คานน้อย คอยรัก (จบแล้วค่ะ)
คานน้อย คอยรัก

ในลักษณ์นั้นว่าประหลาด…………….คนบนคานนั้นว่าน่าประหลาด
เป็นเชื้อชาตินักรบกลั่นกล้า…………...เป็นเชื้อชาตินักรักผู้หาญกล้า
เหตุไฉนย่อท้อรอรา…………………..เหตุไฉนย่อท้อรอเวลา
ฤาจะกล้าแต่เพียงวาที…………………ฤาไม่กล้าบอกรักใครสักที

เห็นแก้วแวววับที่ดับจิต…………………เห็นคานแก้วแวววับสดับจิต
ใยไม่คิดอาจเอื้อมให้ถึงที่……………...ใยไม่คิดปีนไปให้ถึงที่
เมื่อไม่เอื้อมจะได้อย่างไรมี……………อย่ามัวรอจงขึ้นมาเร็วรี่
อันมณีฤาจะโลดไปถึงมือ………………บนคานนี้มีรักให้ฝึกปรือ

อันของสูงแม้ปองต้องจิต………………..คานเราสูงไม่เป็นรองของใครอื่น
ถ้าไม่คิดปีนป่ายจะได้ฤา………………..อย่าได้ขืนลงไปให้เสียชื่อ
มิใช่ของตลาดที่อาจซื้อ………………….มิใช่ทองตามตลาดที่อาจซื้อ
ฤาแย่งยื้อถือได้โดยไม่ยอม……………..เพราะเราถือความพอใจจึงลงไป

ไม่คิดสอยมัวคอยดอกไม้ร่วง……………ไม่คิดสอยมัวคอยให้คานทับ
คงชวดดวงบุปผาชาติสะอาดหอม………..รอให้ดับคาคานหรืออย่างไร
ดูแต่ภุมรินเที่ยวบินตอม…………………..ฤาต้องคอยรักแท้จนแก่ใช่ไหม
จึงได้ออมอบกลิ่นสุมาลี…………………..เกาะคานน้อยคอยรักต่อไป
…………………..........จนกว่าจะเจอคนที่ใช่…ใช่ไหมคาน………………
(อ้างอิงกลอนจากบทละครเรื่องท้าวแสนปม)

มาดูเหตุผลของคนที่ยังไม่ลงจากคานกันค่ะ...
อาจจะมีเหตุผลมากมายที่ไม่อยากลงจากคาน
หรืออาจมีเพียงแค่หนึ่งเหตุผลง่ายๆก็คือ...

...ไม่ใช่คนที่ใช่ก็ไม่ใช่...

หรือว่า

...โดนข้อหาหลายใจ เพราะเคยมีแฟนหลายหน...

หรืออาจเป็นเพรา

...เขาบอกให้รอ เราก็รอ...

หรือจริงๆแล้ว

...ขออยู่รอคนสุดท้ายคนนั้นได้ไหม...

หรือลึกลงไป

...กำลังรอเจ้าชายในฝันอยู่อย่างอดทนได้ทุกอย่าง...

หรือกำลังปลอบใจตัวเองว่า

...ครึ่งหนึ่งของฉันยังมาไม่ถึง...ซึ่งสักวันเขาจะมาอยู่ข้างกัน...

หรือกำลังหลอกตัวเองด้วยการปกปิดว่า

...ไม่หวั่นไหว หัวใจไม่ปรารถนา...

ทั้งๆที่จริงๆแล้ว

...อยากรัก อยากฝัน แต่เพราะกลัว ก็เลยไม่กล้ารักใคร...

หรือว่าอาจจะเป็นเหตผลสุดท้ายที่ไม่ค่อยมีใครกล้ายอมรับดังๆว่า

...ไม่เคยมีใครมาจีบ ไม่มีใครสน เรามันคนธรรมดาๆ...

แต่ไม่ว่าจะเหตุผลใด...

เราก็ยังหวังและยังคงรอคอยปาฏิหาริย์ว่าจะได้เจอคนที่ใช่ในสักวัน...


Tags: ดราม่า หวานซึ้ง อบอุ่น หมอรัง สิ้นรัก วายุ ปองขวัญ

ตอน: ยกที่ 61 ขนม ค.ร.ก

ยกที่ 61 ขนมค.ร.ก.



คำคม…อาวุธที่เฉียบขาดสำหรับผู้หญิง คือ การมีผู้หญิงอื่น







ตะวันมองนาฬิกาบนฝาผนังที่ชี้อยู่ที่เลขหนึ่งอย่างกระวนกระวาย
บอกไม่ถูกว่าทำไมถึงนอนไม่หลับ ข่มตาไม่ลง มองไปยังประตูบ้านไม่รู้กี่รอบ

พันทิวากับน้องชายก็ยังไม่กลับมา ติดต่อก็ไม่ได้
ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง จะเจอกันรึยัง…

“นอนไม่หลับเหรอคะพี่เพลิง…”อากิโกะตื่นขึ้นมากลางดึก
ก็เห็นไฟตรงห้องรับแขกยังสว่างโร่อยู่เลยออกมาดู

“พี่เป็นห่วงเจ้าดินกับแมงมุมน่ะ ไม่รู้ว่าเจอกันรึยัง…ติดต่อก็ไม่ได้”

“เขาอาจจะเจอกันแล้วก็ได้นะคะ…ป่านนี้คงพักอยู่ที่ไหนสักแห่ง…”

อากิโกะกล่าวในขณะที่เธอเองก็อดห่วงทั้งสองไม่ได้เช่นกัน
เพราะเธอเองก็นอนไม่หลับ กระสับกระส่่ายตลอด…
ทว่า ครู่นึงต่อมา เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น…ตะวันรับสายก่อนจะวางสาย
แล้วหันไปทางน้องสาวบอกเสียงแผ่วว่า

“แมงมุมประสบอุบัติเหตุ ตอนนี้อยู่ในห้องฉุกเฉิน…”

อากิโกะใจหายทันทีที่ได้ยินข่าวร้ายนั้น

“งั้นเดี๋ยวเหยี่ยวจะไปปลุกรักนะคะ…”





พสุธเดินกระวนกระวายอยู่หน้าห้องฉุกเฉินอยู่นานหลายชั่วโมง
ชายหนุ่มยกมือขึ้นดูนาฬิกาข้อมือไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบด้วยแววตาร้อนรน
อยากให้ประตูห้องที่จ้องอยู่เปิดออกเสียที

แล้วการรอคอยก็สิ้นสุดลง เมื่อคุณหมอเปิดประตูออกมา

“คุณคือสามีของคุณพันทิวาใช่มั้ยครับ…”

“ครับ…แล้วคนไข้…”

“คนไข้ปลอดภัยแล้วนะครับ…โชคดีที่เด็กไม่ได้รับการกระทบกระเทือน
เพราะคนเป็นแม่ดูจะปกป้องลูกเอาไว้อย่างดี ศีรษะก็เลยแตก
แขนและขาแตกร้าวเพราะรับแรงกระแทกเข้าไปเต็มๆ…

แต่อาการโดยรวมแล้วไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงครับ…
ตอนนี้หมอจะย้ายไปพักที่ห้องผู้ป่วยนะครับ…”
พสุธถึงกับกระตุกคิ้วเมื่อได้ยินคำว่าเด็ก…

“หมอหมายความว่าภรรยาของผมท้องเหรอครับ…”
นายแพทย์ยิ้มบางพลางพยักหน้า

“ครับ…จากประวัติคนไข้ ภรรยาคุณท้องได้สองเดือนกว่าๆแล้วครับ…”

พสุธแทบอยากจะร้องไห้ออกมาเมื่อได้รับคำยืนยันอย่างนั้น
บอกไม่ถูกว่าเขารู้สึกอย่างไร มันมีทั้งความดีใจ
และเสียใจที่เขาดูแลเธอดูแลลูกในท้องของเธอ…ลูกที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาได้ไม่ดี

…ถ้าก่อนหน้านี้เขาไปตามเธอกลับมา เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นหรือ…

ถ้าเขาไม่มั่วกับผู้หญิงคนอื่น ไม่นอกใจเธอ…
มีหรือที่เธอจะวิ่งออกมาแบบนั้น…

ชายหนุ่มตีอกชกมือกับผนังห้องด้วยความเจ็บใจตัวเอง…





“ดิน…แมงมุมล่ะ…”อากิโกะที่กำลังเข็นรถตะวันเข้ามาพร้อมกับฑยาวีย์
ถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน

“ปลอดภัยแล้วครับพี่เหยี่ยว…”พสุธตอบทั้งๆที่ไม่กล้าสบตาพี่ชายคนโต

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมแมงมุมถึงเข้าไปอยู่ในห้องนั้นได้…
นี่อย่าบอกนะว่าเขาไปเจอแกที่คอนโดแล้วเห็น…”

พสุธอ้ำอึ้งไม่รู้จะอธิบายเรื่องราวอย่างไร…
และเพราะความเงียบกับแววตาแบบนั้นของน้องชาย จึงทำให้ตะวันยิ้มหยันขึ้นมา

“ฉันเคยเตือนแกแล้วเรื่องนั้น…แต่แกก็ไม่เคยฟังฉัน…แล้วเป็นไง…”

ตะวันนั้นรู้จักนิสัยของน้องชายดี แม้รู้ว่าน้องชายนั้นรักพันทิวาแค่ไหน
แต่นิสัยเจ้าชู้นั้นดูจะเลิกยาก ยิ่งมีสาวๆสวยๆมาให้ชื่นชมไม่มีซ้ำกัน
ยิ่งทำให้น้องชายของเขาเผลอไผลนอกใจคนที่ตัวเองบอกว่ารัก...

แล้วก็ต้องมานั่งเสียใจไม่ต่างจากตัวของเขาในอดีตเลย…
อดีตที่เขาไม่อาจลบล้างให้สะอาดหมดจดไปจากความรู้สึกผิดได้…

แม้ความผิดนั้นจะได้รับการยกโทษ ได้รักการให้อภัยแล้วก็ตาม
ทว่า...มันยังคงเป็นตราประทับอยู่ตรงกลางใจเขาไม่ลบลืม...


“แกรู้มั้ยว่าอาวุธที่เฉียบขาดสำหรับผู้หญิง ก็คือ การมีผู้หญิงอื่น…”

พสุธถึงกับกลืนน้ำลายลงคอดังเฮือกกับประโยคนั้นของพี่ชาย

…เขาได้ทำร้ายเธอจนเจ็บปวดทั้งกายและใจด้วยอาวุธดังกล่าว…


“ผมขอโทษ…”น้ำเสียงนั้นเบาหวิว หากแววตาที่สำนึกผิดนั้นทำให้
อากิโกะยกมือขึ้นแตะบ่าพี่ชายคนโต…ตะวันจึงหยุดต่อว่าน้องชาย
แล้วถอนใจออกมาเฮือกใหญ่…

“แล้วหลานฉันล่ะ หลานฉันเป็นไงบ้าง…”อากิโกะถึงกับตาโตมองพี่ชายนิ่ง

“ปลอดภัยแล้วครับ…หมอบอกว่าแมงมุมเขาปกป้องลูกเอาไว้
จนหัว แขนและขารับแรงกระแทกเต็มๆ…”พูดจบก็เหมือนนึกขึ้นมาได้

“ว่าแต่พี่รู้เรื่องนี้ได้ยังไง”

“นี่แสดงว่าน้องมุมท้องเหรอคะ…”อากิโกะถามด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้เช่นกัน

“ใช่ ท้องได้สองเดือนกว่าๆแล้วล่ะ ฉันรู้ก่อนที่เขาจะหอบผ้าหอบผ่อนกลับบ้านไป…"

คำตอบของตะวันทำให้พสุธถึงกับอึ้ง…

“นี่ก็แสดงว่าแมงมุมรู้มาตลอดแต่ไม่ยอมบอกผมสักคำ…พี่ก็เหมือนกัน…”

“ฉันว่าก่อนที่แกจะโทษคนอื่น แกลองถามตัวเองก่อนมั้ย
ว่าทำไมเขาถึงไม่ยอมบอกแก ทั้งๆที่แกเป็นพ่อของลูกในท้องของเขา…
ลองหาคำตอบดูสิ…ว่าทำไม…”

คำพูดนั้นทำให้พสุธถึงกับนิ่งไป

ตะวันเองก็อดเห็นใจน้องชายไม่ได้ เพราะหัวอกเดียวกัน
แต่ความผิดพลาดของเขาในอดีตนั้นเขาอยากให้เป็นครูกับน้องชายบ้าง
ไม่อยากเห็นน้องต้องเป็นเช่นเขาในอดีต…
ที่กว่าจะรู้เรื่องทุกอย่างก็สายเกินไปแล้ว…สายจนไม่อาจเรียกร้อง
ให้ลูกสาวของเขากลับมาได้อีก…ไม่มีแม้โอกาสให้กลับไปแก้ไขและแก้ตัว

หากโชคดีที่สุดท้ายตามตะวันเข้าใจเขา เห็นใจเขาและให้โอกาสเขา
ได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง แม้อดีตจะแก้ไขหรือลบล้างไม่ได้
แต่เขาจะทำวันนี้ให้ดีที่สุด…




สักครู่รถคนป่วยก็ถูกเข็นออกจากห้องฉุกเฉินไปยังห้องพิเศษ
พสุธมองภาพศีรษะที่ถูกพันแผล แขนขาที่เข้าเฝือก
ของคนบนเตียงแล้วแทบอยากจะชกหน้าตัวเอง…

ถ้าเปลี่ยนกันได้ เขาอยากเป็นคนที่นอนเจ็บแทนเธอเสียเอง…

เพิ่งมารู้ว่าทำเธอเสียใจ เพิ่งมารู้เอาก็ตอนที่สายจนเกินไป…

เพราะเขามองข้ามและคิดว่าเธอคงเข้าใจเขาได้ดี…
เพิ่งมารู้ว่าเขาทำตัวเหลวแหลกแค่ไหน…จากที่เคยคิดว่าการกระทำของเขา
มันเป็นธรรมดาของลูกผู้ชาย จะผิดอะไรเล่าถ้าเขาจะมีอะไรกับผู้หญิงอื่น
นอกจากภรรยาของตนเองบ้างบางครั้งบางคราว…
ซึ่งพันทิวาเองก็รู้ดีมาตลอดว่าเขาเป็นคนยังไง...

ในเมื่อพวกเธอเหล่านั้นก็ไม่ได้คิดจะผูกพันอะไรกับเขา เราแค่สนุกกัน
และเขาเองก็ไม่ได้รักพวกเธอเหล่านั้นสักนิด ผู้หญิงที่เขารักคือพันทิวา

หากความคิดนั้นทำให้ตอนนี้เขารู้สึกผิด ผิดที่ทำร้ายผู้หญิง…
ผิดที่ทำร้ายคนที่เขารัก…ผิดที่ทำเธอเจ็บปวด…

เพราะความมักง่ายของเขา…ถึงทำให้เธอต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้




มือหนายกขึ้นวางลงบนหน้าท้องของพันทิวาเบาๆ…
อยากจะขอโทษเธอสักพันครั้งที่ทำเธอเจ็บและเสียใจ…เขามันโง่ที่สุด

น้ำตาของบุรุษรื้นขึ้นเมื่อนึกถึงเรื่องราวระหว่างเธอกับเขา…
ที่เธอถามเขาวันนั้นเขายังจำได้…

‘ถ้าฉันมีลูกชายให้นาย…นายจะปล่อยฉันเป็นอิสระจริงๆรึเปล่า…’

วันนี้เขาขอกลับคำพูดทั้งหมด เพราะต่อให้เธอมีลูกชายหรือลูกสาวให้เขา
เขาก็ไม่ยอมให้เธอจากเขาไปไหนทั้งนั้น…เธอจะต้องอยู่กับเขาไปจนแก่เฒ่า
ไปจนกว่าความตายจะพรากเราจากกัน…

...เขาให้สัญญากับตัวเองเลยว่า จากนี้ไปจะไม่ทำให้เธอต้องเจ็บช้ำซ้ำรอยเก่าอีก...

