คานน้อย คอยรัก (จบแล้วค่ะ)
คานน้อย คอยรัก
ในลักษณ์นั้นว่าประหลาด…………….คนบนคานนั้นว่าน่าประหลาด
เป็นเชื้อชาตินักรบกลั่นกล้า…………...เป็นเชื้อชาตินักรักผู้หาญกล้า
เหตุไฉนย่อท้อรอรา…………………..เหตุไฉนย่อท้อรอเวลา
ฤาจะกล้าแต่เพียงวาที…………………ฤาไม่กล้าบอกรักใครสักที
เห็นแก้วแวววับที่ดับจิต…………………เห็นคานแก้วแวววับสดับจิต
ใยไม่คิดอาจเอื้อมให้ถึงที่……………...ใยไม่คิดปีนไปให้ถึงที่
เมื่อไม่เอื้อมจะได้อย่างไรมี……………อย่ามัวรอจงขึ้นมาเร็วรี่
อันมณีฤาจะโลดไปถึงมือ………………บนคานนี้มีรักให้ฝึกปรือ
อันของสูงแม้ปองต้องจิต………………..คานเราสูงไม่เป็นรองของใครอื่น
ถ้าไม่คิดปีนป่ายจะได้ฤา………………..อย่าได้ขืนลงไปให้เสียชื่อ
มิใช่ของตลาดที่อาจซื้อ………………….มิใช่ทองตามตลาดที่อาจซื้อ
ฤาแย่งยื้อถือได้โดยไม่ยอม……………..เพราะเราถือความพอใจจึงลงไป
ไม่คิดสอยมัวคอยดอกไม้ร่วง……………ไม่คิดสอยมัวคอยให้คานทับ
คงชวดดวงบุปผาชาติสะอาดหอม………..รอให้ดับคาคานหรืออย่างไร
ดูแต่ภุมรินเที่ยวบินตอม…………………..ฤาต้องคอยรักแท้จนแก่ใช่ไหม
จึงได้ออมอบกลิ่นสุมาลี…………………..เกาะคานน้อยคอยรักต่อไป
…………………..........จนกว่าจะเจอคนที่ใช่…ใช่ไหมคาน………………
(อ้างอิงกลอนจากบทละครเรื่องท้าวแสนปม)
มาดูเหตุผลของคนที่ยังไม่ลงจากคานกันค่ะ...
อาจจะมีเหตุผลมากมายที่ไม่อยากลงจากคาน
หรืออาจมีเพียงแค่หนึ่งเหตุผลง่ายๆก็คือ...
...ไม่ใช่คนที่ใช่ก็ไม่ใช่...
หรือว่า
...โดนข้อหาหลายใจ เพราะเคยมีแฟนหลายหน...
หรืออาจเป็นเพรา
...เขาบอกให้รอ เราก็รอ...
หรือจริงๆแล้ว
...ขออยู่รอคนสุดท้ายคนนั้นได้ไหม...
หรือลึกลงไป
...กำลังรอเจ้าชายในฝันอยู่อย่างอดทนได้ทุกอย่าง...
หรือกำลังปลอบใจตัวเองว่า
...ครึ่งหนึ่งของฉันยังมาไม่ถึง...ซึ่งสักวันเขาจะมาอยู่ข้างกัน...
หรือกำลังหลอกตัวเองด้วยการปกปิดว่า
...ไม่หวั่นไหว หัวใจไม่ปรารถนา...
ทั้งๆที่จริงๆแล้ว
...อยากรัก อยากฝัน แต่เพราะกลัว ก็เลยไม่กล้ารักใคร...
หรือว่าอาจจะเป็นเหตผลสุดท้ายที่ไม่ค่อยมีใครกล้ายอมรับดังๆว่า
...ไม่เคยมีใครมาจีบ ไม่มีใครสน เรามันคนธรรมดาๆ...
แต่ไม่ว่าจะเหตุผลใด...
เราก็ยังหวังและยังคงรอคอยปาฏิหาริย์ว่าจะได้เจอคนที่ใช่ในสักวัน...
ในลักษณ์นั้นว่าประหลาด…………….คนบนคานนั้นว่าน่าประหลาด
เป็นเชื้อชาตินักรบกลั่นกล้า…………...เป็นเชื้อชาตินักรักผู้หาญกล้า
เหตุไฉนย่อท้อรอรา…………………..เหตุไฉนย่อท้อรอเวลา
ฤาจะกล้าแต่เพียงวาที…………………ฤาไม่กล้าบอกรักใครสักที
เห็นแก้วแวววับที่ดับจิต…………………เห็นคานแก้วแวววับสดับจิต
ใยไม่คิดอาจเอื้อมให้ถึงที่……………...ใยไม่คิดปีนไปให้ถึงที่
เมื่อไม่เอื้อมจะได้อย่างไรมี……………อย่ามัวรอจงขึ้นมาเร็วรี่
อันมณีฤาจะโลดไปถึงมือ………………บนคานนี้มีรักให้ฝึกปรือ
อันของสูงแม้ปองต้องจิต………………..คานเราสูงไม่เป็นรองของใครอื่น
ถ้าไม่คิดปีนป่ายจะได้ฤา………………..อย่าได้ขืนลงไปให้เสียชื่อ
มิใช่ของตลาดที่อาจซื้อ………………….มิใช่ทองตามตลาดที่อาจซื้อ
ฤาแย่งยื้อถือได้โดยไม่ยอม……………..เพราะเราถือความพอใจจึงลงไป
ไม่คิดสอยมัวคอยดอกไม้ร่วง……………ไม่คิดสอยมัวคอยให้คานทับ
คงชวดดวงบุปผาชาติสะอาดหอม………..รอให้ดับคาคานหรืออย่างไร
ดูแต่ภุมรินเที่ยวบินตอม…………………..ฤาต้องคอยรักแท้จนแก่ใช่ไหม
จึงได้ออมอบกลิ่นสุมาลี…………………..เกาะคานน้อยคอยรักต่อไป
…………………..........จนกว่าจะเจอคนที่ใช่…ใช่ไหมคาน………………
(อ้างอิงกลอนจากบทละครเรื่องท้าวแสนปม)
มาดูเหตุผลของคนที่ยังไม่ลงจากคานกันค่ะ...
อาจจะมีเหตุผลมากมายที่ไม่อยากลงจากคาน
หรืออาจมีเพียงแค่หนึ่งเหตุผลง่ายๆก็คือ...
...ไม่ใช่คนที่ใช่ก็ไม่ใช่...
หรือว่า
...โดนข้อหาหลายใจ เพราะเคยมีแฟนหลายหน...
หรืออาจเป็นเพรา
...เขาบอกให้รอ เราก็รอ...
หรือจริงๆแล้ว
...ขออยู่รอคนสุดท้ายคนนั้นได้ไหม...
หรือลึกลงไป
...กำลังรอเจ้าชายในฝันอยู่อย่างอดทนได้ทุกอย่าง...
หรือกำลังปลอบใจตัวเองว่า
...ครึ่งหนึ่งของฉันยังมาไม่ถึง...ซึ่งสักวันเขาจะมาอยู่ข้างกัน...
หรือกำลังหลอกตัวเองด้วยการปกปิดว่า
...ไม่หวั่นไหว หัวใจไม่ปรารถนา...
ทั้งๆที่จริงๆแล้ว
...อยากรัก อยากฝัน แต่เพราะกลัว ก็เลยไม่กล้ารักใคร...
หรือว่าอาจจะเป็นเหตผลสุดท้ายที่ไม่ค่อยมีใครกล้ายอมรับดังๆว่า
...ไม่เคยมีใครมาจีบ ไม่มีใครสน เรามันคนธรรมดาๆ...
แต่ไม่ว่าจะเหตุผลใด...
เราก็ยังหวังและยังคงรอคอยปาฏิหาริย์ว่าจะได้เจอคนที่ใช่ในสักวัน...
Tags: ดราม่า หวานซึ้ง อบอุ่น หมอรัง สิ้นรัก วายุ ปองขวัญ
ตอน: ยกที่ 75 รักคือการ(ไม่)ให้
ยกที่ 75 รักคือการ(ไม่)ให้
สิ้นรักเดินกระสับกระส่ายไปมาในห้องหอ ใจอยากออกไปข้างนอก
ให้รู้ว่่าอะไรเป็นอะไร เพราะได้ยินเสียงเอะอะโวยวายไปทั่วทั้งเกาะ
แต่เพราะถูกสั่งกำชับไว้อย่างหนักแน่นว่าห้ามออกไปไหน
เธอจึงจำต้องยอมรอฟังข่าวอยู่ในห้องพร้อมกับสวดอ้อนวอน
ต่อพระเจ้าให้คุ้มครองพี่รังและทุกคนให้ปลอดภัย…
ใจพลันนึกไปถึงเพื่อนสาวที่ป่านนี้ก็คงจะตกใจไม่แพ้เธอ
หรือว่าเธอควรจะไปหาปองขวัญดีไหม ห้องหอของปองขวัญกับเธอ
แม้จะอยู่กันคนละตัวเรือนแต่ว่าอยู่ใกล้กัน น่าจะไม่เป็นไร
ทว่ายังไม่ทันได้ย่างเท้า เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเสียก่อน…
“ก็อกๆๆ”สิ้นรักจึงถามออกไปให้แน่ใจก่อนเปิดประตูว่าเป็นใคร
เพื่อความไม่ประมาท
“ใครน่ะ…”
“นายหัวแย่แล้วค่ะนายหญิง…”เสียงนั้นเป็นเสียงของกุ้ง
หนึ่งในคนงานของเกาะรังที่มาช่วยเธอทำงานบ้าน สิ้นรักจึงรึบเปิด
ประตูห้องออกไปทันทีด้วยสีหน้าตื่นตระหนกตกใจ
“พี่รังหรือกุ้ง…”
“ค่ะ…นายหัวติดอยู่ในกองเพลิงตอนเข้าไปช่วยลูกคนงานค่ะ…
เรารีบไปดูนายหัวกันเถอะค่ะนายหญิง…”สิ้นรักไม่รอช้ารีบวิ่งตามกุ้ง
สาววัยกระเตาะลงจากเรือนไปทันทีโดยมิทันดูว่า
ทิศทางที่วิ่งไปนั้นมีจุดหมายปลายทางยังทิศใด
กว่าจะรู้…ก็สายเกินไปเสียแล้ว เมื่อรู้สึกได้ถึงเงามืดที่ทาทับมาทางด้านหลัง
แล้วเงาแห่งความมืดมิดก็เข้าปกคลุมสติของเธอ…
รังสิมันต์เดินกลับห้องตอนสายของวันใหม่ด้วยสีหน้าท่าทางระอิด
ระโหยโรยแรงไม่แพ้วายุที่เข้าไปช่วยเพื่อนรักดับเพลิงที่ยังหาสาเหตุไม่เจอ…
โชคดีที่คนงานปลอดภัย ไม่มีใครเสียชีวิต
มีเพียงแค่บาดเจ็บ แต่ไม่ถึงขั้นเจ็บหนัก…รังสิมันต์จึงอยู่พยาบาลรักษาคนงาน
กว่าจะเสร็จ เรี่ยวแรงก็แทบหมด
“ฉันว่างานนี้มันไม่ชอบมาพากลว่ะไอ้รัง…”วายุกล่าวขึ้นขณะเดินทาง
กลับเรือนหอกับเพื่อน
“ฉันก็คิดว่าอย่างนั้น เพราะมันบังเอิญเกินไป โชคดีที่ไม่มีใครเป็นอะไรมาก…
ว่าแต่แกโอเคมั้ย…”รังสิมันต์ถามไถ่เพื่อนรักที่สู้เคียงบ่่าเคียงไหล่เขามาตลอด
ด้วยแววตาห่วงใยจากใจจริง
“ไม่เป็นไร แกนั่นแหล่ะ หน้าซึดเชียว…”รังสิมันต์ยิ้มก่อนจะตบบ่าเพื่อน
“ขอบใจแกมากนะลม…ถ้าไม่ได้แกช่วยฉันคงแย่…”
“ขอบใจแค่พี่ลมคนเดียว พวกเราก็แย่สิพี่…”ฑยาวีย์กล่าวขึ้นเมื่อเดินมา
ยืนเคียงกับพี่ชายทัน…โดยมีอากิโกะตามมาติดๆ
“แล้วเจ้าแฝดล่ะ…”รังสิมันต์อดถามถึงหลานแฝดทั้งสองของเขาไม่ได้
“ฝากคุณนายเอาไว้…ไม่รู้ว่าตกใจตื่นกันแล้วรึเปล่า…”รังสิมันต์ยิ้มอย่างโล่งอก
ก่อนจะหันไปทางพสุธ เวนไตย เต็มกมล หมอกานต์
รวมทั้งบูรพาหรือพี่ริว ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของสิ้นรัก
และคนอื่นๆอีกหลายคนที่มาเป็นแขกร่วมงาน
ซึ่งต่างกันตื่นมาช่วยกู้เพลิงในครั้งนี้ด้วยแววตาซาบซึ้งใจ
“ขอบคุณทุกคนนะครับ…และต้องขอโทษด้วยจริงๆที่ปล่อยให้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น…”
รังสิมันต์กล่าวขึ้นเมื่อมาถึงเรือนใหญ่ ซึ่งเป็นห้องหอของเขา
และพอหันไปก็พบกับพ่อตาของตนที่กำลังยืนอยู่เบื้องหลังเขาโดยมีน้ำร้อยคอยประคอง
ซึ่งข้างๆท่านนั้นมีครอบครัวของคุณลุงของสิ้นรักยืนอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา
พร้อมด้วยพ่อตาและแม่ยายของเพื่อนรักซึ่งยืนไม่ห่างจากบันลือนัก
ตะวันที่นั่งอยู่บนรถเข็นโดยมีตามตะวันยืนจับรถเข็นอยู่ข้างหลัง
ไม่เว้นแม้กระทั่งมารดาของเขากับเจ้าแฝด
ที่ต่างก็มายืนออรอพวกเขาอยู่หน้าเรือนหอ ซึ่งเมื่อรังสิมันต์มองสำรวจ
ก็พบว่าทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า ขาดไปสามคน หรือถ้าจะพูดให้ถูก
ดูจะขาดไปสามสาว ซึ่งรวมภรรยาหมาดๆของเขาด้วย…
“ปองขวัญล่ะครับพี่ตาม…”วายุไม่เห็นปองขวัญยืนอยู่ด้วยก็แปลกใจ
หันไปถามตามตะวัน
และเหมือนความวุ่นวายทำให้ทุกคนลืมสำรวจจำนวนสมาชิก…
ตามตะวันจึงส่ายหน้าพร้อมกับมองหาน้องสาวด้วยสีหน้าวิตกขึ้นมาทันที
เพราะตั้งแต่เกิดเรื่อง เธอยังไม่เจอน้องสาวเลย
“ยัยตัวเล็กก็ไม่อยู่…ซาเนียก็เหมือนกัน…”รังสิมันต์กล่าวพร้อมกับมองหาร่างเล็กที่คุ้นตา
เผื่อว่าจะเจอเธอยืนวุ่นอยู่ตรงมุมไหนสักมุมแถวๆนี้
ก่อนจะขึ้นบนเรือนหอเพื่อค้นหาสิ้นรัก ทว่าหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ
วายุเองก็เช่นกัน ส่วนเวนไตยกับเต็มกมลวิ่งวุ่นตามหาซาเนียจนทั่ว
แต่ปรากฏว่่าไม่เห็นแม้แต่เงา…ทุกคนต่างแยกย้ายช่วยกันตามหาสามสาวแต่ก็ไม่เจอ
นอกจากมีเสียงหนึ่งจากคนงานที่พอจะรู้เบาะแสการหายตัวไป
ของสามสาวกล่าวขึ้นว่า
“นังกุ้งก็หายไปเหมือนกันครับนายหัว…เห็นลุงเม่นบอกว่า
เห็นมันวิ่งไปทางหลังเกาะไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ
และทุกรอบก็จะมีใครก็ไม่รู้วิ่งตามมันไปด้วย…ตอนนั้นเหตุการณ์มันวุ่นวาย
จนลุงเม่นแกคิดว่านังกุ้งคงหาทางหนีทีไล่ เพราะนังกุ้งมันเพิ่งมาอยู่ใหม่ได้ไม่กี่วันเองครับ…”
ฟังมาถึงตรงนี้ รังสิมันต์กับวายุก็พอจะจับต้นชนปลายได้บ้างแล้ว
“ฉันไม่น่าไว้ใจใครง่ายๆเลย…ไม่คิดว่าผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างกุ้งจะมีพิษสงขนาดนี้…”
รังสิมันต์ต่อว่าตัวเอง…เขารู้ดีว่าตอนนี้ภรรยาของเขา รวมทั้งปองขวัญและซาเนีย
กำลังตกอยู่ในเงื้อมมือของใคร
…เขาไม่น่าพลาดกับรายละเอียดปลีกย่อยแค่นี้เลยจริงๆ…
“อย่าโทษตัวเองเลยไอ้รัง…เรามาช่วยกันคิดดีกว่าว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี…”
วายุตบบ่าเพื่อน เขาเองก็กำลังกังวลใจอยู่ไม่น้อย
“ฉันคิดว่าพวกมันจะไม่กล้ามาเหยียบที่นี่ เพิ่งรู้ว่าตัวเองคิดผิดที่ประมาทศัตรูเกินไป…”
รังสิมันต์กล่าวด้วยแววตาเจ็บใจตัวเอง
“แต่ที่น่าสงสัยก็คือ…มันต้องการตัวหนูปองเพื่ออะไรน่ะสิ
ถ้าเป็นซาเนียกับหนูรักล่ะก็ ฉันพอจะรู้สาเหตุ…”
แพรวาตั้งข้อสังเกต เพราะถ้าเป็นสิ้นรักกับซาเนียนั้น เธอพอจะเดาสาเหตุได้
เนื่องจากรู้มาตลอดว่าศัตรูต้องการเกาะรังกับเกาะชิงชัง
“หรือว่าพวกมันจะรู้แล้วว่าใครเป็นเจ้าของตัวจริงของเกาะชิงชัง…”
บันลือกล่าวขณะหันไปทางเวนไตยที่ส่ายหน้าไปมา
“พวกมันคงคิดเอาตัวคุณหนูเพื่อต่อรองขอกรรมสิทธิ์ในการครอบครองสองเกาะ
เพราะคิดว่าเกาะชิงชังเป็นของคุณป๋า คงอาจจะสืบรู้มาว่า คุณป๋าไปพักอยู่ที่นั่น
ส่วนเกาะรังก็ใช้คุณหนูเป็นตัวบีบนายหัว…”
เวนไตยให้ความเห็นก่อนจะหันไปทางรังสิมันต์ ซึ่งพยักหน้าเหมือนจะเห็นด้วย
“แล้วทำไมต้องเอาปองขวัญไปด้วย…กับซาเนียน่ะพอจะเข้าใจ
เพราะพวกนั้นหมายหัวซาเนียมาตลอด…”วายุชักเริ่มหัวเสีย
ยิ่งคิดถึงใบหน้างามยามที่เขาได้สัมผัสรัก
ยิ่งให้หงุดหงิดไอ้คนที่มาลักพาตัวเธอไปในค่ำคืนส่งตัว…
“จะอะไรล่ะ…ก็เพื่อต่อรองขอบางอย่างจากฉันน่ะสิลม…”ตะวันกล่าวขึ้น
“พวกนั้นคงคิดจะใช้ปองขวัญบีบแกกับฉันให้คืนสำนักพิมพ์ให้เป็นแน่…”
“หรือไม่ก็อาจจะต้องการขู่ตามก็ได้ค่ะ…เพราะช่วงนี้ตามเขียนข่าว
โจมตีตระกูลนั้นอยู่ด้วย…”ตามตะวันเสริมด้วยแววตาเจ็บแค้น
“ถ้าเป็นอย่างนั้น…เดี๋ยวอีกไม่นาน พวกนั้นจะต้องโทรมาแน่ๆ…”
บิดาของปองขวัญกล่าวขึ้นมาบ้าง หลังจากที่ยืนนิ่งด้วยสีหน้าเคร่งเครียดมาตลอด
…โชคดีที่มีภรรยาคอยปลอบอยู่ข้างๆ ไม่อย่างนั้นโรคเก่าคงกำเริบ
จะมีก็แต่บันลือที่ดูจะควบคุมร่างกายและจิตใจได้ดีกว่าใคร
ทั้งๆที่เป็นห่วงลูกสาวที่เปรียบดั่งแก้วตาดวงใจเกินจะบรรยายได้…
ส่วนเวนไตยที่ดูนิ่งที่สุดกลับร้อนรนอยู่ภายในใจ เพราะสังหรณ์ใจ
ว่าศัตรูอาจจะเริ่มรู้ตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับอดีตของเขารวมทั้ง
ความสัมพันธ์บางอย่างระหว่างเขากับซาเนียก็เป็นได้…
มิเช่นนั้น ซาเนียคงไม่ถูกลักพาตัวไปด้วยในภารกิจนี้เป็นแน่…
ทำไมต้องเป็นเธอที่ต้องเผชิญเรื่องที่มีเขาเป็นต้นเหตุด้วย
ทั้งๆที่เธอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเกาะชิงชังที่พวกนั้นอยากได้
แต่เธอก็ต้องมารับเคราะห์กรรมแทนเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า…
เมื่อไหร่คนพวกนั้นถึงจะเลิกกระหายอยาก อยากได้ของที่ไม่ใช่ของตนเสียที
เมื่อไหร่พวกนั้นจะพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี เมื่อไหร่พวกนั้น
จะเลิกเห็นชีวิตคนเป็นผักเป็นปลาเสียที…
แล้วเวลาแห่งการรอคอยของทุกคนก็สิ้นสุดลง
เมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือของรังสิมันต์ดังขึ้น
“ว่าไงไอ้รัง…ยังจำเสียงฉันได้รึเปล่า…”
“ไอ้ขุนศึก…”รังสิมันต์เรียกชื่อนั้นลอดไรฟัน
“ฉันโทรมาอวยพรวันแต่งงานแกน่ะ หวังว่าคงไม่ช้าเกินไปนะ
แต่งงานทั้งทีก็น่าจะเชิญคนดังอย่างฉันไปร่วมงานบ้าง…”
“มีอะไรก็พูดมา…อย่ามาอ้อมโลก…”รังสิมันต์เริมฉุนเมื่อได้ยิน
เสียงหัวเราะของคนปลายสายราวกับจะเย้ยหยันเขา
“โทษทีนะที่ทำให้แกเสียอารมณ์…และหวังว่าฉันคงไม่ทำให้แกอารมณ์ค้างหรอกใช่มั้ย…
แต่ถ้าแกไม่ว่าอะไร ฉันก็ยินดีจะเป็นคนสานต่อให้แกนะ…
เพราะดูท่าเจ้าสาวของแกยังใหม่และสดแกะกล่องอยู่เลยนี่…”
สิ้นคำรังสิมันต์ก็กำหมัดกัดฟันกรอด จนแทบอยากจะกระโดดฉีกอก
เจ้าของคำพูดเมื่อครู่ยิ่งนัก…
“ถ้าแกแตะเธอแม้แต่ปลายเล็บล่ะก็…แกจะได้รู้ว่าคนอย่างฉัน
ทำอะไรให้โลกนี้จารึกได้บ้าง…”
“โอ๊ะ ๆๆ นี่แกขู่ฉันเหรอไอ้รัง…น้ำหน้าอย่างแกกล้าขู่คนอย่างฉันเหรอ
ขนาดแมวยังกลัว แล้วพญาราชสีห์อย่างฉัน แกไม่หัวหดตอนเจอกันรึไง”
น้ำเสียงเย้ยหยันทำเอาคนที่เคยใจเย็นและวางเฉยได้อย่างรังสิมันต์ถึงกับของขึ้น…
“ต้องการอะไรบอกมา…”เสียงนั้นราวกับเสือคำราม…
“ถ้าฉันบอกว่าต้องการเจ้าสาวของแกล่ะ…แกจะยกให้มั้ย…”
น้ำเสียงนั้นกึ่งล้อเล่นกึ่งจริงจัง จนรังสิมันต์ชักเริ่มหัวเสีย
“บอกมันไปรัง…ว่าถ้ามันอยากได้เกาะรัง เราก็ยินดีให้
ขอแค่ให้มันคืนทั้งสามคนมา…”แพรวาแทรกขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าท่าทาง
ของลูกชายคนโตที่ไม่สู้ดีนัก…
“งั้นแกก็เตรียมขุดหลุมฝังตัวเองเอาไว้ได้เลยไอ้ขุนศึก เพราะไม่ว่า
แกจะเห่าอยู่ที่ไหน ฉันก็จะตามหาเสียงเห่าของแกให้เจอ…”
“ฮีๆๆ ปากดีนักนะไอ้รัง…บอกแม่แกกับไอ้แก่ใกล้ตายนั่นด้วย
ว่าให้เซ็นยกกรรมสิทธิ์เกาะรังกับเกาะชิงชังให้พ่อฉันกับลุงของฉันภายในวันนี้…
แล้วเอาปองขวัญกับซาเนียไป ส่วนเจ้าสาวของแก
ถ้าอยากได้คืนล่ะก็ แกก็ต้องมาเอาด้วยตัวแกเอง…ว่าแต่แกจะกล้าเหร้อ
ฉันว่าเอาชนะแมวให้ได้ก่อนดีมั้ย แล้วค่อยมาประลองฝีมือกับราชสีห์อย่างฉัน…”
น้ำเสียงนั้นท้าทายอย่างเปิดเผย
“ไม่ดูง่ายไปหน่อยเหรอ…ที่แกจะมาต่อรองกับฉัน ทั้งๆที่แกไม่รู้ด้วยซ้ำ
ว่าใครเป็นเจ้าของเกาะตัวจริงในตอนนี้…ฉันว่าแกไปหาข้อมูล
มาให้ดีกว่านี้ดีมั้ยว่าใครกันแน่ที่เป็นเจ้าของเกาะชิงชัง ณ วันนี้…
เพราะเท่าที่ฉันสืบมา นายหัวปุรินทร์ ปุรารัตน์มิใช่เหรอที่เคยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์
แล้วพ่อกับลุงของแกก็ฆ่าล้างโคตรพวกเขาไปหมดแล้ว…
แต่ฉันว่าก่อนที่แกจะมามัวเสียเวลาสืบค้นประวัติของคนอื่น
ลองหันไปสืบค้นประวัติตัวเองก่อนดีมั้ย ดีเอ็นเอมันอยู่บนใบหน้าแกอยู่แล้ว
ลองเช็คให้แน่ใจสิว่า แกเกิดจากจอมปลวกไหนกันแน่…
หรือถ้าอยากรู้ความจริง…ฉันก็ยินดีบอกให้นะ ถ้าแกอยากฟัง…”
ทางปลายสายเงียบไปเมื่อได้ยินประโยคดังกล่าวจากปากของรังสิมันต์
“อ้อ…ฉันลืมบอกอะไรแกไปอย่างนึง…อาการป่วยของพ่อแกเท่าที่ฉันสืบรู้มา
มันมีความแปลกอยู่นะ ถามแม่แกกับลุงแกดูสิว่าป่วยด้วยโรคเดียวกันรึเปล่า…
บางทีแกอาจจะมัวยุ่งอยู่กับเรื่องที่มาของคนอื่นจนลืมมองที่มาของตัวเองไปก็ได้นะ…
แล้วไอ้เกาะที่พ่อแกกับลุงแกอยากได้น่ะ…
ฉันอยากรู้ว่าถ้าพวกเขารู้ว่าจะอยู่สูดลมหายใจในโลกนี้ได้อีกไม่นาน…
พวกเขายังอยากได้อีกรึเปล่า…”
รังสิมันต์กล่าวในสิ่งที่น้อยคนที่ฟังอยู่รู้ และการที่เขารู้มามันอาจไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่เพราะความผิดพลาดเล็กๆน้อยๆของสองพี่น้องจอมปลวก
จึงทำให้เขารับรู้ถึงโรคร้ายแรงชนิดหนึ่งผ่านทางหยดเลือดของจอมทัพ
โดยที่เจ้าตัวคงยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นโรคอะไร
เพราะถ้ารู้ขึ้นมา เขาก็แน่ใจว่า หยดเลือดดังกล่าวมันมีพลังไม่น้อยไปกว่าปรมาณู
ที่เคยถล่มเกาะฮิโรชิม่ากับนางาซากิในอดีตแน่ๆ
จะต่างกันก็ตรงที่คราวนี้ปรมาณูดังกล่าวใช้เพื่อถล่มคนชั่วให้สิ้นซากไปก็เท่านั้นเอง
…และนี่คือครั้งแรกในชีวิตของการเป็นหมอ
ที่เขารู้สึกดีที่ได้รู้ว่่าคนที่เขาตรวจเลือดเป็นโรคร้ายชนิดนี้…
แม้จะรู้สึกหดหู่ใจอยู่บ้าง แต่มันได้มลายหายไปตั้งแต่ได้ฟังวาจาของขุนศึกไปเมื่อครู่แล้ว
เขาว่ามันสมควรแล้ว สมควรแล้วจริงๆ!
