม่จึงไม่ลืมที่จะถามในสิ่งที่สงสัย…
“แกท้องใช่มั้ยเจ้ามุม…”พันทิวาหันมามองหน้ามารดาด้วยแววตาตกใจ
“แม่รู้?”
“ฉันเป็นแม่แก และก็เป็นแม่คน…ทำไมฉันจะไม่รู้…
แกดูจะระวังกว่าปกติ แถมหน้าตาก็ดูผ่องขึ้น มีน้ำมีนวลขึ้นผิดหูผิดตา
สรีระต่างๆที่เห็นมันบ่งบอกชัดๆว่าแกกำลังท้อง…บอกมาว่ากี่เดือนแล้ว”
พันทิวาถอนใจหนัก…ตอบเสียงเบาๆออกไปว่า
“สอง…”
“สองเดือน…แสดงว่ามันก็มีน้ำยากับเขาเหมือนกัน…”
“แม่!!!”พันทิวาค้อนมารดาด้วยสีหน้าแดงจัด…
“ทำมาเขิน จะเป็นแม่คนอยู่แล้ว ยังทำตัวเหมือนเด็กไม่มีผิด
แกควรจะกลับไปปรับความเข้าใจกับพ่อเด็กให้รู้เรื่อง…
เขาไม่มารับเราก็กลับเองได้ มาเองกลับเอง ไม่ต้องง้อใคร แม่ว่าเท่ออก…
อย่าบอกนะว่าพ่อเด็กยังไม่รู้เรื่องนี้”
พันทิวาเสมองไปทางด้านอื่นทันที เมื่อเจอเข้ากับคำถามนี้…
“จะกลัวอะไร บอกเขาไปเลยว่าแกกำลังจะมีลูกกับเขา…”
“แม่ไม่เข้าใจมุมหรอก…ยังไงมุมก็ไม่บอกอีตานั่นหรอก…”
“วันนี้แกไม่บอก แต่แกคิดเหรอว่าอีกสองเดือนข้างหน้า
หน้าท้องแกจะไม่ฟ้องให้พ่อเด็กรู้…”
“ถ้าอยากโง่นัก ก็ปล่อยให้รออีกสองเดือนมันนั่นแหล่ะ…
เห็นกินข้าวทุกวัน ทำไมถึงไม่ฉลาดขึ้นบ้างก็ไม่รู้สิแม่…
ทีเรื่องอื่นล่ะเจ้าเล่ห์นัก…กะอีแค่เรื่องง่ายๆกลับมองไม่ออก…
ปล่อยให้ไถนาต่อไปอย่างนั้นแหล่ะแม่…”พันทิวาต่อว่าต่อขาน
ไปถึงอีกคนด้วยสีหน้าเจ็บใจ…
“สรุปว่า แกจะไม่ยอมบอกพ่อเด็ก…ก็ดี…งั้นแม่จะโทรไปบอกเอง”
“ไม่นะแม่…”พันทิวารีบคว้าข้อมือของมารดาเอาไว้ด้วยแววตาอ้อนวอน
“อย่านะแม่…ปล่อยให้เขารู้เอง…มุมอยากรู้ว่าเขาฉลาดพอที่จะเป็นพ่อของลูกมุมรึเปล่า…”
คนเป็นแม่ได้ฟังเหตุผลของลูกสาว
ถึงกับหัวเราะพลางส่ายหน้าไหวๆ…
“แม่ไม่ได้รำคาญที่แกมาอยู่ด้วยนะเจ้ามุม
แต่แกควรจะกลับไปหาพ่อเด็กได้แล้ว
ผัวเมียกัน ไม่ควรโกรธกันเกินสามวัน มันไม่ดี…
และที่สำคัญ เขาไม่ให้นอนหันหลังให้กันรู้มั้ย มันบาป…”
คนเป็นแม่แตะมือลงบนบ่าของลูกสาวแล้วลูบเบาๆ
พันทิวามองมารดาที่พูดราวกับตาเห็นนิ่ง…
“โดยเฉพาะคนเป็นเมีย ไม่ควรเลยที่จะนอนหันหลังให้สามี
เราควรจะรักและเคารพเขา เชื่อฟังเขา…คอยอยู่ดูแลเอาใจใส่เขา
หนักนิดเบาหน่อยก็พยายามอดทนและให้อภัยกัน
ถ้าไม่แล้ว บ้านก็ไม่เป็นบ้านอีกต่อไป แม่ไม่อยากให้ครอบครัวของแกต้องพังลง…
เพราะแม่เชื่อว่าเขารักลูกสาวของแม่
และแกเองก็คงรักเขาอยู่เหมือนกันแหล่ะ ไม่อย่างนั้น
คงไม่ยอมมีลูกกับอีตานั่นของแกหรอก จริงมั้ย…
ผู้หญิงเราน่ะ ไม่รักผัวตัวเอง แล้วจะไปรักผัวใคร แกว่ามั้ยเจ้ามุม”
พันทิวาถึงกับหน้าแดงก่ำเมื่อมารดาพูดคำว่าผัวเมียเสียชัดถ้อยชัดคำ
ย้ำกันจริงๆกับสองคำนี้…
“ขอให้จริงเถอะแม่ มุมเห็นมาเยอะแล้วที่ไปแย่งสามีชาวบ้านเขา
ถ้าไม่รักสามีชาวบ้านเขา ก็คงไม่แย่งหรอก…”คนเป็นลูกไม่วาย
แย้งมารดาด้วยรอยยิ้มยียวน…
“งั้นถ้าแกรักผัวแก แกก็ระวังเอาไว้บ้าง เดี๋ยวจะโดนแย่งไป…
แม่ไม่ได้ขู่นะ แต่นายดินทรายอะไรนั่นของแก
หน้าตาก็หล่อเหลาเอาการอยู่ ทรัพย์สมบัติก็มีมากมาย…
ผู้ชายแบบนี้แหล่ะที่สาวๆอยากได้…มีของดีอยู่ในมือแล้ว ถ้าดูแลไม่ได้ ปล่อยให้หลุดมือไปอีก…
แกนั่นแหล่ะที่จะต้องไถนากินหญ้าแทนข้าวซะเอง…”
พันทิวาค้อนคนเป็นแม่ไปหลายวง เพราะไม่ว่าเธอจะพูดอย่างไร แม่ก็เข้าข้างนายนั่นทุกที
ไม่รู้นายนั่นไปทำอะไรเข้าให้ จากที่คุณแม่ไม่ปลื้มกลับให้ท้ายแทน…
“ไปหาพ่อดีกว่า แถวนี้มีแต่คนเข้าข้างอีตานั่น…”
พันทิวาลุกหนีลงเรือนไปยังค่ายมวยทันที ทิ้งให้คนเป็นแม่
นั่งส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยใจ…
การเลี้ยงลูกให้โตไม่ใช่เรื่องง่าย…
โตแค่กาย…ให้ข้าวให้น้ำทุกวันก็เห็นผล
แต่ความคิดนี่สิ…ไม่รู้ต้องป้อนให้อีกสักเท่าไหร่ถึงจะโตเห็นผล…
เพราะเท่าที่ดู ลูกสาวของหล่อนยังไม่โตเท่าไหร่เลย
ทั้งๆที่เนื้อตัวก็ไม่ใช่เด็กๆแล้ว…แถมอีกไม่นานก็จะกลายเป็นแม่คนอยู่รอมร่อ
…หล่อนมิต้องอบรมเลี้ยงดูลูกไปพร้อมๆกับหลานหรือนี่
“แกไม่คิดที่จะไปตามเมียแกกลับบ้านบ้างรึไงเจ้าดิน…
นี่เขาหายไปหลายวันแล้วนะ…”ตะวันทักทายน้องชาย
ตอนที่เดินขึ้นเรือนมา หลังจากที่หายหน้าหายตาไปหลายวัน
ไม่ยอมกลับบ้านกลับช่อง…
“ไปเองได้ เดี๋ยวก็กลับมาเองได้แหล่ะพี่…ผมไม่ได้ไล่เขาไปสักหน่อย”
“วะ…ไอ้นี่…”ตะวันถึงกับกระชากเสียงใส่น้องชายด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์นัก
กับคำพูดของน้องชายเมื่อครู่…
“ปากแกอย่างนี้น่ะสิ แมงมุมถึงทนฟังไม่ได้…”
