คานน้อย คอยรัก (จบแล้วค่ะ)
คานน้อย คอยรัก

ในลักษณ์นั้นว่าประหลาด…………….คนบนคานนั้นว่าน่าประหลาด
เป็นเชื้อชาตินักรบกลั่นกล้า…………...เป็นเชื้อชาตินักรักผู้หาญกล้า
เหตุไฉนย่อท้อรอรา…………………..เหตุไฉนย่อท้อรอเวลา
ฤาจะกล้าแต่เพียงวาที…………………ฤาไม่กล้าบอกรักใครสักที

เห็นแก้วแวววับที่ดับจิต…………………เห็นคานแก้วแวววับสดับจิต
ใยไม่คิดอาจเอื้อมให้ถึงที่……………...ใยไม่คิดปีนไปให้ถึงที่
เมื่อไม่เอื้อมจะได้อย่างไรมี……………อย่ามัวรอจงขึ้นมาเร็วรี่
อันมณีฤาจะโลดไปถึงมือ………………บนคานนี้มีรักให้ฝึกปรือ

อันของสูงแม้ปองต้องจิต………………..คานเราสูงไม่เป็นรองของใครอื่น
ถ้าไม่คิดปีนป่ายจะได้ฤา………………..อย่าได้ขืนลงไปให้เสียชื่อ
มิใช่ของตลาดที่อาจซื้อ………………….มิใช่ทองตามตลาดที่อาจซื้อ
ฤาแย่งยื้อถือได้โดยไม่ยอม……………..เพราะเราถือความพอใจจึงลงไป

ไม่คิดสอยมัวคอยดอกไม้ร่วง……………ไม่คิดสอยมัวคอยให้คานทับ
คงชวดดวงบุปผาชาติสะอาดหอม………..รอให้ดับคาคานหรืออย่างไร
ดูแต่ภุมรินเที่ยวบินตอม…………………..ฤาต้องคอยรักแท้จนแก่ใช่ไหม
จึงได้ออมอบกลิ่นสุมาลี…………………..เกาะคานน้อยคอยรักต่อไป
…………………..........จนกว่าจะเจอคนที่ใช่…ใช่ไหมคาน………………
(อ้างอิงกลอนจากบทละครเรื่องท้าวแสนปม)

มาดูเหตุผลของคนที่ยังไม่ลงจากคานกันค่ะ...
อาจจะมีเหตุผลมากมายที่ไม่อยากลงจากคาน
หรืออาจมีเพียงแค่หนึ่งเหตุผลง่ายๆก็คือ...

...ไม่ใช่คนที่ใช่ก็ไม่ใช่...

หรือว่า

...โดนข้อหาหลายใจ เพราะเคยมีแฟนหลายหน...

หรืออาจเป็นเพรา

...เขาบอกให้รอ เราก็รอ...

หรือจริงๆแล้ว

...ขออยู่รอคนสุดท้ายคนนั้นได้ไหม...

หรือลึกลงไป

...กำลังรอเจ้าชายในฝันอยู่อย่างอดทนได้ทุกอย่าง...

หรือกำลังปลอบใจตัวเองว่า

...ครึ่งหนึ่งของฉันยังมาไม่ถึง...ซึ่งสักวันเขาจะมาอยู่ข้างกัน...

หรือกำลังหลอกตัวเองด้วยการปกปิดว่า

...ไม่หวั่นไหว หัวใจไม่ปรารถนา...

ทั้งๆที่จริงๆแล้ว

...อยากรัก อยากฝัน แต่เพราะกลัว ก็เลยไม่กล้ารักใคร...

หรือว่าอาจจะเป็นเหตผลสุดท้ายที่ไม่ค่อยมีใครกล้ายอมรับดังๆว่า

...ไม่เคยมีใครมาจีบ ไม่มีใครสน เรามันคนธรรมดาๆ...

แต่ไม่ว่าจะเหตุผลใด...

เราก็ยังหวังและยังคงรอคอยปาฏิหาริย์ว่าจะได้เจอคนที่ใช่ในสักวัน...


Tags: ดราม่า หวานซึ้ง อบอุ่น หมอรัง สิ้นรัก วายุ ปองขวัญ

ตอน: ยกที่ 72 secret base

ยกที่ 72 secret base

ซาเนียเดินไปยังสุสานที่ฝังร่างของระรินด้วยความระมัดระวัง
เพราะทางที่ไปนั้นมีโขดหินมากมาย กว่าจะไปถึงก็เรียกเหงื่อตามไรผม

ทว่า สิ่งที่เธอเห็นตรงหน้าทำให้เธอยืนแข็งทื่อ มองภาพที่หนุ่มใหญ่
ซึ่งเธอจำเขาได้ดีเพราะว่าเขาเป็นแพทย์ประจำเกาะชิงชัง ที่คนที่นี่ต่างเคารพรัก…

หนุ่มใหญ่กำลังนอนราบข้างๆหลุมศพพร้อมกับร่ำไห้
มือข้างหนึ่งโอบหลุมศพเอาไว้ ราวกับจะโอบกอดคนในหลุม…

เธอจำได้ว่าตอนที่เวนไตยอุ้มร่างพี่ระรินมาทำพิธีอาบน้ำศพ ห่อศพแล้วละหมาดให้กับศพ
ก่อนจะบรรจุศพนำไปยังสุสานที่ทุกคนที่นี่ต่างช่วยกันขุดไว้รอร่างอันไร้วิญญาณของพี่ระริน

ตลอดระยะเวลานั้นเธอแทบไม่เห็นน้ำตาสักหยดของคุณหมอเลย
หน้าของเขาเรียบสนิท ไม่มีแม้แต่คำพูด…สีหน้าท่าทางของเขานิ่งพอๆกับเวนไตย…

และทุกครั้งที่เขามองมาทางเธอ เหมือนมีอะไรบางอย่าง
ที่ทำให้เธอรู้สึกขนลุกกับแววตาคู่นั้นของเขา

แววตาที่เวนไตยมองมาที่เธอแม้จะดุดันและตัดพ้อต่อว่าเธอ
หากก็ยังไม่ทำให้เธอขนลุกได้เท่ากับชายผู้นี้ที่ดูนิ่งเหมือนทะเลที่ปราศจากคลื่น
…เหมือนท้องฟ้าก่อนเกิดสึนามิ


...และเหมือนสัญชาตญาณบางอย่าง บอกให้เธอหันหลังกลับเรือนใหญ่โดยเร็วที่สุด…

แต่ดูเหมือนจะช้าเกินไป เมื่อบุคคลที่กำลังร่ำไห้อยู่รับรู้ถึงการมาถึงของเธอเสียแล้ว…

ร่างสูงโปร่งของเขาลุกขึ้น ตอนนี้ใบหน้าของเขาปราศจากน้ำตา
มีแต่ความแห้งแล้งในดวงตา ไร้ความเมตตาปรานี แตกต่างจากครั้งแรกที่เธอพบเขา…

เธอพอจะเข้าใจว่าทำไมเขาถึงมองเธอเช่นนี้…ตอนนี้เธอเข้าใจแล้ว
เมื่อเขาย่างสามขุมมาขวางทางเธอ โดยไม่ยอมให้เธอได้มีโอกาสวิ่งกลับเรือนใหญ

ซึ่งนอกจากแววตาของเขาที่ชวนให้น่ากลัวแล้ว
บรรยากาศยามเย็นตรงบริเวณนี้ก็ดูจะเงียบสงบและห่างจากบ้านพักผู้คน

เธอไม่เคยคิดว่าที่นี่จะเป็นที่ที่อันตราย เพราะสัมผัสได้ถึงความปลอดภัย
ตลอดระยะเวลาที่ได้อยู่ท่ีนี่…เธอจึงเดินไปไหนมาไหนตามลำพัง
โดยไม่จำเป็นต้องระแวดระวังภัยเหมือนที่อื่นๆ…

และความรู้สึกนั้น มันทำให้เธอประมาท จนต้องตกอยู่ในสถานการณ์
ที่ควบคุมได้ยากเช่นตอนนี้…

“ระรินเป็นคนดี และเป็นที่รักของคนที่นี่…และการท่ีคนดีๆต้องมาตาย
เพราะความไม่เอาไหนของผู้หญิงที่ไร้ค่าอย่างเธอ…มันดูไม่ยุติธรรมเอาซะเลย…”

ซาเนียสะอึก กลืนน้ำลายลงคอ กับประโยคที่เขาว่าเธอ ว่าเป็นผู้หญิงไร้ค่า

…ชีวิตเธอไร้ค่าอย่างที่เขาว่าจริงๆหรือ…

หญิงสาวถอยหลังก้าวหนึ่งเมื่ออีกฝ่ายก้าวเข้ามาหาเธอหนึ่งก้าว
โดยที่สายตาไม่ยอมคลาดจากเขา…

“เธอรู้มั้ยว่าทำไมระรินถึงไม่ยอมออกไปจากเกาะนี้…เค้าตั้งปณิธานเอาไว้อย่างแรงกล้า
ว่าจะไม่มีวันออกไปจากเกาะนี้อีกชั่วชีวิต…เธอรู้รึเปล่าว่าทำไม…”
เสียงตอนท้ายเหมือนจะตะคอก ซาเนียจึงทำได้แค่ส่ายหน้าไหวๆ…แววตาสั่นด้วยความกลัว
เธอไม่เคยเห็นผู้ชายตรงหน้าในลักษณะและทีท่าเช่นนี้มาก่อนเลย
เขาดูสุภาพมาก แต่ตอนนี้ เขาดูแตกต่างห่างไกลคำว่าสุภาพจนน่าใจหาย…

“ฮึ…ผู้หญิงที่เกิดมาเพียบพร้อมอย่างเธอคงไม่มีวันเข้าใจหรอก…”
น้ำเสียงนั้นเหมือนจะเย้ยหยันอยู่ในที

“ระรินเคยถูกผู้ที่มารับไปอุปถัมป์ทำทารุณ เพื่อเป็นที่ระบายอารมณ์ตั้งแต่เด็ก…
จนเธอกลัวกับการต้องพบเจอผู้คนมากมาย…กลัวการเข้าสังคมกับคนหมู่มาก…
กลัวจนไม่กล้าออกไปพบใคร ซ่อนตัวอยู่ในซอกมุม อยู่ในโลกมืด”

ซาเนียกลืนน้ำลายลงคอ…เพราะเธอเองมีโอกาสได้เห็นรอยแผลเป็นตามแผ่นหลัง
และหน้าท้องของระรินตอนที่ทำพิธีอาบน้ำศพ ซึ่งผู้หญิงจะทำหน้าที่อาบน้ำศพ
ให้กับศพผู้หญิงด้วยกัน…

ตอนนั้นเธอเองตกใจไม่น้อยเลย เพราะแผลเป็นที่เห็นนั้นดูน่ากลัว
จนเธอแอบคิดไม่ได้ว่า ตอนที่มันเป็นแผลสดๆ เจ้าของแผ่นหลังจะเจ็บสักปานใด…

“กว่าคนข้างบ้านจะเข้าไปพบเธอแล้วนำตัวเธอส่งโรงพยาบาล
เธอก็เกือบหมดลมหายใจเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหวอยู่แล้ว…

ตอนนั้นฉันเป็นหมอฝึกหัด และได้เป็นเจ้าของไข้ของเธอ…
ความเวทนาสงสาร ทำให้ฉันอยากอุปการะเธอ…
แต่ฐานะทางบ้านของฉันตอนนั้นทำให้ไม่สามารถทำได้…
ฉันรู้จักกับนายใหญ่จึงนำเธอไปฝากไว้กับท่าน…
เราต้องใช้เวลาในการบำบัดจิตใจของเธออยู่นาน
กว่าเธอจะกลับมายิ้มร่าเริงสดใสเหมือนคนไร้อดีตอย่างที่เธอเห็น”

ซาเนียไม่แน่ใจว่าทำไมเขาถึงได้เล่าเรื่องราวในอดีตระหว่างเขา
กับพี่ระรินให้เธอฟัง แต่เมื่อได้ยินประโยคถัดมาเธอก็ถึงบางอ้อทันที

“แต่เธอ…เธอกลับมาทำให้ระรินต้องตาย…ทั้งๆที่เขาไม่เคยคิดจะออกไปจากเกาะ
ก็ต้องออกไปเพราะเธอ…ที่เกาะนี้ต้องยุ่งยากวุ่นวายไม่หยุดไม่หย่อนก็เป็นเพราะเธอ
ตั้งแต่เธอย่างเข้้ามาเหยียบเกาะชิงชังก็นำแต่เรื่องไม่ดีเข้ามา
ทำให้คนอื่นต้องเดือดเนื้อร้อนใจได้ไม่เว้น เธอมันตัวซวย…”
ประโยคหลังเขาสาดมันใส่หน้าเธอด้วยแววตาดุดัน

“ใช่…ฉันยอมรับว่าฉันมันตัวซวย คนที่อยู่ใกล้ฉันกี่คนๆก็มีอันเป็นไป
หรือไม่ก็ต้องเดือดเนื้อร้อนใจตลอด…แต่ฉันไม่ได้ต้องการให้มันเป็นอย่างนั้นเลย…
ฉันไม่เคยต้องการให้ใครมาอยู่ใกล้ฉัน…แล้วการที่ฉันต้องมาอยู่ที่นี่…
ก็เพราะคิดว่า่ที่นี่จะเป็นที่ที่ฉันจะไม่ต้องวิ่งหนีศัตรูที่คิดจะตามฆ่าเอาชีวิตฉันอีก…”

ซาเนียกล่าวออกมาด้วยอาการปากสั่นหลังจากที่ฟังถ้อยคำตัดพ้อต่อว่าของคนตรงหน้ามานาน

“คุณหมอคิดเหรอว่าฉันมีความสุขกับการต้องมองดูคนที่ฉันรัก
และรักฉันต้องจากฉันไปทีละคนๆ…คุณหมอคิดเหรอ ว่าฉันสนุกนักกับการวิ่งหนี…
คุณหมอคิดเหรอว่าฉันอยากมีชีวิตแบบนี้…”ซาเนียกล่าวออกมาพร้อมกับน้ำตาที่เอ่อคลอ
เธอโดนคนที่นี่ต่อว่าทางสายตาและการกระทำมาหลายวันแล้ว
มันเจ็บปวดไม่แพ้กับถ้อยคำที่คนตรงหน้ากำลังต่อว่าเธออยู่

…แม้ท่าทางของเขาจะไม่น่าไว้ใจ
แต่เพราะประสบการณ์ที่ต้องหนีตายมาหลายต่อหลายครั้ง
ทำให้เธอชินจนหัวใจด้านชา และเริ่มปลงได้ในความเบาบางของเส้นชีวิต
ที่ไม่ต่่างจากเส้นด้ายที่อาจจะขาดได้ง่ายๆทุกเมื่อ…

“แล้วเธอคิดว่าฉันมีความสุขรึไงเวลามองต้นเหตุที่ทำให้คนท่ีฉันรักต้องตาย…
ยังเดินลอยนวลอยู่บนเกาะนี้…”แววตาดุดันน่ากลัวนั้นกำลังฟาดหัวใจของซาเนียจนรู้สึกขนลุกซู่

เธอเพิ่งรู้ว่าหัวใจของคนก็ไม่ได้ต่างจากท้องฟ้าเลย…
เพราะท้องฟ้าที่เคยสดใส หากยามใดที่ถูกเมฆดำเข้าครอบคลุม
นั่นหมายถึงสัญญาณแห่งหายนะกำลังจะมาเยือน…

เหมือนหัวใจคนที่ถูกปกคลุมด้วยความชั่วร้ายที่มาเปื้อนปน
เปลี่ยนจากสีขาวให้กลายเป็นจุดด่างดำในหัวใจ…นั่นเพราะกิเลสจากการกระทำของใจนั่นเอง…

เธอแน่แก่ใจแล้วว่า ความดำจากหัวใจคนนั้นสุดร้ายเกินจะคาดคะเนผลได้
เหมือนอย่างท้องฟ้าหลังเกิดพายุฝน…

เช่นบุคคลตรงหน้า และถ้อยคำที่เธอแทบไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะหลุดออกมา
จากปากของนายแพทย์ที่ใครๆที่นี่ต่างให้ความเคารพรัก…

“ที่ฉันยอมมาอยู่ที่เกาะแห่งนี้ เกาะที่ไร้แสงสี ไร้ชื่อเสียง ไร้ความสะดวก
ก็เพราะต้องการอยู่ข้างๆระริน อยากเห็นรอยยิ้มสดใสของเธอในทุกๆวัน

ฉันยอมท้ิงชื่อเสียง หน้าที่การงาน ตำแหน่งทางสังคม ทิ้งความศิวิไลมาอยู่ที่นี่เพราะระริน…
ฉันเป็นคนปั้นระรินที่แสนสดใสมาด้วยมือของฉัน
ฉันทำให้เธอเป็นระรินที่เพียบพร้อมไปด้วยคุณค่าด้วยการให้ความรู้
สอนให้เธอเป็นพยาบาลท่ีมีฝีมือดีไม่แพ้พยาบาลคนไหน…
และฉันเฝ้ามองงานปั้นของฉันมาตลอดด้วยความภาคภูมิใจ
แต่เธอกลับทำลายงานปั้นของฉันจนไม่เหลือชิ้นดี…
เธอคิดว่าฉันควรจะทำอย่างไรกับคนที่บังอาจมาทำลายงานปั้นอันวิจิตรของฉัน…ฮะ”

เสียงนั้นตะคอกหน้าหญิงสาวด้วยอารมณ์โกรธแค้น…ซาเนียผงะถอย
จนสะดุดก้อนหินล้มลงไปนั่งจุ้มปุกอยู่กับพื้น หากสายตายังไม่ยอมคลาดจากอีกฝ่าย…

“ฉันขอโทษ…ฉันไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นอย่างนี้เลย…อย่าทำอะไรฉันเลยนะคะคุณหมอ…
ฉันรับรองว่าฉันจะไม่อยู่เกะกะสายตาคุณหมออีกต่อไป…ขอแค่คุณหมออย่าทำอะไรฉัน…
และอย่าไปจากที่นี่…คนที่นี่ยังต้องการคุณหมออยู่นะคะ…พวกเขาคงขาดคุณหมอไม่ได้…”
สิ้นคำพูดนั้น เสียงหัวเราะของหนุ่มใหญ่ก็ดังขึ้นทันที…

“ฮึๆๆ…เธอรู้อะไรมั้ยซาเนีย…ว่านอกจากฉันจะสูญเสียงานปั้นที่ฉันแสนจะภูมิใจไปแล้ว…
เธอยังทำให้คนที่ฉันเกลียดมีความสุขอยู่บนความทุกข์ของฉันอีก…

ถ้าไม่มีเธอสักคน ไอ้เวนไตยมันคงตรอมใจตาย…
นั่นแหล่ะคือสิ่งที่ฉันรอคอย และอยากเห็นมากที่สุด”

แววตาคนพูดดูแห้งแล้ง เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาอย่างท่ีไม่น่าจะปรากฏอยู่บนใบหน้า
ที่ดูใจดีมีเมตตานั่นเลยสักนิดเดียว…