“แกหมายความว่าไงไอ้รัง…”เสียงนั้นดูจะหงอลงไปจากเดิมมาก
รังสิมันต์จึงกระตุกยิ้มที่มุมปาก
“อยากรู้คำตอบ แกก็ต้องยอมคืนสิ่งที่ฉันต้องการให้ฉันก่อน…แล้วฉันจะยื่น
ของดีที่แกไม่มีวันปฏิเสธได้ให้…แกจะได้ตาสว่างสักทีไงล่ะ…”
“แกคิดจะเล่นแง่กับฉันเหรอไอ้รัง แกคิดว่าแกถือไพ่เหนือฉันรึไง…
ในเมื่อไพ่สามใบที่พวกแกหวงนักหวงหนาอยู่ในกำมือฉันแล้วอย่างนี้
แกคิดหรือว่าฉันจะยอมทิ้งไพ่สามใบนี้ไปง่ายๆเพื่อแลกกับความลับห่วยแตกของแก
ซึ่งฉันไม่ได้อยากรู้…และฉันไม่สนว่าใครจะเป็นเจ้าของตัวจริงของเกาะชิงชัง
โอนกรรมสิทธิ์สองเกาะนั่นให้ฉัน แล้วเอาตัวปองขวัญกับซาเนียไปได้…
ถ้าไม่…แกจะได้เห็นแต่หัวของยัยซาเนียถูกส่งไปก่อนใคร…
เพราะนอกจากเจ้าสาวของแกแล้ว ฉันก็ไม่ได้พิสมัยอยากได้ใคร…
จะฆ่าให้ตาย…ง่ายนิดเดียว…”
น้ำเสียงที่ฟังดูโหดเหี้ยมอำมหิตนั้นทำให้รังสิมันต์ถึงกับขนลุกซู่
หันไปทางเวนไตยก่อนจะกลืนน้ำลายลงคอ
เมื่อต้องตอบกลับขุนศึกไปว่า
“ฉันยอม…แกจะได้ในสิ่งทีแ่กต้องการภายในวันพรุ่งนี้…
แล้วห้ามแกทำอะไรพวกเธอ…ไม่อย่างนั้น สิ่งที่แกจะสูญเสียเป็นสิ่งแรก
ก็คือ ตำแหน่งสส.ที่แกหวงเป็นที่สุดไป ฉันสาบาน…”
ได้ฟังคำขู่ของอีกฝ่าย ขุนศึกก็ถึงกับคิดหนัก
หลังจากวางหูโทรศัพท์เขาก็ต่อสายหาบิดาทันที
เพราะรู้สึกว่าพักหลังๆมานี้ บิดาของเขาเจ็บออดๆแอดๆอยู่เรื่อยๆ
ใช้ให้ไปหาหมอก็ไม่ยอมไป โรคกลัวหมอ กลัวโรงพยาบาลเห็นจะรักษาไม่หาย…
แล้วถ้าเกิดบิดาของเขากำลังเป็นโรคร้ายอย่างที่ไอ้รังมันบอกจริงๆ
เขาจะทำอย่างไร แล้วไอ้รังมันรู้ได้ยังไง…
หรือว่ามันหลอกเขาให้ตายใจกันแน่
“มีอะไรเจ้าไลท์…เมื่อกี้ไอ้ไนท์มันมาหาฉัน แกรู้มั้ยว่ามันพูดอะไรกับฉัน”
คนรับสายร่ายยาวถึงเรื่องราวของตัวเอง โดยลืมถามไถ่อีกฝ่ายไปว่า
มีธุระอะไรถึงโทรมาหา เพราะปกติถ้าไม่มีอะไร
สองพ่อลูกก็แทบจะไม่มีเวลาได้พูดคุยพบหน้ากันอยู่แล้ว
“เขาพูดอะไรล่ะพ่อ…”
“แกฟังให้ดีๆนะ…ไอ้ไนท์มันบอกว่ารักน้องสาวของแก…
มันมาขอน้องสาวแกกับฉัน…”ขุนศึกมิได้รู้สึกตกใจอะไรมากมาย
เพราะสำหรับเขาแล้ว ไม่มีเรื่องไหนจะใหญ่โตเท่ากับปัญหาตัวเอง
อีกอย่างความสัมพันธ์ระหว่างเขากับน้องสาวก็ไม่ได้แน่นแฟ้นอะไร
“แล้วแม่ไม่ว่าอะไรเหรอพ่อ…”
“แม่แกน่ะเหรอ ตอนที่ได้ยินแทบลมจับ หายาดมแทบไม่ทัน
บอกว่าเป็นตายยังไงก็ไม่มีทางยกยัยไอซ์ให้แน่ๆ…แถมยังตะเพิดไอ้ไนท์ให้ไปให้พ้นตา…
เห็นสีหน้ามันตอนนั้นแล้วอดเห็นใจไม่ได้จริงๆ
มันคงรักน้องสาวแกเข้าแล้วจริงๆ…ไม่รู้ว่าไปรักกันตอนไหน…
แต่เป็นพี่น้องกันจะแต่งงานกันได้ยังไง…”ขุนศึกที่ได้ยินประโยคหลังสุดถึงกับเบ้ปาก
“พี่น้องที่ไหนกันพ่อ ก็แค่ลูกพี่ลูกน้อง…ถ้าเขารักเขาชอบกัน
มันก็ไม่น่าจะเป็นอะไรนี่…แต่ผมไม่ค่อยถูกชะตากับมันสักเท่าไหร่
ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้วพ่อก็รู้…ถ้าเป็นไปได้ อย่าเกี่ยวข้องกันเป็นดี
นี่ถ้าไม่ติดว่ามันเป็นลูกของลุงหนึ่งล่ะก็ ผมจะไม่ใส่ปากเลยสักคำ…
แล้วยัยไอซ์ว่าไงล่ะครับ…”
“ยัยไอซ์คงยังไม่รู้เรื่องนี้ล่ะมั้ง…ฉันเองก็ยังไม่ได้ถาม…ว่าแต่แกโทรมามีอะไร…”
จอมทัพนึกขึ้นได้ว่าลูกชายเป็นคนโทรมาหาเขา…
“เรื่องที่พ่อให้จัดการ ผมทำให้แล้วนะ ตอนนี้ได้ตัวสิ้นรัก ปองขวัญ
และซาเนียมาไว้ที่บ้านพักของพ่อแล้ว…และผมก็ต่อรองกับพวกนั้นไปแล้ว
วันพรุ่งนี้มันจะเซ็นโอนกรรมสิทธิ์เกาะทั้งสองเกาะให้พวกเรา…”
จอมทัพที่ได้ฟังถึงกับตาโตด้วยความดีใจ…ที่ความฝันของเขากำลังจะเป็นจริง
“แล้วลุงของแกรู้เรื่องนี้รึยัง…”
“ยังครับ…”
“เดี๋ยวฉันจะบอกให้ลุงของแกช่วยก็แล้วกัน เพราะอยู่ทางโน้นพอดี…
แกสุดยอดมากไอ้ลูกชาย…ไม่เคยมีสักครั้งที่จะทำให้ฉันผิดหวัง…”
ขุนศึกยิ้มกว้างเมื่อได้รับคำชมจากบิดา
“ว่าแต่พ่อสบายดีนะครับ…”หนุ่มใหญ่นึกถึงคำพูดของรังสิมันต์ขึ้นมา
“โอ้ย…สบายสิ…ถึงไม่สบาย พรุ่งนี้ก็สบายแล้ว…”เสียงระรื่นสดใส
ของบิดาทำให้ขุนศึกเลิกกังวลใจ หากก็ยังคงค้างคาใจอยู่ดี
“ผมว่าพ่อควรจะไปโรงพยาบาล ไปตรวจสุขภาพดูบ้างนะครับ…”
“มีอะไร…ร้อยวันพันปีแกไม่เคยแนะให้ฉันไปโรงพยาบาล…
วันนี้กลับมาพูดแบบนี้…แกก็รู้ว่าฉันไม่ชอบโรงพยาบาล…วันก่อนยังรู้สึก
แปลกๆอยู่เลยที่เป็นลมล้มไป ตื่นขึ้นมาอีกทีก็รู้สึกคันๆตร่งข้อพับแขน…”
คนฟังถึงกับตกใจจึงถามออกไปว่า
“แล้วพ่อเป็นลมที่ไหน…”
“ที่สปานั่นแหล่ะ…”ขุนศึกพยายามชั่งใจอยู่ครู่นึงก่อนจะกล่าวกับบิดาราวกับสั่งว่า
“ผมว่าพ่อน่าจะไปตรวจสุขภาพดูสักครั้งนะครับ ผมเป็นห่วง
เห็นพักหลังๆพ่อเจ็บป่วยออดๆแอดๆ…มีอะไรจะได้แก้ไขได้ทัน…”
“ฉันไม่เป็นไรหรอกน่า…ตามประสาคนแก่นั่นแหล่ะ…”
“แต่…”
“เถอะน่า…เอาไว้ถ้าเป็นอะไรมาก…ฉันจะไปหาหมอ…”
เท่านั้นคนฟังก็ถึงกับพ่นลมหายใจด้วยความโล่งอก
…สรุปว่าไอ้รังก็แค่ต้องการให้เขารู้สึกเขวก็เท่านั้นเอง…
มันทำเอาจิตใจของเขาไม่อยู่กับร่องกับรอย
ซ้ำยังหวาดระแวงแม้กระทั่งความสัมพันธ์ระหว่างเครือญาติ…
มันเอาอะไรมาพูดว่าเขาจะเป็นลูกคนอื่น
มันเอาอะไรมาพูดว่าให้เขากลับมาทบทวนให้แน่ใจว่าจริงๆแล้วเขาเป็นลูกใครกันแน่
…แล้วไอ้ที่มันบอกว่าดีเอ็นเอแปะอยู่ที่หน้าของเขาอยู่แล้ว มันหมายความว่าไง…
ก็แน่อยู่่แล้ว เขากับลุงจอมพลเป็นลุงกับหลานกัน
การที่หลานจะมีหน้าตาเหมือนกับลุงของตัวเอง มันแปลกด้วยหรือ…
กลับไปยังด้านของเชลยทั้งสาม
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นคะพี่ปอง…”ซาเนียที่ได้สติตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเอง
กำลังนอนอยู่บนเตียงนอนในห้องที่ไม่คุ้นเคย ได้ยินเพียงเสียงคลื่น
และกลิ่นอายของทะเลเท่านั้น แถมข้างกายของเธอยังมีปองขวัญที่เพิ่งตื่นขึ้นมาเช่นกัน
“พี่ก็ไม่รู้…”ปองขวัญเริ่มทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา
เพราะตอนนั้นมีหญิงสาวที่เป็นผู้ช่วยแม่บ้านมาบอกกับเธอว่าพี่ลมตกอยู่ในกองเพลิง
เธอเป็นห่วงอีกฝ่ายจนขาดสติ กว่าจะรู้ตัวก็ถูกลวงให้มาถึงทางเปลี่ยว
และตื่นมาอีกทีก็มาอยู่ที่นี่เสียแล้ว...ซึ่งซาเนียเองก็โดนลวงเช่นนั้นมาเหมือนกัน
โดยหญิงสาวนามว่ากุ้งใช้ชื่อของพี่รังมาลวงเธอ…
“พวกไหนกันคะที่นำเราสองคนมาที่นี่…”ปองขวัญส่ายหน้า
“หรือว่าจะเป็นพวกของสองพี่น้องจอมปลวกนั่นกันคะ…”ซาเนียสันนิษฐานหาความน่าจะเป็น
เพราะเธอไม่มีศัตรูที่ไหน นอกจากสองพี่น้องจอมปลวกนั่น
“แล้วพวกเขาต้องการตัวเราเพื่ออะไรล่ะซาเนีย…”ซาเนียส่ายหน้า
ก่อนจะมองไปรอบๆห้อง มือเท้าของเธอสองคนโดนผูกติดไว้กับเสาเตียง
ไร้อิสรภาพที่จะลุกไปไหน
“อาจจะเป็นเครื่องต่อรองอะไรบางอย่างก็ได้นะคะพี่ปอง…”
สองสาวต่างมองหน้ากันแล้วถอนใจยาว มองไม่เห็นแม้ทางออก
โดยไม่รู้เลยว่าห้องที่อยู่ติดกันนั้นมีสิ้นรักถูกจองจำอยู่โดยลำพัง
ซึ่งเจ้าตัวรู้สึกตัวแล้ว อีกทั้งยังกำลังต่อกรอยู่กับผู้ที่จับตัวเธอมา
“ทำไมคุณต้องทำแบบนี้ด้วย…คุณจับฉันมาทำไม…”สิ้นรักถามขุนศึก
ที่นั่งอยู่บนเตียงข้างๆเธอ โดยที่เท้าของเธอถูกผูกติดไว้กับเสาเตียง
ส่วนมือก็ถูกผูกไขว้ไว้ทางด้านหลัง ทั้งเจ็บทั้งอึดอัด…
“ความจริงผมก็ไม่ได้อยากทำให้คุณเจ็บเลยแม้แต่นิดเดียว
แต่ถ้าผมปล่อยคุณ คุณก็คงติดปีกหนีผมไปอีกจนได้…”
ขุนศึกยกมือขึ้นเกลี่ยผมที่ปรกหน้าสิ้นรักออกให้อย่างเบามือ
ทว่าหญิงสาวกลับสะบัดหน้าหนี ไม่ยอมให้เขาแตะต้องตัว
“ค่าหัวของฉันคืออะไร…”สิ้นรักถามออกไปตรงๆไม่อ้อมค้อม
“จะอยากรู้ไปทำไม…”ขุนศึกเบือนหน้าขณะถามกลับ
“ฉันจะได้รู้ไงว่าคุณตั้งค่่าหัวของฉันไว้เท่าไหร่…และมันคุ้มค่ากันไหม
กับลมหายใจของฉัน…ฉันอยากรู้ว่าคุณประเมินลมหายใจของคนอื่นเท่าไหร่…
หรือด้วยกับอะไร”ขุนศึกถึงกับอึ้งและเงียบไป
เมื่อไม่สามารถตอบคำถามนั้นได้อย่างเต็มภาคภูมิ…
“ฉันเคยคิดว่าคุณอาจจะรักฉัน…แต่จริงๆแล้วคุณรักใครไม่เป็น…
แม้แต่ตัวคุณเอง คุณยังไม่รู้เลยว่าจะรักตัวเองอย่างไร
หรือควรจะทำอย่างไรให้ตัวเองมีความสุข…”
“ก็นี่ไงความสุขของผม…”สิ้นรักส่ายหน้า
“ไม่จริงหรอก…ถ้าคุณมีความสุขจริงๆ ไหนคุณลองยิ้ม
ชนิดที่ไร้ความกังวลให้ฉันดูหน่อยสิ…”ขุนศึกกลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผาก
คนตรงหน้าตอกความรู้สึกนึกคิดข้างในของเขาจนเจ็บหนึบ
“คุณรู้มั้ยว่าความสุขนั้นหาได้ไม่ยากเลย…แค่ทำความดี แค่นั้น…”
คนฟังถึงกับลุกขึ้นเดินเอามือล้วงกระเป๋าไปยังหน้าต่างห้องที่มองเห็น
เกลียวคลื่นที่กำลังม้วนตัวซัดเข้าหาฝั่ง
“ความรัก ถ้าเรารักเป็น เราจะมีความสุขมาก ฉันรู้ได้เพราะว่าความรัก
ทำให้ฉันอยากมอบแต่สิ่งดีๆให้กับคนที่ฉันรัก ฉันพยายามทำดีให้กับคนที่ฉันรัก
พยายามมองเขาในแง่ที่ดี ใส่ใจ ห่วงใยเขา ดูแลเขาเท่าที่จะสามารถทำได้…
และทุกครั้งที่ฉันทำดีเพื่อคนที่ฉันรัก ฉันจะยิ้มอย่างมีความสุขเสมอ…
ยิ่งบวกกับความรักที่เรามีต่อตัวเองด้วยแล้ว เราจะพยายามทำดีเพื่อตัวเอง
ทำดีต่อตัวเอง ห่วงใยตัวเอง หาสิ่งดีๆให้กับตัวเอง
แล้วที่ฉันทุกข์เพราะความรักน่ะ…เพราะว่าฉันรักไม่เป็น
ฉันกลัว ฉันระแวงว่าเขาจะไม่รักฉันขึ้นมา
ฉันมองเขาในแง่ลบ ใจฉันก็เลยเป็นทุกข์ ฉันยึดติด
อยากได้เขามาครอบครองเป็นของตัวเองแต่เพียงผู้เดียว…
พยายามวิ่งไล่ล่าหัวใจของเขา โดยไม่คิดว่าเขาจะต้องการหรือรู้สึกอย่างไร
ฉันก็เลยเจ็บปวด ทุกข์ทรมานและเหน็ดเหนื่อยท้อใจกับความรักที่เกิดขึ้น”
สิ้นรักหยุดนิดนึงขณะมองแผ่นหลังของขุนศึกที่ยืนพิงหน้าต่างห้อง
มองไปยังข้างนอก
“ดังนั้น…การจะรักใครจริงๆสักคนมันก็เลยทำได้ไม่ง่าย
และกว่ารักนั้นจะส่งผลกลับมาหาเรา มันก็ต้องใช้เวลานาน
พอๆกับการทำความดี ที่ทำยากกว่าการทำความชั่ว
ทำอยู่นานกว่าจะส่งผลดีมาถึงตัวผู้กระทำ ไม่เหมือนทำชั่ว
ที่ทำง่ายแค่พริบตาก็เห็นผลทันตา…รึคุณว่าไม่จริง…”สิ้นรักหยุดหายใจ
นิดนึงก่อนจะกล่าวต่อ
“คุณลองคิดดูว่าระหว่างการเกลียดใครสักคน กับการรักใครสักคน
อย่างไหนทำง่ายกว่ากัน…เวลาเรารักใคร เราก็พยายามมองแต่สิ่งดีๆ
ที่เขาเป็นและที่เขามี แต่เวลาเราเกลียดใครคนไหนล่ะก็
เราจะไม่เห็นหรอกสิ่งดีๆของเขาน่ะ เพราะเรามองเห็นแต่สิ่งแย่ๆของเขาเท่านั้น…
ใจคนมักโน้มไปทางต่ำ ถ้าเราไม่รู้จักต้านทานมันเสียบ้างก็เท่ากับเราปล่อยให้ตัวเอง
เดินลงไปยังทางต่ำด้วยความเต็มใจ…ที่เขาเรียกว่าคนเหล่านั้นเป็นคนโง่
เพราะว่าพวกเขารู้ทั้งรู้ว่าหนทางนั้นจะนำพาพวกเขาไปที่สูงหรือที่ต่ำ แต่พวกเขาก็ยังทำ…
การปล่อยให้ไปตามกิเลส มันไม่ได้ช่วยให้ชีวิตเราดีและมีความสุขหรอกค่ะ…”
สิ้นรักถามอีกฝ่ายกลับ หากก็ได้เพียงความเงียบเป็นคำตอบ
ไม่รู้ว่าคนฟังกำลังคิดอ่านอะไรอยู่ในใจภายใต้ทีท่านิ่งๆนั้น…
“ฉันจึงเลือกที่จะรักในการทำความดี…ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อความสุขใจของตัวฉันเอง…
คนอื่นจะรับรู้ถึงความรักหรือความหวังดีของเราหรือไม่ ก็ไม่เป็นไร
เพราะเท่าที่ทำอยู่ก็สุขแล้ว เราทุกคนต่างก็ต้องการความสุขกันทั้งนั้นไม่ใช่เหรอคะ…
หรือว่าคุณไม่ต้องการ”เมื่อสิ้นสุดคำพูดดังกล่าว
ขุนศึกก็หันมาโต้กลับทันทีด้วยสีหน้าดุดัน
“ตลอดชีวิตของผม…ไม่เห็นเลยว่าจะมีใครรักผมจริงสักคน
แม้แต่คุณก็ยังไม่รัก…คุณเองก็คงเกลียดผม
เหมือนๆที่คนอีกหลายๆคนเขาเกลียดผม”สิ้นรักถึงกับสะอึก
ลมหายใจสะดุดกับถ้อยคำและน้ำเสียงที่ฟังดูท้อแท้ปนเศร้าแปลกๆ
“จะมีมั้ยใครในโลกนี้ที่กล้าพูดเต็มปากเต็มคำว่ารักผมจริง…
ขนาดพ่อกับแม่ยังไม่มีเวลาถ่ายทอดความรักให้ลูกได้รู้จักเลย…
แล้วคุณเป็นใคร ถึงมานั่งพร่ามถึงความรักให้คนที่คุณก็บอกอยู่แล้ว
ว่ารักใครไม่เป็นฟังอยู่อย่างนี้…ใช่สิ…ผมมันรักคนอื่นไม่เป็น…
งั้นคุณก็ช่วยสอนสิ สอนผมให้รู้ว่ารักมันเป็นยังไง…
หรือว่าคุณเองก็ไม่กล้ารักคนอย่างผม…”
สิ้นรักกลืนน้ำลายลงคอดังเฮือกเมื่อสบตากับแววตาคมดุของคนตรงหน้า
ไม่แน่ใจว่าเขากำลังอยู่ในอารมณ์ไหนกันแน่…
“ใช่…ฉันยอมรับว่าทุกครั้งที่รับรู้ถึงการกระทำของคุณ บอกตามตรงว่าฉันรักคุณไม่ลง…
ครั้นพออยากจะเกลียด แต่แปลกที่ก็เกลียดคุณไม่ลงสักที…
ทั้งๆที่ฉันควรจะเกลียดคุณด้วยซ้ำ หรือคุณว่าการที่คุณพรากฉันมาจากคนที่ฉันรัก
แล้วจับฉันมาขังไว้ มัดมือมัดเท้าแบบนี้ มันสมควรแล้วที่ฉันจะรักคนอย่างคุณ
ฉันไม่ใช่สัตว์ป่านะ ที่คุณอยากได้แล้วก็จับมันมาโดยไม่สนว่าจะเป็นการพรากพ่อพรากลูก
แล้วก็นำมันมาขังไว้ ให้อาหาร ให้น้ำ พร้อมที่จะนำมันไปเป็นตัวแลกเปลี่ยนกับอะไรบางอย่าง
ที่คุณพอใจกว่า หรือต่อให้คุณอยากได้มันไปเลี่ยง…
เชื่อสิว่าไม่ว่าคุณจะเลี้ยงให้ดียังไง สัตว์ป่ามันไม่มีคำว่าเชื่องจริงๆหรอก…
คุณไม่มีวันได้หัวใจรักของมันจริงๆหรอก…และฉันยังเป็นคน ไม่ใช่สัตว์…
จะให้ฉันรักคนที่นำฉันมากักขังไว้แบบนี้ ฉันรักไม่ลงหรอก…”
ขุนศึกถึงกับพูดไม่ออก ได้แต่จ้องหน้าคนพูดนิ่งก่อนจะหลับตาถอนใจยาว
ผู้หญิงตรงหน้ามองเขาแบบตาใส จริงใจ ถ้อยคำก็ซื่อตรง ไร้เล่ห์เหลี่ยม
เธอไม่คิดบ้างหรือไรว่าถ้อยคำของเธออาจทำให้เขาสติขาด
ทำร้ายเธอขึ้นมาได้ทุกเมื่อ
หากเมื่อเขาจ้องลึกลงไปจนได้เห็นแววตาเด็ดเดี่ยวที่ซ่อนอยู่ในตาใสๆนั้น
เขาจึงเข้าใจ ลูกเสือ เธอเป็นลูกเสือที่ดูเชื่องและซื่อ
ทว่าหาได้เกรงกลัวต่อสิ่งใด…เธอใจกล้าเหมือนนางเสือที่พร้อมสู้ไม่มีทางถอย…
“ต่อให้คุณสร้างกรงที่สวยงามสักแค่ไหนให้ฉันอยู่ แต่กรงมันก็คือกรงอยู่ดี…
และถ้าคุณอยากได้อะไรแล้วก็กระชากมันมาต่อหน้าเจ้าของแบบนี้
ต่อให้คุณได้มันมา คุณก็ไม่มีวันได้หัวใจและจิตวิญญาณมันมาด้วยหรอก…
หัวใจฉันไม่ใช่กระดาษที่จะปลิวไปตกที่ไหนก็ได้…
ฉันอยากรู้ว่าคุณต้องการอะไร ถึงได้เอาฉันมาขังไว้ที่นี่…”
สิ้นรักกล่าวด้วยแววตาที่กรุ่นโกรธ
เธอไม่เคยคาดคิดว่าคนที่เคยทำดีกับเธออย่างขุนศึกจะทำกับเธอแบบนี้
ในที่สุดเขาก็ทำกับเธอจนได้…ทั้งๆที่เธอพยายามเชื่อว่าเขา
จะสามารถกลับตัวเป็นคนดีได้…แต่สุดท้ายก็เปล่าประโยชน์
เธอผิดเอง…ที่คาดหวังเกินควร…และยังคาดการณ์ผิดไป…
เชื่อว่าตัวเองมีความสามารถพอที่จะเปลี่ยนคนตรงหน้า
ไปในทิศทางท่ีดีกว่าได้…
“มองตาผมสิ…มองให้ลึกลงไป…แล้วคุณจะพบสิ่งที่มันซ่อนอยู่
คุณจะเห็นความจริงว่าจริงๆแล้วผมต้องทรมานแค่ไหน…
คุณคือคนเดียวที่ผมอยากให้รู้อยากให้เห็นว่าแท้จริง
คนที่คุณและใครๆคิดว่าใจร้าย ก็มีหัวใจเหมือนกัน…
ผมแค่ต้องการใครสักคนที่เข้าใจ…และคนๆนั้นผมก็อยากให้เป็นคุณ…”
สิ้นรักถึงกับน้ำตาคลอ ไม่ใช่สงสารคนตรงหน้า
แต่เป็นเพราะไม่อาจเป็นคนๆนั้นให้กับเขาได้…
“อย่ามองผมเหมือนผมเป็นสิ่งเลวร้ายได้มั้ย…ที่ผมทำไปทั้งหมด
ก็แค่อยากเป็นที่รักของคนอื่นๆ ผมอยากให้พ่อกับลุงภูมิใจในตัวผม
อยากเด่นอยากดังเพื่อให้คนห้อมล้อม คอยติดตามผมอย่างสนใจ
ทุกอย่างที่คนเห็นกันมันก็แค่มายา ใช่ อาจดูเหมือนว่าผมมีใครมากมาย
อาจดูคล้ายผมมีทุกสิ่ง แต่ความจริงหัวใจข้างในมันเดียวดายและอ้างว้าง
ผมเฝ้ารอแค่เพียงใครสักคน คนที่รักจริง ขอแค่ได้พบคนที่จริงใจ…
ผมขอได้มั้ยสิ้นรัก ขอให้คุณเป็นคนๆนั้นให้ผม…ได้โปรด อย่าปฏิเสธผม”
คนพูดกล่าวในขณะที่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าหญิงสาวแล้วนั่งลงบนเตียงข้างๆเธอ
…เขาไม่เคยปรารถนาหญิงใดเท่าหญิงสาวตรงหน้า
ชีวิตที่ผ่านการแต่งงานมาแล้วอย่างเขา รู้ซึ้งรู้ดีแล้วว่ามันเจ็บปวดแค่ไหนเมื่อต้องหย่าร้าง…
ภรรยาที่เขาหามาได้ ไม่เคยรักในตัวเขา เธอเพียงรักและต้องการในสิ่งที่เขามี…
เธอไม่เคยมองเขาอย่างที่คนตรงหน้ามอง แววตาของเธอยามมองเขา
เหมือนเขาเป็นไอ้ตัวอะไรสักอย่าง…
เธอไม่ได้รักเขา ซ้ำยังเกลียดเขามากขึ้นเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ
จนสุดท้าย เขาก็ต้องปล่อยเธอไป…แน่นอน เขาเองก็ไม่ได้รักเธอ
แต่ความผูกพันธ์มันก็มีผลทำให้เขาเจ็บปวดอยู่ไม่น้อย…
เขาอยากมีลูก แต่ก็มองหาแม่ของลูกไม่เจอ…วินาทีแรกที่เจอสิ้นรัก
หญิงสาวตรงหน้าเขา เขาก็เห็นแสงแห่งความหวังปรากฏต่อสายตา
เธอเหมือนความหวังของเขา จนเขาอยากคว้าเธอมาไว้ข้างกาย…
จากที่ไม่เคยเจ็บปวดจากความผิดหวัง เธอคือคนแรกที่ทำให้เขารู้จักคำๆนั้น
เมื่อเธอบอกกับเขาว่าไม่ได้รักเขา แต่รักไอ้รัง…
และดูท่าจะไม่มีทางรักใครได้อีกนอกจากไอ้รัง เพราะสายตาเธอเวลาพูดถึงไอ้หมอนั่น
มันมีแต่ความชื่นชม มีแต่ความรักอยู่เต็มพื้นที่…
สิ้นรักเองเห็นแววตาของคนพูดที่จ้องเธออยู่ก็ได้แต่กลืนน้ำลายลงคอ
มองแววตานั้นไปมาอย่างชั่งใจแล้วกล่าวออกไปว่า
“ขอบคุณนะคะที่รักฉัน…ที่คุณพูดมานั้นฉันยอมรับว่าฉันซึ้งใจและเข้าใจ
แต่ฉันขอโทษ…ฉันรักคุณแบบที่รักพี่รังไม่ได้จริงๆ…”สิ้นรักมองหน้าขุนศึกนิ่ง
“คุณไม่ผิดที่รักฉัน ฉันต่างหากที่จะผิดถ้ารักคุณ
พี่รังรักฉันและฉันก็รักพี่รัง ฉันทำร้ายพี่รังไม่ได้หรอกค่ะ…”
สิ้นรักกล่าวออกไปตามตรง ไม่อ้อมค้อม เพราะไม่ต้องการให้ความหวังใคร…
โดยเฉพาะกับคนตรงหน้า
“อีกอย่างฉันกับพี่รังเราเป็นสามีภรรยากันอย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรมแล้ว…
ไม่ว่าวันนี้หรือจะวันหน้า ฉันก็กล้ายืนยันว่าฉันรักคุณอย่างที่รักพี่รังไม่ได้…
ฉันไม่ได้ตัวเปล่าอีกแล้วนะคะ…ฉันมีสามีแล้ว
และฉันก็ต้องการรักเขาคนเดียวตลอดไป
ฉันฝันและตั้งใจว่าจะมีสามีแค่คนเดียวในชีวิต…คุณรักฉันมันไม่ผิด
แต่ที่คุณทำอยู่มันผิด…ความรักท่ีทำร้ายใคร อย่างไรก็คงไม่ดี…
ฉันอยากให้คุณลองคิดทบทวนให้ดีว่าสิ่งที่คุณทำอยู่
คุณกล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำว่ารักหรือเปล่า…”
ขุนศึกก้มหน้าอยู่ครู่นึงก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วพ่นลมหายใจ
เธอกล่าวตัดเยื่อสิ้นใย แม้แต่เศษใจเธอก็ไม่เหลือเอาไว้ให้เขาแม้แต่นิดเดียว
ไอ้รังมันมีดีอะไรนักหนา ทำไมผู้หญิงตรงหน้าเขา
ถึงได้รักมันจนหมดหัวใจแบบนี้…
ยิ่งถ้อยคำที่แสดงออกถึงความจริงใจต่อความต้องการของตัวเอง
ดังที่กล่าวมาทั้งหมดของเธอ เขาก็หมดหนทางจะโน้มน้าวหัวใจของเธอ
ให้เอนเอียงมาหาเขาได้อีกแล้ว
“สรุปว่าคุณจะไม่มีวันรักผมแน่ๆ…”สิ้นรักพยักหน้า
“ค่าหัวของคุณก็คือชีวิตของไอ้รัง…ถ้ามันอยากได้ตัวคุณคืน
มันก็ต้องเอาชีวิตของมันมาแลก คุณว่าค่าหัวของคุณมีค่าสำหรับคุณมากแค่ไหนล่ะสิ้นรัก…
แต่สำหรับผม…ผมว่าคุ้มค่าถ้ามันกล้าแลก…
เพราะอะไรที่ผมไม่ได้ ใครก็จะไม่ได้ไปเหมือนกัน…
คุณไม่รักผม ผมก็จะไม่ยอมให้คุณได้ครองรักกับใครหน้าไหนเหมือนกัน
ในเมื่อผมไม่มีความสุข ก็อย่าหวังว่าใครจะมีความสุข…”
ขุนศึกลุกขึ้นยืนแล้วจ้องตาสิ้นรักนิ่ง
“ต่อจากนี้ไป…คุณก็เตรียมรับกับความทุกข์ทรมาน
ที่เกิดจากความรักที่คุณมีต่อไอ้รังที่จะมีมาได้เลย…
คุณจะทรมานและเจ็บปวดกับการรักมัน…ผมสาบาน!”
ขุนศึกกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แววตาดุดันปนเจ็บปวด
“มาดูกันว่าระหว่างน้ำตากับลมหายใจของคุณ อย่างไหนจะหมดก่อนกัน”
ขุนศึกแสยะยิ้มราวกับหยันเมื่อเห็นแววตาวูบไหวของหญิงสาวตรงหน้า
“ถ้าคิดจะมีความสุขด้วยกันกับมัน ก็ข้ามศพผมไปก่อนเถอะ”
พูดจบขุนศึกก็เดินออกจากห้องไป ทิ้งให้สิ้นรักนั่งอ้าปากค้าง
ตาโตด้วยความคาดไม่ถึง…
“คนเห็นแก่ตัว คุณมันเห็นแก่ตัวท่ี่สุด…ไม่ต้องเอาความทุกข์มาขู่ฉัน
เพราะฉันไม่กลัวหรอก…ต่อให้ต้องเสียน้ำตา ฉันก็ไม่เสียใจในสิ่งที่ฉันเลือกแล้ว
ต่อให้คุณยกเอาความทุกข์มาสักภูเขา ฉันก็ไม่กลัว
และพร้อมยินดีที่จะแบกมันเอาไว้ด้วยหัวใจ…
ฉันจะไม่มีวันหมดศรัทธาต่อความรักเหมือนคุณหรอก
ต่อให้ต้องเจ็บปวด ฉันก็จะอดทน
ไม่เชื่อคุณก็คอยดูสิ ว่าระหว่างคุณกับฉัน…ใครจะทนได้นานกว่าใคร…”
สิ้นรักตะโกนลั่นห้องพร้อมกับเอามือตบที่หน้าอกของตน
ด้วยแววตาที่ไม่ไหวหวั่นต่อคำขู่หรืออะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
จนทำให้คนที่อยู่ห้องข้างถึงกับสะดุ้ง…
“ไอ้สิ้น/พี่รัก…”สองสาวประสานเสียงออกมาพร้อมกัน ก่อนจะหัน
มามองหน้ากันโดยมิได้นัดหมาย
“หมายความว่า…ไม่ใช่แค่เราสองคนที่โดนจับตัวมา…”ซาเนียกล่าว
“แล้วทำไมมันต้องเอาไอ้สิ้นไปขังเดี่ยวเอาไว้ด้วย…หรือว่านี่จะเป็นฝีมือของไอ้ขุนศึก…
ต้องใช่เขาแน่ๆ…”ปองขวัญกัดฟันกรอดเมื่อนึกถึงหน้าของขุนศึก
ขออย่าให้ไอ้หมอนั่นทำอะไรเพื่อนของเธอเลย
แล้วเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น ทำไมเพื่อนของเธอถึงได้ตะโกนโหวกเหวก
ต่อว่าคนอื่นเสียลั่นห้องอย่างนั้น…หรือว่าไอ้หมอนั่นเข้าไปหาเพื่อนเธอ
ในห้องข้างๆนั้นเมื่อครู่…หวาย…อย่าบอกนะว่า…
ช่วงบ่ายของวันที่สามสาวโดนลักพาตัวไป…
สิ้นรักที่ถูกมัดมือมัดเท้า พยายามสอดส่ายสายตามองหาทางหนีทีไล่
และที่สำคัญ พยายามมองหากล้องวงจรปิด หรืออะไรก็ตามที่แปลกปลอมอยู่ในห้องนี้…
และก็จริงดังคาด เธอแอบเห็นกล้องดังกล่าวถูกติดตั้งอยู่ตรงมุมห้องด้านบน
ซึ่งคงสามารถมองเห็นได้ทุกมุมของห้องนี้…ดังนั้น ไม่ว่าเธอจะพยายาม
กระทำการอย่างไรเพื่อเป็นการหลบหนี ย่อมไม่เป็นผล…
หญิงสาวจึงได้แต่นั่งทอดถอนใจ ดิ้นรนไปก็คงเหนื่อยเปล่า
แตเมื่อพระอาทิตย์หมดแสงไป…แล้วความมืดดำเข้ามาแทนที่
แสงนีออนก็ปรากฏในห้องที่มีเพียงเธอนั่งเดียวดาย…ความเงียบสงัด
และความมืดสลัวจากบรรยากาศภายนอกชวนให้หญิงสาวรู้สึกวังเวง หวาดกลัวขึ้นมา
…แล้วเพียงไม่กี่นาทีต่อมาไฟในห้องของเธอก็วูบดับลงจนมืดสนิท มองไม่เห็นสิ่งใด
สิ้นรักเตรียมอ้าปากเพื่อกรีดร้องด้วยความกลัว
ทว่ากลับมีมือหนามาปิดปากของเธอเอาไว้ก่อนจะปิดปากเธอด้วยเทปกาวซ้ำ
แล้วแกะปมเชือกให้กับเธอ หลังจากนั้นก็กระชากเธอลงจากเตียงอย่างรวดเร็ว
มือหนาจับตัวเธอแนบกายแล้วผูกเธอติดกับตัวของเขาด้วยผ้าเหนียว
และยืดตัวได้ทางด้านหลัง เธอจึงรึบเอามือจับบ่าทั้งสองของเขาไว้
เมื่อยามที่เขาพาเธอปีนลงจากระเบียงห้อง
หญิงสาวรู้สึกเสียวไส้ นึกกลัวว่าตัวเองที่ห้อยโตงเตงเหมือนลูกลิงที่กำลังขี่หลังแม่ลิง
แล้วแม่ลิงก็กระโดดโลดโผนต้นไม้อยู่จะพลาดตกลงไปข้างล่าง ขาหักเอาได้
แต่เหมือนคนปีนป่ายดูจะชำนาญ
สิ้นรักจึงกอดคอเขาเอาไว้แน่น ซุกหน้าตรงแผ่นหลังนั้นโดยไม่ยอมก้มลงมองด้านล่าง
สักครู่ก็รู้สึกได้ถึงเสียงเท้าของเจ้าของร่างยักษ์ที่กำลังแบกเธออยู่แตะพื้นดิน
เขาไม่รอช้าพาเธอวิ่งไปทั้งๆอย่างนั้นราวกับไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย
กลิ่นกายและสัมผัสที่ได้รับจากเขา ทำให้สิ้นรักถึงกับยิ้ม
…เมื่อรู้ว่าชายร่างยักษ์ที่กำลังแบกเธออยู่เป็นใคร…
แต่ก็ไม่อาจเรียกชื่อของเขาได้…เทปกาวยังปิดปากเธอเอาไว้แน่น
ทางด้านปองขวัญกับซาเนียเองก็เช่นกัน เธอทั้งสองถูกชายฉกรรจ์
สองคนบุกเข้ามาช่วยแล้วไต่ระเบียงห้องลงมา
ก่อนจะแบกเธอทั้งสองวิ่งไปยังท่าเรือที่มีเรือจอดอยู่สองลำ…
ชายฉกรรจ์ทั้งสองพาสองสาวขึ้นไปยังบนเรือ ก่อนจะแกะเทปกาว
ออกจากปากของพวกเธอ…แล้วเปิดไอ้โม่งดำออก…
“พี่ลม/นี่นาย…”สองสาวเรียกบุรุษทั้งสองออกมาพร้อมกัน…
“พี่ลมมาที่นี่ได้ยังไงคะ…”
“นั่นน่ะสิ…”สองสาวถามด้วยแววตาประหลาดใจขณะมองหน้าเวนไตย
ก่อนจะหลบสายตาของเขาแล้วก้มหน้ามองพื้นเรือแทน
“อย่าเพิ่งถามตอนนี้เลย…เรารีบออกจากเกาะนี้กันเถอะ…
เดี๋ยวพวกนั้นจะตามมาทัน…”เวนไตยกล่าวพร้อมกัยสตาร์ทเครื่องยนต์
“แล้วไอ้สิ้นล่ะคะพี่ลม ไอ้สิ้นก็อยู่ที่นี่เหมือนกัน…”ปองขวัญหันไปถามวายุ
ทว่าชายหนุ่มกลับยิ้มตอบ…
“ไม่ต้องห่วงหรอก…ทางนั้นไอ้รังจัดการแล้ว โน่นไงมาโน่นแล้ว…”
เป็นอย่างที่วายุกล่าว เมื่อปองขวัญมองไปยังทิศทางที่วายุชี้ไป
ก็เห็นร่างชายคนหนึ่งกำลังแบกใครเอาไว้บนหลังวิ่งมาทางนี้พอดี…ทว่า…
“หยุดอยู่ตรงนั้นนะ…ไม่งั้นฉันยิงทิ้งทั้งคู่แน่…”เสียงนั้นดังมาจากด้านหลัง
และสิ้นรักก็จำได้ดีว่ามันเป็นเสียงของใคร…รังสิมันต์ตะโกนไปยังเรือของวายุทันที…
“รีบไป…ไม่ต้องเป็นห่วงฉัน…”วายุได้ยินถ้อยคำดังกล่าวชัดเจน
และพอเดาออกว่าเกิดอะไรขึ้น…จึงหันไปทางเวนไตย
“นายพาสองสาวกลับไปยังเกาะรังให้ได้นะเวนไตย…ส่วนฉัน
จะอยู่ช่วยไอ้รังทางนี้…”
“ไม่ค่ะพี่ลม เราจะอยู่ด้วยกัน ไม่ทิ้งกันเด็ดขาด…”ปองขวัญยื่นคำขาด
“ไม่ได้เด็ดขาด เธอจะต้องไปกับเวนไตย…เชื่อพี่ แล้วพี่จะกลับไปหาเธอ พี่สัญญา…”
วายุจับมือปองขวัญแล้วบีบมันไว้แน่น…
“แต่…”
“ได้โปรด…เชื่อพี่นะคนดี…”
“ถ้าเราช่วยกัน…”ซาเนียกล่าวขึ้นบ้าง
“ไม่มีเวลาแล้ว…รีบพาสองสาวไปเดี๋ยวนี้เลยเวนไตย…”
วายุสั่งเสียงเฉียบขาด
“สัญญากับฉันเวนไตย ว่านายจะพาสองสาวกลับเกาะรังอย่างปลอดภัย…”
วายุหันไปกล่าวกับเวนไตยเมื่อกระโดดลงจากเรือ…
“สัญญากับฉันสิ…”เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังนิ่งไม่ยอมขับเรือออกจากฝั่ง
วายุจึงสั่งเสียงเข้ม…
“ครับ…”จบคำเรือลำดังกล่าวก็ดีดตัวออกจากฝั่ง
ปองขวัญร้องตะโกนเรียกวายุลั่นท้องทะเล…
ก่อนจะน้ำตาไหลพรากด้วยความหวาดหวั่น…
และเป็นห่วงทั้งสามคนที่ยังอยู่บนเกาะนั่น
หลังจากเรือออกตัวไปแล้ว วายุจึงย่องเท้าไปอีกทางที่ไร้ผู้คน
โดยสายตายังคงจดจ้องอยู่กับภาพของเพื่อนรักกับอดีตน้องรหัส…
และเพราะความมืดจึงทำให้ไม่มีใครรู้ว่าเขายังอยู่ที่นี่…
“ส่งเธอกลับมาเดี๋ยวนี้…”เสียงสั่งฟังดูเฉียบคมและดุดัน…
“แล้วก็ยกมือขึ้นทั้งสองข้างสูงๆ…”รังสิมันต์ทำตามที่อีกฝ่ายซึ่งเหนือกว่า
ทั้งกำลังพลและอาวุธอย่างไม่อาจขัดขืนได้…สิ้นรักมองไปรอบๆตัว
มือบางรีบเปิดเทปกาวออก ซึ่งเธอน่าจะคิดได้เสียตั้งนานแล้วว่า
มือทั้งสองของเธอไม่ได้ถูกมัดไว้นี่…
“ยกมือขึ้นด้วยสิ้นรัก…”ขุนศึกสั่งสิ้นรักที่อยู่บนหลังของรังสิมันต์
“แล้วแกะผ้าที่คาดเอวอยู่ออกด้วย…”รังสิมันต์ทำตามอย่างว่าง่าย
ทว่าสายตากลับเห็นเงาบางอย่างกำลังซุ่มอยู่ตรงพุ่มไม้ไม่ไกลออกไป
“ส่งตัวเธอมา…”สิ้นรักที่ลงจากหลังของรังสิมันต์แล้วก็ยังไม่ยอมขยับขเยื่อนไปไหน
ยังคงซ้อนหลังของรังสิมันต์อยู่ราวกับปักหลักหลบลูกกระสุน
ซึ่งโล่ที่กำบังเธออยู่ดูจะแข็งแกร่งและบังเธอจนมิด…
และสายตาของเธอก็แอบมองเห็นอะไรบางอย่างที่กำลังส่องแสงแวววาวอยู่ไม่ไกลมือ…
ของเคยมือ…มีหรือเธอจะไม่รู้จักวิธีใช้…
และวินาทีที่มีดบินของวายุพุ่งไปยังมือที่กำลังจ่อเล็งปืนไปยังรังสิมันต์
“ฟิ้ว…..ววววว…ฉีก ฉีกๆๆๆ…ปัง! ปัง! ปัง!”
