คานน้อย คอยรัก (จบแล้วค่ะ)
คานน้อย คอยรัก

ในลักษณ์นั้นว่าประหลาด…………….คนบนคานนั้นว่าน่าประหลาด
เป็นเชื้อชาตินักรบกลั่นกล้า…………...เป็นเชื้อชาตินักรักผู้หาญกล้า
เหตุไฉนย่อท้อรอรา…………………..เหตุไฉนย่อท้อรอเวลา
ฤาจะกล้าแต่เพียงวาที…………………ฤาไม่กล้าบอกรักใครสักที

เห็นแก้วแวววับที่ดับจิต…………………เห็นคานแก้วแวววับสดับจิต
ใยไม่คิดอาจเอื้อมให้ถึงที่……………...ใยไม่คิดปีนไปให้ถึงที่
เมื่อไม่เอื้อมจะได้อย่างไรมี……………อย่ามัวรอจงขึ้นมาเร็วรี่
อันมณีฤาจะโลดไปถึงมือ………………บนคานนี้มีรักให้ฝึกปรือ

อันของสูงแม้ปองต้องจิต………………..คานเราสูงไม่เป็นรองของใครอื่น
ถ้าไม่คิดปีนป่ายจะได้ฤา………………..อย่าได้ขืนลงไปให้เสียชื่อ
มิใช่ของตลาดที่อาจซื้อ………………….มิใช่ทองตามตลาดที่อาจซื้อ
ฤาแย่งยื้อถือได้โดยไม่ยอม……………..เพราะเราถือความพอใจจึงลงไป

ไม่คิดสอยมัวคอยดอกไม้ร่วง……………ไม่คิดสอยมัวคอยให้คานทับ
คงชวดดวงบุปผาชาติสะอาดหอม………..รอให้ดับคาคานหรืออย่างไร
ดูแต่ภุมรินเที่ยวบินตอม…………………..ฤาต้องคอยรักแท้จนแก่ใช่ไหม
จึงได้ออมอบกลิ่นสุมาลี…………………..เกาะคานน้อยคอยรักต่อไป
…………………..........จนกว่าจะเจอคนที่ใช่…ใช่ไหมคาน………………
(อ้างอิงกลอนจากบทละครเรื่องท้าวแสนปม)

มาดูเหตุผลของคนที่ยังไม่ลงจากคานกันค่ะ...
อาจจะมีเหตุผลมากมายที่ไม่อยากลงจากคาน
หรืออาจมีเพียงแค่หนึ่งเหตุผลง่ายๆก็คือ...

...ไม่ใช่คนที่ใช่ก็ไม่ใช่...

หรือว่า

...โดนข้อหาหลายใจ เพราะเคยมีแฟนหลายหน...

หรืออาจเป็นเพรา

...เขาบอกให้รอ เราก็รอ...

หรือจริงๆแล้ว

...ขออยู่รอคนสุดท้ายคนนั้นได้ไหม...

หรือลึกลงไป

...กำลังรอเจ้าชายในฝันอยู่อย่างอดทนได้ทุกอย่าง...

หรือกำลังปลอบใจตัวเองว่า

...ครึ่งหนึ่งของฉันยังมาไม่ถึง...ซึ่งสักวันเขาจะมาอยู่ข้างกัน...

หรือกำลังหลอกตัวเองด้วยการปกปิดว่า

...ไม่หวั่นไหว หัวใจไม่ปรารถนา...

ทั้งๆที่จริงๆแล้ว

...อยากรัก อยากฝัน แต่เพราะกลัว ก็เลยไม่กล้ารักใคร...

หรือว่าอาจจะเป็นเหตผลสุดท้ายที่ไม่ค่อยมีใครกล้ายอมรับดังๆว่า

...ไม่เคยมีใครมาจีบ ไม่มีใครสน เรามันคนธรรมดาๆ...

แต่ไม่ว่าจะเหตุผลใด...

เราก็ยังหวังและยังคงรอคอยปาฏิหาริย์ว่าจะได้เจอคนที่ใช่ในสักวัน...


Tags: ดราม่า หวานซึ้ง อบอุ่น หมอรัง สิ้นรัก วายุ ปองขวัญ

ตอน: ยกที่ 60 ถอดทิ้ง

ยกที่ 60 ถอดทิ้ง

ตะวันมองแผ่นหลังของน้องสะใภ้ที่กำลังยืนมองไปทางศาลาท่าน้ำตรงระเบียงบ้านนิ่ง…
นานๆจะเห็นเธอยกมือขึ้น เหมือนกำลังปาดน้ำตาทิ้ง
เขาจึงเข็นรถเข้าไปใกล้ๆ พันทิวาได้ยินเสียงของรถเข็นก็รีบปาดน้ำตา
ที่กำลังไหลทิ้งไปทันทีก่อนจะหันหลังไปทางคนมาใหม่ด้วยรอยยิ้ม…

“อยู่บ้านแบบนี้เซ็งรึเปล่า…”ตะวันถามด้วยน้ำเสียงและแววตาห่วงใย
พันทิวายิ้มบางพลางส่ายหน้า

“ไม่หรอกค่ะ…ถ้ามุมเซ็ง พี่เพลิงคงเซ็งยิ่งกว่า…”

“นั่นน่ะสิ…”แล้วทั้งสองก็ยิ้มออกมาพร้อมกัน…ก่อนที่ตะวันจะเริ่มเข้าเรื่อง

“ยังเจ็บเท้าอยู่มั้ย…”พันทิวาส่ายหน้า

“ค่อยยังชั่วแล้วค่ะ…ไม่เจ็บแล้ว…”

น้ำเสียงตอนท้ายฟังดูสะท้อนจนคนฟังสำเหนียกได้ถึงความรู้สึกบางอย่างของคนพูด

เพราะบาดแผลของเธอที่ดูเหมือนจะเล็กๆในตอนแรกกลับติดเชื้อ
จนควบคุมให้หายยากกว่าที่คาดคิดกันไว้ จนล่วงเลยเวลาเป็นเดือนๆ
มันก็ยังไม่ยอมหายเป็นปกติ...จนต้องพยายามดูและรักษามันอย่างดีที่สุุดเท่าที่จะทำได้...

“นายดินทำอะไรให้เราไม่สบายใจรึเปล่า…พี่เห็นเราดูเหงาๆซึมๆมาหลายวันแล้ว…
ปกติเราไม่ใช่คนแบบนี้สักหน่อย…”

พันทิวารู้สึกเหมือนต่อมน้ำตากำลังจะกลับมาทำงานอีกครั้ง
เมื่อโดนสะกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นมา…

พันทิวาจึงคุกเข่าลงตรงหน้าตะวันที่กำลังนั่งอยู่บนรถเข็น

“มุมมีเรื่องจะบอกพี่เพลิงค่ะ…เมื่อก่อนมุมไม่กล้าบอก
เพราะกลัวว่าจะมองหน้าพี่เพลิงต่อไปไม่ได้อีก…แต่ยิ่งนานวันมุมก็ยิ่งอึดอัด…”

ตะวันลอบกลืนน้ำลายลงคอเมื่อมองแววตาคู่นั้นของพันทิวา…
แววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกดีๆที่มีให้กับเขา…

“มุมรักพี่เพลิง…รักมานานแล้ว…”

เสียงสั่นๆพร้อมน้ำตาที่ไหลลงมาเป็นทางทำให้ตะวันอดยกมือขึ้นวางบนบ่าของคนตรงหน้าไม่ได้…

“และมุมก็รู้มาตลอดว่าพี่เพลิงไม่ได้คิดกับมุมแบบนั้นเลยสักนิด…
มุมรู้ดีว่าพี่เพลิงรู้ว่ามุมรู้สึกยังไงกับพี่…แค่ให้มุมได้บอกพี่ บอกให้พี่ได้รู้ความในใจของมุม…
เพราะถ้ามุมไม่บอก มุมคงเสียใจไปอีกนาน…
มุมไม่อยากเก็บมันเอาไว้แล้ว…มุมแค่อยากจะบอกพี่…แค่นั้น
แล้วมุมจะลืมพี่…มุมจะเปลี่ยนรักในใจที่มีต่อพี่ให้ได้ค่ะ…”

ตะวันยกมือขึ้นลูบหัวคนตรงหน้าเบาๆแล้วโอบบ่านั้นเอาไว้

“พี่ขอบใจที่เธอรู้สึกดีๆกับพี่ ดูแลพี่อย่างดีมาตลอด…

พี่เองก็รักเธอ รักอย่างที่รักยัยฟ้า…และพี่ก็แน่ใจว่าเธอเองก็รักพี่
อย่างที่รักพี่ยักษ์ของเธอ เพียงแต่พี่ไม่ใช่พี่ชายในสายเลือด
แต่เป็นเหมือนฮีโร่ เหมือนพระเอกขี่ม้าขาวของเธอ…

ซึ่งความจริงแล้วพี่ไม่ใช่เลย…ภาพความประทับใจที่เธอมีต่อพี่
ทำให้เธอมักมองข้ามผู้ชายดีๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต…

เพราะเธอจะนำเขามาเปรียบเทียบกับภาพความประทับใจที่เธอมีต่อพี่เสมอ…
ถ้าเธอลบภาพความประทับใจเหล่านั้นออกไป

เธอก็จะเห็นว่าพี่ก็เป็นคนธรรมดาที่ไม่ได้เป็นพระเอกขี่ม้าขาวอย่างที่เธอเห็นเมื่อตอนเด็กๆ…”

พันทิวาเงยหน้าขึ้นมองคนพูดนิ่งราวกับจะค้านความคิดนั้น

หากตะวันกลับพูดขึ้นก่อนว่า

“พี่เกือบทำร้ายคนที่พี่รักเพราะมองข้ามสิ่งดีๆที่เขามีให้พี่…
เราเกือบจะทำร้ายซึ่งกันและกันเพราะความไม่เข้าใจกัน ไม่พูดคุยกัน…
ไม่ปรับความเข้าใจกัน…ปล่อยให้อีกฝ่ายคิดเอาเอง…”

ตะวันเล่าให้อีกฝ่ายฟังด้วยน้ำเสียงราบเรียบน่าฟัง…
จนพันทิวาระบายยิ้มฝืดๆออกมาขณะพูดว่า…

“พี่เพลิงทำให้มุมรู้สึกดีได้เสมอ เข้าใจมุมมากกว่าคนบางคนเสียอีก
ทั้งๆที่เขาอยู่กับมุมมากกว่าพี่ ใกล้มุมมากกว่าพี่ แต่เขาไม่เคยเข้าใจมุม
ดีแต่ทำให้มุมเสียใจ…เขาไม่เคยพูดจาดีๆกับมุมเลย…”

ประโยคหลังหญิงสาวพูดพลางร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่อีกรอบ

“แต่มุมก็ยังยืนยันว่ามุมรักพี่จริงๆ…”
ตะวันยิ้มบางกับถ้อยคำนั้นของอีกฝ่ายที่ดูจะไม่ยอมลดละง่ายๆ…

“เธอไม่ได้รักพี่เหมือนที่รักนายดินหรอก เธอแค่ประทับใจในตัวพี่ก็เท่านั้น
คนที่เธอรักจริงๆคือนายดินต่างหาก…เธอรักนายดินทั้งๆที่ไม่ค่อยประทับใจในตัวมันสักเท่าไหร่…
ลองถามใจตัวเองดีๆสิ…ว่าอะไรคือภาพฝัน อะไรคือภาพความเป็นจริง”

พันทิวาได้แต่ส่ายหน้า

…ใครจะรู้ใจเธอได้เท่ากับตัวเธอ…

“สำหรับบางคน…เราไม่อาจร่วมทางกันไปได้ ทำได้แค่รู้สึกดี…”
จบคำพูดนั้นพันทิวาก็ยิ้มออกมา คนตรงหน้าเข้าใจและรู้ใจเธอเสมอ

“มุมขอกอดพี่เพลิงได้มั้ยคะ…”คนฟังยิ้มกว้าง

“พี่ก็ไม่ได้ห้ามนี่ น้องสาวจะกอดพี่ชายจะเป็นไรไป…นายดินคงไม่หึงหรอก”

พันทิวาจึงโผเข้าโอบกอดตะวันพร้อมเสียงร้องไห้…
ที่เต็มไปด้วยความดีใจและเสียใจปะปนกัน…

“ขอบคุณค่ะที่เข้าใจมุม…”

“พี่ดีใจมากเลยนะที่รู้ว่าจะได้เธอมาเป็นน้องสะใภ้…เพราะพี่เห็นเธอมาตั้งแต่เด็ก…
เห็นเธอครั้งใดก็นึกถึงยัยฟ้าทุกครั้ง…”

พันทิวายิ้มกว้างให้กับตะวัน…แล้วปาดน้ำตาทิ้ง ทำไมเธอถึงได้อ่อนแอขนาดนี้นะ…
ไม่เคยเลยที่จะร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลังแบบนี้มาก่อน…

ตั้งแต่ชีวิตได้รู้จักและพบเจอกับนายดินทราย ต่อมน้ำตาของเธอก็เริ่มตื้นเขินขึ้นทุกวัน

“เล่าเรื่องน้องสาวคนนี้ของพี่เพลิงให้มุมฟังได้มั้ยคะ…”

“ได้สิ…แล้วเธอจะรู้ว่านายดินรักน้องสาวคนนี้มากแค่ไหน…”

พันทิวากระตุกคิ้วนิดนึงก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มแล้วลุกขึ้นนั่งลงตรงม้านั่งริมระเบียงบ้าน
ฟังเรื่องราวของพิศนภา หญิงสาวผู้ล่วงลับไปแล้ว…

“นี่คือกิ๊บติดผมของยัยฟ้า…”พันทิวารับกิ๊บติดผมจากมือของตะวันแล้วเพ่งดู
ก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น เงยหน้ามองตะวันด้วยแววตาใคร่รู้

“วันที่เขาเสียชีวิต เขาก็ยังติดกิ๊บอันนี้เอาไว้ที่ผม…ตอนที่พี่เห็นมัน
พี่ก็อดน้ำตาไหลไม่ได้ และเก็บกิ๊บอันนี้เอาไว้ตั้งแต่วันนั้นมาตลอด…”
ตะวันมองหน้าพันทิวานิ่งก่อนจะยิ้มให้…

“เห็นมั้ยว่ามันถูกออกแบบมาเหมือนๆกับกิ๊บติดผมที่พี่เคยให้กับเธอ…”
พันทิวาพยักหน้า…

“เพียงแต่ของเธอเป็นรูปแมงมุม ส่วนของยัยฟ้าเป็นรูปพระอาทิตย์กับดวงดาวและพระจันทร์เสี้ยว…”

พันทิวามองพระอาทิตย์สีเหลืองกับพระจันทร์เสี้ยวสีน้ำเงินที่มีดวงดาวดวงเล็กๆสีชมพูหนึ่งดวงอยู่ตรงกลาง

“พี่ออกแบบมันออกมาพร้อมกัน…เพราะวันเกิดเธอกับวันเกิดของยัยฟ้าเป็นวันเดียวกัน
ต่างกันตรงที่เธอเกิดก่อนยัยฟ้าสองปีเท่่านั้นเอง…
พี่ก็เลยทำของขวัญในแบบเดียวกันให้กับเธอและยัยฟ้า…”

พันทิวาเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาหลังจากที่ฟังเรื่องเล่าต่างๆ
เก่ียวกับน้องนุจสุดท้องของบ้านอาทิตยะ…

“แล้วทำไมพระจันทร์ถึงได้เป็นสีน้ำเงินแล้วดวงดาวเป็นสีชมพูล่ะคะ…”
ตะวันยิ้มบาง หยิบกิ๊บติดผมในมือพันทิวาแล้วมองพระจันทร์เสี้ยว
กับดวงดาวด้วยแววตามีความสุข…

