คานน้อย คอยรัก (จบแล้วค่ะ)
คานน้อย คอยรัก

ในลักษณ์นั้นว่าประหลาด…………….คนบนคานนั้นว่าน่าประหลาด
เป็นเชื้อชาตินักรบกลั่นกล้า…………...เป็นเชื้อชาตินักรักผู้หาญกล้า
เหตุไฉนย่อท้อรอรา…………………..เหตุไฉนย่อท้อรอเวลา
ฤาจะกล้าแต่เพียงวาที…………………ฤาไม่กล้าบอกรักใครสักที

เห็นแก้วแวววับที่ดับจิต…………………เห็นคานแก้วแวววับสดับจิต
ใยไม่คิดอาจเอื้อมให้ถึงที่……………...ใยไม่คิดปีนไปให้ถึงที่
เมื่อไม่เอื้อมจะได้อย่างไรมี……………อย่ามัวรอจงขึ้นมาเร็วรี่
อันมณีฤาจะโลดไปถึงมือ………………บนคานนี้มีรักให้ฝึกปรือ

อันของสูงแม้ปองต้องจิต………………..คานเราสูงไม่เป็นรองของใครอื่น
ถ้าไม่คิดปีนป่ายจะได้ฤา………………..อย่าได้ขืนลงไปให้เสียชื่อ
มิใช่ของตลาดที่อาจซื้อ………………….มิใช่ทองตามตลาดที่อาจซื้อ
ฤาแย่งยื้อถือได้โดยไม่ยอม……………..เพราะเราถือความพอใจจึงลงไป

ไม่คิดสอยมัวคอยดอกไม้ร่วง……………ไม่คิดสอยมัวคอยให้คานทับ
คงชวดดวงบุปผาชาติสะอาดหอม………..รอให้ดับคาคานหรืออย่างไร
ดูแต่ภุมรินเที่ยวบินตอม…………………..ฤาต้องคอยรักแท้จนแก่ใช่ไหม
จึงได้ออมอบกลิ่นสุมาลี…………………..เกาะคานน้อยคอยรักต่อไป
…………………..........จนกว่าจะเจอคนที่ใช่…ใช่ไหมคาน………………
(อ้างอิงกลอนจากบทละครเรื่องท้าวแสนปม)

มาดูเหตุผลของคนที่ยังไม่ลงจากคานกันค่ะ...
อาจจะมีเหตุผลมากมายที่ไม่อยากลงจากคาน
หรืออาจมีเพียงแค่หนึ่งเหตุผลง่ายๆก็คือ...

...ไม่ใช่คนที่ใช่ก็ไม่ใช่...

หรือว่า

...โดนข้อหาหลายใจ เพราะเคยมีแฟนหลายหน...

หรืออาจเป็นเพรา

...เขาบอกให้รอ เราก็รอ...

หรือจริงๆแล้ว

...ขออยู่รอคนสุดท้ายคนนั้นได้ไหม...

หรือลึกลงไป

...กำลังรอเจ้าชายในฝันอยู่อย่างอดทนได้ทุกอย่าง...

หรือกำลังปลอบใจตัวเองว่า

...ครึ่งหนึ่งของฉันยังมาไม่ถึง...ซึ่งสักวันเขาจะมาอยู่ข้างกัน...

หรือกำลังหลอกตัวเองด้วยการปกปิดว่า

...ไม่หวั่นไหว หัวใจไม่ปรารถนา...

ทั้งๆที่จริงๆแล้ว

...อยากรัก อยากฝัน แต่เพราะกลัว ก็เลยไม่กล้ารักใคร...

หรือว่าอาจจะเป็นเหตผลสุดท้ายที่ไม่ค่อยมีใครกล้ายอมรับดังๆว่า

...ไม่เคยมีใครมาจีบ ไม่มีใครสน เรามันคนธรรมดาๆ...

แต่ไม่ว่าจะเหตุผลใด...

เราก็ยังหวังและยังคงรอคอยปาฏิหาริย์ว่าจะได้เจอคนที่ใช่ในสักวัน...


Tags: ดราม่า หวานซึ้ง อบอุ่น หมอรัง สิ้นรัก วายุ ปองขวัญ

ตอน: ยกที่ 70 ห่วงใย

ยกที่ 70 ห่วงใย

น่าประหลาดใจในสายตาคนอื่นๆที่มองไปยังสิ้นรัก
ที่ตื่นแต่เช้าตรู่ลุกขึ้นมานั่งทำงาน จัดบรรยากาศร้านใหม่
เก็บดอกไม้สดจากสวนหลังร้านมาจัดแจกัน วางตรงจุดต่างๆภายในร้าน
แล้วก็นั่งจัดการเรื่องงานแต่งงานของลูกค้าที่มาจองไว้หลายราย
ด้วยสีหน้าปรกติ แลดูนิ่งสงบ

“แกไม่ห่วงพี่รังบ้างหรือไอ้สิ้น”สิ้นรักเงยหน้าขึ้นจากแฟ้มรายชื่อลูกค้า
กับรายละเอียดของงานมองเพื่อนรักที่เดินเข้ามาในร้านด้วยฝีเท้า
ที่เงียบสนิทจนเธอไม่รู้สึกเลย…อาจเป็นเพราะเธอคงหมกมุ่นอยู่กับเรื่องราว
เก่าๆที่เพิ่งได้รับรู้มา…

“ทำไมแกถึงถามฉันแบบนั้น…”ปองขวัญนั่งลงข้างๆเพื่อนรัก
มองท่าทางขยันขันแข็งนั้นด้วยแววตาครุ่นคิด

“ก็ดูจากภายนอก ฉันไม่เห็นแกจะดูทุกข์ร้อนอะไรเลยสักนิด
ทั้งๆที่พี่รังกำลังนอนพักรักษาตัวอยู่ที่ญี่ปุ่นแท้ๆ…”มือของสิ้นรักที่กำลัง
จับดินสออยู่ชะงักนิดนึงก่อนจะตวัดลายเส้นพลิ้วสวยไปบนสมุดสเก็ตภาพ
แทนการดูแฟ้มรายชื่อลูกค้า…

“พี่รังเลือกแล้ว…เขาได้เลือกแล้ว…และฉันก็พร้อมที่จะรับกับการตัดสินใจของเขา
การคร่ำครวญร้องไห้ฟูมฟายเหมือนในอดีตจะไม่มีอีกแล้วปอง
ฉันร้องไห้มามากพอแล้วสำหรับการรอคอย…โดยที่ไม่รู้เลยว่า
การรอคอยนั้นจะสิ้นสุดเมื่อไหร่…แต่การไม่ร้องไห้ ก็ไม่ได้แปลว่า
ฉันจะไม่รัก ไม่เป็นห่วงเขา…แต่เพราะฉันเลือกแล้วที่จะรอคอยเขา
อย่างไรก็ต้องรอ…ฉันจะยิ้มรอพี่รังกลับมา…เขาสัญญาว่าจะกลับมาที่นี่
เขาก็ต้องมา…แม้ว่าเขาจะผิดสัญญาซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ตาม…แต่ฉันก็เชื่อว่า
พี่รังจะกลับมาหาฉัน…ทุกอย่างจะต้องผ่านไปด้วยดี…ฉันเชื่ออย่างนั้น
และจะยังเชื่อต่อไป…ไม่ว่า…”

คนพูดน้ำตาปริ่มขึ้นมา เสียงตอนท้ายสั่น
แววตาส้ินหวังปรากฏอยู่ในเบื้องลึกเมื่อต้องเอ่ยประโยคท้ายสุดออกมา

เพราะทุกครั้งที่เป็นฝ่ายเฝ้ารอ…เขาทำเธอใจหายใจคว่ำแทบทุกครั้ง…
ปองขวัญจึงวางมือลงบนบ่าของเพื่อนแล้วบีบเบาๆ สิ้นรักหันมายิ้มให้ก่อนจะกล่าวว่า

“ฉันต้องขอโทษแกกับพี่ลมด้วยนะ ที่ทำให้ต้องเลื่อนงานแต่งออกไปด้วย”
ปองขวัญส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มปลอบใจ

“คิดมากน่ะแก…ฉันกับพี่ลมเข้าใจและไม่ได้โทษใคร มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้นี่นา…”

“ว่าแต่แกมีอะไรไม่สบายใจรึเปล่า…ดูสีหน้าไม่ดีสักเท่าไหร่เลย…”
ปองขวัญรู้สึกได้ว่าเพื่อนของเธอดูแปลกๆไป…

“ไม่มีอะไรหรอก…”แม้จะไม่เชื่อสักเท่าไหร่ หากปองขวัญก็จำยอม



เมื่อกลับมาอยู่ตามลำพังอีกครั้ง…สิ้นรักก็อดไม่ได้ที่จะหยิบสมุดบันทึกสีเทาๆ
ค่อนไปทางเก่าออกมาจากลิ้นชัก แล้วนั่งพับเพียบบนเตียงนอน
หลังพิงหมอนอิงที่รังสิมันต์ซื้อให้เป็นของขวัญแทนตัวเขา…

หญิงสาวมองบันทึกเล่มนั้นอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมา
แล้วค่อยๆเปิดบันทึกเล่มนั้นที่เธอได้มาจากลิ้นชักในห้องนอนของรังสิมันต์
ตอนที่มารดาของเขาไหว้วานให้เธอขึ้นไปหากล่องเครื่องประดับ
ที่จะใช้หมั้นหมายเธอในห้องของเขา เพราะมารดาของเขากลัวว่า
ลูกชายจะนำแหวนวงนั้นติดตัวไปที่ญี่ปุ่นด้วย ท่านเกรงว่าลูกชายของท่าน
จะทำมันหายที่โน่น ซึ่งถ้าพบว่ามันอยู่ที่ไหนในห้องของเขา
ก็ย่อมแสดงว่าเขาไม่ได้นำมันติดตัวไปด้วย…

แต่ไม่ว่าเธอจะค้นหาเท่าไหร่กลับไม่เจอกล่องเครื่องประดับ
หรือแม้แต่แหวนสักวงเดียวในห้องของเขา
พบเพียงสมุดบันทึกเล่มเก่าที่ดูเตะตาเธอที่สุดจนเธออดใจไม่ไหว
เผลอเปิดอ่านหน้าแรกดู…คำแรกที่เธอเจอในหน้าแรกคือคำว่า

“อากิโกะ”

เท่านั้นลำคอของเธอก็เริ่มตีบตันเมื่ออ่านประโยคถัดมา…

‘อากิโกะ…สาวน้อยแห่งฤดูใบไม้ร่วง…ฉันอยากเขียนอะไรๆถึงเธอ
หลังจากที่เพิ่งค้นพบว่า หัวใจของฉันเริ่มมีเธอเข้ามาจับจอง…’

อ่านแค่นั้น มือของสิ้นรักก็สั่น แทบทำสมุดบันทึกร่วง หัวใจไหวยวบ
ไม่สามารถควบคุมประสาทและสมองให้อ่านประโยคต่อมาได้อีก
ทำได้แค่กอดบันทึกเล่มนั้นเอาไว้แล้วแอบนำมันกลับมา…

ทำใจอยู่หลายวันกว่าจะหยิบมันขึ้นมาอ่านอีกครั้ง…
บันทึกเล่มนั้นทำให้เธอรับรู้ความรู้สึกของคนเขียน
เข้าใจถึงความเจ็บปวดของผู้บรรยาย…

แล้วก็ทำให้เธอรู้ว่า…คนเขียนรักผู้หญิงนามว่าอากิโกะมากแค่ไหน…

ใช่…เขาเคยสารภาพกับเธอตอนเธอถาม เขาบอกว่าเขาเคยรักอากิโกะ
อย่างที่แม่ของเขาเคยบอกกับเธอ…และบอกว่าเคยรัก ไม่ได้รักแล้ว…

แต่ถ้อยคำในสมุดบันทึกที่เขาบรรยายว่า ผู้หญิงคนนั้นคือรักแรกของเขา
ถ้อยคำนั้นสุดแสนจะทำให้เธอเจ็บแปลบไปทั้งใจ…

ยิ่งได้รู้ว่าอากิโกะเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาไม่คิดจะรักใคร…
ทั้งๆที่ผู้ชายหน้าตาดี ฐานะดี การงานดี นิสัยดีอย่างเขา
น่าจะมีสาวๆหลายคนสนใจและหมายปอง…

แต่เป็นเพราะเขารักอากิโกะจนไม่อาจรักใครได้อีกแล้ว
อย่างที่เขาบรรยายไว้ในบันทึกหน้าสุดท้ายนั่น!

รักต้องห้าม รักข้างเดียว มันเจ็บปวด เธอเข้าใจเขา
เพราะเธอก็เคยผ่านความรู้สึกเช่นนั้นมาก่อน…

และเธอกำลังเจ็บปวดอีกครั้ง เมื่อได้รู้ความจริงว่าตัวเองเป็นแค่ตัวแทน…

ปากเขาบอกว่ารักเธอ แต่จริงๆแล้วเพราะเขาเพียงแค่ต้องการใครสักคนไว้คอยยึดเหนี่ยว
ทั้งๆที่เขาไม่เคยลืมรักแรกของเขา

…ไม่แปลกเลย ที่หลายๆครั้งเธอรู้สึกเหมือนไร้ตัวตนในสายตาเขา…
เขายังคงห่วงหาผู้หญิงคนที่ได้ชื่อว่าเป็นน้องสะใภ้อยู่เสมอผ่านทางเจ้าแฝด…

เขารักเด็กสองนั้นราวกับลูกของตัวเอง…เขาเขียนว่าไม่มีใครแทนที่อากิโกะได้…

แล้วเธอล่ะ คนที่เขาบอกว่ารักและอยากใช้ชีวิตที่เหลือด้วยกันคืออะไรสำหรับเขา…
เธออาจจะไม่ใช่ตัวแทน แต่เป็นอะไรล่ะ เธอเป็นอะไรกันแน่สำหรับเขา…

สิ้นรักได้แต่ภาวนาว่าขอให้บันทึกเล่มนี้
เป็นเพียงอดีตที่ถูกลบไปแล้วในความรู้สึกของเขา
ขออย่าให้เขายังรู้สึกเหมือนดั่งที่เขาบรรยายมันลงไปในบันทึกนี้ด้วยเถิด…

แต่ความคิดด้านมืดมันคอยเตือนเธออยู่เบาๆข้างๆหัวใจว่า
เขายังรักและห่วงใยผู้หญิงซึ่งเป็นรักแรกของเขาอยู่อย่างไม่เสื่อมคลาย
เธออยากจะเชื่อเขาอย่างที่เคยเชื่อว่าเขาไม่ได้รักอากิโกะแล้ว
อากิโกะเป็นเพียงอดีต เป็นเพียงรักแรกอย่างที่เขาเคยบอกกับเธอ…

แต่หลายๆเหตุการณ์ที่ผ่านมามันทำให้เธอต้องมองย้อนกลับไป...
เพราะทุกๆครั้งที่เขาเดือดร้อนอากิโกะจะมาอยู่ข้างๆคอยช่วยเหลือเขาตลอด
…เหตุการณ์ล่าสุดก็เช่นกัน
เขายอมให้ผู้หญิงคนนั้นไปผจญภัยอันตรายกับเขาได้โดยไม่ห้ามปราม
แต่กับเธอเขากลับปล่อยให้เธออยู่ห่างๆเขา เพื่อความปลอดภัย…

เขาเลือกจะทิ้งเธอไว้ข้างหลังทุกครั้งที่เผชิญกับปัญหา…
เขาเลือกที่จะปกปิดความทุกข์เอาไว้ไม่ให้เธอรู้ เพื่อไม่ให้เธอร้อนใจ
เขาเลือกคนที่จะระบายความทุกข์ใจเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่เธอ…
เวลาเขาเจ็บปวด เธอก็ถูกกันออกมาจากเขาเสมอ…

เธอควรจะทำอย่างไรต่อไปดี…เธอควรจะแต่งงานกับเขาหรือปล่อยเขาไป

ไม่ ไม่เด็ดขาด เธอจะไม่ยอมสูญเสียเขาไปเด็ดขาด…การอยู่อย่างไม่มีเขา
มันคงทรมานน่าดูจนน่ากลัว…ในเมื่อเดินมาจนเกือบถึงปลายทางแล้ว
เธอจะยอมแพ้ให้กับอดีตบ้าๆพวกนั้นได้ยังไง…

สิ้นรักกัดปากตัวเองแล้วก้มหน้าร้องไห้…เจ็บใจตัวเอง
แต่ในเมื่อเขาบอกว่ารักเธอและอยากแต่งงานกับเธอ
มันก็น่าจะเพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ เธอควรปล่อยอดีตมันไปอย่างที่เคยทำ

เพราะอย่างไรเสีย อากิโกะก็ไม่ได้รักเขาหรอก เธอรักน้องชายของเขา
แถมยังมีลูกด้วยกันอีก ยังไงเรื่องระหว่างเขากับอากิโกะก็ไม่มีวันเป็นจริง
แต่เรื่องระหว่างเธอกับเขาสามารถเป็นจริงได้…เพียงแค่เธอจะทำเป็นลืมๆ
ไปว่าได้อ่านอะไรไปบ้าง ลืมๆไปว่าเขาเคยรักใคร…
แล้วจำเอาไว้ว่าตอนนี้เขารักเธอ…และเธอเองก็รักเขา…

เราสองคนรักกัน!!!