เสียงร้องคำรามด้วยความเจ็บปวดของขุนศึกและลูกน้องนับสิบดังขึ้นพร้อมกับเสียงปืน
แน่นอนว่าเสียงปืนดังกล่าวมิใช่ของขุนศึกและของเหล่าลูกน้องของขุนศึกแม้แต่นัดเดียวเป็นแน่
เพราะมือที่จับปืนของทั้งหมดบาดเจ็บด้วยฤทธิ์มีดสั้นของวายุกับรังสิมันต์
ที่ยังคงความแม่นยำอย่างเสมอต้นเสมอปลายจนคนที่โดนไปไม่อาจยกมือขึ้นมาต่อกร
กับทั้งสองได้อีกต่อไป
เสียงปืนดังกล่าวจึงดังมาจากมือที่สาม ซึ่งเป็นฝีมือของหญิงสาวหนึ่งเดียวในที่นี้
ที่คว้าปืนที่เหน็บอยู่ที่เอวของรังสิมันต์แล้วยิงไปที่ขาของขุนศึก
และลูกน้องของขุนศึกที่เล็งปืนมายังพี่รังของเธอด้วยความแม่นยำระดับปานกลาง
เพราะขาดประสบการณ์การยิงเป้ามนุษย์…
หัวใจของเธอก็เลยไม่กล้าทำร้ายใครให้ถึงแก่ความตายได้…
โดยใช้รังสิมันต์เป็นโล่กำบัง ทำให้คู่ต่อสู้จับทิศทางของกระสุนไม่เจอ
ยิ่งเมื่อหัวหน้าทัพล้ม ลูกน้องหมดหนทาง…ทั้งสามจึงถือโอกาส
วิ่งไปยังเรืออีกลำที่จอดรออยู่แล้วอย่างเร่งรีบ…ก่อนจะติดเครื่องยนต์
ทะยานไปยังทิศทางของเกาะรัง…ไม่นานนักก็มีทัพเสริมจากขุนศึก
ไล่บี้พวกเขาตามมาติดๆ…วายุทำหน้าเป็นผู้บังคับเรือ รังสิมันต์คอย
ยิงตอบโต้พวกนั้น โดยมีสิ้นรักคอยช่วยเหลือ
“ฝีมือใช้ได้เลยนะเนี่ย…”รังสิมันต์เอ่ยชมสิ้นรักที่คอยช่วยเขาแบบเคียงบ่าเคียงไหล่
ซึ่งเป็นอะไรที่เขาคาดไม่ถึงมาก่อน
ภาพหญิงบอบบางกลายเป็นหญิงเหล็กเช่นนี้ทำเอาเขาอึ้งจริงๆ…
“แน่นอนค่ะ มีครูดีก็งี้แหล่ะ…”สิ้นรักยักคิ้วให้รังสิมันต์พร้อมรอยยิ้ม
“ไปแอบเรียนยิงปืนมาตั้งแต่เมื่อไหร่แล้วล่ะเรา…”เสียงนั้นเริ่มเครียดขึ้น
เมื่อศัตรูยังไม่ยอมรามือง่ายๆ
วายุที่หันมาเห็นฝีมือของสิ้นรักก็ถึงกับอึ้งไปเหมือนกัน…
“พี่จะหักหัวเรือแล้วนะ จับที่เกาะเอาไว้ให้แน่นล่ะ…”
วายุเตือนพร้อมกับหักหัวเรือเปลี่ยนทิศทางก่อนจะขับเรือแบบผาดโผน
ชนิดที่น้อยคนจะทำได้
…ไม่ใช่เป็นการโชว์แต่เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร
และเพื่อไม่ให้ผู้ขับตามจับทิศทางที่แน่นอนได้…กระสุนที่แหวกสายลมมา
ก็เลยเฉียดหัวคนขับไปอย่างหวุดหวิดหลายต่อหลายนัด…
“สปีดเต็มแรงไปเลยค่ะพี่ลม…”สิ้นรักเชียร์คนขับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“อุ้ย…”รังสิมันต์กระโดดคว้าร่างสิ้นรักมาไว้ในอ้อมกอดก่อนจะบังร่างเธอเอาไว้
“พี่รังโดนยิงค่ะพี่ลม…”สิ้นรักร้องเสียงหลงเมื่อสัมผัสถึงกลิ่นเลือด
และความชื่นตรงลำแขนของรังสิมันต์…แถมยังรู้เจ็บหนึบตรงแขนของตัวเองด้วยเช่นกัน…
“พี่ไม่เป็นไร เธอนั่นแหล่ะ…เป็นอะไรรึเปล่า…”
รังสิมันต์กล่าวพลางสำรวจร่างเล็กในอ้อมกอด ก่อนหัวใจจะหล่นวูบเมื่อเห็นเลือด
ไหลจากลำแขนเล็กๆนั้นของคนในอ้อมกอด…
“รักไม่เป็นไรค่ะ…ยังไหว…”
“อย่าโกหกพี่…”
“ไม่โกหกค่ะ…รักยังไหวจริงๆ”…
“อดทนไว้นะนาโน…”วายุหยิบปืนอีกกระบอกขึ้นมาแล้วยิงกราดไปยังเรือที่ขับตามมา…
รังสิมันต์กัดฟันกรอด ก่อนจะบ้าระห่ำยิงกราดพวกที่ตามมาจนตกเรือไปทีละคน
…ไม่นานก็ไร้เสียงยิงตอบโต้มาจากฝ่ายตรงข้าม…
วายุหันมามองคนตัวเล็กที่คงกัดฟันไม่ยอมร้องออกมา…
“อีกไม่นานก็จะถึงเกาะรังรักแล้วนะนาโน อดทนอีกนิดนะ…”
วายุกล่าวขณะมองคนตัวเล็กในอ้อมกอดเพื่อนรักของเขาด้วยแววตาห่วงใย
อีกใจนึงก็นึกไปถึงปองขวัญกับซาเนีย ไม่รู้ว่าป่านนี้จะถึงเกาะรังรักหรือยัง
แล้วเวนไตยจะสามารถปกป้องทั้งสองได้หรือไม่…
หัวใจของเขายิ่งเต้นแรงขึ้นเมื่อนึกถึงหน้าปองขวัญ
ทำไมต้องมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับเขาด้วยนะ…
วันที่เขาควรจะมีความสุขที่สุดกลับเป็นวันซวยซ้ำซวยซ้อน
ส่วนรังสิมันต์ตรวจดูแผลของสิ้นรักโดยไม่สนใจบาดแผลของตนเอง
ก่อนจะฉีกเสื้อแล้วพันแผลห้ามเลือดให้สิ้นรักพลางกล่าวปลอบขวัญ
หญิงสาวที่ดูจะพยายามต่อสู้กับความเจ็บ แววตาเจ็บปวดนั้นกรีดหัวใจของเขา
ที่ไม่อาจดูแลเธอได้ดี ขนาดเธออยู่ใกล้เขาแค่นี้ เขาก็ยังไม่อาจดูแลเธอให้ปลอดภัยได้
…เขามันไร้ความสามารถที่สุด…
“พี่ขอโทษนะครับ…”สิ้นรักเห็นแววตารู้สึกผิดนั้นของรังสิมันต์
แม้รอบกายจะมืดแค่ไหน แต่ดวงตาของเขาเจิดจ้าเสมอ…
หญิงสาวจึงจับมือเขาเอาไว้แน่นขณะกล่าวว่า
“อย่าโทษตัวเองเลยนะคะ…รักไม่เป็นไร…ทนได้หายห่วงค่ะ…
ไกลหัวใจตั้งเยอะแหน่ะ…”เสียงสดใสนั้นทำเอาคนฟังยิ้มฝืด…
คนขับก็พลอยยิ้มออกมาได้นิดนึง…
“ไม่รู้ว่าเวนไตยกับสองสาวเป็นไงบ้าง…”วายุเปรยออกมา
ด้วยแววตาหวาดหวั่น
ทางด้านสองสาวที่เพิ่งผ่านเส้นตายมาได้หมาดๆถึงกับพ่นลมหายใจด้วยความโล่งอก
ซึ่งงานนี้คงต้องยกความดีให้กับคนขับเรือ ซึ่งมีฝีมือยิงปืนดีพอๆกับขับเรือ…
“ขอบคุณมากเลยนะคะ…”ปองขวัญกล่าวกับเวนไตยเมื่อถึงฝั่ง
“ไม่เป็นไรครับ…”เวนไตยกล่าวกับปองขวัญแล้วหันไปทางซาเนีย
“มันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้วครับ…”ซาเนียถึงกับเบือนหน้าหนี
ความตั้งใจที่จะกล่าวขอบคุณคนตรงหน้ากลับมลายหายไปในทันที
“เขาเก่งค่ะ…เพราะถูกฝึกมาอย่างดี…ถ้าใครได้รับบาดเจ็บหรือตาย
ในขณะที่เขากำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ เขาก็จะรู้สึกผิดไปจนตาย…ที่ทำหน้าที่ได้ไม่ดีพอ…
ดังนั้นโอกาสที่จะพลาดก็เลยน้อยค่ะ…
เพราะเขาจะไม่ยอมให้พลาดอย่างเด็ดขาด ซาเนียก็เลยรอดมาได้ทุกครั้งไงคะพี่ปอง”
ซาเนียกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับชื่นชม
หากเวนไตยกลับไม่คิดเช่นนั้น เขารู้ว่าเธอกำลังประชดเขา…
“พี่ก็ว่าเก่งค่ะ…เก่งมากๆเลยทีเดียว…”ปองขวัญยังไม่วายกล่าวชื่นชม
เวนไตยอย่างเปิดเผย…ชายหนุ่มจึงได้แต่ยิ้มบางๆแล้วพาสองสาวลงจากเรือ
ซึ่งทุกคนต่างวิ่งออกมาต้อนรับอยู่แล้ว…
ปองขวัญวิ่งไปยังอ้อมกอดของบิดาและมารดาและอีกหลายๆคนที่ต่างเข้ามารุมล้อม
“ไม่เป็นไรนะครับน้องซาเนีย…”เต็มกมลถามซาเนียพร้อมสำรวจความปลอดภัยของเธอ
“พี่อยากจะติดตามไปช่วยด้วย แต่พี่ไม่ถนัดคิวบู๊…ก็เลยไม่อยากไปเป็นตัวถ่วงเขา…
ดีใจที่เห็นน้องซาเนียกลับมาอย่างปลอดภัย…”
ซาเนียยิ้มบางให้กับเต็มกมล
“ขอบคุณค่ะที่เป็นห่่วงซาเนีย…”
“แล้วอีกสามคนล่ะ…”บันลือถามเวนไตยเมื่อมองไปไม่เจอลูกสาว
และลูกเขยรวมทั้งวายุด้วย
“นั่นน่ะสิครับพี่ปอง…พี่ลมล่ะครับ…”ปองขวัญถึงกับน้ำตารื้นเมื่อนึกถึงวายุ
รวมทั้งรังสิมันต์และเพื่อนรักของเธอ
“ยังไม่รู้เหมือนกันค่ะ…พวกเราล่วงหน้ามาก่อน…”เสียงนั้นเบาหวิว
เพราะรู้สึกเหมือนตัวเองช่างเห็นแก่ตัวนัก…
เวนไตยจึงเป็นคนอาสาเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ทุกคนฟัง
“สรุปว่านายรู้ว่าพวกเราถูกจับไปไว้ที่ไหน เพราะสร้อยคอที่คุณป้าให้ฉันไว้เนี่ยน่ะนะ…”
ซาเนียกล่าวขึ้นพร้อมกับจับสร้อยที่คอขึ้นมาดู
“ใช่จ่ะ…”แพรวาเป็นคนเฉลย
“ป้าเป็นคนให้เจ้ารังทำจี้นี้ขึ้นเป็นพิเศษตอนที่เรามาขอป้า
ว่าอยากเดินทางท่องเที่ยวเพียงลำพัง…เพราะป้าเป็นห่วงกลัวเราจะเป็นอันตราย…”
“มิน่าล่ะ…”หญิงสาวพึมพำออกมา เพราะทุกครั้งที่เกิดภัยกับเธอ
ก็เหมือนมีคนมาช่วยเธอตลอด ไวเท่าความคิด หญิงสาวหันไปทางเวนไตย
ซึ่งทางนั้นแกล้งเบือนหน้าหันไปอีกทาง…
“เวนไตยเขาอาสาขอติดตามไปดูแลเรา พี่รังของเราเขาก็ไม่ขัด
เพราะเห็นว่าเป็นญาติกัน…ป้าเองก็เห็นด้วย…คิดว่าคงไม่มีใคร
จะทำหน้าที่ปกป้องดูแลซาเนียได้ดีเท่าเวนไตยเขาแล้ว…เพราะผลงาน
ท่ีผ่านมาของเขามันทำให้ป้ามั่นใจและไว้ใจเขา…ป้ารักหนูมากนะซาเนีย…
และป้าก็ไม่อยากให้หนูไปไหนตามลำพังอีกแล้ว…”
ซาเนียยิ้มกว้างพร้อมน้ำตาใสๆที่คลอเบ้าก่อนจะสวมกอดแพรวาเอาไว้แน่น
“ขอบคุณค่ะคุณป้า…สิ้นคุณพ่อไป ก็มีแต่คุณป้าที่รักและห่วงใยซาเนีย…
ทำให้ซาเนียรู้สึกเหมือนมีแม่และพ่อคอยห่วงใย…ซาเนียรักคุณป้าค่ะ…”
แพรวากอดตอบร่างบางในอ้อมแขนแล้วยิ้มออกมา
แม้ลึกๆจะรู้สึกหวาดหวั่น เพราะทั้งลูกชายคนโต
และลูกสะใภ้หมาดๆยังไม่รู้ว่าจะรอดปลอดภัยกลับมาหรือเปล่า…
อีกทั้งวายุ เพื่อนรักของลูกชายอีก เธอทั้งรักท้ังเอ็นดูวายุไม่ต่างจากลูกในไส้
เพราะรู้จักมักคุ้นกันมานาน…รายนัั้นไม่เคยทอดทิ้งลูกชายของเธอเมื่อยามมีภัยเลยสักครั้ง
…ขอให้พระเจ้าจงคุ้มครองทั้งสามให้กลับมาอย่างปลอดภัยด้วยเถิด…
ไม่นานนัก…เรือที่ขับโดยวายุก็จอดลงหน้าเกาะรังรัก ทำให้ทุกสายตา
ที่จดจ้องและรอคอยด้วยความหวังถึงกับกรูเข้าไปอออยู่ตรงชายหาด
“ให้ฉันอุ้มนาโนดีกว่ามั้ย…”วายุเห็นท่าทางของเพื่อนดูไม่ดีเท่าไหร่นัก
จึงอาสาอุ้มสิ้นรักที่หน้าซีดเผือดจนเห็นได้ชัด…อาจเป็นเพราะเสียเลือดไปมาก
เนื่องจากบาดแผลที่ถูกยิง…
“ไม่เป็นไร…ฉันไหว…”รังสิมันต์ยืนยันที่จะเป็นคนอุ้มภรรยาของตัวเอง
ทำให้วายุถึงกับฉายยิ้มที่มุมปากกับท่าทางหวงๆนั้นของเพื่อน
ขนาดว่าเรี่ยวแรงทางกายไม่ให้ แต่เรี่ยวแรงทางใจยังหนักแน่นมั่นคง…
วายุจึงคอยมองอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ
“หนุ่ยเป็นอะไรน่ะรัง…”เสียงนั้นดังจากบุพการีของสิ้นรักที่ดูจะตกอกตกใจ
เมื่อเห็นลูกสาวถูกอุ้มลงมาจากเรือ สีหน้าดูไม่สู้ดีนัก
ขนาดว่ามืด ยังเห็นได้ชัดถึงขนาดนี้…
“ถูกยิงครับ ผมจะรีบพาเธอไปที่คลีนิค…”คลีนิคที่รังสิมันต์พูดถึงนั้น
คือคลีนิคส่วนตัวที่เขาสร้้างขึ้นเพื่อรักษาเยียวยาผู้คนบนเกาะรังรัก
ที่นั่นมีเครื่องมือทุกอย่างพร้อมสรรพ…แม้แต่เครื่องมือทางการแพทย์ขั้นสูง
ที่โรงพยาบาลใหญ่ในตัวเมืองมี…
“ส่งลูกสาวมาให้ฉันเถิด ดูท่าเธอเองก็จะไม่ไหวอยู่แล้ว…”บันลือกล่าว
ระหว่างเดินเคียงกันมากับรังสิมันต์…
“ไม่เป็นไรครับ…ผมไม่เป็นไร…”
“พ่อบัน…”สิ้นรักที่กำลังสลึมสลือได้ยินเสียงบิดาก็ร้องหา…
“ไม่เป็นไรนะหนุ่ย…หนุ่ยจะต้องเข้มแข็งเข้าไว้…”บันลือปลอบลูกสาว
“ทุกคนปลอดภัยมั้ยคะพ่อบัน…”
“ปลอดภัยหนุ่ย ทุกคนปลอดภัย…”ได้ยินอย่างนั้นคนถามจึงค่อยโล่งใจ
ก่อนจะค่อยๆหลับลงอย่างไม่อาจฝืนสังขารได้อีกต่อไป…
เมื่อมาถึงคลีนิค รังสิมันต์ก็รีบกันทุกคนออก โดยเหลือเพียงเขา
กับปองขวัญและคนไข้เท่านั้นในห้องผ่าตัด…
“ให้ปองทำเถอะนะคะ…พี่รังดูไม่พร้อมร้อยเปอร์เซ็น…”
รังสิมันต์มองหน้าปองขวัญอย่างชั่งใจ เรื่องฝีมือการผ่าตัด เขาอาจจะเก่งกว่าปองขวัญก็จริง
แต่เมื่อประเมินสมรรถภาพในขณะนี้แล้ว เขาเองก็เริ่มไม่ค่อยไว้ใจตัวเองนัก
“ไว้ใจปองเถอะค่ะ…ปองจะพยายามจนสุดความสามารถ…”
รังสิมันต์พยักหน้าเมื่อเห็นแววตามุ่งมั่นของแพทย์หญิงปองขวัญที่เคยร่วม
เผชิญกับสถานการณ์คับขันในการเป็นแพทย์ภาคสนาม
ขณะเข้าช่วยเหลือผู้คนที่ประสบภัย…ปองขวัญจึงตั้งสติและ
ตรวจดูบาดแผลของสิ้นรักก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
แล้วหันไปยิ้มให้กับรังสิมันต์…หลังจากมองจอมอนิเตอร์
“แค่กระสุนถากค่ะ…โชคดีที่แผลไม่ลึกมา…คงเพราะเสียเลือดเป็นเวลานาน
ไอ้สิ้นก็เลยหมดแรงไป เดี๋ยวปองจะทำแผลและก็ให้ยาแก้ปวดกับน้ำเกลือ…”
ปองขวัญชี้แจงไปพลางก็จัดแจงทำแผลให้กับเพื่อนรักของตน
ที่นอนสลบไปด้วยความอ่อนเพลีย…
ก่อนจะตกใจเมื่อเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มร่างใหญ่ที่หน้าตาดูซีดลงไปถนัดตา…
ปองขวัญรีบเข้าไปหาพร้อมกับตรวจดูก่อนจะเบิกตาโตด้วยความตกใจ…
“นี่พี่รังก็โดนยิงมาเหมือนกันนี่คะ…ทำไมไม่บอกปอง…
ปองก็นึกว่าเลือดที่เสื้อพี่เป็นเลือดของไอ้สิ้น…”
ปองขวัญเอ่ยพลางประคองร่างที่ใกล้จะร่วงราวกับนกปีกหัก
ไปยังอีกเตียงข้างๆเตียงสิ้นรักก่อนจะฉีกเสื้อของรังสิมันต์ออก
จึงพบกับบาดแผลที่ถูกยิงถึงสองแห่ง
“แผลที่หลังกระสุนคงฝังใน ส่วนที่ลำแขนแค่ถาก…”รังสิมันต์อธิบายเสียงแหบแห้ง…
“ไม่ต้องฉีดยาให้พี่…ผ่าตัดเอากระสุนออกมาเลย…พี่ทนได้…”
รังสิมันต์กัดฟันตอบ เพราะหากไม่จำเป็นนัก เขาก็ไม่อยากใช้ยาชา…
“จะไหวเหรอคะ…”ปองขวัญถามย้ำให้แน่ใจ
“ไหว…”แม้เสียงคนพูดจะแหบแห้งทว่าหนักแน่น…
ปองขวัญจึงเริ่มทำการผ่าตัดเอากระสุนออกทันที…
หลังจากวัดระดับความดันและชีพจรของชายหนุ่มแล้ว…
“ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้างในบ้าง…”แพรวาเอ่ยออกมาอย่าง
ไม่อาจอัดอั้นได้อีกแล้วด้วยความห่วงใย…
“ผมจะลองเข้าไปดู เพราะไอ้หมอก็โดนยิงมาด้วย…”
ถ้อยคำที่หลุดออกมานั้นถึงกับทำให้คนฟังตกใจอย่างคาดไม่ถึง
โดยเฉพาะแพรวาผู้เป็นมารดาของรังสิมันต์ที่แทบลมจับ
เมื่อรู้ว่าทั้งลูกชายคนโตและลูกสะใภ้หมาดๆของตนโดนยิงมาทั้งคู่…
โชคดีที่อากิโกะรับร่างของท่านไว้ได้ทัน…บัณฑิตกับบันลือ
หันมามองหน้ากันแล้วขบกรามแน่นจนเป็นสันนูน…
“พี่รังโดนยิงด้วยเหรอคะพี่ลม…แล้วจะเป็นอะไรมากมั้ย…”
ซาเนียเริ่มกระวนกระวายใจ นั่งแทบไม่ติด เดินไปมาหน้าห้องผ่าตัดราวกับหนูติดจั่น
เวนไตยที่นั่งเก็บอาการอยู่ได้แต่มองภาพหญิงสาวที่เดินไปมานิ่ง…
วายุที่หมดความอดทนหลังจากรอมานานร่วมชั่วโมง
ถึงกับเดินไปเปิดประตูแล้วก้าวเข้าไปอย่างถือวิสาสะ…
แล้วภาพที่เขาเห็นเพื่อนนอนคว่ำโดยมีปองขวัญคอยทำการผ่าตัดอยู่
คนที่ปกติไม่เคยกลัวอะไรก็ถึงกับออกอาการวิงเวียนศีรษะเมื่อ
ได้เห็นสีแดงฉานของเลือดที่มีปริมาณมากเต็มสองตา…
ตอนอยู่ในที่มืดบนเรือนั้นภาพสีแดงๆของเลือดมันไม่ได้ชัดเจนเท่าตอนนี้…
เลือดนิดๆหน่อยๆอาจไม่กระตุกใจเขาก็จริง แต่กองเลือดที่แดงฉาน
พร้อมสีหน้าเจ็บปวดของเพื่อนรวมกัน มันทำเอาเพดานห้องผ่าตัด
หมุนติ้วๆๆราวกับมีใครมาพลิกมันไปมาต่อหน้าเขา…
ปองขวัญที่รู้สึกเหมือนมีใครก้าวเข้ามาในเขตหวงห้ามก็หันมอง
ก่อนจะตกใจเมื่อเห็นวายุล้มลงไปนอนบนพื้นเสียแล้ว
“พี่ลม…”หญิงสาวอุทานเสียงดังลั่น ก่อนจะวางมือจากงานตรงหน้า
ที่จวนจะเสร็จแล้วนั้นเดินไปดูวายุพร้อมกับเอามืออังที่จมูกของเขาเป็นอันดับแรก…
แล้วค่อยๆพ่นลมหายใจออกมา
“พี่ลมเป็นลมค่ะพี่รัง…คงเมาเลือดแน่ๆ…
รู้ว่าเมาเลือดแล้วยังหาเรื่องเข้ามาอีก…เบ๊อะจริงๆ…”
ปองขวัญกล่าวพร้อมรอยยิ้มขัน
แม้ในสภาวะตึงเครียดเช่นนี้ เธอก็ยังมีอารมณ์ขันได้อย่างไม่น่าเชื่อ
เพราะคนที่นอนเป็นลมอยู่บนพื้นแท้ๆเชียว…
“แถมยังมีหน้ามีเมียเป็นหมออีกด้วยนะ…”
รังสิมันต์ที่แทบจะหมดเรี่ยวแรงเอ่ยออกมาด้วยความหมั่นไส้เพื่อนรัก
ที่คงจะเป็นห่วงเขากับสิ้นรักจนทนรอไม่ไหว แหวกม่านเข้ามาดูให้เห็นกับตาเป็นแน่…
ปองขวัญยิ้นเห็นด้วยก่อนจะรีบเดินไปยังด้านนอก…
ก็พอดีกับที่พยาบาลประจำเกาะรังรักซึ่งมีแค่คนเดียวมาถึงพอดี…
“พี่ลมเป็นลมค่ะ…ช่วยดูให้หน่อยนะคะ…”
ซาเนียที่อยู่ด้านนอกจึงรีบรุดเข้ามาในห้องผ่าตัดด้วยเมื่อสบโอกาส
โดยให้เหตุผลว่าจะอยู่ช่วยปฐมพยาบาลให้กับวายุ…ซึ่งเธอก็ทำได้ดี…
โดยที่สายตาก็พยายามมองไปยังร่างของรังสิมันต์ที่นอนคว่ำอยู่ด้วย…
ร่างของวายุถูกยกหามไปวางไว้บนเตียง ด้วยความช่วยเหลือจากเวนไตย
ที่เดินตามซาเนียเข้ามาด้วย…ก่อนจะขอตัวออกไปด้านนอก
เพราะไม่สู้ไหวนักกับกลิ่นยาในห้องผ่าตัด…
“พี่รังเป็นไงบ้างคะพี่ปอง…”
“หลับไปแล้ว…สงสัยคงอ่อนเพลียเต็มที นี่ก็ไม่ยอมให้พี่ใช้ยาชานะ
พอฉีดยาแก้ปวดให้ไม่นานก็หลับไปเลย…น้องซาเนียไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ
พี่รังเขาผ่านเหตุการณ์ที่หนักหนากว่านี้มาหลายครั้งแล้ว…
แค่นี้คงไม่ระคายผิวพี่เขาหรอกเนอะ…เพราะพี่เช็คดูแล้ว
ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเท่าครั้งก่อนค่ะ…ยอมรับเลยว่า พี่รังเขาเป็นหมอเหล็กจริงๆ
ไม่รู้ว่ากินเหล็กเป็นอาหารรึเปล่า…”
ปองขวัญกล่าวอย่างอารมณ์ดี…
เพราะเธอแน่ใจว่าคนไข้ทั้งสามที่นอนให้เธอรักษาอยู่นั้นคงไม่เป็นอะไรแน่ๆ
…เธอไม่ได้เชื่อในฝีมือตัวเอง แต่เชื่อในสัมผัสของตัวเอง…
และที่สำคัญ เธอเชื่อในพระเจ้าว่าจะคุ้มครองคนดีๆทั้งสามให้รอดปลอดภัย…
“ดูสิคะ…ขนาดว่าตัวเจ็บยังไม่วายแบกไอ้สิ้นมาเอง แถมตอนแรก
ยังทำท่าจะไม่ยอมให้พี่รักษาไอ้สิ้นอีกนะคะ…นึกแล้วก็อดชื่นชมไม่ได้ค่ะ
ดีใจแทนไอ้สิ้นที่ได้พี่รังเป็นคู่ชีวิต…”
พูดจบก็หันไปทางเตียงที่วายุนอนเป็นลมอยู่ รอยยิ้มของหญิงสาวจึงฉุดขึ้น
ร่างบางจึงก้าวเข้าไปใกล้ๆแล้วกุมมือของวายุเอาไว้แนบแก้มอย่างห่วงใย
ลึกลงไปมีความโล่งอกที่เขารอดปลอดภัยกลับมาได้
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ เขาทำเธอกระวนกระวายใจและทรมานกับการรอคอยเขากลับมา…
“ตื่นได้แล้วค่ะพี่ลม…รู้ค่ะว่าเป็นลม…แต่เป็นลมนานๆไม่ดีนะคะ ปองเป็นห่วง…”
ปองขวัญกระซิบข้างๆหูของวายุ ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ยอมตื่น
“สงสัยคงจะเหนื่อยมาด้วยล่ะค่ะ…ได้โอกาสหลับ ก็เลยหลับยาว…”
ซาเนียกล่าว…
“เราออกไปบอกทุกคนกันเถอะ…พวกเขาจะได้สบายใจ…
ฝากทางนี้ด้วยนะคะ…คุณสร้อย…”ปองขวัญชวนซาเนียก่อนจะหัน
ไปทางคุณพยาบาลที่ยืนยิ้มอยู่ก่อนหน้าแล้ว…
...โปรดติดตามตอนต่อไป....
มาให้กันตอนเช้าๆค่ะ...ก่อนจะออกไปทำธุระข้างนอก...
ขอคุยกับนักอ่านก่อนนะคะ
1.คุณหมีชมพู...สงสารพี่รังเถอะค่ะ....พี่แกรอคอยวันนี้มานานแล้ว
และเหมือนคงต้องรอต่อไป เพราะเจ้าสาวดันเจ็บซะแล้ว อิอิอิ
2คุณkonhin...เห็นฝีมือลูกศิษย์ของเวนไตยแล้วใช่มั้ยคะว่า ไม่ใช่แค่"พอใช้ได้"...อิอิ
แต่เริ่มเข้าขั้นแล้ว....
3.คุณviolette...ใช่แล้วค่ะพ่อพญาครุฑขาดสติไปนิดเลยทำอะไรลงไปโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง
ส่วนพี่รังคงต้องรอต่อปายยยยยยย...ฮ่าๆๆ
4.คุณsai....อิอิอิ...ระวังนะคะอยู่บนนั้นนานๆแล้วจะหาทางลงยาก...อิอิอิ...
ส่วนพี่รัง...ฉุดเขาลงมาจากคานได้สำเร็จแล้วแท้ๆแต่ก็ยังไม่วายอด...ฮ่าๆๆๆ
5.คุณpatiisa...นั่นน่ะสิคะ อุตส่าห์ยังเจออุปสรรคหรือก้างชิ้นโตอีก...
นายขุนศึกคงไม่ยอมรามือง่ายๆแน่ๆค่ะ ลูกเสือลูกตะเข้เลยนะคะนั่น...
6.คุณใบบัวน่ารัก...สงสัยคงเป็นอีกฝ่ายที่ไม่อยากให้คู่บ่าวสาวของเราเข้าหอรึเปล่าคะ..อิอิ
มันเป็นแผนการกระชากใจของหมอรังล้วนๆเลยนะคะนั่น...
7.คุณPampam...พี่ลมดูจะสบายไปเลยงานนี้...แต่พี่รังของเรานี่สิ...
คงต้องรอต่อปายยยยยยย...อิอิอิ
8.คุณตุ๊งแช่...อย่าได้กังวลไปเลยค่ะ การแสดงความเห็นเป็นสิ่งที่ดีค่ะ
แค่เราใช้คำสุภาพก็ถือว่าโอเคแล้วล่ะค่ะ ส่วนว่าจะทำให้ถูกใจคนเขียนรึเปล่านั้น
สำหรับเต่่าโยคิดว่า...คนเขียนเองก็คงต้องเปิดใจรับฟังทุกๆความเห็นน่ะค่ะ
เราคงกะเกณฑ์ให้ผลงานของเราถูกใจทุกคนคงไม่ได้แน่ๆ...
และคงกะเกณฑ์ให้นักอ่านทุกคนเขียนความเห็นถูกใจไม่ได้เช่นกัน...
แต่สิ่งสำคัญของความเห็นก็คือ การทำให้เราได้เห็นผลตอบรับกลับมามากกว่าค่ะ...
โยจึงชอบอ่า่นความเห็นของนักอ่านมากๆ...และเก็บคำแนะนำ
และความเห็นต่างๆไปคิด...แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า
เราจะต้องเปลี่ยนแปลงไปตามคำขอของนักอ่านทุกท่่านน่ะค่ะ...
เนื่องจาก ผลงานของเรามีเนื้อหาที่เราวางเอาไว้แล้วน่ะค่ะ
แต่การได้รับความเห็นต่างๆจากนักอ่าน จะเป็นบันไดไปสู่การเขียนในขั้นต่อไป...
เรื่องคู่พี่ตามคงต้องใช้เวลาค่ะ เพราะว่าที่เจ้าบ่าวยังเดินไม่ได้เลย...
มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยค่ะที่คนที่เป็นอย่างพี่เพลิงแล้วจะกลับมาเดินได้ง่ายๆ...
มันเป็นบททดสอบเรื่องของความอดทนและความรักค่ะ
แต่ถ้าคนอายุ 35 ถือว่าแก่แล้ว โยก็ชักจะเสียวสันหลังวาบๆแล้วนะคะ...อิอิ...
เพราะพี่ตามอายุอยู่ที่ 35นิดๆ ค่ะ...ถือว่าน่าจะยังมีลูกได้นะคะ...
ส่วนฝั่งผู้ชายอย่าได้ห่วงไปเลยค่ะ เขาสามารถผลิตลูกได้ตลอดชีพ...
อยู่ที่ว่าจะมีน้ำยาสักแค่ไหนเท่านั้นเอง...5555
ส่วนว่ามีลูกไม่ทันใช้ โยว่าใช้ไม่ทันแล้วล่ะค่ะ....
ก็ขวานดันมาบิ่นตอนเจอไม้งาม...อิอิอิ...
ปล.โยก็เขียนอะไรสั้นๆไม่เป็นค่ะ...ฮิอิอิ...ชอบร่ายยาวประจำ...
ปล.อีกที...ก่อนสงกรานต์หรือคะ...น่าคิดค่ะ...อิอิอิ...
9.คุณgoldensun...ถูกต้องแล้วค่ะ...พี่รังโดนกระชากจากวิมาน...
