คานน้อย คอยรัก (จบแล้วค่ะ)
คานน้อย คอยรัก

ในลักษณ์นั้นว่าประหลาด…………….คนบนคานนั้นว่าน่าประหลาด
เป็นเชื้อชาตินักรบกลั่นกล้า…………...เป็นเชื้อชาตินักรักผู้หาญกล้า
เหตุไฉนย่อท้อรอรา…………………..เหตุไฉนย่อท้อรอเวลา
ฤาจะกล้าแต่เพียงวาที…………………ฤาไม่กล้าบอกรักใครสักที

เห็นแก้วแวววับที่ดับจิต…………………เห็นคานแก้วแวววับสดับจิต
ใยไม่คิดอาจเอื้อมให้ถึงที่……………...ใยไม่คิดปีนไปให้ถึงที่
เมื่อไม่เอื้อมจะได้อย่างไรมี……………อย่ามัวรอจงขึ้นมาเร็วรี่
อันมณีฤาจะโลดไปถึงมือ………………บนคานนี้มีรักให้ฝึกปรือ

อันของสูงแม้ปองต้องจิต………………..คานเราสูงไม่เป็นรองของใครอื่น
ถ้าไม่คิดปีนป่ายจะได้ฤา………………..อย่าได้ขืนลงไปให้เสียชื่อ
มิใช่ของตลาดที่อาจซื้อ………………….มิใช่ทองตามตลาดที่อาจซื้อ
ฤาแย่งยื้อถือได้โดยไม่ยอม……………..เพราะเราถือความพอใจจึงลงไป

ไม่คิดสอยมัวคอยดอกไม้ร่วง……………ไม่คิดสอยมัวคอยให้คานทับ
คงชวดดวงบุปผาชาติสะอาดหอม………..รอให้ดับคาคานหรืออย่างไร
ดูแต่ภุมรินเที่ยวบินตอม…………………..ฤาต้องคอยรักแท้จนแก่ใช่ไหม
จึงได้ออมอบกลิ่นสุมาลี…………………..เกาะคานน้อยคอยรักต่อไป
…………………..........จนกว่าจะเจอคนที่ใช่…ใช่ไหมคาน………………
(อ้างอิงกลอนจากบทละครเรื่องท้าวแสนปม)

มาดูเหตุผลของคนที่ยังไม่ลงจากคานกันค่ะ...
อาจจะมีเหตุผลมากมายที่ไม่อยากลงจากคาน
หรืออาจมีเพียงแค่หนึ่งเหตุผลง่ายๆก็คือ...

...ไม่ใช่คนที่ใช่ก็ไม่ใช่...

หรือว่า

...โดนข้อหาหลายใจ เพราะเคยมีแฟนหลายหน...

หรืออาจเป็นเพรา

...เขาบอกให้รอ เราก็รอ...

หรือจริงๆแล้ว

...ขออยู่รอคนสุดท้ายคนนั้นได้ไหม...

หรือลึกลงไป

...กำลังรอเจ้าชายในฝันอยู่อย่างอดทนได้ทุกอย่าง...

หรือกำลังปลอบใจตัวเองว่า

...ครึ่งหนึ่งของฉันยังมาไม่ถึง...ซึ่งสักวันเขาจะมาอยู่ข้างกัน...

หรือกำลังหลอกตัวเองด้วยการปกปิดว่า

...ไม่หวั่นไหว หัวใจไม่ปรารถนา...

ทั้งๆที่จริงๆแล้ว

...อยากรัก อยากฝัน แต่เพราะกลัว ก็เลยไม่กล้ารักใคร...

หรือว่าอาจจะเป็นเหตผลสุดท้ายที่ไม่ค่อยมีใครกล้ายอมรับดังๆว่า

...ไม่เคยมีใครมาจีบ ไม่มีใครสน เรามันคนธรรมดาๆ...

แต่ไม่ว่าจะเหตุผลใด...

เราก็ยังหวังและยังคงรอคอยปาฏิหาริย์ว่าจะได้เจอคนที่ใช่ในสักวัน...


Tags: ดราม่า หวานซึ้ง อบอุ่น หมอรัง สิ้นรัก วายุ ปองขวัญ

ตอน: ยกที่ 75 รักคือการ(ไม่)ให้

ยกที่ 75 รักคือการ(ไม่)ให้

สิ้นรักเดินกระสับกระส่ายไปมาในห้องหอ ใจอยากออกไปข้างนอก
ให้รู้ว่่าอะไรเป็นอะไร เพราะได้ยินเสียงเอะอะโวยวายไปทั่วทั้งเกาะ

แต่เพราะถูกสั่งกำชับไว้อย่างหนักแน่นว่าห้ามออกไปไหน
เธอจึงจำต้องยอมรอฟังข่าวอยู่ในห้องพร้อมกับสวดอ้อนวอน
ต่อพระเจ้าให้คุ้มครองพี่รังและทุกคนให้ปลอดภัย…

ใจพลันนึกไปถึงเพื่อนสาวที่ป่านนี้ก็คงจะตกใจไม่แพ้เธอ
หรือว่าเธอควรจะไปหาปองขวัญดีไหม ห้องหอของปองขวัญกับเธอ
แม้จะอยู่กันคนละตัวเรือนแต่ว่าอยู่ใกล้กัน น่าจะไม่เป็นไร
ทว่ายังไม่ทันได้ย่างเท้า เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเสียก่อน…

“ก็อกๆๆ”สิ้นรักจึงถามออกไปให้แน่ใจก่อนเปิดประตูว่าเป็นใคร
เพื่อความไม่ประมาท

“ใครน่ะ…”

“นายหัวแย่แล้วค่ะนายหญิง…”เสียงนั้นเป็นเสียงของกุ้ง
หนึ่งในคนงานของเกาะรังที่มาช่วยเธอทำงานบ้าน สิ้นรักจึงรึบเปิด
ประตูห้องออกไปทันทีด้วยสีหน้าตื่นตระหนกตกใจ

“พี่รังหรือกุ้ง…”

“ค่ะ…นายหัวติดอยู่ในกองเพลิงตอนเข้าไปช่วยลูกคนงานค่ะ…
เรารีบไปดูนายหัวกันเถอะค่ะนายหญิง…”สิ้นรักไม่รอช้ารีบวิ่งตามกุ้ง
สาววัยกระเตาะลงจากเรือนไปทันทีโดยมิทันดูว่า
ทิศทางที่วิ่งไปนั้นมีจุดหมายปลายทางยังทิศใด

กว่าจะรู้…ก็สายเกินไปเสียแล้ว เมื่อรู้สึกได้ถึงเงามืดที่ทาทับมาทางด้านหลัง
แล้วเงาแห่งความมืดมิดก็เข้าปกคลุมสติของเธอ…





รังสิมันต์เดินกลับห้องตอนสายของวันใหม่ด้วยสีหน้าท่าทางระอิด
ระโหยโรยแรงไม่แพ้วายุที่เข้าไปช่วยเพื่อนรักดับเพลิงที่ยังหาสาเหตุไม่เจอ…

โชคดีที่คนงานปลอดภัย ไม่มีใครเสียชีวิต
มีเพียงแค่บาดเจ็บ แต่ไม่ถึงขั้นเจ็บหนัก…รังสิมันต์จึงอยู่พยาบาลรักษาคนงาน
กว่าจะเสร็จ เรี่ยวแรงก็แทบหมด

“ฉันว่างานนี้มันไม่ชอบมาพากลว่ะไอ้รัง…”วายุกล่าวขึ้นขณะเดินทาง
กลับเรือนหอกับเพื่อน

“ฉันก็คิดว่าอย่างนั้น เพราะมันบังเอิญเกินไป โชคดีที่ไม่มีใครเป็นอะไรมาก…
ว่าแต่แกโอเคมั้ย…”รังสิมันต์ถามไถ่เพื่อนรักที่สู้เคียงบ่่าเคียงไหล่เขามาตลอด
ด้วยแววตาห่วงใยจากใจจริง

“ไม่เป็นไร แกนั่นแหล่ะ หน้าซึดเชียว…”รังสิมันต์ยิ้มก่อนจะตบบ่าเพื่อน

“ขอบใจแกมากนะลม…ถ้าไม่ได้แกช่วยฉันคงแย่…”

“ขอบใจแค่พี่ลมคนเดียว พวกเราก็แย่สิพี่…”ฑยาวีย์กล่าวขึ้นเมื่อเดินมา
ยืนเคียงกับพี่ชายทัน…โดยมีอากิโกะตามมาติดๆ

“แล้วเจ้าแฝดล่ะ…”รังสิมันต์อดถามถึงหลานแฝดทั้งสองของเขาไม่ได้

“ฝากคุณนายเอาไว้…ไม่รู้ว่าตกใจตื่นกันแล้วรึเปล่า…”รังสิมันต์ยิ้มอย่างโล่งอก
ก่อนจะหันไปทางพสุธ เวนไตย เต็มกมล หมอกานต์
รวมทั้งบูรพาหรือพี่ริว ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของสิ้นรัก
และคนอื่นๆอีกหลายคนที่มาเป็นแขกร่วมงาน
ซึ่งต่างกันตื่นมาช่วยกู้เพลิงในครั้งนี้ด้วยแววตาซาบซึ้งใจ

“ขอบคุณทุกคนนะครับ…และต้องขอโทษด้วยจริงๆที่ปล่อยให้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น…”

รังสิมันต์กล่าวขึ้นเมื่อมาถึงเรือนใหญ่ ซึ่งเป็นห้องหอของเขา
และพอหันไปก็พบกับพ่อตาของตนที่กำลังยืนอยู่เบื้องหลังเขาโดยมีน้ำร้อยคอยประคอง
ซึ่งข้างๆท่านนั้นมีครอบครัวของคุณลุงของสิ้นรักยืนอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา
พร้อมด้วยพ่อตาและแม่ยายของเพื่อนรักซึ่งยืนไม่ห่างจากบันลือนัก

ตะวันที่นั่งอยู่บนรถเข็นโดยมีตามตะวันยืนจับรถเข็นอยู่ข้างหลัง
ไม่เว้นแม้กระทั่งมารดาของเขากับเจ้าแฝด
ที่ต่างก็มายืนออรอพวกเขาอยู่หน้าเรือนหอ ซึ่งเมื่อรังสิมันต์มองสำรวจ
ก็พบว่าทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า ขาดไปสามคน หรือถ้าจะพูดให้ถูก