“ไอ้หมอนั่นมันมีดีอะไรนักหนา…ผู้หญิงอย่างระรินและเธอถึงได้รักมันนัก…
หรือว่าผู้หญิงเขาชอบผู้ชายห่ามๆและป่าเถื่อน ชอบใช้กำลัง”

ซาเนียตาค้าง ปากเหวอด้วยความประหลาดใจและตกใจกับสิ่งที่ได้รับฟังผู้ชายตรงหน้าเธอ
เป็นเช่นนี้นี่เอง…

“แต่มาคิดดูอีกที…การฆ่าเธอให้ตายมันอาจจะดูไม่สาแก่ใจฉันสักเท่าไหร่
เพราะฉันอยากเห็นไอ้เวนไตยมันกระอักเลือดก่อนสิ้นใจตาย
ตอนที่รู้ว่าเธอโดนรุมโทรม…เธอว่ามั้ยซาเนีย…”ฟังมาถึงตอนนี้
ซาเนียถึงกับขนลุกขนพองยิ่งกว่าครั้งไหนๆ…ความกลัวเริ่มมาเยือนอีกระลอก

“เธอคงไม่รู้หรอกว่า เกาะแห่งนี้มีพวกนักฆ่าซ่อนตัวอยู่ในถ้ำ
พวกนั้นมันอาจจะกำลังหิวกระหาย…รอคอยให้เธอไปหาถึงที่อยู่ก็ได้…

ถ้าไอ้เวนไตยมันรู้ว่าคนที่มันฝึกมาเป็นคนที่ทำลายคนที่มันทั้งรักและหวงราวกับไข่ในหิน
มันจะเป็นยังไง…เกาะแห่งนี้คงลุกเป็นไฟ…สมใจฉัน…ฮึๆๆ”
เสียงหัวเราะที่ฟังดูเหี้ยเกรียมนั้น ทำให้ซาเนียถึงกับกลืนน้ำลายลงคอพร้อมกับส่ายหน้า

“เสียแรงที่คนที่นี่เคารพรักคุณ…เสียแรงที่ฉันเองเคยคิดว่าคุณคือคุณหมอผู้ใจดีมีเมตตา
ที่แท้แล้วคุณมันก็แค่เศษคน ที่ไม่ได้มีค่าอะไร คุณมันทำเพื่อตัวเองทั้งนั้น…
คุณไม่ได้รักใครจริงเลย แม้แต่พี่ระรินที่คุณบอกว่ารัก…
จริงๆแล้วคุณก็แค่อยากได้ อยากครอบครอง อยากเป็นเจ้าของพี่ระรินเท่านั้นเอง…
พอเห็นพี่ระรินหลงรักนายพญาครุฑ…คุณก็รู้สึกเหมือนสูญเสียของไป
และรู้สึกอิจฉาคนที่ได้ครอบครองหัวใจพี่ระริน…”ซาเนียกล่าว
ด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันอีกฝ่ายไม่แพ้กัน…

“หยุดนะ…”

“ไม่หยุด…ฉันจะพูด…เพราะถ้าไม่พูดออกมา คนอย่างคุณก็คง
ไม่รู้ว่าความคิดของตัวเองนั้นไร้ค่าควรจะเป็นมนุษย์แค่ไหนน่ะสิ…
คุณมันขี้อิจฉา…พอไม่ได้ดีก็ผิดหวัง…เห็นใครดีก็ชิงชังอิจฉา…

นี่คงจะเก็บกดความรู้สึกรุ่มร้อนเอาไว้มานานจนมันลุกลามหัวใจจนก่อเป็นความแค้น…”

ซาเนียค่อยๆสูดลมหายใจเข้าปอดและกล่าวออกมาอีกครั้ง
เมื่อเห็นอีกฝ่ายยืนนิ่ง แววตาเรียบสนิท

“ฉันยอมรับว่าฉันเป็นต้นเหตุให้พ่ีระรินต้องตาย…แต่การตายของพี่ระริน
คงไม่ใช่ต้นเหตุให้คุณหันมาทำร้ายฉันเพื่อจะแก้แค้นนายเวนไตยหรอก…

คุณอย่าเอาการตายของพี่ระรินมาเป็นข้ออ้างเพื่อแก้แค้นคนที่ตัวเองชิงชังและอิจฉาเลย…
เพราะถ้าคุณรู้จักคำว่าเข้าใจ…ให้อภัย…และปล่อยวางเสียบ้าง…
แววตาที่ดูใจดีมีเมตตาที่คุณเคยเสแสร้งแกล้งทำมาอาจจะดูจริงใจกว่าทุกครั้งก็ได้…”
ซาเนียเบาอารมณ์ลงเมื่อเห็นแววตาไหววูบของอีกฝ่าย
ไม่แน่ใจเลยว่าคนตรงหน้ากำลังอยู่ในอารมณ์ไหน

“ดับไฟที่กำลังเผาใจคุณเถอะนะ แล้วฉันจะเป็นคนจากไปเอง…
คนที่นี่ยังต้องการคุณ…พวกเขายังต้องการหมอฝีมือดีอย่างคุณ…
ถึงคุณจะทำร้ายฉันสักแค่ไหน นายเวนไตยนั่นเขาก็คงไม่เจ็บปวด
มากไปกว่าการจากไปของพี่ระรินหรอก…เขาไม่ได้รักฉันอย่างที่คุณเข้าใจหรอก
เพราะฉันเองก็เคยแอบคิดอย่างที่คุณพูดมาเหมือนกัน…

แต่เมื่อฉันได้เห็นแววตาและก็สีหน้าท่าทางตอนที่เขานำร่างพี่ระรินไปฝัง
กับตอนที่แผ่นดินกลบร่างของพี่ระริน…

ฉันก็แน่แก่ใจแล้วว่าสิ่งที่ฉันคิดและรู้สึกมันผิดไป…เขาไม่ได้รักฉันอย่างที่รักพี่ระรินเลย…
ถ้าคุณเจ็บปวดจากการจากไปของพี่ระริน นายเวนไตยเขาก็คงเจ็บไม่น้อยไปกว่าคุณหรอก…

ฉันก็ไม่ต่างจากคลื่นที่ซัดหาดทรายแห่งนี้…ส่วนพวกคุณเหมือนผืนทรายของที่นี่…
ฉันแค่คลื่นที่ผ่านเข้ามา แล้วก็จะจางหายไป…ในที่สุด”

ท้ายประโยคนั้นคนพูดเองก็อดรู้สึกใจหายไม่ได้เมื่อต้องกล่าวมันออกไป…

“เลิกพร่ามสักทีเถอะ…ฉันยอมรับว่าเธอพูดได้ดี…แต่มันไม่มีประโยชน์
อะไรสำหรับฉันหรือเธอหรอก…ตอนนี้ฉันเหมือนคนไม่เหลืออะไรเลย
ความฝันของฉันดับลงด้วยมือของเธอ…เธอคิดเหรอว่าคำพูดของเธอ
จะดับความแค้นในใจของฉันได้…นี่มันไม่ใช่ละครน้ำเน่าที่พวกผู้หญิงชอบดูหรอก…

บนเกาะแห่งนี้มีอะไรอีกมากมายที่เธอยังไม่รู้
ไอ้เวนไตยมันไม่ใช่คนดีเด่อะไรนักหรอก…ที่จริงแล้วมันก็ไม่ต่างจากนักฆ่า…
จิตใจของมันก็เต็มไปด้วยความเคียดแค้นและต้องการเอาคืน
คนที่เคยพรากคนที่มันรักไปจากมันเหมือนกัน…คนที่มาอยู่บนเกาะชิงชัง
ล้วนแล้วแต่มีแผลกันมาทั้งนั้น…เธอเองก็คงไม่ต่างกันหรอก หรือว่าไม่จริง…”
ซาเนียสบตาคนพูดแล้วเบือนหนีก่อนจะขยับร่างคืบคลานทีละนิดจนไปถึงหลุมฝังศพของระริน…

“ไอ้เวนไตยมันคงเป็นฮีโร่สำหรับเธอ แต่เธอคงไม่รู้หรอกว่า
ในสายตาคนที่มันกำลังต่อกรอยู่ มันคืออะไร…”หนุ่มใหญ่หยุดนิดนึง
ก่อนจะกล่าวต่อด้วยแววตาที่จดจ่ออยู่กับท่าทางกระเสือกกระสน
เอาตัวรอดของฝ่ายตรงข้าม

“สำหรับฉัน…มันก็ไม่ต่างจากนักฆ่า…ทำไมฉันจะไม่รู้ว่าบนอาคารสูงนั่นมีอะไร
ทำไมฉันจะไม่รู้ว่าเจ้าของเกาะชิงชังตัวจริงเป็นใคร…

มันก็แค่คนเห็นแก่ตัว และหวงแหนของรักเอาไว้กับตัว ไม่ยอมแบ่งใครเหมือนกันนั่นแหล่ะ…
มันอยากให้ที่นี่ปลอดนักท่องเที่ยวเพื่อที่จะเป็นแดนสวรรค์อันแสนสุขสงบสำหรับมัน…

ทำไมเธอถึงมองไม่เห็นมันในมุมนี้บ้าง…มันก็พูดไปสิว่าที่มันทำอยู่นั้น
เพราะว่ามันมีอุดมการณ์เพื่ออนุรักษ์ที่นี่ให้คงเดิม
พูดให้ดูดีใครเขาก็พูดกันได้…แต่สิ่งที่มันทำ สิ่งที่มันสร้าง มันฝึกพวกนักฆ่าไว้ทำไม…
มันมีคลังแสง มีพวกอาวุธรุนแรงมากมายไว้เพื่ออะไร…ไม่ใช่เพื่อเข่นฆ่าผู้คนรึไง…

เธอไม่เห็นเหรอว่ามันทำร้ายทุกคนที่เฉียดรัศมีของเกาะนี้…
นี่หรือฮีโร่ของเธอที่คอยปกป้องผู้คนและผืนป่าแห่งนี้…
ว่าไปมันก็ฟังดูสวยหรูเหมือนกันนะ…ถ้าความจริงมันจะเป็นอย่างนั้น…”

หนุ่มใหญ่กล่าวด้วยวาจาเสียดสีและเย้ยหยัน…ซาเนียเองก็ถึงกับอ้าปากค้านไม่ออก
ในเมื่อสิ่งที่เขาพูดมามันพอจะมีเค้าความจริงอยู่เหมือนกัน
แต่เธอยังไม่รู้นี่ว่าไอ้เรื่องนักฆ่าและอาวุธนั่นน่ะมีอยู่จริงและมีมากมายอย่างที่คนตรงหน้าพูด…

“คุณพูดเหมือนเกลียดเขา…ทั้งๆที่เขาก็ดีกับคุณและเคารพนับถือคุณ…แถมยังเชื่อใจคุณด้วยซ้ำ…”
ซาเนียรับรู้ได้ว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เวนไตยเชื่อใจคนตรงหน้ามาก…

“ฮึ…เธอแน่ใจเหรอว่าสิ่งที่เธอเห็นมันไม่ใช่ภาพมายาที่ไอ้เวนไตยมันสร้างขึ้นมา
เพื่อตบตาใครต่อใคร ไอ้หมอนั่นไม่เคยรักหรือจริงใจกับใครจริงๆหรอก…

ที่มันทำก็แค่เรียกร้องความรักที่มันขาดหายไปก็เท่านั้น…”

ซาเนียส่ายหน้าไหวๆ เริ่มเห็นเงาบางอย่างที่แทรกอยู่กลางใจของคนตรงหน้าชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

“คุณมันมองโลกในแง่ลบ มองคนอื่นในแง่ลบ…แล้วคุณจะรู้ได้ยังไงว่าอะไรคือความจริง
อะไรคือภาพลวงตากันแน่ ในเมื่อหัวใจของคุณมันบอดจนมองเห็นแต่ด้านมืด ด้านลบแบบนี้…

เปล่าประโยชน์ที่ฉันจะพูดหรืออธิบายอะไรให้คุณฟัง เพราะอย่างไร คุณก็คงจะเชื่อ
ในสิ่งที่คุณคิดและที่ใจคุณมองเห็นเท่านั้น…

หัวใจของคุณมันไม่สดใสเหมือนกระจกที่มีแต่จุดดำ
ทำให้มองเห็นภาพสะท้อนกลับมาของอะไรๆไม่ชัดเจนพอ…

ฉันขอโทษที่คงต้องบอกว่า ถ้าคุณอยากพบความจริงคุณคงต้องขัดล้างหัวใจของคุณก่อน…
แล้วคุณจะเห็นภาพความจริงที่ชัดเจนกว่านี้…เ

พราะฉันคงไม่อาจเชื่อคำพูดของคนที่พูดแต่ในด้านลบแบบนี้แน่…
มันไม่ยุติธรรมสำหรับบุคคลที่สามที่เราพูดถึงสักนิด…”

ซาเนียเป็นคนพูดตรงไปตรงมา เธอจึงกล่าวออกไปตามตรง
แม้ลึกๆแล้วจะกลัวคนตรงหน้าอยู่ไม่น้อยก็ตาม…

“เธอยังคงต้องเรียนรู้โลกนี้อีกเยอะซาเนีย…โลกนี้มันไม่ได้สวยงามนักหรอก…
และฉันนี่แหล่ะจะสอนให้เธอรู้ว่า…โลกนี้มันโหดร้ายกับพวกเราแค่ไหน…”
พูดจบร่างใหญ่ก็ย่างสามขุมเข้ามาหาซาเนีย

หญิงสาวที่กำลังกำก้อนหินก้อนใหญ่อยู่ก็ยกหินนั้นขึ้นฟาดเข้าศีรษะของคนรุกราน…
หนุ่มใหญ่หลบทัน ทว่าเฉียดเข้าที่หางคิ้วจนแตก เลือดไหลลงมา…

ซาเนียจึงฉวยโอกาสนั้นลุกหนี…วิ่งเข้าป่าไป…ร่างใหญ่วิ่งไล่ล่าเธอมาติดๆ...
ก่อนจะคว้าตัวหญิงสาวได้เมื่อเธอเสียหลักวิ่งสะดุดชายกะโปรงของตัวเองเข้า…

“มานี่…”ร่างใหญ่คว้าหมับเข้าที่แขนของซาเนียแล้วถูลู่ถูกังหญิงสาวไปทางถ้ำใหญ่…
ซึ่งซาเนียยังไม่เคยมีโอกาสได้ไปที่นั่นเลยสักครั้ง

ทว่าระหว่างทาง มีงูใหญ่ตัวหนึ่งพาดกายขวางทางไว้

“ออกไปนะเจ้าลูกแก้ว…”เสียงห้าวตวาดงูยักษ์ตัวนั้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
และเหมือนจะมักคุ้นกับมันดี

เมื่อซาเนียมองงูตรงหน้าดีๆ จึงรู้ว่าเจ้าลูกแก้วที่ว่าคืองูที่พี่ระรินของเธอเลี้ยงนั่นเอง…

หญิงสาวขนลุกปนดีใจที่เห็นมัน…หากก็ไม่แน่ใจว่ามันจะเลือกอยู่ข้างไหนกันแน่…

และเพียงไม่นานเธอก็รู้ว่ามันเลือกที่จะอยู่ข้างเธอ เมื่อมันไม่ยอมถอยออกไปง่ายๆ
แถมยังคงขวางทางไม่ยอมให้หนุ่มใหญ่พาร่างของเธอไปยังที่หมายได้โดยง่าย…

“แกอยากตายตามเจ้าของแกไปรึไงเจ้าลูกแก้ว…”
นั่นคือคำขู่ของคนที่กำลังอยู่ในอารมณ์โกรธขึง…ก่อนจะหยิบก้อนหินก้อนใหญ่ขึ้นมา
หมายจะขว้างไปยังงูยักษ์…ทว่าซาเนียใช้มืออีกข้างที่เป็นอิสระอยู่
ผลักร่างใหญ่ให้เซล้มจนทำให้ก้อนหินตกลงเฉียดร่างงูยักษ์ไปอย่างหวุดหวิด…

“อย่าทำอะไรมันเลย…”ซาเนียห้ามปรามร่างใหญ่ด้วยแววตา
และน้ำเสียงอ้อนวอน…

“ช่วยด้วยค่ะ…ช่วยด้วย…”คราวนี้หญิงสาวเปลี่ยนเป็นตะโกนเรียก
ให้คนมาช่วยเมื่อโดนเขาฉุดกระชาดลากไปตามทางที่รกขึ้นเรื่อยๆ

เจ้างูยักษ์ก็เลื้อยมาขวางทางขัดแข้งขัดขาหนุ่มใหญ่ตลอดทาง

“หุบปากนะ…ไม่อย่างนั้นเธอจะไม่ได้อ้าปากพูดอีกชั่วชีวิต…”
ร่างใหญ่ขู่เสียงคำราม…สีหน้าออกอาการรำคาญเจ้างูยักษ์ตัวนั้นเหลือใจ

“แกจะเอายังไงกับฉันไอ้ลูกแก้ว…แกอยากตายมากนักใช่มั้ย…”

เสียงขู่นั้นดังขึ้นพร้อมกับชักปืนสั้นที่ซ่อนอยู่ภายใต้ขากางเกงออกมา…

ซาเนียตกใจเมื่อเห็นวัตถุสีเงินตรงหน้า ไม่คาดคิดว่าคนอย่างคุณหมอ
จะพกมันติดตัวด้วย…

“อย่านะ…ฉันขอร้อง…อย่าทำอะไรลูกแก้วนะ…”ซาเนียห้ามเสียงหลง
เมื่อเห็นเขาจ่อปืนไปทางเจ้างูยักษ์ด้วยแววตาจริงจัง

“ไปซะลูกแก้ว ไปสิ…ไป…”ซาเนียไล่เจ้างูยักษ์ให้หนีไป แต่มันยังคงดื้อดึง
ไม่ยอมขยับกายลายลูกแก้วสีเหลืองทองสลับดำของมันไปไหน…

“ได้โปรด…ไปซะ…”ซาเนียทรุดเข่าลงอ้อนวอนงูยักษ์ด้วยแววตาสงสาร

เธอไม่อยากให้มันต้องมาตายเพราะช่วยเธอ…
เธอไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้มันเข้ามาขวางทางเพื่อช่วยเหลือเธอ…
แต่เห็นท่าทางของมันแล้วอดรู้สึกรักและสงสารมันขึ้นมาไม่ได้จริงๆ

…ลำพังงูหรือจะสู้ลูกตะกั่วนั่นได้…

“อย่ายิงมันเลยนะ…ฉันขอร้อง…อย่างน้อยก็เห็นแก่พี่ระรินเถอะนะคะ…”
มือที่ถือปืนอยู่ถึงกับอ่อนยวบลง…

“ขอให้ฉันได้พูดกับมัน…แล้วฉันจะยอมตามที่คุณต้องการโดยดี…
ขอแค่คุณอย่าทำอะไรมันเลย…”พูดจบ ซาเนียก็เดินเข้าไปหางูยักษ์
ด้วยความรู้สึกกล้าๆกลัวๆ เพราะปกติเธอกลัวและขยะแขยงเจ้าสัตว์หน้าเกล็ดสีเลื่อมแบบนี้เป็นที่สุด…