“ตอนเด็กๆยัยฟ้าชอบวาดภาพสิ่งที่อยู่บนท้องฟ้าบ่อยๆ…
แล้วมักจะระบายสีดวงอาทิตย์เป็นสีเหลือง ดวงจันทร์เป็นสีน้ำเงิน
แล้วให้ดวงดาวเป็นสีชมพู…นายดินกับพี่เคยถามนะว่าทำไม…

เขาบอกว่า…มันดูไม่เหมือนของเพื่อนๆในห้อง…เพราะนี่คือดวงอาทิตย์
ดวงจันทร์และดวงดาวของฟ้า…จะเหมือนของคนอื่นได้ยังไง…”

พันทิวาอมยิ้มกับถ้อยคำนั้น ตะวันก็เช่นกัน…

“พี่จำคำตอบนั้นได้…กิ๊บติดผมของยับฟ้าจึงถูกออกแบบมาอย่างนี้…
ดูตัวอักษรนี่สิ…”พันทิวาอ่านตัวอักษรตัวเล็กๆที่ถูกแกะสลักเอาไว้ว่า

“หนึ่งฟ้าตะวันเดียว…”พันทิวายิ้มแล้วเงยหน้าขึ้นมองตะวัน

“พี่เพลิงคงรักน้องสาวคนนี้มาก…”

“สำหรับพี่ พี่รักน้องๆทุกคนเหมือนๆกัน…แต่กับยัยฟ้า
อย่าว่าแต่พี่เลย คนอื่นๆก็รุมรักแม่คุณกันทั้งนั้น…

เพราะยัยฟ้าค่อนข้างอ่อนแอและขี้โรค แต่มีรอยยิ้มสดใสและสู้ทนกับโรคภัยไข้เจ็บมาตลอด…

ตอนที่เขาไม่อยู่บ้านหลังนี้เงียบเหงายิ่งกว่าอะไร…เหมือนไร้ชีวิตชีวา…ไร้เสียงหัวเราะ
ไร้เสียงเจื้อยแจ้วของคนขี้อ้อน นายดินทนไม่ไหว ก็เลยขอไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นกับพี่สาวก่อนกำหนด…

ส่วนเจ้าลมน้องชายก็ย้ายไปอยู่ที่ใต้อยู่นาน ไม่กล้ากลับมาพบสภาพบ้านที่ไร้ยัยฟ้า

ส่วนน้ำ ก็ย้ายไปอยู่ที่บ้านสามี นานๆจะกลับมาที่นี่สักครั้ง…
เพราะยังทำใจไม่ได้ จะมีก็แต่พี่ที่ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน
นอกจากกินนอนที่บ้านหลังนี้คนเดียว…เพราะไม่ใช่แต่ยัยฟ้าที่หายไป
หงส์น้องสาวฝาแฝดของเหยี่ยวก็หายไปจากเรือนหลังนี้ด้วย…

พวกเราเจ็บกับเหตุการณ์ครั้งนั้นที่สุด เพราะแม่ที่ถึงจะไม่ได้อยู่บ้านหลังนี้ตลอดก็จากไปด้วย…
เรือนหลังนี้จึงเหมือนเรือนร้าง กว่าจะกลับมามีสีสันได้อีกครั้งก็ตอนที่เจ้าแฝดคลอด…

เสียงเด็กๆทำให้บ้านหลังนี้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง…”

แววตาหมองๆของตะวันทำให้พันทิวาวางมือลงบนหลังมือเขาแล้วยิ้มให้

“ต่อไปเรือนหลังนี้ก็คงจะยิ่งคึกคักอีกเท่าตัว…”

ตะวันขมวดคิ้วนิดนึงมองสีหน้าซีดๆของพันทิวากับรอยยิ้มหม่นๆนั้นด้วยแววตาแปลกใจ

“มุมกำลังจะมีน้องค่ะพี่เพลิง…”ตะวันยิ้มกว้างทันทีที่ได้ยินข่่าวดีจากปากของพันทิวา
ก่่อนจะกุมมือของเธอแล้วถามย้ำอีกครั้ง

“จริงๆเหรอ…”พันทิวาพยักหน้า

“นายดินรู้เรื่องนี้รึยัง…”พันทิวาส่ายหน้า

“ยังค่ะ…มุมยังไม่ได้บอก…”

“พี่ว่าถ้านายดินรู้คงดีใจ…”

“ค่ะ…คงดีใจ…ยิ่งถ้าเป็นผู้ชายคงยิ่งดีใจ…”

ถ้อยคำนั้นทำให้ตะวันอดแปลกใจไม่ได้ เพราะสีหน้าท่าทางของคนพูดดูจะไม่ยินดีนัก

“กี่เดือนแล้ว…”ตะวันถาม เพราะน้องชายของเขาแต่งงานมาเกือบสี่เดือนแล้ว…

“สองเดือนค่ะ…"

“พี่ว่าเธอควรบอกเจ้าดินนะ…”พันทิวาพยักหน้า

“ค่ะ…”

“นอกจากพี่แล้ว มีใครรู้เรื่องนี้รึยัง…”พันทิวาส่ายหน้าไหวๆ ทั้งที่จริงๆแล้ว
ยังมีรังสิมันต์อีกคนที่รู้เรื่องนี้ เพราะเขาถึงทำให้พันทิวารู้ตัวว่ากำลังตั้งท้อง
เนื่องจากช่วงหลังๆที่บาดแผลลุกลาม พันทิวาโทรไปปรึกษารังสิมันต์
ซึ่งประจวบเหมาะกับเขาขึ้นมากรุงเทพฯ ทำให้รังสิมันต์ต้องงดตัวยาฆ่าเชื้อบางตัวไป
เนื่องจากสงสัยจนตรวจพบว่าพันทิวา กำลังตัั้งครรภ์น้อยๆอยู่...
และเธอได้ขอร้องให้รังสิมันต์เก็บเรื่องนี้เอาไว้ก่อน ห้ามบอกใคร...
เพราะเธออยากบอกด้วยตัวเธอเอง...

ตะวันลอบถอนใจ เขาไม่รู้ว่าคนตรงหน้ากำลังมีปัญหาอะไรในใจ
พักหลังๆมาถึงได้เศร้าหมองลง จากคนที่เคยสนุกสนานร่าเริงกลับเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน…
นานๆเขาจะเห็นเธอออกไปไหนมาไหน

เจ้าน้องชายของเขาเองก็เอาแต่ยุ่งกับเรื่องงาน นี่ถ้าเขาสะดวกกว่านี้
เขาก็อยากจะกลับไปช่วยแบ่งเบาภาระที่บริษัทบ้าง…

น้องชายจะได้มีเวลาดูแลหญิงสาวตรงหน้าเขามากกว่านี้…

“งั้นเราไปเดินเล่นกันที่สวนดอกไม้หลังเรือนกันดีมั้ย…พี่ไม่ได้ไปนานแล้ว
ไม่รู้ว่าช่วงนี้มีดอกอะไรออกดอกบ้าง”

ตะวันเริ่มชวนคนเท้าเจ็บด้วยความลืมตัว เพราะเขาเองก็ยังเดินเหินไม่ได้ ต้องอาศัยรถเข็น
พันทิวาจึงยิ้มขันกับสีหน้าของคนชวนที่เริ่มรู้สึกตัวแล้ว

“ว้า…แล้วอย่างนี้ต้องทำไง…เธอกับพี่ถึงจะไปเที่ยวที่สวนดอกไม้ได้ล่ะ”

“ก็ไม่เห็นจะยากนี่คะ…แมงมุมซะอย่าง…ทำได้สบายอยู่แล้ว…”

แล้วทั้งสองก็สามารถถ่อสังขารลงมายังสวนดอกไม้ได้ในที่สุด
ด้วยการช่วยเหลือของผู้ช่วยพยาบาลนั่นเอง…

เมื่อถึงด้านล่่างแล้ว พันทิวาจึงอาสาเข็นรถให้ตะวันเอง
เพราะเธอก็ไม่ได้ง่อยเพลี้ยเสียขาเสียหน่อย…ก็เลยสามารถกะเผลกเท้าเข็นรถ
พาตะวันเดินชมดอกไม้สีสันสวยงามในสวนท่ามกลางผีเสื้อหลากหลายชนิด
ด้วยสีหน้าสดใสขึ้น…

“ขอบคุณนะคะสำหรับไอเดียดีๆ”พันทิวากล่าวขณะนั่งลงตรงม้านั่ง

“บางครั้งสิ่งดีๆ สิ่งที่สวยงาม ก็อยู่ใกล้ๆตัวเรานี่เอง…ว่ามั้ย…”

พันทิวายิ้มกว้างมองไปรอบๆกาย แล้วสูดลมหายใจเต็มปอด เห็นด้วยกับคำพูดนั้น

“นั่นน่ะสิคะ…มุมมาอยู่ที่นี่เกือบสี่เดือนแล้ว แต่ยังไม่เคยลงมาชมดอกไม้ในสวนนี้สักครั้ง…”

ตะวันได้ฟังดังนั้นถึงกับหัวเราะฮึๆในลำคอ

“อย่าว่าแต่เราเลย พี่เองยังนึกไม่ออกเลยว่าเคยมาที่นี่ครั้งสุดท้ายตอนไหน
ยังสงสัยอยู่เลยว่าดอกไม้พวกนี้ยังมีชีวิตอยู่อีกรึเปล่า…ดีนะที่จ้างคนดูแลสวน
ถ้าให้เจ้าของบ้านดูแลเอง มีหวังต้นไม้พวกนี้คงเหี่ยวตายตั้งแต่ยังไม่ทันออกดอกแน่ๆ…”

พูดไปก็หัวเราะไป ทำให้บรรยากาศดีๆกับอากาศดีๆยามบ่ายสดใสขึ้นกว่าก่อนหน้านี้…

“อยากไปเที่ยวที่ไหนเป็นพิเศษรึเปล่า…”ตะวันหันมาถามหญิงสาวที่กำลัง
ก้มลงดมกลิ่นดอกไม้ในสวนอยู่

“เอ่อ…ว่าแต่ถ้ามุมบอกไปแล้วพี่เพลิงจะพาไปรึเปล่าล่ะคะ…”
ตะวันยิ้มที่มุมปาก…

“อย่าบอกนะคะว่าลวงถามเพื่อให้คนอื่นพาไป…”พันทิวาหันมายิ้มให้อย่างรู้เท่าทัน

“รู้ทันอีก…”

“ว่าไง…อยากไปไหนเป็นพิเศษรึเปล่า…”ตะวันยังคงเซ้าซี้ถาม
หลังจากที่พันทิวาไม่ยอมตอบสักที

“มุมไม่ได้อยากไปไหนเป็นพิเศษหรอกค่ะ…เพราะอยู่ที่นี่มุมก็โอเคดีอยู่แล้ว…”
พันทิวาตอบออกไปด้วยน้ำเสียงปกติ

“แต่พี่จำได้ว่าเธอกับนายดินยังไม่ได้ไปฮันนีมูนกันที่ไหนเลยนี่…”
พันทิวาลอบถอนใจนิดนึงก่อนจะเด็ดดอกมะลิมาไว้ในมือ
แล้วเดินกลับมายังคนที่นั่งอยู่บนรถเข็น

“มุมว่าดอกมะลิทำให้รู้สึกสดชื่นจังเลยค่ะ เมื่อก่อนไม่ค่อยชอบกลิ่นของมันสักเท่าไหร่
แต่ไม่รู้ทำไมตอนนี้ถึงได้ชอบเป็นพิเศษนัก…”
ตะวันมองคนที่พยายามเปลี่ยนเรื่องด้วยรอยยิ้มปราย

“ไปเที่ยวที่สวนปักษาวายุของเจ้าลมดูมั้ย ที่นั่นมีครบทุกบรรยากาศที่เป็นกลิ่นไอของธรรมชาติ…
โดยเฉพาะสวนดอกไม้…มีไม้ดอกไม้ประดับหลากหลายชนิด…แถมยังมีกระท่อมกลางนา
ที่ใช้ตะเกียงเจ้าพายุ ไม่มีไฟฟ้าและน้ำประปา…เป็นบรรยาลูกทุ่งๆ”
พันทิวาถึงกับเลิกคิ้วมองคนพูดด้วยแววตาสนใจ

“สมัยนี้ยังมีสถานที่แบบนั้นหลงเหลืออยู่อีกเหรอคะ…”ตะวันพยักหน้า
เมื่อปลาเริ่มกำลังกระตุกเหยื่อที่หย่อนไปเมื่อครู่แล้ว…

“มีสิ เจ้าลมเขาพยายามทำรีสอร์ทและสถานที่รองรับนักท่องเที่ยว
แบบหลากหลายสไตล์ ใครที่ชอบบรรยาลูกทุ่งๆก็ไปที่นั่นได้
เพราะที่สวนปักษาวายุมีทั้งท้องทุ่งและขุนเขา มีทั้งลำธารใส
และน้ำตกเลียนแบบธรรมชาติ มีวิถีชีวิตแบบบ้านๆให้ดูให้ชม
ให้ทดลองใช้ชีวิตอิงธรรมชาติดูได้ที่นั่น…

และที่สำคัญนอกจากกระท่อมกลางนาแล้ว ยังมีกระท่อมกลางสวนเงาะ สวนทุเรียน
สวนลองกองด้วยนะ ใครอยากเป็นชาวสวนชั่วคราวก็ย่อมได้…

หรือจะเป็นเจ้าของสวนดอกไม้นานาชนิดก็มีนะ เพราะที่นั่นมีโรงกล้วยไม้ขนาดใหญ่
แถมยังมีสวนดอกไม้เมืองร้อนอีกมากมายด้วย…
สวนดอกมะลิก็มี…สนใจรึเปล่าล่ะเรา”พันทิวาถึงกับตาโต

“โอ้โห…นี่ที่พี่เพลิงโฆษณามาทั้งหมด มีอยู่ที่สวนปักษาวายุจริงๆเหรอคะเนี่ย…”
ตะวันพยักหน้า เมื่อรู้ว่ายังไงเสีย ปลาตัวนี้ก็หนีไม่รอดแล้ว

“จริงๆ…พี่ถึงอยากให้เธอลองไปเที่ยวเปิดหูเปิดตาดู
แล้วจะรู้ว่าพี่ลมของนายดินน่ะเขาสุดยอดแค่ไหน…
นั่นน่ะเจ้าพ่อกิจการทัวร์ของที่โน้นเชียวนะ…”

“แหม…พี่เพลิงพูดซะมุมอยากไปเลย…ว่าแต่เที่ยวฟรีิ พักฟรี กินฟรีรึเปล่าก็ไม่รู้…”
ตะวันหัวเราะร่วนกับถ้อยคำนั้นของพันทิวา
ดูท่าทางหวงกินกับหวงนอนนั่นสิ…เขาว่าไม่ต่างจากหลานแฝดของเขาเลย

“อันนี้คงต้องถามเจ้าของสถานที่ แต่ถ้าไปในนามของน้องสะใภ้คงไม่เป็นไรมั้ง”

คราวนี้พันทิวาถึงกับอมยิ้ม รู้ว่าโดนกลลวงของคนตรงหน้าเข้าให้แล้ว
แต่ถ้าที่นั่นเป็นดั่งว่าจริง เธอก็ยอมให้หลอกล่ะเอ้า…

“แสดงว่าที่นั่นต้องกว้างใหญ่ไพศาล อลังการงานสร้างมากเลยใช่มั้ยคะ
ชักอยากเห็นแล้วสิ…”ตะวันพยักหน้า ยิ้มกว้างเมื่อปลายอมกินเหยื่อแล้ว

“และก็แสดงว่าพี่ลมก็ต้องรวยมากๆด้วย ทั้งหล่อทั้งรวยทั้งเก่งอย่างนี้
พี่ปองคงมีคู่แข่งเยอะแน่ๆ…”

ถ้อยคำและน้ำเสียงนั้นทำให้ตะวันอมยิ้มให้กับคนที่ดูจะห่วงใยในสวัสดิภาพของปองขวัญ
โดยไม่ได้มองคู่แข่งของตนเองบ้างเลย…