“เจ็บ!!!”คำพูดนั้นทำเอาพสุธและคนอื่นๆในห้องหันไปมองคนป่วย
ที่พยายามยกมือขึ้นแตะศีรษะของตัวเอง…

“ฉันอยู่ที่ไหนเนี่ย…ทำไมมันหนักไปหมดเลย…”พันทิวาพูดไปก็มองไปรอบๆกาย
มองสภาพตัวเองที่ไม่บอกก็รู้ว่าคงขยับไปไหนไม่ได้ไปอีกหลายวัน

…หญิงสาวถอนหายใจ แล้วต้องบ่ายหน้าหนีเมื่อเห็นพสุธนั่งอยู่ข้างๆเตียง

“ตอนนี้เธออยู่ที่โรงพยาบาล…คงต้องนอนให้ฉันป้อนข้าวไปอีกหลายวัน”

คำตอบนั้นไม่ได้ทำให้คนป่วยหันไปมองคนพูดสักนิด
หากกลับเลือกที่จะถามตะวันที่นั่งอยู่บนรถเข็นแทน

“พี่เพลิงมาได้ไงคะ…”

“พี่มากับรักกับเหยี่ยวน่ะ…เป็นไงบ้างล่ะเรา…”

“วุ่นวายกันหมดเลย…มุมต้องขอโทษด้วยนะคะ มุมขับรถไม่ระวังเอง…
มุมทำตัวเองแท้ๆ…”

พันทิวาหน้าเจื่อน เพราะเธอที่ไม่ห่วงตัวเอง ไม่ระวัง เลยเป็นแบบนี้
ถ้าอยู่กับบ้าน ไม่ออกมาตามหาเขา มีหรือจะเห็นภาพบาดตาแบบนั้น
และมีหรือที่จะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้…

เธอมันบ้าที่สุด ที่ไปห่วงใยคนที่ไม่ได้แคร์ความรู้สึกเธอสักนิด…
ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องเป็นห่วงเป็นใยเขาด้วย…

“อย่าโทษตัวเองเลย มันเป็นความผิดของฉันเอง…”
พสุธอดไม่ได้ที่จะโทษตัวเอง เพราะเขา เธอถึงต้องเจ็บแบบนี้…

“งั้นก็นอนพักผ่อนเถอะ…พวกพี่ไม่กวนแล้ว เอาไว้พรุ่งนี้เช้าจะทำของ
อร่อยๆมาฝาก อยากทานอะไรเป็นพิเศษมั้ย…”
อากิโกะถามด้วยรอยยิ้มบาง พันทิวาส่ายหน้า

“อย่าเลยค่ะ…”

“ได้ยังไง ตอนนี้ไม่ได้มีแค่เธอคนเดียวแล้วนะ ยังมีลูกในท้องที่ต้องดูแลอีกคน
งั้นเดี๋ยวพี่จะตุ๋นไก่มาให้นะจ๊ะ รับรองว่าสูตรของพี่ไม่เหมือนใคร”

“พี่ขอการันตี…”ฑยาวีย์ฟันธงยืนยันพร้อมมองหน้าภรรยาด้วยรอยยิ้มกว้าง

“ขอบคุณค่ะพี่รักพี่เหยี่ยว…”แล้วค่อยๆหันไปทางตะวัน

“พี่เพลิงก็กลับไปพักเถอะค่ะ…มุมไม่เป็นไรแล้ว…
คราวนี้พี่เพลิงก็จะได้มีเพื่อนแล้วไงคะ…เรามาแข่งกันว่าใครจะกลับมาเดินได้ก่อนกัน…”

ตะวันยิ้มกว้างกับคำท้าทายของคนป่วยที่ดูจะเข้มแข็งกว่าที่คิด…
แต่ก็ไม่แน่ นักมวยมักชอบเก็บอาการได้ดีกว่าคนทั่วไป…

“งั้นก็มาดวนกัน…ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ…”

ตะวันรับคำท้าทั้งๆที่รู้ว่าโอกาสที่เขาจะกลับมาเดินได้สะดวกเหมือนเมื่อก่อนนั้นแทบไม่มี…
แต่หมอก็ให้ความหวังว่ายังมีทางเป็นไปได้ ถ้าหัดทำกายภาพบำบัด
อย่างน้อยๆตอนนี้เขาก็สามารถขยับแขนและก็พูดได้แล้ว

ซึ่งถ้อยคำดังกล่าวก็ช่วยเรียกรอยยิ้มจากคนอื่นๆในห้องได้
ยกเว้นพสุธที่นั่งนิ่งเงียบสนิท…

“งั้นพวกพี่ขอตัวก่อนนะครับ…แล้วจะให้โทรไปบอกพ่อกับแม่เราเลยรึเปล่า
เผื่ออยากเจอแม่ไง”อากิโกะเอียงคอถามด้วยรอยยิ้มล้อนิดๆ…

“เอาไว้มุมโทรไปบอกเองดีกว่าค่ะ…บอกตอนนี้พ่อกับแม่คงตกใจ
วิ่งหน้าตื่นไม่เป็นอันหลับอันนอนกันพอดี…”

“พี่เองค่อยโล่งใจไปหน่อยที่สมองของเราไม่ได้กระทบกระเทือน
จนน่าเป็นห่วงนัก…งั้นพักผ่อนเถอะ…”ตะวันกล่าวพลางถอนใจ
ด้วยความโล่งอก

“ค่ะ…”พันทิวารู้สึกหนักตาขึ้นมา อาจเป็นเพราะฤทธิ์ยา
หรือเพราะเธอเพลียก็ไม่รู้ถึงทำให้รู้สึกง่วงจนไม่อาจฝืนต่อไปได้อีก…
และก็หลับไปจริงๆ กว่าจะฟื้นตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็เป็นช่วงบ่ายของวันใหม่



“ฉันไม่น่าปล่อยให้เจ้ามุมกลับมาเลยจริงๆ ถ้ามันยังอยู่กับฉัน
ก็คงไม่เกิดเรื่องเกิดราวถึงขนาดนี้…”

แม่ตำลึงเอะอะโวยวายเมื่อเห็นสภาพของลูกสาวที่ทั้งศีรษะ
แขนขาถูกผ้าพันแผลพันเอาไว้อย่างนั้น หัวใจของคนเป็นแม่ที่ไหนจะทนดูได้…

“โถ…เจ้ามุม…”

“ผมขอโทษครับ…มันเป็นความผิดของผมเอง…”
พสุธก้มหน้ารับผิดเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ รู้แต่เพียงว่า รอบนี้เขาโดนหนักที่สุด…

“ฉันผิดหวังในตัวคุณจริงๆ…”ตำลึงมองหน้าลูกเขยด้วยแววตาไม่พอใจ

“พอเถอะแม่ตำลึง ไอ้มุมมันปลอดภัยไม่เป็นอะไรไปมากกว่านี้ก็ดีแค่ไหนแล้ว…”
คนเป็นพ่อที่ปกติไม่ค่อยปลื้มลูกเขยสักเท่าไหร่
กลับเป็นฝ่ายห้ามปรามภรรยาเสีย ก่อนจะมองหน้าคนผิดที่สำนึกได้อย่างเห็นใจ

…อย่างไรเสียเจ้านี่มันก็พ่อของหลานเขา

“แม่…”พันทิวาตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงเอะอะโวยวายของมารดา

“เจ้ามุม…”ตำลึงเห็นลูกสาวฟื้นแล้วก็โล่งอก ยิ้มดีใจ
กุมมือลูกสาวเอาไว้แน่น

“เจ็บมากมั้ย…”พันทิวายิ้มให้มารดา ซึ้งใจกับแววตาห่วงใยที่เธอสัมผัสได้

“ถ้าบอกว่าไม่เจ็บแม่คงไม่เชื่อ…แต่แค่นี้มุมไม่เป็นไรหรอกแม่
มุมน่ะอดีตแชมป์มวยเชียวนะแม่ แค่นี้ไหวอยู่แล้ว…
ว่าแต่แม่เอะอะโวยวายอะไรเหรอ มุมตกใจฝันสลายหมดเลย…”

ตำลึงค่อยโล่งใจมากยิ่งขึ้นที่ลูกสาวยังคงต่อปากต่อคำกับหล่อนได้เหมือนปกติ

“ก็ผัวแกน่ะสิ…ไม่ได้เรื่อง…”พูดพลางก็ตวัดหางตาไปทางพสุธ
จนพันทิวาถึงกับอมยิ้ม

“ทีเมื่อก่อนเห็นเข้าข้างให้ท้ายกันตลอด…”

“ก็ตอนนั้นลายมันยังไม่ออกนี่…”แววตาขุ่นๆกับน้ำเสียงเคืองนั้น
ทำให้คนเป็นสามีถึงกับส่่ายหน้าไหวๆจึงช่วยเปลี่ยนเรื่องเสีย…

เพราะเท่าที่ดูคนผิดคงโดนมาไม่น้อยแล้ว…เขาไม่อยากซ้ำเติมอีก

“ว่าแต่แกหิวรึยัง…”พันทิวาหันไปทางบิดาแล้วส่ายหน้า

“ยังเลยจ๊ะ…แต่ถ้าเกิดมุมหิวขึ้นมา แล้วจะกินยังไงล่ะคราวนี้
หมอเล่นห่อมุมเหมือนมัมมี่เลย…ดูสิ…มองไปตรงไหนก็มีแต่ผ้าพันแผล…”

พันทิวาพูดไปยิ้มไป ก่อนจะหันไปทางพี่ชายที่ยืนอมยิ้มแก้มป่องอยู่

“ขอกระจกหน่อยสิพี่ยักษ์…มุมอยากรู้ว่่าหน้ามุมยังสวยดีอยู่รึเปล่า…”

“ก็ยังขี้เหร่อยู่เหมือนเดิมนั่นแหล่ะ…อย่าดูเลย…”

“น่าพี่ยักษ์ ให้มุมดูหน่อย…เผื่อจะขี้เหร่เพิ่มขึ้นกว่าเดิมไง…นะ”
พยัคฆ์ก็เลยออกไปขอกระจกจากพยาบาลสาวมาให้น้องสาวส่องดู

“ใจคอแกจะถามถึงแต่ใบหน้าไม่ถามถึงลูกในท้องแกบ้างรึไง…”

คนเป็นแม่แขวะลูกสาวที่ดูจะหวงสวยขึ้นมา
ทั้งๆที่ปกติไม่เห็นจะสนใจเสื้อผ้าหน้าผมสักเท่าไหร่

“มุมถามหมอตั้งแต่อยู่ในห้องฉุกเฉินแล้วแม่ หมอบอกว่าลูกมุมโอเค…”

พสุธกระตุกคิ้วกับประโยคนั้นของพันทิวา เพราะตอนที่เขาเข้าไปอุ้มเธอในรถ
เธอสลบคาพวงมาลัย ระหว่างที่ขับรถไปส่งเธอที่โรงพยาบาลเธอก็ยังไม่ได้สติด้วยซ้ำ…

“ก็ไหนพ่อดินทรายเขาบอกว่าแกสลบไปไง…”พันทิวาจึงเหลือบมอง
ไปทางพสุธนิดนึงก่อนจะหันมาตอบบิดาว่า

“ก็หมอน่ะสิ เอาเข็มทิ่มแขนมุม มุมก็เลยตกใจ…”

“โรคกลัวเข็มขึ้นสมองกำเริบว่างั้น…”คนเป็นลูกยิ้มแหย…
พสุธเองก็อดอมยิ้มไม่ได้กับสีหน้าท่าทางนั้น…

“เอ้า กระจก ส่องดูซะ จะได้รู้ว่าแกขี้เหร่ขนาดไหน…”พยัคฆ์ส่งกระจกให้น้องสาว
พันทิวารับมาแล้วส่องดูก่อนจะตกใจกับผ้าพันแผลที่ศีรษะของตัวเอง

นึกว่าหัวจะรอดพ้น สุดท้ายก็ร่อแร่ไม่แพ้แขนขาเลย
ถึงว่าทำไมถึงได้รู้สึกเจ็บหัวนัก…

“โห…ทำไมหัวมุมโดนพันซะหมดสวยเลยล่ะแม่…ถึงว่าสิ
พี่ยักษ์ยืนอมยิ้มตลอด ที่แท้ก็ขำมุมใช่มั้ยล่ะ…”

คนเป็นพี่ยิ่งขำเมื่อน้องสาวจ้องเขาราวกับเอาเรื่อง

“ก็นะ คนไม่สวย ทำอะไรก็น่่าขำเสมอ…เกิดมาไม่สวยอย่่างแก
ก็น่าอิจฉาเหมือนกันนะเนี่ย…เพราะเล่นตลกในโรงพยาบาลได้สบาย”
พยัคฆ์กระเซ้าน้องสาวเล่น

“คำก็ไม่สวย สองคำก็ไม่สวย หน้าอย่างนี้ไม่สวย แล้วใครท่ีไหนจะสวย
แม่ว่าจริงมั้ย…”พันทิวาหันไปหาตัวช่วยที่อยู่ข้างตัวเองทันที

“แน่นอน…แกสวยเสมอสำหรับแม่…”แม่ตำลึงยืนยันเสียงหนักแน่น
หากกลับอมยิ้มกับท่าทางลิงโลดของแม่ลูกสาวที่ดูจะร่าเริงมากกว่าปกติ

“อย่าคิดมากไปเลยน้องรัก นอนพักสักวันสองวันเดี๋ยวก็กลับมาขี้เหร่เหมือนเดิมแล้ว…”
พยัคฆ์ยังไม่เลิกหยอกน้องสาว…

“ไม่คิดมากได้ไง ดูสิเป็นมัมมี่อย่างนี้ มีหวังต้องนอนแหง็กไปไหนไม่ได้ไปหลายวันแน่เลย…
เหมือนโดนล็อกแขนล็อกขายังไงก็ไม่รู้สิ…”

“ฉันว่าไม่ใช่มัมมี่หรอก เป็นมุมมี่มากกว่า…แมงมุมอย่างแกโดนพันแขนพันขาก็ดีแล้ว
จะได้ไม่ไปชักใยซุกซนที่ไหนให้รถพังอีก…สงสารรถมัน
ป่านนี้คงโดนเฉือนชิ้นส่วนส่งขายทอดตลาดแล้วมั้ง ซวยจริงๆรถคันนั้น

แถมป้ายรถเมล์นั่นอีก ป่านนี้คงนอนพะงาบๆข้างถนนรอให้เทศบาลมายกไปชั่งกิโลขายอยู่มั้ง…
ไม่รู้เป็นเพราะเกิดมาผิดที่ผิดทางหรือเป็นเพราะเลือกที่เกิดไม่ได้…

ยืนนิ่งๆในที่ของมันอยู่ดีๆก็มีคนไม่สวยขับรถคันหรูไปชนเข้าจนได้…
เวรกรรมของมันแท้ๆ”

พยัคฆ์ส่ายหน้าขณะตีหน้าเศร้ากับโชคชะตาของรถและป้ายรถเมล์เจ้ากรรม…

พันทิวาหมั่นไส้พี่ชายจนลืมตัวขยับกายหมายจะลุกขึ้นฟาดพี่ชายสักป้าบสองป้าบ
หากกลับรู้สึกเจ็บจี๊ดๆที่ศีรษะ พสุธเห็นท่่าไม่ดีก็เลยเข้าไปประคอง

“อย่าเพิ่งลุกสิ…”เสียงนั้นเหมือนจะดุนิดๆ

“ไม่ต้องมายุ่ง…”พันทิวาพูดเสียงสะบัด พสุธหน้าเจื่อนนิดนึง

“ไม่ให้ยุ่งได้ยังไง…เธอเจ็บก็เพราะฉัน…”พันทิวาหลุบตาหันไปทางพี่ชาย
แล้วแยกเขี้ยวใส่แทน พ่อกับแม่มองสองพี่น้องแล้วได้แต่ส่ายหน้า

