คานน้อย คอยรัก (จบแล้วค่ะ)
คานน้อย คอยรัก

ในลักษณ์นั้นว่าประหลาด…………….คนบนคานนั้นว่าน่าประหลาด
เป็นเชื้อชาตินักรบกลั่นกล้า…………...เป็นเชื้อชาตินักรักผู้หาญกล้า
เหตุไฉนย่อท้อรอรา…………………..เหตุไฉนย่อท้อรอเวลา
ฤาจะกล้าแต่เพียงวาที…………………ฤาไม่กล้าบอกรักใครสักที

เห็นแก้วแวววับที่ดับจิต…………………เห็นคานแก้วแวววับสดับจิต
ใยไม่คิดอาจเอื้อมให้ถึงที่……………...ใยไม่คิดปีนไปให้ถึงที่
เมื่อไม่เอื้อมจะได้อย่างไรมี……………อย่ามัวรอจงขึ้นมาเร็วรี่
อันมณีฤาจะโลดไปถึงมือ………………บนคานนี้มีรักให้ฝึกปรือ

อันของสูงแม้ปองต้องจิต………………..คานเราสูงไม่เป็นรองของใครอื่น
ถ้าไม่คิดปีนป่ายจะได้ฤา………………..อย่าได้ขืนลงไปให้เสียชื่อ
มิใช่ของตลาดที่อาจซื้อ………………….มิใช่ทองตามตลาดที่อาจซื้อ
ฤาแย่งยื้อถือได้โดยไม่ยอม……………..เพราะเราถือความพอใจจึงลงไป

ไม่คิดสอยมัวคอยดอกไม้ร่วง……………ไม่คิดสอยมัวคอยให้คานทับ
คงชวดดวงบุปผาชาติสะอาดหอม………..รอให้ดับคาคานหรืออย่างไร
ดูแต่ภุมรินเที่ยวบินตอม…………………..ฤาต้องคอยรักแท้จนแก่ใช่ไหม
จึงได้ออมอบกลิ่นสุมาลี…………………..เกาะคานน้อยคอยรักต่อไป
…………………..........จนกว่าจะเจอคนที่ใช่…ใช่ไหมคาน………………
(อ้างอิงกลอนจากบทละครเรื่องท้าวแสนปม)

มาดูเหตุผลของคนที่ยังไม่ลงจากคานกันค่ะ...
อาจจะมีเหตุผลมากมายที่ไม่อยากลงจากคาน
หรืออาจมีเพียงแค่หนึ่งเหตุผลง่ายๆก็คือ...

...ไม่ใช่คนที่ใช่ก็ไม่ใช่...

หรือว่า

...โดนข้อหาหลายใจ เพราะเคยมีแฟนหลายหน...

หรืออาจเป็นเพรา

...เขาบอกให้รอ เราก็รอ...

หรือจริงๆแล้ว

...ขออยู่รอคนสุดท้ายคนนั้นได้ไหม...

หรือลึกลงไป

...กำลังรอเจ้าชายในฝันอยู่อย่างอดทนได้ทุกอย่าง...

หรือกำลังปลอบใจตัวเองว่า

...ครึ่งหนึ่งของฉันยังมาไม่ถึง...ซึ่งสักวันเขาจะมาอยู่ข้างกัน...

หรือกำลังหลอกตัวเองด้วยการปกปิดว่า

...ไม่หวั่นไหว หัวใจไม่ปรารถนา...

ทั้งๆที่จริงๆแล้ว

...อยากรัก อยากฝัน แต่เพราะกลัว ก็เลยไม่กล้ารักใคร...

หรือว่าอาจจะเป็นเหตผลสุดท้ายที่ไม่ค่อยมีใครกล้ายอมรับดังๆว่า

...ไม่เคยมีใครมาจีบ ไม่มีใครสน เรามันคนธรรมดาๆ...

แต่ไม่ว่าจะเหตุผลใด...

เราก็ยังหวังและยังคงรอคอยปาฏิหาริย์ว่าจะได้เจอคนที่ใช่ในสักวัน...


Tags: ดราม่า หวานซึ้ง อบอุ่น หมอรัง สิ้นรัก วายุ ปองขวัญ

ตอน: ยกที่ 73 My all


มาแล้วค่ะ....มาแล้วววววววว...^^


ยกที่ 73 My All

ซาเนียทอดสายตามองไปยังท้องทะเลกว้างไกลสุดสายตา
เกาะน้อยใหญ่เห็นเป็นปุ่มๆเหมือนหินกลางแม่น้ำ…

ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แล้ว…ที่น้ำตาของเธอรินไหล บ่อน้ำตาอยู่ที่ไหนนะ
ถึงได้ผลิตน้ำตาออกมามากมายครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับว่ามันไม่มีวันหมด

ถ้าเธอรู้จักจัดการกับหัวใจของตัวเองไม่ให้มันโลดแล่นไปกับจังหวะ
และโอกาสที่ถูกหยิบยื่นให้ตั้งแต่ต้น เธอก็คงไม่ต้องมีน้ำตาและเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้…

และทั้งๆที่รู้ว่าท้ายที่สุดแล้วมันจะลงเอยเช่นไร
หากเธอก็ยังคงรั้นที่จะทำตามเสียงเรียกร้องของหัวใจ
เลือกที่จะพาหัวใจของตัวเองไปไหนต่อไหนตามอำเภอใจ
ไม่เคยคิดที่จะท้วงติงหรือห้ามปรามมันเลย…

และทั้งๆที่รู้ว่าต้องเจ็บปวดและขื่นขมแต่หัวใจมันก็ไม่ยอมหยุดฝันหวาน
และเพ้อไปเรื่อยว่าเรื่องราวที่ผ่านมาคือความจริง ไม่ใช่ความฝัน

ทั้งๆที่ตอนนี้เธอได้ตื่นขึ้นมาแล้วและก็พบว่า…เรื่องราวที่ผ่านมามันไม่เคยมีตัวตนเลย…
เธอแค่คิดไปเอง เข้าใจไปเองก็เท่่านั้น…

เขานำเธอมาทิ้งไว้ที่นี่แล้วก็จากไปโดยไม่ลากันสักคำ
ราวกับเธอไม่มีค่าสำหรับเขาเลย…

เธอรู้แน่แก่ใจแล้วว่า ได้สูญเสียหัวใจที่เคยหวงนักหวงหนาให้กับเขาไปแล้ว

…แววตาห่วงใยของเขา ทีท่าปกป้องคุ้มครองเธอยามมีภัย
ทำให้คนเคยเหงาอย่างเธอได้รับการดูแลเอาใจใส่จนรู้สึกสุขใจ…
อบอุ่นใจ มันเป็นเหตุให้เธอตกหลุมพรางรักเขา
ทั้งๆที่ไม่เคยคิดที่จะรักคนแบบนั้นมาก่อนในชีวิต…

ยิ่งรู้ว่ารักเขาแค่ไหนก็ยิ่งเจ็บปวด เมื่อรู้ว่าเขาไม่ได้เห็นเธอสำคัญสำหรับเขา

…และที่แย่กว่านั้นก็คือ…หัวใจของเธอมันยังหาเรื่องดื้อรั้น
ที่จะรักเขาต่อไปไม่ยอมเลิก…ทั้งๆที่รู้ว่าต้องเจ็บปวดก็ยังเต็มใจที่จะเจ็บ…

ในเมื่อมิสเตอร์ไรท์ที่เธอตามหามาตลอดกลายเป็นเขาไปแล้ว…
เธอจะเดินทางตามหาใครนอกจากเขาได้อีกหรือ…

วันนี้เขาจากไปแล้ว จากไป…ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้เจอกันอีก…
ซาเนียหวังอยู่ลึกๆว่า เขาจะมาที่นี่อีกแน่ๆตอนงานวันแต่งของรังสิมันต์