ดูจะขาดไปสามสาว ซึ่งรวมภรรยาหมาดๆของเขาด้วย…

“ปองขวัญล่ะครับพี่ตาม…”วายุไม่เห็นปองขวัญยืนอยู่ด้วยก็แปลกใจ
หันไปถามตามตะวัน

และเหมือนความวุ่นวายทำให้ทุกคนลืมสำรวจจำนวนสมาชิก…
ตามตะวันจึงส่ายหน้าพร้อมกับมองหาน้องสาวด้วยสีหน้าวิตกขึ้นมาทันที
เพราะตั้งแต่เกิดเรื่อง เธอยังไม่เจอน้องสาวเลย

“ยัยตัวเล็กก็ไม่อยู่…ซาเนียก็เหมือนกัน…”รังสิมันต์กล่าวพร้อมกับมองหาร่างเล็กที่คุ้นตา
เผื่อว่าจะเจอเธอยืนวุ่นอยู่ตรงมุมไหนสักมุมแถวๆนี้

ก่อนจะขึ้นบนเรือนหอเพื่อค้นหาสิ้นรัก ทว่าหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ

วายุเองก็เช่นกัน ส่วนเวนไตยกับเต็มกมลวิ่งวุ่นตามหาซาเนียจนทั่ว
แต่ปรากฏว่่าไม่เห็นแม้แต่เงา…ทุกคนต่างแยกย้ายช่วยกันตามหาสามสาวแต่ก็ไม่เจอ

นอกจากมีเสียงหนึ่งจากคนงานที่พอจะรู้เบาะแสการหายตัวไป
ของสามสาวกล่าวขึ้นว่า

“นังกุ้งก็หายไปเหมือนกันครับนายหัว…เห็นลุงเม่นบอกว่า
เห็นมันวิ่งไปทางหลังเกาะไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ
และทุกรอบก็จะมีใครก็ไม่รู้วิ่งตามมันไปด้วย…ตอนนั้นเหตุการณ์มันวุ่นวาย
จนลุงเม่นแกคิดว่านังกุ้งคงหาทางหนีทีไล่ เพราะนังกุ้งมันเพิ่งมาอยู่ใหม่ได้ไม่กี่วันเองครับ…”

ฟังมาถึงตรงนี้ รังสิมันต์กับวายุก็พอจะจับต้นชนปลายได้บ้างแล้ว

“ฉันไม่น่าไว้ใจใครง่ายๆเลย…ไม่คิดว่าผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างกุ้งจะมีพิษสงขนาดนี้…”

รังสิมันต์ต่อว่าตัวเอง…เขารู้ดีว่าตอนนี้ภรรยาของเขา รวมทั้งปองขวัญและซาเนีย
กำลังตกอยู่ในเงื้อมมือของใคร

…เขาไม่น่าพลาดกับรายละเอียดปลีกย่อยแค่นี้เลยจริงๆ…

“อย่าโทษตัวเองเลยไอ้รัง…เรามาช่วยกันคิดดีกว่าว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี…”
วายุตบบ่าเพื่อน เขาเองก็กำลังกังวลใจอยู่ไม่น้อย

“ฉันคิดว่าพวกมันจะไม่กล้ามาเหยียบที่นี่ เพิ่งรู้ว่าตัวเองคิดผิดที่ประมาทศัตรูเกินไป…”
รังสิมันต์กล่าวด้วยแววตาเจ็บใจตัวเอง

“แต่ที่น่าสงสัยก็คือ…มันต้องการตัวหนูปองเพื่ออะไรน่ะสิ
ถ้าเป็นซาเนียกับหนูรักล่ะก็ ฉันพอจะรู้สาเหตุ…”

แพรวาตั้งข้อสังเกต เพราะถ้าเป็นสิ้นรักกับซาเนียนั้น เธอพอจะเดาสาเหตุได้
เนื่องจากรู้มาตลอดว่าศัตรูต้องการเกาะรังกับเกาะชิงชัง

“หรือว่าพวกมันจะรู้แล้วว่าใครเป็นเจ้าของตัวจริงของเกาะชิงชัง…”

บันลือกล่าวขณะหันไปทางเวนไตยที่ส่ายหน้าไปมา

“พวกมันคงคิดเอาตัวคุณหนูเพื่อต่อรองขอกรรมสิทธิ์ในการครอบครองสองเกาะ
เพราะคิดว่าเกาะชิงชังเป็นของคุณป๋า คงอาจจะสืบรู้มาว่า คุณป๋าไปพักอยู่ที่นั่น
ส่วนเกาะรังก็ใช้คุณหนูเป็นตัวบีบนายหัว…”

เวนไตยให้ความเห็นก่อนจะหันไปทางรังสิมันต์ ซึ่งพยักหน้าเหมือนจะเห็นด้วย

“แล้วทำไมต้องเอาปองขวัญไปด้วย…กับซาเนียน่ะพอจะเข้าใจ
เพราะพวกนั้นหมายหัวซาเนียมาตลอด…”วายุชักเริ่มหัวเสีย
ยิ่งคิดถึงใบหน้างามยามที่เขาได้สัมผัสรัก
ยิ่งให้หงุดหงิดไอ้คนที่มาลักพาตัวเธอไปในค่ำคืนส่งตัว…

“จะอะไรล่ะ…ก็เพื่อต่อรองขอบางอย่างจากฉันน่ะสิลม…”ตะวันกล่าวขึ้น

“พวกนั้นคงคิดจะใช้ปองขวัญบีบแกกับฉันให้คืนสำนักพิมพ์ให้เป็นแน่…”

“หรือไม่ก็อาจจะต้องการขู่ตามก็ได้ค่ะ…เพราะช่วงนี้ตามเขียนข่าว
โจมตีตระกูลนั้นอยู่ด้วย…”ตามตะวันเสริมด้วยแววตาเจ็บแค้น

“ถ้าเป็นอย่างนั้น…เดี๋ยวอีกไม่นาน พวกนั้นจะต้องโทรมาแน่ๆ…”

บิดาของปองขวัญกล่าวขึ้นมาบ้าง หลังจากที่ยืนนิ่งด้วยสีหน้าเคร่งเครียดมาตลอด

…โชคดีที่มีภรรยาคอยปลอบอยู่ข้างๆ ไม่อย่างนั้นโรคเก่าคงกำเริบ
จะมีก็แต่บันลือที่ดูจะควบคุมร่างกายและจิตใจได้ดีกว่าใคร
ทั้งๆที่เป็นห่วงลูกสาวที่เปรียบดั่งแก้วตาดวงใจเกินจะบรรยายได้…

ส่วนเวนไตยที่ดูนิ่งที่สุดกลับร้อนรนอยู่ภายในใจ เพราะสังหรณ์ใจ
ว่าศัตรูอาจจะเริ่มรู้ตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับอดีตของเขารวมทั้ง
ความสัมพันธ์บางอย่างระหว่างเขากับซาเนียก็เป็นได้…

มิเช่นนั้น ซาเนียคงไม่ถูกลักพาตัวไปด้วยในภารกิจนี้เป็นแน่…

ทำไมต้องเป็นเธอที่ต้องเผชิญเรื่องที่มีเขาเป็นต้นเหตุด้วย
ทั้งๆที่เธอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเกาะชิงชังที่พวกนั้นอยากได้
แต่เธอก็ต้องมารับเคราะห์กรรมแทนเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า…

เมื่อไหร่คนพวกนั้นถึงจะเลิกกระหายอยาก อยากได้ของที่ไม่ใช่ของตนเสียที
เมื่อไหร่พวกนั้นจะพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี เมื่อไหร่พวกนั้น
จะเลิกเห็นชีวิตคนเป็นผักเป็นปลาเสียที…

แล้วเวลาแห่งการรอคอยของทุกคนก็สิ้นสุดลง
เมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือของรังสิมันต์ดังขึ้น

“ว่าไงไอ้รัง…ยังจำเสียงฉันได้รึเปล่า…”

“ไอ้ขุนศึก…”รังสิมันต์เรียกชื่อนั้นลอดไรฟัน

“ฉันโทรมาอวยพรวันแต่งงานแกน่ะ หวังว่าคงไม่ช้าเกินไปนะ
แต่งงานทั้งทีก็น่าจะเชิญคนดังอย่างฉันไปร่วมงานบ้าง…”

“มีอะไรก็พูดมา…อย่ามาอ้อมโลก…”รังสิมันต์เริมฉุนเมื่อได้ยิน
เสียงหัวเราะของคนปลายสายราวกับจะเย้ยหยันเขา

“โทษทีนะที่ทำให้แกเสียอารมณ์…และหวังว่าฉันคงไม่ทำให้แกอารมณ์ค้างหรอกใช่มั้ย…
แต่ถ้าแกไม่ว่าอะไร ฉันก็ยินดีจะเป็นคนสานต่อให้แกนะ…
เพราะดูท่าเจ้าสาวของแกยังใหม่และสดแกะกล่องอยู่เลยนี่…”

สิ้นคำรังสิมันต์ก็กำหมัดกัดฟันกรอด จนแทบอยากจะกระโดดฉีกอก
เจ้าของคำพูดเมื่อครู่ยิ่งนัก…

“ถ้าแกแตะเธอแม้แต่ปลายเล็บล่ะก็…แกจะได้รู้ว่าคนอย่างฉัน
ทำอะไรให้โลกนี้จารึกได้บ้าง…”

“โอ๊ะ ๆๆ นี่แกขู่ฉันเหรอไอ้รัง…น้ำหน้าอย่างแกกล้าขู่คนอย่างฉันเหรอ
ขนาดแมวยังกลัว แล้วพญาราชสีห์อย่างฉัน แกไม่หัวหดตอนเจอกันรึไง”