“ปากผมก็เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร…ใครจะปากหวานช่างเอาใจอย่างพี่ล่ะ”
พสุธย้อนเสียงขุ่น
“เมื่อก่อนแกจะทำอะไร นอนกับใครฉันไม่ว่า เพราะแกยังไม่แต่งงาน
แต่ตอนนี้แกมีเมียแล้ว แกก็ควรจะเอาใจใส่ความรู้สึกของเขาบ้าง…
ฉันไม่เชื่อหรอกว่าแกจะเลิกนิสัยเดิมๆของแกได้…”
ตะวันเตือนน้องชาย หากอีกฝ่ายกลับตีสีหน้าไม่พอใจเมื่อโดนแทงใจดำเข้าอย่างจัง…
“พี่ไม่เข้าใจหรอกว่าผมต้องเผชิญอยู่กับอะไร…ถ้าผมกลับไปแก้ไขอดีตได้
ผมคงไม่แต่งงานกับเธอ…คงปล่อยตัวเองให้เป็นโสดต่อไป ไม่ต้องเหนื่อยใจอย่างนี้…”
ตะวันลอบถอนใจมองหน้าน้องชายนิ้ง
“แล้วแกกลับไปแก้ได้รึเปล่า คนเราเรียนผูกก็ต้องเรียนแก้เอง…
ฉันไม่เห็นว่าแมงมุมเขาจะเลวร้ายตรงไหน ดีและมีความคิดกว่าผู้หญิงหลายๆคนที่แกคบอยู่ด้วยซ้ำ
ถ้าแกปล่อยผู้หญิงคนนี้ให้หลุดมือไปได้ แกนั่นแหล่ะที่จะต้องเสียใจ…
ชีวิตที่ไม่มีจุดหมายปลายทาง ลอยไปลอยมาน่ะมันไม่ได้น่่าพิศวาสนักหรอก…
ถ้าแกอยากกลับไปใช้ชีวิตแบบนั้น ฉันก็ขอเตือนแกว่า
สุดท้ายแกจะไม่เหลือความภูมิใจอะไรในชีวิต…
มองพี่สาวแกสิ เขามีลูกๆให้ช่ืนชม ให้ภาคภูมิใจ แล้วแกดูฉันสิ
อยู่มาจนอายุปูนนี้แล้วมีอะไรบ้าง…ที่ฉันต้องการสร้างครอบครัว
ก็เพียงเพื่อต้องการที่พักพิง…ต้องการทำอะไรเพื่อลูกเพื่อเมีย
เพราะนั่นมันคือความภาคภูมิใจ หรือแกไม่เคยต้องการสิ่งนี้…
ถึงได้อยากกลับไปใช้ชีวิตแบบเก่า…”
คำถามนั้นทำให้อีกฝ่ายนิ่งคิดตามก่อนจะถอนใจออกมา…
“ผมรักเขานะพี่เพลิง…รักมากซะด้วย…แต่ดูเหมือนเขาไม่ได้รักผมเลย…
รักข้างเดียวมันเหนื่อยรู้มั้ยพี่…”
“แกมองยังไงถึงได้คิดว่าเขาไม่ได้รักแกเลย…ถ้าเขาไม่รักแก
เขาจะยอมอยู่กับแก ยอมมี…”ตะวันเกือบหลุดคำว่า ลูก ออกไปแล้ว
“ยอมมีอะไรพี่เพลิง…”พสุธเลิกคิ้วถาม คาดคั้นเอาคำตอบ
หากตะวันกลับส่ายหน้า…
“ช่่างเถอะ…ไม่มีอะไรหรอก…แกไปนอนเถอะ…”
คนเป็นพี่ไล่น้องชายให้ไปนอนเสีย…เพราะรู้ได้ทันทีว่าพันทิวา
ยังมิได้บอกเรื่องลูกให้น้องชายของเขารู้ เขาก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร
แต่การปล่อยให้ทั้งสองเคลียร์กันมันคงจะดีกว่า…
“แล้วพรุ่งนี้อย่าลืมไปรับเธอกลับมาด้วยล่ะ…”ตะวันสั่งเสียงเข้มตามหลังน้องชายไป
หากพสุธกลับนิ่งเฉย…ตอบกลับไปว่า
“เขาอยู่ที่ไหนแล้วสบายใจ ก็ให้เขาอยู่ไป…ผมไม่อยากไปบังคับใจเขาอย่างที่แล้วมาอีก…”
ตะวันได้แต่ส่ายหน้าไหวๆด้วยสีหน้าหนักใจ
ก่อนจะพึมพำออกมาคนเดียวว่า
“จะเป็นพ่อคนอยู่แล้วแท้ๆ…”
“อ้าวเจ้าแฝด มาทำอะไรที่ห้องน้าดินนี่…”พสุธแปลกใจที่อยู่ๆ
ก็เห็นหลานแฝดของเขากำลังนั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่บนเตียงนอนในห้องของเขา
และเมื่อได้ยินเสียงของน้าชาย ทั้งสองก็รีบลุกกระโดดจากเตียงวิ่งมาหาน้าชายเกาะแข้งเกาะขาทันที
“น้าดินไปพาน้ามุมกลับมานะคะ…ปายคิดถึง…”
“นะครับน้าดิน ต้นกับน้องปายไม่เห็นน้ามุมมาหลายวันแล้ว
แม่จังบอกว่าน้ามุมกลับบ้าน…น้าดินไปตามน้ามุมกลับมานะครับ…
ไม่มีน้ามุม บ้านเราเหง้าเหงา…”ทั้งหลานชายและหลานสาวของเขา
ต่่างส่งสายตาอ้อนวอนจนคนเป็นน้าต้องนั่งคุกเข่ากอดทั้งสองเอาไว้
แล้วตอบว่า
“เมื่อก่อนตอนไม่มีน้ามุม ไม่เห็นเราสองคนจะบ่นว่าบ้านเหง้าเหงานี่”
“เมื่อก่อนกับตอนนี้มันไม่เหมือนกันนี่ครับ…”เด็กชายต้นหนาวแย้ง
“น้าดินพาเราสองคนไปด้วยนะคะ เราสองคนจะไปหาพี่พะยูนด้วย
พรุ่งนี้วันเสาร์ โรงเรียนหยุด…”พสุธอมยิ้มกับแผนการของหลานแฝด
“ปล่อยให้น้ามุมเขากอดแม่จนหายคิดถึง เดี๋ยวน้ามุมก็คงกลับมาเอง”
“แล้วถ้าน้ามุมไม่กลับมาล่ะคะ…”คำถามนั้นทำให้พสุธนิ่งไป…
เขาก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่า พันทิวาจะกลับมาที่นี่เองรึเปล่า
แต่จะให้เขาไปรับเธอกลับมา คงไม่ไหว เขาก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกัน
ที่สำคัญ เธอเลือกที่จะไปเอง
หลายวันจนเกือบสัปดาห์พันทิวายังคงอยู่กับบ้าน
ช่วยมารดาทำอาหารทั้งคาวหวานเลี้ยงคนในค่ายมวย
“เป็นผู้หญิงควรฝึกเอาไว้ ไหนๆแกก็จะเป็นแม่คนแล้ว
ต่อไปจะได้มีวิชาทำให้ลูกกิน ลูกจะได้ปลอดภัยจากอาหารที่ไม่ได้เรื่อง…”
“อาหารไม่ได้เรื่อง เป็นอาหารแบบไหนเหรอแม่…”
พันทิวาถามขึ้นขณะที่กำลังปั้นขนมลูกชุบเป็นรูปผลไม้และรูปสัตว์ต่างๆอยู่
“ก็อาหารที่ไม่ได้ให้ประโยชน์ไม่พอยังปนเปื้อนสารพิษอีกน่ะสิ
อย่างขนมลูกชุบนี่อย่างน้อยๆก็ทำจากถั่ว มีประโยชน์สำหรับเด็กๆ