“คิดอะไรอยู่เหรอซาเนีย…”หญิงสาวสะดุ้งตกใจก่อนจะพ่นลมหายใจออกเบาๆ
เมื่อรู้ว่าเจ้าของเสียงเป็นใคร หญิงสาวหันไปยิ้มให้คนที่เดิน
มายืนข้างๆเธอนิดนึง ก่อนจะตอบออกไปด้วยเสียงอ่อนระโหยโรยแรง

“คิดว่า…จะทำยังไงกับชีวิตของตัวเองต่อไปดี…”

“แล้วคิดได้รึยัง…”หญิงสาวส่่ายหน้าแทนคำพูด…
ก่อนจะก้มหน้ามองเม็ดทรายเล็กๆที่หลอมรวมกันเป็นหาดทรายยาวสุดสายตา
ไม่รู้ว่าเม็ดทรายเหล่านี้มันมารวมตัวได้อย่างไร…

“ซาเนียยังมองหาจุดหมายปลายทางที่จะไปหาไม่เจอ…ก็เลยไม่รู้ว่า
จะเอายังไงกับชีวิตดี…ตอนนี้ที่เห็นมีแต่ม่านหมอกปกคลุมเต็มไปหมด”
น้ำเสียงคนพูดราวกับสิ้นหวังและหมดแรง…

“แล้วความฝันล่ะ…เรามีความฝันรึเปล่า…”ซาเนียหันไปมองคนถาม
ซึ่งมองมาที่เธอด้วยรอยยิ้มอบอุ่นเช่นเดิมทุกครั้ง…

“พี่เชื่อว่าเธอมีความฝัน…”ซาเนียยิ้มบางกับถ้อยคำนั้น

“ค่ะ…ซาเนียมีความฝัน…แล้วพี่รังอยากฟังเกี่ยวกับมันรึเปล่าล่ะคะ…”

รังสิมันต์ใช้รอยยิ้มเป็นคำตอบ…หญิงสาวจึงเริ่มเล่าความฝันของเธอ
ขณะที่แววตาจับไปที่เกาะๆหนึ่งซึ่งมองเห็นเลือนลางเหลือเกิน…

“ซาเนียก็แค่ผู้หญิงธรรมดาๆทั่วไป ที่ต้องการคนคอยรักคอยห่วงใย
คอยดูแลและอยู่เคียงข้างกัน…แล้วก็อยากรักอยากห่วงใยใครสักคน
อยากสร้างครอบครัวที่อบอุ่นด้วยกันกับเขาคนนั้น…อยากได้ยินคำว่าแม่
จากปากของเด็กที่ซาเนียอุ้มท้องมา…ซาเนียอยากรู้ว่าถ้าซาเนียได้เป็นแม่แล้ว
ซาเนียจะรู้สึกยังไง…จะมีความสุขสักแค่ไหน…

และเหนือสิ่งอื่นใด ซาเนียอยากรู้ว่าความรู้สึกของคนเป็นแม่
เวลามองภาพสามีที่รักอุ้มลูกรักของตัวเองมันเป็นยังไง…
เพราะแค่แอบมองภาพพ่อแม่ลูกอยู่ด้วยกัน คลอเคลียรักใคร่กัน
ซาเนียยังรู้สึกได้ถึงความสุขที่แผ่ออกมาจากพวกเขาได้เลย…

ครั้งหนึ่งซาเนียได้นอนหลับแล้วฝันว่าซาเนียท้อง
ความรู้สึกในความฝันมันประหลาดมากเลยค่ะ
ประหลาดจนซาเนียอยากรู้ว่า ถ้าซาเนียท้องขึ้นมาจริงๆ ซาเนียจะรู้สึกเช่นนั้นรึเปล่า…
มันเป็นความรู้สึกที่วิเศษและยากเกินจะบรรยายเลยล่ะค่ะ

…พี่รังฟังแล้ว…คิดว่า…ซาเนียฝันเล็กเกินไปรึเปล่าคะ”
รังสิมันต์ยิ้มบางแล้วกล่าวเสียงทุ้มนุ่มว่า

“พี่ว่ามันเป็นฝันที่ยิ่งใหญ่นะ…หลายคนยังคงทำได้แค่ฝัน และอีกหลายคน
กลับเป็นได้ทั้งๆที่ไม่เคยคิดฝันมาก่อน…พี่ว่า…การได้เป็นแม่คนไม่ใช่เรื่องง่ายเลย…
ซ้ำการเป็นแม่ที่ดี ยังทำได้ยากยิ่ง…

การฝันอยากเป็นแม่ พี่ว่ามันจะเล็กไปได้ยังไง…ในเมื่อผู้ชายไม่มีสิทธิ์
ที่จะทำหน้าที่แม่ได้เลย…แต่ผู้หญิงกลับมีสิทธิ์ที่จะทำหน้าที่พ่อแทนผู้ชายได้

ถึงผู้ชายจะอยากรู้ว่าการมีลูกน้อยๆอยู่ในท้องเป็นอย่างไร แต่ก็คงเป็นได้แค่คิดฝันไป
ไม่มีวันเป็นจริงได้…เพราะผู้ชายไม่มีโลกเล็กๆที่คอยปกป้องคุ้มครองภัยให้ลูกน้อย
อย่างมดลูกของผู้หญิง ซึ่งเป็นที่พักพิงอันปลอดภัยของทารกก่อนถือกำเนิดลืมตามาดูโลก…

สำหรับพี่…แม่คือสิ่งมีชีวิตที่วิเศษที่สุด…คือสองมือที่โอบอุ้มโลกใบนี้ให้หมุนต่อไป…”

รังสิมันต์หยุดยิ้ม และนึกถึงภาพของมารดา
ที่คอยเลี้ยงดูอุ้มชูเขากับน้องชายมาตั้งแต่เขายังจำความได้จนบัดนี้
แล้วอดซาบซึ้งในบุญคุณของท่านไม่ได้

“ถ้าถามว่าระหว่างพ่อกับแม่…พี่รักใครมากกว่ากัน
สำหรับพี่นั้น พี่ตอบได้เต็มปากเต็มคำว่าพี่รักพ่อมาก แต่ก็ไม่มากเท่ากับที่รักแม่…
เพราะหลังจากพ่อเสียไป…แม่ก็เลี้ยงพี่กับนายรักมาเพียงลำพัง…

ผู้หญิงที่แบกภาระหน้าที่ของพ่อและของแม่ไปด้วยในคราวเดียวกันอย่างแม่พี่…
พี่ถือว่า…ท่านวิเศษเกินกว่าที่พี่จะบรรยายได้”
ซาเนียมองหันมามองสายตาของคนพูดที่ทอดไปยังขอบฟ้าไกลแล้วยิ้มบาง…

“บางครั้ง…ความแข็งแกร่งก็ไม่ได้วัดกันที่สภาพร่างกาย จิตใจที่ไม่ยอมแพ้
ไม่ท้อถอย และสู้อดทน แม้จะอยู่ในร่างกายที่อ่อนแอ บอบบาง ร่างเล็ก
แลดูอ่อนโยนนั้นต่างหากที่สะท้อนออกมาให้เห็นถึงความเข้มแข็งจริงๆ…
และผู้หญิงหลายคนก็ทำได้อย่างไร้ที่ติ…มันเป็นเสน่ห์อย่างนึงที่ตรึงใจพี่…”

ซาเนียแค่นยิ้ม แล้วแอบคิดไปถึงหวานใจของคนพูด
…ไม่บอกก็รู้ว่าคนพูดกำลังคิดถึงใครอยู่…