“อยากเตะพี่ก็รอให้ยกเท้าได้ก่อนนะน้องรัก…”พยัคฆ์ยังคงยั่วน้องสาวไม่เลิก…

“เขาว่า คนไม่สวยผิดเสมอ เกิดมาไม่สวยก็ต้องทำใจนะน้องรักของพี่ยักษ์”

“ฝากไว้ก่อนเถอะพี่ยักษ์…”คนเป็นน้องแยกเขี้ยวคาดโทษพี่ชายจอมยั่ว

“ฝากนานๆไม่ได้นะ เดี๋ยวเหี่ยว…”

“อุ้ย…”พันทิวายกมือที่เข้าเฝือกอยู่ขึ้นหมายจะกุมขมับแต่กลับลำบาก
เพราะเริ่มปวดแขนซ้ำ…พสุธจึงจับหญิงสาวแล้วให้เธอนอนลงดังเดิม
ก็พอดีกับที่หมอเข้ามาตรวจดูอาการคนป่วย…
และก่อนจะออกไปหมอกำชับว่า

“คงต้องนอนพักรอดูอาการอีกหลายวัน ยังไงก็อย่าให้คนไข้
ขยับเคลื่อนไหวเกินความจำเป็นมากนักนะครับ
ถ้ามีอะไรก็ให้กดปุ่มเรียกพยาบาลได้ตลอด…”





ช่วงเย็นของวันนั้น สิ้นรักกับปองขวัญก็เข้ามาเยี่ยมพันทิวา
เพราะเธอทั้งสองก็เพิ่งได้ข่าวจากรังสิมันต์กับวายุที่ถึงจะอยู่ไกลถึงแดนใต้
แต่ข่าวคราวว่องไวไปไกลถึงโน้นก่อนเธอสองคนจะทราบเรื่องด้วยซ้ำ

“พี่ลมกับพี่รังฝากเยี่ยมเธอด้วย…บอกว่าจะขึ้นมาด้วยกันพรุ่งนี้…”
สิ้นรักกล่าวพลางมองสภาพของน้องรักด้วยแววตาห่วงใย

“เจ็บมากมั้ยเนี่ย…”

“เจ็บค่ะ…แต่ไม่เป็นไร…”

“พี่ยินดีด้วยนะเรื่องน้องน่ะ…”พันทิวายิ้มเขินกับแววตาที่สิ้นรักมองมา

“พี่รังโทรมาบอกพี่เมื่อตอนบ่ายๆว่าเราท้อง ให้พี่รีบมาถามข่าวว่าลูกเราปลอดภัยดีรึเปล่า
เพราะหลังจากทราบข่าวเราว่าประสบอุบัติเหตุ จากพี่ลม พี่รังก็รีบโทรหาพี่ทันที…
บอกให้รีบมาดูอาการเรา”

“ฝากขอบคุณพี่หมอรังกับพี่ลมด้วยนะคะ…ลูกมุมโอเคค่ะ…
สงสัยคงหัวแข็งเหมือนแม่…เห็นมั้ยคะว่าหัวมุมยังโอเคดี…”สิ้นรัก
กับปองขวัญยิ้มขันกับสีหน้าของคนพูด

“นี่ขนาดไม่สบาย ยังพูดจาทำให้คนมาเยี่ยมขำและอารมณ์ดีได้อย่างนี้
แสดงว่าสมองและหัวใจยังโอเคจริงๆด้วย…”ปองขวัญกล่าวพลาง
ก็มองไปทางพสุธที่นั่งเงียบอยู่ตรงมุมห้อง…

“ว่าแต่คนอื่นๆล่ะ…”

“มุมไล่กลับกันไปหมดแล้วค่ะ…เหลือแค่คนเดียว ไล่ไปเท่าไหร่ก็ไม่ยอมไปสักที…
น้ำท่าก็ไม่อาบ เสื้อผ้าก็ยังไม่เปลี่ยน เหม็นจะแย่…”

พสุธถึงกับสะดุ้งโหยงเมื่อโดนพาดพิง สองสาวผู้มาใหม่ถึงกับหัวเราะ
ออกมาเบาๆกับสีหน้าท่าทางนั้นของเขา…

“งั้นพี่ว่า ดินกลับไปอาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีมั้ย
เดี๋ยวพี่กับพี่ปองเฝ้าแมงมุมให้เอง…รับรองว่าจะดูแลไม่ให้หายไปไหนเลย”

สิ้นรักกระเซ้าคนเฝ้าไข้ที่ดูจะหวงคนไข้ เฝ้ามองไม่ให้คลาดสายตา
ราวกับกลัวว่าพันทิวาจะหายไปอย่างนั้น…

“ครับ…งั้นผมฝากด้วยนะครับ…”พูดเสร็จก็หันไปทางพันทิวา

“เดี๋ยวฉันมานะ…อยากได้อะไรมั้ย…”พันทิวาส่ายหน้า
พสุธจึงขอตัวกลับบ้านไปอาบน้ำอาบท่่าเปลี่ยนเสื้อผ้าตามคำขอของสาวๆ
ที่คงจะดูสภาพของเขาไม่ได้…



“น้าดินกลับมาแล้ว…น้ามุมเป็นไงบ้างคะ…”

“แล้วเราสองคนไม่ได้ไปโรงเรียนเหรอ…”

“วันนี้วันหยุดครับ…”คนเป็นน้าจึงส่งยิ้มให้หลานรักทั้งสอง
ที่ตัวติดกันเป็นปลาท่องโก๋ เจออีกคนตรงไหนก็ต้องเห็นอีกคนตรงนั้นเสมอ

“ให้เราสองคนไปเยี่ยมน้ามุมด้วยนะคะ…เมื่อเช้าตื่นไม่ทัน…”
เสียงออดอ้อนนั้นทำให้พสุธยิ้มบางที่มุมปาก

“ได้สิ แต่ขอน้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ…”

“ไชโย…”เด็กๆส่งเสียงร้องเต้นดีใจ…


“น้ามุมรู้มั้ยคะ…เมื่อเช้าพี่ต้นกินขนมครกที่น้ามุมแบ่งไว้ให้น้าดินหมดคนเดียวเลย…
ปายตื่นมาก็ไม่เห็นแล้ว…”เด็กหญิงปลายฝนถือโอกาสฟ้องเจ้าของขนมครก
ที่กำลังนอนมองทั้งสองอยู่บนเตียงด้วยแววตาเอ็นดู

พสุธที่นั่งอยู่บนโซฟาถึงกับหูผึ่งทันทีกับถ้อยคำเมื่อครู่ของหลานสาว

“ก็พี่เห็นว่าถ้าปล่อยไว้เดี๋ยวมันจะบูดนี่ ของอร่อยๆน่าเสียดายออก…”

คนโดนฟ้องออกตัวทันทีพลางมองหน้าพันทิวาด้วยแววตาขอโทษ

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ…เอาไว้ถ้าน้องต้นกับน้องปายชอบ วันหลังน้ามุมจะทำให้กินอีก…
แต่ต้องรอให้น้ามุมหายก่อนนะ…”พันทิวาอยากจะยกมือขึ้นลูบหัวทุยๆนั่นของทั้งสอง
แต่ติดตรงที่ไม่สะดวกเพราะสองแขนโดนเข้าเฝือกอย่างที่เห็น…

พสุธนั่งยิ้มอยู่คนเดียวเมื่อรู้ว่าอีกคนนั้นทำขนมมาเผื่อเขาด้วย
แต่อดเสียดายไม่ได้ที่ไม่มีโอกาสได้กิน…

“น้าดินรู้มั้ยคะ…ว่าขนมครกย่อมาจากอะไร…”หลานสาวของพสุธ
หันมาทางน้าชายแล้วถามเสียงใส พันทิวาถึงกับกลื่นน้ำลายลงคอ
หันไปอีกทางทันที…พสุธขมวดคิ้วกับสีหน้าท่าทางนั้นของคนป่วย
ก่อนจะหันมาพูดกับหลานสาวว่า

“ไม่รู้สิ…น้าไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อนเลย ขนมครกก็คือขนมครก
ทำไมมันเป็นตัวย่อเหรอ…”แววตาสงสัยใคร่รู้ของน้าชายทำให้
เด็กชายต้นหนาวกับเด็กหญิงปายหันมาส่งยิ้มให้กัน…

“ครับ…มันเป็นตัวย่อ เพราะ คอควาย รอเรือ และกอไก่
ย่อมาจาก คนรักกันครับ…”

พสุธถึงกับตกใจจนอดยิ้มออกมาไม่ได้
กับคำเฉลยจากปากหลานชาย…แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ เด็กตัวเท่านี้
ทำไมถึงรู้เรื่องพวกนี้ได้…

“เราสองคนได้มาจากไหนกัน…น้าไม่เห็นเคยได้ยิน…”

“น้ามุมเป็นคนบอกค่ะ…น้ามุมบอกว่า ขนมครก เป็นขนมของคนรักกัน…
สงสัยพี่ต้นคงรักน้ามุมมากๆก็เลยกินขนมคนรักกันจนหมดคนเดียวไม่แบ่งให้ปายเลย…”

คนเป็นน้องยังไม่วายย้ำเรื่องเก่าที่ยังเคืองพี่ชายอยู่ไม่หาย

ทำเอาพสุธถึงกับหันไปมองคนป่วยที่หันหน้าไปอีกทางด้วยรอยยิ้มเต็มดวงหน้า…

“และก็แสดงว่าน้ามุมก็รักน้าดินมากๆด้วย
เพราะน้ามุมแบ่งขนมครกไว้ให้น้าดินตั้งกล่องเบ้อเริ่มเลย…

แต่น่าเสียดาย น้าดินอดกิน…เลยไม่รู้ว่าอร่อยแค่ไหน…
อร่อยกว่าขนมเค้กอีก มีตั้งสี่หน้าเลย…”

พสุธฟังหลานสาวเจื้อยแจ้วไปก็มองคนบนเตียง
ที่ยังไม่ยอมหันมาทางเขาไปด้วยแววตาเป็นประกาย

“สุดท้ายก็เลยเสร็จพี่ต้นคนเดียว…”คนเป็นพี่หันมาแยกเขี้ยวใส่น้องสาว
ท่ียังคงย้ำอยู่นั่นแหล่ะกับเรื่องที่เขากินขนมครกคนเดียวจนหมดกล่อง
ไม่ยอมแบ่งไว้ให้ตนเอง…

“ก็ใครอยากตื่นสายล่ะ…”สองเสียงยังคงเถียงกันเรื่องขนมครก
จนพสุธได้แต่ส่ายหน้าไหวๆ…

“หิวมั้ย…”พสุธเดินไปยังเตียงนอนถามคนที่นอนหันหน้าไปอีกทาง
ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยนกว่าครั้งไหนๆ…
หากพันทิวากลับส่ายหน้า ไม่ใส่ใจ

“กินหน่อยนะ…หรืออยากกินขนมครกก็ได้นะ เดี๋ยวฉันไปหามาให้…”

ถ้อยคำนั้นทำให้พันทิวาหันมามองคนพูดทันที…ก่อนจะเหลือบไปทาง
เด็กๆที่ตอนนี้กำลังทานของว่างกันอยู่บนโซฟา…

“ยกโทษให้ฉันได้มั้ย…ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำแบบนั้นอีก…จะไม่เผลอใจ
จะไม่ปันใจ จะไม่นอกใจเธออีกแล้ว…”
พูดพลางนั่งลงข้างๆเตียง วางมือลงบนเฝือกที่หุ้มแขนเรียวของหญิงสาว…

“จะให้ฉันขอโทษสักพันครั้งล้านครั้งฉันก็จะทำ ถ้ามันจะทำให้เธอยกโทษให้ฉัน…”
พันทิวาน้ำตารื้นจนออกทางหางตาขณะมองพสุธนิ่ง…
ชายหนุ่มจึงค่อยๆยกมือเกลี่ยน้ำตาให้เธอเบาๆด้วยแววตาสำนึกผิด…

“ฉันเสียใจ…”พันทิวาจ้องตาคนพูดนิ่งนาน…

“นายบอกไม่ได้ตั้งใจ...มันเป็นแค่ความพลั้งเผลอ...
นายอยากให้ฉันยกโทษให้ อยากให้ฉันเข้าใจ...

งั้นฉันขอถามนายได้มั้ยว่าถ้าฉันทำกับนายอย่างที่นายทำกับฉันบ้าง…
ถ้าวันหนึ่งฉันพลั้งเผลอเหมือนกับนายบ้าง…
ถ้าภาพในห้องนั้นเป็นภาพระหว่างฉันกับผู้ชายคนอื่น แล้วนายกำลังยืนดูอยู่…
นายจะรู้สึกยังไง…นายจะคิดยังไงกับฉัน…แค่นี้นายตอบฉันได้มั้ย…”

น้ำเสียงราบเรียบกับแววตาเจ็บปวดของคนพูด
ทำให้พสุธก้มหน้าด้วยความรู้สึกผิด…

เพิ่งรู้ว่าสิ่งที่เขาทำมันแย่แค่ไหน…ก่อนจะจับมือของพันทิวากุมไว้
พร้อมจุมพิตเบาๆ…สบตาหญิงสาวที่เขารักสุดหัวใจ


“ฉันก็มีหัวใจแบบเดียวกันกับนาย ไม่ใช่ท่อนไม้…ที่จะไม่รู้สึกอะไรเลย”
พสุธน้ำตาคลอมองคนเจ็บบนเตียงนิ่งด้วยแววตาเจ็บปวดไม่แพ้กัน…

"แค่คำว่าเสียใจ มันง่ายเกินไปรึเปล่า..."

“ฉันมันเลว…ฉันขอโทษ…ขอโอกาสให้ฉันได้แก้ตัวและพิสูจน์ตัวเอง
อีกสักครั้งเถอะนะ…ว่าฉันรักเธอจริงๆ ไม่ใช่แค่คำพูด…”พสุธสบตา
ที่เอ่อนองไปด้วยน้ำตาของพันทิวาอย่างเว้าวอน…

ในชีวิตนี้ เขาไม่เคยต้องอ้อนวอนใครเท่านี้มาก่อน
แต่ตอนนี้...เขารู้แล้วว่า เขารักเธอ คิดถึงเธอ เป็นห่วงเธอ
และเสียใจกับการกระทำที่ผ่านมาของตัวเองจนไม่รู้จะพูด
หรือทำอย่างไรให้เธอยกโทษให้เขา...

“ที่ผ่านมาอาจดูเหมือนว่าฉันรักเธอไม่เท่าไหร่…แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้ว
ว่าเธอสำคัญกับฉันมากขนาดไหน…เธอเท่านั้นที่ฉันต้องการจริงๆ…

ฉันขอโทษที่ทำให้เธอเสียใจและต้องเจ็บขนาดนี้…ฉันมันโง่เองที่ไม่รู้อะไรเลย…
ขอโอกาสสุดท้ายให้ผู้ชายโง่ๆคนนี้ได้มั้ย…”

พันทิวามองคนที่อ้อนวอนเธอด้วยแววตาสำนึกผิดนิ่งนาน
แล้วก็ให้นึกไปถึงลูกน้อยในท้อง...มือบางจึงลูบท้องตัวเองเบาๆ
น้ำตาของหญิงสาวก็เริ่มปริ่มออกมาอีกครั้ง...

สายตาของเธอเหลือบไปมองเด็กน้อยสองคน...
ก่อนจะมองหน้าพ่อของลูกในท้องของเธอ
แล้วพยักหน้าเบาๆพร้อมกับยิ้มทั้งน้ำตาอาบแก้ม

อย่างน้อยๆลูกน้อยในท้องของเธอก็ไม่ได้มีความผิดใดๆ
เขาบริสุทธิ์ จนเธอไม่อยากสร้างตราบาปหรือสร้างรอยด่างให้เกิดขึ้นในใจลูก
ลูกของเธอควรจะมีพ่อแม่อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน
เฉกเช่นเธอที่มีพ่อแม่อยู่เคียงข้างมาตลอด...