มันน่าเคืองที่สุด...และสงสัยชีวิตคู่ของทั้งสองคงจะยังมีคลื่นลมมรสุม
เข้ามาแวะเวียนเยี่ยมเยือนกันอีกหลายระลอก...และแต่ละระลอกก็จะเป็นดัง
บททดสอบความมั่นคงในรักของทั้งสองค่ะ ว่าที่ว่าจะรักกันตลอดไปนั้น
จะจริงดังคำพูดแค่ไหน...อิอิ...จุ๊บๆนะคะ
สุดท้ายไม่ท้ายสุด...
ขอบคุณทุกไลค์ ทุกกำลังใจ และทุกๆคนที่เข้ามาอ่านมาติดตามกันค่ะ...
...แล้วเจอกันยกหน้านะคะ....
"เต่าโย"
สิ้นรักเดินกระสับกระส่ายไปมาในห้องหอ ใจอยากออกไปข้างนอก
ให้รู้ว่่าอะไรเป็นอะไร เพราะได้ยินเสียงเอะอะโวยวายไปทั่วทั้งเกาะ
แต่เพราะถูกสั่งกำชับไว้อย่างหนักแน่นว่าห้ามออกไปไหน
เธอจึงจำต้องยอมรอฟังข่าวอยู่ในห้องพร้อมกับสวดอ้อนวอน
ต่อพระเจ้าให้คุ้มครองพี่รังและทุกคนให้ปลอดภัย…
ใจพลันนึกไปถึงเพื่อนสาวที่ป่านนี้ก็คงจะตกใจไม่แพ้เธอ
หรือว่าเธอควรจะไปหาปองขวัญดีไหม ห้องหอของปองขวัญกับเธอ
แม้จะอยู่กันคนละตัวเรือนแต่ว่าอยู่ใกล้กัน น่าจะไม่เป็นไร
ทว่ายังไม่ทันได้ย่างเท้า เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเสียก่อน…
“ก็อกๆๆ”สิ้นรักจึงถามออกไปให้แน่ใจก่อนเปิดประตูว่าเป็นใคร
เพื่อความไม่ประมาท
“ใครน่ะ…”
“นายหัวแย่แล้วค่ะนายหญิง…”เสียงนั้นเป็นเสียงของกุ้ง
หนึ่งในคนงานของเกาะรังที่มาช่วยเธอทำงานบ้าน สิ้นรักจึงรึบเปิด
ประตูห้องออกไปทันทีด้วยสีหน้าตื่นตระหนกตกใจ
“พี่รังหรือกุ้ง…”
“ค่ะ…นายหัวติดอยู่ในกองเพลิงตอนเข้าไปช่วยลูกคนงานค่ะ…
เรารีบไปดูนายหัวกันเถอะค่ะนายหญิง…”สิ้นรักไม่รอช้ารีบวิ่งตามกุ้ง
สาววัยกระเตาะลงจากเรือนไปทันทีโดยมิทันดูว่า
ทิศทางที่วิ่งไปนั้นมีจุดหมายปลายทางยังทิศใด
กว่าจะรู้…ก็สายเกินไปเสียแล้ว เมื่อรู้สึกได้ถึงเงามืดที่ทาทับมาทางด้านหลัง
แล้วเงาแห่งความมืดมิดก็เข้าปกคลุมสติของเธอ…
รังสิมันต์เดินกลับห้องตอนสายของวันใหม่ด้วยสีหน้าท่าทางระอิด
ระโหยโรยแรงไม่แพ้วายุที่เข้าไปช่วยเพื่อนรักดับเพลิงที่ยังหาสาเหตุไม่เจอ…
โชคดีที่คนงานปลอดภัย ไม่มีใครเสียชีวิต
มีเพียงแค่บาดเจ็บ แต่ไม่ถึงขั้นเจ็บหนัก…รังสิมันต์จึงอยู่พยาบาลรักษาคนงาน
กว่าจะเสร็จ เรี่ยวแรงก็แทบหมด
“ฉันว่างานนี้มันไม่ชอบมาพากลว่ะไอ้รัง…”วายุกล่าวขึ้นขณะเดินทาง
กลับเรือนหอกับเพื่อน
“ฉันก็คิดว่าอย่างนั้น เพราะมันบังเอิญเกินไป โชคดีที่ไม่มีใครเป็นอะไรมาก…
ว่าแต่แกโอเคมั้ย…”รังสิมันต์ถามไถ่เพื่อนรักที่สู้เคียงบ่่าเคียงไหล่เขามาตลอด
ด้วยแววตาห่วงใยจากใจจริง
“ไม่เป็นไร แกนั่นแหล่ะ หน้าซึดเชียว…”รังสิมันต์ยิ้มก่อนจะตบบ่าเพื่อน
“ขอบใจแกมากนะลม…ถ้าไม่ได้แกช่วยฉันคงแย่…”
“ขอบใจแค่พี่ลมคนเดียว พวกเราก็แย่สิพี่…”ฑยาวีย์กล่าวขึ้นเมื่อเดินมา
ยืนเคียงกับพี่ชายทัน…โดยมีอากิโกะตามมาติดๆ
“แล้วเจ้าแฝดล่ะ…”รังสิมันต์อดถามถึงหลานแฝดทั้งสองของเขาไม่ได้
“ฝากคุณนายเอาไว้…ไม่รู้ว่าตกใจตื่นกันแล้วรึเปล่า…”รังสิมันต์ยิ้มอย่างโล่งอก
ก่อนจะหันไปทางพสุธ เวนไตย เต็มกมล หมอกานต์
รวมทั้งบูรพาหรือพี่ริว ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของสิ้นรัก
และคนอื่นๆอีกหลายคนที่มาเป็นแขกร่วมงาน
ซึ่งต่างกันตื่นมาช่วยกู้เพลิงในครั้งนี้ด้วยแววตาซาบซึ้งใจ
“ขอบคุณทุกคนนะครับ…และต้องขอโทษด้วยจริงๆที่ปล่อยให้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น…”
รังสิมันต์กล่าวขึ้นเมื่อมาถึงเรือนใหญ่ ซึ่งเป็นห้องหอของเขา
และพอหันไปก็พบกับพ่อตาของตนที่กำลังยืนอยู่เบื้องหลังเขาโดยมีน้ำร้อยคอยประคอง
ซึ่งข้างๆท่านนั้นมีครอบครัวของคุณลุงของสิ้นรักยืนอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา
พร้อมด้วยพ่อตาและแม่ยายของเพื่อนรักซึ่งยืนไม่ห่างจากบันลือนัก
ตะวันที่นั่งอยู่บนรถเข็นโดยมีตามตะวันยืนจับรถเข็นอยู่ข้างหลัง
ไม่เว้นแม้กระทั่งมารดาของเขากับเจ้าแฝด
ที่ต่างก็มายืนออรอพวกเขาอยู่หน้าเรือนหอ ซึ่งเมื่อรังสิมันต์มองสำรวจ
ก็พบว่าทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า ขาดไปสามคน หรือถ้าจะพูดให้ถูก
ดูจะขาดไปสามสาว ซึ่งรวมภรรยาหมาดๆของเขาด้วย…
“ปองขวัญล่ะครับพี่ตาม…”วายุไม่เห็นปองขวัญยืนอยู่ด้วยก็แปลกใจ
หันไปถามตามตะวัน
และเหมือนความวุ่นวายทำให้ทุกคนลืมสำรวจจำนวนสมาชิก…
ตามตะวันจึงส่ายหน้าพร้อมกับมองหาน้องสาวด้วยสีหน้าวิตกขึ้นมาทันที
เพราะตั้งแต่เกิดเรื่อง เธอยังไม่เจอน้องสาวเลย
“ยัยตัวเล็กก็ไม่อยู่…ซาเนียก็เหมือนกัน…”รังสิมันต์กล่าวพร้อมกับมองหาร่างเล็กที่คุ้นตา
เผื่อว่าจะเจอเธอยืนวุ่นอยู่ตรงมุมไหนสักมุมแถวๆนี้
ก่อนจะขึ้นบนเรือนหอเพื่อค้นหาสิ้นรัก ทว่าหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ
วายุเองก็เช่นกัน ส่วนเวนไตยกับเต็มกมลวิ่งวุ่นตามหาซาเนียจนทั่ว
แต่ปรากฏว่่าไม่เห็นแม้แต่เงา…ทุกคนต่างแยกย้ายช่วยกันตามหาสามสาวแต่ก็ไม่เจอ
นอกจากมีเสียงหนึ่งจากคนงานที่พอจะรู้เบาะแสการหายตัวไป
ของสามสาวกล่าวขึ้นว่า
“นังกุ้งก็หายไปเหมือนกันครับนายหัว…เห็นลุงเม่นบอกว่า
เห็นมันวิ่งไปทางหลังเกาะไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ
และทุกรอบก็จะมีใครก็ไม่รู้วิ่งตามมันไปด้วย…ตอนนั้นเหตุการณ์มันวุ่นวาย
จนลุงเม่นแกคิดว่านังกุ้งคงหาทางหนีทีไล่ เพราะนังกุ้งมันเพิ่งมาอยู่ใหม่ได้ไม่กี่วันเองครับ…”
ฟังมาถึงตรงนี้ รังสิมันต์กับวายุก็พอจะจับต้นชนปลายได้บ้างแล้ว
“ฉันไม่น่าไว้ใจใครง่ายๆเลย…ไม่คิดว่าผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างกุ้งจะมีพิษสงขนาดนี้…”
รังสิมันต์ต่อว่าตัวเอง…เขารู้ดีว่าตอนนี้ภรรยาของเขา รวมทั้งปองขวัญและซาเนีย
กำลังตกอยู่ในเงื้อมมือของใคร
…เขาไม่น่าพลาดกับรายละเอียดปลีกย่อยแค่นี้เลยจริงๆ…
“อย่าโทษตัวเองเลยไอ้รัง…เรามาช่วยกันคิดดีกว่าว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี…”
วายุตบบ่าเพื่อน เขาเองก็กำลังกังวลใจอยู่ไม่น้อย
“ฉันคิดว่าพวกมันจะไม่กล้ามาเหยียบที่นี่ เพิ่งรู้ว่าตัวเองคิดผิดที่ประมาทศัตรูเกินไป…”
รังสิมันต์กล่าวด้วยแววตาเจ็บใจตัวเอง
“แต่ที่น่าสงสัยก็คือ…มันต้องการตัวหนูปองเพื่ออะไรน่ะสิ
ถ้าเป็นซาเนียกับหนูรักล่ะก็ ฉันพอจะรู้สาเหตุ…”
แพรวาตั้งข้อสังเกต เพราะถ้าเป็นสิ้นรักกับซาเนียนั้น เธอพอจะเดาสาเหตุได้
เนื่องจากรู้มาตลอดว่าศัตรูต้องการเกาะรังกับเกาะชิงชัง
“หรือว่าพวกมันจะรู้แล้วว่าใครเป็นเจ้าของตัวจริงของเกาะชิงชัง…”
บันลือกล่าวขณะหันไปทางเวนไตยที่ส่ายหน้าไปมา
“พวกมันคงคิดเอาตัวคุณหนูเพื่อต่อรองขอกรรมสิทธิ์ในการครอบครองสองเกาะ
เพราะคิดว่าเกาะชิงชังเป็นของคุณป๋า คงอาจจะสืบรู้มาว่า คุณป๋าไปพักอยู่ที่นั่น
ส่วนเกาะรังก็ใช้คุณหนูเป็นตัวบีบนายหัว…”
เวนไตยให้ความเห็นก่อนจะหันไปทางรังสิมันต์ ซึ่งพยักหน้าเหมือนจะเห็นด้วย
“แล้วทำไมต้องเอาปองขวัญไปด้วย…กับซาเนียน่ะพอจะเข้าใจ
เพราะพวกนั้นหมายหัวซาเนียมาตลอด…”วายุชักเริ่มหัวเสีย
ยิ่งคิดถึงใบหน้างามยามที่เขาได้สัมผัสรัก
ยิ่งให้หงุดหงิดไอ้คนที่มาลักพาตัวเธอไปในค่ำคืนส่งตัว…
“จะอะไรล่ะ…ก็เพื่อต่อรองขอบางอย่างจากฉันน่ะสิลม…”ตะวันกล่าวขึ้น
“พวกนั้นคงคิดจะใช้ปองขวัญบีบแกกับฉันให้คืนสำนักพิมพ์ให้เป็นแน่…”
“หรือไม่ก็อาจจะต้องการขู่ตามก็ได้ค่ะ…เพราะช่วงนี้ตามเขียนข่าว
โจมตีตระกูลนั้นอยู่ด้วย…”ตามตะวันเสริมด้วยแววตาเจ็บแค้น
“ถ้าเป็นอย่างนั้น…เดี๋ยวอีกไม่นาน พวกนั้นจะต้องโทรมาแน่ๆ…”
บิดาของปองขวัญกล่าวขึ้นมาบ้าง หลังจากที่ยืนนิ่งด้วยสีหน้าเคร่งเครียดมาตลอด
…โชคดีที่มีภรรยาคอยปลอบอยู่ข้างๆ ไม่อย่างนั้นโรคเก่าคงกำเริบ
จะมีก็แต่บันลือที่ดูจะควบคุมร่างกายและจิตใจได้ดีกว่าใคร
ทั้งๆที่เป็นห่วงลูกสาวที่เปรียบดั่งแก้วตาดวงใจเกินจะบรรยายได้…
ส่วนเวนไตยที่ดูนิ่งที่สุดกลับร้อนรนอยู่ภายในใจ เพราะสังหรณ์ใจ
ว่าศัตรูอาจจะเริ่มรู้ตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับอดีตของเขารวมทั้ง
ความสัมพันธ์บางอย่างระหว่างเขากับซาเนียก็เป็นได้…
มิเช่นนั้น ซาเนียคงไม่ถูกลักพาตัวไปด้วยในภารกิจนี้เป็นแน่…
ทำไมต้องเป็นเธอที่ต้องเผชิญเรื่องที่มีเขาเป็นต้นเหตุด้วย
ทั้งๆที่เธอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเกาะชิงชังที่พวกนั้นอยากได้
แต่เธอก็ต้องมารับเคราะห์กรรมแทนเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า…
เมื่อไหร่คนพวกนั้นถึงจะเลิกกระหายอยาก อยากได้ของที่ไม่ใช่ของตนเสียที
เมื่อไหร่พวกนั้นจะพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี เมื่อไหร่พวกนั้น
จะเลิกเห็นชีวิตคนเป็นผักเป็นปลาเสียที…
แล้วเวลาแห่งการรอคอยของทุกคนก็สิ้นสุดลง
เมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือของรังสิมันต์ดังขึ้น
“ว่าไงไอ้รัง…ยังจำเสียงฉันได้รึเปล่า…”
“ไอ้ขุนศึก…”รังสิมันต์เรียกชื่อนั้นลอดไรฟัน
“ฉันโทรมาอวยพรวันแต่งงานแกน่ะ หวังว่าคงไม่ช้าเกินไปนะ
แต่งงานทั้งทีก็น่าจะเชิญคนดังอย่างฉันไปร่วมงานบ้าง…”
“มีอะไรก็พูดมา…อย่ามาอ้อมโลก…”รังสิมันต์เริมฉุนเมื่อได้ยิน
เสียงหัวเราะของคนปลายสายราวกับจะเย้ยหยันเขา
“โทษทีนะที่ทำให้แกเสียอารมณ์…และหวังว่าฉันคงไม่ทำให้แกอารมณ์ค้างหรอกใช่มั้ย…
แต่ถ้าแกไม่ว่าอะไร ฉันก็ยินดีจะเป็นคนสานต่อให้แกนะ…
เพราะดูท่าเจ้าสาวของแกยังใหม่และสดแกะกล่องอยู่เลยนี่…”
สิ้นคำรังสิมันต์ก็กำหมัดกัดฟันกรอด จนแทบอยากจะกระโดดฉีกอก
เจ้าของคำพูดเมื่อครู่ยิ่งนัก…
“ถ้าแกแตะเธอแม้แต่ปลายเล็บล่ะก็…แกจะได้รู้ว่าคนอย่างฉัน
ทำอะไรให้โลกนี้จารึกได้บ้าง…”
“โอ๊ะ ๆๆ นี่แกขู่ฉันเหรอไอ้รัง…น้ำหน้าอย่างแกกล้าขู่คนอย่างฉันเหรอ
ขนาดแมวยังกลัว แล้วพญาราชสีห์อย่างฉัน แกไม่หัวหดตอนเจอกันรึไง”
น้ำเสียงเย้ยหยันทำเอาคนที่เคยใจเย็นและวางเฉยได้อย่างรังสิมันต์ถึงกับของขึ้น…
“ต้องการอะไรบอกมา…”เสียงนั้นราวกับเสือคำราม…
“ถ้าฉันบอกว่าต้องการเจ้าสาวของแกล่ะ…แกจะยกให้มั้ย…”
น้ำเสียงนั้นกึ่งล้อเล่นกึ่งจริงจัง จนรังสิมันต์ชักเริ่มหัวเสีย
“บอกมันไปรัง…ว่าถ้ามันอยากได้เกาะรัง เราก็ยินดีให้
ขอแค่ให้มันคืนทั้งสามคนมา…”แพรวาแทรกขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าท่าทาง
ของลูกชายคนโตที่ไม่สู้ดีนัก…
“งั้นแกก็เตรียมขุดหลุมฝังตัวเองเอาไว้ได้เลยไอ้ขุนศึก เพราะไม่ว่า
แกจะเห่าอยู่ที่ไหน ฉันก็จะตามหาเสียงเห่าของแกให้เจอ…”
“ฮีๆๆ ปากดีนักนะไอ้รัง…บอกแม่แกกับไอ้แก่ใกล้ตายนั่นด้วย
ว่าให้เซ็นยกกรรมสิทธิ์เกาะรังกับเกาะชิงชังให้พ่อฉันกับลุงของฉันภายในวันนี้…
แล้วเอาปองขวัญกับซาเนียไป ส่วนเจ้าสาวของแก
ถ้าอยากได้คืนล่ะก็ แกก็ต้องมาเอาด้วยตัวแกเอง…ว่าแต่แกจะกล้าเหร้อ
ฉันว่าเอาชนะแมวให้ได้ก่อนดีมั้ย แล้วค่อยมาประลองฝีมือกับราชสีห์อย่างฉัน…”
น้ำเสียงนั้นท้าทายอย่างเปิดเผย
“ไม่ดูง่ายไปหน่อยเหรอ…ที่แกจะมาต่อรองกับฉัน ทั้งๆที่แกไม่รู้ด้วยซ้ำ
ว่าใครเป็นเจ้าของเกาะตัวจริงในตอนนี้…ฉันว่าแกไปหาข้อมูล
มาให้ดีกว่านี้ดีมั้ยว่าใครกันแน่ที่เป็นเจ้าของเกาะชิงชัง ณ วันนี้…
เพราะเท่าที่ฉันสืบมา นายหัวปุรินทร์ ปุรารัตน์มิใช่เหรอที่เคยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์
แล้วพ่อกับลุงของแกก็ฆ่าล้างโคตรพวกเขาไปหมดแล้ว…
แต่ฉันว่าก่อนที่แกจะมามัวเสียเวลาสืบค้นประวัติของคนอื่น
ลองหันไปสืบค้นประวัติตัวเองก่อนดีมั้ย ดีเอ็นเอมันอยู่บนใบหน้าแกอยู่แล้ว
ลองเช็คให้แน่ใจสิว่า แกเกิดจากจอมปลวกไหนกันแน่…
หรือถ้าอยากรู้ความจริง…ฉันก็ยินดีบอกให้นะ ถ้าแกอยากฟัง…”
ทางปลายสายเงียบไปเมื่อได้ยินประโยคดังกล่าวจากปากของรังสิมันต์
“อ้อ…ฉันลืมบอกอะไรแกไปอย่างนึง…อาการป่วยของพ่อแกเท่าที่ฉันสืบรู้มา
มันมีความแปลกอยู่นะ ถามแม่แกกับลุงแกดูสิว่าป่วยด้วยโรคเดียวกันรึเปล่า…
บางทีแกอาจจะมัวยุ่งอยู่กับเรื่องที่มาของคนอื่นจนลืมมองที่มาของตัวเองไปก็ได้นะ…
แล้วไอ้เกาะที่พ่อแกกับลุงแกอยากได้น่ะ…
ฉันอยากรู้ว่าถ้าพวกเขารู้ว่าจะอยู่สูดลมหายใจในโลกนี้ได้อีกไม่นาน…
พวกเขายังอยากได้อีกรึเปล่า…”
รังสิมันต์กล่าวในสิ่งที่น้อยคนที่ฟังอยู่รู้ และการที่เขารู้มามันอาจไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่เพราะความผิดพลาดเล็กๆน้อยๆของสองพี่น้องจอมปลวก
จึงทำให้เขารับรู้ถึงโรคร้ายแรงชนิดหนึ่งผ่านทางหยดเลือดของจอมทัพ
โดยที่เจ้าตัวคงยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นโรคอะไร
เพราะถ้ารู้ขึ้นมา เขาก็แน่ใจว่า หยดเลือดดังกล่าวมันมีพลังไม่น้อยไปกว่าปรมาณู
ที่เคยถล่มเกาะฮิโรชิม่ากับนางาซากิในอดีตแน่ๆ
จะต่างกันก็ตรงที่คราวนี้ปรมาณูดังกล่าวใช้เพื่อถล่มคนชั่วให้สิ้นซากไปก็เท่านั้นเอง
…และนี่คือครั้งแรกในชีวิตของการเป็นหมอ
ที่เขารู้สึกดีที่ได้รู้ว่่าคนที่เขาตรวจเลือดเป็นโรคร้ายชนิดนี้…
แม้จะรู้สึกหดหู่ใจอยู่บ้าง แต่มันได้มลายหายไปตั้งแต่ได้ฟังวาจาของขุนศึกไปเมื่อครู่แล้ว
เขาว่ามันสมควรแล้ว สมควรแล้วจริงๆ!