เพราะเจ้าลมน้องชายของเขานั้นไม่คิดจะยุ่งกับหญิงใดที่ไม่มีใจเสน่หาอยู่แล้ว
เรื่องคู่แข่งก็เลยหายห่วง แต่เจ้าดินน้องชายของเขานี่สิ…เจ้าชู้ประตูดินแค่ไหนใครๆย่อมรู้ดี…

แถมสาวๆยังติดแจ ขนาดแต่งงานแล้วก็ยังไม่วายพาขนมจีบไปป้อนเจ้าน้องชายของเขาถึงที่ทำงาน
ดีที่พันทิวาอยู่ที่บ้าน ก็เลยไม่ค่อยรับรู้ข่าวคราวดังกล่าว
เพราะหญิงสาวเป็นคนไม่ค่อยอยากรู้อยากเห็นเรื่องของผู้อื่นสักเท่าไหร่

นี่ถ้ารู้ สถานการณ์อาจจะย่ำแย่ยิ่งกว่านี้ก็เป็นได้…

“คู่แข่งเยอะไม่เยอะพี่ไม่รู้หรอก แต่ที่รู้ๆหมอปองมาวินเห็นๆ…”

“แล้วพี่เพลิงล่ะคะ ไม่คิดจะพาพี่ตามไปเที่ยวที่นั่นบ้างเหรอคะ…
พี่ตามทำงานเหนื่อยๆ อาจจะอยากพักผ่อนคลายเครียดก็ได้…”

คำแนะนำดังกล่่าวทำให้ตะวันหันกลับมาคิดบ้าง

“พี่ก็ว่าเป็นไอเดียที่ดีไม่น้อยเลย…แต่พี่จะพาสาวๆไปไหนได้ล่ะ
ขนาดตัวพี่พี่ยังพาไม่รอดเลย…”พูดพลางก็มองสภาพของตัวเองไปด้วย
พันทิวาจึงปลอบใจไปว่า

“ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย เดี๋ยวนี้รถราพาหนะก็ออกจะสะดวกสบาย
ถ้าพี่เพลิงจะไป เราก็เอารถคันใหญ่ไปด้วยกันเลย…พาผู้ช่วยพยาบาลไปเปิดหูเปิดตาด้วย…
แค่นี้ก็ไร้ปัญหา…เอาช่วงที่พี่ปองย้ายไปอยู่ที่โน้นแล้วเป็นไงคะ…”

ตะวันยิ้มกว้างเห็นด้วยกับความคิดของหญิงสาวเป็นที่สุด…จึงพยักหน้าหงึกๆ

“มุมจะได้ชวนพี่รักไปด้วย เอาครอบครัวของเจ้าแฝดไปด้วย ปิดบริษัท
ไปพักกันทั้งบ้านอาทิตยะและบ้านของมุมด้วยเป็นไงคะ…”

คราวนี้คนฟังถึงกับตาค้าง ไอ้ที่คาดๆเอาไว้ว่าจะให้แม่คุณได้ไปฮันนีมูนกับน้องชายของเขาตามลำพัง
เป็นอันจะพาพังลงไปเรื่อยๆแล้ว เมื่อดูเหมือนจะมีเรือพ่วงตามหลังไปอีกหลายลำ…
แต่ละลำดูจะมีสัมภาระติดสอยห้อยตามไปด้วยไม่น้อยเลย…

“พี่ว่ามันจะดูเอิกเริกไปนิดนึงนา…”ตะวันหยั่งเชิง พันทิวากลับส่ายหน้า

“เอิกเริกที่ไหนล่ะคะ อบอุ่นจะตาย ไปกันหลายคน สนุกสนานเฮฮาออก”
ตะวันเหมือนจะพ่ายแพ้ต่อความอบอุ่นของคนพูดเสียแล้ว

“งั้นเอาไว้เราค่อยปรึกษาเรื่องนี้กับคนอื่นๆดูเอามั้ย…”พันทิวาฉีกยิ้มกว้าง
ราวกับเด็กน้อยที่ได้ของเล่นหลังจากที่อ้อนขอพ่อแม่อยู่นาน…
ทำให้อดนึกไปถึงน้องสาวคนเล็กของเขาที่จากไปแล้วไม่ได้…

“พี่ว่าเรากลับขึ้นเรือนกันดีกว่า…”พันทิวาพยักหน้าเมื่อได้ยินเสียง
เครื่องยนต์แล่นเข้ามาในบ้าน

“สงสัยเจ้าแฝดคงกลับจากโรงเรียนกันแล้ว…งั้นขอมุมเก็บดอกมะลิอีกสักนิดนะคะ…”
พูดเสร็จพันทิวาก็ก้มเก็บดอกมะลิใส่ตะกร้า
ที่เตรียมมาเพื่อเก็บดอกไม้ไปจัดแจกันบนเรือน…

“มา…เดี๋ยวพี่ช่วยถือตะกร้าให้…”ตะวันยื่นมือเข้าช่วย
พันทิวาจึงส่งตะกร้าให้ แล้วรีบเก็บดอกมะลิใส่ตะกร้าพลางร้องเพลงไปด้วย

เสียงใสๆของหญิงสาวทำให้ตะวันยิ้มกว้างอย่างมีความสุข
ที่เห็นคนตรงหน้าดูสดใสร่าเริงอย่่างแต่ก่อน…

“ถ้ามองไปไม่มีดอกไม้ แต่ใจฉันมีดอกไม้
อะไรดูสวยงาม สดใสไปทุกอย่างเลย
ตัวฉันเป็นอย่างนี้ ก็เพราะมันไม่เคย เลยลังเลไม่ค่อยเข้าใจ…

ถ้ามองไปที่ตรงขอบฟ้า ลอยล่องไปสุดฟ้า
ส่งใจไปหาใคร คิดถึงใครสักหนึ่งคน…
ใจฉันเป็นอย่างนี้ ฉันชักจะสับสน
ก็อยากที่จะลองหาต้นเหตุ…

เพราะเธอรึเปล่า…ใช่เธอรึเปล่า
เพราะเธอรึเปล่า ที่คอยเข้ามาในจิตใจฉันทุกวัน
เพราะฉันรึเปล่า…ฉันเองรึไง ฉันเองใช่ไหม
ที่ไปหวั่นไหว หรือแต่แค่ฝัน…ไปคนเดียว…”

เสียงร้องเพลงของพันทิวาบังเอิญไปกระแทกหูของสามีตัวเอง
ที่กำลังเดินตามหาภรรยาตามคำบอกเล่่าของแม่บ้านเข้าพอดี
ทำให้ภาพน่ารักๆของเธอกับพี่ชายของเขาบาดทรวงของคนพบเห็นเข้าพอดิบพอดี…

…อดหมั่นไส้ไม่ได้ ทีอยู่กับเขาทำตัวราวกับแมงมุมสารพัดพิษ
แต่กับพี่ชายของเขาแม่คุณกลับถอดเขี้ยวถอดเล็บถอนพิษออก
ลอกคราบกลายเป็นแมงมุมน้อยร้องเพลงเสียงใสกิ๊งเชียว…

แถมยังร้องเพลงไปยิ้มไป เก็บดอกไม้ไปอย่่างสบายจิต
คงลืมคิดถึงสามีอย่างเขาไปสนิทเลยล่ะสิ…

และก็พอดีที่ตะวันหันมาเห็นน้องชายยืนทำหน้างอ ตาเขียวปั๋ดเข้าพอดี
ผู้เป็นพี่จึงส่งตะกร้าไปให้น้องชาย แล้วพยักพเยิดไปทางพันทิวา
ที่ดูจะเพลิดเพลินกับการก้มเก็บดอกมะลิจนไม่รู้เลยว่ามีสามีของตนเองยืนจ้องไม่ยอมวางตา…

ตะวันจึงหลบมุมให้ทั้งสองได้พูดคุยเจรจากัน

อย่างน้อยๆตอนนี้พันทิวาก็ดูอารมณ์ดี คงจะไม่ทะเลาะกันอย่างเคย…

หากเขาคงไม่รู้ว่าลับหลังเขาไปเพียงนิด จากเสียงใสๆ
ของคนที่กำลังร้องเพลงอย่างสบาบจิตเปลี่ยนเป็นเสียงร้องไห้ของหญิงสาวแทน…

“พี่เพลิงล่ะไปไหน…”พันทิวาถามพสุธเสียงเข้ม
พลางสอดส่ายสายตามองหาตะวันที่เห็นกำลังเข็นรถออกไปอยู่ไม่ไกลนัก
หญิงสาวจึงตั้งหน้าจะเดินไปช่วยเข็นรถให้อีกฝ่าย แต่กลับถูกขวางไว้

“ถอยนะ จะกลับแล้ว…”

“ไม่เก็บดอกไม้ต่อแล้วรึไง รึว่าเห็นคนถือตะกร้าเป็นสามีขึ้นมา
เลยหมดอารมณ์สุนทรีย์…”

“ใช่…หมดอารมณ์แล้ว…เอาคืนมานะ”พูดพลางก็แย่งยื้อตะกร้าดอกมะลิในมือของพสุธ
หากชายหนุ่มกลับไม่ยอมคืนให้ง่ายๆ

“อยากได้คืนก็ตามไปเก็บเอาที่อ่างอาบน้ำกับบนเตียงก็แล้วกัน…”

ไม่พูดเปล่าพสุธเดินจ้ำอ้าวไปตามทางกลับเรือนทันที

พันทิวารีบเดินตามไปทันทีโดนลืมไปสนิทว่าเท้าของเธอเป็นแผลอยู่
และแผลนั่นดันไปเหยียบเข้ากับก้อนหินพอดี

หญิงสาวเจ็บจนน้ำตาเล็ดออกมา นั่งพับเพียบเอามือกุมแผลนั่นเอาไว้แน่นด้วยความเจ็บ…
เลือดไหลซิบผ่านผ้าพันแผลออกมาอย่างเห็นได้ชัด

ทั้งๆที่มันจวนจะหายอยู่แล้ว....และแทนที่จะหายวันหายคืน...
คราวนี้เธอคงต้องรอไปอีกหลายวันกว่าแผลจะหายเป็นปกติ…

ทั้งๆที่มันก็แค่แผลเล็กๆแม้จะค่อนข้างลึก แต่ทำไมมันถึงได้กินระยะเวลาในการรักษาเยียวยา
ยาวนานขนาดนี้ด้วยนะ...พันทิวาขบคิดจนอดมองดูบาดแผลดังกล่าวไม่ได้
มันคงเหมือนแผลในใจเธอกับเขา ที่ยิ่งนานวันก็ยิ่งลุกลามขึ้นทุกที...

พสุธเห็นอีกคนยังไม่เดินตามมาก็หันหลังกลับไปดู
นึกขึ้นมาได้ว่าเท้าเธอยังเจ็บอยู่ และสีหน้าของชายหนุ่มถึงกับถอดสี
เมื่อเห็นหญิงสาวนั่งร้องไห้กระซิกเบาๆน้ำตาไหลอาบแก้มตรงโคนต้นมะลิ
โดยมือยังกุมเท้าเอาไว้แน่น…ด้วยความปวดหนึบ...

พสุธคุกเข่าลงข้างๆแล้วยกร่างนั้นขึ้นอุ้ม

“ฉันขอโทษ…ขอโทษนะ…”เสียงขอโทษและแววตาเสียใจนั้น
ทำให้พันทิวาถึงกับหลุบตาต่ำ ก่อนจะนึกขึ้นได้

“ดอกมะลินั่น…”หญิงสาวชี้ไปยังตะกร้าดอกมะลิที่วางอยู่บนพื้น
พสุธส่ายหน้านิดนึงก่อนจะหย่อนเข่่าลงหยิบตะกร้านั้นขึ้นมา
พันทิวาจึงรับมาถือเอาไว้…

“จะมีสักวันไหมที่ฉันกลับมาแล้วพบว่าเธอไม่พาเท้ามาเดินซุกซนจนได้เรื่องแบบนี้…”

เสียงดุๆนั้นทำให้พันทิวาถึงกับเบ้ปาก เถียงออกไปข้างๆคูๆว่า

“ก็ฉันเบื่อ ฉันเซ็งเป็นเหมือนกันนี่ ไม่ใช่นายนี่ ที่พาหน้าผากแตกๆไปอวดสาวๆที่ทำงานได้ทุกวัน…
ไม่เห็นฉันจะบ่นสักคำ…”พสุธถึงกับอมยิ้มที่ได้ยินถ้อยคำนั้นของคนที่กำลังอุ้มอยู่

“อยากไปเที่ยวมั้ยล่ะ เดี๋ยวฉันพาไป…”พันทิวาไม่ตอบ นอกจากเสหน้าไปทางอื่น…
ลอบยิ้มอยู่ในใจไม่ให้อีกฝ่ายได้รู้แผนการของเธอกับพี่เพลิงที่วางเอาไว้ก่อนหน้านี้…

“แต่คงต้องรอให้เท้าของเธอหายก่อน…”

“และคงต้องรอให้หน้าผากของนายหายก่อนด้วยใช่มั้ย…”พันทิวาต่อให้
จนคนฟังแอบขำกับน้ำเสียงและสีหน้างอๆของคนพูด…

“อยู่ๆก็นึกหึงสาวๆที่ทำงานขึ้นมารึไง…”พันทิวาถึงกับถลึงตาใส่คนพูดทันทีที่เขาพูดจบ

“อะไร…ใครหึง…”

“ก็เธอนั่นแหล่ะ…เห็นๆอยู่ว่าหึง…”

“ฉันไม่ได้หึง…ก็แค่พูดไปตามที่ตาเห็น…”

“แสดงว่านั่งทางในได้ด้วย…สุโค่ยน่า…”พสุธกระเซ้าพันทิวาอย่างนึกสนุก

“ถึงไม่มีตาทิพย์ แต่เพราะตาใจของฉันนี่แหล่ะที่ทำให้เห็น
ว่าผู้ชายเจ้าชู้อย่างนายมีกิจวัตรประจำวันคืออะไรบ้าง…”
พสุธอมยิ้มกับคำพูดนั้นอย่างปิดไม่มิด

“อะไรบ้างล่ะ อยากรู้จริงๆว่าจะใช่อย่างที่ฉันเป็นรึเปล่า…”

“อย่าให้พูด…”หญิงสาวเบ้ปากราวกับไม่สบอารมณ์จะพูดด้วย

“ที่ไม่พูดเพราะเขินมากกว่าล่ะมั้ง เพราะกิจวัตรของฉันแต่ละวัน
ไม่เห็นจะมีอะไรนอกจากนอนกอดเมียก่อนตื่นไปทำงาน
พอเลิกงานก็กลับมาหาเมีย แล้วก็ทำการบ้านก่อน…”

ไม่ทันพูดจบก็โดนฝ่ามืออรหันต์ของเมียปิดปากเสียหนักมือ…

“พูดมากจริง…”พสุธหัวเราะฮึๆในลำคอก่อนจะจูบฝ่ามือที่ปิดปากของเขาเล่น…
พันทิวาสะบัดมือออกทันทีราวกับโดนของร้อน

พสุธจึงหัวเราะร่วนกับสีหน้าท่าทางของคนในอ้อมกอด
ทำให้คนที่เขาเดินผ่านหน้าไปถึงกับอมยิ้มกับภาพนั้นของทั้งสอง

“ว่าแต่ทำไมถึงได้นึกเก็บดอกมะลิขึ้นมา ร้อยวันพันปีไม่เห็นจะชอบกลิ่นของมันสักเท่าไหร่นี่…”
พสุธทักขึ้นเมื่ออุ้มหญิงสาวมาวางไว้บนเตียงโดยสวัสดิภาพอย่างเคยเสร็จ

พันทิวามองดอกมะลิในตะกร้าก็ให้ฉงนสงสัยตัวเองขึ้นมาเหมือนกัน
ปกติเธอไม่ค่อยหวั่นไหวกับความสวยงามของพวกดอกมงดอกไม้กับเขาสักเท่าไหร่
แต่อยู่ๆกลับนึกพิศวาสดอกไม้พวกนี้ขึ้นมาได้…หรือว่า…