หญิงสาวทรุดเข่าลงข้างๆร่างใหญ่ยาวของมันแล้วกระซิบกับมันเบาๆ
พอไม่ให้หนุ่มใหญ่ได้ยินว่า

“ถ้าแกฟังภาษาฉันได้…ฉันขอร้อง…หนีไปซะ…ไปตามเวนไตยมาช่วยฉัน
คุณหมอเขาจะพาฉันไปที่ถ้ำอะไรของเขาก็ไม่รู้…อย่ามาเดือดร้อน
เพราะช่วยคนอย่างฉันเลย…”ซาเนียปาดน้ำตาเมื่อเห็นงูยักษ์นั้นยกหัว
หันมาทางเธอแล้วเลื้อยจากไป…หญิงสาวหันมาทางคนท่ีถือปืนอยู่ในมือ


“ดีนี่…รู้จักกับมันไม่เท่าไหร่ ก็พูดกับมันได้แล้ว…”หนุ่มใหญ่กล่าว
พร้อมกับกระชากร่างของซาเนียให้เดินตามไปจนถึงปากถ้ำ…

“จะค่ำแล้ว…อีกไม่นาน ไอ้พวกนั้นก็จะลงมานอนพักในถ้ำ…
มันชอบทำตัวเหมือนค้างคาว…และคงเป็นค้างคาวกระหายเลือดซะด้วย…

ไม่สิ พวกค้างคาวมันนอนหลับกลางวันนี่นา…แต่ฉันก็หวังว่า
เธอคงเป็นอาหารอันโอชะของมันนะ…”พูดจบ หนุ่มใหญ่ก็ผลักร่างบางเข้าไปในถ้ำ
เห็นแสงสปอร์ตไลท์ติดอยู่ตามผนังข้างในถ้ำไม่ได้เหมือนถ้ำทั่วๆไป
ทว่ามันสวยงามด้วยหินงอกหินย้อยที่ระยิบระยับยามต้องแสงของสปอร์ตไลท์ที่ไม่ได้สว่างมากนัก

และที่สำคัญ ที่นี่ยังมีเตียงนอนมีที่นั่งตามจุดต่างๆที่จัดวางให้ดูเข้ากันกับสถานที่อย่างลงตัว…

หญิงสาวมองสภาพภายในถ้ำด้วยความเพลิดเพลินจนลืมคนที่มาด้วยไปเสียสนิท
ลืมไปแม้กระทั่งความไม่ปลอดภัยของตัวเอง…จนเมื่อเสียงนั้นพูดขึ้น

“มันสวยมากใช่มั้ยล่ะ…เธอคงไม่รู้ว่าที่นี่คือสวรรค์ของพวกนักฆ่า
สวยยิ่งกว่าบ้านหลังงามของมหาเศรษฐีบนแผ่นดินใหญ่ด้วยซ้ำ…

มันเหมือนกับได้พักอยู่ท่ามกลางขุมเพชรที่ระยิบระยับ…
เธอคงเห็นแล้วใช่มั้ยว่าที่นี่สวยแค่ไหน มันสวยจนคนบางคน
ไม่อยากให้คนอื่นได้มาเห็นหรือสัมผัส…
ไอ้เวนไตยมันขี้งกและอยากครอบครองที่นี่แต่เพียงผู้เดียว…”

เสียงนั้นดูถูกและเหยียดหยามบุคคลที่ถูกกล่าวถึงอย่างเห็นได้ชัด
จนซาเนียถึงกับลอบถอนใจ

…นายพญาครุฑนั่นไปทำอะไรเอาไว้มากมายกับคนตรงหน้าเธอกันนะ
ทำไมเขาถึงได้ดูจงเกลียดจงชังนายถึงขนาดนี้…

“ระหว่างที่รอพวกนั้นกลับมา…ฉันว่าเธอควรจะเดินดูวิมานของเธอให้เต็มตาก่อนเป็นไง…
เพราะที่นี่แหล่ะที่ฉันจะฝังร่างเธอเอาไว้…หลังเสร็จงาน”ซาเนียยกไหล่นิดนึง

“คุณคิดเหรอว่าถ้าคุณส่งฉันให้พวกนักฆ่าแล้ว พวกนั้นจะไม่แว้งกัดคุณ
ในเมื่อพวกเขาเป็นคนของเวนไตย…”ซาเนียสวนกลับ

“ฮึ…ฉันมอบของดีๆให้กับมันแล้ว…มันจะแว้งกัดฉันเพื่ออะไร…
เมื่อได้เธอเสร็จ มันก็ฆ่าเธอทิ้งและฝังเอาไว้ที่นี่ แค่นี้ไอ้เวนไตย
มันก็ไม่รู้แล้วล่ะว่าเธอหายไปไหน…ตอนนั้นมันคงหาเธอหัวหมุน
ฉันล่ะอยากเห็นนักตอนที่มันมาพบศพเธอที่นี่…อยากเห็นนักว่ามัน
จะทำยังไงกับพวกนักฆ่าของมัน…

ในเมื่อฉันไม่มีความสุขก็อย่าได้หวังว่าคนอื่นจะมีความสุข
ให้ไฟมันลุกฮือไปทั้งเกาะนี่แหล่ะ ฮึๆๆ…”

เสียงหัวเราะในลำคอของคนตรงหน้าทำให้ซาเนียถึงกับส่ายหน้าด้วยความระอา

…อายุของเขาไม่ใช่น้อยแล้ว แต่ทำไมเขาถึงยังคิดไม่ได้
ว่าการไม่ยอมรับและไม่ยอมปลง แล้วปล่อยให้ไฟเผาไหม้หัวใจตัวเองแบบนี้
มันมีแต่พาตัวเองไปสู่ขุมนรกก็เท่านั้น…



แปลกที่เธอเชื่ออยู่ลึกๆว่า นักฆ่าที่เขาพูดถึงว่าจะกลับมาที่ถ้ำนี้
ตอนตะวันตกดินแล้วนั้นจะไม่ทำอันตรายกับเธอ…ไม่รู้สิ เธอรู้สึกแบบนั้นจริงๆ…

แต่เมื่อมีเสียงบางอย่างดังมาจากหน้าถ้ำ ร่างบางก็สะดุ้งโหยง หัวใจหล่นไปกองอยู่ที่ตาตุ่ม

…เพียงไม่นาน เธอก็ได้เห็นร่างของชายฉกรรจ์นับสิบเดินเข้ามาภายในถ้ำ
สายตาทุกคู่มองมาที่เธอเป็นตาเดียวกัน…หญิงสาวพยายามหลบสายตาพวกนั้น
ที่จ้องมองมาโดยการก้มหน้ามองเท้าของตัวเอง
แล้วพยายามนับนิ้วทั้งสิบของตัวเองในใจไม่ให้จิตใจฟุ้งซ่านไปกว่านี้…

“คุณหมอมาที่นี่ทำไม…แล้วผู้หญิงคนนี้เป็นใคร…”เสียงหนึ่ง
จากคนเหล่านั้นถามขึ้นด้วยน้ำเสียงปกติ

“เครื่องบรรณาการไงล่ะ…ฉันรู้ว่าพวกนายคงต้องการความสุขสำราญตามประสาผู้ชาย…”
สิ้นสุดถ้อยคำนั้น…เสียงที่ห้าวกว่าใครก็ดังขึ้นแหวกร่างของชายฉกรรจ์นับสิบคนออกมา…

“ผมไม่คิดเลยว่าคุณหมอจะทำแบบนี้…มันทั้งต่ำและไร้การศึกษาที่สุด
เสียแรงที่ผมเคารพและนับถือมาตลอด…”

ซาเนียยิ้มกว้างเมื่อเห็นเจ้าของน้ำเสียงที่แสนคุ้นเคยนั้น

…อย่างไรเสีย สำหรับเธอแล้ว นายพญาครุฑก็ยังคงเป็นฮีโร่ในใจเธอเสมอ…
เขาคงจะมีปีกสีขาวๆเอาไว้บินมาแน่ๆ ไม่อย่างนั้นจะเข้ามาช่วยเธอทันท่วงที
ได้ทุกครั้งทุกคราวได้อย่างไร…

“นี่…นี่แกมาได้ยังไง…”หนุ่มใหญ่ถึงกับตกใจที่เห็นเวนไตยยืนผงาด
อยู่ด้านหน้าสุดของเหล่าชายฉกรรจ์…เขาจึงรีบคว้าร่างของซาเนียเข้ามาแล้วจ่อปืนไปที่หญิงสาว…

“ถ้าแกเข้ามาอีกนิดล่ะก็…ฉันระเบิดหัวของยัยนี่แน่…”
แววตาของเวนไตยวูบไหวนิดนึงเมื่อสบตาของซาเนีย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเรียบสนิท
ราวกับไม่ใส่ใจกับเรื่องราวตรงหน้า…

“หมอคิดว่าทำอย่างนี้แล้วหมอจะได้อะไร…ระรินตายไปแล้ว…
และผมก็รู้มาตลอดว่าหมอรู้สึกยังไงกับระริน…อย่าทำให้อะไรๆมันดูแย่ไปกว่านี้เลยหมอ…
เราอยู่ด้วยกันมานาน…นานจนผมไม่คิดว่าจะไล่หมอไปจากที่นี่
หรือไม่เคยแม้แต่จะคิดทำร้ายหมอเลย เพราะหมอมีบุญคุณกับผมและกับคนที่นี่มาก…
ปล่อยเธอไปเถอะหมอ…ถ้าหมอไม่พอใจอะไรก็มาลงที่ผม…ซาเนียไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้…
เธอแค่คนผ่านมา แล้วก็จะผ่านไป…ลูกสาวคุณป๋าฝากเธอให้ผมช่วยดูแล
เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง เธอก็จะไปจากที่นี่ ไม่อยู่ให้หมอระคายเคืองใจอย่างแน่นอน ผมขอยืนยัน…”

“ฮึ…ดูมันพูดกับเธอสิ…เป็นอย่างที่ฉันบอกเธอไว้รึเปล่าล่ะว่า
คนอย่างไอ้หมอนี่ไม่มีวันรักใครจริงหรอก มันสร้างภาพว่ารักคนอื่นไปอย่างนั้นเอง…
สำหรับคนอื่นอาจจะหลงคารมของมัน แต่สำหรับฉัน…บอกตามตรงว่าฉันรู้ทัน…”
หนุ่มใหญ่กระซิบเย้ยซาเนีย…หญิงสาวไม่พูดอะไร
นอกจากจ้องตาของเวนไตยนิ่งราวกับจะอ่านใจเขาให้ได้…

ทว่ากลับหาไม่เจอตัวอักษรที่สื่อออกมาทางสายตาได้สักพยางค์…

“อย่าเข้ามา…ฉันบอกว่าอย่า…”หนุ่มใหญ่จ่อปืนไปที่ศีรษะของซาเนีย
โดยที่แววตามองไปรอบๆด้วยความหวาดระแวง เพราะรู้ว่าพวกนักฆ่าพวกนี้ว่องไวนัก
เขาอาจเสียหลักได้โดยง่ายถ้าไม่ระวังให้ดี…

“พอเถอะหมอ…อย่าทำแบบนี้เลย…”เวนไตยห้ามปราม แต่ก็ไร้ผล

“นึกหวงขึ้นมารึไง…แกมันจับปลาสองมือ…ตอนระรินแกก็แย่งเธอไป
พอมียัยนี่ แกก็ไม่ยอมปล่อยมือระริน คิดจะเก็บเอาไว้กอดทั้งสองคนรึไง

วันนี้แหล่ะที่ฉันจะเอาคืนแกบ้าง…หลังจากที่ปล่อยให้แกได้ใจมานาน…
อยากรู้เหมือนกันว่าถ้ายัยนี่ตาย แกจะเป็นยังไง จะเจ็บปวดแค่ไหน…

เพราะแกจะได้รู้ว่าเวลาที่แกฉกของรักของคนอ่ืนไปต่อหน้าต่อตาเค้าน่ะ
คนอื่นเขาเจ็บปวดแค่ไหน…”เสียงนั้นราวกับคนเสียสติ…

ทว่าซาเนียกลับเผลอหันไปเห็นเงาดำๆของอะไรบางอย่างซึ่งมันกำลัง
คืบคลานเข้ามาทีละนิด ปราศจากเสียง
จนใกล้เข้ามาประชิดร่างของหนุ่มใหญ่ที่กำลังจ่อปืนที่หัวของเธอทางด้านหลัง

ชั่วเสี้ยววินาทีเจ้างูยักษ์ก็ฉกเข้าใส่ที่ต้นขาของหนุ่มใหญ่จนเขาเสียหลัก
ซาเนียฉวยโอกาสนั้นดีดตัวออกมา

และขณะนั้นเองที่เจ้าลูกแก้วเข้ารวบร่างใหญ่เอาไว้แน่นพันเอาไว้ทั้งตัว…

“ปล่อยฉันนะไอ้ลูกแก้ว…”หนุ่มใหญ่ร้องเสียงหลงเมื่อร่างของตนถูกเจ้างูยักษ์ยึดครองเอาไว้แน่น…
ยังความอึดอัดจนหายใจแทบไม่ออก

“ถ้าแกไม่ปล่อย ฉันจะยิงหัวแกให้ทะลุ…”คำขู่นั้นไม่ได้ผล เพราะเจ้างูยักษ์
ยังคงรัดร่างของหนุ่มใหญ่ให้แน่นยิ่งกว่าเก่า จนหนุ่มใหญ่หายใจไม่ออก

สำนึกสุดท้ายทำให้เขายกปืนที่กำอยู่ในมือที่กำลังจะสิ้นไร้เรี่ยวแรง
จ่อไปที่หัวของเจ้างูยักษ์…ซาเนียกับเวนไตยตะโกนออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่า

“อย่านะ!”

“ปัง…ปัง!”เสียงปืนดังขึ้นพร้อมๆกับเสียงร้องห้าม…
ร่างของเจ้าลูกแก้วร่วงลงสู่พื้นทันที…กายของหนุ่มใหญ่ก็ร่วงลงเช่นกัน…

เวนไตยกับซาเนียและคนอื่นๆรีบเข้าไปดูทั้งสองทันที…

งูใหญ่นั้นหัวเละด้วยลูกตะกั่วจนสิ้นใจไปแล้ว…
ส่วนหนุ่มใหญ่นั้นสภาพไม่ต่างกัน เลือดไหลออกทางปาก หู และจมูก
กระดูกกระเดี้ยวแหลก...ตาเบิกค้าง…เป็นภาพที่สยดสยองที่สุดในชีวิตของซาเนีย
และก็เป็นภาพที่ทำให้เธออดรู้สึกแย่ได้ไม่น้อยกว่าตอนที่ระรินเสียชีวิต

…หญิงสาวร้องไห้กอดเจ้าลูกแก้วเอาไว้ ไม่มีแม้ความหวาดกลัวหรือขยะแขยงมันสักนิดเดียว…
ความรู้สึกที่มีคือความสงสารจับใจ…ที่งูใหญ่อย่างเจ้าลูกแก้วต้องมาจบชีวิต
เพราะต้องการช่วยเหลือเธอ

…มันช่วยเธอทั้งๆที่เราเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานมานี้เอง
แถมตอนนั้นเธอเกือบจะทำร้ายมันไปแล้วด้วยซ้ำ…

คุณหมอเองก็ต้องมาตายอย่างน่าอนาถ…ทั้งที่คุณหมอก็รู้จักเจ้าลูกแก้วมาตั้งแต่ไหนแต่ไรมา…
เพราะเธอแท้ๆที่ทำให้อะไรๆที่นี่วุ่นวายไปหมด


ร่างของคุณหมอถูกหามมาทำพิธีที่บ้านพักของหมอ…

ชาวเกาะชิงชังต่างตกอกตกใจที่เกิดเหตุร้ายขึ้นกับคุณหมอที่พวกเขาเคารพรัก
เสียงร้องไห้ด้วยความเสียใจและเสียดายหมอมือดีดังไปทั่วทั้งบ้านพัก
แม้ทุกคนจะพยายามถามถึงสาเหตุการตาย แต่เวนไตยกลับเลือกที่จะเงียบ…



เสร็จจากฝังร่างของคุณหมอที่สุสานของชาวเกาะแล้ว
เวนไตยก็กลับไปยังถ้ำในตอนดึกของวันนั้นเพื่อนำร่างของเจ้าลูกแก้วไปฝัง

ซาเนียขอติดตามไปด้วยเขาก็ไม่ขัด เหล่าชายฉกรรจ์ที่ซ่อนตัวอยู่ในถ้ำ
ช่วยกันแบกร่างเจ้างูยักษ์นั่นมายังน้ำตกรุ้งกินน้ำ

ร่างของเจ้าลูกแก้วถูกฝังลงข้างๆหลุมฝังศพของระริน…
ซาเนียวางก้อนหินไปรอบๆหลุมของมันพร้อมน้ำตาที่ไหลลงไม่ขาดสาย…

“ฉันขอโทษนะลูกแก้ว ที่ทำให้แกและเจ้าของแกต้องเดือดร้อนขนาดนี้
ขอบใจนะที่ช่วยฉัน…ฉันจะไม่มีวันลืมแกเลยชั่วชีวิตนี้…แกคือ มายฮีโร่ตัวจริงของฉัน…
ถึงเราจะเจอกันแค่ไม่กี่ครั้ง แต่ฉันก็แน่ใจว่า ฉันรักแกนะ…
แกกับพี่ระรินทำให้ฉันรู้ว่า…ความรักมันอยู่เหนือกาลเวลาจริงๆ…”

ซาเนียปาดน้ำตาแล้วเงยหน้าขึ้นสบตากับเวนไตยที่มองมาที่เธออยู่ก่อนหน้าแล้ว…

“ฉันคงอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว…”ซาเนียพูดพลางส่ายหน้าไปมา หน้าตามอมแมม
เต็มไปด้วยคราบน้ำตาระลอกเก่าและระลอกใหม่ที่เพิ่งหยดลง

“ไม่ได้แล้วจริงๆ…”เวนไตยลอบถอนใจ หากไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา

เพราะตั้งแต่วันที่ต้องฝังร่างของระริน ตอนที่เอาดินกลบหน้าเธอ
เขาก็พูดกับตัวเองได้แค่ว่า…คงไม่มีวันได้เห็นใบหน้านี้แล้วก็ร่างนี้อีกแล้ว
และนั่นคือครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้เห็นหน้าของระริน
ร่างของเธอถูกเก็บไว้ในผืนดินที่อุดมสมบูรณ์…

แต่ความทรงจำดีๆที่เราเคยร่วมกันสร้างมาด้วยกัน
มันจะถูกเก็บเอาไว้ในหัวใจของเขาตลอดไป

ยิ่งพอกลับมานอนที่เรือนใหญ่แล้วไม่เห็นร่างของระรินเดินขึ้นลงบนเรือน
ไม่เห็นเธอเข้าครัวทำกับข้าวให้เขากับซาเนียกิน…
ความรู้สึกเหงาก็วิ่งเข้าจับหัวใจของเขาเอาไว้แน่น