หากจะมีใครต้องเจ็บปวดหรือทนทุกข์ทรมาน...เธอขอรับความเจ็บนั้นไว้เอง...
ลูกจะมารับรู้ความเจ็บปวดนี้ไม่ได้...เขาจะมาแบกรับความผิดพลาดของเธอไม่ได้...
เขาไม่ผิด...และเธอยินยอมและพร้อมจะอดทนกับพ่อของลูกให้ได้...

หากตอนนี้...เขาไม่ได้ฝากผลงานไว้ในครรภ์ของเธอ
มันคงง่ายดายสำหรับเธอมากที่จะไปจากชีวิตของเขา...

ตอนนี้เธอถอยหลังไม่ได้อีกแล้ว...เพราะในกายเธอไม่ได้มีแค่ตัวเองให้ต้องห่วงใย...
แต่กำลังจะมีหัวใจอีกดวงที่กำลังเต้นอยู่ข้างในนั้น...มันช่างมหัศจรรย์ยิ่งกว่าสิ่งใดๆ
ที่เธอเคยประสบพบเจอมาในชีวิต...เธอกำลังเป็นแม่คน...

ได้แต่หวังไว้...ว่าพ่อของลูกในท้องของเธอจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้อย่างที่พูดไว้จริงๆ...
อย่างน้อยเขาก็มีสิทธิ์ในก้อนเลือดก้อนนี้เท่าๆกับเธอ...

“อย่าให้รู้ว่านายนอกใจฉันอีกก็แล้วกัน…เพราะคราวหน้าฉันจะไม่ใจอ่อนแบบนี้อีก…”

เท่านั้นพสุธก็ยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกดีใจ โล่งใจ
ราวกับนักโทษแดนประหารที่ได้รับการอภัยโทษ…

มือหนาจึงยกมือวางลงบนมือของพันทิวาที่กำลังลูบหน้าท้องอยู่
เขารู้ว่าที่เธอยอมเขาง่ายๆแบบนี้เพราะคิดถึงลูกในท้องที่มีเขาเป็นพ่อ...
พสุธมองใบหน้าพันทิวาก่อนจะทำหน้าที่ซับน้ำตาแล้วกอดภรรยาเอาไว้ด้วยความรักใคร่
ห่วงหาอาทรยิ่งกว่าสิ่งใด

เด็กแฝดหันมามองภาพของน้าทั้งสองแล้วยิ้มออกมาด้วยแววตาไร้เดียงสา
ก่อนจะหันไปทางขนมตรงหน้าที่น่าสนใจกว่าภาพหวานๆของคนรักกัน



หลายวันที่พันทิวาซ่อนความเจ็บกายเอาไว้ภายใต้รอยยิ้ม…
เพราะไม่อยากให้อีกคนรู้สึกผิดไปมากกว่านี้อีก…

ที่เธอยอมใจอ่อนเพราะเขายอมตามใจเธอ ไม่ว่าเธอจะหาเรื่อง
ให้เขาไม่ได้หลับได้นอนตื่นขึ้นมาคุยเป็นเพื่อนเธอ เขาก็ยอมข่มตาหลับขับตานอน
แถมยังต้องดูแลเธอทุกอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องกิน เรื่องขับถ่าย เรื่องเช็ดตัว
หรือแม้แต่เล่าโน่นเล่านี่กล่อมเธอเข้านอน…

“กินอะไรหน่อยนะ…เดี๋ยวลูกหิว…”พสุธพูดพลางแตะมือตรงหน้าท้องของพันทิวาเบาๆ
หญิงสาวมองแววตาของคนที่กำลังจะเป็นพ่อของลูกของเธอด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก
รู้แต่เพียงว่ามันทำให้เธอรู้สึกดีอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน…

“ป้อนให้สิ…”น้ำเสียงอายๆกับใบหน้าแดงก่ำของคนป่วยเรียกรอยยิ้ม
จากพสุธเต็มดวงหน้า…

“ฉันจะต้องเป็นมัมมี่อย่างนี้ไปอีกนานมั้ย…”คำถามนั้นทำให้พสุธ
ที่กำลังจะป้อนข้าวให้คนป่วยถึงกับชะงักมือนิดนึง

“ไม่นานหรอก…แต่ต่อให้นาน ฉันก็จะบริการเสริฟถึงปากให้เธอทุกมื้อ…”

“แต่นายมีงานที่ต้องทำต้องรับผิดชอบ…”คำพูดนั้นทำให้พสุธ
ถึงกับลอบถอนใจ…

“พี่ลมกำลังขึ้นมาช่วย…และที่สำคัญคีรีบูรเองก็จะลงมาอยู่ช่วยงานทางนี้ให้อีกแรง…
เธอไม่ต้องกังวลเรื่องอื่นหรอก...พักผ่อนให้หายแล้วฉันจะพาเธอไปเที่ยวเปิดหูเปิดตา…
เราสองคนไม่ได้ไปเที่ยวด้วยกัน

นานแล้ว พี่ลมบอกว่าที่สวนปักษาวายุมีอะไรน่าทำตั้งมากมาย…
เราลองไปใช้ชีวิตแบบลูกทุ่งๆดูมั้ย ลูกเราจะได้รับอากาศดีๆปลอดควันพิษด้วย…”
พันทิวายิ้มบางให้พสุธ ชายหนุ่มเลยส่งอาหารเข้าปากให้คนช่างกังวล…

“อร่อยมั้ย…”คนกำลังเคี้ยวอาหารตุ้ยๆพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มสดใส
พสุธมองรอยยิ้มนั้นราวกับไม่เคยเห็นมาก่อน…พันทิวาไม่เคยยิ้มให้เขา
แบบนี้เลยสักครั้งเดียว…

“ถ้าฉันมีลูกชายให้นาย…”พูดไม่ทันจบอาหารก็ถูกส่งเข้าปากของคนพูดอีกคำโต…

พสุธถึงกับอมยิ้มกับสีหน้าของคนแก้มป่อง พูดไม่ออก
จึงถือโอกาสชิงพูดเสียก่อนว่า

“ลืมเรื่องนั้นซะ คิดซะว่าฉันไม่เคยพูดเรื่องนั้นมาก่อน…”พันทิวาส่ายหน้า
เพราะข้าวยังเต็มปากเลยแย้งไม่ถนัด

“สัญญาและคำพูดก่อนหน้านี้ถือเป็นโมฆะ…เพราะฉันจะไม่ยอม
ปล่อยให้เธอไปไหนทั้งนั้น…เราจะอยู่ด้วยกันอย่างนี้ตลอดไป…
ฉันจะเป็นพ่อของลูกเธอ ส่วนเธอก็จะอยู่เป็นแม่ของลูกฉัน
เราจะมีลูกด้วยกันสักโหล…เป็นไง…”

พันทิวาเตรียมจะอ้าปากพูดแย้งเมื่อเคี้ยวข้าวในปากหมด
ทว่าพสุธรู้ทันจึงยัดอาหารเข้าปากหญิงสาวตอนที่กำลังอ้าปากจะพูดพอดิบพอดี

…พันทิวาจึงได้แต่มองคนป้อนที่แสนเจ้าเล่ห์ด้วยแววตาเขียวปั๊ด

แปลกที่เธอชอบแววตาที่เขาจ้องมองเธออย่างนี้ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่เหมือนกัน
ที่เธอรู้สึกว่าไม่อาจสบตาใครได้ซึ้งใจเท่าสองตาที่อยู่ตรงหน้าเธอในขณะนี้

…แววตาคู่นี้สินะที่ทำให้เธอลืมตัว ยอมให้เขาสั่งโน่นสั่งนี่
และยอมทำตามเขาแต่โดยดีทั้งๆที่เมื่อก่อนไม่เคยยอมใคร…

“เวลากินข้าวเขาไม่ให้พูด เดี๋ยวข้าวติดคอ…”

ด้วยความหวังดีหรือนั่น…

พันทิวาได้แต่มองคนป้อนอย่างเคืองๆในความหวังดีนั้น…

ความหวังดีที่ต้องการให้เธอมีลูกถึงสิบสองคน ถ้าเกิดครั้งเดียวรอบเดียว
แล้วได้สิบสองคนเลยเธอคงไม่ค้าน เพราะสถานภาพและฐานะของเขา
คงเลี้ยงลูกหนึ่งโหลให้เธอได้สบายหายห่วงอยู่แล้ว

แต่ถ้าให้อุ้มท้องและแพ้ท้องเองถึงสิบสองรอบ คงไม่ไหว
อยากตะโกนออกไปดังๆว่าถ้าให้เขาอุ้มท้องและแพ้ท้องแทนเธอ
ต่อให้สักสองโหลเธอก็โอเค

…หากปากไม่เคยมีช่องว่างให้พูดออกไป เพราะพอหมดข้าวในปาก
ก็มีช้อนมาจ่อรอคิวอยู่ตรงปากทางเข้าเรียบร้อยแล้ว

พอจะอ้าปากห้ามก็ไม่ทัน มันเข้าไปปิดปากเธอเรียบร้อยโรงเรียนนายดินทรายทุกที
มือไม้ก็ไม่สามารถช่วยห้ามปรามได้ด้วย…

สรุปเธอคงต้องยอมให้นายนี่บงการชีวิตไปอีกหลายวัน…

…ชีวิตแมงมุมที่ไต่ลงจากคานน้อย มันลำบากลำบน มันสุข มันเศร้า
มันซวยและมันเสี่ยงเยี่ยงนี้นี่เอง…

ใครอยากลงมาใช้ชีวิตใต้คานก็ลองลงมาดูเถอะ
แล้วจะรู้ว่านรกกับสวรรค์ มันอยู่ห่างกันแค่เส้นยาแดงผ่าแปดนี่เอง…




“น้องสิ้นขา…น้องสิ้นของพี่จะย้ายลงไปอยู่ทางใต้จริงๆเหรอคะ…”

“พี่เป็ดวาจะทิ้งคานน้อยของพวกเราไปได้ลงคอเชียวเหรอคะ
ไหนว่ารักคานยิ่งชีพ ไหนว่าจะไม่ลงไปข้างล่างให้ชีช้ำกะหล่ำปลี
หมอรังมีดียังไงถึงทำให้พี่เป็ดวาตัดใจลาคานน้อยของพวกเราไป…”

“แต่งงานเข้าหอเมื่อไหร่ กริ้งกร๊างมาบอกพวกเราด้วยนะคะ มี่อยากรู้…”

“โถ…คุณน้องเขาคงได้ยินเสียงความรักกำลังเพรียกหา
เสียงคลื่นคงครวญครางเรียกหาปลาดาวที่หายไปจากฝั่งอยู่น่ะสิพวกแก
แม่หญิงของเราจึงยอมลาคานน้อยไปหาหาดทราย สายลมและเสียงคลื่น
ที่กำลังกระทบฝั่งรอรักคืนรังอยู่…คิคิคิ…”

เสียงหัวเราะคิๆและเสียงกระเซ้าเย้าแหย่ของบรรดาสมาชิกชมรมคานน้อยคอยรัก
กระแทกโสตประสาทของสิ้นรักที่นั่งทำหน้าไม่ถูกอยู่บนโซฟาในร้านสุดทางรัก
จะกลืนน้ำลายที่ถ่มไปแล้วก็กลืนไม่ลง
จะคายน้ำลายที่กำลังอมอยู่ในปากทิ้งก็ทำไม่ได้…

ความรักมันท่วมอกจนทำให้น้ำท่วมปาก พูดลำบากแท้…

“พวกแกก็คอยแต่ทำให้ประธานชมรมเค้าลำบากใจที่จะย้ายที่ทาง
สร้างรังใหม่อยู่นั่นแหล่ะ…”

สิ้นรักหันไปทางเพื่อนรักอย่างเต็มกมล
ที่ดูจะช่วยกู้เรือที่กำลังจะจมอย่างเธอให้ขึ้นมาลอยลำได้อีกครั้งบนพื้นน้ำ…

รู้สึกเหมือนจะหาคนเข้าข้างตนขึ้นมาทันใด ทว่า…

“คนไม่มีใจจะรั้งไว้ก็เสียเวลาเปล่าๆ ปล่อยเขาไปสู่สุคติเถอะ…”

“เฮ้ย…”สิ้นรักถึงกับสะดุ้งสุดตัวเมื่อเจอเข้ากับประโยคล่าสุด

น้ำที่กำลังท่วมปากไหลบ่่าออกมาทันทีราวกับทำนบแตก

“เมื่อกี้แกใช้ปากหรือตูดของแกพูดฮะไอ้ปุ๊…”

“ปากสิเจ้…ปากจู๋ๆของน้องปุ๊นี่แหล่ะเจ้…ถ้าพูดกับตูดเขาเรียกว่าตด…
เมื่อกี้เจ้ได้ยินเสียงเค้าตดเหรอ…”

คนพูดปั้นหน้าทำปากยื่นใส่เพื่อนสนิทที่รู้จักมักคุ้นกันมาตั้งแต่เด็กๆ
สิ้นรักเลยอดไม่ได้ที่จะดึงจมูกของไอ้เพื่อนจอมยั๊วะเข้าให้อย่างหมั่นไส้…
ก่อนจะยัดขนมปังในจานยัดปากจนเต็มอัตรา คราวนี้จะได้รู้กันว่ามันจะหายใจทางไหน

“โอ้ย…”เต็มกมลร้องครางเมื่อโดนบีบจมูก สิ้นรักยังไม่หายแค้น
เลยยัดขนมปังในจานยัดปากที่กำลังอ้าเพื่อหายใจของเพื่อนจนเต็มอีกรอบ

“คราวนี้จะได้รู้กันว่าแกจะหายใจทางไหน ทางตูดเป็นไงล่ะ…
จะได้ยินเสียงแกตดสะท้านชมรมก็คราวนี้แหล่ะ…ฮ่าๆๆๆ”

ท่าทางของทั้งสองบวกกับคำพูดของสิ้นรักเรียกเสียงหัวเราะจากคนอื่นๆ
ในชมรมคานน้อยคอยรักจนคนมาใหม่ถึงกับลอบยิ้มกับรรยากาศของคนบนคาน…

“โห…พูดถึงก็มาโน้นแล้ว ตายยากจริงๆพ่อหมอสุดหล่อของเจ๊…”

เลอเลิศวิ่งกรีดกรายเข้าไปหาผู้มาใหม่ทันทีที่เห็นหน้า…

สิ้นรักหันไปมองก็พบกับรอยยิ้มเย็นตาเย็นใจที่แสนคุ้นเคยของรังสิมันต์
ซึ่งตอนนี้โดนสาวๆชมรมคานน้อยคอยรักรุมทึ้งอยู่ตรงกลางห้องรับแขก…


“มามะ…มาให้พี่ชื่นชมก่อนแต่ง เพราะแต่งไปแล้วคงไม่มีโอกาส
จะได้ลูบคลำแบบนี้อีกแน่ๆ…พี่ขอหอมแก้มหมอรังสักครั้งได้มั้ยคะน้องสิ้นคนฮาม…”

ไฟเขียวไม่ทันเปิด เลอเลิศก็ฉกแก้มของรังสิมันต์ไปฟอดใหญ่
ทำเอาชายหนุ่มถึงกับขนลุกขนพอง…วิ่งออกมาจากวงล้อมของเหล่าชะนีและเก้งกวางทันที…

“มาค่ะ เดี๋ยวรักเช็ดรอยลิปสติกให้…”
เลอเลิศถึงกับเต้นร่าเมื่อเห็นรังสิมันต์นั่งลงข้างๆสิ้นรัก
แถมยังยื่นแก้มที่มีรูปปากสีแดงแจ๊ดของเธอติดอยู่ออกให้