อดีตคืออดีต ปัจจุบันคือปัจจุบัน เธอจะทำให้อนาคตมีเขาและเธอตลอดไปให้ได้…
เธอจะทำให้เขารักเธอหมดหัวใจเพียงคนเดียวให้ได้…
เธอจะต้องเป็นหนึ่งเดียวในใจเขา จะเป็นภรรยาที่เขาจะรักไปจนสิ้นลมหายใจ

…คิดได้ดังนั้น สิ้นรักก็หยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมา
แล้วเปิดดูคลิปวิดีโอที่เขาส่งมาให้เธอเมื่อครั้งก่อนอีกครั้ง
นั่งฟังเพลงที่เขาร้องให้เธอฟัง นั่งอ่านข้อความที่เขาส่งให้เธอ
ก่อนเดินทางไปญี่ปุ่นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น…
ก่อนจะยิ้มให้กับภาพหน้าจอโทรศัพท์มือถือทั้งน้ำตา…

…นี่ต่างหากคือปัจจุบัน…ไม่มีเหตุผลใดที่เขาจะต้องโกหกว่ารักเธอ…

แล้วความห่วงใยก็จู่โจมหัวใจเธอ ให้ต้องกดหาถามข่าวคราว
คนทางโน้นว่าเป็นอย่างไรบ้าง รังสิมันต์ฟื้นแล้ว อากิโกะก็เช่นกัน
อีกไม่กี่วันทั้งสองก็คงจะกลับประเทศไทยพร้อมกับซาเนียและเวนไตยที่อาการดีขึ้นเรื่อยๆ…

ไม่รู้ว่ากลับมาแล้ว เขาจะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่นั่นให้เธอฟังรึเปล่า…
หากเธอคงไม่เซ้าซี้เขาเหมือนทุกๆครั้งหรอก
เชื่อว่าถ้าเขาอยากเล่า เขาคงเล่าเธอเอง…แม้ทุกๆเหตุการณ์ที่ผ่านมา
เธอจะไม่เคยได้รับรู้อะไรจากปากของเขาเลยก็ตาม…

และแม้จะเชื่ออยู่ลึกๆว่า เขาคงจะไม่เล่าอะไรให้เธอฟังอย่างเคยก็ตาม…
ความหวังเล็กๆของสิ้นรักเปรียบเหมือนแสงเทียนท่ามกลางความมืดมิด…
ที่เมื่อต้องลมเพียงนิดอาจจะดับลงได้โดยง่าย…
ทว่าตอนนี้มันดูจะเพียงพอแล้วที่จะปลอบใจเธอ…




“แกไม่คิดจะไปหานาโนบ้างเหรอไอ้หมอ…น้องเขาคงอยากเจอแกแล้วล่ะ”

วายุกล่าวขณะที่มองแผ่นหลังของเพื่อนที่กำลังยืนมองไปยังท้องทะเลที่บ้านเกิด…
รังสิมันต์ลอบถอนใจ…ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า…

“ฉันเองก็อยากเจอเธอมาก มากเหลือเกินไอ้ลม…แต่ไม่รู้ว่าจะเล่า
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่โน่นให้เธอฟังยังไงดี…ฉันยังไม่พร้อมที่จะเจอเธอ
ไม่อยากให้เธอทุกข์ใจ…เพราะฉันยังหาคำตอบของคำถามที่เธอคง
จะถามฉันเกี่ยวกับเรื่องที่ฉันเจอมา…”

“แล้วแกคิดว่าการที่แกทำอย่างนี้ นาโนจะไม่เป็นทุกข์รึไง…
แกกลับมาสามวันแล้ว แต่ไม่ยอมไปพบหน้าเขา แถมก่อนหน้านี้
แกก็ปล่อยให้เขาเป็นหม้ายขันหมาก…ฉันเข้าใจความรู้สึกแกนะ
แต่ฉันว่าเวลานี้แกควรจะไปหานาโนว่ะ…เพราะเท่าที่ฉันรู้จักนาโนมา
เธอเป็นคนที่ไม่ค่อยเซ้าซี้ ช่างซักนักหรอก…แม้แววตาจะขี้สงสัยก็เถอะ”

รังสิมันต์หันกลับมาทางเพื่อนสนิท แล้วถามออกไปด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ

“แกคิดว่านาโนของแกเขาจะกลัวกับการล่องเรือไปท่ามกลางทะเลสีดำ
อย่างตอนนี้รึเปล่า…”วายุยิ้มก่อนจะแตะบ่าเพื่อนขณะกล่าวว่า

“ฉันว่าคนที่กลัวว่าเธอจะกลัวกับการเดินทางเป็นแกมากกว่าว่ะไอ้หมอ…
แกกำลังสร้างความกลัวขึ้นมาในหัวใจแกเอง…แล้วกำลังจะพยายาม
ยัดเยียดมันให้กับอีกคน…”รังสิมันต์ขมวดคิ้วนิดนึง
วายุจึงท้าวความให้ฟังด้วยรอยยิ้มขี้เล่นว่า

“แกจำเหตุการณ์สมัยตอนที่พวกเราไปปีนเขาอกทะลุกันได้มั้ยล่ะ…”
รังสิมันต์พยักหน้าเบาๆ แววตายังคงไร้แสง

“นาโนเขาก็ไปปีนเขาด้วยกันกับเรา…แถมยังยืนขาสั่นเผชิญหน้ากับ
เจ้าจงอางได้ตั้งนานอีก…แถมยังเคยโดนงูเห่ากัดไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ยังรอดมาได้
แกเคยเห็นแววตาหวาดกลัวตอนที่เธออยู่กับแกบ้างรึเปล่า…
แกบอกฉันเองว่านาโนเป็นคนร้องเพลงล้อแกเล่นตอนที่แกแบกเธอขึ้นขี่หลัง
ไปโรงพยาบาลหลังจากโดนงูเห่ากัด…นี่หรือผู้หญิงขี้กลัว…
โดยเฉพาะตอนแกหายไป นาโนก็ควานหาตัวแกโดยไม่กลัวอันตราย…
ตากแดดตากลม ป่วยแค่ไหนก็ยังอดทนลุกขึ้นมาตามหาแก…

คนที่นาโนเชื่อฟังที่สุดคือพ่อบันของเธอก็จริง
แต่กับแกนอกจากเธอจะให้ความไว้เนื้อเชื่อใจแล้ว…
ฉันดูออกว่าเธอพร้อมจะฝากชีวิตที่เหลือไว้กับแก…”
รังสิมันต์นิ่งฟัง วายุตบบ่าเพื่อนหนักๆแล้วกล่าวว่า

“เธอรักแกมากนะไอ้รัง…แล้วที่สำคัญ…ผู้หญิงที่ดูบอบบาง
ก็ไม่ได้หมายความว่าหัวใจของเธอจะเปราะบางไปด้วยนะไอ้หมอ…”
วายุยิ้มกว้างแล้วกล่าวทิ้งท้ายว่า

“จะแต่งอีกครั้งวันไหน ก็บอกฉันด้วยล่ะ…คู่ฉันกำลังรอคู่แกอยู่นะเนี่ย…”

รังสิมันต์มองเพื่อนที่เดินจากไปพร้อมกับครุ่นคิดถึงคำพูดของเพื่อนเมื่อครู่
ได้คำตอบว่าคนที่กลัวคือเขานั่นเอง…เขากลัวว่าจะทำให้เธอลำบาก
กลัวทำให้เธอต้องทุกข์ใจและตกอยู่ในอันตราย หากต้องมาอยู่ใกล้ๆตัวเขา




สิ้นรักมองรังสิมันต์ที่ค่อยๆเดินเข้ามาในร้านด้วยแววตาที่เอ่อไปด้วยน้ำตา
ที่เต็มไปด้วยความรัก คิดถึง และห่วงหา ในที่สุดเขาก็กลับมาหาเธอ…

ก่อนหน้านี้เธอรู้ข่าวการเคลื่อนไหวของเขาตลอด…แต่ไม่โทรไปเซ้าซี้
หรือถามไถ่ให้เขาลำบากใจที่จะตอบ แล้วก็ยังคงปักหลักอดทนรอคอยเขาอยู่ที่นี่
เชื่อว่าถ้าเขารักเธอจริง เมื่อเขาพร้อม เขาจะมาหาเธอตามที่ได้ให้สัญญาเอาไว้

…เธอไม่อยากบีบบังคับเขาอีกแล้ว…

รังสิมันต์ก้าวเข้ามาถึงตัวของสิ้นรักทันซับน้ำตาหยดแรก
ที่ร่วงตกลงมาจากดวงตาของเธอด้วยนิ้วเรียวยาวพอดี…

“ร้องไห้ทำไมครับ…”น้ำเสียงนุ่มปนห่วงใยประกอบกับแววตาห่วงหานั้น
ทำให้สิ้นรักถึงกับน้ำตาทะลักออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ก่อนจะจับมือรังสิมันต์
แล้วประคองมือนั้นมาแนบแก้มไว้ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรัก

ไม่มีคำพูดใดๆเปล่งออกมา นานเนิ่นนานกว่าที่สิ้นรักจะเงยหน้าขึ้นมองรังสิมันต์
โดยที่ยังคงกุมมือนั้นเอาไว้แน่น น้ำตาเหือดหายไป ทดแทนด้วยรอยยิ้ม…

“พี่รังสบายดีนะคะ…”ถามพลางกวาดสายตาสำรวจร่างกายของเขาอย่างห่วงใย
รังสิมันต์ยิ้มพร้อมกับพยักหน้า อยากดึงร่างบางเข้ามากอด
แต่ด้วยความรัก เขาจึงเลือกที่จะรอ…

“กลัวมั้ยตอนที่รู้ว่าพี่อยู่โรงพยาบาล…”สิ้นรักพยักหน้า…

“แล้วถ้าพี่พาเธอล่องทะเลสีดำที่มีแต่ความมืด
มีแต่เกลียวคลื่นที่คอยซัดตลอดเวลาล่ะ…เธอจะกลัวมั้ย…”
สิ้นรักขมวดคิ้วนิดนึง ก่อนจะยิ้มบางที่มุมปากเมื่อเข้าใจความนัย…
หญิงสาวจึงถามออกไปว่า

“แล้วพี่รังกลัวจะทำให้รักลำบากรึเปล่าล่ะคะ…”รักสิมันต์พยักหน้า…
สิ้นรักจึงยกมือที่กุมมือเขาอยู่ขึ้น แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มและแววตาจริงใจ

“พี่รังไม่ได้บังคับให้รักรักพี่ ไม่ได้บังคับให้รักแต่งงานกับพี่
ไม่ได้บังคับให้รักอยากอยู่ข้างๆพี่…และก็ไม่มีใครบังคับให้รักเลิกรักพี่ได้…
แม้แต่ตัวรักเอง…ดังนั้นพี่รังก็ไม่จำเป็นที่จะต้องรับผิดชอบความรู้สึกของรัก
เพราะมันเป็นของรัก รักขอรับผิดชอบมันเอง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น…
รักจะขอรับผิดชอบมันเองค่ะ…พี่รังอย่ากังวลไปเลย…แค่รักได้ทำตาม
ความรู้สึกของตัวเอง มันก็เพียงพอแล้วค่ะ…
รักไม่ต้องการอะไรไปมากกว่าการที่ได้รัก ได้อยู่เคียงข้างพี่…
อยู่ที่พี่ว่าอยากให้รักอยู่ด้วยรึเปล่าเท่านั้น…”

“แต่…”รังสิมันต์ยังคงลังเลอยู่ดี…เพราะที่ผ่านมา เขาทำร้ายจิตใจเธอหลายต่อหลายครั้ง
จนแทบไม่คิดว่าเธอจะให้อภัยเขาได้ง่ายๆอย่างนี้…
เธอไม่ต่อว่า ไม่กล่าวโทษเขาสักนิด…มันทำให้เขายิ่งรู้สึกผิดในใจ

“อย่าไปคิดมากเลยนะคะ…”

“แล้วพี่ควรทำยังไงดี…”

“แค่พี่รังไม่ปล่อยมือ แค่กอดรักเอาไว้ รักก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น…”
รังสิมันต์ยิ้มออกมา น้ำตาเอ่อออกมานิดนึงด้วยความตื้นตันใจ…

“ไม่โกรธพี่บ้างรึไง ที่ทำให้เราหม้ายขันหมากในวันแต่งน่ะ…”
สิ้นรักส่า่ยหน้า…

“ไม่โกรธสักนิดเดียว แค่รู้สึกน้อยใจนิดๆเท่านั้น…”สิ้นรักเชิดจมูกนิดนึง
ทำเอารังสิมันต์กระตุกคิ้วนิดนึงที่คนตรงหน้าเริ่มเปลี่ยนท่าที

“น้อยใจ?...”

“ช่าย…”หญิงสาวลากเสียงยาว…

“น้อยใจพี่?”รังสิมันต์ชี้นิ้วมาที่ตัวเอง สิ้นรักพยักหน้า

“ช่าย…น้อยใจที่พี่รังกลับมาแล้ว แต่ไม่ยอมมาหาตั้งแต่วันแรกที่กลับ…
เหมือนไม่คิดถึงกันเลยสักนิด…คิดว่าตกหลุมรักพยาบาลสาวชาวญี่ปุ่นไปแล้วซะอีก”
รังสิมันต์ยิ้มนิดนึงที่มุมปากเมื่อเห็นคนตรงหน้าทำท่่างอนๆใส่เขาได้อย่างน่าหมั่นเขี้ยวนัก…

“ก็พี่กลัวว่าจะโดนเราต่อว่าน่ะสิ…ก็เลยหลบไปตั้งหลักก่อน
คราวหลังถ้าเราคิดถึงพี่ล่ะก็ ไปหาพี่ได้ถึงที่เลยนะ…พี่ไม่ว่าหรอก…
แถมจะอ้าแขนต้อนรับด้วย…”สิ้นรักเชิดหน้า

“ใครเค้าคิดถึงพี่…”รังสิมันต์ยิ้มกับท่าทางเหมือนเด็กๆนั่นของคนตรงหน้า

“ไม่คิดถึงแล้วเมื่อกี้ใครกันที่ร้องไห้ขี้มูกโป่ง…รู้นะว่าคิดถึงพี่ใจจะขาดรอนๆอยู่…”
รังสิมันต์ยิ้มล้อ…

“ขี้ตู่ๆ…ที่เค้าร้องไห้ตอนนั้นน่ะ เค้าแค่เสียใจหรอก
ไม่ใช่เพราะดีใจที่เจอพี่สักหน่อย หลงตัวเองจริงๆพี่รังเน่ีย…”
รังสิมันต์หัวเราะหึๆในลำคอ

“ปากแข็งอย่างนี้ ระวังจะนอนหนาวบนคานน้อยไปอีกหลายเดือนนะจะบอกให้…”
สิ้นรักตกใจ แกล้งทำตาโต

“โห…กลัวจังเลยนะเนี่ย…”รังสิมันต์ยิ้มบางพลางส่ายหัว

“ไม่สงสารคู่ไอ้ลมมันบ้างรึไง…คู่นั้นเขารอเราสองคนอยู่นะ…”

“ก็ให้เขาแต่งกันไปก่อนสิคะ…รักจะงอนให้พี่รังง้ออีกสักสองปี…”

“ถึงตอนนั้นไอ้ลมคงมีลูกไปแล้วสี่คน…มันกะจะมีลูกหัวปีท้ายปี…
ใครแทรงโค้ง ปาดหน้าพี่ พี่ไม่สน แต่ไอ้ลมพี่ยอมไม่ได้เด็ดขาด…”
สิ้นรักเริ่มหน้าแดงกับคำประกาศิตนั้น…