“ค่ะ…ซาเนียเองก็อยากเป็นแม่ที่ดีและเก่ง…แต่ก็น่าเสียดาย…
ที่ซาเนียทำได้มากที่สุดก็แค่รอคอย…โดยที่ไม่มีวันได้รู้
ว่าการรอคอยจะสิ้นสุดเมื่อไหร่…ถึงแม้จะเจ็บปวด แต่ซาเนียก็จะไม่ไปไหน
และจะไม่หยุดฝัน เพราะซาเนียเลือกแล้วที่จะรอคอย…เพราะการตามหา
มิสเตอร์ไรท์ของซาเนียสิ้นสุดลงแล้วค่ะพี่รัง…ซาเนียเจอเขาแล้ว…”

ซาเนียกล่าวขณะที่น้ำตารื้นแทบจะเอ่อออกมา…
และก็สุดจะห้ามมันไม่ให้ไหลได้อีกต่อไป ยามที่เอ่ยประโยคต่อมาว่า

“มันช่างน่ายินดีที่ซาเนียหาคนที่ใช่เจอสักที…แต่มันกลับกลายเป็นแย่ยิ่งกว่า
ที่ได้รู้ว่่าตลอดมา…เขาไม่ได้…รักเรา…”

รังสิมันต์มองแววตาที่แสดงออกถึงความเจ็บปวดออกมาอย่างเปิดเผยนั้นแล้วให้สงสาร…

บัดนี้เขาแน่ใจแล้วว่า…ซาเนียรักใคร…ซึ่งมันน่ายินดีที่อีกฝ่ายได้บอกเขา
ก่อนจากไปว่ารู้สึกเช่นไรกับหญิงสาวที่กำลังร้องไห้อยู่ข้างๆเขา…

“การที่ได้รักกับคนที่รักเรามันอาจดูง่ายดายสำหรับบางคน
แต่กับบางคนกลับยากเย็น…ยิ่งไปกว่านั้น การที่จะได้เจอกับคนที่ฝันตรงกันกับเรา
มันไม่ได้ง่ายเลยสักนิด

แต่พี่เชื่อ…เชื่อว่าซาเนียที่แสนดีของพี่จะเป็นผู้หญิงที่โชคดี
ที่ได้รักกับคนที่รักเราและได้ร่วมฝันเดียวกันกับเขาคนนั้น…”

ซาเนียถึงกับมองคนพูดนิ่ง เพราะถ้อยคำดังกล่าวเหมือนจะสื่อบางอย่างมาให้เธอ
และไม่ต้องแปลให้ยาก ในเมื่อมันฟ้องออกมาทางสายตาของคนพูดแล้ว

“พี่รังรู้เหรอคะ…ว่ามิสเตอร์ไรท์ของซาเนียเป็นใคร…”รังสิมันต์ไม่ตอบ
นอกจากยิ้มบาง แล้ววางมือลงบนบ่าของหญิงสาวขณะกล่าวว่า

“อย่าร้องไห้เลย…เพราะอีกไม่นาน เขาคนนั้นจะกลับมาปลดปล่อยเราจากการรอคอย
…เชื่อพี่สิ…”ซาเนียถึงกับทำหน้าไม่ถูก อยากจะเชื่อ
แต่ติดตรงที่…เธอจะเชื่อทั้งๆที่เขาคนนั้นจากเธอไปโดยไม่ร่ำลา
ปราศจากคำสัญญาใดๆได้อย่างไร…

“หน้าที่กับความรัก แยกไม่ยากหรอก…แค่ใช้ใจส่องดู
ก็จะรู้ว่าสิ่งที่เขาทำให้กับเรา มันเป็นเพราะหน้าที่ หรือเพราะความรัก…

ผู้ชายบางคน เลือกใช้คำว่าหน้าที่ เพื่อกลบเกลื่อนความรักที่มีมากมายไม่ให้อีกฝ่ายรู้…
เพราะกลัวว่าความรักมันจะแสดงตัวออกมานอกหน้าเกินไปจนอีกฝ่ายรู้ตัว…
คำว่าหน้าที่จึงถูกใช้เป็นฉากบังใจ…

ถ้าเธออยากรู้ว่าเขาคนนั้นรักเธอมากแค่ไหน…พี่แนะนำให้หันกลับ
ไปมองวันวานที่ผ่านมาอีกครั้ง…แล้วถามตัวเองเมื่อต้องอยู่ตามลำพังว่า…
ถ้าเป็นคนทั่วไป เขาจะทำเพื่อเราอย่างที่เขาคนนั้นทำให้ได้รึเปล่า…

เพราะหน้าที่ คือสิ่งที่เราต้องทำ จะอยากทำหรือไม่ เราก็ต้องทำมัน
แต่กับความรัก เราไม่เคยคิดว่าต้องทำ เพราะเรายินยอมและเต็มใจทำได้ทุกอย่าง
เพราะอยากทำมัน…แถมยังรู้สึกดีและมีความสุขทีได้ทำ

แม้บางครั้งจะต้องร้องไห้น้ำตาไหล เราก็เต็มใจที่จะทำอยู่ดี”

ซาเนียยิ้มกว้างเมื่อเห็นแสงสว่างกำลังเรืองรองอยู่ไม่ไกล

“ขอบคุณค่ะพี่รัง…ที่ทำให้หมอกหนาจางหายไปจากใจของซาเนีย…”
รังสิมันต์ตบบ่าหญิงสาวเบาๆ

“ปราณ ปุรารัตน์ กับเวนไตย ใครคือคนที่เรารักหรือซาเนีย…”
หญิงสาวยิ้มกว้างเมืื่อเห็นแววตาขี้เล่นของคนถาม เธอจึงตอบออกไปว่า

“ปราณ ปุรารัตน์ คือลมหายใจของซาเนีย ถ้าขาดเขาไป ซาเนียคงแย่
ส่วนเวนไตย คือพญาครุฑผู้มีปีกสีขาวที่คอยกางปีกปกป้องซาเนียยามมีภัย…
ถ้าขาดเขาไป ซาเนียคงลำบาก…พี่รังคิดว่าซาเนียงกเกินไปรึเปล่าคะ
ที่อยากเก็บเอาไว้ทั้งสองคน…”รังสิมันต์หัวเราะในลำคอ
อย่างชอบอกชอบใจกับคำตอบของหญิงสาว

“ระวังนะ จับปลาสองมือ จะไม่ได้ปลาสักตัว…”เสียงล้อนั้น มิใยให้อีกฝ่ายรู้สึกกลัว

“จับปลาสองมือสิคะดี…ปลาตัวที่ดิ้นอยู่ในมือจะได้ไม่ดิ้นหลุด…
มือเดียวเสียวหลุด สองมือทำให้มั่นคงกว่าเป็นไหนๆ…
พี่รังไม่ได้บอกนี่คะว่าซาเนียจับปลาสองตัว…แค่จับปลาสองมือ…อิอิ”

“อย่าปล่อยให้หลุดมือไปก็แล้วกัน ปลาตัวนี้ยิ่งท่าเยอะอยู่ด้วย…
เดี๋ยวจะหาว่าพี่ไม่เตือน…เพราะการรออย่างเดียวโดยไม่คิดหาหนทาง
อาจถูกคานน้อยหล่นมาทับโดยไม่รู้ตัวก็ได้นะครับ…คนสวย…”

“ก็กำลังรอให้คนมาช่วยยกมันออกไปอยู่นี่ไงล่ะคะ…พี่รังก็…”

ทั้งสองพูดคุยหัวเราะต่อกระซิกกันอยู่อีกครู่ใหญ่ ก่อนจะเดินกลับเรือน
โดยทิ้งความอ้างว้างให้ลอยไปกับเกลียวคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่ง
สุดแต่มันจะพัดไปที่ใด…แล้วใครจะรับมันมาไว้ในอ้อมกอด…