เช็ดเสร็จสิ้นรักก็หันไปยิ้มเย้ยกระเทยใหญ่แล้วพูดว่า…

“เดี๋ยววันแต่งสิ้นจะหอมแก้มทับรอยลิปสติกนี้ให้นะคะพี่รัง…
รับรองว่ารูปปากบนแก้มของพี่รังจะต้องสวยสดงดงามกว่าของพี่เริศเมื่อกี้เป็นไหนๆแน่เชียว…”

รังสิมันต์ยิ้มขันกับท่าทางและคำพูดของคนตรงหน้า
จนอยากจะหอมแก้มนั้นให้หายหมั่นเขี้ยวสักครั้ง

“หอมตอนนี้ก็ได้ พี่ไม่ถือ…”

“ไม่ได้ค่ะ…ยังไม่ถึงเวลา…อุ้ย…ยังลบไม่หมดเลยค่ะ…มาค่ะมา…
เดี๋ยวรักจะลบให้หมดจดเลยเชียว…”

สิ้นรักปั้นหน้าปั้นตาเย้ยเลอเลิศขณะเช็ดแก้มของรังสิมันต์ด้วยผ้าเช็ดหน้าของตนเอง…
ทำเอาเต็มกมลและคนอื่นๆที่มองอยู่ถึงกับหมั่นไส้คู่รักเที่ยวล่าสุด
ที่กำลังถอยจากคานน้อยเพื่อบินไปสร้างรังรักไกลถึงเกาะรัง…

“น้อยๆหน่อยไอ้สิ้น เดี๋ยวคนแถวนี้จะพากันอิจฉาจนเลือดกำเดาไหล…”
เต็มกมลอดไม่ได้ที่จะหาเรื่องเพื่อน…สิ้นรักกลับลอยหน้าลอยตาหาสนไม่

“อย่าได้แคร์สื่อค่ะพี่รัง…”สิ้นรักหันไปพูดแล้วส่งยิ้มให้รังสิมันต์
ก่อนจะหันมาทางเพื่อนอย่างเต็มกมลแล้วฉีกยิ้มพูดเย้ยเพื่อนอย่างไม่แคร์สื่อว่า

“คนรักกัน…ทำอะไรก็น่าอิจฉาอย่างนี้แหล่ะ
ถ้าแกไม่อยากอิจฉาฉันอยู่อย่างนี้ ก็หาคนมาแต่งงานให้ได้ก่อนงานแต่งฉันสิ...
ว่าแต่จะทันเร้อ…สงสัยคงไม่ทันแล้ว…ฮ่าๆๆๆ”
สิ้นรักหัวเราะเพื่อนอย่างสนุกร่าเริง…

“ความรักของฉันมันตำตาจนทำให้แกทนดูไม่ได้ล่ะสิ…เหอๆๆๆ”
เต็มกมลชี้นิ้วโป้งเพื่อนรักแล้วคาดโทษไปว่า…

“ระวังจะลื่นตกจากคานแข้งขาหักวันแต่งล่ะแก…ท่าทางซุ่มซ่ามอย่างแก
ฉันล่ะกลัวจริงๆ…”

“แกแช่งฉันเหรอไอ้ปุ๊…”เต็มกมลยักไหล่

“งั้นขออวยพรล่วงหน้าให้แกเดินลงจากคานอย่างปลอดภัย…
ไม่หัวร้างข้างแตกอกเดาะ ไม่เท้าพลิกเท้าแปลง ไม่ลื่นหกล้มก้นขวิด ไม่…”

“พอ!!!”สิ้นรักยกมือห้าม ทำตาขมึง…

เต็มกมลจึงยิ้มขันกับท่าทางนั้นก่อนจะหันไปยักคิ้วหลิ่วตาให้รังสิมันต์ที่นั่งอยู่ข้างๆสิ้นรัก

“อยากอวยพรให้พี่โชคดี แต่เท่าที่เห็นๆ ผมว่าท่าจะโชคดียาก…ฮ่าๆๆ”

พูดจบก็เดินหัวเราะออกจากร้านไป
ก่อนจะออกจากร้านก็ยังไม่วายหันมาทิ้งทวนด้วยการยกกล้องถ่ายรูปที่คล้องคออยู่
แล้วกดชัดเตอร์ใบหน้าเหวอปากหวอของสิ้นรักที่กำลังอ้าปาก
จะต่อว่าเขาก่อนไปด้วยสองแชะ…

“แล้วฉันจะอัดรูปโตๆส่งไปให้เป็นของขวัญหน้างานแต่งของแก
คืนสยิวจะได้สยองไง…”

สิ้นรักกัดฟันมองเพื่อนตาเขียวเรืองแสง

รังสิมันต์ได้แต่ยิ้มพลางส่ายหน้าให้กับสองสหายที่ไม่ว่ากี่ปีผ่านไป
ก็ยังคงกัดกันเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน…





“ฉันมีเรื่องที่ต้องเตือนแก…”
วายุเอ่ยกับรังสิมันต์เมื่อมีโอกาสได้อยู่กันตามลำพังในสวนดอกไม้หลังร้านของสิ้นรัก
โดยท่ีสิ้นรักกับปองขวัญกำลังสนุกกับการเข้าครัวทำอาหารเย็นให้พวกเขาทานในห้องครัว

“เรื่องสองพี่น้องจอมปลวกอะไรนั่นน่ะเหรอ…”
วายุพยักหน้า รังสิมันต์ลอบถอนใจมองไปยังดอกกุหลาบสีขาว
ที่ออกดอกบานสะพรั่งรอบๆบริเวณศาลาที่พวกเขากำลังนั่งอยู่

“ใช่…ถ้าสองพี่น้องนั้นรู้ว่านาโนเป็นลูกสาวของอาบัน
มีหวังคนที่ต้องตกอยู่ในอันตรายที่สุดในตอนนี้ก็คือนาโน
เพราะฉันมองแววตาที่นายขุนศึกมองนาโนออกตั้งแต่ตอนแรกแล้วว่า
มันพอใจนาโนแค่ไหน…

ยิ่งถ้ามันรู้ว่าแกกับนาโนคบกัน ฉันว่าเรื่องมันจะจบไม่ง่าย…
สองพี่น้องนั้นต้องใช้นายขุนศึกพิชิตเกาะรังกับเกาะชิงชังแน่ๆ…”

รังสิมันต์หันมาทางเพื่อนด้วยสีหน้าราบเรียบ…ก่อนจะเล่าเรื่องราว
ความหลังเมื่อครั้งยังเยาว์ให้วายุฟัง

“นายขุนศึกเคยเป็นรุ่นพี่ของฉันตอนเรียนมัธยม…
เป็นคนๆเดียวกันกับที่ฆ่าแมวทุกตัวที่ฉันเคยเลี้ยงแล้วย่างส่งมาให้ฉันกิน…

เมื่อก่อนบ้านของเขาอยู่ติดกับบ้านของฉัน…
และฉันเคยสั่งสอนเขากับลูกน้องของเขาจนเละกลับไปในงานวันเกิดฉัน…”

วายุถึงกับกระตุกคิ้วกับคำบอกเล่านั้นของเพื่อนรัก

เขาจำเรื่องที่ฑยาวีย์น้องชายของเพื่อนเล่าให้เขาฟังได้
ว่าทำไมไอ้รังเพื่อนของเขาถึงดูกลัวแมว ซึ่งจริงๆไม่ใช่เพราะความกลัว
แต่เป็นเพราะขนลุกทุกครั้งเมื่อนึกถึงตอนได้กินเนื้อแมวย่างที่รุ่นพี่
ที่เคยหมั่นไส้เพื่อนของเขาเพราะเด่นเกินหน้าช่วงสมัยเรียน
ก็เลยกะจะสั่งสอน แต่กลับโดนเพื่อนของเขาสั่งสอนกลับไปแทน
เขาเองก็เพิ่งรู้ว่ารุ่นพี่คนนั้นคือ นายขุนศึกจากปากเพื่อนเมื่อครู่นี่เอง…

“นั่นก็แสดงว่าแกกับนายขุนศึกเคยรู้จักกันมาก่อน…”รังสิมันต์พยักหน้า

“บ้านเขากับบ้านฉันเคยอยู่ติดกัน เพราะพ่อของเขา
เคยเป็นหุ้นส่วนกิจการโรงแรมกับพ่อของฉัน แต่หลังจากที่พ่อเสียชีวิตไป…
คุณหญิงขึ้นรับช่วงตำแหน่งต่อจากพ่อแทน…

เขาไม่ค่อยพอใจกับการบริหารงานที่มีผู้หญิงเป็นหัวเรือใหญ่
หลายครั้งที่เขากลั่นแกล้งและข่มขู่คุณหญิงเพื่อให้ขายหุ้นให้กับเขา…
แต่คุณหญิงไม่ยอม ลุงกุมพลซึ่งเคยเป็นมือขวาของพ่อจึงคอยอยู่ช่วยเหลือคุณหญิง…

เป็นไงมาไงก็ไม่รู้เหมือนกัน จนในที่สุด เขาก็ยอมถอนตัว
ขายหุ้นแล้วย้ายครอบครัวมาอยู่กรุงเทพฯ เสียเอง

ฉันเคยถามคุณหญิงเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ท่านไม่ยอมปริปากบอก…
ท่านบอกแค่ว่า ให้ฉันรักษาเกาะรังเอาไว้ให้ดีที่สุด เพราะพ่อรักและหวงเกาะนั่นมาก…”

วายุฟังที่เพื่อนเล่าแล้วพยายามจับต้นชนปลายในสิ่งที่เขาได้รับรู้มาก่อนหน้านี้…

“นอกจากเกาะรังจะมีรังนกกับฟาร์มหอยมุกแล้ว ที่นั่นยังมีอะไรที่น่าสนใจอีกรึเปล่าไอ้รัง…
ฉันว่าถ้าพ่อแกรักและหวงขนาดนั้น ที่นั่นก็น่าจะมีบางอย่าง
ที่ทำให้พวกสองพี่น้องจอมปลวกนั่นต้องการครอบครอง

เพราะแค่รังนกกับฟาร์มหอยมุก มันดูไม่สมเหตุสมผลพอที่จะทำให้สองพี่น้อง
ที่แสนจะร่ำรวยยอมลงมาเสี่ยงแบบนี้…มันน่าจะมีอะไรมากกว่านั้นสิ…รึแกว่าไง…”

วายุสันนิษฐานตามประสานักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์เหมือนๆกับตระกูลทวีวรวรรณ

ส่วนรังสิมันต์นิ่งแววตาสงบหากคมกริบเมื่อมองไปยังดอกกุหลาบขาวดอกนั้น
ที่เขาจ้องเมื่อครู่นิ่งนาน…ก่อนจะกล่าวกับวายุด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
หากแววตากลับซ่อนนัยบางอย่างเอาไว้

“ฉันไม่รู้หรอกว่าที่นั่นมีอะไรมากกว่าที่ตาเห็น แต่ที่ฉันรู้
ที่นั่นมีดอกกุหลาบขาวเหมือนๆกับดอกกุหลาบขาวที่นี่…

เป็นกุหลาบขาวพันธุ์เดียวกัน แต่แปลกตรงที่ดอกกุหลาบที่โน่น
มันจะอยู่กระจัดกระจายกัน…เหมือนกับว่ามันงอกขึ้นตามธรรมชาติ

แต่ดูอีกที ฉันว่ามันเหมือนมีใครบางคนตั้งใจปลูกมันขึ้นมาให้ดูเหมือนธรรมชาติมากกว่า…

และมันคงไม่แปลก เพราะใครๆก็สามารถปลูกกุหลาบขาวได้ทั้งนั้น…

แต่กุหลาบที่นี่กับที่เกาะรังเหมือนกันตรงที่ความเก่า”

ประโยคสุดท้ายทำให้คนฟังอย่างวายุถึงกับแปลกใจ
รังสิมันต์มองเพื่อนนิ่งๆขณะถามว่า…

“แกรู้มั้ยว่าใครปลูกดอกกุหลาบขาวในสวนนี้…
แล้วแกว่ากุหลาบขาวสื่อความหมายถึงอะไรได้บ้าง…”

วายุกับรังสิมันต์มองตากัน แต่ไม่ทันได้กล่าวอะไร
สองสาวก็เดินมาหาพร้อมถาดอาหาร

“หิวกันรึยังคะ…วันนี้เราสองคนทำแกงมัสมั่นไก่ ปลาทอด
แก้งส้มกุ้งกับดอกแค แล้วก็ไข่ชุบชะอมค่ะ…”

ว่าพลางก็จัดแจงอาหารที่กำลังส่งกลิ่นหอมน่ากินไปพลาง
ทำเอาสองหนุ่มที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับเรื่องที่น่าเวียนหัวถึงกับท้องร้องขึ้นมาพร้อมกัน…

“มาทานกันเถอะค่ะ…กำลังร้อนๆ…”ปองขวัญเริ่มตักข้าวใส่จานให้กับสองหนุ่ม
ส่วนสิ้นรักรินน้ำเย็นๆส่งให้ก่อน…

“ดื่มน้ำตัดทอนกำลังก่อนค่ะ…”

“น่าทานจัง…”วายุว่าพลางตักแกงส้มชิมดูแล้วชมออกมาว่า

“อร่อยด้วย…”รังสิมันต์หันไปทางสิ้นรักแล้วเลิกคิ้ว
สิ้นรักยิ้มให้ราวกับเข้าใจความหมายที่สื่อมา จึงตักแกงมัสมั่นใส่จานของตนเอง
ก่อนจะตักข้าวป้อนให้รังสิมันต์ ทำเอาวายุถึงกับเกือบสำรอกแกงส้มที่เพิ่งกินไปเมื่อครู่…

ปองขวัญเห็นท่าทางนั้นของเขาก็เลยเอาใจ
ด้วยการป้อนน้ำให้วายุบ้างเป็นการเกทับอีกฝ่าย…

“เราชอบดอกกุหลาบขาวเหรอ…”รังสิมันต์ถามสิ้นรักระหว่างช่วยเก็บจานชาม
หลังรับประทานอาหารเสร็จ…หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองคนถาม
ก่อนจะพยักหน้าพลางยิ้มให้…

“ดอกกุหลาบขาวดูบริสุทธิ์ หอมอ่อนๆ แม้จะไร้สีสัน
แต่มันทำให้เวลามองแล้วรู้สึกเย็นตาดีค่ะ…

แต่เหตุผลที่ทำให้รักชอบดอกกุหลาบขาวจริงๆนั้น
เพราะความหมายแห่งความทรงจำของมันมากกว่าน่ะค่ะ…”
สิ้นรักตอบโดยไม่ลืมที่จะถามกลับ…

“พี่รังถามทำไมคะ…หรือว่าเกิดหลงเสน่ห์ดอกกุหลาบขาวในสวนนี้ขึ้นมาอีกคน…”
วายุที่กำลังช่วยปองขวัญเช็ดโต๊ะอยู่จึงอดไม่ได้ที่จะหูผึ่ง
สนใจฟังบทสนทนาระหว่างรังสิมันต์กับสิ้นรัก

“มันดูสวยและแปลกดี…”สิ้นรักขมวดคิ้วกับคำว่าแปลกของอีกฝ่่าย

“แปลกยังไงคะ…”

“ก็แปลกที่มันดูจะโตเร็วไปหน่อยน่ะสิ…หรือว่ามันมีมาก่อนร้านสุดทางรัก…”

สิ้นรักยิ้มขันกับถ้อยคำนั้นของรังสิมันต์

แต่ที่เขาถามมาก็น่าสงสัยอยู่เหมือนกันหรอก เพราะร้านเธอเพิ่งเปิดบริการได้แค่ปีเดียวเอง
แต่ต้นกุหลาบขาวในสวนแห่งนี้กลับดูมีอายุหลายปี

“ค่ะ มันมีมาก่อนร้านสุดทางรัก เพราะพ่อบันเป็นคนปลูกมันขึ้นมาเมื่อสิบกว่าปีก่อน
ตอนที่รักไปอยู่ญี่ปุ่น…ที่นี่เคยเป็นสวนกุหลาบขาวมาก่อนค่ะ…”