หญิงสาวยกมือขึ้นแตะตรงหน้าท้องทันที…
พสุธมองสีหน้าท่าทางนั้นอย่างงงๆ…แล้วอดถามออกไปไม่ได้ว่า

“ไม่มีข่าวดีมาบอกฉันบ้างเหรอ นี่ก็หลายเดือนแล้วนะที่เราแต่งงานกันมา”

พันทิวาถึงกับหน้าแดงที่เจอคำถามแบบโจ่งแจ้ง ตรงๆแบบขวานผ่าซากขนาดนั้นของเขา…

“เอ่อ…ยังหรอก…”

“ก็ดี…เธอจะได้ติดแหง็กอยู่กับฉันไปอีกนานแสนนานไง…เธอคงไม่ชอบสักเท่าไหร่
แต่สำหรับฉัน ยังไงก็ได้อยู่แล้ว…”พูดเสร็จก็หอมแก้มหญิงสาวฟอดใหญ่
พันทิวาหลบหลีกเมื่อเขาพยายามจะทำมากกว่านั้น…

“วันนี้ฉันไม่สะดวก เป็นวันนั้นของเดือนน่ะ…”หญิงสาดปดคำโต…
พสุธจึงเพียงแค่กอดเธอเอาไว้นิ่งอย่างนั้นก่อนจะนึกขึ้นได้
จึงลุกขึ้นไปหยิบอุปกรณ์ทำแผล…แล้วจับเท้าของหญิงสาวมากุมไว้
เพื่อสำรวจดูบาดแผล ก่อนจะเริ่มแกะผ้าพันแผลนั่นออกแล้วล้างแผลให้พันทิวาอย่างเบามือ

หญิงสาวมองการกระทำนั้นของเขาอย่างเพลิดเพลิน
ก่อนจะกัดฟันข่มความเจ็บจี๊ดๆ พสุธจึงช้อนตาขึ้นมองคนเจ็บนิดนึง
ก่อนจะก้มกลับลงไปเพื่อพันผ้าพันแผลต่อ…

“ดูเธอมีความสุขเวลาอยู่กับพี่เพลิงนะ บอกฉันได้มั้ยว่าพี่เพลิงทำยังไง
ทำไมเธอถึงหัวเราะยิ้มได้ แถมยังร้องเพลงได้ไม่อายผีเสื้อ…”

พันทิวาถึงกับค้อนให้กับประโยคสุดท้ายของคนถามที่ยังคงวุ่นอยู่กับบาดแผลของเธอ
ก่อนจะตอบออกไปตรงๆว่า…

“ก็ไม่เห็นจะทำอะไร นอกจากชวนฉันไปมองอะไรสวยๆงามๆ
ไม่หาเรื่องทะเลาะกับฉัน ไม่ทำให้ฉันร้องไห้ ไม่ทำให้ฉันเสียใจ
เข้าใจฉัน และก็เอาใจฉัน ชวนไปโน่นไปนี่ พยายามมองหาสถานที่ดีๆ
ให้ฉันไปพักผ่อนคลายเครียด แก้เซ็งก็เท่านั้น…”

“ซึ่งฉันไม่เคยทำได้แบบนั้นเลยใช่มั้ย…”พสุธต่อให้อย่างหมั่นไส้คนพูด
ที่ดูจะชื่นชมพ่ีชายของเขาเสียออกนอกหน้า…

“นายถามฉัน ฉันก็ตอบไปตรงๆ ถ้าไม่อยากได้ยินคำตอบแบบนี้
นายก็ไม่ควรถามคำถามแนวนี้กับฉันนี่…”พสุธกระตุกยิ้มที่มุมปากนิดนึง
เมื่อคิดอะไรออก…

“เมื่อเช้าพี่ลมโทรมาชวนให้ฉันพาเธอไปฮันนีมูนที่สวนปักษาวายุของพี่เค้า
เที่ยวฟรี พักฟรี กินฟรี เธอจะว่าไง…”พันทิวาถึงกับตกใจตาค้างในสิ่งที่ได้ยิน
ทำไมเรื่องมันถึงบังเอิญได้ขนาดนี้…

“จะมาฮันนีมูนอะไรกันตอนนี้…ทีก่อนหน้านี้ไม่เห็นชวน…”
พสุธยิ้มให้กับท่าทางงอนๆของหญิงสาวที่นานปีจะมีมาให้เห็นสักครั้ง

“จะเมื่อไหร่ตอนไหน ก็ฮันนีมูนได้ทั้งนั้นแหล่ะน่า…สนใจจะไปมั้ย
สัปดาห์หน้าฉันว่างพอดี…”พสุธเลิกคิ้วถาม

“พาพี่เพลิงไปด้วยสิ…”คนฟังเลิกคิ้วนิดนึง ก่อนจะยิ้มแล้วตอบว่า

“จะพาไปทำไม เกะกะออก…”

“ไม่เห็นจะเกะกะตรงไหน ฉันจะชวนพี่ตามไปด้วย แล้วก็จะชวนพี่รัก
ชวนเจ้าแฝด และก็ชวนที่บ้านไปด้วย…”

“โอ้โห…นี่เธอกะจะขนกันไปทั้งลำเลยเหรอ…ไม่กลัวเรือแตกรึไง…”

“ถ้านายไม่โอเค ฉันก็ไม่เซย์เยส…อยากไปก็ไปคนเดียวก็แล้วกัน
ไปกับนายตามลำพังวังเวงจะตาย…”พันทิวาตีหน้าตาย

“แล้วมีคู่ฮันนีมูนที่ไหนเขาขนคนไปเป็นก้างมากมายอย่างเธอบ้างล่ะ”

“ก็คู่ของนายกับฉันไง…”พสุธยกมือกุมขมับทันทีเมื่อสิ้นคำพูดนั้น
ก่อนจะเก็บอุปกรณ์ทำแผลเข้าที่…

“ถ้าไปคราวนี้ ไม่มีลูกมาฝากฉัน เธอแย่แน่ๆพันทิวา…”เสียงคาดโทษนั้น
มิได้ทำให้พันทิวารู้สึกรู้สาอะไร…

“อยากได้ลูกมากเลยรึไง…”พันทิวาถามออกไปด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนิดๆ

พสุธจึงเดินกลับมาหลังจากนำอุปกรณ์ไปเก็บเรียบร้อยแล้ว
ก่อนจะนั่งลงตรวจดูบาดแผลที่ฝ่าเท้าของพันทิวาให้แน่ใจอีกรอบพลางตอบไปว่า

“อยากได้สิ…อิจฉาพี่รักกับพี่เหยี่ยวจะแย่ มีลูกทีเดียวได้ถึงสองคน…
ที่เขาเรียกทูอินวันไง…แถมน่ารักน่่ากอดอีก…อยากมีแบบนั้นบ้าง…”
ว่าแล้วพสุธก็ช้อนตาขึ้นมองภรรยาของตนแล้วกล่าวอีกว่า

“เธอช่วยฉันหน่อยนะ…แมงมุมนะ…”แววตาขี้อ้อนของเขาทำเอาพันทิวา
ถึงกับหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย…

“ช่วยยังไงได้เล่า…”

“ก็แค่เต็มใจ ไม่ใช่ฝืนใจ…จะได้ไหม…”พันทิวากัดปากตัวเอง
จนแทบจะพูดออกไปด้วยความโกรธแล้วว่า

ถ้าที่ผ่านมาเธอไม่เต็มใจ มีหรือเธอจะยอมเขา…

แต่เพราะความกระดากอาย เธอจึงเลือกที่จะเงียบ…

และเพราะความเงียบ จึงทำให้คนฟังลุกขึ้นมานั่งลงข้างๆภรรยาสาว

“ฉันรู้ว่าคงยากที่จะขอให้เธอหันมารักฉัน…ฉันคงไม่ขอเธอมากเกินไป
ถ้าจะขอให้เธอมีลูกให้ฉันเพื่อเป็นตัวแทนความรักที่ฉันมีต่อเธอ…
ถึงเธอจะไม่รักฉัน…ถึงเธอจะไม่…”พันทิวายกนิ้วปิดปากนั้นเอาไว้
พลางส่ายหน้าไปมา แล้วเปลี่ยนเป็นยกสองมือขึ้นประคอง
คางสากๆนั่นเอาไว้ก่อนจะจุมพิตริมฝีปากชายหนุ่มเบาๆ…

พสุธออกจะแปลกใจกับสัมผัสนั่นที่เธอมอบให้กับเขา…
หากก็รู้สึกดีจนอดใจที่จะตอบรับสัมผัสนั้นไม่ได้…

“เป็นวันนั้นของเดือนไม่ใช่เหรอ…”พสุธถามขึ้นเมื่อเริ่มยั้งใจเอาไว้ไม่อยู่
พันทิวาส่ายหน้า

“ฉันโกหกนาย…”เท่านั้นพสุธก็เหมือนเห็นสัญญาณไฟเขียวอยู่ตรงหน้า
จึงไม่รอรีอีกต่อไป…

“ฉันรักเธอ…แมงมุม…”พสุธกล่าวขึ้นขณะยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนใบหน้าให้ภรรยาสาว
ก่อนจะจุมพิตหนักๆตรงหน้าผากมนนั่นด้วยความรักใคร่เสน่หา

…ถึงจะรู้ว่าเธอมีพี่ชายของเขาอยู่เต็มหัวใจ

สิ่งที่เธอทำกับเขามันดูรุนแรง เหมือนแกล้งรักให้เขาสับสน
แต่ที่ยอมให้เธอก็เพราะรักและต้องการให้เธออยู่กับเขาเรื่อยไปอย่างนี้

และคงทำใจไม่ได้ที่จะยอมให้เธอจากไปจริงๆ จึงพยายามหาหนทางรั้งเธอเอาไว้
แม้จะเจ็บปวดทุกครั้งที่รู้ว่าเธอรักคนอื่นไม่ใช่เขา

แต่เขาก็เต็มใจที่จะอดทน ทั้งๆที่ไม่เคยยอมให้ใครมากมายขนาดนี้มาก่อน
ก็เพราะรักเธอทั้งหัวใจ อะไรก็ยอมได้ทั้งนั้น…

“บางครั้ง…ฉันรู้สึกเหมือนเธอเองก็มีใจให้ฉัน…
ในขณะที่บางครั้ง…เธอก็ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนไร้ตัวตน…

บอกฉันได้มั้ย…ว่าเธอรู้สึกยังไงกับฉันกันแน่…”

พสุธเปรยออกมาในขณะที่เอามือก่ายหน้าผากมองเพดานห้องนิ่ง

ความสุขที่เธอมอบให้กับเขาเมื่อครู่นี้มันไม่ใช่ความฝันแต่เป็นความจริง…
เธอทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความรัก…หากเขาไม่แน่ใจว่ามันจะใช่ความรักจริงๆรึเปล่า

…เธออาจจะแกล้งหลอกเขาให้ตายใจเล่นก็ได้…

“ถ้าฉันมีลูกชายให้นาย…นายจะปล่อยฉันเป็นอิสระจริงๆรึเปล่า…”

พันทิวาเลือกที่จะถามอีกฝ่ายแทนด้วยสีหน้าและน้ำเสียงราบเรียบ
ยากที่ใครจะล่วงรู้ความคิดข้างในนั้นได้…พสุธตะแคงข้างมองหน้า
พันทิวาที่กำลังนอนจ้องเพดานห้องนิ่ง…ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างฝืดๆ

“เธออยากเป็นอิสระจากฉันมากถึงขนาดยอมปรนเปรอฉัน
แกล้งทำเป็นว่ารักฉัน เธอยอมทำเพื่ออิสรภาพได้ขนาดนี้เลยเหรอ…”

พสุธกล่าวพลางลุกขึ้นหยิบเสื้อผ้าบนพื้นยัดใส่ตะกร้า
แล้วคว้าเสื้อคลุมอาบน้ำขึ้นสวมใส่ มองแผ่นหลังของคนบนเตียงนิ่ง

“หรือเป็นเพราะเธอเห็นใจฉัน ที่อยากมีลูกกับเธอ

สำหรับเธอ ฉันคงเป็นได้แค่นี้ เป็นแค่เศษดินที่น่ารำคาญ…
และน่ารังเกียจสินะ…แต่ต่อให้เธอจะรังเกียจฉันแค่ไหน
เธอก็ไม่มีวันสลัดฉันออกไปจากชีวิตเธอได้หรอก…

เพราะฉันจะเกาะติดเธอไปทุกที่ คอยรังควานเธออยู่อย่างนี้…
จนกว่าเธอจะให้ในสิ่งที่ฉันต้องการ…”พูดจบพสุธก็เดินหุนหันเข้าห้องน้ำไป

พันทิวาได้แต่ลอบถอนใจครั้งแล้วครั้งเล่า

เธอกับเขาคงจะพูดดีๆกันได้ไม่เกินห้านาที…ไม่รู้เป็นเพราะเธอพูดไม่เป็น
หรือเป็นเพราะเขาไม่เคยเข้าใจในสิ่งที่เธอพูดกันแน่…

ถึงได้ตีความกันไปคนละทิศคนละทางอย่างที่เป็นอยู่อย่างนี้…

ไม่ใช่เขาเท่่านั้นที่เหนื่อย เธอเองก็เหนื่อยเหมือนกัน…
เหนื่อยจนอยากกลับไปใช้ชีวิตแบบสาวโสดอีกครั้ง…
ที่วันๆไม่ต้องมานั่งปวดหัวกับเรื่องราวความรักความใคร่
มีอะไรให้สนุกสนานเฮฮาได้เรื่อยๆ…อยากไปไหนทำอะไรก็ดูเบาตัว สะดวกไปหมด…
เพราะไร้พันธะผูกพันกับใคร…

แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่ออะไรๆมันไม่ได้เหมือนเดิมอีกแล้ว
และตอนนี้ก็มีสิ่งแปลกใหม่ที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อนกำลังก่อกำเนิดขึ้นในครรภ์ของเธอ…

และคนที่พันทิวานึกถึงมากที่สุดในยามนี้คือ มารดา…





หลังจากวันนั้นพันทิวาก็หอบผ้าหอบผ่อนไปนอนบ้านบิดามารดาที่สุพรรณบุรี
พสุธก็ไม่ยอมมาตามภรรยากลับเรือน ร้อนจนคนเป็นพ่อเป็นแม่ทนไม่ไหว…

“แม่ว่ามีอะไรก็น่าจะคุยกันนะเจ้ามุม เล่นหอบผ้าหอบผ่อนหนีมาอย่างนี้ ไม่ดีเลย…”
แม่ตำลึงบอกกับลูกสาวอย่างกังวล

“มุมไม่ได้หนีมานะแม่ แค่จะหาที่พักที่ไม่มีคนคอยหาเรื่องทะเลาะสักวันสองวันก็เท่านั้นเอง…
แม่ไม่รู้หรอกว่านายดินทรายน่ะชอบหาเรื่องมาทะเลาะกับมุมอยู่เรื่อย
มุมหมดความอดทนจะฟังเขาพูดจาหาเรื่องจะแย่อยู่แล้ว…”

พันทิวาบ่นออกมาอย่างหงุดหงิด
ไม่รู้เป็นเพราะกำลังท้องกำลังไส้จึงอารมณ์แปรปรวนง่าย
หรือเป็นเพราะไม่ได้ดั่งใจที่อีกคนทำเหมือนไม่สนใจตนกันแน่…

“แกก็ยัดกำปั้นเข้าปากมันสักดุ้นสองดุ้น เดี๋ยวก็เลิกหาเรื่องไปเองแหล่ะ”

คนเป็นพ่อไม่รู้จะพูดอะไรให้ลูกสาวเย็นลง เพราะเอาน้ำเย็นเข้าลูบก็แล้วก็ไม่เป็นผล

สามวันแล้วที่เห็นลูกสาวนั่งถอนหายใจ
เดินถอนหายใจ แล้วก็นอนถอนหายใจรดหัวชาวบ้านเขา…

“หาเรื่องยุให้ผัวเมียเขาทะเลาะกันเข้าไป”

“ดีสิ…โบราณเขาว่า ยิ่งทะเลาะกันลูกยิ่งดก แม่ตำลึงไม่เคยได้ยินรึ”

“ได้แท้งลูกล่ะสิไม่ว่า…”มาถึงตรงนี้พันทิวาถึงกับเอามือแตะตรงหน้าท้อง
ด้วยสัญชาตญาณความเป็นแม่ทันที แม่ตำลึงหันมาเห็นภาพนั้นเข้า
ถึงกับขมวดคิ้วสงสัย…และเมื่ออยู่กันตามลำพังสองแม่ลูก
ผู้เป็นแม่จึงไม่ลืมที่จะถามในสิ่งที่สงสัย…

“แกท้องใช่มั้ยเจ้ามุม…”พันทิวาหันมามองหน้ามารดาด้วยแววตาตกใจ

“แม่รู้?”