สิ้นรักมองหน้าปองขวัญเพื่อนสาวขณะเหยียบย่ำไปบนผืนทรายสีขาว
ละเอียดตาด้วยกัน

“แกว่าสองหนุ่มเขาจะเอายังไงกับเราสองคน…”สิ้นรักอดไม่ไหว
เลยออกปากหาความเห็นจากเพื่อนสาว

“นั่นน่ะสิ…ฉันล่ะชักไม่ไว้ใจ…บรรยากาศมันแปลกๆ
นี่ก็ผ่านมาหลายเดือนแล้วนะ อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยไอ้สิ้น
พี่ลมไม่ยอมพูดถึงงานแต่งรอบที่สามเลยแม้แต่นิด แค่เกริ่นก็ไม่มี
ทำเป็นเลี่ยงๆ งานยุ่งตลอด”

แววตาคนพูดดูไม่มั่นใจในสถานการณ์รัก
ราวกับกำลังอยู่ในสนามรบ หาความสงบภายในใจไม่ได้แม้แต่วันเดียว

“หรือว่าเราสองคนจะโดนลอยแพ…”สิ้นรักกังวลยิ่งกว่า
ใครไม่มาสัมผัสชีวิตที่ห้อยโหนอยู่บนคานอย่างเธอ ไม่มีทางเข้าใจแน่

“ไม่มั้ง…”น้ำเสียงแม้จะเข้มแค่ไหน แต่แววตานั้นฟ้องออกมาว่าสุดทนแล้ว

“จะให้พูดก่อน ก็ดูไม่งามอีก…เกิดเป็นผู้หญิงเนี่ย มันเสียเปรียบก็ตรงนี้แหล่ะ…
ไม่รู้ไอ้พี่รังจะรีรออะไรกันนักกันหนานะ คอยดู…แม่จะยื่นคำขาดให้รู้กันไปเลย…”
สิ้นรักกัดฟัน สะบัดหน้าปรีด

“แกจะทำยังไง…”

“ก็จะเลิกห้อยโหนอย่างที่กำลังทำอยู่ แล้วกลับไปนอนบนคานน้อยอย่างเดิม
คราวนี้นะ ใครจะมาชวนให้ลงไป แม่ไม่ยอมแน่…เป็นไงเป็นกัน…”

สีหน้านั้นดูหนักแน่นมั่นคง หากใครจะรู้ว่าจิตใจของคนพูดนั้นสุดแสนสลดแค่ไหน…
มองหน้าว่าที่เจ้าบ่าวคราวใด เสียงหวอรถด่วนขบวนสุดท้ายก็ดังทุกที…

“ดูซิ ชวนเรามาเที่ยวเกาะรัง ให้ความหวังกันชัดๆ…”สิ้นรักบ่นปอดแปด
เพราะรู้ว่าเกาะรังคือสถานที่จัดงานแต่ง…แต่ปรากฏว่ามาอยู่ที่นี่เป็นวันที่เจ็ดแล้ว
ก็ไม่เห็นเงางานแต่ง…มาชวนให้ความหวังกันทำไมก็ไม่รู้

“วันๆก็เอาแต่เล่นน้ำ จับปูกับเด็กๆ…”ปองขวัญเสริม

“ฉันว่าเราสองคนคงต้องกลับมาคิดใหม่อีกครั้ง…ว่าจะเอายังไงกันดี…
บอกตามตรงว่าฉันอีดอัดกับสถานการณ์แบบนี้มากๆเลยปอง…”

สิ้นรักกล่าวด้วยน้ำเสียงและแววตาหม่นๆ ปองขวัญจึงได้แต่ถอนใจ
ก่อนจะเปรยออกมาด้วยน้ำเสียงเบาหวิวว่า

“ทำไมหัวใจเราถึงเลือกที่จะรอนะ…รอแล้วก็รอเล่า…รออยู่อย่างนี้…
รอจนสมองของฉันมันเริ่มแฮงค์ เพราะสั่งใจให้เลิกรอไม่ได้สักที…”

สิ้นรักที่ได้ฟังถึงกับพ่นลมหายใจออกมา…เหนื่อยใจ
แต่ก็ยังไม่ยอมหยุดหวัง

“เมื่อไหร่เขาจะแคร์ฉันบ้างนะ…ทำอย่างนี้เหมือนไม่แคร์กันเลย…”

สิ้นรักกล่าวตัดพ้อรังสิมันต์ด้วยแววตาเจ็บลึก ที่เจ็บเพราะตั้งแต่เขาชวนเธอมาที่เกาะรังจนบัดนี้
เขากับเธอพูดกันน้อยคำมาก และมักขลุกอยู่แต่กับลูกแฝดของน้องชาย
ซ้ำยังเอาแต่เลี่ยง ปลีกตัวไปเดินคุยและยิ้มหัวเราะกับอากิโกะ
ผู้หญิงที่เขาบอกว่ารักนักรักหนาในสมุดบันทึก ผู้หญิงที่ปัจจุบันมีศักดิ์เป็นน้องสะใภ้ของเขา
ไม่รู้เขากำลังจะบอกอะไรกับเธอรึเปล่า

แต่อะไรที่ไม่ใช่คำว่ารัก เธอก็ไม่อยากฟังจากปากของเขาหรอก…

บรรยากาศที่เธอเจอ มันทำให้รู้สึกอ้างว้าง
จนอยากกลับไปอยู่บนคานน้อยอย่างเดิม อยากกลับไปเป็นคนเดิม
ที่อาจจะเหงา แต่ก็คงไม่เจ็บปวดแบบนี้…

“อย่าคิดมากเลยน่าไอ้สิ้น เรื่องคุณอากิน่ะ มันไม่มีอะไรอย่างที่แกคิดกังวลหรอก…เชื่อฉันสิ…”
ปองขวัญที่ได้รับรู้ความรู้สึกของเพื่อน
หลังจากที่อีกฝ่ายอัดอั้นตันใจระบายให้ฟังเมื่อหลายวันก่อน

“เชื่อได้เหรอ…พี่รังดูจะแคร์คุณอากิยิ่งกว่าฉันซะอีก แกไม่เห็นรึไง
มีอะไรเขาก็เรียกหาแต่เธอ…รักลูกเธอยิ่งกว่าลูกตัวเองซะอีก…”

“แกรู้ได้ไงว่าพี่รังรักลูกคนอื่นมากกว่าลูกตัวเอง…”ปองขวัญยิ้มให้เพื่อน
นิดนึงเหมือนจะล้อ

“ไม่แน่นะ ถ้ามีลูกเป็นของตัวเอง พี่เค้าอาจจะรักยิ่งกว่าที่รักเจ้าแฝดก็ได้
ของแบบนี้ ไม่ลองมีเองไม่รู้หรอก…”

เออใช่อย่างที่ไอ้ปองมันพูดเนอะ พี่รังยังไม่มีลูกเป็นของตัวเองนี่นา
นี่เธอบ้าไปแล้วรึไง ที่หึงเขากับอากิโกะจนเผลอพาลหึงเด็กๆไปด้วยแบบนี้…

“งั้นแกบอกฉันได้ไหม ว่าตอนที่ไม่มีฉัน เขากับคุณอากิโกะเป็นยังไง…
เขารักเธอมากแค่ไหน รักมากกว่าฉันรึเปล่า…”ปองขวัญลอบถอนใจ
เพื่อนของเธออาการหนักขึ้นทุกวัน…

“ฉันก็ไม่รู้อะไรนักหรอก ถึงจะทำงานที่เดียวกันมาตลอด
แต่พี่รังเขาไม่ใช่คนที่จะพูดเรื่องรักๆใคร่ๆกับใคร…ฉันรู้แค่ว่า
พี่รังเขาเป็นหมอที่รักษาแม่ของคุณอากิเค้าน่ะ…แกก็รู้แล้วไม่ใช่เหรอ
ว่าคุณอากิจริงๆแล้วเป็นใคร มีที่มายังไง…”
สิ้นรักพยักหน้า พี่ลมเล่าเรื่องดังกล่าวให้เธอฟังหมดแล้ว ส่วนพี่รังน่ะหรือ
ไม่มีแม้แต่จะปริปากพูด ปากหนักยิ่งกว่าหิน…