หน้าตาก็น่าทาน สีที่เราใช้ผสมก็เป็นสีจากธรรมชาติไม่ใช่สีสังเคราะห์…
กรรมวิธีในการทำเราก็ทำอย่างดี สะอาด ปลอดภัย…ห่างไกลจากอาหารไม่ได้เรื่องเยอะ”
แม่ตำลึงของพันทิวาสาธยายไปพลาง
ก็ละลายแป้งเพื่อทำขนมครกสี่หน้าต่อจากลูกชุบไปพลาง…
“มาอยู่กับแม่หลายวัน ทำขนมได้ตั้งหลายชนิด แถมทำกับข้าวได้ด้วย
ถ้ามีลูก มุมคงขุนจนกลายเป็นลูกหมูแน่ๆ...”หญิงสาวพูดไปขำไป
วาดภาพของลูกเอาไว้ในใจแล้วยิ้มอยู่คนเดียวได้เป็นนานสองนาน
จนคนเป็นแม่นึกขำขึ้นมา…
“ถ้าแกขยันทำให้กินเหมือนที่แม่ทำให้แกกับพี่ยักษ์แกกิน
ลูกแกก็จะมีสุขภาพที่ดี เพราะสุขภาพที่ดีเริ่มจากอาหารการกิน
แกเห็นพ่อแกมั้ย แก่จนป่านนี้ยังมีแรงเตะกระสอบทรายได้อยู่เลย…”
“แล้วยังเตะปี๊บดังอีกรึเปล่่าแม่…”พันทิวาอดไม่ได้ที่จะกระเซ้ามารดา
จนจานบินผ่านข้ามหัวเธอไปอย่างหวุดหวิด…
“ปากหาเรื่องแล้วมั้ยแกไอ้มุม…”
“แม่นี่ดุไม่เคยเปลี่ยนเลย นี่ถ้ามุมหลบไปทัน หัวมุมไม่แบะผ่าออกเป็นสองซีกแล้วเหรอ…
ดีนะที่เป็นจานสแตนเลส ไม่งั้นแม่คงต้องเสียตังซื้อใหม่แหงมๆ”
“ก็ปากแกนี่น้า…ถามหน่อยเถอะ แกปากดีกับผัวแกแบบนี้รึเปล่า…”
“โหย…ปากมุมที่แม่ว่าแย่แล้ว ยังเทียบปากนายนั่นไม่ได้หรอกแม่
อย่างกับส้วมแตก…”พูดไปก็นึกถึงหน้าพสุธไป
“อย่าให้พูดถึงนะแม่ กำลังเคืองๆอยู่…”
“เคืองที่เขาไม่มาง้อล่ะสิ ก็บอกแล้วว่าให้กลับไปเอง…
ไม่รู้จะโกรธอะไรกันนักกันหนา ผู้หญิงน่ะงอนได้แต่พองาม…
วันนี้ก็ถือโอกาสกลับได้แล้ว เอาขนมพวกนี้กลับไปฝากเด็กๆด้วย
คงจะดีใจกันแหล่ะ เดี๋ยวจะให้เจ้ายักษ์พาไปส่ง เอาไอ้พะยูนไปด้วย
จะได้เป็นกันชนให้แกได้…”พันทิวาหน้างอทันทีที่เจอไม้นี้เข้า
“แม่ขอร้องล่ะเจ้ามุม แกอยู่ที่นี่ต่อก็ไม่มีอะไรดีขึ้น…”
“ดีสิแม่ มุมจะได้เรียนทำกับข้าวและขนมกับแม่ต่อไง…”
“ที่สอนไปน่ะก็เหลือแหล่แล้ว…”
สุุดท้ายพันทิวาก็ต้องหอบผ้าหอบผ่อนและหอบหิ้วขนมลูกชุบ
ฝีมือการปั้นของตนเองกับขนมครกสี่หน้าที่เธอหยอดลงรางอย่างตั้งอกตั้งใจมาด้วย
เด็กๆที่กำลังเล่นอยู่ตรงสนามหญ้าเห็นรถของพ่อพี่พะยูนก็จำได้
เลยวิ่งตื๋อเข้าไปหาก่อนจะร้องตะโกนดีใจ
เมื่อเห็นพันทิวายืนกางแขนรอรับทั้งสองอยู่…
“คิดถึงน้ามุมจังเลยค่ะ…”
“ต้นก็คิดถึง…”พันทิวายิ้มกว้าง
“น้ามุมทำขนมมาฝากด้วยนะ…”พันทิวาชูขนมในมือ
ก่อนจะพาเด็กๆกับหลานสาวเดินเข้าบ้านไป พยัคฆ์เดินตาม
ทั้งหมดเข้าไปพร้อมรอยยิ้มโล่งใจ…
“ฉันนึกว่าน้องสาวแกจะไม่ยอมกลับมาที่นี่ซะแล้ว…”
ตะวันทักทายเพื่อนสนิทด้วยรอยยิ้มโล่งใจ
“อย่างที่เห็น ยังไม่โตเท่าไหร่…ว่าแต่น้องชายแกล่ะหายหัวไปไหน”
ตะวันถึงกับหน้าเจื่อนเมื่อโดนย้อนเข้าให้บ้าง
“ยังไม่กลับบ้านเลย…”พยัคฆ์ลอบถอนใจ มองหน้าเพื่อนรัก
อย่างตะวันด้วยสีหน้าหนักใจ
“แกก็รู้ว่าน้องสาวฉันไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผล…หรืองอนได้ไม่เลือกเวลา
ไอ้มุมน่ะบทจะใจแข็ง ใครก็ทำให้อ่อนไม่ได้…”
“ฉันรู้…แล้วฉันจะเตือนเจ้าดินมันให้…”ทั้งสองจึงคุยกันพักใหญ่
ก่อนจะร่วมรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน…
“ขับรถกลับบ้านดีๆนะคะพี่ยักษ์…แล้วแวะมาหาอาบ้างนะพะยูน…”
พันทิวาหันไปลูบหัวหลานสาวอย่างรักใคร่เอ็นดู…
“อามุมก็เหมือนกันนะคะ…ดูแลตัวเองด้วย…”
“จ้า…”
“ไปนะน้องต้นน้องปาย…”เด็กหญิงพะยูนยกมือลาเจ้าแฝด
“แล้วมาอีกนะพี่พะยูน…”
เมื่อร่ำลากันเสร็จสรรพ พันทิวาก็จูงมือหลานแฝดของสามีขึ้นเรือนไป
อากิโกะกับฑยาวีย์ยืนรอรับลูกๆพาเข้านอน
“พี่พยายามโทรหาเจ้าดินแล้ว แต่โทรไม่ติด…”อากิโกะยิ้มเจื่อน
เธอเองก็สุดปัญญา เพราะน้องชายไม่กลับมานอนที่บ้านหลายคืนแล้ว
เจอหน้ากันก็แค่ที่บริษัทเท่านั้น และพอดีวันนี้เธอก็ไม่ได้เข้าบริษัทเสียด้วย
จึงไม่รู้ว่าน้องชายหายหัวไปไหน
“ราตรีสวัสดิ์นะคะ…”พันทิวาพูดได้แค่นั้น ก่อนจะขอตัวเข้าห้องไป
ขนมที่ตั้งใจจะแบ่งไว้ให้เขาทานคงเป็นหมันแน่ๆ…
มองดูหน้าปัดนาฬืกาก็ยังไม่ดึกมากนัก หญิงสาวจึงแต่งตัว
แล้วหยิบกุญแจรถและไม่ลืมควานหาคีย์การ์ดของคอนโดของพสุธ
ที่เขาเคยให้เธอเก็บไว้สำรองก่อนหน้านี้…
เพราะเวลาไม่สะดวกกลับบ้าน เขาก็มักจะไปนอนค้างอยู่ที่นั่น
มันใกล้ที่ทำงานและเดินทางไปไหนมาไหนสะดวก…
เธอเองยังไม่เคยไปที่นั่นหรอก…ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะอยู่ที่นั่นรึเปล่า…
แต่ด้วยความเป็นห่วง หญิงสาวจึงอดไม่ที่จะออกไปดูให้แน่ใจว่าเขาสบายดี