“ฉันเป็นแม่แก และก็เป็นแม่คน…ทำไมฉันจะไม่รู้…
แกดูจะระวังกว่าปกติ แถมหน้าตาก็ดูผ่องขึ้น มีน้ำมีนวลขึ้นผิดหูผิดตา
สรีระต่างๆที่เห็นมันบ่งบอกชัดๆว่าแกกำลังท้อง…บอกมาว่ากี่เดือนแล้ว”
พันทิวาถอนใจหนัก…ตอบเสียงเบาๆออกไปว่า

“สอง…”

“สองเดือน…แสดงว่ามันก็มีน้ำยากับเขาเหมือนกัน…”

“แม่!!!”พันทิวาค้อนมารดาด้วยสีหน้าแดงจัด…

“ทำมาเขิน จะเป็นแม่คนอยู่แล้ว ยังทำตัวเหมือนเด็กไม่มีผิด
แกควรจะกลับไปปรับความเข้าใจกับพ่อเด็กให้รู้เรื่อง…

เขาไม่มารับเราก็กลับเองได้ มาเองกลับเอง ไม่ต้องง้อใคร แม่ว่าเท่ออก…
อย่าบอกนะว่าพ่อเด็กยังไม่รู้เรื่องนี้”

พันทิวาเสมองไปทางด้านอื่นทันที เมื่อเจอเข้ากับคำถามนี้…

“จะกลัวอะไร บอกเขาไปเลยว่าแกกำลังจะมีลูกกับเขา…”

“แม่ไม่เข้าใจมุมหรอก…ยังไงมุมก็ไม่บอกอีตานั่นหรอก…”

“วันนี้แกไม่บอก แต่แกคิดเหรอว่าอีกสองเดือนข้างหน้า
หน้าท้องแกจะไม่ฟ้องให้พ่อเด็กรู้…”

“ถ้าอยากโง่นัก ก็ปล่อยให้รออีกสองเดือนมันนั่นแหล่ะ…
เห็นกินข้าวทุกวัน ทำไมถึงไม่ฉลาดขึ้นบ้างก็ไม่รู้สิแม่…
ทีเรื่องอื่นล่ะเจ้าเล่ห์นัก…กะอีแค่เรื่องง่ายๆกลับมองไม่ออก…
ปล่อยให้ไถนาต่อไปอย่างนั้นแหล่ะแม่…”พันทิวาต่อว่าต่อขาน
ไปถึงอีกคนด้วยสีหน้าเจ็บใจ…

“สรุปว่า แกจะไม่ยอมบอกพ่อเด็ก…ก็ดี…งั้นแม่จะโทรไปบอกเอง”

“ไม่นะแม่…”พันทิวารีบคว้าข้อมือของมารดาเอาไว้ด้วยแววตาอ้อนวอน

“อย่านะแม่…ปล่อยให้เขารู้เอง…มุมอยากรู้ว่าเขาฉลาดพอที่จะเป็นพ่อของลูกมุมรึเปล่า…”
คนเป็นแม่ได้ฟังเหตุผลของลูกสาว
ถึงกับหัวเราะพลางส่ายหน้าไหวๆ…

“แม่ไม่ได้รำคาญที่แกมาอยู่ด้วยนะเจ้ามุม
แต่แกควรจะกลับไปหาพ่อเด็กได้แล้ว
ผัวเมียกัน ไม่ควรโกรธกันเกินสามวัน มันไม่ดี…
และที่สำคัญ เขาไม่ให้นอนหันหลังให้กันรู้มั้ย มันบาป…”

คนเป็นแม่แตะมือลงบนบ่าของลูกสาวแล้วลูบเบาๆ
พันทิวามองมารดาที่พูดราวกับตาเห็นนิ่ง…

“โดยเฉพาะคนเป็นเมีย ไม่ควรเลยที่จะนอนหันหลังให้สามี
เราควรจะรักและเคารพเขา เชื่อฟังเขา…คอยอยู่ดูแลเอาใจใส่เขา
หนักนิดเบาหน่อยก็พยายามอดทนและให้อภัยกัน
ถ้าไม่แล้ว บ้านก็ไม่เป็นบ้านอีกต่อไป แม่ไม่อยากให้ครอบครัวของแกต้องพังลง…
เพราะแม่เชื่อว่าเขารักลูกสาวของแม่
และแกเองก็คงรักเขาอยู่เหมือนกันแหล่ะ ไม่อย่างนั้น
คงไม่ยอมมีลูกกับอีตานั่นของแกหรอก จริงมั้ย…

ผู้หญิงเราน่ะ ไม่รักผัวตัวเอง แล้วจะไปรักผัวใคร แกว่ามั้ยเจ้ามุม”

พันทิวาถึงกับหน้าแดงก่ำเมื่อมารดาพูดคำว่าผัวเมียเสียชัดถ้อยชัดคำ

ย้ำกันจริงๆกับสองคำนี้…

“ขอให้จริงเถอะแม่ มุมเห็นมาเยอะแล้วที่ไปแย่งสามีชาวบ้านเขา
ถ้าไม่รักสามีชาวบ้านเขา ก็คงไม่แย่งหรอก…”คนเป็นลูกไม่วาย
แย้งมารดาด้วยรอยยิ้มยียวน…

“งั้นถ้าแกรักผัวแก แกก็ระวังเอาไว้บ้าง เดี๋ยวจะโดนแย่งไป…
แม่ไม่ได้ขู่นะ แต่นายดินทรายอะไรนั่นของแก
หน้าตาก็หล่อเหลาเอาการอยู่ ทรัพย์สมบัติก็มีมากมาย…
ผู้ชายแบบนี้แหล่ะที่สาวๆอยากได้…มีของดีอยู่ในมือแล้ว ถ้าดูแลไม่ได้ ปล่อยให้หลุดมือไปอีก…
แกนั่นแหล่ะที่จะต้องไถนากินหญ้าแทนข้าวซะเอง…”

พันทิวาค้อนคนเป็นแม่ไปหลายวง เพราะไม่ว่าเธอจะพูดอย่างไร แม่ก็เข้าข้างนายนั่นทุกที
ไม่รู้นายนั่นไปทำอะไรเข้าให้ จากที่คุณแม่ไม่ปลื้มกลับให้ท้ายแทน…

“ไปหาพ่อดีกว่า แถวนี้มีแต่คนเข้าข้างอีตานั่น…”




พันทิวาลุกหนีลงเรือนไปยังค่ายมวยทันที ทิ้งให้คนเป็นแม่
นั่งส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยใจ…

การเลี้ยงลูกให้โตไม่ใช่เรื่องง่าย…

โตแค่กาย…ให้ข้าวให้น้ำทุกวันก็เห็นผล
แต่ความคิดนี่สิ…ไม่รู้ต้องป้อนให้อีกสักเท่าไหร่ถึงจะโตเห็นผล…

เพราะเท่าที่ดู ลูกสาวของหล่อนยังไม่โตเท่าไหร่เลย
ทั้งๆที่เนื้อตัวก็ไม่ใช่เด็กๆแล้ว…แถมอีกไม่นานก็จะกลายเป็นแม่คนอยู่รอมร่อ

…หล่อนมิต้องอบรมเลี้ยงดูลูกไปพร้อมๆกับหลานหรือนี่






“แกไม่คิดที่จะไปตามเมียแกกลับบ้านบ้างรึไงเจ้าดิน…
นี่เขาหายไปหลายวันแล้วนะ…”ตะวันทักทายน้องชาย
ตอนที่เดินขึ้นเรือนมา หลังจากที่หายหน้าหายตาไปหลายวัน
ไม่ยอมกลับบ้านกลับช่อง…

“ไปเองได้ เดี๋ยวก็กลับมาเองได้แหล่ะพี่…ผมไม่ได้ไล่เขาไปสักหน่อย”

“วะ…ไอ้นี่…”ตะวันถึงกับกระชากเสียงใส่น้องชายด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์นัก
กับคำพูดของน้องชายเมื่อครู่…

“ปากแกอย่างนี้น่ะสิ แมงมุมถึงทนฟังไม่ได้…”

“ปากผมก็เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร…ใครจะปากหวานช่างเอาใจอย่างพี่ล่ะ”
พสุธย้อนเสียงขุ่น

“เมื่อก่อนแกจะทำอะไร นอนกับใครฉันไม่ว่า เพราะแกยังไม่แต่งงาน
แต่ตอนนี้แกมีเมียแล้ว แกก็ควรจะเอาใจใส่ความรู้สึกของเขาบ้าง…
ฉันไม่เชื่อหรอกว่าแกจะเลิกนิสัยเดิมๆของแกได้…”

ตะวันเตือนน้องชาย หากอีกฝ่ายกลับตีสีหน้าไม่พอใจเมื่อโดนแทงใจดำเข้าอย่างจัง…

“พี่ไม่เข้าใจหรอกว่าผมต้องเผชิญอยู่กับอะไร…ถ้าผมกลับไปแก้ไขอดีตได้
ผมคงไม่แต่งงานกับเธอ…คงปล่อยตัวเองให้เป็นโสดต่อไป ไม่ต้องเหนื่อยใจอย่างนี้…”
ตะวันลอบถอนใจมองหน้าน้องชายนิ้ง

“แล้วแกกลับไปแก้ได้รึเปล่า คนเราเรียนผูกก็ต้องเรียนแก้เอง…
ฉันไม่เห็นว่าแมงมุมเขาจะเลวร้ายตรงไหน ดีและมีความคิดกว่าผู้หญิงหลายๆคนที่แกคบอยู่ด้วยซ้ำ

ถ้าแกปล่อยผู้หญิงคนนี้ให้หลุดมือไปได้ แกนั่นแหล่ะที่จะต้องเสียใจ…
ชีวิตที่ไม่มีจุดหมายปลายทาง ลอยไปลอยมาน่ะมันไม่ได้น่่าพิศวาสนักหรอก…

ถ้าแกอยากกลับไปใช้ชีวิตแบบนั้น ฉันก็ขอเตือนแกว่า
สุดท้ายแกจะไม่เหลือความภูมิใจอะไรในชีวิต…

มองพี่สาวแกสิ เขามีลูกๆให้ช่ืนชม ให้ภาคภูมิใจ แล้วแกดูฉันสิ
อยู่มาจนอายุปูนนี้แล้วมีอะไรบ้าง…ที่ฉันต้องการสร้างครอบครัว
ก็เพียงเพื่อต้องการที่พักพิง…ต้องการทำอะไรเพื่อลูกเพื่อเมีย

เพราะนั่นมันคือความภาคภูมิใจ หรือแกไม่เคยต้องการสิ่งนี้…
ถึงได้อยากกลับไปใช้ชีวิตแบบเก่า…”

คำถามนั้นทำให้อีกฝ่ายนิ่งคิดตามก่อนจะถอนใจออกมา…

“ผมรักเขานะพี่เพลิง…รักมากซะด้วย…แต่ดูเหมือนเขาไม่ได้รักผมเลย…
รักข้างเดียวมันเหนื่อยรู้มั้ยพี่…”

“แกมองยังไงถึงได้คิดว่าเขาไม่ได้รักแกเลย…ถ้าเขาไม่รักแก
เขาจะยอมอยู่กับแก ยอมมี…”ตะวันเกือบหลุดคำว่า ลูก ออกไปแล้ว

“ยอมมีอะไรพี่เพลิง…”พสุธเลิกคิ้วถาม คาดคั้นเอาคำตอบ
หากตะวันกลับส่ายหน้า…

“ช่่างเถอะ…ไม่มีอะไรหรอก…แกไปนอนเถอะ…”

คนเป็นพี่ไล่น้องชายให้ไปนอนเสีย…เพราะรู้ได้ทันทีว่าพันทิวา
ยังมิได้บอกเรื่องลูกให้น้องชายของเขารู้ เขาก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร
แต่การปล่อยให้ทั้งสองเคลียร์กันมันคงจะดีกว่า…

“แล้วพรุ่งนี้อย่าลืมไปรับเธอกลับมาด้วยล่ะ…”ตะวันสั่งเสียงเข้มตามหลังน้องชายไป
หากพสุธกลับนิ่งเฉย…ตอบกลับไปว่า

“เขาอยู่ที่ไหนแล้วสบายใจ ก็ให้เขาอยู่ไป…ผมไม่อยากไปบังคับใจเขาอย่างที่แล้วมาอีก…”

ตะวันได้แต่ส่ายหน้าไหวๆด้วยสีหน้าหนักใจ
ก่อนจะพึมพำออกมาคนเดียวว่า

“จะเป็นพ่อคนอยู่แล้วแท้ๆ…”





“อ้าวเจ้าแฝด มาทำอะไรที่ห้องน้าดินนี่…”พสุธแปลกใจที่อยู่ๆ
ก็เห็นหลานแฝดของเขากำลังนั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่บนเตียงนอนในห้องของเขา
และเมื่อได้ยินเสียงของน้าชาย ทั้งสองก็รีบลุกกระโดดจากเตียงวิ่งมาหาน้าชายเกาะแข้งเกาะขาทันที

“น้าดินไปพาน้ามุมกลับมานะคะ…ปายคิดถึง…”

“นะครับน้าดิน ต้นกับน้องปายไม่เห็นน้ามุมมาหลายวันแล้ว
แม่จังบอกว่าน้ามุมกลับบ้าน…น้าดินไปตามน้ามุมกลับมานะครับ…
ไม่มีน้ามุม บ้านเราเหง้าเหงา…”ทั้งหลานชายและหลานสาวของเขา
ต่่างส่งสายตาอ้อนวอนจนคนเป็นน้าต้องนั่งคุกเข่ากอดทั้งสองเอาไว้
แล้วตอบว่า

“เมื่อก่อนตอนไม่มีน้ามุม ไม่เห็นเราสองคนจะบ่นว่าบ้านเหง้าเหงานี่”

“เมื่อก่อนกับตอนนี้มันไม่เหมือนกันนี่ครับ…”เด็กชายต้นหนาวแย้ง

“น้าดินพาเราสองคนไปด้วยนะคะ เราสองคนจะไปหาพี่พะยูนด้วย
พรุ่งนี้วันเสาร์ โรงเรียนหยุด…”พสุธอมยิ้มกับแผนการของหลานแฝด

“ปล่อยให้น้ามุมเขากอดแม่จนหายคิดถึง เดี๋ยวน้ามุมก็คงกลับมาเอง”

“แล้วถ้าน้ามุมไม่กลับมาล่ะคะ…”คำถามนั้นทำให้พสุธนิ่งไป…
เขาก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่า พันทิวาจะกลับมาที่นี่เองรึเปล่า
แต่จะให้เขาไปรับเธอกลับมา คงไม่ไหว เขาก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกัน

ที่สำคัญ เธอเลือกที่จะไปเอง




หลายวันจนเกือบสัปดาห์พันทิวายังคงอยู่กับบ้าน
ช่วยมารดาทำอาหารทั้งคาวหวานเลี้ยงคนในค่ายมวย