น้ำเสียงเย้ยหยันทำเอาคนที่เคยใจเย็นและวางเฉยได้อย่างรังสิมันต์ถึงกับของขึ้น…

“ต้องการอะไรบอกมา…”เสียงนั้นราวกับเสือคำราม…

“ถ้าฉันบอกว่าต้องการเจ้าสาวของแกล่ะ…แกจะยกให้มั้ย…”
น้ำเสียงนั้นกึ่งล้อเล่นกึ่งจริงจัง จนรังสิมันต์ชักเริ่มหัวเสีย

“บอกมันไปรัง…ว่าถ้ามันอยากได้เกาะรัง เราก็ยินดีให้
ขอแค่ให้มันคืนทั้งสามคนมา…”แพรวาแทรกขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าท่าทาง
ของลูกชายคนโตที่ไม่สู้ดีนัก…

“งั้นแกก็เตรียมขุดหลุมฝังตัวเองเอาไว้ได้เลยไอ้ขุนศึก เพราะไม่ว่า
แกจะเห่าอยู่ที่ไหน ฉันก็จะตามหาเสียงเห่าของแกให้เจอ…”

“ฮีๆๆ ปากดีนักนะไอ้รัง…บอกแม่แกกับไอ้แก่ใกล้ตายนั่นด้วย
ว่าให้เซ็นยกกรรมสิทธิ์เกาะรังกับเกาะชิงชังให้พ่อฉันกับลุงของฉันภายในวันนี้…
แล้วเอาปองขวัญกับซาเนียไป ส่วนเจ้าสาวของแก
ถ้าอยากได้คืนล่ะก็ แกก็ต้องมาเอาด้วยตัวแกเอง…ว่าแต่แกจะกล้าเหร้อ
ฉันว่าเอาชนะแมวให้ได้ก่อนดีมั้ย แล้วค่อยมาประลองฝีมือกับราชสีห์อย่างฉัน…”
น้ำเสียงนั้นท้าทายอย่างเปิดเผย

“ไม่ดูง่ายไปหน่อยเหรอ…ที่แกจะมาต่อรองกับฉัน ทั้งๆที่แกไม่รู้ด้วยซ้ำ
ว่าใครเป็นเจ้าของเกาะตัวจริงในตอนนี้…ฉันว่าแกไปหาข้อมูล
มาให้ดีกว่านี้ดีมั้ยว่าใครกันแน่ที่เป็นเจ้าของเกาะชิงชัง ณ วันนี้…
เพราะเท่าที่ฉันสืบมา นายหัวปุรินทร์ ปุรารัตน์มิใช่เหรอที่เคยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์
แล้วพ่อกับลุงของแกก็ฆ่าล้างโคตรพวกเขาไปหมดแล้ว…

แต่ฉันว่าก่อนที่แกจะมามัวเสียเวลาสืบค้นประวัติของคนอื่น
ลองหันไปสืบค้นประวัติตัวเองก่อนดีมั้ย ดีเอ็นเอมันอยู่บนใบหน้าแกอยู่แล้ว
ลองเช็คให้แน่ใจสิว่า แกเกิดจากจอมปลวกไหนกันแน่…
หรือถ้าอยากรู้ความจริง…ฉันก็ยินดีบอกให้นะ ถ้าแกอยากฟัง…”

ทางปลายสายเงียบไปเมื่อได้ยินประโยคดังกล่าวจากปากของรังสิมันต์

“อ้อ…ฉันลืมบอกอะไรแกไปอย่างนึง…อาการป่วยของพ่อแกเท่าที่ฉันสืบรู้มา
มันมีความแปลกอยู่นะ ถามแม่แกกับลุงแกดูสิว่าป่วยด้วยโรคเดียวกันรึเปล่า…

บางทีแกอาจจะมัวยุ่งอยู่กับเรื่องที่มาของคนอื่นจนลืมมองที่มาของตัวเองไปก็ได้นะ…
แล้วไอ้เกาะที่พ่อแกกับลุงแกอยากได้น่ะ…
ฉันอยากรู้ว่าถ้าพวกเขารู้ว่าจะอยู่สูดลมหายใจในโลกนี้ได้อีกไม่นาน…
พวกเขายังอยากได้อีกรึเปล่า…”

รังสิมันต์กล่าวในสิ่งที่น้อยคนที่ฟังอยู่รู้ และการที่เขารู้มามันอาจไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่เพราะความผิดพลาดเล็กๆน้อยๆของสองพี่น้องจอมปลวก
จึงทำให้เขารับรู้ถึงโรคร้ายแรงชนิดหนึ่งผ่านทางหยดเลือดของจอมทัพ
โดยที่เจ้าตัวคงยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นโรคอะไร

เพราะถ้ารู้ขึ้นมา เขาก็แน่ใจว่า หยดเลือดดังกล่าวมันมีพลังไม่น้อยไปกว่าปรมาณู
ที่เคยถล่มเกาะฮิโรชิม่ากับนางาซากิในอดีตแน่ๆ

จะต่างกันก็ตรงที่คราวนี้ปรมาณูดังกล่าวใช้เพื่อถล่มคนชั่วให้สิ้นซากไปก็เท่านั้นเอง

…และนี่คือครั้งแรกในชีวิตของการเป็นหมอ
ที่เขารู้สึกดีที่ได้รู้ว่่าคนที่เขาตรวจเลือดเป็นโรคร้ายชนิดนี้…

แม้จะรู้สึกหดหู่ใจอยู่บ้าง แต่มันได้มลายหายไปตั้งแต่ได้ฟังวาจาของขุนศึกไปเมื่อครู่แล้ว
เขาว่ามันสมควรแล้ว สมควรแล้วจริงๆ!

“แกหมายความว่าไงไอ้รัง…”เสียงนั้นดูจะหงอลงไปจากเดิมมาก
รังสิมันต์จึงกระตุกยิ้มที่มุมปาก

“อยากรู้คำตอบ แกก็ต้องยอมคืนสิ่งที่ฉันต้องการให้ฉันก่อน…แล้วฉันจะยื่น
ของดีที่แกไม่มีวันปฏิเสธได้ให้…แกจะได้ตาสว่างสักทีไงล่ะ…”

“แกคิดจะเล่นแง่กับฉันเหรอไอ้รัง แกคิดว่าแกถือไพ่เหนือฉันรึไง…
ในเมื่อไพ่สามใบที่พวกแกหวงนักหวงหนาอยู่ในกำมือฉันแล้วอย่างนี้

แกคิดหรือว่าฉันจะยอมทิ้งไพ่สามใบนี้ไปง่ายๆเพื่อแลกกับความลับห่วยแตกของแก
ซึ่งฉันไม่ได้อยากรู้…และฉันไม่สนว่าใครจะเป็นเจ้าของตัวจริงของเกาะชิงชัง
โอนกรรมสิทธิ์สองเกาะนั่นให้ฉัน แล้วเอาตัวปองขวัญกับซาเนียไปได้…

ถ้าไม่…แกจะได้เห็นแต่หัวของยัยซาเนียถูกส่งไปก่อนใคร…
เพราะนอกจากเจ้าสาวของแกแล้ว ฉันก็ไม่ได้พิสมัยอยากได้ใคร…
จะฆ่าให้ตาย…ง่ายนิดเดียว…”

น้ำเสียงที่ฟังดูโหดเหี้ยมอำมหิตนั้นทำให้รังสิมันต์ถึงกับขนลุกซู่
หันไปทางเวนไตยก่อนจะกลืนน้ำลายลงคอ
เมื่อต้องตอบกลับขุนศึกไปว่า

“ฉันยอม…แกจะได้ในสิ่งทีแ่กต้องการภายในวันพรุ่งนี้…
แล้วห้ามแกทำอะไรพวกเธอ…ไม่อย่างนั้น สิ่งที่แกจะสูญเสียเป็นสิ่งแรก
ก็คือ ตำแหน่งสส.ที่แกหวงเป็นที่สุดไป ฉันสาบาน…”

ได้ฟังคำขู่ของอีกฝ่าย ขุนศึกก็ถึงกับคิดหนัก

หลังจากวางหูโทรศัพท์เขาก็ต่อสายหาบิดาทันที
เพราะรู้สึกว่าพักหลังๆมานี้ บิดาของเขาเจ็บออดๆแอดๆอยู่เรื่อยๆ
ใช้ให้ไปหาหมอก็ไม่ยอมไป โรคกลัวหมอ กลัวโรงพยาบาลเห็นจะรักษาไม่หาย…

แล้วถ้าเกิดบิดาของเขากำลังเป็นโรคร้ายอย่างที่ไอ้รังมันบอกจริงๆ
เขาจะทำอย่างไร แล้วไอ้รังมันรู้ได้ยังไง…
หรือว่ามันหลอกเขาให้ตายใจกันแน่

“มีอะไรเจ้าไลท์…เมื่อกี้ไอ้ไนท์มันมาหาฉัน แกรู้มั้ยว่ามันพูดอะไรกับฉัน”

คนรับสายร่ายยาวถึงเรื่องราวของตัวเอง โดยลืมถามไถ่อีกฝ่ายไปว่า
มีธุระอะไรถึงโทรมาหา เพราะปกติถ้าไม่มีอะไร
สองพ่อลูกก็แทบจะไม่มีเวลาได้พูดคุยพบหน้ากันอยู่แล้ว

“เขาพูดอะไรล่ะพ่อ…”

“แกฟังให้ดีๆนะ…ไอ้ไนท์มันบอกว่ารักน้องสาวของแก…
มันมาขอน้องสาวแกกับฉัน…”ขุนศึกมิได้รู้สึกตกใจอะไรมากมาย
เพราะสำหรับเขาแล้ว ไม่มีเรื่องไหนจะใหญ่โตเท่ากับปัญหาตัวเอง
อีกอย่างความสัมพันธ์ระหว่างเขากับน้องสาวก็ไม่ได้แน่นแฟ้นอะไร

“แล้วแม่ไม่ว่าอะไรเหรอพ่อ…”

“แม่แกน่ะเหรอ ตอนที่ได้ยินแทบลมจับ หายาดมแทบไม่ทัน
บอกว่าเป็นตายยังไงก็ไม่มีทางยกยัยไอซ์ให้แน่ๆ…แถมยังตะเพิดไอ้ไนท์ให้ไปให้พ้นตา…
เห็นสีหน้ามันตอนนั้นแล้วอดเห็นใจไม่ได้จริงๆ
มันคงรักน้องสาวแกเข้าแล้วจริงๆ…ไม่รู้ว่าไปรักกันตอนไหน…
แต่เป็นพี่น้องกันจะแต่งงานกันได้ยังไง…”ขุนศึกที่ได้ยินประโยคหลังสุดถึงกับเบ้ปาก