กลัวว่าจะแอบไปนอนซมเป็นไข้เหมือนเมื่อครั้งก่อนอีก
…ยังไงเขาก็เป็นพ่อของลูกในท้องของเธอ
“จะไปไหนเหรอแมงมุม นี่ก็ค่ำมืดแล้วนะ…”ตะวันทักขึ้นตรงหน้าห้อง
เมื่อเห็นพันทิวาเดินออกจากห้อง ทำท่าจะออกไปไหน
“เอ่อ…ออกไปข้างนอกค่ะพี่เพลิง…”
“ไปตามเจ้าดินเหรอ…อย่าเสียเวลาเลย เดี๋ยวมันก็คงกลับมาเอง…
เราเป็นผู้หญิง…มันอันตราย…”
“แต่มุมเกรงว่าเขาจะไม่สบายเหมือนครั้งก่อนน่ะค่ะ…”
พันทิวากล่าวออกไปตรงๆด้วยแววตาห่วงใย ตะวันลอบยิ้ม
กับกิริยาท่าทางและสีหน้ากังวลเป็นห่วงเป็นใยน้องชายของเขานั่น
“งั้นก็ขับรถระวังๆด้วยนะ…”
“ค่ะ…”พันทิวายิ้มกว้างแล้วรีบเดินไปยังเจ้าพาหนะที่จะพาเธอ
ไปยังคอนโดของพสุธ
ก่อนจะมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องอย่างชั่งใจ
ว่าจะเคาะเรียกดูหรือว่าจะรูดคีย์การ์ดเข้าไปเลย…
สุดท้ายพันทิวาก็เลือกที่จะรูดคีย์การ์ดเข้าไปโดยไม่เคาะประตู
เพราะเกรงว่าจะรบกวนคนข้างใน เพราะกว่าจะขับรถมาถึงนี่
ก็เกือบห้าทุ่มแล้ว เธอเกรงว่าเขาอาจจะหลับไปแล้วก็ได้…
ทว่า…พอเปิดประตูเข้าไป สิ่งที่ทำให้พันทิวาแปลกใจเป็นอันดับแรก
คือสภาพของห้อง ตั้งแต่หน้าประตูตลอดจนถึงห้องรับแขก
มีแต่รองเท้าและข้าวของถอดทิ้งไว้เกลื่อนกลาด ราวกับไม่ใส่ใจ
และหนึ่งในนั้นก็มีรองเท้าส้นสูงปรี๊ดสีชมพูรวมอยู่ด้วย
หัวใจของหญิงสาวหล่นไปกองอยู่ตรงตาตุ่ม…
แล้วอยู่ๆคำพูดของมารดาก็ผุดขึ้นมา…
‘ถ้าแกรักผัวแก แกก็ระวังเอาไว้บ้าง เดี๋ยวจะโดนแย่งไป…’
…นี่เขากำลังจะนอกใจเธอด้วยการมีผู้หญิงอื่นอย่างนั้นเหรอ…
พันทิวามือสั่นขณะจับลูกบิดประตูห้องนอนที่เปิดแง้มอยู่
เสียงที่เธอได้ยินดังออกมาจากในนั้นทำหัวใจเธอไหวยวบ
ไม่ต้องเข้าไปดูก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในนั้น…
หากคนหัวรั้นอย่างเธอที่เจออะไรก็ขอให้ได้เจอด้วยตัวเอง
ก็หน้าทนพอที่จะเข้าไปดูให้เห็นกับตา…
แล้วสิ่งแรกที่เธอสะดุดเมื่อย่างเท้าเข้าไปในห้องนอนก็คือ
บราเซียสีชมพูสีเดียวกับรองเท้าส้นสูงคู่นั้น พันทิวาก้มลงหยิบมันขึ้นมา
ก่อนจะค่อยๆประคองร่างกายและหัวใจให้เดินไปยังเตียงนอน
ที่มีกำแพงกั้นอยู่อย่างสุดที่กำลังจะพาไปไหว...
หากใจของเธอมันยังกล้าดีที่จะเดินเข้าไปให้ถึงเตียงนอนนั่น...
แล้วภาพของคนที่กำลังกอดรัดกันบนเตียงอย่างถึงพริกถึงขิง
จนไม่แม้แต่จะรับรู้ถึงการมาของเธอนั้นทำเอาพันทิวาตาค้าง หูตาพร่ามัว…
แทบลมจับ รู้สึกราวกับโลกหมุนคว้าง...
เมื่อผู้หญิงที่สามีของเธอกำลังกอดจูบลูบคลำอยู่ในขณะนี้
คือดาราหน้าใหม่ไฟแรงซึ่งเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับชุดชั้นในยี่ห้อหนึ่ง
แถมเพิ่งถูกทาบทามให้มาลงปกนิตยสารของสำนักพิมพ์สองตะวันเมื่อไม่นานมานี้…
เขาคงเป็นดั่งหลุมดำที่กินพวกดาวเป็นอาหาร...
เพราะนอกจากยัยพริกขี้นกนั่นแล้ว เขายังมีคนอื่นอีกมากมายที่เธอไม่เคยรู้
ใช่สินะ เขามันหนุ่มจ้าวเสน่ห์ผู้ร่ำรวย ยัยพริกขี้นกนั่นก็แค่ดาวเด่นในช่วงระยะเวลาหนึ่งก็เท่านั้น
แท้จริงแล้วเขายังมีผู้หญิงในโกดังอีกเหลือเฟือที่พอเบื่อก็คงเข่ียทิ้ง
ถึงว่าสิ เธอหายไปจากชีวิตเขาเป็นสัปดาห์ เขาถึงไม่รู้สึกห่วงหาอะไรเลย
…เขาคงเริ่มเบื่อเธอขึ้นมาแล้วเหมือนกันสินะ
ที่ผ่านมาเป็นเพราะเธอง่ายเองที่ยอมเขา เขาได้เธอมาง่ายไปจนไม่เห็นคุณค่า
เขาก็เลยไม่เคยหวงแหนหรือสนใจใส่ใจความรู้สึกของเธอแบบนี้
…เขาคงเห็นเธอเป็นของตาย!!!
เพียงเท่านั้น น้ำตาของหญิงสาวก็ไหลลงมาโดยไม่รู้ตัว…
มองเสื้อผ้าของคนทั้งสองที่ทิ้งเกลื่อนกลาดตั้งแต่ประตูห้องนอน
ไปจนถึงเตียงนอนก่อนจะมองชุดชั้นในสีชมพูในมือที่แค่มองดูก็รู้ว่าคับอะไร
...นายดินทรายช่างเลือกคู่นอนได้ดีเยี่ยมเสมอ...
พันทิวากัดปาก คับแน่นในทรวง...มือไม้เริ่มสั่น ปากคอตีบตันไปหมด…
ก่อนจะยกมืออีกข้างปิดปากตัวเองเอาไว้เมื่อเห็นสามีของตัวเองกับผู้หญิงคนนั้น
ร้องครางออกมาเมื่อปึนถึงยอดต้นงิ้วสำเร็จต่อหน้าต่อตาเธอ…
“อุ้ย…”เสียงอุทานนั้นทำให้พสุธหันกลับไปมองตามทิศทางที่หญิงสาวใต้ร่างของเขาเพ่งมองอยู่
ก็ถึงกับตกใจตาค้างมองภาพพันทิวาที่กำลังยืนนิ่งไม่ไหวติง ยกมือปิดปากน้ำตาอาบแก้ม
“แมงมุม!”พสุธครางชื่อภรรยาของตัวเองออกมาอย่างแผ่วเบา
พันทิวาขว้างชุดชั้นในใส่หน้าพสุธเต็มๆก่อนจะตวัดสายตามองหญิงสาว
ที่นั่งทำหน้าไม่ถูกอยู่บนเตียงในสภาพไร้อาภรณ์ใดๆ...
ก่อนจะปาดน้ำตาแล้ววิ่งออกไป...เพราะไม่อาจทนมองภาพนั้นได้อีกต่อไป...