“ไม่รู้ล่ะ รักจะงอนพี่ บางทีสองปีอาจจะน้อยไปด้วยซ้ำ…
เพราะรักไม่ใช่โรงงานผลิตลูกแข่งกับใคร…ถ้าพี่รังอยากมีลูกแทรงหน้าพี่ลม
ก็ไปแต่งกับแม่แมวที่บ้านสิ คลอดทีเดียวได้ตั้งหลายตัว…”

สิ้นรักยังไม่เลิกแกล้งงอนรังสิมันต์ จนเขาถึงกับแอบหัวเราะกับถ้อยคำนั้นของเธอ

“พี่ให้เวลาเธองอนแค่สองอาทิตย์…เพราะไม่อย่างนั้นพี่จะจับเธอยัดเข้าห้องหอ
ไปเป็นหมอนข้างให้พี่ทันที ไม่รงไม่รอมันแล้ว
เพราะพี่อยากได้ลูกแฝด จะได้นำหน้าไอ้ลมกับตีตื้นเจ้ารักได้สำเร็จสักที”
ชายหนุ่มหัวเราะนิดๆก่อนจะกระซิบเบาๆข้างๆหูของสิ้นรัก
อย่างคนอารมณ์ดีว่า

“แฝดสองหรือแฝดสี่แม่คนก็ทำได้ ไม่ต้องพึ่งแม่แมวที่บ้านหรอก…
เธอก็รู้ว่าพี่เป็นคนรักคน ไม่ได้เป็นคนรักแมว…”สิ้นรักหน้าแดงกว่าเก่า
เมื่อได้ยินคำว่าลูกแฝดที่อีกฝ่ายหมายมั่น แค่คิดเธอก็ขนลุกแล้ว…

“พี่พูดจริงๆนะ อีกสองอาทิตย์ พี่จะกลับมารับไปทำพิธีที่เกาะรัง…
พ่อบันของเธอบอกกับพี่ก่อนหน้านี้แล้ว ว่าสุดแล้วแต่เธอกับพี่ว่าจะตกลงกันยังไง…
หวังว่าเธอจะไม่ขัดข้องนะ…หมอนข้างน้อยๆของพี่…ว่าที่แม่ลูกแฝดคนเก่ง…”

พูดเสร็จว่าที่เจ้าบ่าวรึบเดินออกจากร้านไปด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ
ทิ้งให้ว่าที่แม่ลูกแฝดยืนเอามือประคองแก้มแดงๆของตัวเองเอาไว้
เพื่อไม่ให้มันร้อนจนเกินไป

…นี่เขาคิดจะให้เธอออกลูกเหมือนแม่แมวเลยรึไงกัน…

ถ้าเธอมีไม้วิเศษเหมือนแม่มดยัดดาม่อนอย่างที่เคยฝันใฝ่ตอนเด็กๆล่ะก็
เธอจะสาปให้ไอ้พี่รังกลายร่างเป็นม้าน้ำซะเลย
พ่อม้าน้ำอย่างเขาจะได้อุ้มท้องลูกแฝดสองแฝดสี่ของเขาแทนแม่ม้าน้ำเสียเอง

…อยากได้ลูกแฝดกี่คนกี่คู่ก็อุ้มท้องและคลอดเอาเองก็แล้วกัน…เชอะ!!!








ณ หาดทรายสีขาวสะอาด สายลมพัดไหวโชยเอื่อย เสียงคลื่นลมร้องกล่อม
เป็นท่วงทำนองราวกับเสียงเพลงคลาสสิค ต้นสนยืนท้าทายสายลม
ไม่อาทรต่อเสียงคลื่นอย่างทะนง มีร่มเงาให้นอนหลับพักผ่อนสบาย
ลมไม่แรง แสงแดดไม่ร้อน มีท้องฟ้าเอาไว้ห่มนอนแทนผ้าห่ม
ไร้เสียงจอแจของผู้คน มีแต่ความเงียบสงบอย่างแท้จริง…

หญิงสาวหน้าหวานที่กำลังเอนกายนอนพริ้มตาหลับอยู่บนเปลญวน
ที่ผูกเอาไว้ใต้ร่มสนริมหาดทรายขาวร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ
จนเกือบตกจากเปลไปนอนกองบนผืนทราย สีหน้าตื่นๆมองไปรอบกาย
ก็พบแต่เสียงคลื่นลม สักครู่เธอก็ถอนใจยาวก่อนจะค่อยๆกลืนน้ำลายลงคอ

“นี่เราฝันไปเหรอเนี่ย…”หญิงสาวกุมมือที่หน้าอกของตัวเอง
หากต้องสะดุ้งตกใจอีกครั้งเมื่อมีเสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลังของเธอ

ไม่เคยมีสักครั้งที่เธอหลับไปอย่างไม่ต้องหวาดระแวงหรือระวังภัย
ไม่เคยเลยสักครั้งในชีวิตนี้…

“ไม่มีอะไรที่เธอต้องกลัวหรือวิตก ถ้าเธอพักอยู่ที่นี่…”น้ำเสียงนิ่งๆนั้น
ไม่ต้องหันไปดูก็รู้ว่าเป็นเสียงของใคร…

“ฉันชินชากับความรู้สึกหวาดระแวงมาทั้งชีวิต ไม่เคยกล้าจะไว้ใจใคร
เพราะที่ผ่านมาไม่มีใครที่ฉันพอจะไว้ใจได้เลย นอกจากพ่อ…
บอกตามตรงว่าฉันไม่กล้าไว้ใจใครหรือผู้ชายคนไหน…
มันกลายเป็นสัญชาตญาณในตัวของฉันไปแล้ว…”
ซาเนียกล่าวออกไปตรงๆ สงผลให้คนฟังลอบยิ้ม…

“ไม่แปลกหรอกที่ผู้หญิงจะมีสัญชาตญาณหรือระบบป้องกันภัยแบบนั้น
เธอเองก็คงเหนื่อยกับการวิ่งหนีจากการถูกไล่ล่า…และคงมีบ้างที่อยากหนีไปให้ไกลผู้คน…
อยากมีที่พักพิงที่ปลอดภัย…

ฉันขอยืนยันด้วยเกียรติของฉันว่าที่นี่จะเป็นที่พักพิงที่ปลอดภัยให้กับเธอ…
เธอสามารถเดินเล่นหรือนอนหลับตรงไหนก็ได้โดยไม่ต้องหวาดกลัวว่าจะมีใครทำร้าย…
และเธอก็ไม่ต้องวิ่งหนีใครต่อใครอย่างที่ผ่านมาอีก…
จะไม่มีใครหรือผู้ใดจะตามมาล่าตัวเธอถึงที่นี่ได้…”

ซาเนียรู้สึกตื้นตันไปทั้งใจกับถ้อยคำนั้นของเขา…เธอเองก็ค่อนข้างจะแน่ใจ
ว่าที่นี่คือดินแดนที่เธอตามหามาทั้งชีวิต…เพราะเธอไม่อยากหนีให้เหนื่อยอีกแล้ว…
อยากหยุดและพักอยู่ที่ตรงนี้…

“ฉันจะแน่ใจได้จริงๆเหรอว่าถ้าฉันหลับตาแล้วฉันจะปลอดภัย
ไม่ต้องตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าต้องวิ่งหนีเอาตัวรอดอีก…”
เสียงนั้นถามออกไปด้วยแววตาไม่แน่ใจนัก

…เวนไตยยิ้มบางที่มุมปากนิดนึงก่อนจะพยักหน้าเป็นการยืนยัน

หญิงสาวยิ้มกว้างพลางนึกไปถึงเหตุการณ์ที่ญี่ปุ่น

วันนั้นเธอไปเที่ยวที่จังหวัดใกล้เคียงเมืองโตเกียว และได้พักผ่อนที่โรงแรม
กำลังเคลิ้มหลับพอดีก็ต้องตกใจตื่นเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของคน
เธอรับรู้ได้ทันทีว่าภัยกำลังมาถึงตัว…และก็เป็นจริงดังคาด
มีชายฉกรรจ์2 คน เดินย่างสามขุมมายังเตียงนอนของเธอ ดีที่เธอมีสติพอ
จึงหยิบที่ช้อตไฟฟ้าที่ปกติจะวางไว้ใต้หมอนเป็นประจำขึ้นมาต่อสู้กับพวกนั้น
แต่สุดท้ายก็พลาดท่าเสียทีพวกนั้นจนได้…

ชายคนหนึ่งรวบเธอตัวเอาไว้ แล้วก็ลากเธอไปยังห้องน้ำที่อีกคนเตรียมน้ำเอาไว้เกือบเต็มอ่าง

วินาทีนั้นเธอรู้ดีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง
พวกนั้นไม่ยอมให้เธอได้รับบาดแผลหรือทิ้งร่องรอยเอาไว้บนตัวเธอ
มันกะจะฆ่าอำพรางคดี ให้ทุกคนคิดว่าเธอคิดสั้นกรีดข้อมือฆ่าตัวตายในห้องน้ำ…

เธอจำหน้าสองคนนั้นได้ดี…แต่ยังไม่ทันที่พวกนั้นจะวางเธอลงไปในอ่างน้ำ
ก็มีมือที่สามเข้ามาช่วยเหลือเธอ ตอนเห็นหน้าคนที่เข้ามาช่วย เธอทั้งตกใจ แปลกใจ

เหนือสิ่งอื่นใดคือดีใจที่เป็นเขาที่เข้ามาช่วยเธอ…

เวนไตยปะทะกับสองคนนั่นจนได้รับบาดเจ็บที่ต้นแขน
เพราะโดนคมมีดของพวกนั้นขณะที่เขาลื่นล้มหัวฟาดเข้ากับอ่างอาบน้ำ

เธอคิดว่าเขาสลบไปแล้ว แต่เปล่าเลย เขาอึดและทน
พยายามประคองตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง แต่ชายฉกรรจ์อีกคนที่รวบตัวเธอไว้
ยกมีดขึ้นจ่อคอหอยของเธอเพื่อให้เวนไตยที่กำลังจะใช้มีดแทงอีกคนปล่อยตัวคู่หู…

ทว่าอยู่ดีๆก็เกิดเหตุแผ่นดินไหวจากเบาๆเปลี่ยนเป็นรุนแรง
ข้าวของตกลงบนพื้นเหมือนโลกกำลังโอนเอน
เหมือนเธอกำลังนอนอยู่บนเปลที่มือที่มองไม่เห็นกำลังไกวเปลนั้น
ด้วยจังหวะที่เร็วและแรงขึ้นทุกขณะ พวกนั้นตกใจรีบวิ่งหนีออกจากห้อง

เธอเองก็รีบวิ่งไปดูเวนไตยที่กำลังนอนฟุบอยู่ข้างอ่างอาบน้ำ
เพราะศีรษะกระแทกเข้ากับอ่างล้างหน้าเมื่อครู่ตอนที่ผู้ชายคนนั้นผลักแล้วลุกหนีไป

“นายอย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะ…”เธอถามเขาขณะพลิกเขาขึ้นมา
เขาลืมตาขึ้นมองเธอ เธอจึงค่อยๆประคองเขาให้ลุกขึ้นเพื่อพาเขาออกไป
ยังสถานที่ที่ปลอดภัยกว่าในห้องนี้…

เราสองคนรีบวิ่งออกจากตึกอาคารของโรงแรมเมื่อแผ่นดินไหวเริ่มสงบลง
ผู้คนเองต่างก็แตกตื่นวิ่งหนีกันอลหม่าน…

อีกไม่กี่นาทีต่อมาก็เกิดแผ่นดินไหวอีกระลอก คราวนี้หนักกว่าครั้งแรก
เพราะได้ยินเสียงของตกแตกกระจัดกระจาย

และก่อนที่สติเฮือกสุดท้ายของเธอจะดับลงขณะถูกมือของเขา
ลากให้วิ่งไปยังที่โล่งแจ้งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมที่เธอพักนัก

ที่นั่นคือสนามฟุตบอล เธอเหยียบเข้ากับเศษแก้วที่ตกอยู่บนพื้นจนเลือดไหลเป็นทาง
ตั้งแต่ออกจากโรงแรมโดยที่เวนไตยไม่รู้

…บัดนี้เธอพบว่าตัวเองหมดแรงเกินกว่าจะไปต่อไปได้อีกแล้ว…

แต่ที่ยิ่่งไปกว่านั้น เธอพบว่ามีเศษแก้วตกลงมาจากตึก กำลังพุ่งลงมาที่ตัวของเธอ…
และเธอคงหลบไม่ทันแล้วถ้าเขาไม่รวบตัวเธอแล้วเบี่ยงกายล้มลงคร่อมตัวเธอ
จนแผ่นแก้วแหลมที่กำลังจะเจาะกะโหลกเธอเฉียดเข้าที่ลำแขนของเขาแทน
จนได้รับบาดเจ็บสาหัสเพราะเสียเลือดมาก กว่าจะมีคนมานำตัวเธอและเขา
ที่สลบไปด้วยกันก่อนจะถึงสนามฟุตบอลอีกนิดเดียว…

“ที่ญี่ปุ่น…ทำไมนายต้องทำขนาดนั้นด้วย…”ซาเนียถามเวนไตย
ที่แขนยังคงเข้าเฝือกอยู่ ต่างจากเธอที่ตอนนี้ปราศจากบาดแผล
เหลือแต่ร่องรอยจางๆ

“มันคือหน้าที่ของฉัน…ที่จะต้องปกป้องเธอ…
ไม่มีอะไรมากไปกว่าน้ันหรอก…อย่าคิดเข้าข้างตัวเองซะล่ะ…”

เสียงแข็งๆปราศจากความนุ่มนวลอ่อนโยนนั้น ไม่ได้ทำให้ซาเนียรู้สึกแย่
เพราะรู้ดีว่าคนข้างๆเธอนั้นเป็นคนยังไง…

“ฉันรู้หรอกน่า…ใครเขาคิดอย่างนั้นกันเล่า…”

ซาเนียสะบัดหน้านิดๆ หากในใจนั้นยิ้มกริ่ม

ทั้งชีวิตนอกจากพ่อแล้วก็ไม่เคยมีใครทำอะไรเพื่อเธอได้มากเท่าผู้ชายคนนี้เลย
เขาเสี่ยงชีวิตเข้าไปช่วยเธอในสถานการณ์คับขันโดยไม่คิดชีวิต…

กระจกเกือบตกลงมาเจาะเข้ากลางศีรษะของเธอแล้ว
ถ้าเขาไม่วิ่งเข้ามาผลักเธอจนล้มแล้วเอากายบัง
จนตัวกระจกนั้นเฉียดเข้าที่ลำแขนของเขาแทนจนได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้

“จะไปรู้เหรอ…ผู้หญิงบางคนชอบเข้าข้างตัวเอง คิดว่าตัวเองเป็นนางเอก
ที่ใครเห็นเป็นต้องหลงรัก…บางคนแอบคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิงจอมแก่น
ชอบทำอะไรตามใจตัวเอง เล่นซนไปเรื่อย ไม่คิดอะไรเผื่อเอาไว้
เพราะคิดว่าจะมีเจ้าชายหรือองครักษ์เข้ามาปกป้องเมื่อเจอภัย…

มันเป็นความคิดที่ไร้สาระสิ้นดี เพราะเจ้าชายไม่มีจริงหรอก…
พลาดพลั้งไป…ใครล่ะจะเดือดร้อน…ถ้าไม่ใช่ตัวเอง…”

เสียงคนพูดดูจะกระแทกกระทั้นนิดๆ ราวกับจะตำหนิคนที่มีความคิดเช่นนั้น

แต่เปล่าเลย เขากำลังตำหนิเธออยู่มากกว่า

ซาเนียคิดได้ดังนั้นหน้าตาจึงงอง่ำอย่างไม่พอใจในคำพูดไร้น้ำตาลนั่นของเขา…

“ผู้หญิงคนอื่นเขาจะคิดฝันยังไงฉันไม่รู้หรอก แต่สำหรับฉัน…
ฉันไม่เคยนึกจะหวั่นไหวกับการรอคอยใครสักคนด้วยความอดทน

เพราะฉันมีความหวังและเชื่อว่า จะต้องมีใครคนนึงที่ไม่รู้ว่าอยู่ไหน
คนที่รักฉันจริง คนที่เป็นครึ่งหนึ่งของฉัน คนที่ฉันสามารถไปเป็นส่วน
เติมเต็มชีวิตของเขาได้…คนที่ฉันเคยฝัน เขาคนนั้นที่จะมาอยู่เคียงข้างฉันในสักวัน…