“เป็นผู้หญิงควรฝึกเอาไว้ ไหนๆแกก็จะเป็นแม่คนแล้ว
ต่อไปจะได้มีวิชาทำให้ลูกกิน ลูกจะได้ปลอดภัยจากอาหารที่ไม่ได้เรื่อง…”

“อาหารไม่ได้เรื่อง เป็นอาหารแบบไหนเหรอแม่…”
พันทิวาถามขึ้นขณะที่กำลังปั้นขนมลูกชุบเป็นรูปผลไม้และรูปสัตว์ต่างๆอยู่

“ก็อาหารที่ไม่ได้ให้ประโยชน์ไม่พอยังปนเปื้อนสารพิษอีกน่ะสิ
อย่างขนมลูกชุบนี่อย่างน้อยๆก็ทำจากถั่ว มีประโยชน์สำหรับเด็กๆ
หน้าตาก็น่าทาน สีที่เราใช้ผสมก็เป็นสีจากธรรมชาติไม่ใช่สีสังเคราะห์…
กรรมวิธีในการทำเราก็ทำอย่างดี สะอาด ปลอดภัย…ห่างไกลจากอาหารไม่ได้เรื่องเยอะ”

แม่ตำลึงของพันทิวาสาธยายไปพลาง
ก็ละลายแป้งเพื่อทำขนมครกสี่หน้าต่อจากลูกชุบไปพลาง…

“มาอยู่กับแม่หลายวัน ทำขนมได้ตั้งหลายชนิด แถมทำกับข้าวได้ด้วย
ถ้ามีลูก มุมคงขุนจนกลายเป็นลูกหมูแน่ๆ...”หญิงสาวพูดไปขำไป
วาดภาพของลูกเอาไว้ในใจแล้วยิ้มอยู่คนเดียวได้เป็นนานสองนาน
จนคนเป็นแม่นึกขำขึ้นมา…

“ถ้าแกขยันทำให้กินเหมือนที่แม่ทำให้แกกับพี่ยักษ์แกกิน
ลูกแกก็จะมีสุขภาพที่ดี เพราะสุขภาพที่ดีเริ่มจากอาหารการกิน
แกเห็นพ่อแกมั้ย แก่จนป่านนี้ยังมีแรงเตะกระสอบทรายได้อยู่เลย…”

“แล้วยังเตะปี๊บดังอีกรึเปล่่าแม่…”พันทิวาอดไม่ได้ที่จะกระเซ้ามารดา
จนจานบินผ่านข้ามหัวเธอไปอย่างหวุดหวิด…

“ปากหาเรื่องแล้วมั้ยแกไอ้มุม…”

“แม่นี่ดุไม่เคยเปลี่ยนเลย นี่ถ้ามุมหลบไปทัน หัวมุมไม่แบะผ่าออกเป็นสองซีกแล้วเหรอ…
ดีนะที่เป็นจานสแตนเลส ไม่งั้นแม่คงต้องเสียตังซื้อใหม่แหงมๆ”

“ก็ปากแกนี่น้า…ถามหน่อยเถอะ แกปากดีกับผัวแกแบบนี้รึเปล่า…”

“โหย…ปากมุมที่แม่ว่าแย่แล้ว ยังเทียบปากนายนั่นไม่ได้หรอกแม่
อย่างกับส้วมแตก…”พูดไปก็นึกถึงหน้าพสุธไป

“อย่าให้พูดถึงนะแม่ กำลังเคืองๆอยู่…”

“เคืองที่เขาไม่มาง้อล่ะสิ ก็บอกแล้วว่าให้กลับไปเอง…
ไม่รู้จะโกรธอะไรกันนักกันหนา ผู้หญิงน่ะงอนได้แต่พองาม…

วันนี้ก็ถือโอกาสกลับได้แล้ว เอาขนมพวกนี้กลับไปฝากเด็กๆด้วย
คงจะดีใจกันแหล่ะ เดี๋ยวจะให้เจ้ายักษ์พาไปส่ง เอาไอ้พะยูนไปด้วย
จะได้เป็นกันชนให้แกได้…”พันทิวาหน้างอทันทีที่เจอไม้นี้เข้า

“แม่ขอร้องล่ะเจ้ามุม แกอยู่ที่นี่ต่อก็ไม่มีอะไรดีขึ้น…”

“ดีสิแม่ มุมจะได้เรียนทำกับข้าวและขนมกับแม่ต่อไง…”

“ที่สอนไปน่ะก็เหลือแหล่แล้ว…”




สุุดท้ายพันทิวาก็ต้องหอบผ้าหอบผ่อนและหอบหิ้วขนมลูกชุบ
ฝีมือการปั้นของตนเองกับขนมครกสี่หน้าที่เธอหยอดลงรางอย่างตั้งอกตั้งใจมาด้วย

เด็กๆที่กำลังเล่นอยู่ตรงสนามหญ้าเห็นรถของพ่อพี่พะยูนก็จำได้
เลยวิ่งตื๋อเข้าไปหาก่อนจะร้องตะโกนดีใจ
เมื่อเห็นพันทิวายืนกางแขนรอรับทั้งสองอยู่…

“คิดถึงน้ามุมจังเลยค่ะ…”

“ต้นก็คิดถึง…”พันทิวายิ้มกว้าง

“น้ามุมทำขนมมาฝากด้วยนะ…”พันทิวาชูขนมในมือ
ก่อนจะพาเด็กๆกับหลานสาวเดินเข้าบ้านไป พยัคฆ์เดินตาม
ทั้งหมดเข้าไปพร้อมรอยยิ้มโล่งใจ…

“ฉันนึกว่าน้องสาวแกจะไม่ยอมกลับมาที่นี่ซะแล้ว…”
ตะวันทักทายเพื่อนสนิทด้วยรอยยิ้มโล่งใจ

“อย่างที่เห็น ยังไม่โตเท่าไหร่…ว่าแต่น้องชายแกล่ะหายหัวไปไหน”
ตะวันถึงกับหน้าเจื่อนเมื่อโดนย้อนเข้าให้บ้าง

“ยังไม่กลับบ้านเลย…”พยัคฆ์ลอบถอนใจ มองหน้าเพื่อนรัก
อย่างตะวันด้วยสีหน้าหนักใจ

“แกก็รู้ว่าน้องสาวฉันไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผล…หรืองอนได้ไม่เลือกเวลา
ไอ้มุมน่ะบทจะใจแข็ง ใครก็ทำให้อ่อนไม่ได้…”

“ฉันรู้…แล้วฉันจะเตือนเจ้าดินมันให้…”ทั้งสองจึงคุยกันพักใหญ่
ก่อนจะร่วมรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน…

“ขับรถกลับบ้านดีๆนะคะพี่ยักษ์…แล้วแวะมาหาอาบ้างนะพะยูน…”

พันทิวาหันไปลูบหัวหลานสาวอย่างรักใคร่เอ็นดู…

“อามุมก็เหมือนกันนะคะ…ดูแลตัวเองด้วย…”

“จ้า…”

“ไปนะน้องต้นน้องปาย…”เด็กหญิงพะยูนยกมือลาเจ้าแฝด

“แล้วมาอีกนะพี่พะยูน…”


เมื่อร่ำลากันเสร็จสรรพ พันทิวาก็จูงมือหลานแฝดของสามีขึ้นเรือนไป
อากิโกะกับฑยาวีย์ยืนรอรับลูกๆพาเข้านอน

“พี่พยายามโทรหาเจ้าดินแล้ว แต่โทรไม่ติด…”อากิโกะยิ้มเจื่อน
เธอเองก็สุดปัญญา เพราะน้องชายไม่กลับมานอนที่บ้านหลายคืนแล้ว
เจอหน้ากันก็แค่ที่บริษัทเท่านั้น และพอดีวันนี้เธอก็ไม่ได้เข้าบริษัทเสียด้วย
จึงไม่รู้ว่าน้องชายหายหัวไปไหน

“ราตรีสวัสดิ์นะคะ…”พันทิวาพูดได้แค่นั้น ก่อนจะขอตัวเข้าห้องไป

ขนมที่ตั้งใจจะแบ่งไว้ให้เขาทานคงเป็นหมันแน่ๆ…

มองดูหน้าปัดนาฬืกาก็ยังไม่ดึกมากนัก หญิงสาวจึงแต่งตัว
แล้วหยิบกุญแจรถและไม่ลืมควานหาคีย์การ์ดของคอนโดของพสุธ
ที่เขาเคยให้เธอเก็บไว้สำรองก่อนหน้านี้…

เพราะเวลาไม่สะดวกกลับบ้าน เขาก็มักจะไปนอนค้างอยู่ที่นั่น
มันใกล้ที่ทำงานและเดินทางไปไหนมาไหนสะดวก…

เธอเองยังไม่เคยไปที่นั่นหรอก…ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะอยู่ที่นั่นรึเปล่า…
แต่ด้วยความเป็นห่วง หญิงสาวจึงอดไม่ที่จะออกไปดูให้แน่ใจว่าเขาสบายดี
กลัวว่าจะแอบไปนอนซมเป็นไข้เหมือนเมื่อครั้งก่อนอีก

…ยังไงเขาก็เป็นพ่อของลูกในท้องของเธอ

“จะไปไหนเหรอแมงมุม นี่ก็ค่ำมืดแล้วนะ…”ตะวันทักขึ้นตรงหน้าห้อง
เมื่อเห็นพันทิวาเดินออกจากห้อง ทำท่าจะออกไปไหน

“เอ่อ…ออกไปข้างนอกค่ะพี่เพลิง…”

“ไปตามเจ้าดินเหรอ…อย่าเสียเวลาเลย เดี๋ยวมันก็คงกลับมาเอง…
เราเป็นผู้หญิง…มันอันตราย…”

“แต่มุมเกรงว่าเขาจะไม่สบายเหมือนครั้งก่อนน่ะค่ะ…”

พันทิวากล่าวออกไปตรงๆด้วยแววตาห่วงใย ตะวันลอบยิ้ม
กับกิริยาท่าทางและสีหน้ากังวลเป็นห่วงเป็นใยน้องชายของเขานั่น

“งั้นก็ขับรถระวังๆด้วยนะ…”

“ค่ะ…”พันทิวายิ้มกว้างแล้วรีบเดินไปยังเจ้าพาหนะที่จะพาเธอ
ไปยังคอนโดของพสุธ

ก่อนจะมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องอย่างชั่งใจ
ว่าจะเคาะเรียกดูหรือว่าจะรูดคีย์การ์ดเข้าไปเลย…

สุดท้ายพันทิวาก็เลือกที่จะรูดคีย์การ์ดเข้าไปโดยไม่เคาะประตู
เพราะเกรงว่าจะรบกวนคนข้างใน เพราะกว่าจะขับรถมาถึงนี่
ก็เกือบห้าทุ่มแล้ว เธอเกรงว่าเขาอาจจะหลับไปแล้วก็ได้…

ทว่า…พอเปิดประตูเข้าไป สิ่งที่ทำให้พันทิวาแปลกใจเป็นอันดับแรก
คือสภาพของห้อง ตั้งแต่หน้าประตูตลอดจนถึงห้องรับแขก
มีแต่รองเท้าและข้าวของถอดทิ้งไว้เกลื่อนกลาด ราวกับไม่ใส่ใจ

และหนึ่งในนั้นก็มีรองเท้าส้นสูงปรี๊ดสีชมพูรวมอยู่ด้วย

หัวใจของหญิงสาวหล่นไปกองอยู่ตรงตาตุ่ม…
แล้วอยู่ๆคำพูดของมารดาก็ผุดขึ้นมา…

‘ถ้าแกรักผัวแก แกก็ระวังเอาไว้บ้าง เดี๋ยวจะโดนแย่งไป…’

…นี่เขากำลังจะนอกใจเธอด้วยการมีผู้หญิงอื่นอย่างนั้นเหรอ…

พันทิวามือสั่นขณะจับลูกบิดประตูห้องนอนที่เปิดแง้มอยู่
เสียงที่เธอได้ยินดังออกมาจากในนั้นทำหัวใจเธอไหวยวบ
ไม่ต้องเข้าไปดูก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในนั้น…

หากคนหัวรั้นอย่างเธอที่เจออะไรก็ขอให้ได้เจอด้วยตัวเอง
ก็หน้าทนพอที่จะเข้าไปดูให้เห็นกับตา…

แล้วสิ่งแรกที่เธอสะดุดเมื่อย่างเท้าเข้าไปในห้องนอนก็คือ
บราเซียสีชมพูสีเดียวกับรองเท้าส้นสูงคู่นั้น พันทิวาก้มลงหยิบมันขึ้นมา
ก่อนจะค่อยๆประคองร่างกายและหัวใจให้เดินไปยังเตียงนอน
ที่มีกำแพงกั้นอยู่อย่างสุดที่กำลังจะพาไปไหว...
หากใจของเธอมันยังกล้าดีที่จะเดินเข้าไปให้ถึงเตียงนอนนั่น...

แล้วภาพของคนที่กำลังกอดรัดกันบนเตียงอย่างถึงพริกถึงขิง
จนไม่แม้แต่จะรับรู้ถึงการมาของเธอนั้นทำเอาพันทิวาตาค้าง หูตาพร่ามัว…
แทบลมจับ รู้สึกราวกับโลกหมุนคว้าง...

เมื่อผู้หญิงที่สามีของเธอกำลังกอดจูบลูบคลำอยู่ในขณะนี้
คือดาราหน้าใหม่ไฟแรงซึ่งเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับชุดชั้นในยี่ห้อหนึ่ง
แถมเพิ่งถูกทาบทามให้มาลงปกนิตยสารของสำนักพิมพ์สองตะวันเมื่อไม่นานมานี้…

เขาคงเป็นดั่งหลุมดำที่กินพวกดาวเป็นอาหาร...

เพราะนอกจากยัยพริกขี้นกนั่นแล้ว เขายังมีคนอื่นอีกมากมายที่เธอไม่เคยรู้

ใช่สินะ เขามันหนุ่มจ้าวเสน่ห์ผู้ร่ำรวย ยัยพริกขี้นกนั่นก็แค่ดาวเด่นในช่วงระยะเวลาหนึ่งก็เท่านั้น


แท้จริงแล้วเขายังมีผู้หญิงในโกดังอีกเหลือเฟือที่พอเบื่อก็คงเข่ียทิ้ง

ถึงว่าสิ เธอหายไปจากชีวิตเขาเป็นสัปดาห์ เขาถึงไม่รู้สึกห่วงหาอะไรเลย

…เขาคงเริ่มเบื่อเธอขึ้นมาแล้วเหมือนกันสินะ

ที่ผ่านมาเป็นเพราะเธอง่ายเองที่ยอมเขา เขาได้เธอมาง่ายไปจนไม่เห็นคุณค่า
เขาก็เลยไม่เคยหวงแหนหรือสนใจใส่ใจความรู้สึกของเธอแบบนี้

…เขาคงเห็นเธอเป็นของตาย!!!

เพียงเท่านั้น น้ำตาของหญิงสาวก็ไหลลงมาโดยไม่รู้ตัว…

มองเสื้อผ้าของคนทั้งสองที่ทิ้งเกลื่อนกลาดตั้งแต่ประตูห้องนอน
ไปจนถึงเตียงนอนก่อนจะมองชุดชั้นในสีชมพูในมือที่แค่มองดูก็รู้ว่าคับอะไร

...นายดินทรายช่างเลือกคู่นอนได้ดีเยี่ยมเสมอ...