พสุธดีดกายลุกขึ้นแล้วควานหาเสื้อคลุมมาสวมใส่ กระโดดวิ่งตามพันทิวาออกไป…
ก่อนจะคว้าข้อมือเธอเอาไว้ได้ทันตรงหน้าประตูทางออก…
“เอามือสกปรกของนายออกไป…”พันทิวาพูดลอดไรฟันออกมา
โดยไม่ยอมหันไปมองคนที่อยู่ทางด้านหลัง
“ฉันเสียใจ…ฉันไม่ได้ตั้งใจ…ฉันขอโทษ…”พันทิวาสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด
หันมาพูดกับคนมักง่ายหลายใจว่า…
“เสียใจ ไม่ได้ตั้งใจ ขอโทษ…นี่หรือคือสิ่งที่นายตอบแทนฉัน…
มันไม่ง่ายเกินไปหน่อยเหรอ…”
“ฟังฉันก่อนนะ…ได้โปรด”พันทิวาส่ายหน้า หมดแรงจะฟังเหตุผล
เพราะมันจะมีเหตุผลอะไรสำหรับภาพเมื่อครู่ที่เธอเห็นเต็มๆสองลูกกะตา
นอกเสียจากความมักมาก หลายใจของเขา ถ้าเธอจะผิด ก็ผิดตรงที่ปล่อยให้เขาเหงา…
“พอสักที…ฉันไม่อยากฟัง…เพราะการกระทำของนายมันก็มากพอ
ที่จะอธิบายเรื่องทุกอย่างได้ดีอยู่แล้ว…นายเหงาฉันเข้าใจ…
และฉันก็ไม่ใช่หินไม่ใช่ดินที่ไร้หัวใจอย่่างนายด้วย…”
พสุธพูดไม่ออก เพราะเขาไม่รู้จะพูดอะไรได้ในตอนนี้ เขาผิดเต็มประตู…
“ใครกันเหรอคะพี่ดิน…”เสียงใสๆขัดขึ้น พันทิวาจึงเหลือบตามอง
ก็พบสาวน้อยวัยทีนหน้าใสที่อยู่ในชุดคลุมอาบน้ำหมิ่นเหม่
จุดประกายรอยยิ้มหยันบนใบหน้าของพันทิวายามมองบุคคลทั้งสองตรงหน้าตัวเอง…
“เมียพี่…”คำตอบนั้นทำให้สาวน้อยถึงกับตกใจ หน้าเจื่อนลงนิดนึง
หากแค่แว้บเดียวก็เปลี่ยนเป็นปกติ…
“นี่เหรอคะเมียพี่…”น้ำเสียงเหมือนจะหยันนิดๆนั้นทำให้พันทิวาจ้องตาคนพูดนิ่ง
แววตานั้นของเธอทำให้สาวหน้าใสคนนั้นถึงกับหลบตา
เหมือนมีประกายบางอย่างที่บอกให้คนถูกมองรู้ว่า ไม่ควรลองดีกับผู้หญิงคนนี้…
“อย่าไปเลย นี่มันก็ดึกมากแล้ว…”พสุธรั้งหญิงสาวที่กำลังจะเดินออกไปจากห้อง
ด้วยน้ำเสียงห่วงใย พันทิวายิ้มหยันแล้วหันกลับมา
“แล้วจะให้ฉันอยู่ในห้องนี้กับนายกับผู้หญิงคนนี้อย่างนั้นเหรอ
ฉันไม่สนุกด้วยหรอกนะ อยากจะลงนรกหรือขึ้นสวรรค์อีกสักกี่รอบก็เชิญ
แต่ต่อจากนี้ไป นายกับฉันขาดกัน!!!…”
น้ำเสียงหนักแน่น แววตามาดมั่นนั้นทำให้พสุธถึงกับเข่าอ่อน
รีบคว้าแขนพันทิวาเอาไว้แน่นราวกับกลัวว่าเธอจะหลุดลอยหายไป...
“ไม่นะ!…”พสุธยืนกรานเสียงแข็ง ยังไงเขาก็ไม่ยอมให้ลงเอยแบบนี้แน่ๆ
“ถ้าไม่…นายก็ต้องเลือกเอา ว่าจะกินน้ำพริกถ้วยเดียวตลอดไป
หรือจะกินไม่เลือกแบบนี้…เพราะสำหรับนายอาจจะไม่รู้สึกอะไร
กับการนอนกับผู้หญิงไม่เลือกหน้า แต่สำหรับฉัน ฉันไม่ชอบใช้ของส่วนตัวร่วมกับใคร
และเมื่อของส่วนตัวกลายเป็นของใช้สาธารณะ
ฉันคงนำกลับมาใช้โดยไม่รู้สึกอะไรไม่ได้…
นายอาจไม่รู้สึกขยะแขยงกับการใช้กางเกงในร่วมกับผู้ชายคนอื่น”
พูดแล้วก็มองหน้าหญิงสาวที่หลบอยู่ข้างหลังพสุธนิ่ง
ก่อนจะหันมายิ้มหยันให้สามีของตัวเองแล้วกล่าวด้วยวาจาเผ็ดร้อน
เชือดเฉือนบุคคลทั้งสองว่า
“แต่ฉันเป็นผู้หญิง ฉันทำใจไม่ได้ที่จะใช้สามีร่วมกับชาวบ้านเขา…
เพราะกางเกงในยังถอดเอามาซักให้สะอาดได้
แต่ผู้ชายอย่างนาย มันคงต้องถอดทิ้งเท่านั้น…”
พสุธมองหน้าพันทิวานิ่ง พูดไม่ออกราวกับเป็นใบ้ไปชั่วขณะ
“ไม่ได้นะ อย่าเพิ่งถอดทิ้งนะแมงมุม…”แววตาเว้าวอนนั้น
ไม่อาจทำให้หัวใจแตกยับพังไปเมื่อครู่ของพันทิวาอ่อนลงได้…
“ถ้านายไม่เลิกนิสัยเดิมๆของนาย นายก็ไม่เหมาะที่จะเป็นสามีหรือเป็นพ่อของใคร…”
พูดจบพันทิวาก็รีบจ้ำอ้าวออกจากห้องไป
ก่อนจะปาดน้ำตาที่พยายามกลั้นเอาไว้ไม่ให้ไหลให้ผู้หญิงคนน้ันเห็นทิ้ง
แล้วกดลิฟต์ลงไปยังชั้นล่าง สตาร์ทรถออกไปทั้งๆที่ม่านน้ำตา
ยังคงบดบังเส้นทางสัญจรจนมองถนนหนทางไม่ชัดกว่าที่เป็น…
พสุธใจหายที่เห็นพันทิวาวิ่งออกไปทั้งอย่างนั้น เขาจึงรีบวิ่งเข้าไปในห้องอีกครั้ง
แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างลวกๆพลางสั่งกับหญิงสาวที่ยืนทำตัวไม่ถูกอยู่ว่า
“เธออยู่ที่นี่แหล่ะ…ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น…พรุ่งนี้พี่จะให้รถมารับไปส่งที่บ้าน…”
จบคำพสุธก็รีบวิ่งออกจากห้องไป คว้ารถได้ก็บึ่งไล่ตามพันทิวาออกไป
เห็นป้ายทะเบียนรถคุ้นตานำหน้าอยู่ไม่ไกล
…ทว่า…
หัวใจของชายหนุ่มเหมือนจะหยุดเต้นเมื่ออยู่ๆก็เห็นรถคันดังกล่าว
เลี้ยวหักหลบรถที่ขับปาดหน้าตรงทางแยกแล้วพุ่งขึ้นไปบนฟุตบาท
ชนกับป้ายรถเมล์เข้าเต็มๆ…
“ไม่!!!”
พสุธตะโกนสุดเสียงก่อนจะหยุดรถแล้วเปิดประตูวิ่งไปยังรถคันดังกล่าวทันที
เห็นภาพหญิงสาวสลบคาพวงมาลัย หัวใจของเขาก็แทบจะหล่นหาย
พสุธพยายามเปิดประตูออกอยู่นานแต่มันกลับล็อก
เขาจึงหาท่อนเหล็กแถวๆนั้นกระแทกกระจกตรงหน้าต่างแล้วเปิดประตูเข้าไป
อุ้มร่างนั้นขึ้น พาไปยังรถของเขานำส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันที…
....โปรดติดตามตอนต่อไป.......
ยกนี้กะจะมาทำให้อยากอ่านต่อ แล้วจากไปนอนหลับเอาแรงก่อนค่ะ...อิอิอิ...
ช่วงนี้ใกล้สิ้นปี งานโหมหนักหน่อย หวังว่านักอ่านหลายๆท่าน
จะเข้าใจเต่าโยนะคะ หากมาให้ล่าช้าไปบ้างหรือมาให้ไม่สม่ำเสมอบ้างเป้นบางช่วง....
ดีใจค่ะที่เห็นนักอ่านเข้ามาให้กำลังใจกันมากกว่าครั้งไหนๆที่เคยผ่านมา...
ทำให้หัวใจคนเขียนมีแรงขึ้นมา...ทั้งๆที่ตาแทบปิดทุกครั้งที่มาโพสต์...อิอิอิ....
รู้สึกซาบซึ้งกับน้ำใจของนักอ่านในเว็บนี้มากๆเลยทีเดียวค่ะ...
เพราะยามใดที่คนเขียนต้องการกำลังใจ นักอ่านก็ไม่อยู่นิ่งเฉยที่จะส่งเสียง
เพื่อเป็นกำลังใจให้...ขอบคุณมากๆเลยค่ะ...จุ๊บๆทุกท่านที่เข้ามาอ่าน
ที่เข้ามาเม้นท์ และที่เข้ามาส่องนะคะ...และก็ขอบคุณสำหรับไลค์ที่กดให้กันด้วยค่ะ...
ขอคุยกับนักอ่านจากยกที่แล้วกันก่อนนะคะ...