ฉันหวังว่าโลกใบนี้คงไม่กว้างจนเกินไปที่เราจะพบกันในสักวันหรอก…
แม้ต้องทนหนักสักแค่ไหน แต่ฉันก็จะอดทนรอคอยเขา…วันนั้นต้องมาถึง…”

ซาเนียกล่าวขณะสบตาเวนไตยที่ยืนหน้านิ่งอยู่ข้างๆเธอ…

“แล้วคิดว่าเจอเขาคนนั้นรึยังล่ะ…”เสียงนิ่งๆนั้นถามเธอ
ซาเนียยิ้มที่มุมปากราวกับเย้ยหยันตัวเอง

“อาจจะเจอแล้ว หรืออาจจะยังไม่เจอ
เผลอๆเขาคนนั้นอาจจะอยากอยู่ห่างๆฉันก็ได้…ใครจะไปรู้…”

“งั้นก็ขอให้เธอเจอมิสเตอร์ไรท์ของเธอสักทีนะ…จะได้เลิกเพ้อเจ้อ…”

พูดจบเวนไตยก็ปูเสื่อที่นำติดมือมาแล้วนั่งลง ยืดแข้งยืดขา หลังพิงต้นสน
ต้นที่เปลของซาเนียผูกอยู่ หญิงสาวขมวดคิ้วกับท่าทางนั้นของเขา

เวนไตยเลิกคิ้วสูงเป็นเชิงถามคนที่กำลังมองมาที่เขาก่อนจะเอนกาย
นอนลงบนเสื่อหนุนแขนข้างที่ไม่เจ็บแล้วพลิกกายหันมาทางซาเนีย

“ถ้ายังง่วงอยู่ก็นอนได้นะ…ฉันเองก็จะนอนเหมือนกัน…
นอนที่ไหนก็ไม่อร่อยเท่านอนที่นี่หรอก…”

“นายจะขึ้นมานอนบนเปลมั้ย…เดี๋ยวฉันลงไปนอนบนเสื่อเอง…”
ซาเนียทำท่าจะลุกจากเปล ทว่าเสียงเรียบๆนั้นห้ามไว้เสียก่อน

“อย่าเลย…เปลนั้นฉันยกให้เธอ…”หญิงสาวระบายยิ้มเต็มหน้า
ก่อนจะยื่นหมอนที่เธอนำมาสองใบ ใบนึงใช้หนุนนอน ส่วนอีกใบใช้กอดแทนหมอนข้าง

เวนไตยรับหมอนที่ซาเนียใช้กอดมาหนุนนอน
ซาเนียจึงเอนหลังนอนกอดอกตะแคงข้างหันมาทางเวนไตยแล้วยิ้มให้เขา

“ขอบใจนะ…สำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง…”เวนไตยมิได้กล่าวอะไร
นอกจากยิ้มบางๆที่มุมปากเท่านั้น…แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ซาเนีย
หลับตาลงอย่างไร้ความกังวลหรือหวาดระแวงภัยอย่างที่ผ่านมา…
ไม่ต้องฝันถึงการไล่ล่าแล้วตกใจผวาตื่นขึ้นมาอย่างทุกครั้ง…




…ใครสักคนที่เธอตามหา และรอคอย…เธออยากให้เป็นเขา…

ถ้าไม่ใช่เพราะตอนที่ตื่นขึ้นมาพบกับความจริงที่ว่า เขามีใครไปแล้ว…
เธอเจอเขาช้าเกินไป…และเขาตามปกป้องเธอ เพราะคำขอสุดท้าย
ของพ่อก่อนที่ท่านจะจากไป…เขามองเห็นเธอเป็นแค่น้องสาวเท่านั้นเอง…

มิสเตอร์ไรท์หรือคนที่ใช่ของเธอ คงไม่ใช่เขา…

ดินแดนนี้อาจจะไม่ใช่ดินแดนที่เธอควรจะอยู่จริงๆก็ได้…
เพราะเธอคงจะอยู่ในดินแดนที่คนที่เธอเริ่มรู้สึกแปลกๆด้วยมีใครคนน้ันเคียงข้างได้แน่ๆ…

แม้จะรู้สึกเหมือนเขาเองก็อาจจะมีใจให้เธออยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นเขาจะทุ่มตัว
เอากายเข้ากำบังภัยให้เธอขนาดนั้นได้อย่างไรถ้าไม่มีใจให้เธอเลยสักนิดเดียว

เธออาจจะดูเข้าข้างตัวเอง แต่สัมผัสบางอย่างมันบอกเธอว่่า
เขาเองก็คงมีใจให้เธออยู่บ้าง…แต่งานนี้…เธอมาทีหลัง!


ชีวิตเธอไม่ค่อยมีทางให้เดินมากนักหรอก…
เพราะจะอยู่ที่เกาะชิงชังก็ดูเหมือนเป็นส่วนเกิน
เพราะเท่าที่มีกันอยู่ก็ดูลงตัวแล้ว

การที่เธอเข้ามาอยู่ในเกาะ อาจจะทำให้เกาะแห่งนี้มีสีสันขึ้นมาบ้าง
แต่ถึงไม่มีเธอ พวกเขาก็สนุกและมีความสุขดีอยู่แล้ว…
จะมีเธอหรือไม่มีเธอ ค่ามันก็เท่ากันอยู่ดี…

จะให้บินไปที่อื่น เธอก็มองไม่เห็นว่าเธอจะบินไปที่ใดได้อีก
เพราะจะขอไปอยู่กับพี่รังที่เกาะรังก็เกรงว่าจะไปเป็นส่วนเกินของพี่เขาอีก…

ภาระของพี่รังมีมากเกินจะแบกอยู่แล้ว เธอไม่อยากไปเป็นตัวภาระให้พี่เขาอีก…

ซาเนียแหงนหน้ามองฟ้ายามพลบค่ำ แล้วหยดน้ำใสๆก็คลอตา
รู้สึกเหงาจับใจ…เพราะไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็พบแต่คนรักกัน
ทุกคนต่่างก็มีคนรักข้างกายคอยห่วงใย แต่เธอ เธอกลับไร้คู่…

หากลึกลงไปใจก็ยังคงไม่เลิกหวัง ใจยังใฝ่ฝันว่าสักวันเขาคนนั้นจะมาหาเธอ…

ได้แต่วอนขอให้พระเจ้าส่งคนๆนั้นให้มาหาเธอสักที…
แค่ใครสักคนที่รักกันจริง ไม่หลอกลวง ให้หัวใจเธอเจ็บช้ำ ไม่ให้ความหวัง
มาทำให้เธอรักแล้วก็จากไป…





“มานั่งอยู่ตรงนี้นี่เอง พี่ตามซะทั่วเลย…”ซาเนียรีบปาดน้ำตา
เมื่อได้ยินเสียงใสๆที่แสนคุ้นเคยดังมาจากเบื้องหลัง ก่อนจะหันไปยิ้มให้

“พี่มาตามไปกินข้าวค่ะ…ได้เวลากินข้าวแล้วนะคะ ยุงเองก็ได้เวลา
ออกหาอาหารแล้วเหมือนกัน มานั่งเป็นเหยื่อยุงตรงนี้พี่ว่าไม่ดีแน่ๆ…”

เสียงหยอกล้ออย่างคนอารมณ์ดีนั้นทำให้ซาเนีย
ที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับความทุกข์ของตัวเองรู้สึกอิจฉาขึ้นมานิดๆ

ยิ่งเห็นรอยยิ้มสดใสบนใบหน้าคมหวานนั้นยิ่งรู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่าน ไม่รู้ว่าทำไม

…กว่าจะรู้ตัวว่าแอบอิจฉาหญิงสาวตรงหน้า ซาเนียก็รู้สึกตกใจปนประหลาดใจตัวเอง

ผู้หญิงที่น่าอิจฉาอย่างเธอต้องมานั่งอิจฉาผู้หญิงตรงหน้าที่ดูห่างชั้นกับเธอได้ยังไง

…ยิ่งคิดยิ่งเจ็บแปลบในทรวง…เพราะไม่อาจป่าวร้องออกมาได้ว่าอิจฉา
และยิ่งหมั่นไส้นิดๆเมื่อคนตรงหน้ากล่าวกับเธอว่า

“พี่กับเวนไตยเข้าครัวช่วยกันทำของโปรดของน้องซาเนียทั้งนั้นเลยนะคะ…
มาค่ะ เดี๋ยวอาหารเย็นชืดหมด จะไม่อร่อยกันพอดี…”

ผู้หญิงตรงหน้ากำลังบอกเธอว่าเขาสองคนต่างช่วยกันทำอาหารเพื่อเธอ…

นี่คงมีความสุข กระหนุงกระหนิงกันสองคนในครัวตอนทำอาหารมาล่ะสิ
หน้าตาถึงได้แช่มชื่นขนาดนี้…รักกันได้รักกันดีจริงๆนะ…

ซาเนียจึงบอกปฏิเสธออกไปทั้งที่ท้องกำลังประท้วงขออาหารค่ำอยู่หยกๆว่า

“ซาเนียยังไม่หิวเลยค่ะ…เชิญพี่ระรินกับพ่อครัวหัวเห็ดตามสบายเลยนะคะ”

หญิงสาวกัดปากพูดค้านเสียงกระเพาะที่กำลังเคาะเป็นจังหวังร็อคออกไป
เพราะไม่อยากร่วมโต๊ะนั่งฟังนั่งมองคนสองคนพูดคุยกระหนุงกระหนิงกัน…
มันทำให้เธอตาร้อนผ่าวทุกทีที่เห็น…ก็เลยไม่อยากร่วมวงนั่งกินของแสลงใจตัวเอง…

ความจริงเธอนั่นแหล่ะที่บ้าไปเอง
บ้าที่ไปรักเขาโดยที่ไม่เคยจะรู้ว่าอยู่ๆเขาจะมีเจ้าของ…
เรื่องมันเศร้า…เธอก็เลยไม่อยากอยู่เกาะชิงชังขึ้นมาเสียดื้อๆ…

“ไม่ได้นะคะ ถึงไม่หิวก็ควรจะกินสักนิด เดี๋ยวโรคกระเพาะจะถามหาเอานะคะ…”

โอ้ย…โรคกระเพาะน่ะซาเนียไม่กลัวหรอกค่ะ
เพราะที่หนักกว่านั้นซาเนียก็กำลังเป็นอยู่ โรคอกหักรักเขาข้างเดียวน่ะ
ใครจะรักษา…หมอรังเขาก็ไม่ว่างมาดามให้แล้ว…
มองไม่เห็นหมอที่ไหนสักคน…

“เอ่อ…ซาเนียคงต้องขอตัวจริงๆค่ะ…”ก็จะให้เธอไปนั่งกินข้าว
มองดูเขารักกันอย่างนั้นเหรอ…มันอิจฉารู้มั้ย ว่ามันอิจฉา…

“งั้นพี่คงจะไม่เซ้าซี้แล้วล่ะค่ะ…เอาไว้พี่จะแบ่งอาหารเอาไว้ให้นะคะ
หิวเมื่อไหร่น้องซาเนียจะได้กิน…”

พี่ระรินคนดี ใจดีแสนดีกับเธอ
ทำไมต้องเป็นคนที่มาเอาหัวใจของเขาไปด้วยนะ ทำไม!





หลังจากพี่ระรินหายไปได้สักพัก ก็มีเสียงทุ้มดังมาจากเบื้องหลังของเธอ
คราวนี้ น้ำเสียงนั้นไม่ได้ปรานีเช่นคนก่อน แต่แสนจะกวนเบื้องล่างที่สุด

“มานั่งบริจาคเลือดแถวนี้คงได้บุญเยอะอยู่นะ…ฉันเห็นยุงบินผ่านหน้าไป
อ้วนท้วนสมบูรณ์กันทุกตัว…”

ซาเนียหันมาทางด้านหลังแล้วแบะปากมองหน้าคนที่เธอไม่เคยคิดว่าจะรัก
หรือมองว่าดีในสายตา ไม่คิดว่าจะใจอ่อนกับการทุ่มเทก่อนหน้านี้ของเขาได้…

แต่แล้ววันนี้เธอก็พบว่ามีเขาจนล้นหัวใจ…

ตั้งแต่วันที่รู้ว่าหัวใจกำลังเริ่มรักเขาเธอก็พยายามบอกกับมันว่าให้ลืมไปซะ
แต่ก็ไม่อาจห้ามได้ ไม่อาจหักใจให้ลืมได้เลย…ทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่าไม่ควรเลย…
ทำไมต้องรับเขาเข้ามาในหัวใจด้วยนะ ทำไม!

อยากกลับไปเป็นคนเดิม กลับไปวันที่ไม่มีเขา ไม่มีใครให้สบตาให้รู้สึกหวั่นไหว
เพราะเขาคนเดียว เพราะเขาที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้…
ยิ่งคิดยิ่งมองคนตรงหน้าก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่าน…

“ทำไมจ้องฉันแบบนั้นล่ะ…ถ้าหิวก็ไปกินข้าวสิ…
บอกก่อนนะว่าเนื้อฉันไม่ได้หอมพอให้เธอกินหรอก…”

ก็ท่าทางคนตรงหน้าเขาเหมือนกำลังจะกินเลือดกินเนื้อเขาก็ไม่ปาน

…ไม่รู้ว่าแม่คุณกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ ถึงได้มองเขาแบบนั้น…

“นี่อย่าบอกนะว่าหุ่นเหมือนกุ้งแห้งอย่างเธอคิดจะลดอาหารค่ำเพราะกลัวอ้วนน่ะ…
ฉันว่าหุ่นอย่างเธอกินๆไปเถอะ ต่อให้กินเค้กวันละสิบก้อน
กับน้ำกะทิสดวันละสองกล่องแทนนมสด ฉันว่าก็คงไม่ทำให้อ้วนได้หรอก…
ถ้าเป็นระรินก็ว่าไปอย่าง…แต่รายนั้นฉันเห็นกินเช้ายันค่ำ
แถมบางทียังตื่นกลางดึกขึ้นมากินได้อีกก็มี…

ผู้หญิงอ้วนเกินไปใส่ชุดไม่สวยก็จริงนะ แต่ถ้าผอมเกินไปก็ไม่ไหวเหมือนกัน
มันดูไม่มีน้ำมีนวล ยิ่งเหมือนกุ้งแห้งเยอรมันอย่างเธอ
ยิ่งต้องกินเข้าไปให้เยอะๆหน่อย รู้มั้ย…”

เขาสวดเธอเสียยับเยินทั้งๆที่เธอยังไม่ได้เอ่ยอะไรออกไปแม้แต่คำเดียว…
แล้วยังมาพูดเปรียบเทียบพฤติกรรมการกินระหว่างเธอกับพี่ระรินให้ฟังอีก

ใครเขาอยากฟัง ใครเขาอยากรู้กันเล่า…หุ่นเธอจะแห้งเหมือนกุ้งแห้งเยอรมันก็ช่างเธอสิ…
ไม่ต้องมาพูดเป็นห่วง ไม่ต้องมาพูดเหมือนให้ความหวังกัน…

อย่าเข้ามาใกล้มาทำให้หวั่นไหวนะ...เพราะนายคนเดียวเลย นายพญาครุฑ
ที่หาเรื่องมาทำโน่นทำนี่ให้ฉันเผลอรักได้...

ถ้าไม่ใช่เพราะเผลอ อย่าคิดว่าคนอย่างนายจะได้หัวใจของฉันไป...
เพราะฉันไม่เคยใจอ่อนให้ใครมาก่อน...
แล้วหน้าตาอย่างนาย มันห่างไกลจากชายในฝันของฉันอยู่อีกโข...รู้เอาไว้ด้วย...

แล้วนี่นายจะมายุ่งอะไรกับฉันนักหนา...

“มันเรื่องของฉัน…ฉันจะกินหรือไม่กินข้าวมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับนาย...ถอย…”
ซาเนียผลักเวนไตยให้หลบทางให้เธอแล้วเดินสะบัดหน้าออกไป
ด้วยท่าทางหงุดหงิด อารมณ์เสีย ทำเอาชายหนุ่มถึงกับออกอาการงง

“วันนี้มาอารมณ์ไหนอีกล่ะเนี่ย…เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย หาความแน่นอนไม่ได้เลยจริงๆนะแม่คุณ…”

ชายหนุ่มสะบดออกมาพลางส่ายหน้าด้วยสีหน้าระอาใจ
กับนิสัยเอาแต่ใจตัวเองของหญิงสาวที่แก้ไม่หายสักที…

...อารมณ์ผู้หญิงเนี่ยมีกี่ฤดูต่อวันกันแน่นะ...เขาล่ะอยากรู้นัก

...ทำไมมันถึงได้แปรปรวนง่ายดายเหลือเกิน...