“พี่น้องที่ไหนกันพ่อ ก็แค่ลูกพี่ลูกน้อง…ถ้าเขารักเขาชอบกัน
มันก็ไม่น่าจะเป็นอะไรนี่…แต่ผมไม่ค่อยถูกชะตากับมันสักเท่าไหร่
ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้วพ่อก็รู้…ถ้าเป็นไปได้ อย่าเกี่ยวข้องกันเป็นดี
นี่ถ้าไม่ติดว่ามันเป็นลูกของลุงหนึ่งล่ะก็ ผมจะไม่ใส่ปากเลยสักคำ…
แล้วยัยไอซ์ว่าไงล่ะครับ…”

“ยัยไอซ์คงยังไม่รู้เรื่องนี้ล่ะมั้ง…ฉันเองก็ยังไม่ได้ถาม…ว่าแต่แกโทรมามีอะไร…”
จอมทัพนึกขึ้นได้ว่าลูกชายเป็นคนโทรมาหาเขา…

“เรื่องที่พ่อให้จัดการ ผมทำให้แล้วนะ ตอนนี้ได้ตัวสิ้นรัก ปองขวัญ
และซาเนียมาไว้ที่บ้านพักของพ่อแล้ว…และผมก็ต่อรองกับพวกนั้นไปแล้ว
วันพรุ่งนี้มันจะเซ็นโอนกรรมสิทธิ์เกาะทั้งสองเกาะให้พวกเรา…”
จอมทัพที่ได้ฟังถึงกับตาโตด้วยความดีใจ…ที่ความฝันของเขากำลังจะเป็นจริง

“แล้วลุงของแกรู้เรื่องนี้รึยัง…”

“ยังครับ…”

“เดี๋ยวฉันจะบอกให้ลุงของแกช่วยก็แล้วกัน เพราะอยู่ทางโน้นพอดี…
แกสุดยอดมากไอ้ลูกชาย…ไม่เคยมีสักครั้งที่จะทำให้ฉันผิดหวัง…”
ขุนศึกยิ้มกว้างเมื่อได้รับคำชมจากบิดา

“ว่าแต่พ่อสบายดีนะครับ…”หนุ่มใหญ่นึกถึงคำพูดของรังสิมันต์ขึ้นมา

“โอ้ย…สบายสิ…ถึงไม่สบาย พรุ่งนี้ก็สบายแล้ว…”เสียงระรื่นสดใส
ของบิดาทำให้ขุนศึกเลิกกังวลใจ หากก็ยังคงค้างคาใจอยู่ดี

“ผมว่าพ่อควรจะไปโรงพยาบาล ไปตรวจสุขภาพดูบ้างนะครับ…”

“มีอะไร…ร้อยวันพันปีแกไม่เคยแนะให้ฉันไปโรงพยาบาล…
วันนี้กลับมาพูดแบบนี้…แกก็รู้ว่าฉันไม่ชอบโรงพยาบาล…วันก่อนยังรู้สึก
แปลกๆอยู่เลยที่เป็นลมล้มไป ตื่นขึ้นมาอีกทีก็รู้สึกคันๆตร่งข้อพับแขน…”
คนฟังถึงกับตกใจจึงถามออกไปว่า

“แล้วพ่อเป็นลมที่ไหน…”

“ที่สปานั่นแหล่ะ…”ขุนศึกพยายามชั่งใจอยู่ครู่นึงก่อนจะกล่าวกับบิดาราวกับสั่งว่า

“ผมว่าพ่อน่าจะไปตรวจสุขภาพดูสักครั้งนะครับ ผมเป็นห่วง
เห็นพักหลังๆพ่อเจ็บป่วยออดๆแอดๆ…มีอะไรจะได้แก้ไขได้ทัน…”

“ฉันไม่เป็นไรหรอกน่า…ตามประสาคนแก่นั่นแหล่ะ…”

“แต่…”

“เถอะน่า…เอาไว้ถ้าเป็นอะไรมาก…ฉันจะไปหาหมอ…”

เท่านั้นคนฟังก็ถึงกับพ่นลมหายใจด้วยความโล่งอก

…สรุปว่าไอ้รังก็แค่ต้องการให้เขารู้สึกเขวก็เท่านั้นเอง…
มันทำเอาจิตใจของเขาไม่อยู่กับร่องกับรอย
ซ้ำยังหวาดระแวงแม้กระทั่งความสัมพันธ์ระหว่างเครือญาติ…

มันเอาอะไรมาพูดว่าเขาจะเป็นลูกคนอื่น
มันเอาอะไรมาพูดว่าให้เขากลับมาทบทวนให้แน่ใจว่าจริงๆแล้วเขาเป็นลูกใครกันแน่

…แล้วไอ้ที่มันบอกว่าดีเอ็นเอแปะอยู่ที่หน้าของเขาอยู่แล้ว มันหมายความว่าไง…

ก็แน่อยู่่แล้ว เขากับลุงจอมพลเป็นลุงกับหลานกัน
การที่หลานจะมีหน้าตาเหมือนกับลุงของตัวเอง มันแปลกด้วยหรือ…






กลับไปยังด้านของเชลยทั้งสาม

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นคะพี่ปอง…”ซาเนียที่ได้สติตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเอง
กำลังนอนอยู่บนเตียงนอนในห้องที่ไม่คุ้นเคย ได้ยินเพียงเสียงคลื่น
และกลิ่นอายของทะเลเท่านั้น แถมข้างกายของเธอยังมีปองขวัญที่เพิ่งตื่นขึ้นมาเช่นกัน

“พี่ก็ไม่รู้…”ปองขวัญเริ่มทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา
เพราะตอนนั้นมีหญิงสาวที่เป็นผู้ช่วยแม่บ้านมาบอกกับเธอว่าพี่ลมตกอยู่ในกองเพลิง
เธอเป็นห่วงอีกฝ่ายจนขาดสติ กว่าจะรู้ตัวก็ถูกลวงให้มาถึงทางเปลี่ยว
และตื่นมาอีกทีก็มาอยู่ที่นี่เสียแล้ว...ซึ่งซาเนียเองก็โดนลวงเช่นนั้นมาเหมือนกัน
โดยหญิงสาวนามว่ากุ้งใช้ชื่อของพี่รังมาลวงเธอ…

“พวกไหนกันคะที่นำเราสองคนมาที่นี่…”ปองขวัญส่ายหน้า

“หรือว่าจะเป็นพวกของสองพี่น้องจอมปลวกนั่นกันคะ…”ซาเนียสันนิษฐานหาความน่าจะเป็น
เพราะเธอไม่มีศัตรูที่ไหน นอกจากสองพี่น้องจอมปลวกนั่น

“แล้วพวกเขาต้องการตัวเราเพื่ออะไรล่ะซาเนีย…”ซาเนียส่ายหน้า
ก่อนจะมองไปรอบๆห้อง มือเท้าของเธอสองคนโดนผูกติดไว้กับเสาเตียง
ไร้อิสรภาพที่จะลุกไปไหน

“อาจจะเป็นเครื่องต่อรองอะไรบางอย่างก็ได้นะคะพี่ปอง…”

สองสาวต่างมองหน้ากันแล้วถอนใจยาว มองไม่เห็นแม้ทางออก

โดยไม่รู้เลยว่าห้องที่อยู่ติดกันนั้นมีสิ้นรักถูกจองจำอยู่โดยลำพัง
ซึ่งเจ้าตัวรู้สึกตัวแล้ว อีกทั้งยังกำลังต่อกรอยู่กับผู้ที่จับตัวเธอมา

“ทำไมคุณต้องทำแบบนี้ด้วย…คุณจับฉันมาทำไม…”สิ้นรักถามขุนศึก
ที่นั่งอยู่บนเตียงข้างๆเธอ โดยที่เท้าของเธอถูกผูกติดไว้กับเสาเตียง
ส่วนมือก็ถูกผูกไขว้ไว้ทางด้านหลัง ทั้งเจ็บทั้งอึดอัด…

“ความจริงผมก็ไม่ได้อยากทำให้คุณเจ็บเลยแม้แต่นิดเดียว
แต่ถ้าผมปล่อยคุณ คุณก็คงติดปีกหนีผมไปอีกจนได้…”

ขุนศึกยกมือขึ้นเกลี่ยผมที่ปรกหน้าสิ้นรักออกให้อย่างเบามือ
ทว่าหญิงสาวกลับสะบัดหน้าหนี ไม่ยอมให้เขาแตะต้องตัว

“ค่าหัวของฉันคืออะไร…”สิ้นรักถามออกไปตรงๆไม่อ้อมค้อม

“จะอยากรู้ไปทำไม…”ขุนศึกเบือนหน้าขณะถามกลับ

“ฉันจะได้รู้ไงว่าคุณตั้งค่่าหัวของฉันไว้เท่าไหร่…และมันคุ้มค่ากันไหม
กับลมหายใจของฉัน…ฉันอยากรู้ว่าคุณประเมินลมหายใจของคนอื่นเท่าไหร่…
หรือด้วยกับอะไร”ขุนศึกถึงกับอึ้งและเงียบไป
เมื่อไม่สามารถตอบคำถามนั้นได้อย่างเต็มภาคภูมิ…

“ฉันเคยคิดว่าคุณอาจจะรักฉัน…แต่จริงๆแล้วคุณรักใครไม่เป็น…
แม้แต่ตัวคุณเอง คุณยังไม่รู้เลยว่าจะรักตัวเองอย่างไร
หรือควรจะทำอย่างไรให้ตัวเองมีความสุข…”

“ก็นี่ไงความสุขของผม…”สิ้นรักส่ายหน้า

“ไม่จริงหรอก…ถ้าคุณมีความสุขจริงๆ ไหนคุณลองยิ้ม
ชนิดที่ไร้ความกังวลให้ฉันดูหน่อยสิ…”ขุนศึกกลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผาก

คนตรงหน้าตอกความรู้สึกนึกคิดข้างในของเขาจนเจ็บหนึบ

“คุณรู้มั้ยว่าความสุขนั้นหาได้ไม่ยากเลย…แค่ทำความดี แค่นั้น…”

คนฟังถึงกับลุกขึ้นเดินเอามือล้วงกระเป๋าไปยังหน้าต่างห้องที่มองเห็น
เกลียวคลื่นที่กำลังม้วนตัวซัดเข้าหาฝั่ง

“ความรัก ถ้าเรารักเป็น เราจะมีความสุขมาก ฉันรู้ได้เพราะว่าความรัก
ทำให้ฉันอยากมอบแต่สิ่งดีๆให้กับคนที่ฉันรัก ฉันพยายามทำดีให้กับคนที่ฉันรัก
พยายามมองเขาในแง่ที่ดี ใส่ใจ ห่วงใยเขา ดูแลเขาเท่าที่จะสามารถทำได้…
และทุกครั้งที่ฉันทำดีเพื่อคนที่ฉันรัก ฉันจะยิ้มอย่างมีความสุขเสมอ…

ยิ่งบวกกับความรักที่เรามีต่อตัวเองด้วยแล้ว เราจะพยายามทำดีเพื่อตัวเอง
ทำดีต่อตัวเอง ห่วงใยตัวเอง หาสิ่งดีๆให้กับตัวเอง

แล้วที่ฉันทุกข์เพราะความรักน่ะ…เพราะว่าฉันรักไม่เป็น
ฉันกลัว ฉันระแวงว่าเขาจะไม่รักฉันขึ้นมา
ฉันมองเขาในแง่ลบ ใจฉันก็เลยเป็นทุกข์ ฉันยึดติด
อยากได้เขามาครอบครองเป็นของตัวเองแต่เพียงผู้เดียว…

พยายามวิ่งไล่ล่าหัวใจของเขา โดยไม่คิดว่าเขาจะต้องการหรือรู้สึกอย่างไร
ฉันก็เลยเจ็บปวด ทุกข์ทรมานและเหน็ดเหนื่อยท้อใจกับความรักที่เกิดขึ้น”

สิ้นรักหยุดนิดนึงขณะมองแผ่นหลังของขุนศึกที่ยืนพิงหน้าต่างห้อง
มองไปยังข้างนอก

“ดังนั้น…การจะรักใครจริงๆสักคนมันก็เลยทำได้ไม่ง่าย
และกว่ารักนั้นจะส่งผลกลับมาหาเรา มันก็ต้องใช้เวลานาน
พอๆกับการทำความดี ที่ทำยากกว่าการทำความชั่ว
ทำอยู่นานกว่าจะส่งผลดีมาถึงตัวผู้กระทำ ไม่เหมือนทำชั่ว
ที่ทำง่ายแค่พริบตาก็เห็นผลทันตา…รึคุณว่าไม่จริง…”สิ้นรักหยุดหายใจ
นิดนึงก่อนจะกล่าวต่อ

“คุณลองคิดดูว่าระหว่างการเกลียดใครสักคน กับการรักใครสักคน
อย่างไหนทำง่ายกว่ากัน…เวลาเรารักใคร เราก็พยายามมองแต่สิ่งดีๆ
ที่เขาเป็นและที่เขามี แต่เวลาเราเกลียดใครคนไหนล่ะก็
เราจะไม่เห็นหรอกสิ่งดีๆของเขาน่ะ เพราะเรามองเห็นแต่สิ่งแย่ๆของเขาเท่านั้น…

ใจคนมักโน้มไปทางต่ำ ถ้าเราไม่รู้จักต้านทานมันเสียบ้างก็เท่ากับเราปล่อยให้ตัวเอง
เดินลงไปยังทางต่ำด้วยความเต็มใจ…ที่เขาเรียกว่าคนเหล่านั้นเป็นคนโง่
เพราะว่าพวกเขารู้ทั้งรู้ว่าหนทางนั้นจะนำพาพวกเขาไปที่สูงหรือที่ต่ำ แต่พวกเขาก็ยังทำ…

การปล่อยให้ไปตามกิเลส มันไม่ได้ช่วยให้ชีวิตเราดีและมีความสุขหรอกค่ะ…”

สิ้นรักถามอีกฝ่ายกลับ หากก็ได้เพียงความเงียบเป็นคำตอบ
ไม่รู้ว่าคนฟังกำลังคิดอ่านอะไรอยู่ในใจภายใต้ทีท่านิ่งๆนั้น…

“ฉันจึงเลือกที่จะรักในการทำความดี…ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อความสุขใจของตัวฉันเอง…
คนอื่นจะรับรู้ถึงความรักหรือความหวังดีของเราหรือไม่ ก็ไม่เป็นไร
เพราะเท่าที่ทำอยู่ก็สุขแล้ว เราทุกคนต่างก็ต้องการความสุขกันทั้งนั้นไม่ใช่เหรอคะ…
หรือว่าคุณไม่ต้องการ”เมื่อสิ้นสุดคำพูดดังกล่าว
ขุนศึกก็หันมาโต้กลับทันทีด้วยสีหน้าดุดัน

“ตลอดชีวิตของผม…ไม่เห็นเลยว่าจะมีใครรักผมจริงสักคน
แม้แต่คุณก็ยังไม่รัก…คุณเองก็คงเกลียดผม
เหมือนๆที่คนอีกหลายๆคนเขาเกลียดผม”สิ้นรักถึงกับสะอึก
ลมหายใจสะดุดกับถ้อยคำและน้ำเสียงที่ฟังดูท้อแท้ปนเศร้าแปลกๆ

“จะมีมั้ยใครในโลกนี้ที่กล้าพูดเต็มปากเต็มคำว่ารักผมจริง…
ขนาดพ่อกับแม่ยังไม่มีเวลาถ่ายทอดความรักให้ลูกได้รู้จักเลย…

แล้วคุณเป็นใคร ถึงมานั่งพร่ามถึงความรักให้คนที่คุณก็บอกอยู่แล้ว
ว่ารักใครไม่เป็นฟังอยู่อย่างนี้…ใช่สิ…ผมมันรักคนอื่นไม่เป็น…

งั้นคุณก็ช่วยสอนสิ สอนผมให้รู้ว่ารักมันเป็นยังไง…
หรือว่าคุณเองก็ไม่กล้ารักคนอย่างผม…”

สิ้นรักกลืนน้ำลายลงคอดังเฮือกเมื่อสบตากับแววตาคมดุของคนตรงหน้า
ไม่แน่ใจว่าเขากำลังอยู่ในอารมณ์ไหนกันแน่…

“ใช่…ฉันยอมรับว่าทุกครั้งที่รับรู้ถึงการกระทำของคุณ บอกตามตรงว่าฉันรักคุณไม่ลง…
ครั้นพออยากจะเกลียด แต่แปลกที่ก็เกลียดคุณไม่ลงสักที…

ทั้งๆที่ฉันควรจะเกลียดคุณด้วยซ้ำ หรือคุณว่าการที่คุณพรากฉันมาจากคนที่ฉันรัก
แล้วจับฉันมาขังไว้ มัดมือมัดเท้าแบบนี้ มันสมควรแล้วที่ฉันจะรักคนอย่างคุณ

ฉันไม่ใช่สัตว์ป่านะ ที่คุณอยากได้แล้วก็จับมันมาโดยไม่สนว่าจะเป็นการพรากพ่อพรากลูก
แล้วก็นำมันมาขังไว้ ให้อาหาร ให้น้ำ พร้อมที่จะนำมันไปเป็นตัวแลกเปลี่ยนกับอะไรบางอย่าง
ที่คุณพอใจกว่า หรือต่อให้คุณอยากได้มันไปเลี่ยง…
เชื่อสิว่าไม่ว่าคุณจะเลี้ยงให้ดียังไง สัตว์ป่ามันไม่มีคำว่าเชื่องจริงๆหรอก…

คุณไม่มีวันได้หัวใจรักของมันจริงๆหรอก…และฉันยังเป็นคน ไม่ใช่สัตว์…
จะให้ฉันรักคนที่นำฉันมากักขังไว้แบบนี้ ฉันรักไม่ลงหรอก…”

ขุนศึกถึงกับพูดไม่ออก ได้แต่จ้องหน้าคนพูดนิ่งก่อนจะหลับตาถอนใจยาว

ผู้หญิงตรงหน้ามองเขาแบบตาใส จริงใจ ถ้อยคำก็ซื่อตรง ไร้เล่ห์เหลี่ยม
เธอไม่คิดบ้างหรือไรว่าถ้อยคำของเธออาจทำให้เขาสติขาด
ทำร้ายเธอขึ้นมาได้ทุกเมื่อ

หากเมื่อเขาจ้องลึกลงไปจนได้เห็นแววตาเด็ดเดี่ยวที่ซ่อนอยู่ในตาใสๆนั้น
เขาจึงเข้าใจ ลูกเสือ เธอเป็นลูกเสือที่ดูเชื่องและซื่อ

ทว่าหาได้เกรงกลัวต่อสิ่งใด…เธอใจกล้าเหมือนนางเสือที่พร้อมสู้ไม่มีทางถอย…

“ต่อให้คุณสร้างกรงที่สวยงามสักแค่ไหนให้ฉันอยู่ แต่กรงมันก็คือกรงอยู่ดี…
และถ้าคุณอยากได้อะไรแล้วก็กระชากมันมาต่อหน้าเจ้าของแบบนี้
ต่อให้คุณได้มันมา คุณก็ไม่มีวันได้หัวใจและจิตวิญญาณมันมาด้วยหรอก…

หัวใจฉันไม่ใช่กระดาษที่จะปลิวไปตกที่ไหนก็ได้…
ฉันอยากรู้ว่าคุณต้องการอะไร ถึงได้เอาฉันมาขังไว้ที่นี่…”

สิ้นรักกล่าวด้วยแววตาที่กรุ่นโกรธ
เธอไม่เคยคาดคิดว่าคนที่เคยทำดีกับเธออย่างขุนศึกจะทำกับเธอแบบนี้