ซาเนียคือคนที่ทำให้หัวใจของเขาผ่อนคลายลงได้…

หากเพียงไม่นานเขาก็ต้องฝังร่างของหมอที่เขาเคารพรักและนับถือมาตลอดอีกคน
แถมยังต้องมาฝังร่างของเจ้าลูกแก้วที่ระรินเลี้ยงดูให้อาหารมันมาตั้งแต่มันยังตัวเล็กนิดเดียว

เจ้าลูกแก้วมันไม่มีแม่ของมัน เพราะว่าแม่ของมันถูกฆ่าตาย
เขากับระรินเจอมันที่รีสอร์ทรอรัก ก็เลยนำมันมาปล่อยไว้ที่เกาะนี้

มันเชื่องและเชื่อฟัง ฟังภาษาคนรู้เรื่อง

…ที่สำคัญ มันเป็นงูที่แสนรู้และเป็นผู้ช่วยที่ดี…

มันเลื้อยขึ้นมาหาเขาถึงบนอาคารสูง พันแข้งพันขาเขา
เหมือนจะบอกอะไรบางอย่างกับเขา สักพักมันก็เลื้อยพาเขามาที่ถ้ำ…
ซึ่งเป็นเวลาที่เหล่าลูกศิษย์ของเขากลับที่พักพอดี…

เขาไม่รู้หรอกว่าอะไรทำให้คุณหมอที่แสนใจดีมีเมตตาคิดทำอะไรแบบนั้นกับซาเนีย…
คงจะมีแค่ซาเนียเท่านั้นที่จะให้คำตอบได้…


แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ยอมพูดอะไรนอกจากขอไปจากเกาะแห่งนี้…
จะให้เขาห้ามเธอด้วยเหตุผลใด ในเมื่อเธอกำลังบอกเขาว่า

“ทุกคนที่นี่คงเกลียดฉันและมองฉันเหมือนตอนที่ฉันทำให้พี่ระรินตาย
นายจะให้ฉันพูดกับคนที่นี่ได้ยังไงว่าเกิดอะไรขึ้น

พวกเขาคงไม่เชื่อฉันที่เพิ่งมาอยู่ที่นี่ได้ไม่กี่เดือนหรอก…
นายเองก็อาจจะไม่เชื่อด้วยซ้ำไป…ว่าหมอเขาพูดอะไรกับฉันไว้บ้าง…

ฉันไม่อยากพูดถึงคนตายในทางที่ไม่ดี…อย่างไรซะ คุณหมอเขาก็ตายไปแล้ว
คนที่นี่รักและเคารพเขามาตลอด ฉันเองก็อยากให้มันเป็นอย่างนั้นต่อไป

เพราะฉันคงจะทำร้ายความรู้สึกดีๆที่คนที่นี่มีต่อหมอไม่ไหวหรอก…

การไปจากที่นี่คงง่ายกว่าเยอะ กับการที่ฉันต้องพูดอะไรออกไปแล้วไม่มีใครเชื่อฉัน…
พวกเขาอาจเกลียดฉันยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำไป…

ในเมื่อคนตายไม่อาจลุกขึ้นมายืนยันคำพูดของฉันได้อีกแล้ว…
ฉันมันตัวซวยอย่างที่หมอเขาว่าจริงๆนั่นแหล่ะ…
เพียงไม่กี่วันฉันก็ทำให้คนที่นี่ต้องตาย เจ้าลูกแก้วก็เหมือนกัน…”

น้ำตาของเธอ เขาอยากจะซับให้เหลือเกิน แต่ก็ไม่อาจเอื้อมถึง
มือของเขามันหนักจนไม่อาจยกไหว…เมื่อวันนี้เธอบอกว่าต้องการจากไป
เขาอยากจะรั้งเธอไว้ แต่เธอจะยอมรับฟังเหตุผลของเขา
และพร้อมจะอยู่ที่นี่ท่ามกลางมรสุมลูกใหม่ที่ซัดทับลูกเก่าจนกลายเป็นคลื่นยักษ์หรือเปล่า…

“นายคงไม่รู้หรอกว่าฉันเจ็บปวดแค่ไหนที่ต้องมองดูคนที่รักฉัน
และฉันก็รักจากฉันไป เพียงเพราะเขารักฉันและอยากช่วยฉัน…”

“แล้วเธอจะไปอยู่ที่ไหน…”น้ำเสียงนั้นแหบแห้ง ซาเนียเองได้แต่ส่ายหน้า

“ไม่รู้สิ…นอกจากเกาะชิงชังกับบ้านแล้ว…ฉันก็นึกที่ไหนไม่ออกนอกจากเกาะรัง…”
เวนไตยพยักหน้ายอมรับทั้งๆที่ไม่ได้ต้องการให้มันเป็นอย่างนี้เลยสักนิด…

“ไม่ไปไม่ได้เหรอ…”น้ำเสียงนั้นเบาหวิวยิ่งนัก หากซาเนียกลับได้ยินมันชัดเจน…
หญิงสาวน้ำตาคลอ…

“ฉันมันก็ไม่ต่างจากเกลียวคลื่น…ที่เผอิญซัดมาที่นี่…
ไม่นานคลื่นลูกใหม่กับเรื่องราวใหม่ๆ คงทำให้คนที่นี่ลืมการมาของฉันในที่สุด

นายไม่ต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อไปส่งฉันที่เกาะรังหรอก
เพราะพี่รังบอกฉันเองว่าจะมารับฉันกลับเมื่อ…”ซาเนียหยุดเพื่อสูดลมหายใจเข้าปอด
ก่อนจะพูดเสียงเบาหวิวว่า

“เมื่อฉันพบว่าไม่สามารถอยู่ที่นี่ต่อไปได้อีก…”

สองมือของชายหนุ่มอ่อนล้าเกินกว่าจะต้านทานหรือดึงรั้งหญิงสาวได้…
ด้วยเหตุและผลมากมายที่เธอบอก เขาเข้าใจและไม่อยากทำให้เธอ
ลำบากใจที่ต้องอดทนอยู่ที่นี่ท่ามกลางมรสุมและความเกลียดชัง…

แม้จะรู้ว่าตัวเองนั้นต้องเผชิญกับความอ้างว้างและเหน็บหนาวขนาดไหนหลังจากนี้ก็ตาม

…แม้อยากจะให้เธอเห็นใจเขา แต่เขาก็อดเห็นใจเธอไม่ได้
ไม่อยากจะคิดเลยว่าชีวิตที่ขาดเธอ ขาดเพื่อนอย่างระริน ขาดเจ้าลูกแก้วมันจะเป็นยังไง

…บ้านหลังนี้คงเงียบเหงาวังเวง…และเหน็บหนาว
ยิ่งกว่าการต้องอยู่ท่ามกลางพายุหิมะเป็นแน่…แค่คิดเขาก็หนาวจนจับขั้วหัวใจแล้ว…

เพราะถ้าซาเนียเลือกที่จะไปอยู่ที่เกาะรัง
ก็ไม่มีเหตุผลใดที่เขาจะต้องติดตามเพื่อไปดูแลความปลอดภัยของเธออีกแล้ว
เพราะที่นั่นมีนายหัวรังที่จะคอยดูแลเธอได้ดีไม่แพ้ใคร…

ที่สำคัญ…ที่นั่นปลอดภัยกับเธอยิ่งกว่าที่เกาะชิงชังด้วยซ้ำไป…

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เขาพยายามหาเหตุผลให้คนอื่นเข้าใจว่า
เขาอยากดูแลซาเนียตามคำขอของลุงกุมพลก่อนท่านจะเสีย…
และอาสาขอดูแลเธอเอง…โดยการพาเธอมาอยู่ที่เกาะชิงชัง…
ซึ่งพวกที่ตามล่าเธอไม่อาจบุกเข้ามาที่นี่ได้นั้น…

ทำให้เขามีโอกาสได้ดูแลเธออย่างใกล้ชิด จากที่เคยเห็นใจก็เปลี่ยนเป็นเอ็นดู
จากเอ็นดูก็เปลี่ยนเป็นรักใคร่ตั้งแต่เมื่อไหร่เขาก็ตอบไม่ได้…

ยิ่งวันนี้เธอบอกว่าไม่สามารถอยู่ที่นี่ต่อไปได้อีกแล้ว…
เขาคงไม่มีสิทธิ์ไปห้ามหรือต้านทาน…เพราะเหตุผลที่เขาอยากให้เธออยู่
มันมีเพียงข้อเดียวก็คือ 'รักเธอ'

…เขาไม่รู้ว่าเธอจะรักเขาไหม
แต่ถ้าเธอรักเขา เธอก็คงไม่เลือกที่จะไปจากเขาแบบนี้…
คงไม่เลือกที่จะทิ้งเขาให้เดียวดาย…

“กลับเถอะ…น้ำค้างลงแรงแล้ว…”พูดพลางก็ถอดเสื้อคลุมห่มร่างบางเอาไว้

ซาเนียพยักหน้าก่อนจะเดินก้มหน้าเคียงบ่าเขาไปโดยไม่เอ่ยคำพูดใดๆออกมา
จนกระทั่งถึงหน้าห้อง…หญิงสาวปลดเสื้อคืนให้เจ้าของแล้วกล่าวกับเขาว่า…

“ถ้าฉันไปจากที่นี่แล้ว…นายจะคิดถึงฉันไหม…”เวนไตยแค่นยิ้ม

“ถามทำไม…ในเมื่อจะไปให้ได้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ…”

น้ำเสียงนั้นเหมือนจะตัดพ้อจนหญิงสาวแปลกใจ

เขาจะโกรธเธอทำไมในเมื่อเธอจะอยู่หรือจะไปมันก็ไม่ได้มีผลอะไรกับคนที่นี่อยู่แล้ว…

เขาพูดกับหมอเองว่าเธอแค่คนผ่านมา แล้วก็จะผ่านไปในที่สุด
เขาพูดเหมือนกับไม่ได้อยากให้เธออยู่ที่นี่ตลอดไป เหมือนกับไม่ได้ต้องการให้เธออยู่กับเขา
แววตาของเขากับการกระทำของเขามันดูห่วงใยเธอ
เธอมองเห็นมันด้วยหัวใจของเธอ แต่ถ้อยคำของเขาที่กระทบหูของเธอเล่า
ทำไมมันถึงได้กรีดใจเธอเช่นนี้

เขาพูดกับหมอเหมือนพร้อมจะให้เธอไปจากที่นี่เพียงเพื่อให้หมอสบายใจที่จะอยู่ที่นี่ต่อ

…เขาเลือกหมอ เขาไม่ได้เลือกเธอ…แล้วจะให้เธออยู่ต่อ
โดยที่เจ้าของเกาะเขาออกตัวเป็นนัยๆว่าพร้อมจะไล่เธอไปจากที่นี่ได้อย่างไร

…ต่อให้ไร้ที่ไป เธอก็ยินดีที่จะไปตายเอาดาบหน้า…

“ใช่สินะ…นายจะคิดถึงฉันทำไม…คงมีแต่ฉัน…ที่คงจะคิดถึงนาย
คิดถึงคนที่นี่ คิดถึงเกาะแห่งนี้…น่าดูเลย”

หญิงสาวหลุดปากพูดออกมาด้วยความลืมตัว
เมื่อนึกได้จึงรับยกมือปิดปากตัวเอง…

“ฉันขอโทษ…”พูดจบซาเนียก็หันไปเปิดประตูห้อง กะจะหนีไปตั้งหลัก
เนื่องด้วยความเขินอาย ทว่ามือหนากลับคว้าเธอเข้าหา
แล้วแนบริมฝีปากลงไปยังริมฝีปากบางโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว…

ร่างบางแทบทรุดลงไปกองกับพื้นถ้าเวนไตยไม่รั้งเอาไว้
ครู่นึงเขาก็ผละริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง…
โดยที่ยังคงกางแขนกักขังหญิงสาวเอาไว้เช่นเดิม

…ซาเนียมองแววตาหวานซึ้งที่เธอไม่เคยได้รับจากเขาเลยด้วยลมหายใจหอบถี่
…หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ…แข้งขาสั่นไปหมด หัวจิตหัวใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
แล้วยิ่งเต้นแรงขึ้นเมื่อเขาพูดกับเธอด้วยความห่างจากใบหน้าของเธอแค่คืบ
ราวกับกระซิบว่า…

“ขอโทษที่ทำตามสัญญาไม่ไหว…”พูดจบเขาก็ก้มลงลิ้มลองริมฝีปาก
ที่ชวนให้เคลิบเคลิ้มนั้นอีกครั้ง ครั้งนี้เนิ่นนานกว่าครั้งแรก…

นานจนสองขาของหญิงสาวต้องเขย่งพร้อมกับเผลอวาดสองแขน
โอบรอบคอของชายหนุ่มด้วยความลืมตัว…

“นี่ไม่ใช่จูบลาหรอก…”เวนไตยกระซิบบอกซาเนียแล้วผละออกเดินกลับเข้าห้องของเขาไป

…ทิ้งให้หญิงสาวยืนนิ่งอยู่หน้าห้อง มือบางยกขึ้นแตะริมฝีปากเบาๆขณะจับลูกบิดประตูเข้าห้อง
ก่อนจะตกใจอ้าปากหวออุทานออกมาว่า

“ริสา!!!…”เด็กสาวเจ้าของชื่อ สมาชิกอีกคนของห้องที่ซาเนียลืมนึกถึงไป
ยิ้มแหยๆแล้วส่ายหน้าไหวๆ ยกมือส่ายไปมาขณะกล่าวว่า

“หนูเปล่านะคะ…ริสาไม่ได้ยินไม่ได้เห็นอะไรเลยค่ะ…ไม่เห็น…”

เด็กสาวกล่าวจบก็รีบมุดหัวเข้าไปในผ้าห่มทันที…ทิ้งซาเนียยืนไว้อาลัย
ในท่าเดิมอยู่อย่างนั้นอีกหลายนาที…







“คุณพ่อไม่อยู่หรอกค่ะพี่ไนท์…”
ดุจมณีกล่าวเมื่อเห็นร่างของขุนพลในชุดที่พ่อของเธอเคยเปรยๆว่าไร้สกุลรุนชาติ
ประจานตระกูล แต่ในสายตาของเธอแล้ว แม้มันจะไม่ได้ดูเรียบหรู
แต่มันก็ไม่ได้ดูปอนๆจนน่าเกลียดเสียหน่อย ออกจะดูสบายๆพร้อมที่จะลุยไปทุกที่ได้ทุกเมื่อ
ทั้งๆที่เมื่อก่อนเธอเคยชมชอบผู้ชายที่แต่งกายสุภาพ เรียบหรู
ดูดีไปทุกทีท่า หากเดี๋ยวนี้ รสนิยมดังกล่าวเปลี่ยนไปแล้ว
ตั้งแต่อกหักจากตะวัน หนุ่มใหญ่ซึ่งเป็นนักธุรกิจชื่อดังผู้เก่งกาจ
ในวงการอสังหาริมทรัพย์ แถมยังดูดี มีระดับ
และได้มีเวลาคลุกคลีทำความรู้จักกับตัวตนของลูกพี่ลูกน้องผู้นี้มากขึ้น

จากที่เมื่อก่อนไม่ค่อยชอบเพราะมักมองเขาแต่เพียงภายนอก
ประกอบกับการที่มารดาพูดกลอกหูให้ฟังเป็นประจำว่า
ลูกผู้พี่คนนี้แย่อย่างนั้นแย่อย่างนี้ เธอจึงไม่อยากคบค้าสมาคมด้วยสักเท่าไหร่…

“พี่ไม่ได้มาหาคุณอา แต่แวะเอาภาพมาฝากเธอ…”
ขุนพลเริ่มหันมาเอาใจใส่หญิงสาวตรงหน้าตั้งแต่เห็นเธอเอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง
ไม่ยอมออกไปไหน หรือพบใคร ราวกับประชดชีวิตตัวเอง พูดแต่ว่าตัวเองไม่มีค่า…

“จริงเหรอคะ…แล้วรอบนี้เป็นภาพนกหรือภาพปะการังเอ่ย…”
หญิงสาวยิ้มร่าพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงสดใส พลางเชื้อเชิญให้ชายหนุ่มเข้าบ้าน

“ภาพปะการังน่ะ…”ขุนพลตอบพร้อมกับยื่นภาพถ่ายที่ถูกทำออกมาด้วยเทคนิคขั้นสูง…
ทั้งการถ่ายและเทคนิคการพริ้นสี…

“ว้าวววววว…สวยจังเลยค่ะ…ไอซ์เองอยากถ่ายภาพได้แบบนี้บ้างจัง
พี่ไนท์ช่วยสอนให้บ้างได้มั้ยคะ…”ชายหนุ่มยิ้มบางที่มุมปาก รู้สึกทั้งรัก
และเอ็นดูหญิงสาวตรงหน้าอย่างบอกไม่ถูก

“ได้สิ…แต่มันต้องอาศัยจังหวะและประสบการณ์…อีกอย่างต้องมีเวลา
สามารถอดทนรอได้ด้วย…ว่าแต่อย่างเราน่ะพร้อมที่จะลุยไปได้ทุกที่รึเปล่าล่ะ…”
หญิงสาวกลอกตาราวกับคิดหนัก ก่อนจะพยักหน้าหงึกๆ

“ตั้งแต่สำนักพิมพ์โดนยึดไป…ไอซ์ก็ว่างงานมาตั้งแต่นั้น…”น้ำเสียง
ของคนพูดดูเศร้าจนคนฟังรู้สึกได้

“แล้วไม่คิดอยากได้สำนักพิมพ์คืนบ้างเหรอ…”ชายหนุ่มหยั่งเชิง
ถามหญิงสาวดู ทว่าคำตอบที่ได้กลับผิดคาด เพราะหญิงสาวส่ายหน้าตอบราวกับปลงว่า

“ไม่หรอกค่ะ…ไอซ์รู้ดีว่าสำนักพิมพ์นั้นเกิดขึ้นเพราะอะไร…
ถ้าไอซ์จะมีสำนักพิมพ์เป็นของตัวเอง ไอซ์ก็อยากได้แบบที่ไอซ์อยากได้มากกว่าค่ะ…
ไม่ใช่อย่่างที่พ่อกับแม่อยากให้ไอซ์ทำ…มันโดนเขายึดไปก็สมควรแล้วล่ะค่ะ…
อะไรที่ไม่ใช่ของของเรา สักวันมันก็ต้องกลับไปหาเจ้าของของมันในที่สุด…พี่ไนท์ว่าจริงมั้ยคะ…”
ชายหนุ่มยิ้มบางกับถ้อยคำนั้น…ก่อนจะถามว่า

“แล้วเราอยากได้สำนักพิมพ์แบบไหนล่ะ…”หญิงสาวระบายย้ิม
ด้วยแววตาที่ส่องประกาย ทอดไปสู่เป้าหมายที่เธอวาดฝันเอาไว้