“พี่รังคงสงสารเธอ และรักเธอ ยิ่งผูกพันธ์กันมามากขนาดนั้น
ฉันที่มาทีหลัง ยังไม่รู้ว่าจะทำยังไงเหมือนกัน…นี่ฉันผิดด้วยหรือปองที่มาช้า
ถ้ามาช้าแล้วทำให้พลาดอะไรดีๆไป ฉันคงไม่หนีไปอยู่ญี่ปุ่นตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว…”
สิ้นรักอยากจะตีอกชกหัวตัวเองเสียเหลือเกิน

“อย่าคิดอย่างนั้นสิไอ้สิ้น…เชื่อฉันสิว่าตอนนี้พี่รังรักแก…แกต้องมั่นใจในตัวเอง
มั่นใจในหัวใจของพี่รังสิ…”สิ้นรักส่ายหน้าไหวๆ

“ไม่รู้สิ…ฉันเองก็อยากมั่นใจตัวเองว่าจะทำให้เขารักฉันคนเดียวได้หมดหัวใจ
แต่แกดูสิ…เขายังสลัดรักเก่าของเขาไม่ได้เลย…

คำพูดของเขาอาจจะรักฉันมากมาย แต่การกระทำมันไม่ใช่เลย
เขาห่วงใย เขาดูแลเอาใจใส่ผู้หญิงอีกคนมากกว่าฉันซะอีก…
หรือแกจะเถึยงว่าไม่ใช่…ฉันมีตา มีหู ไม่ได้ตาบอดหูหนวกนะแก
ที่จะดูและฟังไม่ออกว่าพี่รังแคร์คุณอากิเขามากขนาดไหน…

ลมออกหูฉันทุกครั้งเวลากินข้าว แต่ไม่อยากแสดงออกให้เขาเห็น
แกรู้มั้ยว่าฉันอึดอัด ใจฉันมันตัน หาทางไปไม่เจอ…”สิ้นรักจิ้ม
ที่หน้าอกตัวเองด้วยแววตาเจ็บปวด…ปองขวัญจึงยกมือขึ้นวางลงบนบ่า
ของสิ้นรักและบีบเบาๆ…

“บางทีนะปอง…บางทีฉันก็อยากจะหนีไปให้หลุดจากวังวนนี้สักทีเหมือนกัน
แต่เวลามองหน้าพี่รัง ฉันก็ทำไม่ได้สักที…”น้ำตาของสิ้นรักไหลลง
เธออ่อนแอ ใจเธอบอบบางจนกระทบกับอะไรนิดอะไรหน่อยบ่อน้ำตาก็พัง

“ฉันไม่รู้จะพูดกับแกยังไง นอกจาก…อยากให้แกเชื่อมั่นในหัวใจของพี่รัง
ถ้าพี่เค้าไม่รักแก เขาจะขอแกแต่งงานทำไม…”

“ก็นั่นไงที่ฉันสงสัย…สงสัยตั้งแต่วันที่ได้อ่านสมุดบันทึกนั่นแล้ว
ให้ตายสิ ถ้าฉันไม่เจอสมุดบ้าๆเล่มนั้น ป่านนี้ฉันก็คงไม่เป็นแบบนี้
ฉันไม่น่าอ่านมันเลย…”สิ้นรักอยากจะฉีกสมุดบันทึก ฉึกความทรงจำ
ในหัวของเธอให้แหลกเป็นชิ้นๆ

“คิดซะว่ามันคือบททดสอบหัวใจและความเชื่อมั่นของแกที่มีต่อพี่เค้า…
ถ้าแกเชื่อว่าพี่เขารักแก ถึงแกจะอ่านอะไรที่พี่เขาเคยบันทึกไว้
หรือจะเห็นภาพบาดตาอะไร แกก็ไม่หวั่นไหวหรอก…อดีตก็คืออดีต
แกต้องแยกให้ออกสิไอ้สิ้น…ไม่อย่างนั้นแกจะเดินหน้าได้ยัง…”
สิ้นรักยกมือขึ้นกลึงหน้าผากขณะกล่าวว่า

“ถ้ามันจะเป็นแค่อดีตไป วันนี้ฉันก็คงไม่เจ็บหรอกไอ้ปอง…
แกไม่รู้หรอกว่าเวลาพี่รังทุกข์ เขาไม่เคยหันมาทางฉัน
เขาหันไปหาดอกทานตะวันอย่างคุณอากิทุกที…

เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น เขาก็ไปกับคุณอากิ…
ทิ้งข้อความว่ารักฉัน แต่ไปกับอีกคน…แกรู้มั้ยว่าตอนที่ฉันได้อ่านสมุดบันทึกนั่น
ภาพต่างๆมันฉายชัด คำว่ารักจากปากพี่รังมันก็ไม่ต่างจากยาชาที่เขาฉีดให้ฉัน…”

ปองขวัญเลื่อนมือที่วางอยู่บนบ่าเพื่อนมากุมมือทั้งสองที่สัมผัสได้ถึงความเย็นตรงปลายนิ้ว

“คนเราเวลารักมาก ก็ยิ่งกลัวมาก กลัวสารพัด
เพราะหัวใจเราจะอ่อนไหวและบอบบางยามรัก ฉันเข้าใจแกนะ
ฉันเองก็ยังกลัวกับสายลมที่กำลังโอบกอดฉันอยู่เหมือนกัน…

แต่ทุกครั้งที่ฉันหายใจ ฉันก็แน่ใจว่าสายลมที่ว่าคงไม่ไปไหน
จนกว่าชีวิตฉันจะหมดลง…เพราะเขาไม่ใช่แค่สายลมที่พัดผ่านไป
แต่พี่ลมเป็นเหมือนลมหายใจของฉันด้วย…ต่อให้มองไม่เห็นเขา
ต่อให้สุดท้ายเขาจะไร้ตัวตน แต่เขาจะอยู่กับฉันตลอด…เขาคือลม
ที่ฉันหายใจเข้าไป ทำให้ปอดของฉันมีงานทำ ทำให้หัวใจของฉันมีแรง
เขามีค่ากับฉัน และฉันจะไม่ลังเลที่จะรอเขาเลย…”สิ้นรักมองใบหน้า
และแววตาเชื่อมั่นของเพื่อนรัก แล้วยิ้มบาง

“พี่ลมไม่เหมือนพี่รัง…ถ้าฉันเป็นแฟนพี่ลม ฉันคงเบาใจ…
แกเป็นผู้หญิงที่โชคดีรู้มั้ยปอง…แกเป็นรักแรกและรักอันยาวนานของพี่ลม
เป็นคู่แท้ของกันและกัน…พี่ลมไม่เคยรักใครนอกจากแก…

แถมยังเป็นรักที่ทนทานผ่านกาลเวลา แกเองก็รักพี่ลมไม่เคยรักใคร…
ไม่เหมือนฉันหรอก รักมามากและก็ผิดหวังมามาก เข็ดจนไม่กล้าไว้ใจใคร
กลัวจนไม่กล้ารักใครอีก ปิดใจตัวเองมานาน จนได้มารักพี่รัง
เขาทำให้หัวใจของฉันเต้นในจังหวะที่ต่างจากที่ผ่านมา…
ทั้งที่อยากต้านทาน แต่ก็ทำไม่ได้ เขาเป็นกุญแจไขหัวใจฉัน