“ก๊อกๆๆ”เสียงเคาะประตูหลังจากหญิงสาวอาบน้ำแต่งตัวเสร็จดังขึ้น
ซาเนียเปิดประตูก็พบกับคนที่ทำให้หัวใจเธอรู้สึกหงุดหงิดได้ทั้งวัน…

“ไม่กินข้าวก็ควรจะกินไอ้นี่ซะ ท้องร้องทำให้นอนไม่หลับ
ถึงเธอไม่หิว แต่ท้องมันก็ยังต้องการอาหาร…”

เวนไตยยื่นแซนวิชทูน่าที่เขาทำเองเมื่อครู่ให้หญิงสาวที่ยืนคาประตูห้อง
พร้อมกับนมอุ่นๆหนึ่งแก้ว

ซาเนียมองของในมือเขาก่อนจะมองใบหน้าของคนตรงหน้าแล้วจึงยื่นมือรับของมา
โดยไม่สามารถเปล่งคำพูดใดๆออกมาได้ แม้แต่คำว่าขอบคุณ

เพราะลำคอตีบตัน มันตื้อไปหมดเมื่อเห็นร่องรอยของความห่วงใย
ในแววตาคู่นั้นของเขา…

“กินเสร็จก็อย่าลืมแปรงฟันก่อนนอนด้วยล่ะ…”
ซาเนียมองแผ่นหลังของคนที่เดินจากไปนิ่งอย่างเลื่อนลอย…

…แล้วอย่างนี้จะให้เธอหยุดรักเขาได้ยังไง…

ขนาดว่าแขนของเขายังเจ็บอยู่ เขาก็ยังสู้อุตส่าห์ทำอาหาร ทำแซนวิชให้เธอ

…เขาทำให้เธอถึงขนาดนี้ทำไม…ในเมื่อเขาก็มีพี่ระรินอยู่แล้ว…

หรือเพราะหน้าที่ เขาถึงต้องทำเพื่อเธอ…





ตื่นเช้ามา ซาเนียก็พบว่าระรินกำลังนั่งดูแผลและทำความสะอาดแผล
ให้กับเวนไตยอยู่ตรงห้องโถงของเรือนอยู่ เสียงหยอกล้อของคนทำสองบาดหูหญิงสาว
จนต้องพยายามเดินไม่ให้เกิดเสียง แล้วเลี่ยงไปอีกทางเพื่อไม่ให้สองคนนั้นรู้ตัว

ทว่าเสียงเท้าของเธอคงเงียบไม่เท่าเสียงตีนแมว

“มีข้าวต้มปลาอยู่ในหม้อ…อย่าลืมทานก่อนออกไปนอกบ้านซะด้วย
เดี๋ยวร่างปลิวตามลมไป ฉันขี้เกียจวิ่งตามเก็บ…”

มือที่กำลังหอบอุปกรณ์วาดภาพอยู่แทบทำของตกด้วยความตกใจ…
ก่อนจะส่งเสียงชิชะในลำคอ

“ดูพูดซะน้องเขาตกอกตกใจหมดเห็นมั้ยนั่น…”ระรินฟาดที่แขนข้างที่ไม่เจ็บของเวนไตยเบาๆ
ด้วยแววตาตำหนิอย่างไม่จริงจังนัก

“ก็มันจริงมั้ยล่ะ…”เวนไตยตอกกลับระริน สายตาจับที่ดวงหน้าของซาเนียนิ่ง
เขารู้สึกว่าพักหลังๆมานี่ซาเนียดูเงียบผิดปกติ…

“ขอบคุณค่ะ…แต่ฉันยังไม่หิว…อีกอย่างพวกป้าๆคงรอฉันแล้ว”

พูดจบซาเนียก็เดินหอบอุปกรณ์ลงจากเรือนไปทันที
ทิ้งให้เวนไตยกัดปากข่มอารมณ์คุกรุ่นในใจ…

“นายว่าน้องเขาดูแปลกๆไปมั้ย…”ระรินถามเวนไตยขณะพันแผลให้เขา
ชายหนุ่มที่อารมณ์กำลังคุกรุ่นถึงกับสะบดออกมา

“เด็กดื้อ ชอบเอาแต่ใจตัวเอง ไม่นึกถึงความรู้สึกของคนอื่นแบบนั้น…
เห็นทีต้องสั่งสอนให้หลาบจำซะบ้าง ไม่อย่างนั้นจะอยู่ร่วมกับคนอื่นลำบาก”

สีหน้าท่าทางและถ้อยคำที่ดูหมายมั่นปั้นมือนั้นทำให้คนฟังถึงกับขมวดคิ้ว

“ฉันว่าน้องเขาก็นิสัยดี น่ารัก พูดจาน่าฟังอยู่นะ ไม่เหมือนนาย
ชอบพูดหาเรื่องคนอื่น…คนที่ควรโดนสั่งสอนน่าจะเป็นนายซะมากกว่ามั้ง
นายหัวพญานาค…”ระรินย้อนเวนไตยด้วยความหมั่นไส้
ทำเป็นจะสั่งสอนคนอื่น เชอะ!

“เธอก็เหมือนกันแหล่ะยัยหัวพญายม เสร็จรึยังเนี่ย…
เห็นพันแขนฉันจนจะเป็นมัมมี่ดองเค็มอยู่แล้ว…”

ระรินจึงฟาดเข้าที่ลำแขนข้างที่ไม่เจ็บของคนพูดให้หายหมั่นไส้…

“ก็ใครใช้ให้นายเจ็บล่ะ…อยู่ดีไม่ว่าดี หาเหาใส่หัว…
อย่าบอกนะว่าที่ทำๆมาทั้งหมดน่ะ เพราะว่ามีใจให้น้องเขาน่ะ…”เวนไตยยิ้มที่มุมปาก

“หึงฉันรึไง…”ระรินพันแผลเสร็จพอดี

“รู้ว่าหึงก็อย่าทำให้หึงสิ…ห่างๆกันบ้างก็ได้มั้ง…”
พูดพลางก็เก็บอุปกรณ์ทำแผลใส่กระเป๋ายาไปพลาง

“ก็เป็นห่วง จะให้อยู่ห่างๆได้ยังไงล่ะ…”คนฟังลุกขึ้นยืนพร้อมกระเป๋ายา
แล้วยื่นหน้าใส่คนที่นั่งอมยิ้มอยู่บนโซฟาก่อนจะกล่าวว่า

“อิจฉาคนเริ่มจะมีความรัก…บอกตามตรง…หึงสุดขั้วหัวใจ…”

เวนไตยหัวเราะในลำคอเมื่อมองท่าทางของคนกำลังหึงเดินเอาของไปเก็บ
ก่อนจะส่ายหัวไปมาอย่างนึกขำ อยู่กับระรินเขาไม่มีเครียดเลยสักนาที



เวนไตยกลับมาจากห้องลับประจำเกาะก็ไม่พบร่างของซาเนียภายในเรือน
ไม่ว่าซอกไหนมุมไหน ชายหนุ่มมองนาฬิกาบนฝาผนัง เข้มสั้นชี้ตรงเลขห้า
ส่วนเข็มยาวชี้ตรงเลขเจ็ด เกือบหกโมงเย็นแล้ว

หญิงสาวลงจากเรือนไปตั้งแต่เช้า ป่านนี้แล้วยังไม่กลับอีก
เขาคิดว่าอย่างไรเสียเธอคงจะกลับมารอกินข้าวเย็นพร้อมกับเขา

แต่ป่านนี้แล้วยังไม่เห็นแม้แต่เงา…

ชายหนุ่มเริ่มหงุดหงิด ลงจากเรือนตามหาซาเนียไปทั่วเกาะด้วยความกระวนกระวายใจ
ไม่เป็นสุข จนมาพบเธอตามคำบอกเล่าของพวกป้าๆตรงหน้าผาชัน
ขณะกำลังเก็บอุปกรณ์วาดภาพอยู่พอดี…

“นึกยังไงถึงปีนขึ้นมาวาดรูปบนนี้ ไม่รู้รึไงว่ามันอันตราย…”

เสียงเข้มๆนั้นทำให้หญิงสาวถึงกับสะดุ้งทำพู่กันในมือร่วงตกระเนระนาดไปตามพื้นหิน
ซาเนียจึงนั่งลงแล้วเก็บพู่กันราวกับไม่สนใจคนมาใหม่

“ฉันพูดเธอไม่ได้ยินรึไง…”ชายหนุ่มเริ่มตะคอก หากยังเหมือนเดิม

ซาเนียกลับให้ความสนใจพู่กันที่กระเด็นไปตกอยู่ที่กอหญ้าตรงหน้าผาแทน
หญิงสาวเอื้อมมือเพื่อจะเก็บมัน คนที่กำลังมองภาพหวาดเสียวนั้นไม่ไหว
ถึงกับออกอาการฉุนจัด…กระชากแขนของซาเนียออกมาจากบริเวณหน้าผาสูงชันนั้น
ทันทีด้วยสีหน้าขึงโกรธ...โกรธที่เธอไม่เคยคิดหน้าคิดหลังก่อนทำอะไรแบบนี้...
และยิ่งโกรธเป็นทวีคูณกับท่าทางดื้อรั้นอวดดีนั่นของเธอ...

หญิงสาวสะบัดกายให้หลุดออกแล้วปัดแขนตัวเอง
แล้วลูบไปมาด้วยความเจ็บที่ถูกเขาบีบเค้นเมื่อครู่โดยไม่ส่งเสียงอะไรออกมา…

“ยัยเด็กบ้า…เธอกำลังทำให้ฉันประสาทเสีย…”ชายหนุ่มสะบดออกมา
ด้วยสีหน้าฉุนชัด ซาเนียเองก็ชักจะฉุนขึ้นมาเหมือนกัน…

“ฉันไม่ใช่เด็ก…”ถ้อยคำนั้นทำเอาเวนไตยหัวเราะฮึๆในลำคอ มุมปากยกสูงราวกับหยัน

“นิสัยแบบนี้ ไม่ใช่เด็กแล้วเขาเรียกว่่าอะไร…ชอบทำให้คนอื่นเขาเป็นห่วง
คอยตามหา เวลาทำอะไรก็ไม่เคยคิดหน้าคิดหลังให้ดีซะก่อน...
อย่างนี้หรือที่ผู้ใหญ่ดีๆมีความคิดเขาทำกัน…”

ซาเนียกัดปากพร้อมยกกระเป๋าใส่อุปกรณ์ขึ้นสะพายบ่าแล้วหอบของที่เหลือไว้
ก่อนจะเชิดหน้ากล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงแข็งๆว่า

“แล้วใครเขาใช้ให้เป็นห่วง…ไม่ได้ขอร้องให้ตามหาสักหน่อย…
ฉันจะไปไหน ทำอะไร มันก็เรื่องของฉัน นี่ชีวิตฉัน จะเป็นจะตาย มันก็ชีวิตฉัน…
นายจะมายุ่งทำไม…เท่านี้บุญคุณของนายก็ท่วมหัวฉัน จนไม่รู้จะใช้คืนยังไงอยู่แล้ว…

ไม่ต้องทำอะไรเพื่อฉันอีก…พ่อเองก็ตายไปตั้งนานแล้ว
ท่านคงไม่มานั่งรับรู้หรอกว่านายทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับท่านรึเปล่า...

ฉันตายไป ชีวิตนายจะได้โล่ง ไร้ภาระผูกพัน ไม่ต้องมานั่งบ่น นั่งวุ่นวายใจ...ไม่ดีรึไง…”

พูดจบร่างของซาเนียก็ลอยหวือติดมือเวนไตยไป
ชายหนุ่มรวบร่างนั้นเข้าประชิดแล้วใช้มือข้างที่แขนไม่เจ็บ
ประคองดวงหน้าของหญิงสาวแล้วกดริมฝีปากลงบนริมฝีปากหยักได้รูปสวยของซาเนีย
อย่างสุดทนกับความดื้อรั้นเอาแต่ใจนั่นของเธออีกแล้ว…

...ปากดี ถือดีแบบนี้มันต้องโดนซะให้เข็ด...คราวหลังจะได้ไม่กล้าพูดอะไรแบบนี้อีก...

กระเป๋าที่สะพายอยู่ร่วงตกลงบนพื้นหิน อุปกรณ์ในมือหล่นเกลื่อนกลาด…
มือที่ตีไปที่ลำแขนของเวนไตยหยุดลงค่อยๆเปลี่ยนเป็นโอบรอบคอของเขาแทน
ด้วยความเผลอไผลไปกับสัมผัสแรกที่ไม่เคยพบพานมาก่อนในชีวิต...

เนิ่นนานกว่าชายหนุ่มจะถอนริมฝีปากออก

ซาเนียยืนก้มหน้าหอบหายใจถี่ไม่กล้าสบตาชายหนุ่ม
…ก่อนจะหันหลังให้ยกสองมือปิดหน้า

เวนไตยไม่พูดกล่าวอะไร นอกจากรั้งแขนของเธอให้เดินลงจากหน้าผาไป
ซาเนียเดินตามไปพลางปาดน้ำตาไปพลาง…รั้งแขนเอาไว้ขณะกล่าวว่า

“ฉันจะกลับไปเอารูปและอุปกรณ์วาดรูปของฉัน…”

“นั่นมันเรื่องของเธอ ไม่เกี่ยวกับฉัน…”เวนไตยฉุดกระชากร่างบาง
ให้เดินตามเขาไปเร็วๆ

“ไม่รู้รึไงว่าบนผานั่นเป็นที่อยู่ของอีแร้งและสัตว์อื่นๆที่น่ากลัว
หรือเธออยากอยู่รอให้มันกลับรังของมัน…”

เท่านั้นซาเนียก็ถึงกับชาหนึบ ความหวาดกลัวเข้าแทรกไปทั่วทุกอนู…
เวนไตยรับรู้ได้จากความเย็นตรงปลายมือของหญิงสาว

เขาให้เธอปีนตามเขาลงไปจนเท้าแตะพื้นข้างล่างเขาจึงหันมาทางเธออีกครั้ง
เห็นตาแดงๆนั่นก็รู้สึกสงสารขึ้นมา…ให้ตายสิ…

“ที่นี่อาจจะไม่มีคนคอยตามล่าเอาชีวิตเธอก็จริง
แต่เธออย่าลืมว่านี่เป็นเกาะที่ธรรมชาติทุกอย่างยังคงอยู่ตามปกติของมัน
ซึึ่งมันไม่ได้หมายความว่าเธอนึกอยากจะไปไหนก็ไป
อยากจะทำอะไรก็ทำได้อย่างใจคิด…”คนฟังเริ่มสะอื้นนิดๆ

“ก็ไหนนายบอกว่าที่นี่ปลอดภัยสำหรับฉันไง…”

“แล้วพวกป้าๆเขาไม่ได้บอกเธอก่อนหน้านี้หรอกเหรอว่าบนนั้นมันอันตรายแค่ไหน
เคยมีเด็กตกลงไปตายแล้วรู้รึเปล่า…”ได้ฟังมาถึงตรงนี้ซาเนียถึงกับขนลุกซู่…

“เด็กตกลงไปตายเหรอ…”หญิงสาวเริ่มปากคอสั่นระริกด้วยความกลัวจับจิต

“ใช่…คราวนี้ถ้าเธอจะไปไหน ทำอะไร ต้องรายงานฉันก่อน…เข้าใจมั้ย…”

ซาเนียพยักหน้ารับ เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าที่นี่จะมีประวัติว่ามีคนตาย…
อยู่ๆความรู้สึกกลัวสิ่งลี้ลับก็จู่โจม ยิ่งมองไปรอบๆแล้วพบกับความมืดก็ยิ่งกลัว

…นี่ถ้าเขาไม่มาตามหาเธอ เธอคงจะแย่แน่ๆ…


คิดมาถึงตรงนี้หญิงสาวก็ถึงกับก้มหน้ารับผิด…

“ฉันขอโทษ…คราวหลังฉันจะไม่ทำแบบนี้อีก…”

เวนไตยลอบยิ้มกับท่าทางหงอๆและถ้อยคำสารภาพผิดของเด็กดื้อตรงหน้า

หากเมื่อมองไปเรื่อยจนหยุดที่ริมฝีปากหยักสวยนั่น
ชายหนุ่มก็อดหน้าแดงไปจนถึงใบหูไม่ได้