พันทิวากัดปาก คับแน่นในทรวง...มือไม้เริ่มสั่น ปากคอตีบตันไปหมด…

ก่อนจะยกมืออีกข้างปิดปากตัวเองเอาไว้เมื่อเห็นสามีของตัวเองกับผู้หญิงคนนั้น
ร้องครางออกมาเมื่อปึนถึงยอดต้นงิ้วสำเร็จต่อหน้าต่อตาเธอ…

“อุ้ย…”เสียงอุทานนั้นทำให้พสุธหันกลับไปมองตามทิศทางที่หญิงสาวใต้ร่างของเขาเพ่งมองอยู่
ก็ถึงกับตกใจตาค้างมองภาพพันทิวาที่กำลังยืนนิ่งไม่ไหวติง ยกมือปิดปากน้ำตาอาบแก้ม

“แมงมุม!”พสุธครางชื่อภรรยาของตัวเองออกมาอย่างแผ่วเบา

พันทิวาขว้างชุดชั้นในใส่หน้าพสุธเต็มๆก่อนจะตวัดสายตามองหญิงสาว
ที่นั่งทำหน้าไม่ถูกอยู่บนเตียงในสภาพไร้อาภรณ์ใดๆ...
ก่อนจะปาดน้ำตาแล้ววิ่งออกไป...เพราะไม่อาจทนมองภาพนั้นได้อีกต่อไป...

พสุธดีดกายลุกขึ้นแล้วควานหาเสื้อคลุมมาสวมใส่ กระโดดวิ่งตามพันทิวาออกไป…

ก่อนจะคว้าข้อมือเธอเอาไว้ได้ทันตรงหน้าประตูทางออก…

“เอามือสกปรกของนายออกไป…”พันทิวาพูดลอดไรฟันออกมา
โดยไม่ยอมหันไปมองคนที่อยู่ทางด้านหลัง

“ฉันเสียใจ…ฉันไม่ได้ตั้งใจ…ฉันขอโทษ…”พันทิวาสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด
หันมาพูดกับคนมักง่ายหลายใจว่า…

“เสียใจ ไม่ได้ตั้งใจ ขอโทษ…นี่หรือคือสิ่งที่นายตอบแทนฉัน…
มันไม่ง่ายเกินไปหน่อยเหรอ…”

“ฟังฉันก่อนนะ…ได้โปรด”พันทิวาส่ายหน้า หมดแรงจะฟังเหตุผล
เพราะมันจะมีเหตุผลอะไรสำหรับภาพเมื่อครู่ที่เธอเห็นเต็มๆสองลูกกะตา

นอกเสียจากความมักมาก หลายใจของเขา ถ้าเธอจะผิด ก็ผิดตรงที่ปล่อยให้เขาเหงา…

“พอสักที…ฉันไม่อยากฟัง…เพราะการกระทำของนายมันก็มากพอ
ที่จะอธิบายเรื่องทุกอย่างได้ดีอยู่แล้ว…นายเหงาฉันเข้าใจ…
และฉันก็ไม่ใช่หินไม่ใช่ดินที่ไร้หัวใจอย่่างนายด้วย…”

พสุธพูดไม่ออก เพราะเขาไม่รู้จะพูดอะไรได้ในตอนนี้ เขาผิดเต็มประตู…

“ใครกันเหรอคะพี่ดิน…”เสียงใสๆขัดขึ้น พันทิวาจึงเหลือบตามอง
ก็พบสาวน้อยวัยทีนหน้าใสที่อยู่ในชุดคลุมอาบน้ำหมิ่นเหม่
จุดประกายรอยยิ้มหยันบนใบหน้าของพันทิวายามมองบุคคลทั้งสองตรงหน้าตัวเอง…

“เมียพี่…”คำตอบนั้นทำให้สาวน้อยถึงกับตกใจ หน้าเจื่อนลงนิดนึง
หากแค่แว้บเดียวก็เปลี่ยนเป็นปกติ…

“นี่เหรอคะเมียพี่…”น้ำเสียงเหมือนจะหยันนิดๆนั้นทำให้พันทิวาจ้องตาคนพูดนิ่ง

แววตานั้นของเธอทำให้สาวหน้าใสคนนั้นถึงกับหลบตา
เหมือนมีประกายบางอย่างที่บอกให้คนถูกมองรู้ว่า ไม่ควรลองดีกับผู้หญิงคนนี้…

“อย่าไปเลย นี่มันก็ดึกมากแล้ว…”พสุธรั้งหญิงสาวที่กำลังจะเดินออกไปจากห้อง
ด้วยน้ำเสียงห่วงใย พันทิวายิ้มหยันแล้วหันกลับมา

“แล้วจะให้ฉันอยู่ในห้องนี้กับนายกับผู้หญิงคนนี้อย่างนั้นเหรอ
ฉันไม่สนุกด้วยหรอกนะ อยากจะลงนรกหรือขึ้นสวรรค์อีกสักกี่รอบก็เชิญ
แต่ต่อจากนี้ไป นายกับฉันขาดกัน!!!…”

น้ำเสียงหนักแน่น แววตามาดมั่นนั้นทำให้พสุธถึงกับเข่าอ่อน
รีบคว้าแขนพันทิวาเอาไว้แน่นราวกับกลัวว่าเธอจะหลุดลอยหายไป...

“ไม่นะ!…”พสุธยืนกรานเสียงแข็ง ยังไงเขาก็ไม่ยอมให้ลงเอยแบบนี้แน่ๆ

“ถ้าไม่…นายก็ต้องเลือกเอา ว่าจะกินน้ำพริกถ้วยเดียวตลอดไป
หรือจะกินไม่เลือกแบบนี้…เพราะสำหรับนายอาจจะไม่รู้สึกอะไร
กับการนอนกับผู้หญิงไม่เลือกหน้า แต่สำหรับฉัน ฉันไม่ชอบใช้ของส่วนตัวร่วมกับใคร

และเมื่อของส่วนตัวกลายเป็นของใช้สาธารณะ
ฉันคงนำกลับมาใช้โดยไม่รู้สึกอะไรไม่ได้…
นายอาจไม่รู้สึกขยะแขยงกับการใช้กางเกงในร่วมกับผู้ชายคนอื่น”

พูดแล้วก็มองหน้าหญิงสาวที่หลบอยู่ข้างหลังพสุธนิ่ง
ก่อนจะหันมายิ้มหยันให้สามีของตัวเองแล้วกล่าวด้วยวาจาเผ็ดร้อน
เชือดเฉือนบุคคลทั้งสองว่า

“แต่ฉันเป็นผู้หญิง ฉันทำใจไม่ได้ที่จะใช้สามีร่วมกับชาวบ้านเขา…
เพราะกางเกงในยังถอดเอามาซักให้สะอาดได้
แต่ผู้ชายอย่างนาย มันคงต้องถอดทิ้งเท่านั้น…”

พสุธมองหน้าพันทิวานิ่ง พูดไม่ออกราวกับเป็นใบ้ไปชั่วขณะ

“ไม่ได้นะ อย่าเพิ่งถอดทิ้งนะแมงมุม…”แววตาเว้าวอนนั้น
ไม่อาจทำให้หัวใจแตกยับพังไปเมื่อครู่ของพันทิวาอ่อนลงได้…

“ถ้านายไม่เลิกนิสัยเดิมๆของนาย นายก็ไม่เหมาะที่จะเป็นสามีหรือเป็นพ่อของใคร…”

พูดจบพันทิวาก็รีบจ้ำอ้าวออกจากห้องไป
ก่อนจะปาดน้ำตาที่พยายามกลั้นเอาไว้ไม่ให้ไหลให้ผู้หญิงคนน้ันเห็นทิ้ง
แล้วกดลิฟต์ลงไปยังชั้นล่าง สตาร์ทรถออกไปทั้งๆที่ม่านน้ำตา
ยังคงบดบังเส้นทางสัญจรจนมองถนนหนทางไม่ชัดกว่าที่เป็น…

พสุธใจหายที่เห็นพันทิวาวิ่งออกไปทั้งอย่างนั้น เขาจึงรีบวิ่งเข้าไปในห้องอีกครั้ง
แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างลวกๆพลางสั่งกับหญิงสาวที่ยืนทำตัวไม่ถูกอยู่ว่า

“เธออยู่ที่นี่แหล่ะ…ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น…พรุ่งนี้พี่จะให้รถมารับไปส่งที่บ้าน…”
จบคำพสุธก็รีบวิ่งออกจากห้องไป คว้ารถได้ก็บึ่งไล่ตามพันทิวาออกไป
เห็นป้ายทะเบียนรถคุ้นตานำหน้าอยู่ไม่ไกล

…ทว่า…

หัวใจของชายหนุ่มเหมือนจะหยุดเต้นเมื่ออยู่ๆก็เห็นรถคันดังกล่าว
เลี้ยวหักหลบรถที่ขับปาดหน้าตรงทางแยกแล้วพุ่งขึ้นไปบนฟุตบาท
ชนกับป้ายรถเมล์เข้าเต็มๆ…

“ไม่!!!”

พสุธตะโกนสุดเสียงก่อนจะหยุดรถแล้วเปิดประตูวิ่งไปยังรถคันดังกล่าวทันที
เห็นภาพหญิงสาวสลบคาพวงมาลัย หัวใจของเขาก็แทบจะหล่นหาย

พสุธพยายามเปิดประตูออกอยู่นานแต่มันกลับล็อก
เขาจึงหาท่อนเหล็กแถวๆนั้นกระแทกกระจกตรงหน้าต่างแล้วเปิดประตูเข้าไป
อุ้มร่างนั้นขึ้น พาไปยังรถของเขานำส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันที…


....โปรดติดตามตอนต่อไป.......


ยกนี้กะจะมาทำให้อยากอ่านต่อ แล้วจากไปนอนหลับเอาแรงก่อนค่ะ...อิอิอิ...

ช่วงนี้ใกล้สิ้นปี งานโหมหนักหน่อย หวังว่านักอ่านหลายๆท่าน
จะเข้าใจเต่าโยนะคะ หากมาให้ล่าช้าไปบ้างหรือมาให้ไม่สม่ำเสมอบ้างเป้นบางช่วง....

ดีใจค่ะที่เห็นนักอ่านเข้ามาให้กำลังใจกันมากกว่าครั้งไหนๆที่เคยผ่านมา...
ทำให้หัวใจคนเขียนมีแรงขึ้นมา...ทั้งๆที่ตาแทบปิดทุกครั้งที่มาโพสต์...อิอิอิ....
รู้สึกซาบซึ้งกับน้ำใจของนักอ่านในเว็บนี้มากๆเลยทีเดียวค่ะ...
เพราะยามใดที่คนเขียนต้องการกำลังใจ นักอ่านก็ไม่อยู่นิ่งเฉยที่จะส่งเสียง
เพื่อเป็นกำลังใจให้...ขอบคุณมากๆเลยค่ะ...จุ๊บๆทุกท่านที่เข้ามาอ่าน
ที่เข้ามาเม้นท์ และที่เข้ามาส่องนะคะ...และก็ขอบคุณสำหรับไลค์ที่กดให้กันด้วยค่ะ...


ขอคุยกับนักอ่านจากยกที่แล้วกันก่อนนะคะ...

1.คุณบัวขาว...ขอบคุณค่ะที่ส่งรอยยิ้มพิมพ์ใจมาให้เต่าโยเป็นคนแรกเลย...จุ๊บๆนะคะ

2.คุณAprilSK...คงจะพอๆกับคนเขียนค่ะ งานโหมหนักจนเครียดจัดค่ะช่วงนี้
อารมณ์สุนทรีย์หนีหาย สังเกตได้จากเรื่องอะรูซาตีฯ ที่ต้องหยุดชะงักไป
เพราะไม่อาจหาอารมณ์ดีๆมานั่งเขียนได้ เพราะเรื่องนั้นต้องอารมณ์สุนทรีย์จริงๆ
ถึงจะปั่นมันออกมาได้ไหลลื่น...ภาวะเครียดๆไม่อาจทำให้เขียนเรื่อง
ที่ค่อนข้างไปทางหวานซึ้งได้น่ะค่ะ
ก็เลยต้องรอให้อารมณ์นิ่งและหายกังวลกับเรื่องที่รุมเร้าเข้ามาก่อนน่ะค่ะ...
แม้ใจจะอยากปั่นแค่ไหน...แต่ไร้แรงค่ะ...ดีที่เรื่องนี้มีอยู่ในโกดังเยอะ...
เลยแค่โพสต์ให้นักอ่านอ่านกัน...เลยไม่ค่อยชะงักงันไป...
ขอบคุณนะคะสำหรับกำลังใจดีๆที่มอบให้โย..จุ๊บๆค่ะ

3.คุณmhengjhy...ยกนี้อาจจะทำให้นักอ่านเศร้าเพิ่มอีกนิดนึงนะคะ...อิอิ
ขอบคุณค่ะสำหรับกำลังใจดีๆที่มีให้เต่าโย...

4.คุณหมีสีชมพู...ใช่แล้วค่ะ ตัวร้ายกำลังจะออกมาวาดลวดลายให้เห็นกันเต็มๆ
ขอบคุณนะคะสำหรับกำลังใจที่มีให้เต่าโยอย่างสม่ำเสมอเลย...จุ๊บๆนะคะ

5.คุณwii....น่าจะให้แมงมุมลองทำแบบนั้นดูบ้างนะคะ...หอบลูกหนีไปเลย..อิอิอิ...
แต่พอดีโยดันเขียนเรื่องราวของคู่นี้จบไปก่อนหน้านี้ซะแล้วน่ะสิคะ..
.จะเปลี่ยนพล็อตกะทันหันคงไม่ทันแล้วอ่ะสิ...อิอิอิ...
ต้องมาดูกันค่ะว่าเรื่องราวของคู่นี้จะเป็นไปอย่างไร...อิอิ
ขอบคุณค่ะสำหรับกำลังใจและการติดตาม....

6.คุณใบบัวน่ารัก...คนร่วมบ้านในที่นี้หมายถึงพี่เพลิงใช่มั้ยคะ...อิอิอิ...
ก็น่าเห็นใจพี่เพลิงจริงๆแหล่ะค่ะ...แต่รายนั้นสมควรต้องโดนรบกวนซะบ้างค่ะ
ปล่อยให้เดินเหินยั่วน้ำลายสาวใหญ่สาวน้อยมาหลายปีแล้ว...เอาให้เข็ดไปเลย...อิอิอิ
(เหมือนคนเขียนจะแค้นฝังหุ่นพี่เพลิงมากกว่าตามตะวันซะงัั้น...อิอิอ)
ขอบคุณค่ะที่ส่งเสียงมาเป็นกำลังใจให้เต่าโย...จุ๊บๆนะคะ...

7.คุณgoldensun...เป็นการแต่งงานจำเป็นน่ะค่ะ เพราะว่าชื่อเสียงมันก็เป็นสิ่งที่เราต้องปกป้อง
ที่สำคัญ...พ่อกับแม่เคยบอกว่า...ชีวิตคู่ หากขาดความอดทนต่อกันและกันแล้ว
ก็ยากที่จะประคองสถานะแห่งการใช้ชีวิตคู่ต่อไปได้...มันต้องอดทนน่ะค่ะ ถึงจะอยู่ด้วยกันได้...
ไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่งต้องเป็นฝ่ายอดทนอยู่ฝ่ายเดียว เราต้องเดินเข้าหากันคนละครึ่งทาง
จะได้ไม่ทำร้ายใครคนใดคนหนึ่งให้ต้องเจ็บปวดอยู่ฝ่ายเดียว...