เขาทำให้ฉันยอมแลกทุกอย่างที่มี ยอมแลกทั้งใจ ทำให้ฉันรักเขาหมดใจ
แต่ก็ไม่อาจทำให้ฉันมั่นใจในหัวใจเขาได้เลย…ฉันเชื่อว่าถ้าฉันแต่งงานกับพี่เขาไป
เขาจะไม่มีวันนอกกายฉัน แต่ใจของเขา ตอนนี้ฉันชักไม่แน่ใจแล้ว…
ไม่แน่ใจเลย…ปอง…”เสียงของสิ้นรักดูอ่อนล้าปนสิ้นหวัง

…เธอเคยเข็ดขยาดเรื่องความรัก จนพักหัวใจมาได้ระยะหนึ่ง
และบนคานน้อยที่เธอพักกายพักใจมาตลอด ทำให้เธอรับรู้ได้ถึงความสงบ
อย่างที่ในชีวิตไม่เคยสงบมาก่อน

จนกลับมาเจอกับพี่รัง คานน้อยที่เธอสร้างมากลับพังลงไม่เป็นท่า
เขาคือตัวป่วนชีวิตอันแสนสงบบนคานน้อยของเธอ
ทำให้หัวใจของเธอว้าวุ่น สับสน และทุกข์ทรมาน แต่เธอกลับสลัดเขาออกไปไม่ได้
เพราะลึกลงไปแล้ว การได้รักเขา มันทำให้เธอมีความสุข
การได้อยู่ใกล้เขา มันทำให้เธอยิ้มได้ แม้บางครั้งต้องกลับมานอนร้องไห้ก็ตาม…

เธออยากรักเขาทั้งๆที่อยากจะมีชีวิตสงบ มันเหมือนความต้องการสองอย่างจะสวนทางกัน
เธอมองเห็นความวุ่นวายรออยู่เบื้องหน้าหากแต่งงานและใช้ชีวิตคู่กับเขา
แล้วอยู่ๆคำของช่อลิลลี่ก็ดังขึ้นมาในหัวของเธอ

‘ลี่จะไม่แต่งงานหรอกพี่เป็ดวา เพราะว่าลี่เลือกแล้วที่จะใช้ชีวิตโสด
ถึงจะเหงา แต่ลี่ชินเสียแล้วกับความเหงา เราเป็นเพื่อนที่กอดคอกันมาตลอด
ถ้าลี่ทิ้งมัน ชีวิตลี่คงวุ่นวายแน่…เพราะเมื่อความเหงาจากไป
ความวุ่นวายก็มักจะมาแทนที่เสมอ…ลี่เลือกเพื่อนคู่กาย และมิตรสหายแล้ว
และไม่มีความทุกข์ใด เพราะลี่สามารถปรับสภาพให้อยู่กับความเหงาได้ดีแล้ว
เราผ่านกาลเวลามาด้วยกัน ผ่านร้อนหนาวจนลี่ไม่อยากทิ้งมันไปแล้ว
ต้องไปนั่งปรับสภาพใหม่ที่ไม่รู้ว่ามีอะไรรออยู่ข้างหน้าบ้าง ใครจะว่าลี่กลัวฝนก็ช่าง…

เพราะเดี๋ยวนี้ผู้ชายดีๆที่พร้อมจะดูแลเราอย่างจริงจังและจริงใจ
หายากยิ่งกว่าควายจริงๆซะอีกพี่…

เพราะเมื่อก่อนควายเคยมีมากและซื่อสัตย์ทำงานรับใช้เจ้าของ ซ้ำยังรักเจ้าของ
ช่วยเหลือเจ้าของสารพัด เดี๋ยวนี้ควายหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ แทบจะสูญพันธุ์ไปแล้วก็ว่าได้…

ที่พูดมาทั้งหมดนั้น ลี่แค่อยากจะบอกพี่ว่า ถ้าให้แต่งงานกับผู้ชายสมัยนี้
ลี่ขอควานหาควายที่ใกล้สูญพันธุ์มาเลี้ยงดีกว่า…

ไม่อยากหอบลูกเลี้ยงผัวที่ไม่เอาไหนไปจนตาย…เพราะแทนที่จะได้
ใช้งานเหมือนการเล้ียงควาย ลี่อาจโดนใช้งานเหมือนวัวเหมือนควายแทนก็ได้…

ทำงานเลี้ยงควายยังได้ใช้งานมันบ้าง แถมเนื้อมันยังเป็นอาหารได้อีก
แต่ถ้าทำงานเลี้ยงผัวด้วยเลี้ยงลูกไปด้วย เหมือนเพื่อนลี่ล่ะก็ พี่คิดดูว่าสภาพจะออกมายังไง…

แต่ถ้าพี่เจอคนดีๆ พี่ก็ไม่ควรหันมาหาควายเลี้ยงอย่างลี่หรอก…
หมอรังเป็นคนดี ลี่คอนเฟิร์ม…ลี่มันซวยเองที่เจอแต่ผู้ชายห่วยแตก…

ลี่ก็เลยไม่อยากสร้างความหวังด้วยการนอนรอคนที่ใช่อีกต่อไปแล้ว…
เลิกร้องเพลงรอไปแล้วล่ะพี่เป็ดวา…ทำใจและก็ปลง…’

ถ้อยคำที่เคยได้สนทนากับช่อลิลลี่ในวันนั้นกลับมากระตุกใจเธอ
ให้ได้คิดและทบทวนอะไรๆอีกครั้ง…ใครๆก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า

พี่รังนั้นดีแสนดี…เธอเองก็ว่าดี…แต่ทำไมถึงต้องร้องไห้อย่างนี้ด้วยนะ
คนดีที่ทำเราร้องไห้ได้มากมายขนาดนี้ สมควรที่จะรักต่อไปรึเปล่านะ…

เธออยากได้คนดี เธอชอบคนดี แต่เหนือสิ่งอื่นใด
เธออยากได้คนที่จะไม่ทำให้เธอเจ็บปวดแบบนี้…

บางครั้งพี่รังก็ทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองเหมือนคนแปลกหน้าสำหรับเขา
และบางครั้งเธอก็รู้สึกเหมือนว่าเขาคือคนที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย

เขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่สัมผัสจับต้องได้ เขาคือคนเดิมที่ไม่ใช่คนเดิม
จนบางครั้งเธอไม่แน่ใจว่านี่ใช่เขาจริงๆหรือเปล่า

คนอื่นอาจจะไม่สามารถสัมผัสได้ แต่เธอสัมผัสได้ เขาปกปิดอารมณ์เก่ง
กลบเกลื่อนร่องรอยต่างๆบนใบหน้าได้ดีเยี่ยม
ตีแววตาให้ดูเหมือนไม่มีอะไรได้อย่างชาญฉลาด…

ดวงตาที่เหมือนหน้าต่างของหัวใจเขาถูกปิดตายสนิทด้วยแววตาใจดี แลดูอบอุ่น
และนิ่งสนิทในบางครั้ง

นานครั้งนักที่เธอจะเห็นเขาแสดงออกถึงความรู้สึกข้างในผ่านทางสายตา
อย่างตรงไปตรงมา เพราะเวลาแววตาของเขาบอกว่าทุกข์ใจริมฝีปากของเขากลับยิ้มแย้ม…
จนในที่สุดดวงตาของเขาก็ยิ้มตามไปเอง
นั่นจึงทำให้ใครก็มองไม่ออกว่าจริงๆแล้วหัวใจของเขาคิดอะไรกันแน่…

“ฉันรู้นะว่าแกกำลังคิดอะไรอยู่…”ปองขวัญกระตุกมือของสิ้นรักนิดนึง
เมื่อเห็นเพื่อนนิ่งไปนาน