รังสิมันต์ถึงกับยิ้มกริ่มเมื่อได้ยินดังนั้น…ก่อนจะหันไปทางวายุราวกับสื่ออะไรบางอย่าง…

“แล้วพ่อบันของเธอเคยบอกรึเปล่่าว่าทำไมถึงปลูกดอกกุหลาบขาว…”
สิ้นรักยิ้มกว้างแล้วตอบว่า

“เพราะกุหลาบขาวเป็นตัวแทนของความรักระหว่างท่่านกับแม่…
พ่อบันก็เลยปลูกกุหลาบขาวไว้ที่ที่ท่านกับแม่เคยอยู่…

ท่านบอกว่าครั้งหนึ่งท่านกับแม่เคยหนีมาหลบพักอยู่ที่นี่
สมัยนั้นที่นี่ยังเป็นป่าอยู่เลยค่ะ มีแค่กระท่อมเก่าๆให้พอพักหลบฝนได้เท่านั้น…

ท่านกับแม่เคยปลูกกุหลาบขาวต้นนึงเอาไว้ที่นี่เพื่อเป็นอนุสรณ์ความรักก่อนจะจากไป…”

สิ้นรักกล่าวขณะมองไปยังกุหลาบต้นที่อายุมากที่สุด
ซึ่งอยู่ตรงเสาต้นแรกที่ปากทางเข้าศาลา…

“พี่รังเชื่อมั้ยคะว่ากุหลาบต้นนั้นยังอยู่มาจนป่านนี้…
กุหลาบต้นที่ว่านั้นก็คือกุหลาบต้นนี้ไงคะ…”

สิ้นรักชี้ไปยังต้นกุหลาบที่อยู่ไม่ไกลจากเธอ

“ส่วนกระท่อมที่พ่อกับแม่เคยพักหลบฝนได้เปลี่ยนเป็นศาลาแห่งนี้แทน”

คำตอบนั้นทำให้ปองขวัญกับวายุหันมามองหน้ากันด้วยความแปลกใจ
ไม่มีใครเคยรู้เร่ืองนี้มาก่อน…

“พ่อบันกลับมาซื้อที่ดินที่นี่เอาไว้เมื่อกลับไปตั้งรกรากที่กระบี่กับแม่
เพราะตอนนั้นติดต่อกับพ่อของไอ้ปองได้
พ่อไอ้ปองก็เลยชวนไปอยู่ด้วยกันที่โน่นจนมีฐานะพอที่จะซื้อที่นี่ได้…
ท่านก็เลยกลับมาซื้อที่ดินตรงนี้

ท่านตั้งใจว่าจะซื้อที่นี่เก็บเอาไว้ให้ลูกของท่าน…
และรักก็ได้มาอยู่ที่นี่จริงๆ…ร้านนี้จึงมีชื่อว่าร้านสุดทางรักไงคะ…”

สิ้นรักเล่าความหลังของบิดากับมารดาด้วยแววตาทอแสงประกายแห่งความสุข

…สุขที่ได้คิดถึงและนึกถึงบุคคลอันเป็นที่รัก…

ผิดกับแววตาของรังสิมันต์ที่เต็มไปด้วยความสงสัยและข้อกังขา
ที่ยังหาคำตอบไม่ได้เพิ่มขึ้นอีกหลายข้อ…

“กุหลาบขาวยังมีความหมายอีกอย่างด้วยคะ…”รังสิมันต์กับวายุ
ถึงกับกระตุกคิ้วหันมาจ้องหน้าสิ้นรักอย่างจริงจังอีกครั้ง
ปองขวัญมองท่าทางของสองหนุ่มด้วยความสงสัย…

“พ่อบันบอกว่า กุหลาบขาวหมายถึงความลับ…”

“ความลับเหรอ…”รังสิมันต์พึมพำด้วยแววตาเหม่อลอยไปถึงกุหลาบขาวที่เกาะรัง…

“ค่ะ…ความลับ…”สิ้นรักมองแววตาของรังสิมันต์ตอนนี้แล้วให้สงสัย

“พี่รังมีอะไรรึเปล่าคะ ทำไมดูแปลกๆจัง…”รังสิมันต์ส่ายหน้า
มองสิ้นรักนิ่งขณะถามว่า…

“แสดงว่ากุหลาบขาวต้นนี้ก็อายุยืนมากเลยน่ะสิ…สามสิบกว่าปีเลยทีเดียว…
บอกตรงๆว่าพี่ไม่เคยเห็นกุหลาบที่ไหนจะยืนต้นได้นานเท่ากุหลาบต้นนี้มาก่อน”
สิ้นรักยิ้มบางพลางเฉลยว่า

“ก็พ่อบันดูแลอย่างดี มีหรือคะจะยอมให้มันเฉาตายไปง่ายๆ…
ร้านนี้พ่อบันก็เป็นคนออกแบบเอง ส่วนต้นไม้ในสวนนี้พ่อบันก็เป็นคนปลูกเอง
รักแค่เป็นผู้ช่วยที่ดีก็เท่านั้นค่ะ…

พี่รังก็รู้ไม่ใช่เหรอคะว่าพ่อบันของรักเป็นนักออกแบบมือทองเหมือนกัน
เพราะรีสอร์ทรอรักที่ทะเลน้อยบ้านของรัก พ่อบันก็เป็นคนออกแบบ
และมีส่วนในการก่อสร้างด้วย…”สิ้นรักเอ่ยถึงบิดาด้วยความภาคภูมิใจ

“ไม่คิดว่าเราจะชอบกุหลาบขาว…พี่เคยคิดว่าเราจะชอบดอกกล้วยไม้ซะอีก…”
สิ้นรักยิ้มนิดๆตรงมุมปากขณะมองคนพูด

“กล้วยไม้รักก็ชอบค่ะ…เพราะเป็นดอกไม้ที่แม่ชอบ แต่กุหลาบขาวนี่
เป็นดอกไม้ในดวงใจรักค่ะ…รักไม่ค่อยบอกใครหรอกว่าชอบกุหลาบขาว”

“เอาไว้วันหลังพี่จะพาเธอไปดูดอกกุหลาบขาวที่นึง…รับรองว่าเธอต้องแปลกใจแน่ๆ…
เพราะอายุของมันไม่น้อยไปกว่าต้นกุหลาบขาวต้นนี้สักเท่าไหร่
แถมมีมากกว่าที่นี่ซะด้วยซ้ำ…

ไม่มีคนคอยดูแล แต่มันอยู่มาได้ด้วยอะไรพี่ก็ไม่รู้…”

สิ้นรักขมวดคิ้วจ้องรังสิมันต์พลางถามว่า

“ที่ไหนคะ…”ปองขวัญที่ฟังมาตลอดเองก็อยากรู้เช่นกัน แต่ก็ทำได้
แค่เงียบฟังอย่างเดียว…

“เกาะรัง…”เท่านั้น สิ้นรักก็ถึงกับตาโตอย่างไม่คาดคิด…




“ฉันว่ามันมีอะไรไม่ชอบพากลซะแล้วสิไอ้รัง ไหนแกบอกว่า
เกาะชิงชังนั่นมีธรรมชาติที่สวยงาม มีสัตว์น้อยใหญ่มากมาย
มีนกพันธุ์ที่หาดูได้ยาก และยังมีถ้ำหินงอกหินย้อยที่สวยงามราวกับหยาดเพชร…
ซึ่งมันเป็นเหตุผลที่พ่อบันของนาโนต้องการปกป้องที่นั่น
ให้รอดพ้นจากพวกนายทุนหน้าเลือดเห็นแก่ตัว…

แล้วพ่อแกล่ะ พ่อแกมีเหตุผลอะไรที่รักและหวงแหนเกาะรังอย่างที่แม่แกบอก…”
รังสิมันต์ลอบถอนใจ ก่อนจะเปรยออกมาว่า

“บางทีที่เกาะรังอาจไม่มีอะไรก็ได้…และพ่อก็อาจจะไม่ได้หวงเกาะนั่น
อย่างที่คุณหญิงบอกฉัน…แต่เป็นคุณหญิงที่หวงเกาะแห่งนั้นเสียเอง…

เกาะที่อาจจะไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของฉันก็ได้…ไม่อย่างนั้นกุหลาบขาว
จะมีมากมายบนเกาะนั่นทำไม เผลอๆอาบันอาจจะเป็นคนปลูกมันขึ้นมาด้วยซ้ำ…

อายุของต้นกุหลาบพวกนั้นฉันว่ามันพอๆกับที่สวนของยัยตัวเล็กเลยนะ…”

รังสิมันต์มองหน้าเพื่อนอย่างครุ่นคิดหนัก

“แล้วอาบันจะปลูกกุหลาบขาวไว้ที่นั่นทำไม…”วายุถามให้คิด…

“ก็นั่นน่ะสิ…หรืออาบันเคยอยู่ที่เกาะรังมาก่อน…
เพราะยัยตัวเล็กบอกเองว่าท่านจะปลูกกุหลาบขาวไว้ตรงที่ที่ท่านกับแม่ของยัยตัวเล็กเคยอยู่…

ฉันจำได้ว่าที่สุสานของอารติก็มีต้นกุหลาบขาวปลูกอยู่ด้วย…

อย่างนี้แล้วแกจะไม่ให้ฉันคิดว่าเกาะรังอาจจะเคยเป็นกรรมสิทธิ์ของอาบันได้ยังไง”

วายุครุ่นคิด ทว่าสิ่งที่เพื่อนพูดมาก็ยังไม่อาจลบล้างเหตุผลนึงได้

“แต่แกก็รู้นี่ว่าบ้านอาบันเคยอยู่ที่เกาะลันตา ไม่ใช่ที่เกาะรัง…

และที่สำคัญ…มันต้องมีอะไรมากกว่าที่เราเห็น
ไม่อย่างนั้นพี่น้องจอมปลวกก็คงไม่ต้องการมันมากจนถึงขนาดสั่งคนลอบทำร้ายแก
จนปางตายถึงสองครั้งสองคราวหรอก…
ฉันนึกไม่ออกเลยว่า ถ้าแมงมุมช่วยแกไม่ทัน แกจะเป็นยังไง…”

รังสิมันต์ถึงกับกุมขมับเมื่อจับต้นชนปลายไม่ถูก
เขากำลังสับสน มองไม่เห็นคำตอบของคำถามมากมายในหัวเลยสักนิด…

“ฉันว่าแม่แกน่าจะให้คำตอบแกได้นะ…”วายุชี้แนะ

“ฉันกลัวว่ามันจะเป็นอย่างเคยน่ะสิ…
คุณหญิงโกหกฉันจนฉันไม่รู้ว่าอะไรจริงอะไรไม่จริงจากปากของท่าน…”

รังสิมันต์กล่าวจากใจจริง
เพราะมารดาของเขาโกหกเขาหลายต่อหลายครั้ง แม้จะเป็นเพราะความหวังดี
แต่มันทำให้เขาไม่กล้าปักใจเชื่อในสิ่งที่ท่านบอกได้ร้อยเปอร์เซ็น

“งั้นก็อาบัน…”

“อาบันคงไม่ยอมปริปากบอกเราตรงๆหรอก…ถามไปอาจจะไม่ได้คำตอบ”
รังสิมันต์สรุปความตามความคิดตน

“แต่ฉันว่าไม่แน่…”

“ฉันนึกออกแล้วว่าจะถามใคร…”รังสิมันต์ยิ้มกริ่มด้วยแววตาเป็นประกาย

“ใคร?”

“ก็…พ่อของปองขวัญไง…อาทินกรน่าจะรู้เรื่องนี้บ้างไม่มากก็น้อย
เพราะท่านเป็นเพื่อนของอาบัน…”วายุมองเพื่อนรักอย่างคาดไม่ถึง

“นี่ฉันลืมพ่อของปองขวัญไปได้ยังไง ใกล้เกลือกินด่างแท้ๆ…”

“แต่ไม่รู้ว่าท่่านจะยอมเล่าให้ฟังรึเปล่า…”สีหน้ารังสิมันต์ยังคงกังวลไม่สร่าง

“งั้นเอางี้…เดี๋ยวฉันจะช่วยสืบเรื่องนี้ให้แกอีกทาง รับรองว่าหน่วยข่าวกรองของฉัน
ไม่มีนำเสนอข่าวแบบมั่วนิ่ม…ถ้าไม่ชัวร์ไม่มีเปิดปาก…”

“แต่เรื่องของสองพี่น้องจอมปลวกนี่สิ จะทำยังไง…”

“ปัญหามันอยู่ที่ว่า นาโนมีการ์ดรึยัง…”รังสิมันต์ยิ้มที่มุมปากขณะพูดว่า

“แล้วแกเห็นเขามีรึยังล่ะ…”

“แกคนเดียวไม่พอหรอก…เพราะแกไม่ได้อยู่กับเขายี่สิบสี่ชั่วโมง…”วายุทัก
หากรังสิมันต์ยังคงยิ้ม วายุเห็นดังนั้นจึงถึงบางอ้อ

“นี่แกอย่าบอกนะว่า…นาโนมีการ์ดคอยดูแลมาตลอด…”

รังสิมันต์พยักหน้า…แล้วกล่าวว่า

“อาบันคงไม่ยอมให้ลูกสาวคนเดียวต้องเป็นอันตรายหรอก…
และดูท่าเจ้าตัวเองคงยังไม่รู้ตัวว่ามีคนคอยดูแลตลอดเวลา…

คนอื่นๆก็คงไม่รู้เหมือนกัน เพราะการ์ดที่อาบันส่งมาดูแลยัยตัวเล็ก
ค่อนข้างเป็นมืออาชีพ หาตัวจับยาก…แกลองสังเกตดูให้ดี
เวลาที่แกมองไปรอบๆกายของยัยตัวเล็กในรัศมี สิบเมตรดูสิ…
แล้วแกจะเห็นคนกวาดถนนบ้าง คนขอทานบ้าง แทกซี่บ้างไม่ห่างเธอเกินสิบเมตร…

แล้วที่แหวนเงินที่ยัยตัวเล็กห้อยคออยู่ก็มีสัญญาณติดตามตัวเล็กๆติดอยู่ด้วย…”

“แกรู้ได้ไง…”

“ยัยตัวเล็กเคยทำแหวนวงนั้นตกในรถฉัน…ตรงหัวแหวนมีสัญญาณติดตามตัว…”
เท่านั้นวายุก็ถึงบางอ้ออีกครั้ง

“แสดงว่านาโนไม่เคยรู้เรื่องงานของอาบันเลย…”รังสิมันต์ส่ายหน้า

“ไม่น่าจะรู้ แต่อาจจะเริ่มสงสัยแล้วก็ได้…”

“ว่าแต่แกทำยังไงอาบันถึงยอมให้แกคบกับนาโน…”

รังสิมันต์หันมามองเพื่อนก่อนจะหันไปมองรถราบนท้องถนนด้านล่าง
ราวกับฝูงหิงห้อยนับพันกำลังโบยบินเป็นคลื่นบนท้องถนน
แสงสีของเมืองกรุงก็น่าหลงใหลในแบบของมัน…

“ตอนที่ฉันถูกยิ่งตกทะเล…ฉันก็ลอยไปติดอยู่ที่ชายฝั่งเกาะชิงชัง
คนที่เกาะนั่นช่วยฉันเอาไว้…แล้วพาฉันไปรักษาตัว…ที่นั่นมีหมอมือดี
มีเครื่องมือสื่อสารที่ทันสมัย มีคลังแสง มีคนมีฝีมือด้านการต่อสู้
มีธรรมชาติที่สวยงาม มีธารน้ำใส มีน้ำตก มีนก มีสัตว์น้อยใหญ่
เป็นเหมือนโลกอีกโลกหนึ่งที่ต่างจากที่ที่เราอยู่กัน…