…เขาไม่เคยจูบผู้หญิงคนไหนมาก่อนเลยด้วยซ้ำ…

เพิ่งรู้ว่ารสชาติของมันเป็นอย่างไรก็วันนี้…แต่ก็อดรู้สึกผิดที่ทำแบบนั้นกับเธอไม่ได้…
เพราะมาคิดดูอีกที...เขาไม่ควรทำอะไรลงไปแบบนั้นเลย…

ซาเนียเงยขึ้นมาก็พบกับสายตาแปลกๆของเขาก็ถึงกับหน้าแดงเถือกเช่นกัน
เวนไตยเห็นสีหน้าท่าทางอายๆของหญิงสาวก็รีบพูดกลบเกลื่อนทันที…

“แล้วกินข้าวบ้างรึยัง…อย่าบอกนะว่าวันนี้ทั้งวันเธอยังไม่ได้กินข้าว…”

ซาเนียยิ้มแหยๆก่อนจะส่ายหน้านิดๆ แล้วก้มหน้างุด…
เวนไตยจึงลากร่างบางพลางบ่นไปตลอดทาง

“คราวหลังถ้ารู้ว่่าเธอไม่กินข้าวอีกล่ะก็ ฉันจะไม่ให้เธอออกไปไหนอีก…
จะขังให้นั่งกินข้าวอยู่ในห้องจนกว่าจะเลิกเป็นกุ้งแห้งเยอรมันนั่นแหล่ะ…”

หญิงสาวรับรู้ว่าเขาห่วงเธอ แต่จะพูดดีๆหวานๆกับคนอื่นเขาไม่ได้รึไง

“ก็ลองขังดูสิ…ฉันจะปีนห้องบินหนีไป ไม่กลับมาอีก…”
เวนไตยหันมาทางคนพูดทันทีด้วยแววตานิ่งสนิท ทำเอาซาเนียถึงกับจ๋อย

“หรือต้องให้ทำให้ดูว่าฉันเป็นห่วงเธอขนาดไหน…”

“ทำไมนายต้องเป็นห่วงฉัน…ทำไมล่ะ…ห่วงฉันทำไม…”

ซาเนียถามเพราะอยากรู้เหลือเกินว่าที่เธอคิดเดาเอาเองนั้น
มันพอจะจริงอยู่บ้างไหม หากอีกฝ่ายกลับนิ่งไม่ตอบ
หญิงสาวจึงวิ่งเข้าบ้านไป ระรินที่เดินสวนมาได้ยินประโยคคำถามของซาเนียเข้าพอดี…
จึงเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างๆเวนไตยแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า

“คิดยังไงกับเค้าก็บอกไปซี่…มัวอ้ำๆอึ้งๆ…ระวังแมวแถวนี้จะคาบไปกินนะเออ…”

เวนไตยหันมาทางระรินแล้วย้ิมบาง

“ปลาเนื้อหอมอย่างนายล่ะฉันชอบนัก…”เสียงหัวเราะใสๆของระริน
ทำให้เวนไตยที่กำลังเครียดและกังวลอยู่อารมณ์แจ่มใสขึ้นมาได้ทันตา


ซาเนียมองภาพที่อยู่บนผ้าผืนใหญ่ ภาพของบรรดาสมาชิกบนเกาะแห่งนี้
ปรากฏบนแผ่นผ้าด้วยฝีมือการจัดวางของเธอ ทุกคนออกปากว่าชอบมันมาก
เธอเองก็อดภูมิใจในฝืมือของตัวเองไม่ได้เช่นกัน…

ลมทะเลพัดผืนผ้าดังกล่าวพลิ้วไหว ซาเนียมองไปรอบๆโรงทอผ้า
ที่พวกป้าๆบอกว่า นายหัวเป็นคนให้ช่างมาทำให้
ที่นี่มีเครื่องจักรและอุปกรณ์สำหรับทอผ้า และสกรีนลายผ้าลงบนผืนผ้า
รวมทั้งอุปกรณ์สำหรับออกแบบลายผ้า ทุกอย่างมีค่อนข้างพร้อมเหมือนโรงงานที่บ้านของเธอ…

พวกป้าต่างดีใจแต่ท่านบอกว่าท่านใช้เครื่องมือพวกนี้ไม่ค่อยเป็นนัก
เลยอยากให้เธอช่วยอยู่สอนให้ เธอจึงมาขลุกอยู่ที่นี่ทั้งวันกับพวกป้าๆ
และพวกสาวๆที่สนใจงานด้านนี้ แม้แต่เด็กๆยังมาล้อมวงดูว่าผู้ใหญ่เขาทำอะไรกัน

…ที่นี่ทำให้เธอรู้สึกว่าชีวิตมีคุณค่า…

จะมีก็แต่เขาเท่านั้นที่ทำให้เธอรู้สึกว่าไร้ตัวเองเป็นส่วนเกิน

หลายครั้งที่เธอขอทานข้าวด้วยกันกับป้าๆเพราะไม่อยากกลับเรือน
ไปนั่งร่วมโต๊ะกับเวนไตยและระริน ด้วยไม่อยากเห็นภาพบาดตาบาดใจ…

อยู่ที่นี่เธอไม่ได้รับค่าสอน แต่สิ่งที่ได้ตอบแทนเป็นอาหารอร่อยๆ
ขนมหวานน่าทานและคำพูดดีๆที่ทุกคนมอบให้เธอ…
บางครั้งพวกป้าๆยังช่วยกันทอผ้าตัดเย็บชุดสวยๆให้เธอใส่เลย…
ครั้งนี้ก็เช่นกัน เธอได้ชุดทอสีสันสวย ลายเด่น เป็นชุดสายเดี่ยวตัวยาว
โดยมีเสื้อคลุมแขนยาวที่ถักด้วยมือ ฝีมือของสาวๆ เข้าชุดพอดี…

ซาเนียกะว่าจะสวมชุดนี้ไปงานวันแต่งของรังสิมันต์และวายุที่จะจัดขึ้น
ที่เกาะรังในวันมะรืนนี้…

“ยังไงฉันก็ไม่ให้เธอไปที่นั่น…มันอันตรายเกินไป…”เวนไตยค้านเสียงแข็ง
เมื่อซาเนียบอกว่าจะไปร่วมงานแต่งของรังสิมันต์ที่เกาะรัง

“ที่เกาะรังไม่มีอันตรายใดๆ…พวกนั้นไม่กล้าบุกไปที่เกาะรังหรอก…”
หญิงสาวให้เหตุผล

“มันก็จริง ที่เกาะรังนั้นปลอดภัย แต่กว่าจะไปถึงที่นั่นล่ะ…
แค่เธอย่างขาพ้นเขตรัศมีของเกาะชิงชัง เธอก็โดนเล็งเป้าแล้ว รู้ตัวบ้างรึเปล่า…”
สีหน้าคนพูดดูซีเรียสกว่าครั้งไหนๆ

“แล้วนายจะไม่ให้ฉันไปร่วมงานแต่งพี่รังรึไง ไม่มีทาง ยังไงฉันก็จะไป
นายห้ามฉันไม่ได้หรอก…ใครอยากจะเล็งหัวฉันก็เชิญเลย
แต่งานนี้ฉันจะไป…เป็นตายยังไงฉันก็จะไป…”

“ดื้อด้าน…หัวแข็ง เอาแต่ใจตัวเอง…”เวนไตยต่อว่าหญิงสาวอย่่างเหลืออด
ทำเอาซาเนียถึงกับกัดปากตัวเอง มองคนตรงหน้านิ่ง…

“ใช่สิ…ฉันทำอะไรมันก็ผิดไปหมดนั่นแหล่ะ…เคยมีสักครั้งไหมที่นายพอใจในสิ่งที่ฉันทำ...
ยังไงฉันมันก็ดูแย่ตลอด…ยอมรับว่าฉันมันนิสัยเสีย…
งั้นนายก็ไม่ต้องมาใส่ใจ ไม่ต้องมาอดทนเสียเวลากับคนอย่างฉัน…
เรือนหลังเล็กที่ถูกพายุครั้งก่อนก็ซ่อมเสร็จแล้วนี่…
วันนี้ฉันจะกลับไปพักที่นั่น นายก็อยู่ส่วนนาย ฉันก็อยู่ส่วนฉัน…

เรือเล็กฉันก็ขับเป็น…ฉันจะขับไปเอง นายไม่ต้องกลัวหรอก
ว่าฉันจะพาใครไปเสี่ยงตายด้วยน่ะ…ชีวิิตฉัน ฉันขอรับผิดชอบเอง…”

เวนไตยครางในลำคอก่อนจะหัวเราะฮึๆ แล้วยิ้มหยันคนพูด

“อวดเก่ง…คิดว่าแน่แล้วรึไง ถึงได้คิดจะไปตายเอาดาบหน้า
พี่รังของเธอคงจะมีความสุขในวันแต่งหรอกนะ ถ้ารู้ว่่าเธอเป็นศพ
ลอยติดฝั่งในวันแต่งของเขาน่ะ…เธอมันก็ไม่ต่างจากเด็ก คิดอะไรเด็กๆ
ฉันเองก็เหนื่อยกับเด็กในร่างผู้ใหญ่อย่างเธอแล้วเหมือนกัน…
อยากจะไปตายที่ไหนก็เชิญเลย…อยากตายนักไม่ใช่รึไง…”

ซาเนียถึงกับน้ำตาร่วงเมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายที่เขาไล่ให้เธอไปตาย…
หญิงสาวกัดปากตัวเองจนฮ่อเลือด ก่อนจะสะบัดกายวิ่งขึ้นห้องไป
ทิ้งให้ชายหนุ่มถึงกับทรุดกายบนโชฟาด้วยท่าทางเหนื่อยล้า
ยกสองมือขึ้นกุมขมับแล้วก้มมองพื้นห้อง อยากจะตีอกชกหัวตัวเองที่สุด

“เกิดอะไรขึ้นน่ะเวนไตย…ฉันได้ยินเสียงเอะอะไปถึงข้างล่างโน่นแน่ะ…”
ระรินวิ่งหน้าตื่นขึ้นมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นบนเรือน เห็นเพียงเวนไตยที่นั่งกุมขมับ
สีหน้าเคร่งเครียด…

“ปราบเด็กดื้อน่ะ…”

“แล้วปราบสำเร็จรึเปล่าล่ะ…”หญิงสาวถามขณะนั่งลงข้างๆแล้วแตะบ่าชายหนุ่มเบาๆ
เวนไตยเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวแล้วถอนใจยาว
ก่อนจะส่ายหน้าด้วยสีหน้าอ่อนล้า…

“น่า…สักพักเดี๋ยวอะไรๆมันก็คงจะดีขึ้น…แต่ฉันอยากแนะนำให้นายเปลี่ยนวิธีการดีกว่า…
เพราะดูๆไปแล้วน้องเขาคงไม่ชอบคนพูดจาขวานผ่าซาก มะนาวไม่มีน้ำอย่างนายนะ…
เห็นพวกป้าๆพูดอะไรน้องเค้าก็ไม่มีเถียง ออกจะเชื่อฟังป้าๆด้วยซ้ำไป…ผิดกับนาย”

“เธอไม่ยอมเป็นกับใคร คงตั้งใจจะเป็นกับฉันล่ะมั้ง…ฉันล่ะอยากจะบ้าตาย
ทำไมเอาใจผู้หญิงสักคนนี่มันลำบากอย่างนี้นะ…บ่นนิดบ่นหน่อยก็น้อยใจ
เค้าจะรู้รึเปล่าว่าฉันห่วงเค้าแค่ไหน…ที่ไม่ให้ไปก็เพราะว่าห่วงนี่แหล่ะ…”

ระรินยิ้มกับถ้อยคำตรงไปตรงมานั่น นี่ถ้าคนข้างๆเธอพูดออกไปตรงๆ
ต่อหน้าซาเนียไป อะไรๆก็คงจะง่ายกว่านี้…

“ก็แล้วทำไมไม่บอกเค้าไปตรงๆสักทีเล่า…ทีเรื่องอื่นล่ะกล้าหาญผ่านมาได้ทุกด่าน…
แต่ทีเรื่องนี้ล่ะทำเป็นป๊อด…กลัวๆกล้าๆแบบนี้เมื่อไหร่จะรู้เรื่อง…”

“เธอก็พูดง่ายสิ…ไอ้คนที่ทำน่ะมันฉันนี่…”

“งั้นให้ฉันช่วยมั้ย…”เวนไตยถึงกับมองคนพูดทันที ก่อนจะส่ายหน้า

“อย่าเลย…เปล่าประโยชน์…ฉันเองอยากปราบเธอให้อยู่หมัดเสียก่อน”

“กลัวแต่นายนั่นแหล่ะจะโดนเธอปราบซะจนตายคามือ…
เห็นสู้กันกี่ที คนที่ต้องมานั่งก้มหน้าถอนใจเฮือกๆเป็นนายทู้กที
ถามหน่อย…มีดีอะไรจะไปปราบเค้า…”ระรินยั่วคนถือดีเล่น

“ไม่เชื่อก็คอยดูต่อไปก็แล้วกัน…”สีหน้าหมายมั่นนั้นเรียกรอยยิ้มของคนฟัง
เธอเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าสุดท้ายจะลงเอยยังไง…

แต่พอมานึกดูดีๆ ก็อดปวดใจนิดๆไม่ได้ แม้จะทำใจมาก่อนหน้านี้ตั้งนานแล้ว
แต่พอถึงเวลาจริงๆมันก็อดเจ็บปวดไม่ได้อยู่ดี

รักคนที่เขารักเราแบบเพื่อนเนี่ย มันสุดจะช้ำกลัดหนอง…

ยิ่งต้องฝืนใจพูดเชียร์เขาให้กับผู้หญิงอีกคนก็ยิ่งเจ็บ…

ไม่ใช่แค่เธอหรอกที่หลงรักผู้ชายคนนี้ หญิงโสดบนเกาะแห่งนี้
ก็คงไม่แตกต่างจากเธอนักหรอก…แต่เพราะรู้ว่าไม่มีสิทธิ์
ก็เลยต้องคิดในใจ ไม่อาจคิดดังๆได้…

แล้วความคิดของระรินก็ต้องสะดุดลง เมื่อเสียงฝีเท้าของคนที่กำลังลง
มาจากห้องด้านบนเรียกสายตาสองคู่ให้หันไปมอง
ซาเนียกำลังหอบเสื้อผ้า ข้าวของลงมาด้วยน้ำตาอาบแก้ม…

“นั่นเธอจะทำอะไรของเธอน่ะ…”เวนไตยถามด้วยน้ำเสียงเข้มจัด
เมื่อเห็นซาเนียเดินผ่านหน้าไป…ชายหนุ่มรีบเดินไปขวางหน้าเอาไว้

“ฉันถาม…ไม่ได้ยินรึไง…”

“ก็จะย้ายไปอยู่เรือนเล็ก…”หญิงสาวตอบเสียงแข็งด้วยสีหน้าน้อยใจสุดขีด

“ได้…เดี๋ยวฉันกับระรินจะช่วยขนของให้…ยังมีของอยู่บนห้องอีกรึเปล่า”

ซาเนียกัดปากจ้องคนพูดอย่างเอาเรื่อง ก่อนหน้านี้ก็ไล่เธอให้ไปตาย
มาตอนนี้ยังมาช่วยเธอขนของอีก คงรำคาญเธอเต็มทนแล้วล่ะสิท่่า

ใช่สิ เธอมันเป็นส่วนเกินนี่…

“ไม่ต้อง ฉันจัดการเองได้…”เสียงห้วนๆนั้นไม่อาจทำให้ชายหนุ่ม
ที่ยืนยิ้มอย่างคนอารมณ์ดีหัวเสียได้อย่างเคยอีกแล้ว…

“งั้นก็ตามใจ…เราไปดูป้าๆเขาทำอาหารเลี้ยงคนงานกันดีกว่าริน…”

เวนไตยหันไปชวนหญิงสาวข้างกายแทนแล้วแสร้งเดินอารมณ์ดีผ่านหน้าซาเนียไป…

“เชอะ…”ซาเนียแลบลิ้นปลิ้นตาใส่คนหน้ายักษ์ที่ลับหลังไป
ก่อนจะเดินกระแทกกระทั้นขนของไปอยู่เรือนเล็กที่อยู่ติดกับเรือนใหญ่
ซึ่งเป็นที่พักเดิมของเธอก่อนจะเกิดพายุ…ซึ่งตอนนี้ซ่อมเสร็จและน่าอยู่กว่าเก่าเยอะ…