“ไอซ์อยากทำหนังสือประเภทภาพถ่ายทางธรรมชาติสวยๆ ภาพที่หาดูได้ยากในปัจจุบัน
อยากทำบันทึกการท่องเที่ยว ทำโปสการ์ดสวยๆ
ทำปฏิทินที่มีรูปถ่ายของนกต่างๆ เอาเป็นคอนเลคชั่นในแต่ละปี
แล้วก็ทำสื่อสิ่งพิมพ์สร้างสรรค์จรรโลงโลก อะไรเทือกนั้นน่ะค่ะ…

ไอซ์เบื่อกับการทำหนังสือพิมพ์แล้วน่ะค่ะ…อยากหันไปทำอะไรที่สวยๆงามๆบ้าง”
กล่าวเสร็จก็หันมาทางชายหนุ่มก่อนจะก้มมองภาพถ่ายสวยๆในมือ

...นี่แหล่ะแรงบันดาลใจของเธอ…

“ยิ่งได้เห็นภาพสวยๆที่พี่ไนท์เอามาให้ทุกครั้ง ไอซ์ยิ่งอยากทำมันออกมาเป็นเล่ม
แล้วถ่ายทอดมันเป็นบทกวีบ้าง บทความสร้างสรรค์บ้าง
ได้แบ่งปันภาพสวยๆให้คนอื่นได้ดูบ้าง…ไม่อยากบอกว่าไอซ์น่ะ
เคยประกวดแต่งกลอนได้รางวัลมานับไม่ถ้วนเลย…
ที่สำคัญไอซ์มีเพื่อนๆและน้องๆที่รักการแต่งกลอนและเขียนเรียงความเยอะด้วย…
อยากช่วยสานฝันให้เพื่อนผองน้องพี่ที่เคยอยู่ชมรมเดียวกันให้เป็นจริงด้วยค่ะ…
เมื่อก่อนพวกเราเคยสุมหัวกันแต่งกลอนต่อกลอนกัน…
จนอยากมีหนังสือแนวๆนี้ออกมาด้วยล่ะค่ะ…”

คนฟังยิ้มกว้าง มองแววตามุ่งมั่นปนขี้เล่นตรงหน้าแล้ว
อยากจะเอาใจช่วยเธอให้ทำตามความฝันได้สำเร็จเหลือเกิน

“พี่ไนท์จุดประกายฝันให้ไอซ์รู้ว่าโลกใบนี้ยังมีความสวยงามซ่อนอยู่ทุกที่
ขอแค่เราเปิดตาเปิดใจมองเท่านั้น…ไอซ์อยากทำหนังสือแนวๆนี้ออกมา
แล้วจะเฟ้นหานักกวีเก่งๆมาลงหนังสือประกอบภาพสวยๆร่วมด้วย…พี่ไนท์ว่าดีมั้ยคะ…”
ชายหนุ่มพยักหน้าพร้อมกับลูบหัวดุจมณี

“เอาสิ…ถ้าเราคิดว่าทำแล้วมีความสุข คนอื่นก็จะได้พลอยสุขไปด้วย
พี่ก็ว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร…พี่เต็มใจช่วยเต็มที่เลย…”หญิงสาวยิ้มกว้าง
กับกำลังใจจากคนตรงหน้า ทว่า…

“แต่พ่อกับแม่คงไม่ชอบใจสักเท่าไหร่…”สีหน้าคนพูดดูเจื่อนลงนิดนึง
เมื่อนึกถึงบุพการี

“แล้วพี่จะช่วยพูดให้ดีมั้ย…”

“ท่านจะฟังพี่ไนท์เหรอคะ…รู้ๆกันอยู่…”ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ
ก่อนจะตอบว่า

“ถ้าท่านไม่ยอมลงทุนให้…เดี๋ยวพี่จะลองทุบกระปุกออมสินให้เอามั้ย
รับรองว่าเงินเก็บพี่ไม่น้อยกว่าของพี่ชายเราหรอก…”

หญิงสาวเงยหน้ามองลูกผู้พี่ด้วยความซาบซึ้งใจ
เธอเพิ่งได้มารู้ในภายหลังมานี่เองว่าหลังจากที่เรียนจบ
คนตรงหน้าเธอไม่เคยแบมือขอเงินพ่อของตัวเอง
อย่างที่พ่อกับแม่และพี่ชายของเธอบอกเธอมา

…เขาเป็นช่างภาพอิสระ…
เก็บเงินจนสามารถสร้างสตูดิโอเป็นของตัวเองได้สำเร็จ…

เมื่อก่อนแม่ของเธอบอกว่า เขาเปิดสตูดิโอได้เพราะเงินของลุงจอมพล
แต่เมื่อเธอได้ทำความรู้จักเขาและได้พูดคุยกับคนที่รู้จักเขา
เธอจึงได้รู้ว่าเขาสร้างมันขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเองทั้งนั้น…

เธอเคยถามเขาว่าทำไมถึงทำแบบนั้น เขาก็ได้แต่เงียบ บอกแค่ว่า
มันเป็นความภูมิใจ…

“อย่าเลยค่ะ…ไอซ์ไม่อยากรบกวนพี่ไนท์…พ่อกับแม่รู้ยิ่งแย่กว่าเดิม…”
ลำพังบิดาของเธอน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่กับแม่ของเธอนี่สิ
ไม่รู้ทำไมท่านถึงได้เกลียดชังคนตรงหน้าเธอนัก…

“พี่ให้ยืมก่อนก็ได้…พอมีแล้วค่อยให้พี่คืน…ถ้ากลัวว่าคุณอาทั้งสองจะไม่ชอบใจ
ไอซ์ก็บอกไปว่า…พ่อของพี่ให้ยืมก็ได้…ท่านคงไม่เซ้าซี้ถามนักหรอก…
ออกจะยุ่งขนาดนั้น คงไม่มีเวลามาซักฟอกหรอกมั้งพี่ว่า
ส่วนนายไลท์ คงไม่เข้ามายุ่งหรอก เชื่อพี่…”หญิงสาวยิ้มที่มุมปากนิดนึง
หากก็ยังกังวลอยู่

“แต่เงินมันไม่น้อยเลยนะคะ…ไอซ์เองก็มีเงินเก็บที่เป็นของไอซ์เองไม่เท่าไหร่…”
ชายหนุ่มวางมือบนบ่าของหญิงสาวแล้วกล่าวว่า

“เพื่อความฝันของไอซ์ พี่จะช่วยสานให้ด้วยอีกแรง…เพราะต่อไป
ธุรกิจของเราสองคนคงเอื้อกัน อย่าคิดมากเลย…พี่เต็มใจช่วยจริงๆ…”

ถ้อยคำและแววตาจริงใจนั้นทำให้คนฟังถึงกับน้ำตารื้น…
บุพการีทั้งสองของเธอตามใจเธอมาทั้งชีวิต แต่เป็นการตามใจภายใต้ความพอใจของท่าน
สิ่งใดที่เธอขอไปแล้วขัดใจท่านล่ะก็ เป็นเรื่องทุกครั้ง…

แต่ก็มีน้อยครั้งนักที่เธอจะขออะไรที่ขัดกับความต้องการของท่าน
เพราะเธอเองก็เรียนรู้การร้องขอที่เป็นผลมาเช่นกัน…
จนนานวันเข้า เธอก็เริ่มไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เธอร้องขอและต้องการมาตลอดนั้น
ใช่สิ่งที่เธอต้องการและปรารถนาจริงๆหรือเปล่า

…หลายครั้งที่เธอรู้สึกเหมือนเติบโตมาท่ามกลางความรักที่ว่างเปล่า บางครั้งก็ถูกทอดทิ้งจนชิน…
เนื่องจากบุพการีไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับบ้านดูแลลูกๆ…

จนได้พบเจอพูดคุยกับลูกผู้พี่ผู้นี้ ความคิดหลายๆอย่างที่ตกตะกอน
อยู่ในก้นบึ้งของหัวใจของเธอก็ผุดขึ้นมา…เวลาอยู่ใกล้เขาแล้วเธอรู้สึกถึงความอบอุ่นใจ…
ปลอดภัย และมีความสุข…พี่ชายของเธอเสียอีก
ที่เธอแทบไม่มีเวลาได้พูดคุยด้วย ทั้งๆที่อยู่บ้านเดียวกัน…

ทุกคนในครอบครัวต่างให้ความสำคัญกับเงินทอง ชื่อเสียง อำนาจ
และสังคมภายนอกกันทั้งนั้น…ไม่มีใครหวนกลับมาสร้างความสัมพันธ์ที่ดี
ในครอบครัวให้แน่นแฟ้นเลย…

“ถ้าสนใจจะทำงานด้านนี้จริงๆ…สัปดาห์หน้าไปดูนกกับพี่มั้ย…
รับรองว่าเราจะได้เห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็น…แล้วพี่จะสอนเทคนิคการถ่ายภาพให้ด้วย…”
ขุนพลเชื้อชวนด้วยรอยยิ้มอบอุ่นเช่นเคย

“แต่ไอซ์จะไปได้เหรอคะ…”หญิงสาวหน้าหงอเมื่อนึกถึงบุพการีทั้งสอง
ท่านคงไม่ยอมให้เธอออกไปตระเวนเที่ยวป่าเขาเป็นแน่…

“โตจนป่านนี้แล้ว ยังต้องขอลายเซ็นท้ายใบขออนุญาตจากพ่อแม่อีกเหรอ
พี่ว่า…เราต้องหัดพึ่งพาลำแข้งของตัวเอง และหัดทำอะไรได้ด้วยตัวเองบ้าง…
ต้นไม้ใกล้ต้นพ่่อต้นแม่น่ะ…จะเติบโตสวยงามได้ยังไง
วันใดที่ไม่มีท่านทั้งสองแล้ว เราจะทำยังไงล่ะไอซ์…ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า
สมบัติที่ท่านสร้างให้ เราก็ไม่รู้ว่ามันจะหายไปเมื่อไหร่…เพราะเราเองก็
ไม่แน่ใจในที่มาของมัน สู้สมบัติที่เราหามาด้วยตัวเอง
ด้วยน้ำพักน้ำแรงของเราก็ไม่ได้…แม้มันจะน้อยนิดเมื่อเทียบกับของท่าน
แต่มันก็ทำให้เราภูมิใจและกล้าที่จะยืนหยัดเป็นต้นไม้ที่สามารถสู้ฟ้าสู้ฝน
ต่อไปได้โดยลำพัง แม้ไม่มีท่านคอยเป็นร่มเงาให้…ไม่ใช่เหรอ…”

ขุนพลกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เพราะตัวของเขานั้นเติบโตมา
คู่กับความรักที่ว่างเปล่า ขาดแม่…พ่อที่ยังมีชีวิตอยู่ก็เหมือนไม่มีตัวตน…

ความอบอุ่นและความรัก ไม่อาจสัมผัสถึง ซ้ำยังเหมือนถูกทอดทิ้งให้แค้นใจ
แม้จะรู้ว่าบิดานั้นเก่งและมีอำนาจ มีสมบัติมากมายแค่ไหน
แต่เขาก็หาได้สนใจสิ่งเหล่านั้นไม่ เพราะสิ่งที่เขาต้องการจากท่าน ท่านยังไม่เคยให้เขาได้เลย…

บิดาของเขาไม่เคยกอดเขาเลยสักครั้ง ไม่เคยโอบประคองยามที่เขาล้มลง…
ไม่เคยจูงมือเขาข้ามผ่านปัญหาที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเขา
ไม่ว่าจะลำธาร ภูผาแกร่งขวางทาง หรือขวากหนามมากมายแค่ไหน
เขาก็ฟันฝ่าข้ามผ่านมันมาโดยลำพัง…

ความเหน็บหนาวในหัวใจของเด็กชายที่เคยต้องการความรักความอบอุ่น
จากอกพ่ออกแม่มันแปรเปลี่ยนเป็นความชินชา…

จนเขาเลือกที่จะปลีกตัวออกมาเมื่อรู้ว่าปีกของเขาเริ่มแข็งแรงแล้ว
แม้จะรู้ว่าต้องเจอกับพายุฝน ต้องทนลมพัดหนาว ไม่มีที่ร่มบังหรือที่พักพิง
เขาก็พร้อมที่จะเผชิญ เมื่อเขาเลือกทางที่เขาอยากเดินด้วยตัวของเขาเอง
จะสนใจอะไรกับความต้องการของบิดา ในเมื่อท่านเองก็ไม่เคยสนใจ
ความต้องการของเขาเลย…

วันนี้เขาแน่ใจแล้วว่าต้นไม้อย่างเขาไม่ต้องง้อร่มเงาของร่มโพธิ์ร่มไทร
ที่ยิ่งใหญ่อย่างพ่อของเขาอีกต่อไป

…ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าพ่อของเขาทำธุรกิจอะไรบ้าง และได้เงินทองจนเรืองอำนาจมาได้อย่างไร…
ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าแม่ของเขาและพี่น้องกับญาติๆทางฝั่งแม่ของเขาเสียชีวิตเพราะใคร!

เขาไม่ได้เกิดมาจากความรักของพ่อแม่…
แถมเขายังรู้ด้วยว่า…หญิงสาวตรงหน้าเป็นน้องสาวต่างมารดาของเขา

รู้โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าเขารู้!!!

คฤหาสถ์กลางป่าเขาลำเนาไพรหลังนั้นไม่ได้รอดสายตานักดูนกอย่างเขา
ที่พยายามเสาะแสวงหาป่่าดงพงไพรเพื่อให้ได้ภาพนกสวยๆที่หาดูได้ยากมาได้หรอก…

บิดาของเขากับน้ามณีอาจมีปีกบินไปอยู่บนน้ันได้
แต่กับเขา ไม่ต้องมีปีก เขาก็ใช้สองขาปีนขึ้นไปบนนั้นมาแล้ว…

ป่าที่อุดมสมบูรณ์หลายๆแห่งในประเทศไทยเขาไปบุกมาเกือบหมดแล้ว
จะเหลือก็แค่ป่าดงที่เกาะชิงชัง ที่เขาอยากไปเยือนสักครั้งให้เห็นกับตา

…แค่อยากไปเยือนเท่านั้น!

เพราะเขารู้มาว่า เกาะแห่งนั้นเคยเป็นกรรมสิทธิ์ของคุณลุงปุรินทร์
ซึ่งเป็นพี่ชายแท้ๆของมารดาของเขา…

เขาเคยหวังอยู่ลึกๆว่าลูกชายของคุณลุงจะยังมีชีวิตอยู่…
เพราะเขารู้สึกสัมผัสได้อย่างนั้น
แม้พ่อของเขาจะบอกว่า ทั้งหมดได้เสียชีวิตไปหมดแล้วก็ตาม…

และเหมือนความหวังของเขาจะไม่ดับลงเสียทีเดียว เพราะเมื่อไม่นานมานี้
เขามีโอกาสได้เดินสวนกับผู้ชายที่หน้าตาเหมือนคุณป้าผู้หญิง
ซึ่งเป็นภรรยาของคุณลุงปุรินทร์ตรงท่าเรือเมื่อสองวันก่อน…

ตอนนั้นเขากำลังกลับขึ้นฝั่งหลังจากไปดำดูปะการังตามเกาะต่างๆ…

ที่สำคัญ ชายคนนั้นกำลังเดินจูงมือหญิงสาว
ที่พ่อของเขากำลังต้องการตัวอยู่ด้วยสายตาระแวดระวังภัย…

ใบหน้าและท่าทางของชายผู้นั้นสะดุดตาสะดุดใจของเขาอย่างบอกไม่ถูก
ลึกๆข้างในมันเหมือนจะบอกเขาว่า…ชายผู้นั้น อาจเป็น ปราณ ปุรารัตน์ก็ได้
…หรืออาจจะไม่ใช่ก็ได้…เพราะมันจะเป็นไปได้ยังไงกัน!

ถ้ามีโอกาส ขอแค่เขาได้เห็นนิ้วของผู้ชายคนนั้นสักครั้ง…

“พี่ไนท์คะ…พี่ไนท์…”ขุนพลสะดุ้งตกใจ มองดุจมณีนิ่ง

“ไอซ์เห็นพี่ไนท์นิ่งไปนานเลย…เป็นอะไรไปรึเปล่าคะ…ไม่สบายรึเปล่า…”

สายตาที่ดูเป็นห่วงเป็นใยนั้นทำให้ขุนพลผ่อนคลาย
จากความตกใจเมื่อครู่ลง

“พี่แค่คิดอะไรเพลินๆน่ะ…ว่าแต่เราจะว่าไง…”หญิงสาวระบายยิ้ม
กล่าวอย่างตัดสินใจแล้วว่า

“เป็นไงเป็นกันค่ะ…ไอซ์เองก็อยากลองเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนวิถีชีวิตดูบ้างค่ะ…”
ได้ฟังอย่างนั้น ขุนพลก็ถึงกับโล่งอก…เขาอยากสอนให้
ผู้ใหญ่ที่ไร้ศีลธรรมได้รับบทเรียนบางอย่างเสียบ้าง…
ว่าถ้าโดนลูกหลานย้อนศร พวกท่านทั้งหลายจะรู้สึกอย่างไร






“จะกลับแล้วเหรอเวนไตย…”รังสิมันต์กล่าวหลังจากที่รับตัวซาเนียมาอยู่เกาะได้สองวันแล้ว
ตอนแรกเขาตั้งใจจะไปรับเธอด้วยตัวของเขาเองที่เกาะชิงชัง
แต่เวนไตยโทรมายืนยันว่าเขาจะมาส่งเธอที่ท่าเรือเอง
และก็ขอติดตามมาส่งเธอต่อจนถึงเกาะรัง เพื่อให้แน่ใจว่าเธอจะปลอดภัยจริงๆ…

“ครับ…อย่างไรผมคงต้องฝากนายหัวรังดูแลเธอต่อด้วยนะครับ
เพราะผมแน่ใจว่า เกาะรังจะให้ความปลอดภัยแก่เธอทั้งกายและใจได้ดีกว่าเกาะชิงชัง…
หัวใจเธอบอบช้ำมามาก…จิตแพทย์อย่างนายหัวรังคงมีทางช่วยเยียวยาจิตใจเธอได้…”
รังสิมันต์พยักหน้าก่อนจะตบไหล่ชายหนุ่มแล้วยิ้มกว้างขณะกล่าวว่า

“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก…ฉันจะดูแลหัวใจของนายให้เป็นอย่างดี…”
ถ้อยคำดังกล่าวทำเอาคนฟังถึงกับหูแดง…

“ฉันมองออก…ที่นายปกป้องซาเนียไม่ใช่เพราะหน้าที่
แต่เป็นเพราะความรัก…ฉันหวังว่านายคงจะบอกเธอให้รู้ในเร็วๆนี้นะ…”

“เอ่อ…ผมคิดว่ามันคงยังไม่ถึงเวลา อีกอย่าง…ผมเกรงว่า…เธอจะไม่ได้…”
ชายหนุ่มไม่กล้าจะพูดต่อ…

“น่า…ของแบบนี้…มันต้องลองดู…”รังสิมันต์ตบไหล่เพื่อให้กำลังใจ

“ว่าแต่นายหัวเถอะครับ…จะจัดงานอีกครั้งวันไหน…”เมื่อโดนย้อนถาม
รังสิมันต์ก็ถึงกับอ้ำๆอึ้งๆแทน…เพราะตอนนี้ ว่าที่เจ้าสาวของเขากำลังงอน
โทรไปก็ไม่ยอมรับสายอยู่…