1.คุณบัวขาว...ขอบคุณค่ะที่ส่งรอยยิ้มพิมพ์ใจมาให้เต่าโยเป็นคนแรกเลย...จุ๊บๆนะคะ
2.คุณAprilSK...คงจะพอๆกับคนเขียนค่ะ งานโหมหนักจนเครียดจัดค่ะช่วงนี้
อารมณ์สุนทรีย์หนีหาย สังเกตได้จากเรื่องอะรูซาตีฯ ที่ต้องหยุดชะงักไป
เพราะไม่อาจหาอารมณ์ดีๆมานั่งเขียนได้ เพราะเรื่องนั้นต้องอารมณ์สุนทรีย์จริงๆ
ถึงจะปั่นมันออกมาได้ไหลลื่น...ภาวะเครียดๆไม่อาจทำให้เขียนเรื่อง
ที่ค่อนข้างไปทางหวานซึ้งได้น่ะค่ะ
ก็เลยต้องรอให้อารมณ์นิ่งและหายกังวลกับเรื่องที่รุมเร้าเข้ามาก่อนน่ะค่ะ...
แม้ใจจะอยากปั่นแค่ไหน...แต่ไร้แรงค่ะ...ดีที่เรื่องนี้มีอยู่ในโกดังเยอะ...
เลยแค่โพสต์ให้นักอ่านอ่านกัน...เลยไม่ค่อยชะงักงันไป...
ขอบคุณนะคะสำหรับกำลังใจดีๆที่มอบให้โย..จุ๊บๆค่ะ
3.คุณmhengjhy...ยกนี้อาจจะทำให้นักอ่านเศร้าเพิ่มอีกนิดนึงนะคะ...อิอิ
ขอบคุณค่ะสำหรับกำลังใจดีๆที่มีให้เต่าโย...
4.คุณหมีสีชมพู...ใช่แล้วค่ะ ตัวร้ายกำลังจะออกมาวาดลวดลายให้เห็นกันเต็มๆ
ขอบคุณนะคะสำหรับกำลังใจที่มีให้เต่าโยอย่างสม่ำเสมอเลย...จุ๊บๆนะคะ
5.คุณwii....น่าจะให้แมงมุมลองทำแบบนั้นดูบ้างนะคะ...หอบลูกหนีไปเลย..อิอิอิ...
แต่พอดีโยดันเขียนเรื่องราวของคู่นี้จบไปก่อนหน้านี้ซะแล้วน่ะสิคะ..
.จะเปลี่ยนพล็อตกะทันหันคงไม่ทันแล้วอ่ะสิ...อิอิอิ...
ต้องมาดูกันค่ะว่าเรื่องราวของคู่นี้จะเป็นไปอย่างไร...อิอิ
ขอบคุณค่ะสำหรับกำลังใจและการติดตาม....
6.คุณใบบัวน่ารัก...คนร่วมบ้านในที่นี้หมายถึงพี่เพลิงใช่มั้ยคะ...อิอิอิ...
ก็น่าเห็นใจพี่เพลิงจริงๆแหล่ะค่ะ...แต่รายนั้นสมควรต้องโดนรบกวนซะบ้างค่ะ
ปล่อยให้เดินเหินยั่วน้ำลายสาวใหญ่สาวน้อยมาหลายปีแล้ว...เอาให้เข็ดไปเลย...อิอิอิ
(เหมือนคนเขียนจะแค้นฝังหุ่นพี่เพลิงมากกว่าตามตะวันซะงัั้น...อิอิอ)
ขอบคุณค่ะที่ส่งเสียงมาเป็นกำลังใจให้เต่าโย...จุ๊บๆนะคะ...
7.คุณgoldensun...เป็นการแต่งงานจำเป็นน่ะค่ะ เพราะว่าชื่อเสียงมันก็เป็นสิ่งที่เราต้องปกป้อง
ที่สำคัญ...พ่อกับแม่เคยบอกว่า...ชีวิตคู่ หากขาดความอดทนต่อกันและกันแล้ว
ก็ยากที่จะประคองสถานะแห่งการใช้ชีวิตคู่ต่อไปได้...มันต้องอดทนน่ะค่ะ ถึงจะอยู่ด้วยกันได้...
ไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่งต้องเป็นฝ่ายอดทนอยู่ฝ่ายเดียว เราต้องเดินเข้าหากันคนละครึ่งทาง
จะได้ไม่ทำร้ายใครคนใดคนหนึ่งให้ต้องเจ็บปวดอยู่ฝ่ายเดียว...
แมงมุมกับดิน มีหลายอย่างที่เหมือนกันมากๆเลยก็คือ ชอบทำตามอารมณ์
และเอาแต่ใจมากจนเกินไปน่ะค่ะ...แทนที่จะฟังกันให้มากก็ไม่ เล่นเชื่อแต่ตัวเอง...
แรงมาก็แรงกลับไป ไม่มีผ่อนสั้นผ่อนยาว ไม่มีใครยอมลงให้ใคร...
ผลสรุปเลยออกมาเป็นแบบนั้น...
ขอบคุณนะคะสำหรับกำลังใจและการติดตาม...จุ๊บๆค่ะ
8.คุณviolette....ใช่แล้วค่ะคู่เอกของเรายังวอร์มอยู่ข้างๆสังเวียนค่ะ
ใกล้เวลาขึ้นสังเวียนแล้วล่ะค่ะ...อิอิอิ...ขอบคุณค่ะสำหรับกำลังใจและการติดตาม...จุ๊บๆค่ะ
9.คุณPampam...คู่แมงมุมกับนายดินใกล้แล้วค่ะ...
ส่วนเป็ดวากำลังมีภัยนั้น ต้องมาลุ้นกันค่ะ...เพราะการ์ดคนสำคัญของคุณเธอ
กำลังจะโผล่หน้ามาแล้วนะคะ...พ่อกุญแจซอล ตัวแปรสำคัญนั่นแหล่ะค่ะ...อิอิอิ...
งานนี้นายหัวรังจะว่าไง ต้องมาลุ้นกันค่ะ...
10.คุณaom...คู่นายหัวรังกับน้องรักกำลังจะได้เวลาขึ้นสังเวียนแล้วค่ะ...
แต่ระหว่างขึ้นสังเวียนก็มีอีกคู่ให้ติดตามด้วยนะคะ....
11.คุณtam...คงไม่ใช่นายดินแล้วล่ะค่ะที่จะซวย...งานนี้คนแช่งโดนเด็มๆค่ะ...
แช่งคนอื่นเลยโดนเองเลย...อิอิ...ขอบคุณค่ะสำหรับกำลังใจและการติดตาม จุ๊บๆนะคะ
12.คุณsai...ว้าววววววว...โยก็นึกว่าคนsaiจะเซ็งๆแล้วทิ้งเค้าไปแล้วซะอีกนะนั่นน่ะ...
เลยลองส่งเสียงเรียกดู...ดีใจค่ะที่ยังอยู่เป็นเพื่อนกันอยู่...สภาพเต่าโยตอนนี้
ดูไม่ค่อยได้เลยค่ะ...อย่างโทรม....อิอิอิ...หลังปีใหม่คงต้องหาเวลาทำสวย
ดูแลตัวเองบ้างแล้วล่ะค่ะ...มองกระจกที่ไร มันช่างสะท้านทรวง...อิอิอิ
ขอบคุณนะคะที่ส่งเสียงมาให้โยได้ยิน...จุ๊บๆค่ะ
13.คุณpumkin...ดีใจจังเลยค่ะที่นักอ่านที่เคยติดตามอ่านเมื่อครั้งก่อน
(นานมาแล้วนั้น)ยังจำเต่าโยได้...ขอบคุณค่ะที่ส่งเสียงส่งกำลังใจให้เต่าโย
ได้อ่านแบบนี้แล้วมีแรงขึ้นอีกโขค่ะ...จุ๊บๆนะคะ...โยเองก็กะจะวิ่งเข้าเส้นชัยให้ได้ค่ะ
แม้จะวิ่งมาราธอนมาหลายปีแล้วก็ตาม...อิอิอิ...
14.คุณพอใจ...ขอบคุณหลายๆค่ะที่ทำให้เต่าโยมีแรงใจ....
อย่างน้อย แม้จะแบตหมดยังไงก็ยังพอคลานมาโพสต์ได้ค่ะ...อิอิ
15.คุณkonhin...ตอนนี้คงต้องมารอลุ้นกันว่า แมงมุมจะรอดมั้ย...เหอๆ
ส่วนเรื่องเกลือเป็นหนอนนั้น...เต่าโยขออุบเอาไว้ก่อนนะคะ...