“แกหมายความว่าไงไอ้รัง…”เสียงนั้นดูจะหงอลงไปจากเดิมมาก
รังสิมันต์จึงกระตุกยิ้มที่มุมปาก
“อยากรู้คำตอบ แกก็ต้องยอมคืนสิ่งที่ฉันต้องการให้ฉันก่อน…แล้วฉันจะยื่น
ของดีที่แกไม่มีวันปฏิเสธได้ให้…แกจะได้ตาสว่างสักทีไงล่ะ…”
“แกคิดจะเล่นแง่กับฉันเหรอไอ้รัง แกคิดว่าแกถือไพ่เหนือฉันรึไง…
ในเมื่อไพ่สามใบที่พวกแกหวงนักหวงหนาอยู่ในกำมือฉันแล้วอย่างนี้
แกคิดหรือว่าฉันจะยอมทิ้งไพ่สามใบนี้ไปง่ายๆเพื่อแลกกับความลับห่วยแตกของแก
ซึ่งฉันไม่ได้อยากรู้…และฉันไม่สนว่าใครจะเป็นเจ้าของตัวจริงของเกาะชิงชัง
โอนกรรมสิทธิ์สองเกาะนั่นให้ฉัน แล้วเอาตัวปองขวัญกับซาเนียไปได้…
ถ้าไม่…แกจะได้เห็นแต่หัวของยัยซาเนียถูกส่งไปก่อนใคร…
เพราะนอกจากเจ้าสาวของแกแล้ว ฉันก็ไม่ได้พิสมัยอยากได้ใคร…
จะฆ่าให้ตาย…ง่ายนิดเดียว…”
น้ำเสียงที่ฟังดูโหดเหี้ยมอำมหิตนั้นทำให้รังสิมันต์ถึงกับขนลุกซู่
หันไปทางเวนไตยก่อนจะกลืนน้ำลายลงคอ
เมื่อต้องตอบกลับขุนศึกไปว่า
“ฉันยอม…แกจะได้ในสิ่งทีแ่กต้องการภายในวันพรุ่งนี้…
แล้วห้ามแกทำอะไรพวกเธอ…ไม่อย่างนั้น สิ่งที่แกจะสูญเสียเป็นสิ่งแรก
ก็คือ ตำแหน่งสส.ที่แกหวงเป็นที่สุดไป ฉันสาบาน…”
ได้ฟังคำขู่ของอีกฝ่าย ขุนศึกก็ถึงกับคิดหนัก
หลังจากวางหูโทรศัพท์เขาก็ต่อสายหาบิดาทันที
เพราะรู้สึกว่าพักหลังๆมานี้ บิดาของเขาเจ็บออดๆแอดๆอยู่เรื่อยๆ
ใช้ให้ไปหาหมอก็ไม่ยอมไป โรคกลัวหมอ กลัวโรงพยาบาลเห็นจะรักษาไม่หาย…
แล้วถ้าเกิดบิดาของเขากำลังเป็นโรคร้ายอย่างที่ไอ้รังมันบอกจริงๆ
เขาจะทำอย่างไร แล้วไอ้รังมันรู้ได้ยังไง…
หรือว่ามันหลอกเขาให้ตายใจกันแน่
“มีอะไรเจ้าไลท์…เมื่อกี้ไอ้ไนท์มันมาหาฉัน แกรู้มั้ยว่ามันพูดอะไรกับฉัน”
คนรับสายร่ายยาวถึงเรื่องราวของตัวเอง โดยลืมถามไถ่อีกฝ่ายไปว่า
มีธุระอะไรถึงโทรมาหา เพราะปกติถ้าไม่มีอะไร
สองพ่อลูกก็แทบจะไม่มีเวลาได้พูดคุยพบหน้ากันอยู่แล้ว
“เขาพูดอะไรล่ะพ่อ…”
“แกฟังให้ดีๆนะ…ไอ้ไนท์มันบอกว่ารักน้องสาวของแก…
มันมาขอน้องสาวแกกับฉัน…”ขุนศึกมิได้รู้สึกตกใจอะไรมากมาย
เพราะสำหรับเขาแล้ว ไม่มีเรื่องไหนจะใหญ่โตเท่ากับปัญหาตัวเอง
อีกอย่างความสัมพันธ์ระหว่างเขากับน้องสาวก็ไม่ได้แน่นแฟ้นอะไร
“แล้วแม่ไม่ว่าอะไรเหรอพ่อ…”
“แม่แกน่ะเหรอ ตอนที่ได้ยินแทบลมจับ หายาดมแทบไม่ทัน
บอกว่าเป็นตายยังไงก็ไม่มีทางยกยัยไอซ์ให้แน่ๆ…แถมยังตะเพิดไอ้ไนท์ให้ไปให้พ้นตา…
เห็นสีหน้ามันตอนนั้นแล้วอดเห็นใจไม่ได้จริงๆ
มันคงรักน้องสาวแกเข้าแล้วจริงๆ…ไม่รู้ว่าไปรักกันตอนไหน…
แต่เป็นพี่น้องกันจะแต่งงานกันได้ยังไง…”ขุนศึกที่ได้ยินประโยคหลังสุดถึงกับเบ้ปาก
“พี่น้องที่ไหนกันพ่อ ก็แค่ลูกพี่ลูกน้อง…ถ้าเขารักเขาชอบกัน
มันก็ไม่น่าจะเป็นอะไรนี่…แต่ผมไม่ค่อยถูกชะตากับมันสักเท่าไหร่
ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้วพ่อก็รู้…ถ้าเป็นไปได้ อย่าเกี่ยวข้องกันเป็นดี
นี่ถ้าไม่ติดว่ามันเป็นลูกของลุงหนึ่งล่ะก็ ผมจะไม่ใส่ปากเลยสักคำ…
แล้วยัยไอซ์ว่าไงล่ะครับ…”
“ยัยไอซ์คงยังไม่รู้เรื่องนี้ล่ะมั้ง…ฉันเองก็ยังไม่ได้ถาม…ว่าแต่แกโทรมามีอะไร…”
จอมทัพนึกขึ้นได้ว่าลูกชายเป็นคนโทรมาหาเขา…
“เรื่องที่พ่อให้จัดการ ผมทำให้แล้วนะ ตอนนี้ได้ตัวสิ้นรัก ปองขวัญ
และซาเนียมาไว้ที่บ้านพักของพ่อแล้ว…และผมก็ต่อรองกับพวกนั้นไปแล้ว
วันพรุ่งนี้มันจะเซ็นโอนกรรมสิทธิ์เกาะทั้งสองเกาะให้พวกเรา…”
จอมทัพที่ได้ฟังถึงกับตาโตด้วยความดีใจ…ที่ความฝันของเขากำลังจะเป็นจริง
“แล้วลุงของแกรู้เรื่องนี้รึยัง…”
“ยังครับ…”
“เดี๋ยวฉันจะบอกให้ลุงของแกช่วยก็แล้วกัน เพราะอยู่ทางโน้นพอดี…
แกสุดยอดมากไอ้ลูกชาย…ไม่เคยมีสักครั้งที่จะทำให้ฉันผิดหวัง…”
ขุนศึกยิ้มกว้างเมื่อได้รับคำชมจากบิดา
“ว่าแต่พ่อสบายดีนะครับ…”หนุ่มใหญ่นึกถึงคำพูดของรังสิมันต์ขึ้นมา
“โอ้ย…สบายสิ…ถึงไม่สบาย พรุ่งนี้ก็สบายแล้ว…”เสียงระรื่นสดใส
ของบิดาทำให้ขุนศึกเลิกกังวลใจ หากก็ยังคงค้างคาใจอยู่ดี
“ผมว่าพ่อควรจะไปโรงพยาบาล ไปตรวจสุขภาพดูบ้างนะครับ…”
“มีอะไร…ร้อยวันพันปีแกไม่เคยแนะให้ฉันไปโรงพยาบาล…
วันนี้กลับมาพูดแบบนี้…แกก็รู้ว่าฉันไม่ชอบโรงพยาบาล…วันก่อนยังรู้สึก
แปลกๆอยู่เลยที่เป็นลมล้มไป ตื่นขึ้นมาอีกทีก็รู้สึกคันๆตร่งข้อพับแขน…”
คนฟังถึงกับตกใจจึงถามออกไปว่า
“แล้วพ่อเป็นลมที่ไหน…”
“ที่สปานั่นแหล่ะ…”ขุนศึกพยายามชั่งใจอยู่ครู่นึงก่อนจะกล่าวกับบิดาราวกับสั่งว่า
“ผมว่าพ่อน่าจะไปตรวจสุขภาพดูสักครั้งนะครับ ผมเป็นห่วง
เห็นพักหลังๆพ่อเจ็บป่วยออดๆแอดๆ…มีอะไรจะได้แก้ไขได้ทัน…”
“ฉันไม่เป็นไรหรอกน่า…ตามประสาคนแก่นั่นแหล่ะ…”
“แต่…”
“เถอะน่า…เอาไว้ถ้าเป็นอะไรมาก…ฉันจะไปหาหมอ…”
เท่านั้นคนฟังก็ถึงกับพ่นลมหายใจด้วยความโล่งอก
…สรุปว่าไอ้รังก็แค่ต้องการให้เขารู้สึกเขวก็เท่านั้นเอง…
มันทำเอาจิตใจของเขาไม่อยู่กับร่องกับรอย
ซ้ำยังหวาดระแวงแม้กระทั่งความสัมพันธ์ระหว่างเครือญาติ…
มันเอาอะไรมาพูดว่าเขาจะเป็นลูกคนอื่น
มันเอาอะไรมาพูดว่าให้เขากลับมาทบทวนให้แน่ใจว่าจริงๆแล้วเขาเป็นลูกใครกันแน่
…แล้วไอ้ที่มันบอกว่าดีเอ็นเอแปะอยู่ที่หน้าของเขาอยู่แล้ว มันหมายความว่าไง…
ก็แน่อยู่่แล้ว เขากับลุงจอมพลเป็นลุงกับหลานกัน
การที่หลานจะมีหน้าตาเหมือนกับลุงของตัวเอง มันแปลกด้วยหรือ…
กลับไปยังด้านของเชลยทั้งสาม
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นคะพี่ปอง…”ซาเนียที่ได้สติตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเอง
กำลังนอนอยู่บนเตียงนอนในห้องที่ไม่คุ้นเคย ได้ยินเพียงเสียงคลื่น
และกลิ่นอายของทะเลเท่านั้น แถมข้างกายของเธอยังมีปองขวัญที่เพิ่งตื่นขึ้นมาเช่นกัน
“พี่ก็ไม่รู้…”ปองขวัญเริ่มทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา
เพราะตอนนั้นมีหญิงสาวที่เป็นผู้ช่วยแม่บ้านมาบอกกับเธอว่าพี่ลมตกอยู่ในกองเพลิง
เธอเป็นห่วงอีกฝ่ายจนขาดสติ กว่าจะรู้ตัวก็ถูกลวงให้มาถึงทางเปลี่ยว
และตื่นมาอีกทีก็มาอยู่ที่นี่เสียแล้ว...ซึ่งซาเนียเองก็โดนลวงเช่นนั้นมาเหมือนกัน
โดยหญิงสาวนามว่ากุ้งใช้ชื่อของพี่รังมาลวงเธอ…
“พวกไหนกันคะที่นำเราสองคนมาที่นี่…”ปองขวัญส่ายหน้า
“หรือว่าจะเป็นพวกของสองพี่น้องจอมปลวกนั่นกันคะ…”ซาเนียสันนิษฐานหาความน่าจะเป็น
เพราะเธอไม่มีศัตรูที่ไหน นอกจากสองพี่น้องจอมปลวกนั่น
“แล้วพวกเขาต้องการตัวเราเพื่ออะไรล่ะซาเนีย…”ซาเนียส่ายหน้า
ก่อนจะมองไปรอบๆห้อง มือเท้าของเธอสองคนโดนผูกติดไว้กับเสาเตียง
ไร้อิสรภาพที่จะลุกไปไหน
“อาจจะเป็นเครื่องต่อรองอะไรบางอย่างก็ได้นะคะพี่ปอง…”
สองสาวต่างมองหน้ากันแล้วถอนใจยาว มองไม่เห็นแม้ทางออก
โดยไม่รู้เลยว่าห้องที่อยู่ติดกันนั้นมีสิ้นรักถูกจองจำอยู่โดยลำพัง
ซึ่งเจ้าตัวรู้สึกตัวแล้ว อีกทั้งยังกำลังต่อกรอยู่กับผู้ที่จับตัวเธอมา
“ทำไมคุณต้องทำแบบนี้ด้วย…คุณจับฉันมาทำไม…”สิ้นรักถามขุนศึก
ที่นั่งอยู่บนเตียงข้างๆเธอ โดยที่เท้าของเธอถูกผูกติดไว้กับเสาเตียง
ส่วนมือก็ถูกผูกไขว้ไว้ทางด้านหลัง ทั้งเจ็บทั้งอึดอัด…
“ความจริงผมก็ไม่ได้อยากทำให้คุณเจ็บเลยแม้แต่นิดเดียว
แต่ถ้าผมปล่อยคุณ คุณก็คงติดปีกหนีผมไปอีกจนได้…”
ขุนศึกยกมือขึ้นเกลี่ยผมที่ปรกหน้าสิ้นรักออกให้อย่างเบามือ
ทว่าหญิงสาวกลับสะบัดหน้าหนี ไม่ยอมให้เขาแตะต้องตัว
“ค่าหัวของฉันคืออะไร…”สิ้นรักถามออกไปตรงๆไม่อ้อมค้อม
“จะอยากรู้ไปทำไม…”ขุนศึกเบือนหน้าขณะถามกลับ
“ฉันจะได้รู้ไงว่าคุณตั้งค่่าหัวของฉันไว้เท่าไหร่…และมันคุ้มค่ากันไหม
กับลมหายใจของฉัน…ฉันอยากรู้ว่าคุณประเมินลมหายใจของคนอื่นเท่าไหร่…
หรือด้วยกับอะไร”ขุนศึกถึงกับอึ้งและเงียบไป
เมื่อไม่สามารถตอบคำถามนั้นได้อย่างเต็มภาคภูมิ…
“ฉันเคยคิดว่าคุณอาจจะรักฉัน…แต่จริงๆแล้วคุณรักใครไม่เป็น…
แม้แต่ตัวคุณเอง คุณยังไม่รู้เลยว่าจะรักตัวเองอย่างไร
หรือควรจะทำอย่างไรให้ตัวเองมีความสุข…”
“ก็นี่ไงความสุขของผม…”สิ้นรักส่ายหน้า
“ไม่จริงหรอก…ถ้าคุณมีความสุขจริงๆ ไหนคุณลองยิ้ม
ชนิดที่ไร้ความกังวลให้ฉันดูหน่อยสิ…”ขุนศึกกลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผาก
คนตรงหน้าตอกความรู้สึกนึกคิดข้างในของเขาจนเจ็บหนึบ
“คุณรู้มั้ยว่าความสุขนั้นหาได้ไม่ยากเลย…แค่ทำความดี แค่นั้น…”
คนฟังถึงกับลุกขึ้นเดินเอามือล้วงกระเป๋าไปยังหน้าต่างห้องที่มองเห็น
เกลียวคลื่นที่กำลังม้วนตัวซัดเข้าหาฝั่ง
“ความรัก ถ้าเรารักเป็น เราจะมีความสุขมาก ฉันรู้ได้เพราะว่าความรัก
ทำให้ฉันอยากมอบแต่สิ่งดีๆให้กับคนที่ฉันรัก ฉันพยายามทำดีให้กับคนที่ฉันรัก
พยายามมองเขาในแง่ที่ดี ใส่ใจ ห่วงใยเขา ดูแลเขาเท่าที่จะสามารถทำได้…
และทุกครั้งที่ฉันทำดีเพื่อคนที่ฉันรัก ฉันจะยิ้มอย่างมีความสุขเสมอ…
ยิ่งบวกกับความรักที่เรามีต่อตัวเองด้วยแล้ว เราจะพยายามทำดีเพื่อตัวเอง
ทำดีต่อตัวเอง ห่วงใยตัวเอง หาสิ่งดีๆให้กับตัวเอง
แล้วที่ฉันทุกข์เพราะความรักน่ะ…เพราะว่าฉันรักไม่เป็น
ฉันกลัว ฉันระแวงว่าเขาจะไม่รักฉันขึ้นมา
ฉันมองเขาในแง่ลบ ใจฉันก็เลยเป็นทุกข์ ฉันยึดติด
อยากได้เขามาครอบครองเป็นของตัวเองแต่เพียงผู้เดียว…
พยายามวิ่งไล่ล่าหัวใจของเขา โดยไม่คิดว่าเขาจะต้องการหรือรู้สึกอย่างไร
ฉันก็เลยเจ็บปวด ทุกข์ทรมานและเหน็ดเหนื่อยท้อใจกับความรักที่เกิดขึ้น”
สิ้นรักหยุดนิดนึงขณะมองแผ่นหลังของขุนศึกที่ยืนพิงหน้าต่างห้อง
มองไปยังข้างนอก
“ดังนั้น…การจะรักใครจริงๆสักคนมันก็เลยทำได้ไม่ง่าย
และกว่ารักนั้นจะส่งผลกลับมาหาเรา มันก็ต้องใช้เวลานาน
พอๆกับการทำความดี ที่ทำยากกว่าการทำความชั่ว
ทำอยู่นานกว่าจะส่งผลดีมาถึงตัวผู้กระทำ ไม่เหมือนทำชั่ว
ที่ทำง่ายแค่พริบตาก็เห็นผลทันตา…รึคุณว่าไม่จริง…”สิ้นรักหยุดหายใจ
นิดนึงก่อนจะกล่าวต่อ
“คุณลองคิดดูว่าระหว่างการเกลียดใครสักคน กับการรักใครสักคน
อย่างไหนทำง่ายกว่ากัน…เวลาเรารักใคร เราก็พยายามมองแต่สิ่งดีๆ
ที่เขาเป็นและที่เขามี แต่เวลาเราเกลียดใครคนไหนล่ะก็
เราจะไม่เห็นหรอกสิ่งดีๆของเขาน่ะ เพราะเรามองเห็นแต่สิ่งแย่ๆของเขาเท่านั้น…
ใจคนมักโน้มไปทางต่ำ ถ้าเราไม่รู้จักต้านทานมันเสียบ้างก็เท่ากับเราปล่อยให้ตัวเอง
เดินลงไปยังทางต่ำด้วยความเต็มใจ…ที่เขาเรียกว่าคนเหล่านั้นเป็นคนโง่
เพราะว่าพวกเขารู้ทั้งรู้ว่าหนทางนั้นจะนำพาพวกเขาไปที่สูงหรือที่ต่ำ แต่พวกเขาก็ยังทำ…
การปล่อยให้ไปตามกิเลส มันไม่ได้ช่วยให้ชีวิตเราดีและมีความสุขหรอกค่ะ…”
สิ้นรักถามอีกฝ่ายกลับ หากก็ได้เพียงความเงียบเป็นคำตอบ
ไม่รู้ว่าคนฟังกำลังคิดอ่านอะไรอยู่ในใจภายใต้ทีท่านิ่งๆนั้น…
“ฉันจึงเลือกที่จะรักในการทำความดี…ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อความสุขใจของตัวฉันเอง…
คนอื่นจะรับรู้ถึงความรักหรือความหวังดีของเราหรือไม่ ก็ไม่เป็นไร
เพราะเท่าที่ทำอยู่ก็สุขแล้ว เราทุกคนต่างก็ต้องการความสุขกันทั้งนั้นไม่ใช่เหรอคะ…
หรือว่าคุณไม่ต้องการ”เมื่อสิ้นสุดคำพูดดังกล่าว
ขุนศึกก็หันมาโต้กลับทันทีด้วยสีหน้าดุดัน
“ตลอดชีวิตของผม…ไม่เห็นเลยว่าจะมีใครรักผมจริงสักคน
แม้แต่คุณก็ยังไม่รัก…คุณเองก็คงเกลียดผม
เหมือนๆที่คนอีกหลายๆคนเขาเกลียดผม”สิ้นรักถึงกับสะอึก
ลมหายใจสะดุดกับถ้อยคำและน้ำเสียงที่ฟังดูท้อแท้ปนเศร้าแปลกๆ
“จะมีมั้ยใครในโลกนี้ที่กล้าพูดเต็มปากเต็มคำว่ารักผมจริง…
ขนาดพ่อกับแม่ยังไม่มีเวลาถ่ายทอดความรักให้ลูกได้รู้จักเลย…
แล้วคุณเป็นใคร ถึงมานั่งพร่ามถึงความรักให้คนที่คุณก็บอกอยู่แล้ว
ว่ารักใครไม่เป็นฟังอยู่อย่างนี้…ใช่สิ…ผมมันรักคนอื่นไม่เป็น…
งั้นคุณก็ช่วยสอนสิ สอนผมให้รู้ว่ารักมันเป็นยังไง…
หรือว่าคุณเองก็ไม่กล้ารักคนอย่างผม…”
สิ้นรักกลืนน้ำลายลงคอดังเฮือกเมื่อสบตากับแววตาคมดุของคนตรงหน้า
ไม่แน่ใจว่าเขากำลังอยู่ในอารมณ์ไหนกันแน่…
“ใช่…ฉันยอมรับว่าทุกครั้งที่รับรู้ถึงการกระทำของคุณ บอกตามตรงว่าฉันรักคุณไม่ลง…
ครั้นพออยากจะเกลียด แต่แปลกที่ก็เกลียดคุณไม่ลงสักที…
ทั้งๆที่ฉันควรจะเกลียดคุณด้วยซ้ำ หรือคุณว่าการที่คุณพรากฉันมาจากคนที่ฉันรัก
แล้วจับฉันมาขังไว้ มัดมือมัดเท้าแบบนี้ มันสมควรแล้วที่ฉันจะรักคนอย่างคุณ
ฉันไม่ใช่สัตว์ป่านะ ที่คุณอยากได้แล้วก็จับมันมาโดยไม่สนว่าจะเป็นการพรากพ่อพรากลูก
แล้วก็นำมันมาขังไว้ ให้อาหาร ให้น้ำ พร้อมที่จะนำมันไปเป็นตัวแลกเปลี่ยนกับอะไรบางอย่าง
ที่คุณพอใจกว่า หรือต่อให้คุณอยากได้มันไปเลี่ยง…
เชื่อสิว่าไม่ว่าคุณจะเลี้ยงให้ดียังไง สัตว์ป่ามันไม่มีคำว่าเชื่องจริงๆหรอก…
คุณไม่มีวันได้หัวใจรักของมันจริงๆหรอก…และฉันยังเป็นคน ไม่ใช่สัตว์…
จะให้ฉันรักคนที่นำฉันมากักขังไว้แบบนี้ ฉันรักไม่ลงหรอก…”
ขุนศึกถึงกับพูดไม่ออก ได้แต่จ้องหน้าคนพูดนิ่งก่อนจะหลับตาถอนใจยาว
ผู้หญิงตรงหน้ามองเขาแบบตาใส จริงใจ ถ้อยคำก็ซื่อตรง ไร้เล่ห์เหลี่ยม
เธอไม่คิดบ้างหรือไรว่าถ้อยคำของเธออาจทำให้เขาสติขาด
ทำร้ายเธอขึ้นมาได้ทุกเมื่อ
หากเมื่อเขาจ้องลึกลงไปจนได้เห็นแววตาเด็ดเดี่ยวที่ซ่อนอยู่ในตาใสๆนั้น
เขาจึงเข้าใจ ลูกเสือ เธอเป็นลูกเสือที่ดูเชื่องและซื่อ
ทว่าหาได้เกรงกลัวต่อสิ่งใด…เธอใจกล้าเหมือนนางเสือที่พร้อมสู้ไม่มีทางถอย…
“ต่อให้คุณสร้างกรงที่สวยงามสักแค่ไหนให้ฉันอยู่ แต่กรงมันก็คือกรงอยู่ดี…
และถ้าคุณอยากได้อะไรแล้วก็กระชากมันมาต่อหน้าเจ้าของแบบนี้
ต่อให้คุณได้มันมา คุณก็ไม่มีวันได้หัวใจและจิตวิญญาณมันมาด้วยหรอก…
หัวใจฉันไม่ใช่กระดาษที่จะปลิวไปตกที่ไหนก็ได้…
ฉันอยากรู้ว่าคุณต้องการอะไร ถึงได้เอาฉันมาขังไว้ที่นี่…”
สิ้นรักกล่าวด้วยแววตาที่กรุ่นโกรธ
เธอไม่เคยคาดคิดว่าคนที่เคยทำดีกับเธออย่างขุนศึกจะทำกับเธอแบบนี้
ในที่สุดเขาก็ทำกับเธอจนได้…ทั้งๆที่เธอพยายามเชื่อว่าเขา
จะสามารถกลับตัวเป็นคนดีได้…แต่สุดท้ายก็เปล่าประโยชน์
เธอผิดเอง…ที่คาดหวังเกินควร…และยังคาดการณ์ผิดไป…
เชื่อว่าตัวเองมีความสามารถพอที่จะเปลี่ยนคนตรงหน้า
ไปในทิศทางท่ีดีกว่าได้…
“มองตาผมสิ…มองให้ลึกลงไป…แล้วคุณจะพบสิ่งที่มันซ่อนอยู่
คุณจะเห็นความจริงว่าจริงๆแล้วผมต้องทรมานแค่ไหน…
คุณคือคนเดียวที่ผมอยากให้รู้อยากให้เห็นว่าแท้จริง
คนที่คุณและใครๆคิดว่าใจร้าย ก็มีหัวใจเหมือนกัน…
ผมแค่ต้องการใครสักคนที่เข้าใจ…และคนๆนั้นผมก็อยากให้เป็นคุณ…”
สิ้นรักถึงกับน้ำตาคลอ ไม่ใช่สงสารคนตรงหน้า
แต่เป็นเพราะไม่อาจเป็นคนๆนั้นให้กับเขาได้…
“อย่ามองผมเหมือนผมเป็นสิ่งเลวร้ายได้มั้ย…ที่ผมทำไปทั้งหมด
ก็แค่อยากเป็นที่รักของคนอื่นๆ ผมอยากให้พ่อกับลุงภูมิใจในตัวผม
อยากเด่นอยากดังเพื่อให้คนห้อมล้อม คอยติดตามผมอย่างสนใจ
ทุกอย่างที่คนเห็นกันมันก็แค่มายา ใช่ อาจดูเหมือนว่าผมมีใครมากมาย
อาจดูคล้ายผมมีทุกสิ่ง แต่ความจริงหัวใจข้างในมันเดียวดายและอ้างว้าง
ผมเฝ้ารอแค่เพียงใครสักคน คนที่รักจริง ขอแค่ได้พบคนที่จริงใจ…
ผมขอได้มั้ยสิ้นรัก ขอให้คุณเป็นคนๆนั้นให้ผม…ได้โปรด อย่าปฏิเสธผม”
คนพูดกล่าวในขณะที่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าหญิงสาวแล้วนั่งลงบนเตียงข้างๆเธอ
…เขาไม่เคยปรารถนาหญิงใดเท่าหญิงสาวตรงหน้า
ชีวิตที่ผ่านการแต่งงานมาแล้วอย่างเขา รู้ซึ้งรู้ดีแล้วว่ามันเจ็บปวดแค่ไหนเมื่อต้องหย่าร้าง…
ภรรยาที่เขาหามาได้ ไม่เคยรักในตัวเขา เธอเพียงรักและต้องการในสิ่งที่เขามี…
เธอไม่เคยมองเขาอย่างที่คนตรงหน้ามอง แววตาของเธอยามมองเขา
เหมือนเขาเป็นไอ้ตัวอะไรสักอย่าง…
เธอไม่ได้รักเขา ซ้ำยังเกลียดเขามากขึ้นเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ
จนสุดท้าย เขาก็ต้องปล่อยเธอไป…แน่นอน เขาเองก็ไม่ได้รักเธอ
แต่ความผูกพันธ์มันก็มีผลทำให้เขาเจ็บปวดอยู่ไม่น้อย…
เขาอยากมีลูก แต่ก็มองหาแม่ของลูกไม่เจอ…วินาทีแรกที่เจอสิ้นรัก
หญิงสาวตรงหน้าเขา เขาก็เห็นแสงแห่งความหวังปรากฏต่อสายตา
เธอเหมือนความหวังของเขา จนเขาอยากคว้าเธอมาไว้ข้างกาย…
จากที่ไม่เคยเจ็บปวดจากความผิดหวัง เธอคือคนแรกที่ทำให้เขารู้จักคำๆนั้น
เมื่อเธอบอกกับเขาว่าไม่ได้รักเขา แต่รักไอ้รัง…
และดูท่าจะไม่มีทางรักใครได้อีกนอกจากไอ้รัง เพราะสายตาเธอเวลาพูดถึงไอ้หมอนั่น
มันมีแต่ความชื่นชม มีแต่ความรักอยู่เต็มพื้นที่…
สิ้นรักเองเห็นแววตาของคนพูดที่จ้องเธออยู่ก็ได้แต่กลืนน้ำลายลงคอ
มองแววตานั้นไปมาอย่างชั่งใจแล้วกล่าวออกไปว่า
“ขอบคุณนะคะที่รักฉัน…ที่คุณพูดมานั้นฉันยอมรับว่าฉันซึ้งใจและเข้าใจ
แต่ฉันขอโทษ…ฉันรักคุณแบบที่รักพี่รังไม่ได้จริงๆ…”สิ้นรักมองหน้าขุนศึกนิ่ง
“คุณไม่ผิดที่รักฉัน ฉันต่างหากที่จะผิดถ้ารักคุณ
พี่รังรักฉันและฉันก็รักพี่รัง ฉันทำร้ายพี่รังไม่ได้หรอกค่ะ…”
สิ้นรักกล่าวออกไปตามตรง ไม่อ้อมค้อม เพราะไม่ต้องการให้ความหวังใคร…
โดยเฉพาะกับคนตรงหน้า
“อีกอย่างฉันกับพี่รังเราเป็นสามีภรรยากันอย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรมแล้ว…
ไม่ว่าวันนี้หรือจะวันหน้า ฉันก็กล้ายืนยันว่าฉันรักคุณอย่างที่รักพี่รังไม่ได้…
ฉันไม่ได้ตัวเปล่าอีกแล้วนะคะ…ฉันมีสามีแล้ว
และฉันก็ต้องการรักเขาคนเดียวตลอดไป
ฉันฝันและตั้งใจว่าจะมีสามีแค่คนเดียวในชีวิต…คุณรักฉันมันไม่ผิด
แต่ที่คุณทำอยู่มันผิด…ความรักท่ีทำร้ายใคร อย่างไรก็คงไม่ดี…
ฉันอยากให้คุณลองคิดทบทวนให้ดีว่าสิ่งที่คุณทำอยู่
คุณกล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำว่ารักหรือเปล่า…”
ขุนศึกก้มหน้าอยู่ครู่นึงก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วพ่นลมหายใจ
เธอกล่าวตัดเยื่อสิ้นใย แม้แต่เศษใจเธอก็ไม่เหลือเอาไว้ให้เขาแม้แต่นิดเดียว
ไอ้รังมันมีดีอะไรนักหนา ทำไมผู้หญิงตรงหน้าเขา
ถึงได้รักมันจนหมดหัวใจแบบนี้…
ยิ่งถ้อยคำที่แสดงออกถึงความจริงใจต่อความต้องการของตัวเอง
ดังที่กล่าวมาทั้งหมดของเธอ เขาก็หมดหนทางจะโน้มน้าวหัวใจของเธอ
ให้เอนเอียงมาหาเขาได้อีกแล้ว
“สรุปว่าคุณจะไม่มีวันรักผมแน่ๆ…”สิ้นรักพยักหน้า
“ค่าหัวของคุณก็คือชีวิตของไอ้รัง…ถ้ามันอยากได้ตัวคุณคืน
มันก็ต้องเอาชีวิตของมันมาแลก คุณว่าค่าหัวของคุณมีค่าสำหรับคุณมากแค่ไหนล่ะสิ้นรัก…
แต่สำหรับผม…ผมว่าคุ้มค่าถ้ามันกล้าแลก…
เพราะอะไรที่ผมไม่ได้ ใครก็จะไม่ได้ไปเหมือนกัน…
คุณไม่รักผม ผมก็จะไม่ยอมให้คุณได้ครองรักกับใครหน้าไหนเหมือนกัน
ในเมื่อผมไม่มีความสุข ก็อย่าหวังว่าใครจะมีความสุข…”
ขุนศึกลุกขึ้นยืนแล้วจ้องตาสิ้นรักนิ่ง
“ต่อจากนี้ไป…คุณก็เตรียมรับกับความทุกข์ทรมาน
ที่เกิดจากความรักที่คุณมีต่อไอ้รังที่จะมีมาได้เลย…
คุณจะทรมานและเจ็บปวดกับการรักมัน…ผมสาบาน!”
ขุนศึกกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แววตาดุดันปนเจ็บปวด
“มาดูกันว่าระหว่างน้ำตากับลมหายใจของคุณ อย่างไหนจะหมดก่อนกัน”
ขุนศึกแสยะยิ้มราวกับหยันเมื่อเห็นแววตาวูบไหวของหญิงสาวตรงหน้า
“ถ้าคิดจะมีความสุขด้วยกันกับมัน ก็ข้ามศพผมไปก่อนเถอะ”
พูดจบขุนศึกก็เดินออกจากห้องไป ทิ้งให้สิ้นรักนั่งอ้าปากค้าง
ตาโตด้วยความคาดไม่ถึง…
“คนเห็นแก่ตัว คุณมันเห็นแก่ตัวท่ี่สุด…ไม่ต้องเอาความทุกข์มาขู่ฉัน
เพราะฉันไม่กลัวหรอก…ต่อให้ต้องเสียน้ำตา ฉันก็ไม่เสียใจในสิ่งที่ฉันเลือกแล้ว
ต่อให้คุณยกเอาความทุกข์มาสักภูเขา ฉันก็ไม่กลัว
และพร้อมยินดีที่จะแบกมันเอาไว้ด้วยหัวใจ…
ฉันจะไม่มีวันหมดศรัทธาต่อความรักเหมือนคุณหรอก
ต่อให้ต้องเจ็บปวด ฉันก็จะอดทน
ไม่เชื่อคุณก็คอยดูสิ ว่าระหว่างคุณกับฉัน…ใครจะทนได้นานกว่าใคร…”
สิ้นรักตะโกนลั่นห้องพร้อมกับเอามือตบที่หน้าอกของตน
ด้วยแววตาที่ไม่ไหวหวั่นต่อคำขู่หรืออะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
จนทำให้คนที่อยู่ห้องข้างถึงกับสะดุ้ง…
“ไอ้สิ้น/พี่รัก…”สองสาวประสานเสียงออกมาพร้อมกัน ก่อนจะหัน
มามองหน้ากันโดยมิได้นัดหมาย
“หมายความว่า…ไม่ใช่แค่เราสองคนที่โดนจับตัวมา…”ซาเนียกล่าว
“แล้วทำไมมันต้องเอาไอ้สิ้นไปขังเดี่ยวเอาไว้ด้วย…หรือว่านี่จะเป็นฝีมือของไอ้ขุนศึก…
ต้องใช่เขาแน่ๆ…”ปองขวัญกัดฟันกรอดเมื่อนึกถึงหน้าของขุนศึก
ขออย่าให้ไอ้หมอนั่นทำอะไรเพื่อนของเธอเลย
แล้วเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น ทำไมเพื่อนของเธอถึงได้ตะโกนโหวกเหวก
ต่อว่าคนอื่นเสียลั่นห้องอย่างนั้น…หรือว่าไอ้หมอนั่นเข้าไปหาเพื่อนเธอ
ในห้องข้างๆนั้นเมื่อครู่…หวาย…อย่าบอกนะว่า…
ช่วงบ่ายของวันที่สามสาวโดนลักพาตัวไป…
สิ้นรักที่ถูกมัดมือมัดเท้า พยายามสอดส่ายสายตามองหาทางหนีทีไล่
และที่สำคัญ พยายามมองหากล้องวงจรปิด หรืออะไรก็ตามที่แปลกปลอมอยู่ในห้องนี้…
และก็จริงดังคาด เธอแอบเห็นกล้องดังกล่าวถูกติดตั้งอยู่ตรงมุมห้องด้านบน
ซึ่งคงสามารถมองเห็นได้ทุกมุมของห้องนี้…ดังนั้น ไม่ว่าเธอจะพยายาม
กระทำการอย่างไรเพื่อเป็นการหลบหนี ย่อมไม่เป็นผล…
หญิงสาวจึงได้แต่นั่งทอดถอนใจ ดิ้นรนไปก็คงเหนื่อยเปล่า
แตเมื่อพระอาทิตย์หมดแสงไป…แล้วความมืดดำเข้ามาแทนที่
แสงนีออนก็ปรากฏในห้องที่มีเพียงเธอนั่งเดียวดาย…ความเงียบสงัด
และความมืดสลัวจากบรรยากาศภายนอกชวนให้หญิงสาวรู้สึกวังเวง หวาดกลัวขึ้นมา
…แล้วเพียงไม่กี่นาทีต่อมาไฟในห้องของเธอก็วูบดับลงจนมืดสนิท มองไม่เห็นสิ่งใด
สิ้นรักเตรียมอ้าปากเพื่อกรีดร้องด้วยความกลัว
ทว่ากลับมีมือหนามาปิดปากของเธอเอาไว้ก่อนจะปิดปากเธอด้วยเทปกาวซ้ำ
แล้วแกะปมเชือกให้กับเธอ หลังจากนั้นก็กระชากเธอลงจากเตียงอย่างรวดเร็ว
มือหนาจับตัวเธอแนบกายแล้วผูกเธอติดกับตัวของเขาด้วยผ้าเหนียว
และยืดตัวได้ทางด้านหลัง เธอจึงรึบเอามือจับบ่าทั้งสองของเขาไว้
เมื่อยามที่เขาพาเธอปีนลงจากระเบียงห้อง
หญิงสาวรู้สึกเสียวไส้ นึกกลัวว่าตัวเองที่ห้อยโตงเตงเหมือนลูกลิงที่กำลังขี่หลังแม่ลิง
แล้วแม่ลิงก็กระโดดโลดโผนต้นไม้อยู่จะพลาดตกลงไปข้างล่าง ขาหักเอาได้
แต่เหมือนคนปีนป่ายดูจะชำนาญ
สิ้นรักจึงกอดคอเขาเอาไว้แน่น ซุกหน้าตรงแผ่นหลังนั้นโดยไม่ยอมก้มลงมองด้านล่าง
สักครู่ก็รู้สึกได้ถึงเสียงเท้าของเจ้าของร่างยักษ์ที่กำลังแบกเธออยู่แตะพื้นดิน
เขาไม่รอช้าพาเธอวิ่งไปทั้งๆอย่างนั้นราวกับไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย
กลิ่นกายและสัมผัสที่ได้รับจากเขา ทำให้สิ้นรักถึงกับยิ้ม
…เมื่อรู้ว่าชายร่างยักษ์ที่กำลังแบกเธออยู่เป็นใคร…
แต่ก็ไม่อาจเรียกชื่อของเขาได้…เทปกาวยังปิดปากเธอเอาไว้แน่น
ทางด้านปองขวัญกับซาเนียเองก็เช่นกัน เธอทั้งสองถูกชายฉกรรจ์
สองคนบุกเข้ามาช่วยแล้วไต่ระเบียงห้องลงมา
ก่อนจะแบกเธอทั้งสองวิ่งไปยังท่าเรือที่มีเรือจอดอยู่สองลำ…
ชายฉกรรจ์ทั้งสองพาสองสาวขึ้นไปยังบนเรือ ก่อนจะแกะเทปกาว
ออกจากปากของพวกเธอ…แล้วเปิดไอ้โม่งดำออก…
“พี่ลม/นี่นาย…”สองสาวเรียกบุรุษทั้งสองออกมาพร้อมกัน…
“พี่ลมมาที่นี่ได้ยังไงคะ…”
“นั่นน่ะสิ…”สองสาวถามด้วยแววตาประหลาดใจขณะมองหน้าเวนไตย
ก่อนจะหลบสายตาของเขาแล้วก้มหน้ามองพื้นเรือแทน
“อย่าเพิ่งถามตอนนี้เลย…เรารีบออกจากเกาะนี้กันเถอะ…
เดี๋ยวพวกนั้นจะตามมาทัน…”เวนไตยกล่าวพร้อมกัยสตาร์ทเครื่องยนต์
“แล้วไอ้สิ้นล่ะคะพี่ลม ไอ้สิ้นก็อยู่ที่นี่เหมือนกัน…”ปองขวัญหันไปถามวายุ
ทว่าชายหนุ่มกลับยิ้มตอบ…
“ไม่ต้องห่วงหรอก…ทางนั้นไอ้รังจัดการแล้ว โน่นไงมาโน่นแล้ว…”
เป็นอย่างที่วายุกล่าว เมื่อปองขวัญมองไปยังทิศทางที่วายุชี้ไป
ก็เห็นร่างชายคนหนึ่งกำลังแบกใครเอาไว้บนหลังวิ่งมาทางนี้พอดี…ทว่า…
“หยุดอยู่ตรงนั้นนะ…ไม่งั้นฉันยิงทิ้งทั้งคู่แน่…”เสียงนั้นดังมาจากด้านหลัง
และสิ้นรักก็จำได้ดีว่ามันเป็นเสียงของใคร…รังสิมันต์ตะโกนไปยังเรือของวายุทันที…
“รีบไป…ไม่ต้องเป็นห่วงฉัน…”วายุได้ยินถ้อยคำดังกล่าวชัดเจน
และพอเดาออกว่าเกิดอะไรขึ้น…จึงหันไปทางเวนไตย
“นายพาสองสาวกลับไปยังเกาะรังให้ได้นะเวนไตย…ส่วนฉัน
จะอยู่ช่วยไอ้รังทางนี้…”
“ไม่ค่ะพี่ลม เราจะอยู่ด้วยกัน ไม่ทิ้งกันเด็ดขาด…”ปองขวัญยื่นคำขาด
“ไม่ได้เด็ดขาด เธอจะต้องไปกับเวนไตย…เชื่อพี่ แล้วพี่จะกลับไปหาเธอ พี่สัญญา…”
วายุจับมือปองขวัญแล้วบีบมันไว้แน่น…
“แต่…”
“ได้โปรด…เชื่อพี่นะคนดี…”
“ถ้าเราช่วยกัน…”ซาเนียกล่าวขึ้นบ้าง
“ไม่มีเวลาแล้ว…รีบพาสองสาวไปเดี๋ยวนี้เลยเวนไตย…”
วายุสั่งเสียงเฉียบขาด
“สัญญากับฉันเวนไตย ว่านายจะพาสองสาวกลับเกาะรังอย่างปลอดภัย…”
วายุหันไปกล่าวกับเวนไตยเมื่อกระโดดลงจากเรือ…
“สัญญากับฉันสิ…”เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังนิ่งไม่ยอมขับเรือออกจากฝั่ง
วายุจึงสั่งเสียงเข้ม…
“ครับ…”จบคำเรือลำดังกล่าวก็ดีดตัวออกจากฝั่ง
ปองขวัญร้องตะโกนเรียกวายุลั่นท้องทะเล…
ก่อนจะน้ำตาไหลพรากด้วยความหวาดหวั่น…
และเป็นห่วงทั้งสามคนที่ยังอยู่บนเกาะนั่น
หลังจากเรือออกตัวไปแล้ว วายุจึงย่องเท้าไปอีกทางที่ไร้ผู้คน
โดยสายตายังคงจดจ้องอยู่กับภาพของเพื่อนรักกับอดีตน้องรหัส…
และเพราะความมืดจึงทำให้ไม่มีใครรู้ว่าเขายังอยู่ที่นี่…
“ส่งเธอกลับมาเดี๋ยวนี้…”เสียงสั่งฟังดูเฉียบคมและดุดัน…
“แล้วก็ยกมือขึ้นทั้งสองข้างสูงๆ…”รังสิมันต์ทำตามที่อีกฝ่ายซึ่งเหนือกว่า
ทั้งกำลังพลและอาวุธอย่างไม่อาจขัดขืนได้…สิ้นรักมองไปรอบๆตัว
มือบางรีบเปิดเทปกาวออก ซึ่งเธอน่าจะคิดได้เสียตั้งนานแล้วว่า
มือทั้งสองของเธอไม่ได้ถูกมัดไว้นี่…
“ยกมือขึ้นด้วยสิ้นรัก…”ขุนศึกสั่งสิ้นรักที่อยู่บนหลังของรังสิมันต์
“แล้วแกะผ้าที่คาดเอวอยู่ออกด้วย…”รังสิมันต์ทำตามอย่างว่าง่าย
ทว่าสายตากลับเห็นเงาบางอย่างกำลังซุ่มอยู่ตรงพุ่มไม้ไม่ไกลออกไป
“ส่งตัวเธอมา…”สิ้นรักที่ลงจากหลังของรังสิมันต์แล้วก็ยังไม่ยอมขยับขเยื่อนไปไหน
ยังคงซ้อนหลังของรังสิมันต์อยู่ราวกับปักหลักหลบลูกกระสุน
ซึ่งโล่ที่กำบังเธออยู่ดูจะแข็งแกร่งและบังเธอจนมิด…
และสายตาของเธอก็แอบมองเห็นอะไรบางอย่างที่กำลังส่องแสงแวววาวอยู่ไม่ไกลมือ…
ของเคยมือ…มีหรือเธอจะไม่รู้จักวิธีใช้…
และวินาทีที่มีดบินของวายุพุ่งไปยังมือที่กำลังจ่อเล็งปืนไปยังรังสิมันต์
“ฟิ้ว…..ววววว…ฉีก ฉีกๆๆๆ…ปัง! ปัง! ปัง!”
เสียงร้องคำรามด้วยความเจ็บปวดของขุนศึกและลูกน้องนับสิบดังขึ้นพร้อมกับเสียงปืน
แน่นอนว่าเสียงปืนดังกล่าวมิใช่ของขุนศึกและของเหล่าลูกน้องของขุนศึกแม้แต่นัดเดียวเป็นแน่
เพราะมือที่จับปืนของทั้งหมดบาดเจ็บด้วยฤทธิ์มีดสั้นของวายุกับรังสิมันต์
ที่ยังคงความแม่นยำอย่างเสมอต้นเสมอปลายจนคนที่โดนไปไม่อาจยกมือขึ้นมาต่อกร
กับทั้งสองได้อีกต่อไป
เสียงปืนดังกล่าวจึงดังมาจากมือที่สาม ซึ่งเป็นฝีมือของหญิงสาวหนึ่งเดียวในที่นี้
ที่คว้าปืนที่เหน็บอยู่ที่เอวของรังสิมันต์แล้วยิงไปที่ขาของขุนศึก
และลูกน้องของขุนศึกที่เล็งปืนมายังพี่รังของเธอด้วยความแม่นยำระดับปานกลาง
เพราะขาดประสบการณ์การยิงเป้ามนุษย์…
หัวใจของเธอก็เลยไม่กล้าทำร้ายใครให้ถึงแก่ความตายได้…
โดยใช้รังสิมันต์เป็นโล่กำบัง ทำให้คู่ต่อสู้จับทิศทางของกระสุนไม่เจอ
ยิ่งเมื่อหัวหน้าทัพล้ม ลูกน้องหมดหนทาง…ทั้งสามจึงถือโอกาส
วิ่งไปยังเรืออีกลำที่จอดรออยู่แล้วอย่างเร่งรีบ…ก่อนจะติดเครื่องยนต์
ทะยานไปยังทิศทางของเกาะรัง…ไม่นานนักก็มีทัพเสริมจากขุนศึก
ไล่บี้พวกเขาตามมาติดๆ…วายุทำหน้าเป็นผู้บังคับเรือ รังสิมันต์คอย
ยิงตอบโต้พวกนั้น โดยมีสิ้นรักคอยช่วยเหลือ
“ฝีมือใช้ได้เลยนะเนี่ย…”รังสิมันต์เอ่ยชมสิ้นรักที่คอยช่วยเขาแบบเคียงบ่าเคียงไหล่
ซึ่งเป็นอะไรที่เขาคาดไม่ถึงมาก่อน
ภาพหญิงบอบบางกลายเป็นหญิงเหล็กเช่นนี้ทำเอาเขาอึ้งจริงๆ…
“แน่นอนค่ะ มีครูดีก็งี้แหล่ะ…”สิ้นรักยักคิ้วให้รังสิมันต์พร้อมรอยยิ้ม
“ไปแอบเรียนยิงปืนมาตั้งแต่เมื่อไหร่แล้วล่ะเรา…”เสียงนั้นเริ่มเครียดขึ้น
เมื่อศัตรูยังไม่ยอมรามือง่ายๆ
วายุที่หันมาเห็นฝีมือของสิ้นรักก็ถึงกับอึ้งไปเหมือนกัน…
“พี่จะหักหัวเรือแล้วนะ จับที่เกาะเอาไว้ให้แน่นล่ะ…”
วายุเตือนพร้อมกับหักหัวเรือเปลี่ยนทิศทางก่อนจะขับเรือแบบผาดโผน
ชนิดที่น้อยคนจะทำได้
…ไม่ใช่เป็นการโชว์แต่เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร
และเพื่อไม่ให้ผู้ขับตามจับทิศทางที่แน่นอนได้…กระสุนที่แหวกสายลมมา
ก็เลยเฉียดหัวคนขับไปอย่างหวุดหวิดหลายต่อหลายนัด…
“สปีดเต็มแรงไปเลยค่ะพี่ลม…”สิ้นรักเชียร์คนขับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“อุ้ย…”รังสิมันต์กระโดดคว้าร่างสิ้นรักมาไว้ในอ้อมกอดก่อนจะบังร่างเธอเอาไว้
“พี่รังโดนยิงค่ะพี่ลม…”สิ้นรักร้องเสียงหลงเมื่อสัมผัสถึงกลิ่นเลือด
และความชื่นตรงลำแขนของรังสิมันต์…แถมยังรู้เจ็บหนึบตรงแขนของตัวเองด้วยเช่นกัน…
“พี่ไม่เป็นไร เธอนั่นแหล่ะ…เป็นอะไรรึเปล่า…”
รังสิมันต์กล่าวพลางสำรวจร่างเล็กในอ้อมกอด ก่อนหัวใจจะหล่นวูบเมื่อเห็นเลือด
ไหลจากลำแขนเล็กๆนั้นของคนในอ้อมกอด…
“รักไม่เป็นไรค่ะ…ยังไหว…”
“อย่าโกหกพี่…”
“ไม่โกหกค่ะ…รักยังไหวจริงๆ”…
“อดทนไว้นะนาโน…”วายุหยิบปืนอีกกระบอกขึ้นมาแล้วยิงกราดไปยังเรือที่ขับตามมา…
รังสิมันต์กัดฟันกรอด ก่อนจะบ้าระห่ำยิงกราดพวกที่ตามมาจนตกเรือไปทีละคน
…ไม่นานก็ไร้เสียงยิงตอบโต้มาจากฝ่ายตรงข้าม…
วายุหันมามองคนตัวเล็กที่คงกัดฟันไม่ยอมร้องออกมา…
“อีกไม่นานก็จะถึงเกาะรังรักแล้วนะนาโน อดทนอีกนิดนะ…”
วายุกล่าวขณะมองคนตัวเล็กในอ้อมกอดเพื่อนรักของเขาด้วยแววตาห่วงใย
อีกใจนึงก็นึกไปถึงปองขวัญกับซาเนีย ไม่รู้ว่าป่านนี้จะถึงเกาะรังรักหรือยัง
แล้วเวนไตยจะสามารถปกป้องทั้งสองได้หรือไม่…
หัวใจของเขายิ่งเต้นแรงขึ้นเมื่อนึกถึงหน้าปองขวัญ
ทำไมต้องมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับเขาด้วยนะ…
วันที่เขาควรจะมีความสุขที่สุดกลับเป็นวันซวยซ้ำซวยซ้อน
ส่วนรังสิมันต์ตรวจดูแผลของสิ้นรักโดยไม่สนใจบาดแผลของตนเอง
ก่อนจะฉีกเสื้อแล้วพันแผลห้ามเลือดให้สิ้นรักพลางกล่าวปลอบขวัญ
หญิงสาวที่ดูจะพยายามต่อสู้กับความเจ็บ แววตาเจ็บปวดนั้นกรีดหัวใจของเขา
ที่ไม่อาจดูแลเธอได้ดี ขนาดเธออยู่ใกล้เขาแค่นี้ เขาก็ยังไม่อาจดูแลเธอให้ปลอดภัยได้
…เขามันไร้ความสามารถที่สุด…
“พี่ขอโทษนะครับ…”สิ้นรักเห็นแววตารู้สึกผิดนั้นของรังสิมันต์
แม้รอบกายจะมืดแค่ไหน แต่ดวงตาของเขาเจิดจ้าเสมอ…
หญิงสาวจึงจับมือเขาเอาไว้แน่นขณะกล่าวว่า
“อย่าโทษตัวเองเลยนะคะ…รักไม่เป็นไร…ทนได้หายห่วงค่ะ…
ไกลหัวใจตั้งเยอะแหน่ะ…”เสียงสดใสนั้นทำเอาคนฟังยิ้มฝืด…
คนขับก็พลอยยิ้มออกมาได้นิดนึง…
“ไม่รู้ว่าเวนไตยกับสองสาวเป็นไงบ้าง…”วายุเปรยออกมา
ด้วยแววตาหวาดหวั่น
ทางด้านสองสาวที่เพิ่งผ่านเส้นตายมาได้หมาดๆถึงกับพ่นลมหายใจด้วยความโล่งอก
ซึ่งงานนี้คงต้องยกความดีให้กับคนขับเรือ ซึ่งมีฝีมือยิงปืนดีพอๆกับขับเรือ…
“ขอบคุณมากเลยนะคะ…”ปองขวัญกล่าวกับเวนไตยเมื่อถึงฝั่ง
“ไม่เป็นไรครับ…”เวนไตยกล่าวกับปองขวัญแล้วหันไปทางซาเนีย
“มันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้วครับ…”ซาเนียถึงกับเบือนหน้าหนี
ความตั้งใจที่จะกล่าวขอบคุณคนตรงหน้ากลับมลายหายไปในทันที
“เขาเก่งค่ะ…เพราะถูกฝึกมาอย่างดี…ถ้าใครได้รับบาดเจ็บหรือตาย
ในขณะที่เขากำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ เขาก็จะรู้สึกผิดไปจนตาย…ที่ทำหน้าที่ได้ไม่ดีพอ…
ดังนั้นโอกาสที่จะพลาดก็เลยน้อยค่ะ…
เพราะเขาจะไม่ยอมให้พลาดอย่างเด็ดขาด ซาเนียก็เลยรอดมาได้ทุกครั้งไงคะพี่ปอง”
ซาเนียกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับชื่นชม
หากเวนไตยกลับไม่คิดเช่นนั้น เขารู้ว่าเธอกำลังประชดเขา…
“พี่ก็ว่าเก่งค่ะ…เก่งมากๆเลยทีเดียว…”ปองขวัญยังไม่วายกล่าวชื่นชม
เวนไตยอย่างเปิดเผย…ชายหนุ่มจึงได้แต่ยิ้มบางๆแล้วพาสองสาวลงจากเรือ
ซึ่งทุกคนต่างวิ่งออกมาต้อนรับอยู่แล้ว…
ปองขวัญวิ่งไปยังอ้อมกอดของบิดาและมารดาและอีกหลายๆคนที่ต่างเข้ามารุมล้อม
“ไม่เป็นไรนะครับน้องซาเนีย…”เต็มกมลถามซาเนียพร้อมสำรวจความปลอดภัยของเธอ
“พี่อยากจะติดตามไปช่วยด้วย แต่พี่ไม่ถนัดคิวบู๊…ก็เลยไม่อยากไปเป็นตัวถ่วงเขา…
ดีใจที่เห็นน้องซาเนียกลับมาอย่างปลอดภัย…”
ซาเนียยิ้มบางให้กับเต็มกมล
“ขอบคุณค่ะที่เป็นห่่วงซาเนีย…”
“แล้วอีกสามคนล่ะ…”บันลือถามเวนไตยเมื่อมองไปไม่เจอลูกสาว
และลูกเขยรวมทั้งวายุด้วย
“นั่นน่ะสิครับพี่ปอง…พี่ลมล่ะครับ…”ปองขวัญถึงกับน้ำตารื้นเมื่อนึกถึงวายุ
รวมทั้งรังสิมันต์และเพื่อนรักของเธอ
“ยังไม่รู้เหมือนกันค่ะ…พวกเราล่วงหน้ามาก่อน…”เสียงนั้นเบาหวิว
เพราะรู้สึกเหมือนตัวเองช่างเห็นแก่ตัวนัก…
เวนไตยจึงเป็นคนอาสาเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ทุกคนฟัง
“สรุปว่านายรู้ว่าพวกเราถูกจับไปไว้ที่ไหน เพราะสร้อยคอที่คุณป้าให้ฉันไว้เนี่ยน่ะนะ…”
ซาเนียกล่าวขึ้นพร้อมกับจับสร้อยที่คอขึ้นมาดู
“ใช่จ่ะ…”แพรวาเป็นคนเฉลย
“ป้าเป็นคนให้เจ้ารังทำจี้นี้ขึ้นเป็นพิเศษตอนที่เรามาขอป้า
ว่าอยากเดินทางท่องเที่ยวเพียงลำพัง…เพราะป้าเป็นห่วงกลัวเราจะเป็นอันตราย…”
“มิน่าล่ะ…”หญิงสาวพึมพำออกมา เพราะทุกครั้งที่เกิดภัยกับเธอ
ก็เหมือนมีคนมาช่วยเธอตลอด ไวเท่าความคิด หญิงสาวหันไปทางเวนไตย
ซึ่งทางนั้นแกล้งเบือนหน้าหันไปอีกทาง…
“เวนไตยเขาอาสาขอติดตามไปดูแลเรา พี่รังของเราเขาก็ไม่ขัด
เพราะเห็นว่าเป็นญาติกัน…ป้าเองก็เห็นด้วย…คิดว่าคงไม่มีใคร
จะทำหน้าที่ปกป้องดูแลซาเนียได้ดีเท่าเวนไตยเขาแล้ว…เพราะผลงาน
ท่ีผ่านมาของเขามันทำให้ป้ามั่นใจและไว้ใจเขา…ป้ารักหนูมากนะซาเนีย…
และป้าก็ไม่อยากให้หนูไปไหนตามลำพังอีกแล้ว…”
ซาเนียยิ้มกว้างพร้อมน้ำตาใสๆที่คลอเบ้าก่อนจะสวมกอดแพรวาเอาไว้แน่น
“ขอบคุณค่ะคุณป้า…สิ้นคุณพ่อไป ก็มีแต่คุณป้าที่รักและห่วงใยซาเนีย…
ทำให้ซาเนียรู้สึกเหมือนมีแม่และพ่อคอยห่วงใย…ซาเนียรักคุณป้าค่ะ…”
แพรวากอดตอบร่างบางในอ้อมแขนแล้วยิ้มออกมา
แม้ลึกๆจะรู้สึกหวาดหวั่น เพราะทั้งลูกชายคนโต
และลูกสะใภ้หมาดๆยังไม่รู้ว่าจะรอดปลอดภัยกลับมาหรือเปล่า…
อีกทั้งวายุ เพื่อนรักของลูกชายอีก เธอทั้งรักท้ังเอ็นดูวายุไม่ต่างจากลูกในไส้
เพราะรู้จักมักคุ้นกันมานาน…รายนัั้นไม่เคยทอดทิ้งลูกชายของเธอเมื่อยามมีภัยเลยสักครั้ง
…ขอให้พระเจ้าจงคุ้มครองทั้งสามให้กลับมาอย่างปลอดภัยด้วยเถิด…
ไม่นานนัก…เรือที่ขับโดยวายุก็จอดลงหน้าเกาะรังรัก ทำให้ทุกสายตา
ที่จดจ้องและรอคอยด้วยความหวังถึงกับกรูเข้าไปอออยู่ตรงชายหาด