“ไม่รู้สิ…กลัวจะมีปัญหาอีก…ถ้างานพังอีกรอบ ฉันกลัวว่า ว่าที่เจ้าสาว
จะผวาไม่กล้าแต่งงานด้วยอีกน่ะสิ…”รังสิมันต์กล่าวติดตลกทั้งๆที่ลึกๆแล้ว
เขาก็อดหวั่นไมไ่ด้…

“ของแบบนี้…มันต้องลองดูครับ…”พอโดนย้อนเข้าให้ รังสิมันต์จึงยิ้มกว้าง

“งั้นมาลองดูว่าใครจะทำสำเร็จก่อนกันดีมั้ย…”
นั่นปะไร นิสัยชอบท้าไม่เคยจางหาย…ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว…

“ก็ดีสิครับ…รับคำท้า…”เวนไตยแตะมือลงบนมือที่วางบนไหล่ของเขา

“ฝากเธอด้วยนะครับนายหัว…”

“ว่าแต่…จะไม่ร่ำลาเธอก่อนไปสักนิดเหรอ…นี่มันยังเช้าอยู่มากซาเนียคงยังไม่ตื่น…”
รังสิมันต์ชิงรู้

“อย่าเลยครับ…เดี๋ยวพาลจะกลับเกาะชิงชังไม่ไหวเสียเปล่าๆ…
ใจผมไม่ค่อยแข็งแรงอยู่ด้วยช่วงนี้…”ชายหนุ่มยอมรับว่าเขาเองก็หวั่นไหวกับซาเนียไม่น้อยเลย

“แล้วไม่กลัวเธอจะโกรธบ้างรึไง…”

“กลัวครับ…แต่กลัวจะตัดใจไปไม่ไหวมากกว่า…หายมาสองวัน
ทางโน้นคงวุ่นน่าดู…ยิ่งตอนนี้ขาดหมอและระรินไป…
ผมคงต้องหาหมอกับพยาบาลคนใหม่…”สีหน้ากังวลใจนั้นไม่พ้น
สายตาของรังสิมันต์ที่จับจ้องอยู่…

“ให้ฉันช่วยมั้ย…”เวนไตยเลิกคิ้วมองอีกฝ่ายด้วยแววตาไม่แน่ใจ

“ฉันพอจะหาคนที่นายกำลังต้องการได้นะ…มีหมอและพยาบาล
ท่ีพร้อมจะไปอยู่ที่นั่นแน่นอน…”

“ใครกันครับ…”

“หมอกับพยาบาลประจำตัวคุณป๋าของนายไง…สองคนนั่นเป็นรุ่นน้อง
สมัยเรียนของฉันเอง…เก่งนะ…โดยเฉพาะเรื่องการใช้มีด…”
คำนั้นเหมือนแฝงความนัยบางอย่างเอาไว้…โดยเฉพาะแววตาของคนพูด

“อย่าบอกนะว่านายไม่เคยรู้ว่าคุณป๋าของนายคือผู้อุปการะรุ่นน้องสองคนที่ฉันพูดถึงมา…”
เวนไตยกลอกตาใช้ความคิดแล้วรอยยิ้มของเขาก็ผุดขึ้นเมื่อนึกขึ้นได้…

“หมอกานต์กับน้ำร้อยใช่มั้ยครับ…นี่สองคนนั้นกลับมาจากญี่ปุ่นแล้วเหรอครับ”
รังสิมันต์พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม

“ใช่…กลับมาพร้อมกับคุณป๋าของนายนั่นแหล่ะ…เห็นบอกว่า
อยากกลับมาใช้ชีวิตที่ไทยตลอดไป…อยากทดแทนคุณคุณป๋าของนาย”

เวนไตยรู้สึกดีใจที่รู้ว่าสองคนนั้นกลับมาอยู่ที่นี่แล้ว…
หลังจากที่ถูกส่งไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นอยู่หลายปี จบแล้วก็ฝึกงาน และก็ทำงานที่นั่น
จนมีชื่อเสียงโด่งดัง โดยเฉพาะหมอกานต์ ซึ่งเป็นศัลยแพทย์มือดี…
เรื่องใช้มีด คงไม่ต้องพูดถึง…เพราะหมอกานต์เป็นเด็กกำพร้า
มีความเป็นอัจฉริยะอยู่ไม่น้อยเลย เขามีความสามารถหลากหลาย…
ถูกฝึกฝนมาให้เอาตัวรอดได้ในทุกสภาวะตั้งแต่เด็กๆพร้อมๆกับเขานั่นแหล่ะ…

ป่านนี้คงพูดญี่ปุ่นคล่องไปแล้ว จะมีก็แต่เขานี่แหล่ะ ที่ไม่ได้พูดญี่ปุ่นเสียหลายปี…
ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าสำเนียงยังใช้ได้อยู่รึเปล่า…

สองคนนั้นจะเป็นยังไงบ้างนะ ชักอยากเจอหน้าเสียแล้วสิ
เพราะว่าเขากับสองคนนั้นมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันที่ญี่ปุ่นตอนเด็กๆ…
พอโตหน่อยก็ถูกส่งตัวกลับมานี่ หลังจากที่สองคนนั้นเรียนจบหลักสูตรปริญญาตรีที่นี่
ก็ถูกส่งตัวไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่น…หลังจากนั้นมา เขาก็ไม่ได้เจอหน้าทั้งสองอีกเลย
ได้ยินแค่ข่าวคราวความเคลื่อนไหวเท่านั้น…

“น่าเสียดายฝีมือของเขานะครับ…น่าจะได้ใช้ความสามารถในที่ที่มีผู้คนมากมาย
คงมีประโยชน์กว่าการไปเป็นหมอที่เกาะชิงชัง ที่นั่นไม่มีอะไรเลยนอกจาก สายลม แสงแดด
แล้วก็ป่าดงพงไพร…ไร้ชื่อเสียงและเงินทอง…”เวนไตยกล่าวด้วยสีหน้าจริงใจ

“แสดงว่านายคงยังไม่รู้…ว่าสองคนนั้นเขาจะแต่งงานกัน
แล้วกะจะไปใช้ชีวิตครอบครัวที่สงบสุขที่นั่น…เห็นหมอกานต์เปรยๆกับฉันว่า
อยากเห็นลูกๆเติบโตท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่ดี…
เขาอยากทดลองเลี้ยงลูกในสังคมที่แตกต่างจากสังคมที่เขาโตมา
เขาบอกว่าอยากรู้ว่าเด็กที่โตมาท่ามกลางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ปราศจากมลพิษ
และปราศจากการแข่งขันกันทางวัตถุมันจะเป็นอย่างไร
เขาก็เลยวาดฝันกันไว้ว่าที่เกาะชิงชังดูจะเหมาะที่สุดที่จะเป็นสถานวิจัย…”

เวนไตยยิ้มให้กับถ้อยคำที่รังสิมันต์เลือกใช้เรียกเกาะชิงชังของเขาว่า 'สถานวิจัย'…
ทำไมไม่พูดให้จบนะว่าเป็นสถานวิจัยการเจริญเติบโตของเด็ก

“เป็นความคิดที่น่าสนใจนะครับ…สถานวิจัยและเพาะพันธุ์มนุษย์พันธุ์ใหม่
ผมชักอยากมีส่วนร่วมด้วยซะแล้วสิครับ…ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะหาผู้ร่วมวิจัยได้กับเขาบ้าง…”
คนพูดอมยิ้ม คนฟังเองก็ถึงกับยิ้มขันกับถ้อยคำ
และรอยยิ้มในแววตาของคนพูดอย่างห้ามไม่อยู่ ยิ่งนึกถึงหน้าใสๆ
ตาโตๆของหญิงสาวอีกคนก็ให้นึกขำ

“ลองปรึกษาซาเนียดูสิ…เผื่อเค้าจะสนใจเข้าร่วมโครงการกับนาย…”

“ผมก็ว่าอย่างนั้นล่ะครับ…เพราะมองไปก็ไม่เจอใครที่ว่างพอ
ให้ร่วมโครงการวิจัยนี้กับผมได้เลยจริงๆ…ผู้หญิงหาง่าย แต่แม่ของลูกนี่หายากครับ…”
รังสิมันต์พยักหน้าเห็นด้วย…

“ว่าแต่นายหัวรังล่ะครับ…ไม่คิดจะเข้าร่วมโครงการวิจัยนี้บ้างเหรอครับ
เกาะชิงชังยินดีต้อนรับครับผม…”เวนไตยยิ้มล้อ
รังสิมันต์ส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มมีเลศนัย

“คงไม่ล่ะ…เพราะฉันกะจะเปิดเกาะรังเป็นสถานวิจัยในเร็วๆนี้…
หวังว่านายคงไม่ว่าถ้าฉันจะขอลัดคิว…พอดีว่าฉันโชคดีที่เจอว่าที่แม่ของลูกแล้ว…”

“ผมต่อให้ก่อนก็แล้วกันครับ…นายหัวลืมคำท้าก่อนหน้านี้ไปได้เลย”
คนพูดและคนฟังยิ้มขันก่อนจะหันมาพูดเรื่องสำคัญต่อ…

“อ้อ…ฉันลืมบอกว่าคุณป๋าของนายคงต้องไปพักฟื้นร่างกายที่นั่น
หมอกานต์กับน้ำร้อยเองก็เคยเปรยๆว่าอยากไปอยู่ที่เกาะชิงชังอยู่เหมือนกันอย่างที่บอก
แต่ตอนนี้ติดอยู่ตรงท่ีต้องคอยดูแลคุณป๋าของนายอย่างใกล้ชิด นายเองคงรู้เรื่องที่ท่านป่วยใช่ม้ัย…”
เวนไตยพยักหน้า

“ครับ…แต่คุณหนูยังไม่รู้…”ชายหนุ่มนึกไปถึงหน้าของสิ้นรัก
ที่ยังคงไม่รู้เรื่องสำคัญดังกล่าว…

“ท่านไม่อยากให้ลูกสาวรู้ ก็เลยกะจะไปหลบพักฟื้นที่เกาะชิงชังหลังให้ยาอีกรอบ...
คงอยู่ที่นั่นจนกว่าอาการจะดีขึ้นกว่านี้…
อีกอย่างที่นั่นก็มีสถานพยาบาลและเครื่องมือพร้อมสรรพ…
เพิ่มเสริมอีกสักหน่อย ก็คงพอเยียวยารักษาโรคที่ท่านเป็นอยู่ได้…
โดยไม่ต้องเทียวไปเทียวมาระหว่างเกาะกับแผ่นดินใหญ่…”
คนฟังพยักหน้าเข้าใจ

“ดีสิครับ…ที่นั่นจะได้ไม่เหงาเท่าที่ควร…”เสียงคนฟังดูเหงาปนเศร้า
จนรังสิมันต์จับความรู้สึกได้

“ฉันเสียใจด้วยจริงๆ…แต่เวลาจะช่วยให้หัวใจของนายกลับมาแข็งแกร่งเหมือนเดิม…
อดทนไว้นะปราณ…ฉันรู้ว่านายเป็นคนดีเกินกว่าจะทำลายใครด้วยอารมณ์แค้น…
หัวใจของนายมั่นคงแล้ว อย่าให้อะไรมาสั่นคลอนมันด้วยความโกรธแค้นได้…

เชื่อฉันสิว่าอีกไม่นาน พวกเขาก็จะแพ้ภัยตัวเองในที่สุด
คนเราน่ะ ปลูกอะไรไว้ก็ได้อย่างนั้น ปลูกถั่วก็ได้ถั่ว…
ปลูกความดีได้ความดี…ร่มเงาของความดีก็จะแผ่ไพศาลให้ลูกหลานเก็บกินผลของมัน
ได้อย่างปลอดภัย ไร้กังวล…”

รังสิมันต์เรียกเวนไตยด้วยชื่อจริงดั้งเดิมของเขาพร้อมกับให้กำลังใจ…ปลอบใจ…

“ครับนายหัวรัง…ผมคงจะไม่ทำร้ายใครก่อน…
แต่ผมก็คงไม่ยอมให้ใครมารุกรานได้ง่ายๆเหมือนกัน…”
รังสิมันต์ยิ้มบาง ก่อนจะตบบ่าเวนไตยสองครั้ง

“ฉันเองก็คงไม่ยอมให้ใครมารุกรานความสุขสงบของชีวิตได้ง่ายๆเหมือนกัน…
ระวังตัวด้วยแล้วกัน เดี๋ยวฉันจะให้ลูกน้องคอยติดตามไปด้วย เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยกันได้…”
เวนไตยพยักหน้า…แล้วเดินขึ้นเรือ

เสียงเครื่องยนต์ดังเป็นสัญญาณบอกถึงการจากลา
ชายหนุ่มมองภาพเรือนหลังงามที่ซาเนียนอนพักอยู่จนห่างออกไปเรื่อยๆ
แล้วก็ลับตาไปในที่สุด…อยากบอกกับเธอเหลือเกินว่าเขารักเธอ
ห่วงเธอแค่ไหน…แต่รออีกสักหน่อยเถอะ…ให้อะไรลงตัวกว่านี้
แล้วเขาจะบอกเธอให้รู้…แม้ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร เขาก็จะยอมรับมันให้ได้…

แต่หัวใจของเขามันกระซิบบอกเขาว่า ซาเนียเองก็พึงใจในตัวเขาอยู่ไม่น้อยเช่นกัน…
หวังว่าทางรักของเขาคงจะราบรื่นและสุขสมหวัง…





ขุนพลกลับถึงห้องพักในคอนโดหรูกลางกรุง ที่เขาซื้อด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองล้วนๆ
ก็ถึงกับทิ้งตัวลงบนเตียงนอน แล้วนึกถึงเหตุการณ์ตอนเขากลับไปเยี่ยมบิดาที่กระบี่
ชายหนุ่มก็ถึงกับยกแขนข้างซ้ายขึ้นก่ายหน้าผาก

‘เมื่อไหร่แกจะได้ดั่งใจของฉันบ้าง วันๆเอาแต่เล่น เอาแต่เที่ยว
ไม่คิดจะแบ่งเบาภาระที่ฉันแบกเอาไว้เต็มบ่าบ้างรึไงเจ้าไนท์…

นี่ถ้าแกเก่งได้สักครึ่งหนึ่งของเจ้าไลท์ล่ะก็…ฉันคงไม่ต้องกลุ้มใจกับแกขนาดนี้…
อย่าลืมสิว่าแกน่ะแก่กว่าเจ้าไลท์ ทำอะไรก็หัดอายน้องซะบ้าง…
โตๆกันแล้ว ไม่ใช่เด็กอมมือที่นอนรอคอยสมบัติของพ่อแม่…’

นั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่บิดาของเขาต่อว่าเขาแรงๆแบบนั้น เขาได้ยินมันจนชินหูเสียแล้ว…

สำหรับบิดาแล้ว เขาเป็นลูกที่ไม่เอาไหนมาแต่ไหนแต่ไร
ทำอะไรก็ไม่ได้ดั่งใจท่านเสมอ…เป็นลูกที่ท่านไม่เคยภูมิใจเลยสักครั้ง
และไม่ว่าบิดาจะต่อว่าเขาแรงขนาดไหน ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะโต้แรงๆกลับไป
ถึงแม้ว่าบิดาจะไม่ค่อยอยู่ให้ความรักความอบอุ่นที่เขาโหยหามาตลอดทั้งชีวิตก็ตาม
แต่เขาก็ไม่เคยลืมว่าบุคคลตรงหน้าคือบิดาบังเกิดเกล้าของเขา…
ท่านคือผู้ให้กำเนิดเขามา…เหนือสิ่งอื่นใด ถ้าไม่มีท่าน
เขาก็คงเป็นเด็กข้างถนน ไม่มีอันจะกิน ไม่สามารถทำตามความฝันได้อย่างทุกวันนี้…

‘ถึงพ่อจะไม่เคยภูมิใจในตัวผม แต่สักวันพ่อจะรู้ว่าผมกำลังทำอะไรเพื่อพ่อบ้าง…
ผมอาจจะไม่ใช่คนเก่งในสายตาพ่อ แต่ขอให้พ่อรู้ว่าผมพยายามเป็นคนดีให้พ่อเห็น…
เป็นในสิ่งที่พ่อไม่เคยมีเวลาสอนผมเลย…’

นั่นคือถ้อยคำที่เขาอธิบายให้บิดาเข้าใจ
แต่ก็ไม่เคยทำให้ท่านรู้สึกดีขึ้นมาเลย

‘แกมันหัวดื้อ…ดื้อเหมือนแม่แก…ฉันเคยบอกเคยเตือนอะไรต่อมิอะไร
แม่แกก็ไม่เคยฟังฉัน จนต้องตายเพราะความดื้อรั้นไงล่ะ…’

ตอนนั้นเขาได้แต่แค่นยิ้ม ที่ต้องแค่นยิ้มออกไปเพราะอยากกลบเกลื่อน
ความรู้สึกข้างในที่มันขมขื่นเกินกว่าที่ใครจะเข้าใจ

พ่อพูดว่าที่แม่ต้องตายเพราะความผิดของแม่เองที่ดื้อรั้นงั้นหรือ…

สรุปว่าแม่เป็นคนผิด คนอื่นไม่ผิดเลยสักนิดเดียวใช่ไหม…

ไม่มีใครรู้หรอกว่าวันคืนเนิ่นนานที่ผ่านมาโดยไม่มีแม่
เหมือนไร้คนดูแลและคอยห่วงใย เขาต้องกอดตัวเองข่มความอ้างว้างทุกคืนก่อนนอน…

เพราะแม่คือคนที่เข้าใจเขาที่สุด ไม่ว่าหนใดที่ใจท้อ หรือร้อนรน แม่คือผู้ที่คอยปลอบโยนเขา…
ยามที่เขาไร้ความหมายในสายตาพ่อหรือคนอื่นๆ
แม่คือผู้ที่คอยโอบกอดเขาเอาไว้ในอ้อมแขนที่แสนอบอุ่นเสมอ
ยามที่เขาสอบผ่านเลื่อนชั้น ยิ้มอย่างมีความสุข ประสบความสำเร็จในเรื่องใดๆ
แม่คือผู้ที่คอยเอ่ยปากชื่นชม และมอบรางวัลให้ พอไร้แม่ ใครสักคนที่เขาต้องการก็หายไปด้วย…

แม้กระทั่งทุกวันนี้ เขาได้รับรางวัลช่างภาพยอดเยี่ยมประจำปีมาหลายสมัยซ้อนกัน
พ่อก็ไม่เคยเอ่ยปากชม
บางครั้งอาจจะไม่รับรู้ด้วยซ้ำไป…เพราะเวลาของพ่อเป็นเงินเป็นทอง
จนไม่อาจสละมันสักเสี้ยววินาทีเพื่อชื่นชมลูกอย่างเขาได้…

แม้แต่วันรับปริญญา เขาก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของใครสักคนมายืนเคียงข้างเพื่อถ่ายรูปด้วยกัน…

เขามิใช่ผู้ชายที่มีเสน่ห์ต่อเพศตรงข้ามอย่างขุนศึก หน้าตาก็แสนจะธรรดา
ไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์…สาวๆที่ไม่รู้ว่าเขาเป็นลูกชายของใครจึงเดินผ่านไป…

เขาจึงเกลียดผู้หญิงที่มองกันแค่นามสกุล…
นามสกุลที่พ่อของเขาเป็นผู้ทำให้มันมีชื่อขึ้นมา…

สำหรับเขาดูเหมือนความรักจะเป็นอะไรที่หายากเย็นเหลือเกิน…
เดินมาจนค่อนชีวิต เขาก็ยังไม่พบเจอความรักที่สามารถให้เขาได้ทิ้งตัว
ลงนอนกอดให้หายอ้างว้างได้เลย…

เมื่อก่อนเขาไม่รู้ว่าอะไรที่บดบังดวงตาของพ่อไม่ให้มองมาทางเขาบ้าง
ทว่า เมื่อไม่นานมานี้ เขาได้รับฟังและเข้าใจมัน
จนแทบอยากอิจฉาลูกที่พ่อมีส่วนให้กำเนิดอีกสองคน

...แล้วเขาก็ไม่ใช่ลูกชายคนเดียวของท่านที่เขาเคยเข้าใจมาตลอดอีกต่อไป...