แมงมุมกับดิน มีหลายอย่างที่เหมือนกันมากๆเลยก็คือ ชอบทำตามอารมณ์
และเอาแต่ใจมากจนเกินไปน่ะค่ะ...แทนที่จะฟังกันให้มากก็ไม่ เล่นเชื่อแต่ตัวเอง...
แรงมาก็แรงกลับไป ไม่มีผ่อนสั้นผ่อนยาว ไม่มีใครยอมลงให้ใคร...
ผลสรุปเลยออกมาเป็นแบบนั้น...
ขอบคุณนะคะสำหรับกำลังใจและการติดตาม...จุ๊บๆค่ะ

8.คุณviolette....ใช่แล้วค่ะคู่เอกของเรายังวอร์มอยู่ข้างๆสังเวียนค่ะ
ใกล้เวลาขึ้นสังเวียนแล้วล่ะค่ะ...อิอิอิ...ขอบคุณค่ะสำหรับกำลังใจและการติดตาม...จุ๊บๆค่ะ

9.คุณPampam...คู่แมงมุมกับนายดินใกล้แล้วค่ะ...
ส่วนเป็ดวากำลังมีภัยนั้น ต้องมาลุ้นกันค่ะ...เพราะการ์ดคนสำคัญของคุณเธอ
กำลังจะโผล่หน้ามาแล้วนะคะ...พ่อกุญแจซอล ตัวแปรสำคัญนั่นแหล่ะค่ะ...อิอิอิ...
งานนี้นายหัวรังจะว่าไง ต้องมาลุ้นกันค่ะ...

10.คุณaom...คู่นายหัวรังกับน้องรักกำลังจะได้เวลาขึ้นสังเวียนแล้วค่ะ...
แต่ระหว่างขึ้นสังเวียนก็มีอีกคู่ให้ติดตามด้วยนะคะ....

11.คุณtam...คงไม่ใช่นายดินแล้วล่ะค่ะที่จะซวย...งานนี้คนแช่งโดนเด็มๆค่ะ...
แช่งคนอื่นเลยโดนเองเลย...อิอิ...ขอบคุณค่ะสำหรับกำลังใจและการติดตาม จุ๊บๆนะคะ

12.คุณsai...ว้าววววววว...โยก็นึกว่าคนsaiจะเซ็งๆแล้วทิ้งเค้าไปแล้วซะอีกนะนั่นน่ะ...
เลยลองส่งเสียงเรียกดู...ดีใจค่ะที่ยังอยู่เป็นเพื่อนกันอยู่...สภาพเต่าโยตอนนี้
ดูไม่ค่อยได้เลยค่ะ...อย่างโทรม....อิอิอิ...หลังปีใหม่คงต้องหาเวลาทำสวย
ดูแลตัวเองบ้างแล้วล่ะค่ะ...มองกระจกที่ไร มันช่างสะท้านทรวง...อิอิอิ
ขอบคุณนะคะที่ส่งเสียงมาให้โยได้ยิน...จุ๊บๆค่ะ

13.คุณpumkin...ดีใจจังเลยค่ะที่นักอ่านที่เคยติดตามอ่านเมื่อครั้งก่อน
(นานมาแล้วนั้น)ยังจำเต่าโยได้...ขอบคุณค่ะที่ส่งเสียงส่งกำลังใจให้เต่าโย
ได้อ่านแบบนี้แล้วมีแรงขึ้นอีกโขค่ะ...จุ๊บๆนะคะ...โยเองก็กะจะวิ่งเข้าเส้นชัยให้ได้ค่ะ
แม้จะวิ่งมาราธอนมาหลายปีแล้วก็ตาม...อิอิอิ...

14.คุณพอใจ...ขอบคุณหลายๆค่ะที่ทำให้เต่าโยมีแรงใจ....
อย่างน้อย แม้จะแบตหมดยังไงก็ยังพอคลานมาโพสต์ได้ค่ะ...อิอิ

15.คุณkonhin...ตอนนี้คงต้องมารอลุ้นกันว่า แมงมุมจะรอดมั้ย...เหอๆ
ส่วนเรื่องเกลือเป็นหนอนนั้น...เต่าโยขออุบเอาไว้ก่อนนะคะ...
กลัวนอนจะถูกทอดเกลือน่ะค่ะ...อิอิอิ...ขอบคุณค่ะสำหรับกำลังใจและการติดตาม...จุ๊บๆค่ะ

16.คุณsupayalak...นายดินเขาเลือดร้อนค่ะ...ร้อนไม่แพ้คนเป็นพี่เลย...อิอิอิ...
ถ้าจะให้รู้ใจและรู้ทันนายดินที่สุดคงหนีไม่พ้นพี่เพลิงแล้วล่ะค่ะ...เฮะๆ
อ่านความเห็นของคุณsupayalak แล้วทำให้โยยิ้มได้เยอะเลยทีเดียวค่ะ
ขนาดว่าอ่านตอนกำลังเครียดจัดยังอารมณ์ดีได้เลยค่ะ...ฮ่าๆๆๆ
ขอบคุณนะคะสำหรับกำลังใจน่ารักๆ ทำให้คนกำลังเครียดอารมณ์ขันได้...จุ๊บๆค่ะ

17.คุณsunflower...ขอบคุณค่ะสำหรับรอยยิ้มพิมพ์ใจที่มอบให้เต่าโย
ชื่นใจสุดๆค่ะ...จุ๊บๆนะคะ...

18.คุณแว่นใส...ตอนนี้ยิ่งลำบากเพิ่มค่ะ...คู่นายดินกับแมงมุมเขาไม่ค่อยใช้หูฟังกัน...
เล่นแต่ตีฝีปากกันเป็นประจำแบบนี้ ชอบชวนทะเลาะกันให้เป็นเรื่องเป็นราวประจำ...
ผลสรุปมันก็เลยออกมาเป็นแบบน้ัน...
คงต้องหันมาทบทวนตัวเองกันอย่างถ้วนทั่วค่ะงานนี้...อิอิ...
ขอบคุณนะคะทีี่ส่งแรงใจมาให้เต่าโยขาสั้น...อิอิ...จุ๊บๆค่ะ

19.คุณLittlewitch...โยก็ว่าแล้วว่าคุณแม่มดต้องโดนยึดขายึดแข้งไว้แน่ๆเลย
เลยไม่โผล่มาให้โยเห็น...ที่แท้ก็เป็นงานนี่เองที่พรากเราให้ห่่างกัน...อิอิอิ..
โยเองก็กำลังโดนดีอยู่ค่ะ...เครียดอย่างไรก็ต้องมาโพสต์นิยายค่ะ
เพราะว่าที่นี่ทำให้โยไม่เครียด...โยไม่อยากจมกับความเครียดตลอดเวลา
ก็เลยต้องปลีกเวลามาโพสต์นิยายให้หายเครียด...เฮะๆๆ
ขอให้ทุกเรื่องผ่านไปได้ด้วยดีนะคะ แล้วจะได้กินหวานแน่ๆค่ะ...อิอิอิ
เต่าโยเองก็เหนื่อยกับการปีนยอดตาลแล้วเหมืิอนกันค่ะ ไม่รู้ว่าจะถึงยอดตาล
ทื่มีน้ำหวานอยู่บนนั้นเมื่อไหร่อ่ะสิ...อิอิอิ...อดใจรอเต่าโยอีกนิดนะคะ...เฮๆ
ขอบคุณนะคะที่ไม่ลืมส่งเสียงมาทำให้โยรู้สึกอุ่นใจ...จุ๊บๆค่ะ


สุดท้ายไม่ท้ายสุด...

ขอบคุณนักอ่านทุกๆท่านค่ะ ไม่ว่าจะนักอ่านเงาหรือนักอ่านที่ผลุบๆโผล่
เหมือนเต่าโย...โยก็ขอขอบคุณค่ะ...เพราะทุกครั้งที่ได้ดูจำนวนผู้เข้าชม
มันทำให้โยรู้ว่า...โยจะต้องคลานไปสู่เส้นชัยให้ได้...แม้จะขาสั้น...อิอิอิ...

เชื่อว่าใกล้สิ้นปีแบบนี้...คนทำงานคงต้องเหนื่อยกันหน่อย
ส่วนนักศึกษาก็คงวุ่นกันไม่น้อย...เพราะคงมีเรื่องให้ต้องสะสางก่อนสิ้นปี...

สู้ๆนะคะ...


ว่าแล้วก็ทำให้นึกถึงเพลง "คืนข้ามปี" ขึ้นมาอีกแล้ว...อิอิ...

ติดใจเพลงนี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ฟังเลยค่ะ...
เพื่อนโยเขาส่งเพลงนี้มาให้โยฟังตอนโยเคาท์ดาวน์คนเดียวที่เกียวโต...
แบบว่ามันกระแทกใจสุดๆค่ะตอนนั้น...

และปีนั้นแหล่ะค่ะเป็นเหตุให้เกิด...ชื่อนิยายเรื่อง คานน้อย คอยรัก
ซึ่งเป็นภาคที่สามขึ้นมา...เนื่องจากยังหาชื่อเรื่องของภาคต่อรังรักกับหัวใจไร้ที่อยู่ไม่ได้...

เคยคิดมาเสมอว่าเราเลือกมากไปรึเปล่า...เพราะหลายๆคนก็ว่าโยเลือกมาก....
แต่เมื่อลองทบทวนดูดีๆ...เรายังไม่มีโอกาสได้เลือกเลยนะเนี่ย...เหอๆ


"อยากมีคนพิเศษอยู่ในคืนพิเศษ...คืนสำคัญอีกคืนที่ต้องอยู่อย่างเหงาใจ
อยากมีคนพิเศษ จับมือกันข้ามผ่าน คืนสำคัญอีกคืนที่ความเหงาคืบคลาน...หัวใจ..."

...แล้วเจอกันยกหน้าค่ะ...

...รักษาสุขภาพนะคะ...

...ส่วนใครที่ใกล้จะสิ้นปีนี้แล้วแต่ยังไม่เห็นแววว่าจะเจอคนที่ใช่...
ก็อย่าได้กังวลใจไปนะคะ...คานน้อย คอยรัก ยังรอนักอ่านอยู่เสมอค่ะ...อิอิอิ...


"เต่าโย"




yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 ธ.ค. 2555, 23:42:25 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 ธ.ค. 2555, 23:42:25 น.

จำนวนการเข้าชม : 2798





<< ยกที่ 59 รักเกินตัดใจ   ยกที่ 61 ขนม ค.ร.ก >>
violette 4 ธ.ค. 2555, 01:26:40 น.
โอ๊ยยยยย เกลียดนายดินค่ะ โกรธมากด้วย ไปมีอะไรกับคนอื่นง่ายๆแบบนี้แล้วปากบอกว่ารักแมงมุมเนี่ยนะ
เด็กชะมัดนิสัยไม่ดี นี่คือนอกใจไปแล้วนะ ไม่สนับสนุนแล้วค่ะไม่สงสารแล้วด้วย
เกลียดผู้ชายแบบนี้ที่สุด ดันมีลูกแล้วอีก เฮ้อ แล้วที่มีอะไรกับคนอื่นน่ะไม่ละอายมั่งเลยใช่มั้ย
แย่ แย่กว่าตะวันอีกนะนี่งานนี้


konhin 4 ธ.ค. 2555, 02:17:03 น.
คือ แบบว่า พูดไม่ออก ถ้าแมงมุมทำแบบนี้บ้าง นายดินจะให้อภัยมั้ย? แล้วทำไมผู้หญิงต้องเป็นฝ่ายให้อภัยอยู่ฝ่ายเดียว เห็นคาตาแบบนี้ทำไมแมงมุมยังให้ทางเลือกอีก?


Pampam 4 ธ.ค. 2555, 04:09:06 น.
นายดินทำอย่างนี้ได้ยังไง ถ้าเราเป็นแมงมุมนะเลิกสถานเดียว ให้อภัยไม่ได้


aom 4 ธ.ค. 2555, 07:03:51 น.
น่าสงสารแมงมุม


หมีสีชมพู 4 ธ.ค. 2555, 07:55:00 น.
นายดินสมควรถูกทิ้ง


tam 4 ธ.ค. 2555, 07:57:30 น.
คู่นี้ดูไปก็เหมือนคู่พี่เพลิงกะพี่ตามคู่เล็กนะคะ พี่เพลิงเองก็ไม่ได้ต่างจากนายดินเท่าไหร่ ที่แย่คือ คนเรามักจะคิดอะไรได้หลังจากเกิดการสูญเสีย สติมาหลังอารมณ์เสมอ การให้อภัยไม่ได้แปลว่าลืมได้ หรือคนที่ได้รับการให้อภัย ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่ทำเรื่องแบบนั้นอีก


ใบบัวน่ารัก 4 ธ.ค. 2555, 08:22:15 น.
เด็กน้อยจะเป็นไรไหม
อย่าเป็นอะไรนะ


แว่นใส 4 ธ.ค. 2555, 09:01:44 น.
หวังว่าจะไม่กระทบกระเทือนในท้องนะ


supayalak 4 ธ.ค. 2555, 09:21:42 น.
เสร็จกันเลยทีนี้ ไม่รู้จะโทษใครดี ระหว่างคนช่างหาเรื่องกับคนที่หงุดหงิดง่าย เหนื่อยแทน บางมุมก็เหมือนจะไปได้ด้วยดีแล้ว แต่สุดท้ายก็เข้าแก๊กเดิมพูดกันไม่ทันไรก็ทะเลาะแยกวงกันซะละ แบบนี้มองหาทางออกไม่เจอเลย แบบนี้ต้องเอาแบบคู่หมอรังผสมกับคู่ของพี่เพลิงมารวมกันจัดหนักให้กับพี่ดิน เอาแบบมุมหายไปสักพักพร้อมๆ ลูกในท้องให้ทั้งคู่ได้คิดว่าการที่ไม่เจอกันทั้งที่ยังรักกัน เราจะคิดถึงกันได้มากพอที่จะมารักกันเข้าใจกันได้ไหม ว่าแต่น้องหนูในท้องมุมคงจะปิ๋วไปแล้วใช่ป่ะ เสียดายเนอะนายดินอุตส่าห์ปั้นมาตั้งนาน คราวนี้จะปั้นใหม่ได้เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เซ็งเป็ดเล้ยยยยย


wii 4 ธ.ค. 2555, 09:43:05 น.
อ้าวนายดิน เเบบนี้มันผิดชัดๆเลย ถือใด้ว่ามีชู้นะเพราะเเต่งงานจดทะเบียนเเล้วเเต่ดันไปนอนกับผู้หญิงอื่นที่ไม่ใช่เมียตัวเอง เเบบนี้อภัยให้ไม่ใด้เเล้วล่ะ รับกรรมไปจนลูกอายุสักสองสามขวบเเมงมุมค่อยใจออ่น เเละอย่าให้ลูกใช้นามสกุลพ่ออีกด้วย จนกว่านายดินจะสำนึกผิดจริงๆ


บัวขาว 4 ธ.ค. 2555, 10:14:12 น.
เฮ้อ .. สันดานผู้ชาย


goldensun 4 ธ.ค. 2555, 12:48:26 น.
อ่านตอนนี้แล้วน้ำตาซึม สงสารมุม ไม่น่ากลับบ้านเลย จะถึงขนาดเสียลูกมั้ยคะ ทั้งเสียใจ ทั้งเจ็บตัว อย่างนี้หรือที่ดินบอกว่ารักมุม จะอดทนรอให้มุมเห็นใจ ความซื่อตรงยังให้กันไม่ได้ สำนึกได้ก็สายไปรึเปล่า แล้วมักมากอย่างนี้ มุมคงไม่อภัยง่ายๆ
แค่มุมแอบรักเพลิง ยังหึงจนพูดประชดไม่รู้จบ แต่ตัวเองไปมีผู้หญิงอื่นเรี่ยราด เลวจนรับไม่ได้จริงๆ
กลัวสูญเสียทำไมดิน ในเมื่อไม่คิดจะรักษาเอาไว้ ยังมักมาก มักง่ายตลอด
พี่ลมเป็นผู้ชายที่ดีที่สุดของอาทิตยะจริงๆ ยิ่งเห็นได้ชัด เมื่อเทียบกับเพลิงและดิน


mhengjhy 4 ธ.ค. 2555, 19:20:09 น.
โอ้ยยยยย โกรธนายดินมากๆ นี่หรอรักแมงมุม


sai 4 ธ.ค. 2555, 22:13:17 น.
ทำไมเศร้าอีกแล้วววว สงสารแมงมุมที่สุด


บัวขาว 4 ธ.ค. 2555, 23:09:17 น.
มารอ .. ตอนต่อไป

=^_^=


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account