ในที่สุดเขาก็ทำกับเธอจนได้…ทั้งๆที่เธอพยายามเชื่อว่าเขา
จะสามารถกลับตัวเป็นคนดีได้…แต่สุดท้ายก็เปล่าประโยชน์

เธอผิดเอง…ที่คาดหวังเกินควร…และยังคาดการณ์ผิดไป…

เชื่อว่าตัวเองมีความสามารถพอที่จะเปลี่ยนคนตรงหน้า
ไปในทิศทางท่ีดีกว่าได้…

“มองตาผมสิ…มองให้ลึกลงไป…แล้วคุณจะพบสิ่งที่มันซ่อนอยู่
คุณจะเห็นความจริงว่าจริงๆแล้วผมต้องทรมานแค่ไหน…
คุณคือคนเดียวที่ผมอยากให้รู้อยากให้เห็นว่าแท้จริง
คนที่คุณและใครๆคิดว่าใจร้าย ก็มีหัวใจเหมือนกัน…
ผมแค่ต้องการใครสักคนที่เข้าใจ…และคนๆนั้นผมก็อยากให้เป็นคุณ…”

สิ้นรักถึงกับน้ำตาคลอ ไม่ใช่สงสารคนตรงหน้า
แต่เป็นเพราะไม่อาจเป็นคนๆนั้นให้กับเขาได้…

“อย่ามองผมเหมือนผมเป็นสิ่งเลวร้ายได้มั้ย…ที่ผมทำไปทั้งหมด
ก็แค่อยากเป็นที่รักของคนอื่นๆ ผมอยากให้พ่อกับลุงภูมิใจในตัวผม
อยากเด่นอยากดังเพื่อให้คนห้อมล้อม คอยติดตามผมอย่างสนใจ

ทุกอย่างที่คนเห็นกันมันก็แค่มายา ใช่ อาจดูเหมือนว่าผมมีใครมากมาย
อาจดูคล้ายผมมีทุกสิ่ง แต่ความจริงหัวใจข้างในมันเดียวดายและอ้างว้าง
ผมเฝ้ารอแค่เพียงใครสักคน คนที่รักจริง ขอแค่ได้พบคนที่จริงใจ…

ผมขอได้มั้ยสิ้นรัก ขอให้คุณเป็นคนๆนั้นให้ผม…ได้โปรด อย่าปฏิเสธผม”

คนพูดกล่าวในขณะที่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าหญิงสาวแล้วนั่งลงบนเตียงข้างๆเธอ

…เขาไม่เคยปรารถนาหญิงใดเท่าหญิงสาวตรงหน้า

ชีวิตที่ผ่านการแต่งงานมาแล้วอย่างเขา รู้ซึ้งรู้ดีแล้วว่ามันเจ็บปวดแค่ไหนเมื่อต้องหย่าร้าง…
ภรรยาที่เขาหามาได้ ไม่เคยรักในตัวเขา เธอเพียงรักและต้องการในสิ่งที่เขามี…
เธอไม่เคยมองเขาอย่างที่คนตรงหน้ามอง แววตาของเธอยามมองเขา
เหมือนเขาเป็นไอ้ตัวอะไรสักอย่าง…

เธอไม่ได้รักเขา ซ้ำยังเกลียดเขามากขึ้นเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ
จนสุดท้าย เขาก็ต้องปล่อยเธอไป…แน่นอน เขาเองก็ไม่ได้รักเธอ
แต่ความผูกพันธ์มันก็มีผลทำให้เขาเจ็บปวดอยู่ไม่น้อย…

เขาอยากมีลูก แต่ก็มองหาแม่ของลูกไม่เจอ…วินาทีแรกที่เจอสิ้นรัก
หญิงสาวตรงหน้าเขา เขาก็เห็นแสงแห่งความหวังปรากฏต่อสายตา

เธอเหมือนความหวังของเขา จนเขาอยากคว้าเธอมาไว้ข้างกาย…

จากที่ไม่เคยเจ็บปวดจากความผิดหวัง เธอคือคนแรกที่ทำให้เขารู้จักคำๆนั้น
เมื่อเธอบอกกับเขาว่าไม่ได้รักเขา แต่รักไอ้รัง…

และดูท่าจะไม่มีทางรักใครได้อีกนอกจากไอ้รัง เพราะสายตาเธอเวลาพูดถึงไอ้หมอนั่น
มันมีแต่ความชื่นชม มีแต่ความรักอยู่เต็มพื้นที่…

สิ้นรักเองเห็นแววตาของคนพูดที่จ้องเธออยู่ก็ได้แต่กลืนน้ำลายลงคอ
มองแววตานั้นไปมาอย่างชั่งใจแล้วกล่าวออกไปว่า

“ขอบคุณนะคะที่รักฉัน…ที่คุณพูดมานั้นฉันยอมรับว่าฉันซึ้งใจและเข้าใจ
แต่ฉันขอโทษ…ฉันรักคุณแบบที่รักพี่รังไม่ได้จริงๆ…”สิ้นรักมองหน้าขุนศึกนิ่ง

“คุณไม่ผิดที่รักฉัน ฉันต่างหากที่จะผิดถ้ารักคุณ
พี่รังรักฉันและฉันก็รักพี่รัง ฉันทำร้ายพี่รังไม่ได้หรอกค่ะ…”

สิ้นรักกล่าวออกไปตามตรง ไม่อ้อมค้อม เพราะไม่ต้องการให้ความหวังใคร…
โดยเฉพาะกับคนตรงหน้า

“อีกอย่างฉันกับพี่รังเราเป็นสามีภรรยากันอย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรมแล้ว…
ไม่ว่าวันนี้หรือจะวันหน้า ฉันก็กล้ายืนยันว่าฉันรักคุณอย่างที่รักพี่รังไม่ได้…

ฉันไม่ได้ตัวเปล่าอีกแล้วนะคะ…ฉันมีสามีแล้ว
และฉันก็ต้องการรักเขาคนเดียวตลอดไป

ฉันฝันและตั้งใจว่าจะมีสามีแค่คนเดียวในชีวิต…คุณรักฉันมันไม่ผิด
แต่ที่คุณทำอยู่มันผิด…ความรักท่ีทำร้ายใคร อย่างไรก็คงไม่ดี…

ฉันอยากให้คุณลองคิดทบทวนให้ดีว่าสิ่งที่คุณทำอยู่
คุณกล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำว่ารักหรือเปล่า…”

ขุนศึกก้มหน้าอยู่ครู่นึงก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วพ่นลมหายใจ
เธอกล่าวตัดเยื่อสิ้นใย แม้แต่เศษใจเธอก็ไม่เหลือเอาไว้ให้เขาแม้แต่นิดเดียว

ไอ้รังมันมีดีอะไรนักหนา ทำไมผู้หญิงตรงหน้าเขา
ถึงได้รักมันจนหมดหัวใจแบบนี้…

ยิ่งถ้อยคำที่แสดงออกถึงความจริงใจต่อความต้องการของตัวเอง
ดังที่กล่าวมาทั้งหมดของเธอ เขาก็หมดหนทางจะโน้มน้าวหัวใจของเธอ
ให้เอนเอียงมาหาเขาได้อีกแล้ว

“สรุปว่าคุณจะไม่มีวันรักผมแน่ๆ…”สิ้นรักพยักหน้า

“ค่าหัวของคุณก็คือชีวิตของไอ้รัง…ถ้ามันอยากได้ตัวคุณคืน
มันก็ต้องเอาชีวิตของมันมาแลก คุณว่าค่าหัวของคุณมีค่าสำหรับคุณมากแค่ไหนล่ะสิ้นรัก…
แต่สำหรับผม…ผมว่าคุ้มค่าถ้ามันกล้าแลก…
เพราะอะไรที่ผมไม่ได้ ใครก็จะไม่ได้ไปเหมือนกัน…

คุณไม่รักผม ผมก็จะไม่ยอมให้คุณได้ครองรักกับใครหน้าไหนเหมือนกัน
ในเมื่อผมไม่มีความสุข ก็อย่าหวังว่าใครจะมีความสุข…”

ขุนศึกลุกขึ้นยืนแล้วจ้องตาสิ้นรักนิ่ง

“ต่อจากนี้ไป…คุณก็เตรียมรับกับความทุกข์ทรมาน
ที่เกิดจากความรักที่คุณมีต่อไอ้รังที่จะมีมาได้เลย…
คุณจะทรมานและเจ็บปวดกับการรักมัน…ผมสาบาน!”

ขุนศึกกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แววตาดุดันปนเจ็บปวด

“มาดูกันว่าระหว่างน้ำตากับลมหายใจของคุณ อย่างไหนจะหมดก่อนกัน”

ขุนศึกแสยะยิ้มราวกับหยันเมื่อเห็นแววตาวูบไหวของหญิงสาวตรงหน้า

“ถ้าคิดจะมีความสุขด้วยกันกับมัน ก็ข้ามศพผมไปก่อนเถอะ”

พูดจบขุนศึกก็เดินออกจากห้องไป ทิ้งให้สิ้นรักนั่งอ้าปากค้าง
ตาโตด้วยความคาดไม่ถึง…

“คนเห็นแก่ตัว คุณมันเห็นแก่ตัวท่ี่สุด…ไม่ต้องเอาความทุกข์มาขู่ฉัน
เพราะฉันไม่กลัวหรอก…ต่อให้ต้องเสียน้ำตา ฉันก็ไม่เสียใจในสิ่งที่ฉันเลือกแล้ว
ต่อให้คุณยกเอาความทุกข์มาสักภูเขา ฉันก็ไม่กลัว
และพร้อมยินดีที่จะแบกมันเอาไว้ด้วยหัวใจ…
ฉันจะไม่มีวันหมดศรัทธาต่อความรักเหมือนคุณหรอก
ต่อให้ต้องเจ็บปวด ฉันก็จะอดทน

ไม่เชื่อคุณก็คอยดูสิ ว่าระหว่างคุณกับฉัน…ใครจะทนได้นานกว่าใคร…”

สิ้นรักตะโกนลั่นห้องพร้อมกับเอามือตบที่หน้าอกของตน
ด้วยแววตาที่ไม่ไหวหวั่นต่อคำขู่หรืออะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
จนทำให้คนที่อยู่ห้องข้างถึงกับสะดุ้ง…