นีกแล้วก็อดสงสารมารดาผู้ล่วงลับของเขาไม่ได้…

ผู้คนมากมายในโลกเป็นหมื่นเป็นล้าน เขาแค่ต้องการใครสักคนเท่านั้น
ที่จะเข้าใจและรับฟังเขาอย่างที่แม่ของเขาเคยให้กับเขามา…
แค่คนเดียวที่เขาอยากขอไว้เป็นเพื่อน ไว้คอยบอกเล่าเรื่องราวต่างๆให้ฟัง…
และคนที่เขาคาดหวัง ก็คือ พ่อ
แต่พ่อก็ไม่อาจแบกรับความหวังของเขาเอาไว้ได้

…ท่านมีลูกที่เป็นดังความหวังของท่านแล้ว…

‘ผมจำได้ว่าตั้งแต่เล็กๆ แม่รักและห่วงใยผมแค่ไหน…
แค่ผมรู้ว่าแม่จากไปมันก็เจ็บปวดยิ่งกว่าสิ่งใด

แต่ที่มันเจ็บยิ่งกว่าก็คือการได้รู้ว่าแม่ตายเพราะใคร…’

แววตาของพ่อตอนนั้นเขาจำได้ติดตา
เพราะมันดูวูบไหวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน…พ่อผู้เข้มแข็งไม่เคยหวาดหวั่นต่อสิ่งใด
แต่กลับกลัวในสิ่งที่เขาพูดถึง…

“ถ้า…ถ้า…ผมไม่นึกถึงคำแม่สอน ไม่นึกถึงเพลงที่แม่ร้องกล่อม
และไม่ได้มองภาพถ่ายที่แม่เคยจูบฝ่าเท้าผมตอนที่ยังเล็กๆอยู่ล่ะก็…
ผมคงจะเป็นคนเก่งในสายตาพ่อไปนานแล้ว…”เขาจำไม่เคยลืม
ขนาดประโยคสุดท้ายของแม่ก็ยังคงพูดประโยคเดิมๆที่เคยพร่ำสอนเขาอยู่เสมอว่า

‘ก่อนคิดจะทำชั่วดี อย่าลืมก้มลงมองตรงฝ่าเท้าที่แม่ท้ิงรอยจูบเอาไว้นะลูก…
ความภูมิใจของแม่คือการปรารถนาให้ลูกเป็นคนดี แม่อยากเห็นลูกเป็นคนดี
เป็นฮีโร่เหมือนชื่อของลูกนะ…ไนท์’

เขาอาจจะเคยประชดพ่อหรือประชดชีวิตที่ไม่ได้ดั่งใจตน
ด้วยการทำตัวแย่ๆเพื่อเรียกร้องความสนใจ

แต่เมื่อนึกถึงความปรารถนาของแม่ก่อนตาย เขาก็ต้องหันมามองดูและทบทวนตัวเองทุกครั้ง
แล้วหัดเป็นคนดีเพื่อแม่ให้ได้…

เขารู้ว่าแม่ต้องตายอย่างทรมานและเจ็บปวดทั้งกายและใจแค่ไหน
และยิ่งแค้นใจเมื่อรู้ว่าใครเป็นคนทำร้ายแม่ของเขา

แต่จะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อแก้แค้นไป แม่ก็คงไม่ฟื้นขึ้นมาอีกแล้ว…

แต่ถ้าจะทำ สิ่งที่เขาจะทำก็คือการสอนบทเรียนให้คนไร้ศีลธรรม
ได้รู้จักสัจธรรมของชีวิตเท่านั้นเอง…

‘แกหมายความว่าไงเจ้าไนท์…ที่แกบอกว่ารู้ว่าแม่แกตายเพราะใคร น่ะใคร…’
พ่อของเขาถามเขาด้วยแววตาหวาดหวั่น

พ่อคงรักผู้หญิงคนนั้นมาก ถึงได้ออกโรงปกป้องมาตลอด ทั้งๆที่รู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร

…และนี่แหล่ะ คือความเจ็บปวดและขมขื่นของเขา…

‘พ่อจะถามผมทำไม ในเมื่อพ่อก็รู้ว่าเป็นใคร…’
พ่อของเขาหน้าซึดลงทันตา

‘แต่พ่อไม่ต้องกลัวไปหรอก เพราะผมไม่คิดจะเอาคืนอะไรมากมายหรอก
แต่ถ้าการได้แก้แค้นแล้วแม่ของผมจะฟื้นขึ้นมา มันก็ไม่แน่…

ผมคิดเสมอนะ…ว่าถ้านายปราณยังมีชีวิตอยู่ เขาจะแค้นพ่อสักแค่ไหน…
แค่ผมคิดถึงนายปราณ ผมก็ทำอะไรคนที่ทำร้ายแม่ผมไม่ได้แล้ว…

เพราะสุดท้าย คนที่เจ็บปวดก็คงไม่่พ้น…ตัวผมอยู่ดี…’

เขายอมรับว่าทุกครั้งที่คิดถึงปราณ ปุรารัตน์ เขาก็อดกลัวไม่ได้
เขากลัวว่า ถ้านายปราณยังอยู่แล้วกลับมาแก้แค้นพ่อของเขา เขาจะทำอย่างไรดี…

แค่คิดเขาก็ไม่อยากทำร้ายน้ามณีที่เป็นแม่ของน้องๆของเขา
ที่คงจะเสียใจไม่น้อยถ้าแม่ของตัวเองต้องตายด้วยน้ำมือพี่ชายต่างมารดาของตัวเอง…

แล้วพ่อของเขาก็คงต้องเจ็บปวดกับการจากไปของผู้หญิงอันเป็นที่รัก…
เขาเองก็คงไม่พ้นโดนไฟนรกโลกันต์เผาผลาญให้แหลกราน คงตายทั้งเป็น…

…นี่แหล่ะความเสียใจและขมขื่นกับสิ่งที่เขาเผชิญอยู่…
…มันคือการต่อสู้ภายในจิตใจของตัวเองที่แสนหนักหน่วงกว่าศึกใด…

‘ผมไม่เข้าใจว่าทำไมผู้หญิงที่ดีอย่างแม่ พ่อถึงไม่รักไม่ปกป้องบ้าง…
ผมไม่เข้าใจว่าทำไมลูกชายคนเดียวของพ่อคนนี้ ถึงไม่เคยได้ไออุ่น
จากพ่อเหมือนลูกชาวบ้านเขา…พ่อให้คำตอบผมได้รึเปล่า…ว่าทำไม…
พ่อถึงได้รักลูกคนอื่นมากกว่าลูกตัวเอง…ชื่นชมลูกคนอื่น
มากกว่าชื่นชมลูกของตัวเอง…หรือว่า…ผมไม่ใช่ลูกพ่อ…”

คำว่าลูกชายคนเดียวกระแทกหัวใจของพ่อเขามากสินะ
พ่อของเขาถึงพูดไม่ออก…แถมยังเลี่ยงเปลี่ยนประเด็น
หันมาต่อว่าเขาเรื่องอื่นแทนเพื่อเปลี่ยนสถานการณ์

‘เรื่องในอดีตแกจะมารื้อฟื้นหาพระแสงอะไรเอาตอนนี้…
หรือแกกลัวว่าจะไม่ได้สมบัติ ถึงได้ย้ำเรื่องสถานะของแกให้ฉันฟังนัก…

ฉันจะบอกแกเอาไว้ให้เอาบุญนะว่าถ้าแกไม่ใช่ลูกของฉัน
ฉันเตะโด่งแกไปไกลสุดตา ตั้งแต่แกกล้าต่อปากต่อคำกับฉันแล้ว

ถ้ายังอยากอยู่ดีกินดีมีความสุขกับชีวิตเสเพลกับสตูดิโอบ้าๆนั่นอยู่ล่ะก็
หุบปากของแกซะ…แล้วก็เลิกพูดถึงแม่แกอีก…’

ตอนเขาได้ยินบิดาพูด เขาแทบหลุดหัวเราะออกไปแล้ว…แต่ยังดีที่ห้ามเอาไว้ได้ทัน

‘พ่อรู้มั้ย…ตั้งแต่ผมได้รู้ว่าเงินของพ่อมาจากไหนบ้าง
แล้วสมบัติที่พ่อครอบครองอยู่นั้นมันได้มาพร้อมกับการสูญเสียของใครมาบ้างนั้น…
ผมก็ได้ให้สัตยาบันกับตัวเองว่าต่อจากนี้ผมจะเลิกยุ่งกับสมบัติและเงินทองของพ่อ…

ดังนั้น…พ่ออยากจะยกมันให้กับใคร…ก็สุดแต่ใจพ่อเถอะ
ต่อให้ผมอดข้าว ผมก็จะไม่แตะต้องมันแม้แต่ปลายเล็บ…

แต่อะไรที่เป็นของแม่…ใครหน้าไหนก็แตะไม่ได้ทั้งนั้น’
นั่นคือคำขาดที่เขายื่นให้กับบิดา…

‘และผมแค่อยากจะเตือนพ่อเอาไว้ด้วยความรักและจริงใจอย่างที่สุดว่า
ของที่พ่อได้มาผิดๆ มันก็ไม่ต่างจากไฟที่พร้อมจะเผาไหม้ทุกอย่าง
ไม่เว้นแม้แต่ผู้ครอบครอง…แล้วมันไม่มีวันสร้างความสุขที่แท้จริงให้กับพ่อได้หรอก…
พ่อต้องร้อนรนเพราะมัน จนกว่าพ่อจะปล่อยมันไป…’

เขาได้เห็นบิดาหัวเราะในลำคอ มองเขาด้วยแววตาที่เขาเองก็อ่านไม่ออก

‘แกไม่มีโอกาสได้มาเป็นฉัน ไม่มีปัญญาได้ขึ้นมายืนอยู่ในจุดที่ฉันอยู่
แกก็จะไม่มีวันรู้ว่ารสชาติของมันหอมหวานแค่ไหน…

แกกำลังบอกให้ฉันปล่อยวาง ทั้งๆที่ของที่ฉันครอบครองอยู่
มันเป็นของๆฉันอย่างนั้นเหรอ…ของแบบนี้ใครดีใครได้…

พวกนั้นรักษามันเอาไว้ไม่ได้เอง แล้วแกจะมาโทษว่าฉันเป็นคนขี้โกงได้ยังไง…

แล้วยาเสพติดน่ะ…ถามหน่อย ถ้าไม่มีคนเสพ ฉันจะขายใคร…
พวกบ้านั่นมันรู้ทั้งนั้นแหล่ะว่ายาเสพติดให้โทษยังไง แต่มันก็ยังอยากเสพของมันเอง
ฉันก็แค่สนองการตลาดตามแบบฉบับนักธุรกิจ ที่ผลิดและขายในสิ่งที่ลูกค้าต้องการก็เท่านั้น…

ส่วนพวกอาวุธ มันจะผลิดและขายได้ยังไง ถ้าคนทุกคนมันรักกันดี

แกคิดว่ามันเป็นความผิดของอาวุธและคนผลิดกับคนขายอาวุธรึไง…
ทำไมแกไม่คิดว่าถ้าคนมันรักกัน มันจะฆ่ากันทำไม…
ต้นเหตุจริงๆน่ะมันอยู่ที่ฉันรึไง…พวกคนดีที่สังคมต่างเทิดทูนบูชา อย่างพวกหมอ
พวกพยาบาลบางคน หรือพวกที่สังคมให้การยอมรับว่าเป็นคนดีน่ะ
แกเชื่อมั้ยว่าหลายๆคนในกลุ่มพวกคนเหล่านั้นน่ะ
มันก็สั่งฆ่าคนได้เหมือนกัน ทั้งๆที่มันก็เป็นผู้รักษาชีวิตคน…

ก็ในเมื่อมนุษย์มันเกิดมาพร้อมกิเลส…
อาวุธพวกนี้ก็แค่สนองตัณหาของมนุษย์ก็เท่านั้น…

ฉันน่ะไม่ได้อยากเห็นคนทะเลาะกันนักหรอก
แต่เพราะรู้ว่าถ้าคนมันทะเลาะกันแล้วทำให้ฉันเจริญ
มีเงินทองมากมายมากองต่อหน้าฉัน แล้วฉันจะโง่อยู่ทำไมเล่า…

ฉันมันคนค้าคนขาย…อะไรที่ทำแล้วได้กำไรดี ฉันก็ไม่เกี่ยง…
ยิ่งยุให้มันทะเลาะกัน เกลียดชังกันได้มากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งรวยขึ้นเท่านั้น…

ในโลกนี้ ไม่มีอะไรจะได้กำไรดี เท่ากับการผลิดและขายสิ่งที่ตอบสนองตัณหามนุษย์
อย่างอาวุธและยาเสพติดแล้วล่ะเจ้าไนท์…

คนบ้ายา กับบ้าอำนาจ มันมีความกระหายอยากมากกว่าคนทั่วไป…
จนสามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้มา…ต่อให้ต้องเปลี่ยนนิสัยก็ยังยอม

แล้วความอยากที่ว่านั่นที่จะทำให้ฉันรวย…ส่วนอำนาจก็ทำให้ฉันอยู่ยง…

ถ้าแกมองว่าสิ่งที่ฉันทำมันไม่ถูกต้อง งั้นแกบอกฉันได้มั้ยว่า
ทำไมคนที่ทำอะไรไม่ถูกต้องอย่างฉัน ถึงได้อยู่ยงมาจนทุกวันนี้ได้โดยไม่มีล้ม…’
บิดาของเขาย้อนถามเขาด้วยแววตามั่นอกมั่นใจ
ในสิ่งที่ท่านยืนหยัดมาตลอด…

‘อำนาจที่พ่อบอกว่ามันทำให้พ่ออยู่ยงมาจนทุกวันนี้…มันก็แค่ชั่วคราว
ทุกครั้งที่พ่อครอบครองมัน พ่อก็จะรู้สึกร้อนรน เพราะกลัวว่าจะมีใครแย่งมันไป…

วันใดที่พ่อหมดอำนาจลง พ่ออาจไม่มีที่ให้พอยืนหยัดได้อีกต่อไปก็ได้…
ทุกอย่างมีเสื่อม…ขนาดจิตใจคนยังเสื่อมลงไปพร้อมๆกับความแก่เฒ่าชราของโลกใบนี้เลย

ถ้าพ่อจะหาข้ออ้างเพื่อยืนหยัดอยู่บนจุดยืนเดิม ผมก็คงทำได้แค่เพียงเฝ้ามองวันที่พ่อล้มลง…
แล้วไม่เหลือใครข้างกาย…เพราะพ่อกำลังพาตัวเองไปอยู่กับสังคมจอมปลอมและหลอกลวง
พ่อมองคนดีเป็นคนโง่ มองคนฉลาดแกมโกงเป็นคนเก่งและเป็นฮีโร่…
แล้วเทิดทูนคนชั่วให้เป็นผู้นำ…เห็นเงินทองทรัพย์สมบัติเป็นพระเจ้า

สุดท้ายเมื่อมีคนที่มองโลกแบบพ่อมากขึ้น คนจนก็จะพ่ายแพ้
ผู้กล้าต้องล้มตาย คนดีมีศึลธรรมจะถูกเหยียบย่ำ…แล้วผู้ยิ่งใหญ่ก็คือคนลวง!…”

นั่นคือสิ่งเดียวที่เขาจะบอกกับพ่อของเขาได้
เพราะดวงตาของพ่อของเขามองเห็นแต่ภาพของทรัพย์สมบัติ
และผลประโยชน์อันมากมาย จนมันทำให้หัวใจของท่านมองเห็น
อะไรไม่ชัดเจน…เขาอยากได้พ่ออย่างพ่อของสิ้นรัก…
ซึ่งเป็นศัตรูคู่ฉกาจของพ่อของเขา…

ซึ่งเขาเองก็แน่ใจว่าพ่อเองก็คงอยากได้ลูกอย่างขุนศึก
ซึ่งทำอะไรได้ดั่งใจพ่อทุกอย่างมากกว่าลูกชายหัวดื้ออย่างเขา…
พ่อคงอึดอัดที่ไม่อาจแสดงออกว่าเป็นพ่อของลูกชายคนโปรดได้…

ถ้าถามตัวเขาว่าเศร้าไหม คำตอบของมันก็คงไม่ต่างจากตอนที่เสียแม่ไปแล้วพ่อไม่ใยดี…
เขาเศร้ามาเนิ่นนาน จนเลิกเศร้าไปแล้วกับการอยากได้ความรักจากพ่อแล้วไม่ได้
และเขาก็ไม่ใช่เด็กชายขุนพลตัวเล็กๆในวันวาน
ที่เอาแต่ร้องไห้เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ…
ซึ่งตอนนี้สิ่งที่เขาต้องการ ก็คือการได้เห็นพ่อพบเจอความสุขที่แท้จริง
หลุดพ้นจากบ่วงมายาที่คล้องใจพ่ออยู่เสียที…

‘อย่ามาสอนฉัน…เอาตัวแกให้รอดก่อนเถอะเจ้าไนท์…
ชีวิตแกมันดีกว่าฉันอะไรนักหนา…ฉันไม่เห็นว่าแกจะโดดเด่นมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักอะไรเลย…

วันๆเอาแต่ขลุกอยู่กับสตูดิโอบ้าๆนั่น…ผลาญเงิน ผลาญสมบัติฉันไปตั้งเท่าไหร่แล้ว…
ยังมีหน้ามาต่อว่าฉันอีก…ไอ้ลูกทรพี…’

พ่อของเขาต่อว่าเขาด้วยคำพูดแรงๆแบบนี้เสมอยามที่โกรธจัด…

‘ผมคงต้องขอบคุณสมบัติของพ่อสินะ ที่ทำให้ผมโตมาได้จนทุกวันนี้…
แต่พ่อไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับผมเลยสักนิด ไม่รู้แม้กระทั่งวันเกิด
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมพักอยู่ที่ไหนหรือผมสร้างสตูดิโอนั่นมาได้ยังไง…