“ดีสิ…หูจะได้ไม่ต้องชา แล้วจะได้ไม่ต้องเจอหน้ากัน…”

หญิงสาวจัดของไปก็บ่นไปพลางอย่างไม่สบอารมณ์นัก
กว่าจะจัดของเข้าที่เข้าทางเสร็จ ก็ใกล้ได้เวลาอาหารเที่ยงแล้ว
ซาเนียมองไปยังเรือนหลังใหญ่แล้วแบะปาก…

“ไปหาป้าๆดีกว่า…”หญิงสาวหันหลังหมายจะเดินออกจากห้องไปยังโรงเลี้ยง
ที่ชาวเกาะชิงชังจะมารวมตัวช่วยกันหุงหาอาหาร

ทว่าต้องตกใจเมื่อพบเวนไตยกำลังยืนจังก้าอยู่หน้าประตูห้องด้วยสีหน้านิ่งสนิท…
แววตาเหมือนกำลังถามเธอ…

“จะไปไหน…”

“ไปหาป้าๆ…หลีกทางด้วย…”

“พี่ระรินของเธอเขาให้ฉันมาตามเธอไปกินข้าวด้วย…”คนฟังเชิดหน้านิดๆ
ขณะตอบกลับไปว่า

“ฝากบอกพี่ระรินด้วยว่าขอบคุณมาก…แต่พอดีว่าฉันนัดกับป้าๆไว้แล้ว
ไม่อยากผิดนัด…”หญิงสาวปดคำโต…

“งั้นก็ตามใจ…”เวนไตยไม่ได้เซ้าซี้อย่างเคย
ซาเนียเลยค่อนข้างรู้สึกหงุดหงิดในส่วนลึกขึ้นมานิดๆ
แต่ก็ปกปิดความรู้สึกไว้แล้วเลิกค้ิวยักไหล่เดินปาดหน้าเวนไตยไป…

ชายหนุ่มมองตามหญิงสาวด้วยสีหน้าเหนื่อยอ่อน
ก่อนจะละล้าบละล้วงเข้าไปในห้องส่วนตัวของหญิงสาว เห็นชุดสีสันสดใส
ลวดลายแปลกตาแขวนโชว์อยู่ตรงหน้าตู้เสื้อผ้า
ชายหนุ่มยิ้มที่มุมปากนิดนึงก่อนจะเดินจากไป โดยไม่ลืมล็อกห้อง…




“พี่ระรินคิดว่า…ซาเนียจะให้ผ้าผืนไหนเป็นของขวัญวันแต่งคู่ของพี่รังกับคู่ของพี่ปองดีคะ…
ซาเนียทำไว้สามผืน ไม่รู้ว่าจะให้ผืนไหนกับคู่ไหนดี”
ซาเนียหยิบผ้าส่งให้ระรินช่วยพิจารณาตัดสินใจให้

“แล้วผืนที่เหลือเนี่ยน้องซาเนียจะทำยังไงกับมันละคะ…”

“ซาเนียกะจะใช้เองค่ะ…”

“งั้นพี่ว่าสองผืนนี้น่าจะเหมาะสำหรับคู่รักนะคะ
เพราะว่าลวดลายดูมีความหมาย สื่อถึงความรักและการสร้างครอบครัว…”

ระรินลูบผืนผ้าลวดลายครอบครัวสัตว์ทะเลทั้งสองผืน
ซึ่งแตกต่างกันตรงรายละเอียดปลีกย่อยเท่านั้น…
แต่ด้านความหมายแล้วเธอคิดว่าสองผืนที่เธอจ้องมองอยู่นั้น
สื่อถึงความรักของสมาชิกในครอบครัวได้ดีจนอดมองคนที่วาดมันขึ้นมาไม่ได้…

“น้องซาเนียเก่งจังเลยนะคะ…พี่เองมองภาพบนผ้าสองผืนนี้แล้ว
ทำให้รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นใจ…เห็นแล้วคิดถึงพ่อกับแม่ขึ้นมาน่ะค่ะ…”
ซาเนียขมวดคิ้ว เมื่อเห็นแววตาไหวระริกของระริน

“แล้วตอนนี้ท่านทั้งสองอยู่ที่ไหนเหรอคะ…”ระรินส่ายหน้า

“พี่เองก็ไม่รู้เหมือนกัน…”เครื่องหมายคำถามปรากฏบนใบหน้าของคนฟังทันที
เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางกระอักกระอ่วนใจของคนพูด

“พี่เป็นเด็กกำพร้าน่ะ…โตมากับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า…ก็เลยไม่รู้ว่า
ท่านทั้งสองเป็นใครและอยู่ที่ไหน…ถ้าพี่รู้ก็คงจะดี พี่จะได้ตอบแทนบุญคุณของท่านทั้งสอง
ที่ให้กำเนิดพี่…ทำให้พี่มีโอกาสได้ลืมตาดูโลกใบนี้…”

“พี่ระรินไม่โกรธท่่านทั้งสองเหรอคะ…”ซาเนียถามออกไปดังใจคิด ระรินส่่ายหน้า

“เคยโกรธเหมือนกัน…แต่พอโตขึ้นพี่ถึงเข้าใจ…จะมีก็แค่น้อยใจ
เวลาเห็นภาพพ่อแม่ลูกเขากอดกัน อิจฉานิดๆด้วย…”
น้ำเสียงนั้นดูนิ่งสงบราวกับปลงได้แล้ว…

“เวนไตยเคยบอกพี่ว่า เวลาเขาอยู่ใกล้ๆพี่แล้วทำให้รู้สึกดี รู้ว่าตัวเองนั้น
โชคดีกว่าใครๆอีกหลายคน อย่างน้อยเขาก็เคยมีโอกาสได้รู้ว่า
อ้อมกอดของพ่อแม่นั้นเป็นอย่างไร…แม้จะแค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ
แต่มันก็เป็นเหมือนถ่านไฟที่คอยให้พลังและความอบอุ่นในวันที่เหน็บหนาวได้…”

ซาเนียถึงกับกลืนก้อนแข็งๆที่ติดอยู่ตรงคอหอยลงไปอย่างยากลำบาก
เมื่อรับฟังความจริงของชีวิตที่เธอเคยคิดว่าสดใส

แท้จริงแล้วชีวิตพี่ระรินขมขื่นกว่าที่เธอเห็นเสียอีก…

“แต่พี่ไม่ได้คิดว่าพี่โชคร้ายหรอกนะ…อย่างน้อยพี่ก็ได้เกิดมามีชีวิตบนโลกใบนี้
มีโอกาสได้หายใจ รับแสงแดด รับอาหาร และก็ได้รับความรักจากคนรอบข้างด้วย…

ความรักของคนรอบข้างทำให้พี่มีพลังและแรงใจให้อยากหายใจต่อไปอย่างมีคุณค่า…

เราเลือกพ่อแม่ไม่ได้ แต่เราก็เลือกเป็นพ่อแม่ที่ดีได้…
ถ้าพี่มีโอกาสได้เป็นแม่คน พี่จะกอดลูกของพี่ทุกคืนก่อนนอน…”

น้ำเสียงสั่นๆตอนที่เอ่ยประโยคสุดท้ายนั้นถึงกับทำให้คนฟังน้ำตารื้นด้วยความหดหู่ใจ…

“พี่ชอบปลูกต้นไม้นะ…เพราะว่าการปลูกต้นไม้มันทำให้พี่ได้เรียนรู้
ถึงการเจริญเติบโตของชีวิต…ไม่ต่างจากมนุษย์เลย

เมล็ดพันธุ์ที่ถูกโยนไว้บนผืนดิน โดยไม่ได้ปลูกฝังอย่างตั้งใจ
ปล่อยมันทิ้งไว้ท่ามกลางดินและกรวดหินทราย ภายใต้แสงอาทิตย์ที่ร้อนระอุ
ท่ามกลางหมู่เมฆฝนที่ต่างก็วนเวียนผ่านมาไม่เว้นแต่ละวัน…
เมล็ดพืชนั้นจะเจริญงอกงามอย่างสมบูรณ์ได้อย่างไรใช่มั้ย…

ต่างจากเมล็ดพืชที่เราปลูกฝังลงไปในผืนดินที่ชื้นอย่างตั้งใจ และใส่ใจ
ปล่อยทิ้งไว้ระยะหนึ่ง เมล็ดพืชนั้นก็จะเจริญงอกงาม ผลิหน่อแตกใบ
มีลำต้นชูตระหง่านที่สามารถฝ่าขึ้นมาสู่พื้นดิน
แทรกกรวดหินขึ้นมาพร้อมที่จะสัมผัสกับบรรยากาศและรับอาหารจากแสงแดดที่เจิดจ้าได้…

ต้นไม้แต่ละต้นต้องการการดูแลที่แตกต่างกัน
ถ้าเรารู้จักและสังเกต เราก็จะเลี้ยงดูต้นไม้ต่างสายพันธุ์ได้อย่างเจริญงอกงาม…”

ซาเนียยิ้มบางกับถ้อยคำกินใจนั้น…
อดไม่ได้ที่จะมองมาที่ตัวเอง พ่อเป็นคนปลูกเธอ ดูแลเอาใจใส่มาอย่างดี
ไม่ยอมให้หนอนกัดกินใบ เมื่อสิ้นพ่อ ชีวิตเธอก็เลยเหมือนสิ้นต้นไม้ใหญ่ที่คอยให้ร่มเงาไป…
ต้องทนต่อกระแสต่างๆที่ผ่านเข้ามาตามลำพัง

โชคดีที่เธอได้พบเจอคนที่คอยห่วงใย พวกเขาเหมือนร่มไม้ร่มใหม่ที่คอยให้กำลังใจเธอ…
แทบไม่อยากจะคิดเลยว่า ถ้าโลกนี้ขาดต้นไม้จะเกิดอะไรขึ้น…

“คุณป๋าเป็นคนเก่งและช่างสังเกต เข้าอกเข้าใจคนอื่น พี่เติบโตมาได้ก็เพราะท่าน
และหลายๆคนที่นี่ก็ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ก็เพราะท่าน

ไม่ว่าเมล็ดพืชจะเติบโตมาด้วยสภาพใดก็ตาม
แต่คุณป๋าจะนำต้นกล้าที่เกือบสิ้นหวังมาปลูกบนผืนดินที่อุดมสมบูรณ์ รดน้ำ พรวนดินให้
สอนให้รู้จักคุณค่าของชีวิต

ต้นไม้อย่างพี่คงไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการได้เป็นต้นไม้ที่มีใครคอยดูแล…
ท่านจึงเปรียบเหมือนร่มโพธิ์ร่มไทรที่ยิ่งใหญ่คอยค้ำจุนพวกเรา…

ท่านรักใครหรือสิ่งใดพวกเราก็รักด้วย
จึงไม่มีสิ่งไหนจะน่ายินดีไปกว่าการที่ได้เห็นลูกสาวคนเดียวของท่าน
กำลังจะสร้างครอบครัวกับคนที่รัก…ทุกคนที่นี่พยายามที่จะมอบของขวัญ
ให้กับลูกสาวของท่าน…พี่เองก็เช่นกัน…”

ซาเนียยิ้มด้วยแววตาซาบซึ้ง
เธอเองมีโอกาสได้เห็นคุณป๋าของพี่ระรินไม่กี่ครั้ง
แต่ก็รับรู้ได้ถึงรัศมีที่ส่องออกมาจากตัวท่าน หากมองผิวเผินจะเห็นว่าใบหน้า
และท่าทางของท่านนั้นดูดุดันและโหดเหี้ยม น่าเกรงขาม

แต่ยามที่ได้เห็นแววตาใจดีและมีเมตตานั้น มันทำให้เธอรู้สึกอบอุ่น
แววตาของท่านทำให้เธอนึกถึงพ่อ

ไม่แปลกเลยที่พี่ระรินจะรักและเทิดทูนท่าน

…ลูกสาวของท่านช่างเป็นหญิงสาวที่โชคดีเหลือเกิน…

“แล้วพี่ระรินเตรียมอะไรไว้ให้พี่รักหรือคะ…”ซาเนียถามด้วยแววตาอยากรู้
จนคนโดนถามยิ้มออกมาได้

“งั้นตามพี่มานี่สิคะ…”ระรินพาซาเนียไปยังห้องนอนส่วนตัวของเธอ
แล้วเปิดหน้าต่างไปสู่ระเบียงห้อง

ซาเนียมองภาพต้นกุหลาบตรงระเบียงห้องนั้นด้วยสีหน้าตกใจปนประหลาดใจ

“พี่รู้มาว่าลูกสาวของท่านชอบดอกกุหลาบขาวเป็นพิเศษ…แล้วที่เกาะรังเอง
ก็มีดอกกุหลาบขาวปลูกไว้มากมาย…พี่ก็เลยลองเพาะพันธุ์กุหลาบพันธุ์ใหม่ขึ้นมา
ในหนึ่งต้นจะมีดอกกุหลาบออกดอกให้เห็นถึงเจ็ดสี…
หนึ่งปีถึงจะมีดอกสักครั้ง…ชื่อกุหลาบพันธุ์นี้ก็คือ…กุหลาบสายรุ้ง…

เมื่อมันโดนฝนแรกในช่วงต้นฤดู มันก็จะออกดอกให้เราค่ะ…

พี่เพาะเอาไว้เจ็ดต้นเพื่อให้เป็นของขวัญคุณหนูรัก…

ส่วนต้นที่เหลือจากนั้นเป็นต้นที่ผ่านการทดลองมาค่ะ…
ผิดพลาดไปบ้าง แต่มันก็คือต้นไม้

มันเป็นความผิดพลาดที่สวยงามมากค่ะ

เพราะต้นนี้ มันดันออกดอกเจ็ดสีในดอกเดียวกัน…ถ้าน้องซาเนียชอบ พี่จะยกให้…”

ซาเนียถึงกับตาโต เพราะเธอเคยได้ดูข่าวเกี่ยวกับกุหลาบสีรุ้ง
เห็นเขาบอกว่าหาดูได้ยาก มันเกิดจากการทดลอง

…ไม่คิดเลยว่า พี่ระรินของเธอจะสามารถทำมันออกมาได้…

“พี่ระรินแน่ใจเหรอคะว่าจะยกมันให้ซาเนีย ซาเนียกลัวว่ามันจะเหี่ยวเฉา
คามือซาเนียเอาน่ะสิคะ…เพราะว่าซาเนียปลูกต้นไม้หรือดูแลต้นไม้ไม่เป็นเลยสักนิดเดียวค่ะ…
ซาเนียกลัวจะทำมันตาย…”ระรินจับมือซาเนียเอาไว้แล้วกล่าวว่า

“ไม่รู้สิคะ…พี่ออกจะมั่นใจว่า น้องซาเนียจะสามารถดูแลต้นกุหลาบ
ที่พี่รักมากที่สุดต้นนี้ได้…ฝากดูแลมันแทนพี่ด้วยนะคะ…
พี่ให้ชื่อมันว่า กุหลาบรุ้งทอแสง”

แววตาของระรินทำให้ซาเนียถึงกับแปลกใจ
มันเหมือนจะสื่อความนัยอะไรบางอย่างมาให้เธอ แต่เธอไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร…

“แล้วจะให้ซาเนียนำเจ้าต้นกุหลาบรุ้งทอแสงนี้ไปปลูกที่ไหนดีล่ะคะ…”
ระรินยิ้มบางก่อนจะหันไปมองต้นกุหลาบในกระถาง

“ที่บริเวณน้ำตกรุ้งกินน้ำสิคะ…ดินที่นั่นคงจะเหมาะกับมันมากที่สุด
เพราะพี่เอาดินที่นั่นมาเพาะพันธุ์ในกระถางนี้…มันคงชอบดินที่นั่น”

ซาเนียยิ้มกว้างมองกุหลาบในกระถางนั้นนิ่งนาน…เธอจะดูแลต้นกุหลาบ
ให้เจริญงอกงามแทนพี่ระรินได้รึเปล่าก็ไม่รู้สิ…ไม่ค่อยมั่นใจเลย…

“ขอบคุณพี่ระรินมากนะคะที่ไว้ใจซาเนีย…”
ระรินระบายยิ้มพร้อมกับเอื้อมมือมาวางไว้บนบ่าของซาเนียแล้วกล่าวว่า