กลัวนอนจะถูกทอดเกลือน่ะค่ะ...อิอิอิ...ขอบคุณค่ะสำหรับกำลังใจและการติดตาม...จุ๊บๆค่ะ
16.คุณsupayalak...นายดินเขาเลือดร้อนค่ะ...ร้อนไม่แพ้คนเป็นพี่เลย...อิอิอิ...
ถ้าจะให้รู้ใจและรู้ทันนายดินที่สุดคงหนีไม่พ้นพี่เพลิงแล้วล่ะค่ะ...เฮะๆ
อ่านความเห็นของคุณsupayalak แล้วทำให้โยยิ้มได้เยอะเลยทีเดียวค่ะ
ขนาดว่าอ่านตอนกำลังเครียดจัดยังอารมณ์ดีได้เลยค่ะ...ฮ่าๆๆๆ
ขอบคุณนะคะสำหรับกำลังใจน่ารักๆ ทำให้คนกำลังเครียดอารมณ์ขันได้...จุ๊บๆค่ะ
17.คุณsunflower...ขอบคุณค่ะสำหรับรอยยิ้มพิมพ์ใจที่มอบให้เต่าโย
ชื่นใจสุดๆค่ะ...จุ๊บๆนะคะ...
18.คุณแว่นใส...ตอนนี้ยิ่งลำบากเพิ่มค่ะ...คู่นายดินกับแมงมุมเขาไม่ค่อยใช้หูฟังกัน...
เล่นแต่ตีฝีปากกันเป็นประจำแบบนี้ ชอบชวนทะเลาะกันให้เป็นเรื่องเป็นราวประจำ...
ผลสรุปมันก็เลยออกมาเป็นแบบน้ัน...
คงต้องหันมาทบทวนตัวเองกันอย่างถ้วนทั่วค่ะงานนี้...อิอิ...
ขอบคุณนะคะทีี่ส่งแรงใจมาให้เต่าโยขาสั้น...อิอิ...จุ๊บๆค่ะ
19.คุณLittlewitch...โยก็ว่าแล้วว่าคุณแม่มดต้องโดนยึดขายึดแข้งไว้แน่ๆเลย
เลยไม่โผล่มาให้โยเห็น...ที่แท้ก็เป็นงานนี่เองที่พรากเราให้ห่่างกัน...อิอิอิ..
โยเองก็กำลังโดนดีอยู่ค่ะ...เครียดอย่างไรก็ต้องมาโพสต์นิยายค่ะ
เพราะว่าที่นี่ทำให้โยไม่เครียด...โยไม่อยากจมกับความเครียดตลอดเวลา
ก็เลยต้องปลีกเวลามาโพสต์นิยายให้หายเครียด...เฮะๆๆ
ขอให้ทุกเรื่องผ่านไปได้ด้วยดีนะคะ แล้วจะได้กินหวานแน่ๆค่ะ...อิอิอิ
เต่าโยเองก็เหนื่อยกับการปีนยอดตาลแล้วเหมืิอนกันค่ะ ไม่รู้ว่าจะถึงยอดตาล
ทื่มีน้ำหวานอยู่บนนั้นเมื่อไหร่อ่ะสิ...อิอิอิ...อดใจรอเต่าโยอีกนิดนะคะ...เฮๆ
ขอบคุณนะคะที่ไม่ลืมส่งเสียงมาทำให้โยรู้สึกอุ่นใจ...จุ๊บๆค่ะ
สุดท้ายไม่ท้ายสุด...
ขอบคุณนักอ่านทุกๆท่านค่ะ ไม่ว่าจะนักอ่านเงาหรือนักอ่านที่ผลุบๆโผล่
เหมือนเต่าโย...โยก็ขอขอบคุณค่ะ...เพราะทุกครั้งที่ได้ดูจำนวนผู้เข้าชม
มันทำให้โยรู้ว่า...โยจะต้องคลานไปสู่เส้นชัยให้ได้...แม้จะขาสั้น...อิอิอิ...
เชื่อว่าใกล้สิ้นปีแบบนี้...คนทำงานคงต้องเหนื่อยกันหน่อย
ส่วนนักศึกษาก็คงวุ่นกันไม่น้อย...เพราะคงมีเรื่องให้ต้องสะสางก่อนสิ้นปี...
สู้ๆนะคะ...
ว่าแล้วก็ทำให้นึกถึงเพลง "คืนข้ามปี" ขึ้นมาอีกแล้ว...อิอิ...
ติดใจเพลงนี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ฟังเลยค่ะ...
เพื่อนโยเขาส่งเพลงนี้มาให้โยฟังตอนโยเคาท์ดาวน์คนเดียวที่เกียวโต...
แบบว่ามันกระแทกใจสุดๆค่ะตอนนั้น...
และปีนั้นแหล่ะค่ะเป็นเหตุให้เกิด...ชื่อนิยายเรื่อง คานน้อย คอยรัก
ซึ่งเป็นภาคที่สามขึ้นมา...เนื่องจากยังหาชื่อเรื่องของภาคต่อรังรักกับหัวใจไร้ที่อยู่ไม่ได้...
เคยคิดมาเสมอว่าเราเลือกมากไปรึเปล่า...เพราะหลายๆคนก็ว่าโยเลือกมาก....
แต่เมื่อลองทบทวนดูดีๆ...เรายังไม่มีโอกาสได้เลือกเลยนะเนี่ย...เหอๆ
"อยากมีคนพิเศษอยู่ในคืนพิเศษ...คืนสำคัญอีกคืนที่ต้องอยู่อย่างเหงาใจ
อยากมีคนพิเศษ จับมือกันข้ามผ่าน คืนสำคัญอีกคืนที่ความเหงาคืบคลาน...หัวใจ..."
...แล้วเจอกันยกหน้าค่ะ...
...รักษาสุขภาพนะคะ...
...ส่วนใครที่ใกล้จะสิ้นปีนี้แล้วแต่ยังไม่เห็นแววว่าจะเจอคนที่ใช่...
ก็อย่าได้กังวลใจไปนะคะ...คานน้อย คอยรัก ยังรอนักอ่านอยู่เสมอค่ะ...อิอิอิ...
"เต่าโย"

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 ธ.ค. 2555, 23:42:25 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 ธ.ค. 2555, 23:42:25 น.
จำนวนการเข้าชม : 2901
<< ยกที่ 59 รักเกินตัดใจ | ยกที่ 61 ขนม ค.ร.ก >> |

violette 4 ธ.ค. 2555, 01:26:40 น.
โอ๊ยยยยย เกลียดนายดินค่ะ โกรธมากด้วย ไปมีอะไรกับคนอื่นง่ายๆแบบนี้แล้วปากบอกว่ารักแมงมุมเนี่ยนะ
เด็กชะมัดนิสัยไม่ดี นี่คือนอกใจไปแล้วนะ ไม่สนับสนุนแล้วค่ะไม่สงสารแล้วด้วย
เกลียดผู้ชายแบบนี้ที่สุด ดันมีลูกแล้วอีก เฮ้อ แล้วที่มีอะไรกับคนอื่นน่ะไม่ละอายมั่งเลยใช่มั้ย
แย่ แย่กว่าตะวันอีกนะนี่งานนี้
โอ๊ยยยยย เกลียดนายดินค่ะ โกรธมากด้วย ไปมีอะไรกับคนอื่นง่ายๆแบบนี้แล้วปากบอกว่ารักแมงมุมเนี่ยนะ
เด็กชะมัดนิสัยไม่ดี นี่คือนอกใจไปแล้วนะ ไม่สนับสนุนแล้วค่ะไม่สงสารแล้วด้วย
เกลียดผู้ชายแบบนี้ที่สุด ดันมีลูกแล้วอีก เฮ้อ แล้วที่มีอะไรกับคนอื่นน่ะไม่ละอายมั่งเลยใช่มั้ย
แย่ แย่กว่าตะวันอีกนะนี่งานนี้

konhin 4 ธ.ค. 2555, 02:17:03 น.
คือ แบบว่า พูดไม่ออก ถ้าแมงมุมทำแบบนี้บ้าง นายดินจะให้อภัยมั้ย? แล้วทำไมผู้หญิงต้องเป็นฝ่ายให้อภัยอยู่ฝ่ายเดียว เห็นคาตาแบบนี้ทำไมแมงมุมยังให้ทางเลือกอีก?