“ไอ้สิ้น/พี่รัก…”สองสาวประสานเสียงออกมาพร้อมกัน ก่อนจะหัน
มามองหน้ากันโดยมิได้นัดหมาย

“หมายความว่า…ไม่ใช่แค่เราสองคนที่โดนจับตัวมา…”ซาเนียกล่าว

“แล้วทำไมมันต้องเอาไอ้สิ้นไปขังเดี่ยวเอาไว้ด้วย…หรือว่านี่จะเป็นฝีมือของไอ้ขุนศึก…
ต้องใช่เขาแน่ๆ…”ปองขวัญกัดฟันกรอดเมื่อนึกถึงหน้าของขุนศึก

ขออย่าให้ไอ้หมอนั่นทำอะไรเพื่อนของเธอเลย

แล้วเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น ทำไมเพื่อนของเธอถึงได้ตะโกนโหวกเหวก
ต่อว่าคนอื่นเสียลั่นห้องอย่างนั้น…หรือว่าไอ้หมอนั่นเข้าไปหาเพื่อนเธอ
ในห้องข้างๆนั้นเมื่อครู่…หวาย…อย่าบอกนะว่า…





ช่วงบ่ายของวันที่สามสาวโดนลักพาตัวไป…

สิ้นรักที่ถูกมัดมือมัดเท้า พยายามสอดส่ายสายตามองหาทางหนีทีไล่
และที่สำคัญ พยายามมองหากล้องวงจรปิด หรืออะไรก็ตามที่แปลกปลอมอยู่ในห้องนี้…

และก็จริงดังคาด เธอแอบเห็นกล้องดังกล่าวถูกติดตั้งอยู่ตรงมุมห้องด้านบน
ซึ่งคงสามารถมองเห็นได้ทุกมุมของห้องนี้…ดังนั้น ไม่ว่าเธอจะพยายาม
กระทำการอย่างไรเพื่อเป็นการหลบหนี ย่อมไม่เป็นผล…

หญิงสาวจึงได้แต่นั่งทอดถอนใจ ดิ้นรนไปก็คงเหนื่อยเปล่า

แตเมื่อพระอาทิตย์หมดแสงไป…แล้วความมืดดำเข้ามาแทนที่
แสงนีออนก็ปรากฏในห้องที่มีเพียงเธอนั่งเดียวดาย…ความเงียบสงัด
และความมืดสลัวจากบรรยากาศภายนอกชวนให้หญิงสาวรู้สึกวังเวง หวาดกลัวขึ้นมา

…แล้วเพียงไม่กี่นาทีต่อมาไฟในห้องของเธอก็วูบดับลงจนมืดสนิท มองไม่เห็นสิ่งใด
สิ้นรักเตรียมอ้าปากเพื่อกรีดร้องด้วยความกลัว
ทว่ากลับมีมือหนามาปิดปากของเธอเอาไว้ก่อนจะปิดปากเธอด้วยเทปกาวซ้ำ
แล้วแกะปมเชือกให้กับเธอ หลังจากนั้นก็กระชากเธอลงจากเตียงอย่างรวดเร็ว

มือหนาจับตัวเธอแนบกายแล้วผูกเธอติดกับตัวของเขาด้วยผ้าเหนียว
และยืดตัวได้ทางด้านหลัง เธอจึงรึบเอามือจับบ่าทั้งสองของเขาไว้
เมื่อยามที่เขาพาเธอปีนลงจากระเบียงห้อง

หญิงสาวรู้สึกเสียวไส้ นึกกลัวว่าตัวเองที่ห้อยโตงเตงเหมือนลูกลิงที่กำลังขี่หลังแม่ลิง
แล้วแม่ลิงก็กระโดดโลดโผนต้นไม้อยู่จะพลาดตกลงไปข้างล่าง ขาหักเอาได้

แต่เหมือนคนปีนป่ายดูจะชำนาญ

สิ้นรักจึงกอดคอเขาเอาไว้แน่น ซุกหน้าตรงแผ่นหลังนั้นโดยไม่ยอมก้มลงมองด้านล่าง
สักครู่ก็รู้สึกได้ถึงเสียงเท้าของเจ้าของร่างยักษ์ที่กำลังแบกเธออยู่แตะพื้นดิน

เขาไม่รอช้าพาเธอวิ่งไปทั้งๆอย่างนั้นราวกับไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย
กลิ่นกายและสัมผัสที่ได้รับจากเขา ทำให้สิ้นรักถึงกับยิ้ม

…เมื่อรู้ว่าชายร่างยักษ์ที่กำลังแบกเธออยู่เป็นใคร…

แต่ก็ไม่อาจเรียกชื่อของเขาได้…เทปกาวยังปิดปากเธอเอาไว้แน่น

ทางด้านปองขวัญกับซาเนียเองก็เช่นกัน เธอทั้งสองถูกชายฉกรรจ์
สองคนบุกเข้ามาช่วยแล้วไต่ระเบียงห้องลงมา

ก่อนจะแบกเธอทั้งสองวิ่งไปยังท่าเรือที่มีเรือจอดอยู่สองลำ…

ชายฉกรรจ์ทั้งสองพาสองสาวขึ้นไปยังบนเรือ ก่อนจะแกะเทปกาว
ออกจากปากของพวกเธอ…แล้วเปิดไอ้โม่งดำออก…

“พี่ลม/นี่นาย…”สองสาวเรียกบุรุษทั้งสองออกมาพร้อมกัน…

“พี่ลมมาที่นี่ได้ยังไงคะ…”

“นั่นน่ะสิ…”สองสาวถามด้วยแววตาประหลาดใจขณะมองหน้าเวนไตย
ก่อนจะหลบสายตาของเขาแล้วก้มหน้ามองพื้นเรือแทน

“อย่าเพิ่งถามตอนนี้เลย…เรารีบออกจากเกาะนี้กันเถอะ…
เดี๋ยวพวกนั้นจะตามมาทัน…”เวนไตยกล่าวพร้อมกัยสตาร์ทเครื่องยนต์

“แล้วไอ้สิ้นล่ะคะพี่ลม ไอ้สิ้นก็อยู่ที่นี่เหมือนกัน…”ปองขวัญหันไปถามวายุ
ทว่าชายหนุ่มกลับยิ้มตอบ…

“ไม่ต้องห่วงหรอก…ทางนั้นไอ้รังจัดการแล้ว โน่นไงมาโน่นแล้ว…”

เป็นอย่างที่วายุกล่าว เมื่อปองขวัญมองไปยังทิศทางที่วายุชี้ไป
ก็เห็นร่างชายคนหนึ่งกำลังแบกใครเอาไว้บนหลังวิ่งมาทางนี้พอดี…ทว่า…

“หยุดอยู่ตรงนั้นนะ…ไม่งั้นฉันยิงทิ้งทั้งคู่แน่…”เสียงนั้นดังมาจากด้านหลัง
และสิ้นรักก็จำได้ดีว่ามันเป็นเสียงของใคร…รังสิมันต์ตะโกนไปยังเรือของวายุทันที…

“รีบไป…ไม่ต้องเป็นห่วงฉัน…”วายุได้ยินถ้อยคำดังกล่าวชัดเจน
และพอเดาออกว่าเกิดอะไรขึ้น…จึงหันไปทางเวนไตย

“นายพาสองสาวกลับไปยังเกาะรังให้ได้นะเวนไตย…ส่วนฉัน
จะอยู่ช่วยไอ้รังทางนี้…”

“ไม่ค่ะพี่ลม เราจะอยู่ด้วยกัน ไม่ทิ้งกันเด็ดขาด…”ปองขวัญยื่นคำขาด

“ไม่ได้เด็ดขาด เธอจะต้องไปกับเวนไตย…เชื่อพี่ แล้วพี่จะกลับไปหาเธอ พี่สัญญา…”
วายุจับมือปองขวัญแล้วบีบมันไว้แน่น…

“แต่…”

“ได้โปรด…เชื่อพี่นะคนดี…”

“ถ้าเราช่วยกัน…”ซาเนียกล่าวขึ้นบ้าง

“ไม่มีเวลาแล้ว…รีบพาสองสาวไปเดี๋ยวนี้เลยเวนไตย…”
วายุสั่งเสียงเฉียบขาด

“สัญญากับฉันเวนไตย ว่านายจะพาสองสาวกลับเกาะรังอย่างปลอดภัย…”

วายุหันไปกล่าวกับเวนไตยเมื่อกระโดดลงจากเรือ…

“สัญญากับฉันสิ…”เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังนิ่งไม่ยอมขับเรือออกจากฝั่ง
วายุจึงสั่งเสียงเข้ม…

“ครับ…”จบคำเรือลำดังกล่าวก็ดีดตัวออกจากฝั่ง
ปองขวัญร้องตะโกนเรียกวายุลั่นท้องทะเล…
ก่อนจะน้ำตาไหลพรากด้วยความหวาดหวั่น…
และเป็นห่วงทั้งสามคนที่ยังอยู่บนเกาะนั่น



หลังจากเรือออกตัวไปแล้ว วายุจึงย่องเท้าไปอีกทางที่ไร้ผู้คน
โดยสายตายังคงจดจ้องอยู่กับภาพของเพื่อนรักกับอดีตน้องรหัส…

และเพราะความมืดจึงทำให้ไม่มีใครรู้ว่าเขายังอยู่ที่นี่…

“ส่งเธอกลับมาเดี๋ยวนี้…”เสียงสั่งฟังดูเฉียบคมและดุดัน…

“แล้วก็ยกมือขึ้นทั้งสองข้างสูงๆ…”รังสิมันต์ทำตามที่อีกฝ่ายซึ่งเหนือกว่า
ทั้งกำลังพลและอาวุธอย่างไม่อาจขัดขืนได้…สิ้นรักมองไปรอบๆตัว
มือบางรีบเปิดเทปกาวออก ซึ่งเธอน่าจะคิดได้เสียตั้งนานแล้วว่า
มือทั้งสองของเธอไม่ได้ถูกมัดไว้นี่…

“ยกมือขึ้นด้วยสิ้นรัก…”ขุนศึกสั่งสิ้นรักที่อยู่บนหลังของรังสิมันต์

“แล้วแกะผ้าที่คาดเอวอยู่ออกด้วย…”รังสิมันต์ทำตามอย่างว่าง่าย

ทว่าสายตากลับเห็นเงาบางอย่างกำลังซุ่มอยู่ตรงพุ่มไม้ไม่ไกลออกไป

“ส่งตัวเธอมา…”สิ้นรักที่ลงจากหลังของรังสิมันต์แล้วก็ยังไม่ยอมขยับขเยื่อนไปไหน
ยังคงซ้อนหลังของรังสิมันต์อยู่ราวกับปักหลักหลบลูกกระสุน
ซึ่งโล่ที่กำบังเธออยู่ดูจะแข็งแกร่งและบังเธอจนมิด…

และสายตาของเธอก็แอบมองเห็นอะไรบางอย่างที่กำลังส่องแสงแวววาวอยู่ไม่ไกลมือ…

ของเคยมือ…มีหรือเธอจะไม่รู้จักวิธีใช้…

และวินาทีที่มีดบินของวายุพุ่งไปยังมือที่กำลังจ่อเล็งปืนไปยังรังสิมันต์

“ฟิ้ว…..ววววว…ฉีก ฉีกๆๆๆ…ปัง! ปัง! ปัง!”