“พี่รังอาจเป็นคนที่อ่านใจยากก็จริง…นั่นก็เพราะว่าถูกฝึกฝนมา
บวกกับเป็นนิสัยส่วนตัวของพี่เขาที่จะไม่แสดงออกถึงความรู้สึกจนเกินควรด้วย…
แต่พื้นฐานทางจิตใจของพี่รังนั้นเป็นคนดีมากเลยทีเดียว

ถ้าแกได้อยู่ด้วยตอนที่พี่เขาเป็นนักศึกษาแพทย์และแพทย์ฝึกหัดมาเหมือนฉันล่ะก็
แกจะรู้ว่าคนๆนี้แหล่ะที่พร้อมจะอุทิศชีวิตและทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อคนอื่นได้ทุกเมื่อ…

พี่รังไม่เคยหยุดที่จะหาความรู้เพิ่ม เพราะเชื่อว่่าความรู้ที่มีอยู่มันไม่เพียงพอ
ที่จะช่วยคนอื่นได้ครอบคลุม พี่เขาเช่ือว่าถ้าตัวเองมีความรู้มากเท่าไหร่
ก็จะสามารถช่วยคนอื่นได้มากขึ้นเรื่อยๆเท่านั้น…

พี่เขาลุยไปทุกที่ที่ต้องการหมอ แม้ว่าที่นั่นจะอันตราย ลูกระเบิดเฉียดหัวสักแค่ไหน…

หลายปีที่พี่รังกับฉันจับมือกันช่วยคนอื่นๆ เหนื่อยนะ แต่ภูมิใจโคตรๆ

ฉันจึงอยากให้แกเชื่อว่าพี่เขารักแกมาก มากจนไม่อยากให้แก
ต้องมาแบกรับความทุกข์ แบกรับภาระของพี่เขาไปด้วย…

แกก็เห็นไม่ใช่เหรอว่าพี่เขาแบกรับภาระมากมายแค่ไหน…
ถ้าแกเลือกที่จะเป็นคู่ชีวิตของคนที่พร้อมจะอุทิศชีวิตเพื่อคนอื่นอย่างพี่รัง
แกก็ต้องไม่หวั่นไหวต่อสิ่งเร้า แกต้องเข้มแข็งและไม่งอแงแบบนี้

ฉันอยากให้แกหนักแน่นเอาไว้…พี่รังไม่เหมือนพี่ลมอย่างที่แกบอก
เพราะพี่รังเลือกที่จะรักคนได้ทั้งโลก โดยไม่ยอมให้คนที่รักต้องมาแบกรับภาระของตัวเองแทน…
แกคิดว่าคนแบบนี้ไม่สมควรที่จะถูกรักเหรอ…”

ปองขวัญเลิกคิ้วถามเพื่อนพร้อมยิ้มหวาน ก่อนจะกล่าวต่ออีกว่า

“ดังนั้นมันก็ไม่แปลกที่ใครๆจะรักพี่รังของแก…หรือแกอยากให้ใครๆเกลียดพี่รังของแก
โดยเก็บพี่เขาเอาไว้ให้แกรักได้คนเดียว…ฮึไอ้สิ้น…”
สิ้นรักมองเพื่อนก่อนจะกระตุกยิ้มที่มุมปากนิดนึง

“ฉันว่าแกเป็นผู้หญิงที่พิเศษและโชคดีที่สุดในโลกคนนึงเลยนะ
ที่พี่รังเลือกให้มายืนข้างกายเป็นคู่ชีวิตน่ะ…หรือแกจะทิ้งโอกาสนี้ไป…”

ฟังที่เพื่อนกล่าวมา ก็ทำให้สิ้นรักเริ่มมองเห็นรังสิมันต์ในอีกมุม
ซึ่งเป็นมุมที่เธอลืมมองมานาน…และมันเป็นมุมที่เป็นต้นเหตุหลักที่ทำให้เธอรักเขา

…เป็นอีกครั้งที่สิ้นรักเริ่มสับสนว่าจะเอายังไงต่อไปดี
จะเดินหน้าต่อหรือว่าจะถอยหลังกลับขึ้นไปนอนบนคานน้อยดี…

แล้วอยู่ๆเสียงหวอของรถด่วนขบวนสุดท้ายก็ดังขึ้นเมื่อใบหน้า
ของบุคคลที่โดนพาดพิงถึงลอยมาอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว
มันไม่ใช่มโนภาพ แต่เป็นของจริงที่จับต้องได้…

“มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้กันฮึสาวๆ…อย่าบอกนะว่ากำลังนินทาพี่อยู่…”

เสียงใสๆกับรอยยิ้มบนใบหน้าเกลี้ยงเกลาของคนมาใหม่ทำให้
หัวใจหม่นๆของสิ้นรักกลับมาสว่างไสวอีกครั้ง…

“เหมือนว่าจะใช่นะคะ…”ปองขวัญเป็นคนตอบ เพราะไอ้สิ้นเพื่อนรัก
เกิดทำอารมณ์ตกไว้ในผืนทราย เพราะเห็นแม่เพื่อนตัวดี
เอาแต่ก้มมองทราย เหมือนกับทำอะไรหายไปในนั้นนั่นแหล่ะ…
หรือว่ามานจะเขินกันแน่หว่า รังสิมันต์เห็นท่าทางนั้นของว่าที่เจ้าสาว
ก็ถึงกับกระตุกคิ้วนิดนึง

“อะไรหายรึเปล่า…ให้พี่ช่วยหาให้มั้ย…”เสียงหวานล้อคนตัวเล็กเล่น
พร้อมกับก้มหน้าลงมาถาม สิ้นรักจึงเงยหน้าขึ้นมองคนถาม
แล้วยิ้มจนแก้มบุ๋มก่อนจะตอบออกไปว่า

“กำลังมองหาความรักอยู่ค่ะ…ไม่รู้ว่าหายไปไหน…ถ้าพี่รังเจอมันที่ไหน
ก็อย่าลืมเอาไปคืนให้เจ้าของด้วยก็แล้วกันนะคะ…”พูดจบสิ้นรักก็สาวเท้า
หันหลังจะเดินกลับเรือน แต่ก็ไม่วายหันกลับมาพูดกับรังสิมันต์อีกว่า

“คราวนี้ ขอให้แน่ใจนะคะว่าคืนให้ถูกคนจริงๆ…คนที่ได้รับจะได้ไม่งง...”

คนพูดน่ะไปแล้ว ส่วนคนที่งงน่ะไม่ใช่ใครที่ไหนอื่น รังสิมันต์ยืนทำหน้าไม่ถูก
หันไปทางปองขวัญก็เห็นเอาแต่ยิ้มขำ…

“นี่พี่มาถูกจังหวะรึเปล่า อย่าบอกนะว่าพี่มาผิดคีย์…”ปองขวัญส่ายหน้า
พร้อมรอยยิ้มขำ

“ไม่ผิดคีย์หรอกค่ะ แค่คล่อมจังหวะนิดนึง สาววัยสามสิบบวกอย่างไอ้สิ้น
มันกำลังสับสนว่าจะลงจากคานน้อยที่แสนสงบดีมั้ย…คงกลัวว่าลงมาแล้ว
จะโดนพี่รังปล่อยลอยแพมั้งคะ…”รังสิมันต์เลิกคิ้วสูง สีหน้าพยายาม
ที่จะทำความเข้าใจกับสิ่งที่ได้ยิน

“ฝากบอกพี่ลมด้วยนะคะว่า ช้าๆได้พร้าเล่มงามก็จริง
แต่ถ้าขวานบิ่นตอนเจอไม้งามขึ้นมาล่ะก็…แย่เลย…”สิ้นเสียงนั้น
ชายหนุ่มก็โดนทิ้งให้ยืนทบทวนคำพูดของสองสาว
เอาไว้เพียงลำพังบนชายหาดเสียดื้อๆ

“ใครจะรอจนขวานบิ่นเล่าปองขวัญ…ไอ้ลมมันก็คงอยากใช้ขวาน
ตัดไม้งามใจจะขาดอยู่แล้วล่ะมั้ง…”รังสิมันต์เปรยคนเดียวยิ้มขันคนเดียว
ก่อนจะเดินตามรอยเท้าที่สองสาวทิ้งไว้บนผืนทราย
ด้วยแววตาเจ้าเล่ห์แสนกล…เพราะสำหรับเขา มีขวานไว้ตัดเสาคานเท่านั้น



...โปรดติดตามตอนต่อไป...