พ่อไม่รู้ เพราะพ่อไม่เคยใส่ใจ…

ชีวิตพ่อ เวลาของพ่อมีไว้เพื่อทุ่มเทให้กับทุกอย่างยกเว้นผม…

สมบัติที่สร้างไว้หล่อเลี้ยงร่างกายผม มันคงมีค่ายิ่งใหญ่มากในสายตาพ่อสินะ…
พ่อถึงได้สร้างมันไว้มากมายเพื่อทิ้งไว้ให้ผมคนเดียว…
จนยอมจ่ายความเป็นคนเพื่อซื้อความพอใจให้กับชีวิต
โดยไม่คิดถึงชีวิตอื่นๆ เพียงเพื่อต้องการเป็นผู้ยิ่งใหญ่อยู่ค้ำฟ้า…
ราวกับไม่คิดถึงความตายที่อยู่เบื้องหน้า…

พ่อไม่มองไปรอบๆบ้างเลยเหรอครับ ว่าตอนนี้ที่ที่พ่อยืนอยู่มันทั้งหนาวและเยือกเย็น
จนผมรู้สึกได้ทุกครั้งเวลาอยู่ใกล้พ่อ…

ถ้าทุกอย่างที่พ่อสร้างมาเพียงเพื่อต้องการให้มันตกทอดมาถึงผมคนเดียว
ผมขอให้พ่อหยุดเถอะ เพราะเท่าที่ผมมีอยู่ตอนนี้ มันก็เพียงพอแล้ว…

และผมไม่ต้องการสมบัติอะไรจากพ่ออีกแล้ว นอกจากได้พ่อธรรมดาๆเท่านั้น…’
จอมพลกัดฟันกรอด

‘แกไม่เคยรู้หรอกเจ้าไนท์ว่ากว่าฉันจะก้าวขึ้นมาอยู่ตรงนี้ได้
ฉันลำบากยากเย็น ผ่านร้อนหนาวมาอย่างเหน็ดเหนื่อยแค่ไหน…

จากเด็กกำพร้า ไร้ที่พักพิง…ต้องยอมให้คนโขกสับและดูถูก
ยอมทำงานทุกอย่าง ไม่ว่าจะต่ำต้อยด้อยค่าแค่ไหนก็ต้องอดทนทำ…

กว่าจะได้ข้าวมากินสักเม็ด ฉันกับอาของแกเลือดตาแทบกระเด็น…

คนที่ดูดี…และคนอื่นบูชาน่ะ…มันก็ไม่ได้ดีอะไรนักหนานักหรอก…
มันก็พร้อมจะดูถูกดูหมิ่นคนที่ต่ำต้อยกว่าเมื่อมีโอกาสกันทั้งนั้น…
แกรู้มั้ยว่าเหรียญอันนี้ฉันรักมันมากแค่ไหน…’พ่อของเขาหยิบเหรียญบาท
รุ่นเก่าโบราณขึ้นมาส่งให้เขา…

‘นี่คือเหรียญบาทที่ทำให้ฉันก้าวขึ้นมาสู่จุดนี้ได้…
เพราะมันเป็นเหรียญบาทเหรียญแรกในชีวิตการทำงานของฉัน…
และฉันไม่เคยทิ้งมัน เพราะมันไม่เคยด้อยค่าสำหรับฉันเลย…

แม้คนที่เจียดมันให้กับฉันจะมองมันว่าไร้ค่าแค่ไหนก็ตาม…’

ตอนนั้นเขามองเหรียญดังกล่าวด้วยแววตางุนงง

…ในเมื่อพ่อของเขาไม่เคยมองข้ามคุณค่าของเหรียญบาท
แล้วอะไรเล่าที่ทำให้พ่อของเขาถึงได้มองไม่เห็นคุณค่าของความเป็นคน
ท่านถึงได้ยอมทิ้งมันไว้ข้างหลัง ไม่ใส่ใจมันอีก…

‘เวลาที่ฉันล้มลง ไม่เห็นจะมีมนุษย์หน้าไหนมันหยิบยื่นมือมาช่วยฉัน
หมามันยังรู้จักช่วย…ถ้าแกคิดว่าฉันชั่วช้าเลวทรามแล้วก็ล่ะก็…
ฉันบอกแกได้เต็มปากเต็มคำว่าต่อให้ฉันแย่แค่ไหน…ก็ยังพอๆกับหมา…
ไม่ได้แย่ไปกว่าหมาเหมือนมนุษย์อีกหลายๆคนหรอก…ที่เลวยิ่งกว่าสัตว์…’
แววตาของพ่อของเขาที่แสดงออกมายามที่พูดนั้น
เขาสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวด

‘และไม่มีวันที่ฉันจะกลับหลังหันอีกแล้ว…ต่อให้แกพยายามโน้มน้าวฉันสักแค่ไหนก็ตาม…
เพราะฉันได้ขายวิญญาณให้กับซาตานไปแล้ว…

ความดีที่ฉันเคยทำ มันไม่เคยส่งผลให้ฉันได้ดีอย่างที่ฉันฝันไว้เลย…
ความชั่วสิ ที่สนองทุกอย่างที่ฉันต้องการได้…แล้วฉันนี่แหล่ะ
ที่จะเป็นคนชี้ชะตาผู้คน…ไม่เว้นแม้แต่แก…’

‘พ่อไม่มีอำนาจมากมายขนาดนั้นหรอก เพราะเจ้าของอำนาจท่ีแท้จริงน่ะ
เขาไม่จำเป็นต้องพึ่งพาต่อสิ่งใด และทุกสิ่งจะต้องพึ่งพาเขา…
ถ้าพ่อทำได้อย่างนั้นเมื่อไหร่…ผมนี่แหล่ะจะเป็นคนยกย่องพ่อให้เป็นพระเจ้าเอง…

เชื่อผมเถอะ…ไม่ว่าจะเดินบนดินหรือบินเหนือเมฆ…
สุดท้ายเมื่อสิ้นลมก็ต้องร่วงลงสู่พื้นเดียวกันทั้งนั้น…

ที่ที่พ่อบินอยู่ มันไม่สามารถเป็นที่พักพิงให้พ่อได้จริงๆหรอก…
เลิกอำพรางชีวิตเดิมเถอะก่อนที่อะไรๆมันจะสายเกินไป…

ผมไม่อยากเห็นวันที่พ่อล้มลง แต่ถ้าพ่อไม่ล้ม ผมก็คงไม่ได้เห็นพ่อที่ไม่เหลืออะไรเลย…

ผมอยากให้พ่อรู้ว่าวันที่พ่อไม่เหลืออะไร…จะมีใครอยู่เคียงข้างพ่อบ้าง…
โดยเฉพาะคนที่พ่อรักและปกป้องมาตลอด…’

‘แกกำลังแช่งฉันเหรอเจ้าไนท์…’พ่อของเขาตวาดเขาเสียงดังลั่น
ด้วยแววตาวาวโรจน์เนื่องจากความโกรธ

‘ผมไม่ได้แช่ง ผมพูดไปตามเนื้อผ้า…เอาเป็นว่า ผมกับพ่อ เรามีความต้องการที่แตกต่างกัน…
ผมอยากให้พ่อเป็นอีกอย่าง ส่วนพ่อก็อยากให้ผมเป็นอีกอย่าง…

ในเมื่อมันสวนทางกัน เราก็อย่ามาเถียงกันเรื่องความคิดอีกเลยครับ…

ผมแค่อยากให้พ่อรู้ว่าผมรักพ่อ…และอาจเป็นคนเดียวในโลกที่รักพ่ออย่างจริงใจ
พ่อจะเชื่อหรือไม่…วันเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์…’

นั่นคือการถกกันระหว่างเขากับพ่อ จนเขาต้องกลับมานอนคอนโดคนเดียว
ด้วยความเหนื่อยล้าเช่นนี้

…ชีวิตเขาเองก็แทบไม่มีใคร เพราะส่วนใหญ่เขาเลือกท่ีจะขลุกอยู่กับธรรมชาติและกล้องถ่ายรูปคู่ใจ…
เดินทางไปไหนมาไหนคนเดียวจนเคยชิน

สิ่งที่เขาปรารถนา คือการมีชีวิตคู่ที่สมบูรณ์ มีครอบครัวที่อบอุ่น…

เขาเคยวางแผนครอบครัวที่แสนสุขเอาไว้ในหัว
แต่แผนดังกล่าวก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้จริง เมื่อเขาพบว่า ใครสักคน
ที่จะมาเติมแผนผังชีวิตคู่ของเขาให้เป็นจริง ยังไร้ตัวตน…

คนที่ใกล้เคียงและเมียงมองมาตลอดก็มีเจ้าของมาตีตราจองเอาไว้เสียแล้ว



การอกหัก มันไม่ได้รู้สึกแย่เท่ากับการมองไปทางไหนก็ไม่เจอใคร
ให้ผูกพันธ์และรักสักทีอย่างเขาในตอนนี้…มันทั้งเหงาและอ้างว้างจับหัวใจ



เหงา…รู้ว่าเหงา…
เศร้า…รู้ว่าเศร้า…
ร้าวลึก…รู้สึกได้…
เหน็บหนาว…จับขั้วหัวใจ
เมื่อไร้ใครสักคนให้จูงมือ…
แล้วพากันเดินไปบนทางระหว่างฝัน…

ซึ้ง…ซึ้งถึงจิต
ซาบ…ซ่านสุดใจ
ใส…น้ำตาไหล
สุสานหัวใจ…ไม่มีใครมาถางถาก…


ความรักหายาก
อ้อมกอดอบอุ่นสุดเอื้อมถึง
ราวสายลมพัดมาแล้วพัดไป
ไร้ตัวตน ไร้กลิ่น ไร้ซึ่งหัวใจ…



...โปรดติดตามตอนต่อไป...

คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ...คนที่เราคิดว่าดีอาจไม่ดีอย่างที่เห็น
ส่วนคนที่ชั่วสุดขีด บางทีก็มีเหตุผลให้ต้องทำ...

แต่ไม่ว่าอย่างไร ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว...

หัวใจ สิ่งที่อยู่ข้างในจึงเป็นตัวบอกว่าคนนั้นดีหรือชั่ว...


ขอคุยกับนักอ่านกันค่ะ

1.น้องหนอน...พี่คิดแล้วว่าจะต้องมีนักอ่านลืมเห็นยกก่อนหน้านี้...อิอิ
เพราะเห็นเม้นท์มันน้อยจนน่าหดหู่เกินไป...เฮะๆๆ....

2.คุณบัวขาว...โยลืมบอกล่วงหน้าน่ะค่ะว่าให้พกทิชชูก่อนอ่านด้วย...เฮะๆๆ
เรื่องเจ้าเหมียว มันค่อยยังชั่วแล้วค่ะ แต่ยังไม่หายเลย...
โยโทรไปหาพี่สาว บอกว่าให้บอกมันด้วยว่าอย่าเพิ่งทิ้งกันไปก่อน
รออีกนิดเดี๋ยวจะกลับไปหาแล้ว...พี่สาวบอกว่ามันนอนหูผึ่งอยู่ค่ะ...ตามันจ้อง
มาที่โทรศัพท์ โยว่าโทรจิตน่าจะส่งถึงได้บ้างนะคะ...เฮะๆๆ
แมวโยตัวนี้ฟังภาษาคนออกค่ะ...เพราะโยพูดภาษาคนกับมันตั้งแต่ไหนๆแล้ว

3.คุณviolette...ดีนะคะที่ขนาดซึมแล้วยังไม่ลืมส่งกำลังใจมาให้เต่าโย..จุ๊บๆนะคะ

4.คุณAprilSK...เหมือนจะหายไปนะคะ...ยังนึกอยู่เลยว่าสงสัยจะเรียนยุ่งหรือเปล่า...อิอิ
ใกล้จะหมดปีอีกแล้วนะคะ อายุก็คงจะเดินหน้าต่อไปไม่มีหยุดเหมือนกัน...เฮะๆๆ
รอบนี้ซาเนียเจอศึกหนักอีกระลอก...ดีที่ได้งูมาช่วยไว้ ไม่งั้นแย่แน่ๆ...

5.คุณหมีสีชมพู...เริ่มตัดชุดได้แล้วนะคะตอนนี้ เดี๋ยวจะไม่ทัน...อิอิอ
ว่าแต่จะเกี่ยวแขนหนุ่มคนไหนในเรื่องนี้ไปงานแต่งเหรอคะ...เฮะๆๆๆ

6.คุณkonhin...ตอนที่แล้ว โยมาโพสต์ตรงวันเดียวกันกับตอนก่อนหน้าโน้นน่ะค่ะ
มันเลยไม่โผล่ที่หน้าบอร์ดรวมนิยาย...ถ้าดูตรงวันโพสต์ตอนที่ 69 กับ 70
จะเป็นวันเดียวกันน่ะค่ะ...พอดีเป็นระบบใหม่ของเว็บเลิฟ...ซาเนียคงต้องปรับปรุง
ตัวเองครั้งใหญ่กันล่ะค่ะงานนี้...

7.คุณตามหาฝัน...ดีใจจังเลยค่ะที่คุณตามหาฝันยังไม่ทิ้งกันไป...
เห็นเงียบๆไป โยก็นึกว่าเซ็งไปแล้ว...อิอิอิ ขอบคุณนะคะสำหรับกำลังใจ จุ๊บๆค่ะ

8.คุณgoldensun...ขอบคุณค่ะสำหรับไก่ที่จับมาให้เต่าโยเชือด...จุ๊บๆ
เวนไตยเขาเป็นคนประเภทปากไม่หวาน พูดไม่ค่อยเพราะน่ะค่ะ...
แต่การกระทำนั้นล้วนแล้วแต่จริงใจ ไม่เสแสร้งเลย...
ประมาณว่า "ปากร้ายแต่ใจดี"น่ะค่ะ...หรือที่ร้ายเพราะมันรัก...
เป็นอีกหนึ่งลักษณะที่ผู้ชาย(บางคน)มักใช้กลบเกลื่อนความรู้สึกดีๆที่มีให้กับหญิงสาวที่หมายปอง...
ไม่รุ้สิคะ โยว่าโยชอบผู้ชายสไตล์นี้มากๆเลยค่ะ
ไม่ต้องถึงกับพูดหวาน เน้นการกระทำอย่างเดียว และก็ไม่ต้องเอาอกเอาใจเรา
ตามใจเราจนเกินไป เพราะเราก็อยากได้ผู้นำ มิใช่ผู้ตามน่ะค่ะ...
ยิ่งผู้หญิงอย่างซาเนีย ถ้าได้ผู้ชายที่เอาแต่ตามก้นตามใจเพราะอยากเอาใจ
อาจจะแย่ยิ่งกว่านี้ค่ะ...

9.คุณsai...น้ำท่วมจอด้วยรึเปล่าคะ...อิอิอิ...
หวังว่ายกนี้จะไม่ซ้ำเติมให้น้ำไหลนองเต็มตลิ่งนะคะ...เฮะๆๆ


สุดท้ายไม่ท้ายสุด

ขอบคุณทุกๆไลค์ ทุกๆกำลังใจ และทุกๆคนที่เข้ามาอ่านมาเยี่ยมเยือนกันนะคะ


ปล.นายไนท์หรือนายขุนพลนี่แหล่ะค่ะ พระเอกเรื่อง เศษหนึ่งส่วนสองยกกำลังศูนย์
ที่โยยังไม่ได้เริ่มเขียน...แต่เคยมาเกริ่นๆเอาไว้แล้ว....อิอิอิ...

คงจะได้เขียนหลังเขียนเรื่องนี้กับเรื่องอะรูซะตีจบน่ะค่ะ....

...แล้วเจอกันยกหน้าค่ะ...

"เต่าโย"




yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ธ.ค. 2555, 19:38:22 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 ธ.ค. 2555, 19:38:22 น.

จำนวนการเข้าชม : 2385





<< ยกที่ 70 ห่วงใย   ยกที่ 73 My all >>
konhin 16 ธ.ค. 2555, 20:17:58 น.
โอ้ คุณหมอ ช่างแรงจริงๆ สงสารลูกแก้ว ซาเนียจากมาหน่ะ ถูกแล้ว แต่ก็สงสารนายเวนไตร เฮ้อ ทั้งตอนมีแต่คนน่าสงสาร


บัวขาว 16 ธ.ค. 2555, 21:35:26 น.
ดีใจด้วยค่ะเรื่องเจ้าเหมียว
=^_^=


sai 16 ธ.ค. 2555, 22:42:23 น.
ตอนนี้ไม่ท่วมแต่ทำให้มองอะไรได้กว้างๆๆๆๆๆ


supayalak 16 ธ.ค. 2555, 23:11:47 น.
โอ้วววว ตอนนี้เรื่องราวยาวเหยียดเฉียดเมืองตรัง แวะมาเป็นกำลังใจให้โรท์เตอร์ก่อนเดี๋ย วมาอ่านต่อให้จบนะจ๊ะ แค่ครึ่งตอนก็เรียกน้ำตาอีกล่ะ ต้องมาดูอีกครี่งว่าจะเป็นยังไงต่อ


violette 16 ธ.ค. 2555, 23:48:44 น.
น่าสงสารทั้งตอนเลยจริงๆค่ะ ปมเยอะมาก แง้งงงงงง


AprilSK 17 ธ.ค. 2555, 03:26:04 น.
ช่วงนี้กำลังอยู่ในภาวะเครียดค่ะ กำลังจะทะลุปรอทเลย แต่ก็ยังแวะมาอ่านเหมือนเคยค่ะ


goldensun 17 ธ.ค. 2555, 06:30:00 น.
สุดยอดเลย ลูกแก้ว แสนรู้มาก ไม่น่าโดนยิงตายเลย แต่ก็ได้ไปอยู่กับระรินนะ
เวนไตยต้องชัดเจนกับซาเนียมากกว่านี้นะ ให้ซาเนียมั่นใจหน่อย ยิ่งรู้สักผิดอยู่
รอดูหมอรังง้อสิ้น ไม่งั้นคานน้อยได้คอยรักต่อ


ใบบัวน่ารัก 17 ธ.ค. 2555, 09:11:02 น.
เหตุผลมากมาย
บางครั้งก็ยากที่จะเข้าใจ
อะไร ทำเพื่อใคร


หมีสีชมพู 17 ธ.ค. 2555, 15:15:46 น.
เห็นชื่อหมอคนใหม่แว้บๆ แต่เค้ามีคู่แล้ว


nasa 17 ธ.ค. 2555, 16:13:15 น.
ขอแซวนะคะ เป็นนิยายที่คนมีคู่กันเยอะมากๆ เหมือนตัวละครมันงอกเพิ่มเรื่อยๆ สงสัยต้องเปลี่ยนชื่อเรื่องซะมั้งคะ แต่คู่น้องสิ้นกะหมอรังนี่สุดยอด อุปสรรคเยอะจริงๆ


บัวขาว 18 ธ.ค. 2555, 21:57:02 น.
คืนนี้จะมาอัพไหมนะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account