“ให้ฉันอุ้มนาโนดีกว่ามั้ย…”วายุเห็นท่าทางของเพื่อนดูไม่ดีเท่าไหร่นัก
จึงอาสาอุ้มสิ้นรักที่หน้าซีดเผือดจนเห็นได้ชัด…อาจเป็นเพราะเสียเลือดไปมาก
เนื่องจากบาดแผลที่ถูกยิง…
“ไม่เป็นไร…ฉันไหว…”รังสิมันต์ยืนยันที่จะเป็นคนอุ้มภรรยาของตัวเอง
ทำให้วายุถึงกับฉายยิ้มที่มุมปากกับท่าทางหวงๆนั้นของเพื่อน
ขนาดว่าเรี่ยวแรงทางกายไม่ให้ แต่เรี่ยวแรงทางใจยังหนักแน่นมั่นคง…
วายุจึงคอยมองอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ
“หนุ่ยเป็นอะไรน่ะรัง…”เสียงนั้นดังจากบุพการีของสิ้นรักที่ดูจะตกอกตกใจ
เมื่อเห็นลูกสาวถูกอุ้มลงมาจากเรือ สีหน้าดูไม่สู้ดีนัก
ขนาดว่ามืด ยังเห็นได้ชัดถึงขนาดนี้…
“ถูกยิงครับ ผมจะรีบพาเธอไปที่คลีนิค…”คลีนิคที่รังสิมันต์พูดถึงนั้น
คือคลีนิคส่วนตัวที่เขาสร้้างขึ้นเพื่อรักษาเยียวยาผู้คนบนเกาะรังรัก
ที่นั่นมีเครื่องมือทุกอย่างพร้อมสรรพ…แม้แต่เครื่องมือทางการแพทย์ขั้นสูง
ที่โรงพยาบาลใหญ่ในตัวเมืองมี…
“ส่งลูกสาวมาให้ฉันเถิด ดูท่าเธอเองก็จะไม่ไหวอยู่แล้ว…”บันลือกล่าว
ระหว่างเดินเคียงกันมากับรังสิมันต์…
“ไม่เป็นไรครับ…ผมไม่เป็นไร…”
“พ่อบัน…”สิ้นรักที่กำลังสลึมสลือได้ยินเสียงบิดาก็ร้องหา…
“ไม่เป็นไรนะหนุ่ย…หนุ่ยจะต้องเข้มแข็งเข้าไว้…”บันลือปลอบลูกสาว
“ทุกคนปลอดภัยมั้ยคะพ่อบัน…”
“ปลอดภัยหนุ่ย ทุกคนปลอดภัย…”ได้ยินอย่างนั้นคนถามจึงค่อยโล่งใจ
ก่อนจะค่อยๆหลับลงอย่างไม่อาจฝืนสังขารได้อีกต่อไป…
เมื่อมาถึงคลีนิค รังสิมันต์ก็รีบกันทุกคนออก โดยเหลือเพียงเขา
กับปองขวัญและคนไข้เท่านั้นในห้องผ่าตัด…
“ให้ปองทำเถอะนะคะ…พี่รังดูไม่พร้อมร้อยเปอร์เซ็น…”
รังสิมันต์มองหน้าปองขวัญอย่างชั่งใจ เรื่องฝีมือการผ่าตัด เขาอาจจะเก่งกว่าปองขวัญก็จริง
แต่เมื่อประเมินสมรรถภาพในขณะนี้แล้ว เขาเองก็เริ่มไม่ค่อยไว้ใจตัวเองนัก
“ไว้ใจปองเถอะค่ะ…ปองจะพยายามจนสุดความสามารถ…”
รังสิมันต์พยักหน้าเมื่อเห็นแววตามุ่งมั่นของแพทย์หญิงปองขวัญที่เคยร่วม
เผชิญกับสถานการณ์คับขันในการเป็นแพทย์ภาคสนาม
ขณะเข้าช่วยเหลือผู้คนที่ประสบภัย…ปองขวัญจึงตั้งสติและ
ตรวจดูบาดแผลของสิ้นรักก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
แล้วหันไปยิ้มให้กับรังสิมันต์…หลังจากมองจอมอนิเตอร์
“แค่กระสุนถากค่ะ…โชคดีที่แผลไม่ลึกมา…คงเพราะเสียเลือดเป็นเวลานาน
ไอ้สิ้นก็เลยหมดแรงไป เดี๋ยวปองจะทำแผลและก็ให้ยาแก้ปวดกับน้ำเกลือ…”
ปองขวัญชี้แจงไปพลางก็จัดแจงทำแผลให้กับเพื่อนรักของตน
ที่นอนสลบไปด้วยความอ่อนเพลีย…
ก่อนจะตกใจเมื่อเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มร่างใหญ่ที่หน้าตาดูซีดลงไปถนัดตา…
ปองขวัญรีบเข้าไปหาพร้อมกับตรวจดูก่อนจะเบิกตาโตด้วยความตกใจ…
“นี่พี่รังก็โดนยิงมาเหมือนกันนี่คะ…ทำไมไม่บอกปอง…
ปองก็นึกว่าเลือดที่เสื้อพี่เป็นเลือดของไอ้สิ้น…”
ปองขวัญเอ่ยพลางประคองร่างที่ใกล้จะร่วงราวกับนกปีกหัก
ไปยังอีกเตียงข้างๆเตียงสิ้นรักก่อนจะฉีกเสื้อของรังสิมันต์ออก
จึงพบกับบาดแผลที่ถูกยิงถึงสองแห่ง
“แผลที่หลังกระสุนคงฝังใน ส่วนที่ลำแขนแค่ถาก…”รังสิมันต์อธิบายเสียงแหบแห้ง…
“ไม่ต้องฉีดยาให้พี่…ผ่าตัดเอากระสุนออกมาเลย…พี่ทนได้…”
รังสิมันต์กัดฟันตอบ เพราะหากไม่จำเป็นนัก เขาก็ไม่อยากใช้ยาชา…
“จะไหวเหรอคะ…”ปองขวัญถามย้ำให้แน่ใจ
“ไหว…”แม้เสียงคนพูดจะแหบแห้งทว่าหนักแน่น…
ปองขวัญจึงเริ่มทำการผ่าตัดเอากระสุนออกทันที…
หลังจากวัดระดับความดันและชีพจรของชายหนุ่มแล้ว…
“ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้างในบ้าง…”แพรวาเอ่ยออกมาอย่าง
ไม่อาจอัดอั้นได้อีกแล้วด้วยความห่วงใย…
“ผมจะลองเข้าไปดู เพราะไอ้หมอก็โดนยิงมาด้วย…”
ถ้อยคำที่หลุดออกมานั้นถึงกับทำให้คนฟังตกใจอย่างคาดไม่ถึง
โดยเฉพาะแพรวาผู้เป็นมารดาของรังสิมันต์ที่แทบลมจับ
เมื่อรู้ว่าทั้งลูกชายคนโตและลูกสะใภ้หมาดๆของตนโดนยิงมาทั้งคู่…
โชคดีที่อากิโกะรับร่างของท่านไว้ได้ทัน…บัณฑิตกับบันลือ
หันมามองหน้ากันแล้วขบกรามแน่นจนเป็นสันนูน…
“พี่รังโดนยิงด้วยเหรอคะพี่ลม…แล้วจะเป็นอะไรมากมั้ย…”
ซาเนียเริ่มกระวนกระวายใจ นั่งแทบไม่ติด เดินไปมาหน้าห้องผ่าตัดราวกับหนูติดจั่น
เวนไตยที่นั่งเก็บอาการอยู่ได้แต่มองภาพหญิงสาวที่เดินไปมานิ่ง…
วายุที่หมดความอดทนหลังจากรอมานานร่วมชั่วโมง
ถึงกับเดินไปเปิดประตูแล้วก้าวเข้าไปอย่างถือวิสาสะ…
แล้วภาพที่เขาเห็นเพื่อนนอนคว่ำโดยมีปองขวัญคอยทำการผ่าตัดอยู่
คนที่ปกติไม่เคยกลัวอะไรก็ถึงกับออกอาการวิงเวียนศีรษะเมื่อ
ได้เห็นสีแดงฉานของเลือดที่มีปริมาณมากเต็มสองตา…
ตอนอยู่ในที่มืดบนเรือนั้นภาพสีแดงๆของเลือดมันไม่ได้ชัดเจนเท่าตอนนี้…
เลือดนิดๆหน่อยๆอาจไม่กระตุกใจเขาก็จริง แต่กองเลือดที่แดงฉาน
พร้อมสีหน้าเจ็บปวดของเพื่อนรวมกัน มันทำเอาเพดานห้องผ่าตัด
หมุนติ้วๆๆราวกับมีใครมาพลิกมันไปมาต่อหน้าเขา…
ปองขวัญที่รู้สึกเหมือนมีใครก้าวเข้ามาในเขตหวงห้ามก็หันมอง
ก่อนจะตกใจเมื่อเห็นวายุล้มลงไปนอนบนพื้นเสียแล้ว
“พี่ลม…”หญิงสาวอุทานเสียงดังลั่น ก่อนจะวางมือจากงานตรงหน้า
ที่จวนจะเสร็จแล้วนั้นเดินไปดูวายุพร้อมกับเอามืออังที่จมูกของเขาเป็นอันดับแรก…
แล้วค่อยๆพ่นลมหายใจออกมา
“พี่ลมเป็นลมค่ะพี่รัง…คงเมาเลือดแน่ๆ…
รู้ว่าเมาเลือดแล้วยังหาเรื่องเข้ามาอีก…เบ๊อะจริงๆ…”
ปองขวัญกล่าวพร้อมรอยยิ้มขัน
แม้ในสภาวะตึงเครียดเช่นนี้ เธอก็ยังมีอารมณ์ขันได้อย่างไม่น่าเชื่อ
เพราะคนที่นอนเป็นลมอยู่บนพื้นแท้ๆเชียว…
“แถมยังมีหน้ามีเมียเป็นหมออีกด้วยนะ…”
รังสิมันต์ที่แทบจะหมดเรี่ยวแรงเอ่ยออกมาด้วยความหมั่นไส้เพื่อนรัก
ที่คงจะเป็นห่วงเขากับสิ้นรักจนทนรอไม่ไหว แหวกม่านเข้ามาดูให้เห็นกับตาเป็นแน่…
ปองขวัญยิ้นเห็นด้วยก่อนจะรีบเดินไปยังด้านนอก…
ก็พอดีกับที่พยาบาลประจำเกาะรังรักซึ่งมีแค่คนเดียวมาถึงพอดี…
“พี่ลมเป็นลมค่ะ…ช่วยดูให้หน่อยนะคะ…”
ซาเนียที่อยู่ด้านนอกจึงรีบรุดเข้ามาในห้องผ่าตัดด้วยเมื่อสบโอกาส
โดยให้เหตุผลว่าจะอยู่ช่วยปฐมพยาบาลให้กับวายุ…ซึ่งเธอก็ทำได้ดี…
โดยที่สายตาก็พยายามมองไปยังร่างของรังสิมันต์ที่นอนคว่ำอยู่ด้วย…
ร่างของวายุถูกยกหามไปวางไว้บนเตียง ด้วยความช่วยเหลือจากเวนไตย
ที่เดินตามซาเนียเข้ามาด้วย…ก่อนจะขอตัวออกไปด้านนอก
เพราะไม่สู้ไหวนักกับกลิ่นยาในห้องผ่าตัด…
“พี่รังเป็นไงบ้างคะพี่ปอง…”
“หลับไปแล้ว…สงสัยคงอ่อนเพลียเต็มที นี่ก็ไม่ยอมให้พี่ใช้ยาชานะ
พอฉีดยาแก้ปวดให้ไม่นานก็หลับไปเลย…น้องซาเนียไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ
พี่รังเขาผ่านเหตุการณ์ที่หนักหนากว่านี้มาหลายครั้งแล้ว…
แค่นี้คงไม่ระคายผิวพี่เขาหรอกเนอะ…เพราะพี่เช็คดูแล้ว
ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเท่าครั้งก่อนค่ะ…ยอมรับเลยว่า พี่รังเขาเป็นหมอเหล็กจริงๆ
ไม่รู้ว่ากินเหล็กเป็นอาหารรึเปล่า…”
ปองขวัญกล่าวอย่างอารมณ์ดี…
เพราะเธอแน่ใจว่าคนไข้ทั้งสามที่นอนให้เธอรักษาอยู่นั้นคงไม่เป็นอะไรแน่ๆ
…เธอไม่ได้เชื่อในฝีมือตัวเอง แต่เชื่อในสัมผัสของตัวเอง…
และที่สำคัญ เธอเชื่อในพระเจ้าว่าจะคุ้มครองคนดีๆทั้งสามให้รอดปลอดภัย…
“ดูสิคะ…ขนาดว่าตัวเจ็บยังไม่วายแบกไอ้สิ้นมาเอง แถมตอนแรก
ยังทำท่าจะไม่ยอมให้พี่รักษาไอ้สิ้นอีกนะคะ…นึกแล้วก็อดชื่นชมไม่ได้ค่ะ
ดีใจแทนไอ้สิ้นที่ได้พี่รังเป็นคู่ชีวิต…”
พูดจบก็หันไปทางเตียงที่วายุนอนเป็นลมอยู่ รอยยิ้มของหญิงสาวจึงฉุดขึ้น
ร่างบางจึงก้าวเข้าไปใกล้ๆแล้วกุมมือของวายุเอาไว้แนบแก้มอย่างห่วงใย
ลึกลงไปมีความโล่งอกที่เขารอดปลอดภัยกลับมาได้
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ เขาทำเธอกระวนกระวายใจและทรมานกับการรอคอยเขากลับมา…
“ตื่นได้แล้วค่ะพี่ลม…รู้ค่ะว่าเป็นลม…แต่เป็นลมนานๆไม่ดีนะคะ ปองเป็นห่วง…”
ปองขวัญกระซิบข้างๆหูของวายุ ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ยอมตื่น
“สงสัยคงจะเหนื่อยมาด้วยล่ะค่ะ…ได้โอกาสหลับ ก็เลยหลับยาว…”
ซาเนียกล่าว…
“เราออกไปบอกทุกคนกันเถอะ…พวกเขาจะได้สบายใจ…
ฝากทางนี้ด้วยนะคะ…คุณสร้อย…”ปองขวัญชวนซาเนียก่อนจะหัน
ไปทางคุณพยาบาลที่ยืนยิ้มอยู่ก่อนหน้าแล้ว…
...โปรดติดตามตอนต่อไป....
มาให้กันตอนเช้าๆค่ะ...ก่อนจะออกไปทำธุระข้างนอก...
ขอคุยกับนักอ่านก่อนนะคะ
1.คุณหมีชมพู...สงสารพี่รังเถอะค่ะ....พี่แกรอคอยวันนี้มานานแล้ว
และเหมือนคงต้องรอต่อไป เพราะเจ้าสาวดันเจ็บซะแล้ว อิอิอิ
2คุณkonhin...เห็นฝีมือลูกศิษย์ของเวนไตยแล้วใช่มั้ยคะว่า ไม่ใช่แค่"พอใช้ได้"...อิอิ
แต่เริ่มเข้าขั้นแล้ว....
3.คุณviolette...ใช่แล้วค่ะพ่อพญาครุฑขาดสติไปนิดเลยทำอะไรลงไปโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง
ส่วนพี่รังคงต้องรอต่อปายยยยยยย...ฮ่าๆๆ
4.คุณsai....อิอิอิ...ระวังนะคะอยู่บนนั้นนานๆแล้วจะหาทางลงยาก...อิอิอิ...
ส่วนพี่รัง...ฉุดเขาลงมาจากคานได้สำเร็จแล้วแท้ๆแต่ก็ยังไม่วายอด...ฮ่าๆๆๆ
5.คุณpatiisa...นั่นน่ะสิคะ อุตส่าห์ยังเจออุปสรรคหรือก้างชิ้นโตอีก...
นายขุนศึกคงไม่ยอมรามือง่ายๆแน่ๆค่ะ ลูกเสือลูกตะเข้เลยนะคะนั่น...
6.คุณใบบัวน่ารัก...สงสัยคงเป็นอีกฝ่ายที่ไม่อยากให้คู่บ่าวสาวของเราเข้าหอรึเปล่าคะ..อิอิ
มันเป็นแผนการกระชากใจของหมอรังล้วนๆเลยนะคะนั่น...
7.คุณPampam...พี่ลมดูจะสบายไปเลยงานนี้...แต่พี่รังของเรานี่สิ...
คงต้องรอต่อปายยยยยยย...อิอิอิ
8.คุณตุ๊งแช่...อย่าได้กังวลไปเลยค่ะ การแสดงความเห็นเป็นสิ่งที่ดีค่ะ
แค่เราใช้คำสุภาพก็ถือว่าโอเคแล้วล่ะค่ะ ส่วนว่าจะทำให้ถูกใจคนเขียนรึเปล่านั้น
สำหรับเต่่าโยคิดว่า...คนเขียนเองก็คงต้องเปิดใจรับฟังทุกๆความเห็นน่ะค่ะ
เราคงกะเกณฑ์ให้ผลงานของเราถูกใจทุกคนคงไม่ได้แน่ๆ...
และคงกะเกณฑ์ให้นักอ่านทุกคนเขียนความเห็นถูกใจไม่ได้เช่นกัน...
แต่สิ่งสำคัญของความเห็นก็คือ การทำให้เราได้เห็นผลตอบรับกลับมามากกว่าค่ะ...
โยจึงชอบอ่า่นความเห็นของนักอ่านมากๆ...และเก็บคำแนะนำ
และความเห็นต่างๆไปคิด...แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า
เราจะต้องเปลี่ยนแปลงไปตามคำขอของนักอ่านทุกท่่านน่ะค่ะ...
เนื่องจาก ผลงานของเรามีเนื้อหาที่เราวางเอาไว้แล้วน่ะค่ะ
แต่การได้รับความเห็นต่างๆจากนักอ่าน จะเป็นบันไดไปสู่การเขียนในขั้นต่อไป...
เรื่องคู่พี่ตามคงต้องใช้เวลาค่ะ เพราะว่าที่เจ้าบ่าวยังเดินไม่ได้เลย...
มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยค่ะที่คนที่เป็นอย่างพี่เพลิงแล้วจะกลับมาเดินได้ง่ายๆ...
มันเป็นบททดสอบเรื่องของความอดทนและความรักค่ะ
แต่ถ้าคนอายุ 35 ถือว่าแก่แล้ว โยก็ชักจะเสียวสันหลังวาบๆแล้วนะคะ...อิอิ...
เพราะพี่ตามอายุอยู่ที่ 35นิดๆ ค่ะ...ถือว่าน่าจะยังมีลูกได้นะคะ...
ส่วนฝั่งผู้ชายอย่าได้ห่วงไปเลยค่ะ เขาสามารถผลิตลูกได้ตลอดชีพ...
อยู่ที่ว่าจะมีน้ำยาสักแค่ไหนเท่านั้นเอง...5555
ส่วนว่ามีลูกไม่ทันใช้ โยว่าใช้ไม่ทันแล้วล่ะค่ะ....
ก็ขวานดันมาบิ่นตอนเจอไม้งาม...อิอิอิ...
ปล.โยก็เขียนอะไรสั้นๆไม่เป็นค่ะ...ฮิอิอิ...ชอบร่ายยาวประจำ...
ปล.อีกที...ก่อนสงกรานต์หรือคะ...น่าคิดค่ะ...อิอิอิ...
9.คุณgoldensun...ถูกต้องแล้วค่ะ...พี่รังโดนกระชากจากวิมาน...
มันน่าเคืองที่สุด...และสงสัยชีวิตคู่ของทั้งสองคงจะยังมีคลื่นลมมรสุม
เข้ามาแวะเวียนเยี่ยมเยือนกันอีกหลายระลอก...และแต่ละระลอกก็จะเป็นดัง
บททดสอบความมั่นคงในรักของทั้งสองค่ะ ว่าที่ว่าจะรักกันตลอดไปนั้น
จะจริงดังคำพูดแค่ไหน...อิอิ...จุ๊บๆนะคะ
สุดท้ายไม่ท้ายสุด...
ขอบคุณทุกไลค์ ทุกกำลังใจ และทุกๆคนที่เข้ามาอ่านมาติดตามกันค่ะ...
...แล้วเจอกันยกหน้านะคะ....
"เต่าโย"
yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 ธ.ค. 2555, 08:29:02 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 ธ.ค. 2555, 08:29:02 น.
จำนวนการเข้าชม : 2493
<< ยกที่ 74 มงกุฏกุหลาบขาวกับสะพานดาว | ยกที่ 77 สายสัมพันธ์ >> |
AprilSK 22 ธ.ค. 2555, 09:01:31 น.
อร๊าย ปู้จายแมนๆ กลัวเลือดรึนี่ ชอบคุณค่ะคุณโย ได้ขำระบายเครียดออกไปสักหน่อย
อร๊าย ปู้จายแมนๆ กลัวเลือดรึนี่ ชอบคุณค่ะคุณโย ได้ขำระบายเครียดออกไปสักหน่อย
pattisa 22 ธ.ค. 2555, 12:18:46 น.
ไม่นึกว่าพีาลมจะเป็นลมเพราะเลือดนะเนี่ย 5555 เห็นบู๊เลือดตกยางออกตลอด
ไม่นึกว่าพีาลมจะเป็นลมเพราะเลือดนะเนี่ย 5555 เห็นบู๊เลือดตกยางออกตลอด
ตุ๊งแช่ 22 ธ.ค. 2555, 17:28:27 น.
นึกว่าจะไม่รอดซะแล้ว งั้นจัดไปค่ะ 55 อ่ะถุกคอมเม้นท์ บางทีก็ช่วยนะเปิดมุมมอง และแนวทางอื่น ถึงแม้เราจะมีพลอตทางเดินไว้แล้ว แต่ก้ได้ไอเดียหลากหลาย และ รับรู้อารมณ์ร่วมของคนอ่าน ว่าเขียนสื่อถึง จนคนอ่านอินกับเนื้อเรื่องและตัวละคร ไหม
แหมๆๆ ผู้หญิง 40 ยังมีคลอดลูกเลย กลัวแต่ว่า จะได้วิวาห์กันหรือป่าวเนี่ยสิ
คิดเลยค่ะ สงกรานต์ๆๆ
นึกว่าจะไม่รอดซะแล้ว งั้นจัดไปค่ะ 55 อ่ะถุกคอมเม้นท์ บางทีก็ช่วยนะเปิดมุมมอง และแนวทางอื่น ถึงแม้เราจะมีพลอตทางเดินไว้แล้ว แต่ก้ได้ไอเดียหลากหลาย และ รับรู้อารมณ์ร่วมของคนอ่าน ว่าเขียนสื่อถึง จนคนอ่านอินกับเนื้อเรื่องและตัวละคร ไหม
แหมๆๆ ผู้หญิง 40 ยังมีคลอดลูกเลย กลัวแต่ว่า จะได้วิวาห์กันหรือป่าวเนี่ยสิ
คิดเลยค่ะ สงกรานต์ๆๆ
goldensun 22 ธ.ค. 2555, 17:47:51 น.
แมวที่ขุนศึกพูดถึงคือใครคะ
พี่รังเจ๋งมาก แหวกวงล้อมทั้งที่มีแค่สิ้นกับพี่ลม เก่งทั้งกลุ่มเลย
โชคดีที่สิ้นหัดยิงปืนจนแม่นแล้วด้วย พี่ลมมาเสียท่าตรงเมาเลือดนี่แหละ
พี่น้องจอมปลวกจะแพ้ภัยตัวเอง ป่วยตายหรือคะ โรคทางเลือดด้วย
ลุ้นซาเนียกับเวนไตยจัง คนนึงเจ็บใจ อีกคนเสียใจ
แมวที่ขุนศึกพูดถึงคือใครคะ
พี่รังเจ๋งมาก แหวกวงล้อมทั้งที่มีแค่สิ้นกับพี่ลม เก่งทั้งกลุ่มเลย
โชคดีที่สิ้นหัดยิงปืนจนแม่นแล้วด้วย พี่ลมมาเสียท่าตรงเมาเลือดนี่แหละ
พี่น้องจอมปลวกจะแพ้ภัยตัวเอง ป่วยตายหรือคะ โรคทางเลือดด้วย
ลุ้นซาเนียกับเวนไตยจัง คนนึงเจ็บใจ อีกคนเสียใจ
หมีสีชมพู 22 ธ.ค. 2555, 21:05:21 น.
พี่รังอึดมาก สิ้นสลบไปแล้ว แต่พี่รังโดนไปสองที่ต้องผ่าตัดยังแบกสิ้นรักคนเดียวแบบไม่ยอมให้ใครอุ้มแทน
พี่รังอึดมาก สิ้นสลบไปแล้ว แต่พี่รังโดนไปสองที่ต้องผ่าตัดยังแบกสิ้นรักคนเดียวแบบไม่ยอมให้ใครอุ้มแทน
violette 23 ธ.ค. 2555, 00:19:06 น.
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด แอคชั่นนนนน
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด แอคชั่นนนนน
konhin 23 ธ.ค. 2555, 03:30:59 น.
ต้องอย่างงี้สิพี่รัง วันนี้ได้คะแนนเกินร้อยเลยยยย
ต้องอย่างงี้สิพี่รัง วันนี้ได้คะแนนเกินร้อยเลยยยย
Littlewitch 23 ธ.ค. 2555, 13:48:55 น.
ยังกะดูละครบู๊ทีเดียวคะ หลังจากที่ทำให้คนอ่านถลาไปกับการหักมุมวันหวานในห้องหอของทั้ง 2คู่ไปแบบฉิวเฉียด เรื่องเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆเลยนะคะ หลายๆตอนที่ผ่านมาอยากแสดงความคิดเห็นด้วยแหละแต่อ่านแบบม้วนเดียวจบก็เลยไม่มีเวลาจิบชา ถกความคิดเห็นตัวละครด้วยเลย
ยังกะดูละครบู๊ทีเดียวคะ หลังจากที่ทำให้คนอ่านถลาไปกับการหักมุมวันหวานในห้องหอของทั้ง 2คู่ไปแบบฉิวเฉียด เรื่องเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆเลยนะคะ หลายๆตอนที่ผ่านมาอยากแสดงความคิดเห็นด้วยแหละแต่อ่านแบบม้วนเดียวจบก็เลยไม่มีเวลาจิบชา ถกความคิดเห็นตัวละครด้วยเลย
supayalak 23 ธ.ค. 2555, 23:08:07 น.
บอกได้คำเดียวสุดโค้ยยยยยยยยยยยยยยย หนุ่มๆ ของป้าเก่งมากเลยคร้า
บอกได้คำเดียวสุดโค้ยยยยยยยยยยยยยยย หนุ่มๆ ของป้าเก่งมากเลยคร้า