ต้องขอโทษนักอ่านที่กำลังติดตามอ่านอยู่ด้วยนะคะ ที่เมื่อคืนวานหายหัวไป...เฮะๆ
ขอยอมรับอย่างลูกผู้หญิงเลยค่ะว่า...ช่วงนี้งามรุม...
และหมกมุ่นอยู่กับงานออกแบบเพื่อต้อนรับเทศกาลปีใหม่...

ก่อนสิ้นปีเลยมีงานบุก!!!อย่างหนัก...เลยเครียดทะลุจุดเดือดเลยน่ะค่ะ
ไม่มีอารมณ์สุนทรีย์...เรื่องอะรูซาตี เลยยังจอดสนิท...เฮะๆ

สำหรับเรื่องนี้แม้จะแค่โพสต์
แต่ก็อาจมีมาได้บ้างไม่ได้บ้าง ซึ่งขึ้นอยู่กับว่า เต่าโยจะคลานกลับบ้าน
หรือเดินมาน่ะค่ะ เพราะถ้าแค่เดินกลับมาอย่างมนุษย์ปกติ ก็คงจะพอมาโพสต์ได้
แต่ถ้าคลานกลับมา คงเข้ามาโพสต์ให้ไม่ไหวจ้าาาาาา...เฮะๆ

อย่างวันนี้...คงต้องขออนุญาตงดตอบความเห็นของนักอ่านนะจ๊ะ
แล้วยกหน้าจะมาคุยด้วยค่ะ...ได้อ่านความเห็นนักอ่านแล้วค่ะ

อยากบอกว่าชื่นใจที่ยังมีนักอ่านคอยคิดตามอ่านกันอยู่...แม้จะส่งเสียง
มาเป็นกำลังใจให้ไม่มากมายนัก แต่เต่าโยก็ยังอดภูมิใจไม่ได้ว่า
อย่างไรเสียก็ยังมีนักอ่านที่รอเต่าโยมาโพสต์อยู่...

โยกลัวว่านักอ่านจะเบื่อน่ะค่ะ...

ยังไงมีอะไรทิ้งท้ายไว้ให้โยได้อ่านกันบ้างนะคะ....
อย่างน้อยก็เป็นกำลังใจให้คนเขียนได้เยอะเลยทีเดียว...

ขอบคุณทุกไลค์ ทุกกำลังใจ และทุกๆคนที่เข้ามาอ่านมาติดตาม
และแวะมาเยี่ยมเยือนกันมากๆเลยนะคะ

แล้วจะกลับมาคุยด้วยกันในยกหน้าค่ะ...

...คืนนี้...หลับฝันดี...ราตรีสวัสด์ค่ะ...

"เต่าโย"







yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 ธ.ค. 2555, 23:03:05 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 ธ.ค. 2555, 23:03:05 น.

จำนวนการเข้าชม : 2356





<< ยกที่ 72 secret base   ยกที่ 74 มงกุฏกุหลาบขาวกับสะพานดาว >>
ใบบัวน่ารัก 18 ธ.ค. 2555, 23:32:54 น.
จบก่อนสิ้นปีนะ
จะแต่งงานกันไหม ถ้ามีพิธีการแล้วมันยาก
และยุ่ง ไปจดทะเบียนสมสรตีตรากันก่อนไหม
จะได้ไม่หายไปไหนเพื่อคนเขียนอยากให้
พระเอกตายสมบัติจะได้เป็นของเรา
ซาเนียก็วุ่นวายจะจริงไปสวดมนต์ไปบวช
สักเดือนก็น่าจะดีนะ คิดอะไรแปลกๆอยู่เฉยๆ
บ้างไม่มีคายว่าทำให้คายตายหรอก
ว่าไป เขียนยาวจัง>//< คิริคิริไปหละ


บัวขาว 18 ธ.ค. 2555, 23:51:27 น.
ตอนนี้ดูเหมือนจะสั้นกว่าทุกครั้ง

แต่ก็โอเคค่ะ ได้อ่าน .. ได้อ่าน ...
รักษาสุขภาพนะคะ อีกอึดใจเดียวก็จะได้พัก
กลับไปหากำลังใจ

=^_^=


konhin 18 ธ.ค. 2555, 23:59:17 น.
จัดยากจัดเย็น จับเข้าห้องหอก่อนดีมั้ย ฮ่าๆๆ


violette 18 ธ.ค. 2555, 23:59:20 น.
สู้ๆนะคะคุณโย เราว่าทุกคนเจองานเข้าอยู่กันหมดเลยเนอะ
เราก็ไม่ค่อยได้เข้ามาอ่านค่ะเพราะงานเข้าอยู่เช่นกัน
ยังไงก็เป็นกำลังใจให้เสมอนะคะ


Pampam 19 ธ.ค. 2555, 06:24:19 น.
ถ้าเราเป็นนู๋สิ้นคงงอนหมอรังไปนานแล้ว


AprilSK 19 ธ.ค. 2555, 06:53:49 น.
สองหนุ่มนั่นกะเซอไพรส์อะไรสาวๆ หรือเปล่าคะ


ตุ๊งแช่ 19 ธ.ค. 2555, 08:53:46 น.
ตามอ่านมาหลายปี สงสัยจะจบข้ามปี แต่ขอต้นปีนะ


supayalak 19 ธ.ค. 2555, 09:12:02 น.
อธิบายคำนิยามการรอคอยได้เป็นฉากๆ พินิจพิเคราะห์เหตุและผลของการรอคอย ว่าคุ้มค่าหรือขาดทุนจากการรอคอย เหมือนชีวิตคนธรรมดามากที่บางทีก็งงๆ กลัวๆ กับการรับอะไรใหม่ๆเข้ามา รวมถึงการไม่แน่ใจ ไม่มั่นใจ แต่อะไรหล่ะที่จะทำให้เรากล้าเดินออกมาจากเมฆหมอกนั้้น (น่าคิดไหมค่ะ)


หมีสีชมพู 19 ธ.ค. 2555, 21:59:57 น.
ซาเนียดูฟุ้งซ่านยังไงพิกล

ส่วนสองหนุ่มต้องมีอะไรปกปิดสองสาวแน่ๆ งานหนที่สามอาจจะมีเร็วๆนี้


goldensun 20 ธ.ค. 2555, 01:29:07 น.
สู้ๆค่ะ เต่าโย งานเยอะดีกว่าไม่มีงาน
สาวๆ ตอนนี้ คิดมากเป็นแถว เพราะฝั่งหนุ่มๆ แสดงออกสวนทางกับความรู้สึกเหลือเกิน
คิดอะไรกันอยู่ เดี๋ยสาวๆหนีไปเกาะคาน ต้องออกแรงพาลงอีก


Littlewitch 20 ธ.ค. 2555, 22:39:58 น.
แวะมาส่งเสียงคะ กำลังจะไปร่วมงานแต่งนายหังรัง แต่ยังไม่ถึงงาน แวะมาส่งเสียงตอนนี้ซะก่อนคะ
ชอบเวนไตยกับซาเนียคะ ลุ้นว่าเมื่อไหร่จะพูดจาภาษาเดียวกันซะที


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account