“ก่อนรุ้งทอ ก่อนที่ฟ้าจะเปิดให้เห็นแสง เราต้องฝ่าฟันกระแสฝนที่หนักหน่วงไปให้ได้…
เราต้องอดทนรอคอยได้ทุกอย่างเพื่อที่จะได้เห็นวันฟ้าใสหลังฝนซา
เพราะฟ้าหลังฝนจะนำรุ้งทอแสงมาให้เรา…ด้วยความรัก…ทุกอย่างจะต้องผ่านไปได้ด้วยดี…”
ซาเนียพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มจากใจ…

“แล้วพรุ่งนี้พี่ระรินจะไปร่วมงานแต่งงานด้วยใช่มั้ยคะ…”ระรินส่ายหน้า

“ตั้งแต่พี่มาอยู่ที่นี่ พี่ก็ไม่คิดที่จะกลับไปผืนแผ่นดินใหญ่อีกเลย…
พี่ตั้งใจจะอยู่ที่นี่ไปจนตาย…”ซาเนียกระตุกคิ้วนิดนึง

“แล้วเจ้าต้นกุหลาบสายรุ้งทั้งเจ็ดต้นนี้ล่ะคะ พี่ระรินจะทำอย่างไรกับมัน”
ระรินยิ้มก่อนจะตอบว่า

“เวนไตยจะเป็นคนนำมันไปให้ด้วยตัวเขาเองค่ะ…
เราสองคนเพาะพันธุ์ต้นกุหลาบสายรุ้งทั้งเจ็ดต้นนี้มาด้วยกัน…
แต่เจ้าต้นกุหลาบรุ้งทอแสงนี้พี่เป็นคนทำพลาดเอง มันก็เลยออกมาเป็นสีรุ้งในดอกเดียวกัน…”

ฟังมาถึงตรงนี้ หัวใจคนฟังก็ถึงกับห่อเหี่ยว ไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาเสียอย่างนั้น
หากก็ยังฝืนถามออกไปไม่ได้ว่า

“แสดงว่าเขาจะไปร่วมงานด้วยในวันพรุ่งนี้ใช่มั้ยคะ…”ระรินพยักหน้า

“ทีซาเนียล่ะทำเป็นสั่งห้าม…”เสียงตัดพ้อต่อว่านั้นทำให้ระรินถึงกับอมยิ้ม

“เวนไตยเขาเป็นห่วง กลัวว่าน้องซาเนียจะเป็นอันตราย
ถ้าน้องซาเนียอยากฝากของขวัญก็ฝากเวนไตยไปจะดีกว่านะคะ…”

“เรื่องอะไร…ของขวัญของซาเนีย ซาเนียก็ต้องเอาไปให้ด้วยตัวเองสิคะ”

“แต่มันเสี่ยงอันตราย พี่ว่าทางที่ดี น้องซาเนียอย่าเพิ่งออกจากเกาะในช่วงนี้เลยนะคะ
เพิ่งผ่านเรื่องร้ายๆมาไม่นานมานี้เอง…”ระรินห้ามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล หากก็ไม่เป็นผล

“พี่ระรินเข้าใจซาเนียใช่มั้ยคะว่าซาเนียรักและนับถือพี่รังมากขนาดไหน
พี่รังแต่งงานทั้งที ซาเนียก็อยากจะไปร่วมแสดงความยินดีด้วย…”
ระรินพยักหน้า

“ค่ะ…พี่เข้าใจ แต่พี่รังของน้องซาเนียคงจะไม่เห็นด้วยแน่ๆ
ถ้าน้องซาเนียเป็นอะไรไป…เพราะเขาเป็นต้นเหตุ…”ซาเนียพ่นลมหายใจ
ออกมาอย่างหนักหน่วง ก่อนจะก้มหน้ายอมรับ…

“ค่ะ…ซาเนียจะอดทนอดใจ…เพื่อพี่รัง…”

“ดีแล้วค่ะ…”ระรินลูบหลังมือของซาเนียเบาๆเป็นการปลอบใจ



...โปรดติดตามตอนต่อไป...


ชอบไม่ชอบอย่างไร หรือว่าความเบื่อกำลังมาเยือนก็ส่งเสียงมาบอกกันได้นะคะ
สัญญาว่าจะไม่โกรธเลยสักนิด...ซ้ำยังจะขอบคุณด้วยซ้ำไปค่ะ....อิอิ

ขอคุยกับนักอ่านกันนิดนึงก่อนไปนอนค่ะ...

1.คุณบัวขาว...รอบนี้มีเพียงรอยยิ้มพิมพ์ใจ...อิอิ...
ขอบคุณค่ะสำหรับรอยยิ้มและเสียงกระซิบว่าคิดถึง...เฮะๆๆ

2.น้องหนอน...แน่ใจเหรอคะน้องหนอนว่าซาเนียจะยอม...
ยิ่งออกอาการขนาดนั้น...พี่ว่าน้องหนอนเตรียมประกาศศึกครั้งนี้ได้เลยค่ะ...
สังเวียนบนคานน้อย ยังว่างพอค่ะ...อิอิอิ...
ปล.พี่ว่าเป็นหนอนผีเสื้อเนี่ยแหล่ะ เหมาะสุดๆ กินน้ำค้างไปพลางๆนะจ๊ะ
แล้วน้ำตาลค่อยว่ากัน...เต่าอย่างพี่กำลังพยายามปีนต้นตาลอีกรอบ...ฮ่าๆๆๆ

3.คุณsai....ตอนนี้พี่หมอรังกลับมาแล้วจ้าาาาาา...คิดๆอยู่นะคะว่าจะให้เป็ดวา
งอนพี่รังไปอีกสักสองปีดีมั้ย...อิอิอิ...ถ้าเป็นอย่างนั้นเรื่องนี้คงอีกยาวววววว...เฮะๆๆๆ

4.คุณsupayalak..ชื่อตอนมันดูสะท้านทรวงใช่มั้ยคะ...อิอิ...
ก็พี่รังทำน้องรักหม้ายขันหมากจริงๆนะตัวเอง...ส่วนผลของความอดทน
จะเป็นเช่นไร...จะมีน้ำตาลอยู่บนยอดตาลจริงมั้ย...ต้องมาติดตาม
และพิสูจน์ไปพร้อมๆกับเต่าค่ะ....อิอิอิ...

5.คุณpattisa...อุปสรรคของคนบนคานก็อย่างนี้แหล่ะค่ะ...
คานนั้นขึ้นง่าย แต่ว่าลงยากค่ะ...ไม่เชื่อถามผู้มีประสบการณ์ที่อาจจะนั่งอยู่ข้างๆได้ค่ะ
อิอิอิ...

6.คุณหยองตอด...สำหรับโยก็คิดว่าเกียวโตเป็นเมืองสงบมากๆ
และโยก็ชอบเกียวโตมากกว่าเมืองอื่นๆที่เคยไปเยือนด้วยค่ะ...
ตอนเกิดสึนามิใหญ่ที่ญี่ปุ่น โยเพิ่งกลับมาอยู่บ้านได้ไม่เท่าไหร่ค่ะ...
ตอนที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น ปกติเกียวโตจะมีแผ่นดินไหวไม่หนักค่ะ แค่เบาะๆ...
แต่รอบๆนั้นรับไปเต็มๆกันอย่างถ้วนทั่ว อย่างโอซาก้า โกเบ ก็เคยมีประวัติ มิเอะก็เช่นกันค่ะ...
โยอยู่อาศัยแบบจริงๆจังๆมาสองเมืองค่ะ คือ อยู่โตเกียวเกือบ 2 ปี แล้วก็ย้ายไปอยู่เกียวโต
อีก 4 ปี...เป็นอันว่าอิ่มค่ะสำหรับแดนปลาดิบ...อิอิอิ...
ให้ไปเที่ยวก็ยังอยากไปอยู่ แต่ให้ไปอยู่ คงอยู่ไม่ไหวแล้วค่ะ เสียวแผ่นดินไหว
และภัยพิบัติที่นั่นก็เยอะมากเหลือเกิน ไต้ฝุ่นปีๆนึงไม่รู้ตั้งกี่ลูก ไม่รวมสึนามิ
กับแผ่นดินไหวนะคะ...สรุปคือ อยากกลับมาตายรังค่ะ...อิอิ...
ปล.ชุดไมโกะแต่งได้ค่ะ แถวๆวัดคิโยมิสุ มีบริการแต่งตัวและแต่งหน้าแบบไมโกะให้ค่ะ
แต่เต่าโยไม่เคยแต่งแบบไมโกะค่ะ...แค่แต่งชุดกิโมโนเฉยๆ...
เพราะถ้าจะแต่งแบบไมโกะก็ต้องพอกหน้าขาวๆทาปากแดงๆจู๋ๆด้วยค่ะ...อิอิ...
เห็นเพื่อนที่ไปแต่งหน้าแต่งกายแบบไมโกะเขาบอกว่าใช้เวลานานมาก...
เต่าโยเลยยอมค่ะ...และอีกชุดนึงของญี่ปุ่นที่น่าสวมมากเลยค่ะ นั่นก็คือ ชุดฮากามะค่ะ
เป็นชุดที่เขาจะใส่ในวันรับปริญญากันค่ะ...โยเคยฝันอยากใส่ชุดครุยในวันรับปริญญาบัตร
แต่กลับได้ใส่ชุดฮากามะที่ไม่เคยคาดฝันมาก่อนแทน...สรุปก็ประทับใจไม่รู้ลืม
ไปเลยทีเดียวค่ะ....คิดว่าคงมีแค่ครั้งเดียวในชีวิต...แต่ชุดครุยก็ยังอยากใส่อยู่นะคะ...อิอิอิ...

7.คุณหมีสีชมพู...องครักษ์ครุฑต้องตามไปอารักขาเจ้าหญิงซาเนียค่ะ...อิอิอิ...
อย่างว่าค่ะ...คนเป็นห่วง จะให้อยู่ห่างๆได้ยังไงไหว...อิอิ

8.คุณgoldensun...โอซาก้ากับโตเกียวนั้นจะคนละอารมณ์กันเลยค่ะ
ลักษณะของคนโอซาก้ากับคนโตเกียวก็แตกต่างกัน...คนโตเกียวจะดูเร่งรีบ
ไม่ค่อยสนใจใคร...บ้างานเป็นชีวิตจิตใจค่ะ...แถมรถไฟฟ้าคนแน่นจนหายใจแทบไม่ออกค่ะ
โยเลยขอลาไปอยู่เกียวโตแทน...เพราะที่เกียวโตที่นั่นกำลังดีค่ะ...ผู้คนก็ยิ้มแย้มให้กัน...
อาจจะเป็นเพราะเป็นเมืองท่องเที่ยว ผู้คนก็เลยออกหน้ารับแขกบ้านแขกเมืองด้วยรอยยิ้มกันเป็นปกติ...
ส่วนโอซาก้าเป็นเมืองท่า คนเยอะและแน่นเหมือนกันค่ะที่นั่น ยิ่งรถไฟทั้งบนดินทั้งใต้ดิน
เส้นทางพันกันจนมั่วเลยล่ะค่ะ ถ้าไม่มีแผนที่ในมือ อาจมีหลงเมืองได้ค่ะ...อิอิ...
ปกติโยใช้ปากเดินทางเอาค่ะ...ถามประชาสัมพันธ์ตลอดเพื่อความชัวร์...
ซึ่งคนโอซาก้าจะโผงผาง ตรงไปตรงมาเป็นส่วนใหญ่ค่ะ...เพราะโยมีเพื่อนจากโอซาก้า
หลายคนค่ะ...คบไม่ยากเลย...เพราะเขาจะเข้าหาเรามากกว่ารอให้เราเข้าหา...
ต่างจากคนแถบโตเกียวค่ะ...มีอะไรบอกปากให้ช่วยได้เสมอด้วยค่ะ...
วันก่อนเผลอพูดสำเนียงคนโอซาก้าด้วย...ดีนะคะว่าแขกที่มาที่บริษัทเป็นคนโอซาก้าพอดี
เขาก็เลยประทับใจ...เลยชวนเปลี่ยนมาใช้สำเนียงโอซาก้าพูดกัน...

ซึ่งจริงๆแล้ว โตเกียว เกียวโตและโอซาก้า จะใช้กันคนละสำเนียงค่ะ
และศัพท์บางคำก็ใช้ไม่เหมือนกันด้วย...
แต่ภาษาทางการก็คือ ภาษาที่คนโตเกียวพูดกันค่ะ...อุ้ย...พร่ามซะยาวเลย...อิอิอิ...
ดีใจค่ะที่มีนักอ่านเข้ามาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันแบบนี้...
ชอบบรรยากาศแบบนี้สุดๆไปเลยค่ะ...จุ๊บๆนะคะ

9.คุณใบบัวน่ารัก...คนเขียนก็ไม่เคยอยากอยู่บนคานเลยค่ะ...
แต่ก็ต้องขึ้นมาอยู่...เมื่อเวลามาถึง...อิอิอิ...ปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่อยากอยู่ค่ะ
เพราะหายใจเข้าออกอยู่ดีๆ คิดว่าแค่ไม่กี่ปีเอง...มองดูตัวเองอีกที มานั่งอยู่บนคานซะแล้ว...
อายุมันไม่ยอมไปข้างหลังน่ะค่ะ...เฮะๆ...

10.คุณviolette...ขอบคุณค่ะทีแวะมาส่งเสียงเป็นกำลังใจให้เต่าโย...
อย่าเพิ่งเหนื่อยค่ะ เพราะเต่าโยเองก็เพิ่งจะมีแรงขึ้นมาจริงๆวันนี้นี่เองค่ะ...อิอิอิ...

11.คุณkonhin...อ่านตอนนี้แล้วค่อยโล่งใจแทนนาโนแล้วใช่มั้ยคะ...อิอิ
จุ๊บๆนะคะ...


สุดท้ายไม่ท้ายสุด...

ขอบคุณทุกๆไลค์ ทุกๆกำลังใจ และทุกๆคนที่เข้ามาอ่านมาเยี่ยมเยือนกันนะคะ...

นักอ่านท่านใดที่อ่านไปแล้วไม่เข้าใจตรงไหนหรืออยากแลกเปลี่ยนความเห็นกัน
ก็เข้ามาพูดคุยกันได้ค่ะ เพราะเมื่อโยโพสต์จบแล้ว คงจะยากหน่อย
ที่เราจะได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกันเกี่ยวกับนิยายเรื่องนี้ในลักษณะแบบนี้...

ซึ่งนั่งอ่านเป็นเล่มมันไม่สามารถทำแบบนี้ได้น่ะค่ะ...

โอกาสที่คนเขียนกับนักอ่านได้ใกล้กันที่สุด ก็คงจะเป็นตอนนี้แหล่ะค่ะ...

...เจอกันยกหน้าค่ะ....

"เต่าโย"











yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 ธ.ค. 2555, 23:18:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 ธ.ค. 2555, 23:23:09 น.

จำนวนการเข้าชม : 2153





<< ยกที่ 61 ขนม ค.ร.ก   ยกที่ 72 secret base >>
หมีสีชมพู 15 ธ.ค. 2555, 03:55:09 น.
เตรียมตัดชุดไปงานพี่รังดีกว่า


หยองตอด 15 ธ.ค. 2555, 11:49:24 น.
คำว่า "แทรง" ที่หมอรังบอกว่าจะไม่ยอมให้พี่ลมแทรงนี่ไม่เคยเห็นสะกดแบบนี้มาก่อนเลยค่ะ ปกติจะเห็นเขียนว่า "แซง" แต่ก็ไม่รู้ว่าแบบไหนกันแน่ที่ถูก คงเหมือน แทรกแทรง กับ แทรกแซก หรือ แซกแซง 5555 ชักจะงงว่าอันไหนกันแน่ที่ถูก
ปล. หวังว่างานแต่งรอบสองนี้คงไม่ล่ม หรือเกิดเหตุร้ายอะไรขึ้นหรอกนะคะ


พอใจ 15 ธ.ค. 2555, 12:38:05 น.
มาให้กำลังใจคุณโยค่า


Pampam 15 ธ.ค. 2555, 13:35:04 น.
งานนี้เวนไตยจะมารับไปงานแต่งของพี่หมอกับนู๋สิ้นค่ะ


บัวขาว 15 ธ.ค. 2555, 18:34:57 น.
เฮ้อ .. ความรัก
ทำไมต้องเจ็บซ้ำไปซ้ำมาอยู่ร่ำไป
สงสารน้องสิ้น



supayalak 16 ธ.ค. 2555, 21:49:11 น.
เค้าเรียกว่าถึงรักจะทุกข์ก็ยังสุขที่ยังได้รักเนอะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account