คนที่อยู่ที่นั่นมีทั้งคนแก่ เด็ก และผู้หญิง รวมกันไม่น่าจะเกินสองร้อยคน…
และเท่าที่ฉันถามดู…เด็กที่นั่นไร้พ่อขาดแม่
เคยเป็นเด็กขอทานตามท้องถนนมาก่อน…ผู้หญิงก็เคยต้องโทษในคุกมาก่อน
พอออกจากคุกมาก็ไม่มีงานทำเพราะไม่มีใครกล้าว่าจ้าง…

ส่วนคนแก่ ก็มีแต่คนแก่ที่เคยขอทานตามสะพานลอย ไร้บ้านและที่อยู่อาศัย…

ส่วนพวกผู้ชายและผู้หญิงบางส่วนนอกเหนือจากนั้นก็เป็นพวกพิการ แขนขาด ขาขาดบ้าง
หูหนวก ตาบอดบ้าง

ทุกคนที่นั่นล้วนเคยเป็นผู้ที่เคยถูกสังคมรังเกียจและชิงชัง…
จึงไม่มีใครที่เกาะชิงชังต้องการออกจากเกาะนั่น
เพื่อกลับมาใช้ชีวิตที่แผ่นดินใหญ่สักคนเดียว…”

วายุมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเพื่อนด้วยแววตาคาดไม่ถึงกับสิ่งที่ได้ยิน

“แกรู้มั้ยว่าจริงๆแล้ว ทำไมใครๆถึงไม่กล้าเข้าใกล้เกาะชิงชัง…”
สิ่งที่เพื่อนกำลังถามนี่แหล่ะคือสิ่งที่วายุสงสัยที่สุด…สงสัยมานานแล้ว…

“ฉันเคยได้ยินมาว่า ใครเข้าใกล้เกาะนั่นจะโดนไข้โป้ง…”
รังสิมันต์ยิ้มพลางส่ายหน้า

“ไม่ใช่หรอก…คนที่เคยโดนไข้โป้งเหล่านั้น เพราะต้องการเข้าไปทำลาย
เกาะแห่งนั้นมากกว่า เพราะถ้าเป็นอย่างที่แกพูด ฉันคงไม่รอดออกมาจากเกาะนั่น
แล้วมายืนพูดกับแกในวันนี้…ที่นั่นไม่ใช่เกาะร้าง
ไม่ใช่ที่อยู่ของคนป่าเถื่อน…อย่างที่ใครๆต่างก็พูดกัน…”

“แล้วเพราะอะไรกันล่ะ…ที่นั่นถึงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้…”

“เพราะที่นั่นมีกำแพงที่แข็งแกร่ง…เป็นกำแพงที่คนชั่วช้า
ที่เห็นแต่ผลประโยชน์ส่วนตนเป็นใหญ่ไม่อาจทำลายได้น่ะสิ…
แม้แต่ผู้ยิ่งใหญ่กี่รายๆในอดีตก็ไม่อาจครอบครองที่นั่นได้…”
วายุกระตุกคิ้ว รังสิมันต์หันมามองเพื่อนแล้วยิ้มที่มุมปาก

“กำแพงบุญยังไงล่ะ…คนที่หมั่นทำความดีมักมีสติปัญญา…
หลุดพ้นจากความหมองเศร้า…คนที่นั่นที่ฉันเห็น ต่างมีความสุข
เป็นมิตรกับธรรมชาติและสิ่งที่อยู่รอบตัว…ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน…

ความเจริญของสังคมบ้านเมืองไม่ได้วัดกันที่วัตถุ…
แต่วัดกันที่ความสวยงามของจิตใจคนในสังคม…

ถ้าแกได้เห็นที่อยู่อาศัยของคนที่เกาะชิงชัง
แกจะรู้ว่าความสวยงามของที่นั่นกับที่นี่ช่างแตกต่่างกันโดยสิ้นเชิง…”

รังสิมันต์หยุดนิดนึงก่อนจะมองไปตรงตึกรามบ้านช่องสวยงามรูปร่างต่างๆ
ที่ขึ้นเรียงรายอยู่ในเมืองใหญ่ เมืองที่เต็มไปด้วยป่าปูน…

“เราทุกคนต่างก็อยากได้ความรัก อยากให้คนสนใจ
และมุ่งเสาะหาสิ่งเหล่านั้นตลอดเวลา เพราะเราไม่เคยรู้สึกพอ

เราทุกคนต่างชิงชังความผิดหวัง ความเสียใจ
ต่างฝ่ายจึงพยายามโกบโกยทุกสิ่งที่อยากได้อยากมีเอาไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้…
ทั้งๆที่ตายไปก็ไม่อาจเอาไปได้สักอย่าง…”วายุเห็นด้วยกับถ้อยคำนั้น
ของเพื่อน…เพราะเขาก็เป็นคนหนึ่งที่ยังต้องการสิ่งเหล่านั้น…

“แกลองมองบ้านเมืองของพวกเราสมัยนี้สิ
มันถูกสร้างมาเพื่อความปลอดภัยของเจ้าของผู้ครอบครอง มีกำแพงแน่นหนา…
มีระบบป้องกันภัยชั้นดี…ทั้งๆที่คนสมัยก่อนเขาไม่ได้มีกำแพงหนาและแกร่งอย่างคนสมัยนี้
แต่เขาก็อยู่กันมาได้อย่างสงบสุขกว่าคนสมัยนี้…แกว่าเพราะอะไรล่ะ…”

วายุลอบถอนใจ เขากับเพื่อนมักพูดเรื่องราวเหล่านี้ด้วยกันบ่อยครั้ง
เป็นคนอื่นคงเสวนากันลำบากและคงเบื่อ
แต่สำหรับเขาและเพื่อนนั้น เรามีสิ่งนี้ที่เหมือนกัน จึงคุยกันได้นาน…

“เพราะว่าคนเดี๋ยวนี้มีความหวาดระแวงต่อกันสูงกว่าคนสมัยก่อน
เราไม่กล้าไว้ใจใคร ไม่กล้าเชื่อใจใคร เพราะกลัวจะถูกหลอก…
กลัวว่าจะถูกเอารัดเอาเปรียบจากคนรอบข้าง…กลัวความจน…
ก็เลยพยายามสร้างบ้านและอาคารให้มีกำแพงล้อมรอบเอาไว้ปกป้อง
หรือเป็นเปลือกหุ้มเอาไว้ให้รู้สึกว่าปลอดภัย…

ในขณะที่หัวใจก็พยายามสร้างกำแพงแห่งความหวาดระแวง
และระวังภัยเอาไว้ตลอดเวลา

เราจึงอยู่ด้วยกันอย่างคนที่หวาดระแวงต่อกัน…ไม่กล้าเปิดใจ…

หรือพูดง่ายๆ…สังคมมนุษย์กำลังจะเสื่อมลงทุกที…

เพราะมนุษย์ขาดความรัก ความหวังดี ขาดคุณธรรมความดีต่อกันน่ะสิ…

รูปแบบอาคารบ้านเรือนจึงเป็นอะไรที่สะท้อนถึงความรู้สึกนึกคิดของคนแต่ละสมัยได้ดี…

บางคนเรายิ่งคบก็ยิ่งรู้สึกว่ายิ่งไม่รู้จัก…
เพราะเราไม่อาจสัมผัสหัวใจที่แท้จริงของเขาได้
เนื่องจากเปลือกที่หุ้มหัวใจของเขานั้นหนาเกินไป จะหนาด้วยกิเลสหรืออะไรก็แล้วแต่…
แต่ฉันคิดอย่างนายว่า…ถ้าเราสร้างกำแพงบุญ หมั่นทำบุญ
เปลือกแห่งบุญหรือกำแพงบุญที่เราสร้างมานั้นจะห่อหุ้มร่างกายและจิตใจของเรา
ให้ปลอดภัยจากความชั่วร้ายที่พบเจอได้…

เพราะคนดีจะมีสติปัญญาดี…แก้ไขทุกอย่างด้วยความดี…
สิ่งดีๆก็จะเกิดตามมา…สิ่งสำคัญ…มันจึงอยู่ที่ว่า…เราศรัทธาในความดีสักแค่ไหน…
แล้วเราขยะแขยงความชั่วมากขนาดไหน”

รังสิมันต์พยักหน้ายิ้มให้เพื่อนรัก แม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน
เขากับเพื่อนก็ยังพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวเหล่านี้ด้วยกันได้เสมอ…

“นั่นน่ะสิ…ฉันเคยคิดว่า เด็กที่ขาดความอบอุ่น คนชราที่ถูกทอดทิ้ง
ผู้หญิงที่ถูกทำร้ายและคนพิการที่ถูกสังคมเหยียดหยาม
ซึ่งเป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่ที่เป็นผู้ป่วยของฉันนั้นคือผู้ที่มีปัญหาทางจิต
ที่ยากจะบำบัดให้หายขาดได้…พวกเขาเหมือนเป็นปัญหาของสังคม
แต่เมื่อฉันได้ไปอยู่ที่เกาะชิงชัง…ฉันไม่คิดเลยว่าพวกเขาเหล่านั้น
จะหลุดพ้นจากวังวนของความทุกข์ความเศร้าหมองออกมาได้ด้วยธรรมชาติบำบัด
และด้วยศรัทธาแห่งความดี…”
แววตาของคนพูดส่องประกายแห่งแสงทำให้แลดูน่ามองยิ่งนัก…

“ที่เกาะชิงชังสอนให้ฉันรู้ว่า หากโลกนี้มีแต่คนดี และมีความรักให้แก่กัน
ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน เอื้ออาทรต่อกัน พยายามเข้าใจกันและกัน
เป็นมิตรกับธรรมชาติและสิ่งที่อยู่รอบกาย ไม่ทำลายสมดุลของกันและกัน
ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเกื้อหนุนกันอย่างลงตัว…

ยามเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นก็ใช้ความยุติธรรมเข้าตัดสิน ไม่ยึดพวกหรือเข้าข้างฝ่ายตน
ตั้งตนอยู่ตรงกลาง…

มีผู้นำที่คงไว้ซึ่งความยุติธรรมและมีคุณธรรม

โลกนี้ก็จะน่าอยู่และเราก็จะมีความสุขในการอยู่ร่วมกัน…

ฉันจึงอยู่รักษาตัวที่นั่นหลายเดือนกว่าจะหาย…ทุกคนที่นั่นทำให้ฉัน
อยากกลับมาทำให้เกาะรังเป็นสวรรค์ดั่งเช่นเกาะชิงชัง
ที่คนเห็นแก่ตัว เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตนไม่อาจทนอยู่ได้ เพราะกำแพงบุญที่คนที่นั่น
ช่วยกันสร้างมานั้นได้ช่วยขวางกั้นพวกเขาจากคนไม่ดีเอาไว้…

หลายคนที่เคยเข้าไปใช้ชีวิตที่นั่นแล้วต้องกลับออกมา เพราะไม่อาจทนอยู่ได้…
คนชั่วโดยสันดานอยู่ในที่ที่มีคนดีมากมายลำบาก…
ถ้าไม่ปรับตัวหรือกลับเนื้อกลับใจเป็นคนดี ก็มักจะทำความผิดอยู่ร่ำไป
จนอยู่ร่วมกับคนอื่นไม่ได้ ต้องออกจากเกาะแห่งนั้นในที่สุด…

หลายๆคนที่กลับออกมา จึงมักเรียกเกาะแห่งนั้นว่าเกาะชิงชัง
ทั้งๆที่ความจริงแล้วคนที่นั่นล้วนแล้วแต่เป็นคนดี…
ไม่ใช่คนที่น่าชิงชังรังเกียจอย่างที่พวกเขาเรียกกัน…
พวกเขาต่างหากที่ชิงชังในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าไม่ดีสำหรับตน…
และเหมาว่านั่นคือสิ่งที่ไม่ดีและน่ารังเกียจ”

วายุเลิกคิ้วนิดนึงขณะมองเพื่อน รังสิมันต์จึงสาธยายต่อว่า

“คนที่ไม่ดีมักมองสิ่งดีว่าไม่ดี…มองสิ่งไม่ดีว่าดี…ก็เลยมักปฏิเสธสิ่งดีๆ
แล้วกลับเลือกสิ่งไม่ดีให้แก่ตน…พร้อมเชื่อว่าสิ่งที่ตนเองเลือกนั้นดี…

เพราะดวงตาและหัวใจของเขามีปัญหาและมืดบอด…ไร้แสงสว่างนำทาง…

และสิ่งที่น่ากลัวกว่าการทำความผิด ก็คือการที่หัวใจชินชากับความผิด
จนไม่คิดว่ามันผิดอีกต่อไป…

สามารถทำได้แม้กระทั่งตกแต่งความผิดบาปให้ดูดี…”

รังสิมันต์พูดไปก็นึงถึงบางคนที่จัดอยู่ในกลุ่มคนที่เขากำลังกล่าวถึงไปพลาง

…เขาบอกไม่ได้เลยว่า เขาจะใช้วิธีใดในการต่อสู้กับคนกลุ่มดังกล่าว…

“ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมอาบันถึงยอมให้แกคบกับนาโน…”
วายุตบบ่าเพื่อน มองเพื่อนด้วยความภาคภูมิใจ

อย่างน้อยชีวิตเขาได้เจอคนดีๆอย่างรังสิมันต์ก็นับว่าโชคดีมากโขแล้ว
เพราะคบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล

...สุภาษิตนี้ยังคงขลังมาจนทุกวันนี้…

คนที่มีแสงสว่างอย่างเพื่อนของเขา แม้จะไปอยู่ ณ ที่แห่งใด
ก็ย่อมส่องแสงสว่าง ณ ที่แห่งนั้นเสมอ…

“อุดมการณ์ของแกกับท่านคล้ายกัน อีกอย่างนาโนเองก็กำลังสานต่อ
นโยบายของพ่อตัวเองโดยที่ไม่เคยรู้เกี่ยวกับเกาะชิงชังมาก่อน…
แกก็คงเคยเห็นเด็กออทิสติกในบ้านต้นฝันของนาโนแล้วใช่มั้ย”

วายุกล่าวยิ้มๆ รังสิมันต์จึงยักคิ้วให้เพื่อนแล้วยิ้มบาง

“แกเคยได้ยินที่โบราณกล่าวไว้มั้ย…ว่า…ดูช้างให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่

แต่สำหรับยัยตัวเล็กน่ะ คงดูแม่ไม่ได้ เพราะกำพร้าแม่ตั้งแต่เกิด
แต่ถ้าให้ดูพ่อล่ะก็…ฉันว่าโอเคเลยทีเดียว…”

วายุพยักหน้าเห็นด้วยประการทั้งปวง พร้อมเสียงหัวเราะน้อยๆ โยกบ่าเพื่อนไปด้วย…

“จริงๆแล้ว…ท่านไม่ได้เปิดไฟเขียวให้ฉันเพราะอุดมการณ์เหมือนกันอย่างเดียวหรอก…
แต่ฉันกับท่านมีข้อตกลงบางอย่างต่อกัน…”

วายุกระตุกคิ้วมองหน้าของเพื่อนที่ดูจะหน้าเจื่อนลงจนเห็นได้ชัด…

“อะไรเหรอ…”

“ท่านบอกว่าถ้าฉันต้องการจะแต่งงานกับลูกสาวท่าน…
ก็ให้เกียรติท่านและลูกสาวของท่าน
ด้วยการให้คุณหญิงเป็นเต้าแก่ไปสู่ขอลูกสาวของท่านด้วยตัวเอง
พร้อมนำแหวนบุษราคัมวงนั้นที่คุณหญิงหวงยิ่งกว่าจงอางหวงไข่ไปหมั้นยัยตัวเล็ก…
แล้วให้จัดงานแต่งที่เกาะรังเท่านั้น…เรือนหอของฉันกับยัยตัวเล็กต้องอยู่ที่เกาะรัง…”
วายุเลิกคิ้วสูง มองเพื่อนด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยคำถามมากมาย

“เป็นข้อตกลงที่หินเอามากๆเลยนะ ว่าแต่แกทำได้สักข้อแล้วรึยังล่ะ…”
รังสิมันต์ส่่ายหน้าพลางถอนใจยาว

“แค่ขอให้คุณหญิงไปสู่ขอ…ฉันว่าก็ยากแล้ว…นี่จะต้องเอาแหวนบุษราคัมไปหมั้นอีก…
ฉันพอจะเข้าใจอยู่นะว่าอาบันต้องการให้คุณหญิงยอมรับในตัวยัยตัวเล็กให้ได้ก่อน…

อีกอย่างแหวนวงนั้นก็เป็นกรรมสิทธิ์ของยัยตัวเล็กที่คุณหญิงไม่มีวันยกให้แน่ๆ…
เพราะมันมีความหลังเกินกว่าท่านจะยอมยกให้เจ้าของได้…

คุณหญิงไม่ได้ต้องการครอบครองแหวนวงนั้นก็จริง
แต่ท่่านก็ไม่ต้องการให้มันไปอยู่ในมือของยัยตัวเล็ก…

อาบันต้องการให้คุณหญิงยอมรับยัยตัวเล็กด้วยหัวใจไม่ใช่แค่หน้าที่…
ซึ่งฉันพอจะเข้าใจเจตนา แต่เรื่องสถานที่แต่งงานกับเรือนหอนั้น
ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นที่เกาะรังเท่านั้น…”
วายุเองก็สงสัยเช่นกันว่าทำไมต้องเป็นที่เกาะรัง…

“หรือจะเป็นเพราะกุหลาบขาวที่บานอยู่ที่เกาะรัง…”ถ้อยคำของเพื่อน
ทำให้รังสิมันต์ถึงกับครุ่นคิดตามก่อนจะหันมายิ้มให้เพื่่อนขณะกล่าวว่า…

“ฉันว่า…มันถึงเวลาที่ฉันจะต้องกลับไปสืบประวัติเกาะรังอย่างจริงจังให้รู้ไปเลยว่า
ทำไมที่นั่นถึงชื่อเกาะรัง…แล้วดอกกุหลาบขาวที่ว่า มีความลับอะไรซ่อนอยู่กันแน่…”

“ว่าแต่นาโนรู้เรื่องข้อตกลงที่ว่ารึยัง…”รังสิมันต์หน้าเจื่อนทันทีกับคำถามดังกล่าว

“รู้แค่ว่าฉันต้องนำแหวนบุษราคัมไปหมั้นเธอเท่่านั้นเอง…
ส่วนข้อตกลงข้ออื่นๆ ฉันยังไม่ได้บอกเธอหรอก…ไม่อยากให้กังวล”

“แต่ฉันว่าแกน่าจะบอกนะ…จะได้ช่วยกัน…รักกันก็ต้องช่วยกันสิ…
การได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมันจะทำให้ความรักของแกแน่นแฟ้นขึ้นไง”

รังสิมันต์กลับส่ายหน้าไม่เห็นด้วยกับความคิดนั้นของเพื่อนนัก

“ฉันก็เชื่ออย่างที่แกแนะนำ แต่ฉันทำไม่ได้หรอก…
ยัยตัวเล็กจะรู้เรื่องข้อตกลงนี้ไม่ได้ เพราะถ้ารู้…เธอจะสงสัยเรื่องอื่นๆตามมาอีกมากมาย

สุดท้าย…เรื่องที่ฉันกับอาบันไม่ต้องการให้เธอรับรู้ก็จะไม่เป็นความลับอีกต่อไป…
แกก็รู้ดีว่าอดีตน้องรหัสของแกนั้นขี้กังวลและขี้สงสัยแค่ไหน…
ฉันเลยไม่อยากให้เค้าต้องวุ่นวายใจ แค่ที่เค้าเจออยู่ก็มากพอให้ปวดหัวอยู่แล้ว…”
วายุผ่อนลมหายใจออกมาแล้วกล่าวอย่างเป็นกลางว่า

“แล้วแกคิดว่าจะปิดนาโนไปได้นานสักแค่ไหนกัน…
ความลับไม่มีในโลกหรอก…สักวัน เธอก็ต้องรู้…”

รังสิมันต์ลอบถอนใจมองเพื่อนแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคงว่า

“แต่ฉันจะให้เธอรู้วันนี้ไม่ได้…เธอยังไม่เข้มแข็งพอจะรับรู้เรื่องบางเรื่อง
ฉันจะทำให้เธอค่อยๆเข้าใจไปทีละนิดทีละน้อย…”วายุพยักหน้า
และตบบ่าเพื่อนเบาๆ

“มีอะไรให้ฉันช่วยก็บอกได้นะ…แกคือเพื่อนที่ฉันรักมากที่สุด
ส่วนนาโนก็เป็นน้องสาวที่ฉันรักเหมือนๆกับยัยเหยี่ยว…
อะไรที่ทำให้แกกับนาโนมีความสุข ฉันยินดีช่วยเต็มที่…”

“ขอบใจมากไอ้ลม…แกก็เช่นกัน มีอะไรให้ฉันช่วยก็บอกได้นะ…
ฉันก็อยากเห็นแกกับปองขวัญสมหวังเสียที…จะล่วงหน้าแต่งงานไปก่อนก็ได้นะ…”
วายุส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มเปิดเผย

“ไม่ได้หรอก กะเอาไว้แล้วว่าจะแต่งพร้อมกัน…
ยังไงก็พยายามต่อไปนะเพื่อน…ฉันเอาใจช่วย…”

“แกคิดจะแต่งพร้อมฉันที่เกาะรังเลยเหรอ…”รังสิมันต์เลิกคิ้วถาม
ด้วยแววตายียวนนิดๆ

“ถ้าแกไม่ว่าอะไรที่ฉันจะขอให้เกาะรัง เป็นรังรักของฉันกับปองขวัญด้วยอ่ะนะ…”

“ขอให้เกาะรัง เป็นรังรักอย่างนั้นน่ะเหรอ…”

รังสิมันต์พึมพำถ้อยคำของวายุเมื่อครู่แล้วทวนไปมาอยู่หลายรอบ จนคิดอะไรบางอย่างได้…

“ยิ้มอะไรของแก…”วายุมองรอยยิ้มแสนกลของเพื่อนแล้วให้ขนลุก

“ถ้าเกาะรังตั้งตามชื่อเล่นของฉันอย่างที่คุณหญิงเคยบอก…
แล้วทำไมเกาะชิงชังถึงไม่มีชื่อว่าเกาะรักบ้างล่ะ…ทั้งๆที่เจ้าของเกาะ
มีลูกสาวชื่อเล่นว่ารัก…แกคิดว่าไง…”คำถามนั้นของรังสิมันต์
ทำให้วายุถึงกับนึกไปถึงบ้านรังรักของน้องสาวขึ้นมา

“จะเป็นไปได้มั้ยไอ้รัง…ที่เกาะรังของแก เคยเป็นเกาะรังรักของพ่อแม่ของนาโนมาก่อนน่ะ…”
รังสิมันต์ก็คิดเหมือนๆกับเพื่อน ทว่า มันติดอยู่นิดตรงที่…

“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง…แล้วทำไม…มันถึงเหลือแค่เกาะรังล่ะ…”

นั่นน่ะสิ…ทั้งสองจึงหันมามองหน้ากัน

สุดท้ายสิ่งที่ค้างคาใจอยู่ก็มิอาจไขกระจ่างออกมาได้

สิ่งที่ทำได้ก็คือ ต้องสืบถามจากผู้รู้เท่านั้น
เพราะข้อสันนิษฐานทั้งหมดที่กล่าวมาอาจเป็นแค่ข้อสันนิษฐานมิใช่ความจริงก็เป็นได้

…หรืออาจจะใกล้เคียงกับความเป็นจริงก็เป็นได้เช่นกัน...


...โปรดติดตามตอนต่อไป....

เอาทั้งคู่นายดินและเอานายหัวรังกับพ่อโคนันอย่างพี่ลมมาให้อุ่นหัวใจกันค่ะ....
แล้วยังเอาตัวละครหลักๆมาให้เกือบครบทุกคนในยกเดียวกันเลยค่ะ...

หวังว่านักอ่านคงหายคิดถึงพี่ลมกันบ้างแล้วนะคะ...อิอิอิ...

เริ่มเห็นเค้าลางบางอย่างขึ้นมาแล้วใช่มั้ยคะ...

อย่างที่โยบอกค่ะ...พี่รังกับพี่ลมนั้นล้ำลึกสมเป็นเพื่อนรักกัน...อิอิอิ...

ปกติเสือสองตัวอยู่ในถ้ำเดียวกันไม่ได้...แต่พี่รังกับพี่ลมไม่ใช่เสือค่ะ...
เลยเกื้อหนุนกันได้อย่างลงตัว...เฮะๆ


ปล.คืนนี้ของดตอบความเห็นนะคะ แล้วพรุ่งนี้จะมาให้ไวๆควิกๆ
พร้อมกับตอบความเห็นรวบยอดกันเลยทีเดียวค่ะ...

เนื่องจากขึงตาไม่ไหวแล้วค่ะ...ขอไปนอนเอาแรงก่อนนะจ๊ะ...



ก่อนจะลาไปนอน...ขอฝากเพลงส่งท้ายนิดนึงนะคะ

"เหนื่อยล้า...นานแล้ว...เธอใช้เวลาชีวิตที่ผ่านมานั้น...เพื่อฉันและคนมากมาย
ผ่านร้อน...ผ่านหนาว...เธอสร้างมันตามความฝันจนเกิดวันนี้
...เพราะรักและความจริงใจ...

จากนี้...วันนี้...มันถึงเวลาที่ฉันจะกล่อมเธอนั้น...ให้พักให้นอนผ่อนคลาย...
หลับตา...หลับตา...มีเรื่องใดๆเคยคิดและห่วงใยนั้น ฉันขอให้ลืมมันไป...

หลับฝัน...พบเจอแต่สิ่งสวยงาม นอนหลับอยู่บนปลายฟ้า
สายลมจะโชยพัดมา...ให้นอน...สบาย...

ฝากฟ้า...ตรงนี้...ให้ฟ้าดูแลเธอได้ทุกอย่างแทนฉัน...เมื่อฉันและเธอห่างไกล
หลับตา...หลับตา...และใช้เวลาที่เหลือไปกับความฝัน...ที่แสนงดงามในใจ...

...ด้วยความฝันที่แสนงดงามในใจ...

...ด้วยความรัก...คิดถึงเหลือเกิน...จากหัวใจ...."



....สุขสันต์วันพ่อค่ะ...

หากมีโอกาสและเวลาเหมาะเจาะลงตัวหัวโล่งกว่านี้

...โยจะนำเรื่องสั้นเกี่ยวกับ "พ่อ" มาให้อ่านกันค่ะ...

เพราะในเรื่องนี้..."พ่อบัน"ของสิ้นรัก เป็นตัวอย่างนึงของพ่อที่โยอยากให้นักอ่าน
ได้ซาบซึ้งด้วยน่ะค่ะ...ฉากดีๆนั้นอาจจะยังมาไม่ถึง...แต่จะมีมาให้อ่านกันค่ะ...
เพราะพ่อบันคือพ่อที่เลี้ยงลูกสาวให้โตมาโดยปราศจากแม่ของลูกคอยอยู่เคียงข้าง
คอยโอบอุ้ม...ทุกก้าวที่ลูกสาวเดิน ก็มีพ่อคอยประคอง
และสอนให้หัดก้าวเดินมาเพียงลำพัง...

...โยไม่เคยลืมความรู้สึกทีี่พ่ออุ้มโยที่แกล้งหลับเพราะอยากให้พ่ออุ้มไปนอนได้เลย
แม้ตอนนั้นจะเด็กมากแค่ไหนและแม้เวลาจะผ่านไปนานสักเท่าไหร่...
ความรู้สึกนั้นมันดูจะไม่ได้หายไปตามกาลเวลา...

...ไม่ว่าวันไหนๆก็สามารถเป็นวันพ่อได้ทุกวัน...
...เมื่อใจยังระลึก คิดถึงและนึกถึงกันอยู่...


"เต่าโย"















yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ธ.ค. 2555, 23:54:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ธ.ค. 2555, 23:54:39 น.

จำนวนการเข้าชม : 2818





<< ยกที่ 60 ถอดทิ้ง   ยกที่ 70 ห่วงใย >>
บัวขาว 5 ธ.ค. 2555, 00:45:36 น.
ตอนนี้น้ำตาซึม ..


AprilSK 5 ธ.ค. 2555, 02:27:29 น.
เกาะชิงชังคือยูโทเปียนี่เอง...คุณโยคะ เรื่องชุดนี้จบแล้วได้รวมเล่มเมื่อไหร่ บอกข่าวดังๆ เลยนะคะ จะขอฉกสักชุด
หลายส่วนหลายตอน อ่านแล้วก็นึกถึงคนที่อยากให้เขาได้อ่านด้วย หลายคนเลยทีเดียว


Littlewitch 5 ธ.ค. 2555, 02:53:24 น.
นั่งอ่านนิยายอยู่ลานพระรูปคะ พ่อตัวเองเสียไปแล้ว มารอถวายพระพรพ่อหลวงคะ


Pampam 5 ธ.ค. 2555, 03:29:15 น.
ตอนนี้ตัวละครมาเกือบทุกตัวเลยค่ะ
แมงมุมให้โอกาสนายดิน หวังว่านายดินจะใช้โอกาสนี้แก้ไขตัวเอง


Bigbee 5 ธ.ค. 2555, 04:50:20 น.
ตอนนี้ซึ้งมากเลยจ้า


mallow 5 ธ.ค. 2555, 08:27:11 น.
ชอบอ่ะ ขนม ค.ร.ก. ขนมคนรักกันน่ารักดีอ่ะ


ใบบัวน่ารัก 5 ธ.ค. 2555, 10:55:20 น.
ให้มุมหายเร็ว
ให้สิ้นได้แต่งงานซะที
ให้เพลิงหายและเข้าใจกะกันรักเร็ว


supayalak 5 ธ.ค. 2555, 13:25:52 น.
ตอนแรกที่เห็นชื่อตอน ครก นึกใหญ่ว่าไรท์เตอร์อยากให้เราย้อนวันวารหาสูตร หรก ครน รึเปล่า จนมาชนมุก ครก คนรักกัน ป้าดดดดดด จะขอยืมไปเล่นบ้าง ดีใจกะพี่ดินด้วยนะคะที่ลูกคนแรก ยังอยู่ดีอธิษฐานช่วยจนถึงคนที่ 12 ไวๆคัา แต่แอบเครียดแทนพี่หมอรังกะน้องรักเป็ดวานาโนของพี่นะสิ ไรท์เตอร์คะจัดเบาๆ ก็พอนะคะเดี๋ยวป้าจะหัวใจวายซะก่อน


แว่นใส 5 ธ.ค. 2555, 14:58:13 น.
ปัญหายังตามมาอีกเยอะ


พัชรี 5 ธ.ค. 2555, 19:45:07 น.
ค่อยยังชั่วหน่อย ลุ้นน้องมุมกะนายดินแทบตาย หว้งว่าคงไม่มีเรื่องร้ายๆกับคู่นี้อีกนะ สงสารน้องกำลังท้องอ่ะ


goldensun 5 ธ.ค. 2555, 21:36:35 น.
โชคดีที่โอกาสของดินยังไม่ปิด ลูกยังอยู่ เลยทำให้มุมยอมให้อภัย ดีจัง ดินคงกลับตัวได้จริงๆ
ลมกับหมอรังโชว์ตัวเต็มๆ ชอบค่ะ หมอรังนี่เฉียดตายหลายรอบจัง แต่ดวงยังแข็ง มีคนช่วยตลอด
สังคมแบบเกาะชิงชังน่าอยู่มากจนน่าเรียกเกาะรัก


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account