คือ แบบว่า พูดไม่ออก ถ้าแมงมุมทำแบบนี้บ้าง นายดินจะให้อภัยมั้ย? แล้วทำไมผู้หญิงต้องเป็นฝ่ายให้อภัยอยู่ฝ่ายเดียว เห็นคาตาแบบนี้ทำไมแมงมุมยังให้ทางเลือกอีก?

Pampam 4 ธ.ค. 2555, 04:09:06 น.
นายดินทำอย่างนี้ได้ยังไง ถ้าเราเป็นแมงมุมนะเลิกสถานเดียว ให้อภัยไม่ได้
นายดินทำอย่างนี้ได้ยังไง ถ้าเราเป็นแมงมุมนะเลิกสถานเดียว ให้อภัยไม่ได้


aom 4 ธ.ค. 2555, 07:03:51 น.
น่าสงสารแมงมุม
น่าสงสารแมงมุม


tam 4 ธ.ค. 2555, 07:57:30 น.
คู่นี้ดูไปก็เหมือนคู่พี่เพลิงกะพี่ตามคู่เล็กนะคะ พี่เพลิงเองก็ไม่ได้ต่างจากนายดินเท่าไหร่ ที่แย่คือ คนเรามักจะคิดอะไรได้หลังจากเกิดการสูญเสีย สติมาหลังอารมณ์เสมอ การให้อภัยไม่ได้แปลว่าลืมได้ หรือคนที่ได้รับการให้อภัย ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่ทำเรื่องแบบนั้นอีก
คู่นี้ดูไปก็เหมือนคู่พี่เพลิงกะพี่ตามคู่เล็กนะคะ พี่เพลิงเองก็ไม่ได้ต่างจากนายดินเท่าไหร่ ที่แย่คือ คนเรามักจะคิดอะไรได้หลังจากเกิดการสูญเสีย สติมาหลังอารมณ์เสมอ การให้อภัยไม่ได้แปลว่าลืมได้ หรือคนที่ได้รับการให้อภัย ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่ทำเรื่องแบบนั้นอีก


แว่นใส 4 ธ.ค. 2555, 09:01:44 น.
หวังว่าจะไม่กระทบกระเทือนในท้องนะ
หวังว่าจะไม่กระทบกระเทือนในท้องนะ

supayalak 4 ธ.ค. 2555, 09:21:42 น.
เสร็จกันเลยทีนี้ ไม่รู้จะโทษใครดี ระหว่างคนช่างหาเรื่องกับคนที่หงุดหงิดง่าย เหนื่อยแทน บางมุมก็เหมือนจะไปได้ด้วยดีแล้ว แต่สุดท้ายก็เข้าแก๊กเดิมพูดกันไม่ทันไรก็ทะเลาะแยกวงกันซะละ แบบนี้มองหาทางออกไม่เจอเลย แบบนี้ต้องเอาแบบคู่หมอรังผสมกับคู่ของพี่เพลิงมารวมกันจัดหนักให้กับพี่ดิน เอาแบบมุมหายไปสักพักพร้อมๆ ลูกในท้องให้ทั้งคู่ได้คิดว่าการที่ไม่เจอกันทั้งที่ยังรักกัน เราจะคิดถึงกันได้มากพอที่จะมารักกันเข้าใจกันได้ไหม ว่าแต่น้องหนูในท้องมุมคงจะปิ๋วไปแล้วใช่ป่ะ เสียดายเนอะนายดินอุตส่าห์ปั้นมาตั้งนาน คราวนี้จะปั้นใหม่ได้เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เซ็งเป็ดเล้ยยยยย
เสร็จกันเลยทีนี้ ไม่รู้จะโทษใครดี ระหว่างคนช่างหาเรื่องกับคนที่หงุดหงิดง่าย เหนื่อยแทน บางมุมก็เหมือนจะไปได้ด้วยดีแล้ว แต่สุดท้ายก็เข้าแก๊กเดิมพูดกันไม่ทันไรก็ทะเลาะแยกวงกันซะละ แบบนี้มองหาทางออกไม่เจอเลย แบบนี้ต้องเอาแบบคู่หมอรังผสมกับคู่ของพี่เพลิงมารวมกันจัดหนักให้กับพี่ดิน เอาแบบมุมหายไปสักพักพร้อมๆ ลูกในท้องให้ทั้งคู่ได้คิดว่าการที่ไม่เจอกันทั้งที่ยังรักกัน เราจะคิดถึงกันได้มากพอที่จะมารักกันเข้าใจกันได้ไหม ว่าแต่น้องหนูในท้องมุมคงจะปิ๋วไปแล้วใช่ป่ะ เสียดายเนอะนายดินอุตส่าห์ปั้นมาตั้งนาน คราวนี้จะปั้นใหม่ได้เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เซ็งเป็ดเล้ยยยยย


wii 4 ธ.ค. 2555, 09:43:05 น.
อ้าวนายดิน เเบบนี้มันผิดชัดๆเลย ถือใด้ว่ามีชู้นะเพราะเเต่งงานจดทะเบียนเเล้วเเต่ดันไปนอนกับผู้หญิงอื่นที่ไม่ใช่เมียตัวเอง เเบบนี้อภัยให้ไม่ใด้เเล้วล่ะ รับกรรมไปจนลูกอายุสักสองสามขวบเเมงมุมค่อยใจออ่น เเละอย่าให้ลูกใช้นามสกุลพ่ออีกด้วย จนกว่านายดินจะสำนึกผิดจริงๆ
อ้าวนายดิน เเบบนี้มันผิดชัดๆเลย ถือใด้ว่ามีชู้นะเพราะเเต่งงานจดทะเบียนเเล้วเเต่ดันไปนอนกับผู้หญิงอื่นที่ไม่ใช่เมียตัวเอง เเบบนี้อภัยให้ไม่ใด้เเล้วล่ะ รับกรรมไปจนลูกอายุสักสองสามขวบเเมงมุมค่อยใจออ่น เเละอย่าให้ลูกใช้นามสกุลพ่ออีกด้วย จนกว่านายดินจะสำนึกผิดจริงๆ


goldensun 4 ธ.ค. 2555, 12:48:26 น.
อ่านตอนนี้แล้วน้ำตาซึม สงสารมุม ไม่น่ากลับบ้านเลย จะถึงขนาดเสียลูกมั้ยคะ ทั้งเสียใจ ทั้งเจ็บตัว อย่างนี้หรือที่ดินบอกว่ารักมุม จะอดทนรอให้มุมเห็นใจ ความซื่อตรงยังให้กันไม่ได้ สำนึกได้ก็สายไปรึเปล่า แล้วมักมากอย่างนี้ มุมคงไม่อภัยง่ายๆ
แค่มุมแอบรักเพลิง ยังหึงจนพูดประชดไม่รู้จบ แต่ตัวเองไปมีผู้หญิงอื่นเรี่ยราด เลวจนรับไม่ได้จริงๆ
กลัวสูญเสียทำไมดิน ในเมื่อไม่คิดจะรักษาเอาไว้ ยังมักมาก มักง่ายตลอด
พี่ลมเป็นผู้ชายที่ดีที่สุดของอาทิตยะจริงๆ ยิ่งเห็นได้ชัด เมื่อเทียบกับเพลิงและดิน
อ่านตอนนี้แล้วน้ำตาซึม สงสารมุม ไม่น่ากลับบ้านเลย จะถึงขนาดเสียลูกมั้ยคะ ทั้งเสียใจ ทั้งเจ็บตัว อย่างนี้หรือที่ดินบอกว่ารักมุม จะอดทนรอให้มุมเห็นใจ ความซื่อตรงยังให้กันไม่ได้ สำนึกได้ก็สายไปรึเปล่า แล้วมักมากอย่างนี้ มุมคงไม่อภัยง่ายๆ
แค่มุมแอบรักเพลิง ยังหึงจนพูดประชดไม่รู้จบ แต่ตัวเองไปมีผู้หญิงอื่นเรี่ยราด เลวจนรับไม่ได้จริงๆ
กลัวสูญเสียทำไมดิน ในเมื่อไม่คิดจะรักษาเอาไว้ ยังมักมาก มักง่ายตลอด
พี่ลมเป็นผู้ชายที่ดีที่สุดของอาทิตยะจริงๆ ยิ่งเห็นได้ชัด เมื่อเทียบกับเพลิงและดิน

mhengjhy 4 ธ.ค. 2555, 19:20:09 น.
โอ้ยยยยย โกรธนายดินมากๆ นี่หรอรักแมงมุม
โอ้ยยยยย โกรธนายดินมากๆ นี่หรอรักแมงมุม