เสียงร้องคำรามด้วยความเจ็บปวดของขุนศึกและลูกน้องนับสิบดังขึ้นพร้อมกับเสียงปืน

แน่นอนว่าเสียงปืนดังกล่าวมิใช่ของขุนศึกและของเหล่าลูกน้องของขุนศึกแม้แต่นัดเดียวเป็นแน่
เพราะมือที่จับปืนของทั้งหมดบาดเจ็บด้วยฤทธิ์มีดสั้นของวายุกับรังสิมันต์
ที่ยังคงความแม่นยำอย่างเสมอต้นเสมอปลายจนคนที่โดนไปไม่อาจยกมือขึ้นมาต่อกร
กับทั้งสองได้อีกต่อไป

เสียงปืนดังกล่าวจึงดังมาจากมือที่สาม ซึ่งเป็นฝีมือของหญิงสาวหนึ่งเดียวในที่นี้
ที่คว้าปืนที่เหน็บอยู่ที่เอวของรังสิมันต์แล้วยิงไปที่ขาของขุนศึก
และลูกน้องของขุนศึกที่เล็งปืนมายังพี่รังของเธอด้วยความแม่นยำระดับปานกลาง
เพราะขาดประสบการณ์การยิงเป้ามนุษย์…

หัวใจของเธอก็เลยไม่กล้าทำร้ายใครให้ถึงแก่ความตายได้…

โดยใช้รังสิมันต์เป็นโล่กำบัง ทำให้คู่ต่อสู้จับทิศทางของกระสุนไม่เจอ
ยิ่งเมื่อหัวหน้าทัพล้ม ลูกน้องหมดหนทาง…ทั้งสามจึงถือโอกาส
วิ่งไปยังเรืออีกลำที่จอดรออยู่แล้วอย่างเร่งรีบ…ก่อนจะติดเครื่องยนต์
ทะยานไปยังทิศทางของเกาะรัง…ไม่นานนักก็มีทัพเสริมจากขุนศึก
ไล่บี้พวกเขาตามมาติดๆ…วายุทำหน้าเป็นผู้บังคับเรือ รังสิมันต์คอย
ยิงตอบโต้พวกนั้น โดยมีสิ้นรักคอยช่วยเหลือ

“ฝีมือใช้ได้เลยนะเนี่ย…”รังสิมันต์เอ่ยชมสิ้นรักที่คอยช่วยเขาแบบเคียงบ่าเคียงไหล่
ซึ่งเป็นอะไรที่เขาคาดไม่ถึงมาก่อน

ภาพหญิงบอบบางกลายเป็นหญิงเหล็กเช่นนี้ทำเอาเขาอึ้งจริงๆ…

“แน่นอนค่ะ มีครูดีก็งี้แหล่ะ…”สิ้นรักยักคิ้วให้รังสิมันต์พร้อมรอยยิ้ม

“ไปแอบเรียนยิงปืนมาตั้งแต่เมื่อไหร่แล้วล่ะเรา…”เสียงนั้นเริ่มเครียดขึ้น
เมื่อศัตรูยังไม่ยอมรามือง่ายๆ
วายุที่หันมาเห็นฝีมือของสิ้นรักก็ถึงกับอึ้งไปเหมือนกัน…

“พี่จะหักหัวเรือแล้วนะ จับที่เกาะเอาไว้ให้แน่นล่ะ…”
วายุเตือนพร้อมกับหักหัวเรือเปลี่ยนทิศทางก่อนจะขับเรือแบบผาดโผน
ชนิดที่น้อยคนจะทำได้

…ไม่ใช่เป็นการโชว์แต่เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร
และเพื่อไม่ให้ผู้ขับตามจับทิศทางที่แน่นอนได้…กระสุนที่แหวกสายลมมา
ก็เลยเฉียดหัวคนขับไปอย่างหวุดหวิดหลายต่อหลายนัด…

“สปีดเต็มแรงไปเลยค่ะพี่ลม…”สิ้นรักเชียร์คนขับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“อุ้ย…”รังสิมันต์กระโดดคว้าร่างสิ้นรักมาไว้ในอ้อมกอดก่อนจะบังร่างเธอเอาไว้

“พี่รังโดนยิงค่ะพี่ลม…”สิ้นรักร้องเสียงหลงเมื่อสัมผัสถึงกลิ่นเลือด
และความชื่นตรงลำแขนของรังสิมันต์…แถมยังรู้เจ็บหนึบตรงแขนของตัวเองด้วยเช่นกัน…

“พี่ไม่เป็นไร เธอนั่นแหล่ะ…เป็นอะไรรึเปล่า…”
รังสิมันต์กล่าวพลางสำรวจร่างเล็กในอ้อมกอด ก่อนหัวใจจะหล่นวูบเมื่อเห็นเลือด
ไหลจากลำแขนเล็กๆนั้นของคนในอ้อมกอด…

“รักไม่เป็นไรค่ะ…ยังไหว…”

“อย่าโกหกพี่…”

“ไม่โกหกค่ะ…รักยังไหวจริงๆ”…

“อดทนไว้นะนาโน…”วายุหยิบปืนอีกกระบอกขึ้นมาแล้วยิงกราดไปยังเรือที่ขับตามมา…

รังสิมันต์กัดฟันกรอด ก่อนจะบ้าระห่ำยิงกราดพวกที่ตามมาจนตกเรือไปทีละคน

…ไม่นานก็ไร้เสียงยิงตอบโต้มาจากฝ่ายตรงข้าม…

วายุหันมามองคนตัวเล็กที่คงกัดฟันไม่ยอมร้องออกมา…

“อีกไม่นานก็จะถึงเกาะรังรักแล้วนะนาโน อดทนอีกนิดนะ…”

วายุกล่าวขณะมองคนตัวเล็กในอ้อมกอดเพื่อนรักของเขาด้วยแววตาห่วงใย
อีกใจนึงก็นึกไปถึงปองขวัญกับซาเนีย ไม่รู้ว่าป่านนี้จะถึงเกาะรังรักหรือยัง
แล้วเวนไตยจะสามารถปกป้องทั้งสองได้หรือไม่…

หัวใจของเขายิ่งเต้นแรงขึ้นเมื่อนึกถึงหน้าปองขวัญ

ทำไมต้องมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับเขาด้วยนะ…
วันที่เขาควรจะมีความสุขที่สุดกลับเป็นวันซวยซ้ำซวยซ้อน

ส่วนรังสิมันต์ตรวจดูแผลของสิ้นรักโดยไม่สนใจบาดแผลของตนเอง
ก่อนจะฉีกเสื้อแล้วพันแผลห้ามเลือดให้สิ้นรักพลางกล่าวปลอบขวัญ
หญิงสาวที่ดูจะพยายามต่อสู้กับความเจ็บ แววตาเจ็บปวดนั้นกรีดหัวใจของเขา
ที่ไม่อาจดูแลเธอได้ดี ขนาดเธออยู่ใกล้เขาแค่นี้ เขาก็ยังไม่อาจดูแลเธอให้ปลอดภัยได้

…เขามันไร้ความสามารถที่สุด…

“พี่ขอโทษนะครับ…”สิ้นรักเห็นแววตารู้สึกผิดนั้นของรังสิมันต์
แม้รอบกายจะมืดแค่ไหน แต่ดวงตาของเขาเจิดจ้าเสมอ…
หญิงสาวจึงจับมือเขาเอาไว้แน่นขณะกล่าวว่า

“อย่าโทษตัวเองเลยนะคะ…รักไม่เป็นไร…ทนได้หายห่วงค่ะ…
ไกลหัวใจตั้งเยอะแหน่ะ…”เสียงสดใสนั้นทำเอาคนฟังยิ้มฝืด…
คนขับก็พลอยยิ้มออกมาได้นิดนึง…

“ไม่รู้ว่าเวนไตยกับสองสาวเป็นไงบ้าง…”วายุเปรยออกมา
ด้วยแววตาหวาดหวั่น






ทางด้านสองสาวที่เพิ่งผ่านเส้นตายมาได้หมาดๆถึงกับพ่นลมหายใจด้วยความโล่งอก
ซึ่งงานนี้คงต้องยกความดีให้กับคนขับเรือ ซึ่งมีฝีมือยิงปืนดีพอๆกับขับเรือ…

“ขอบคุณมากเลยนะคะ…”ปองขวัญกล่าวกับเวนไตยเมื่อถึงฝั่ง

“ไม่เป็นไรครับ…”เวนไตยกล่าวกับปองขวัญแล้วหันไปทางซาเนีย

“มันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้วครับ…”ซาเนียถึงกับเบือนหน้าหนี
ความตั้งใจที่จะกล่าวขอบคุณคนตรงหน้ากลับมลายหายไปในทันที

“เขาเก่งค่ะ…เพราะถูกฝึกมาอย่างดี…ถ้าใครได้รับบาดเจ็บหรือตาย
ในขณะที่เขากำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ เขาก็จะรู้สึกผิดไปจนตาย…ที่ทำหน้าที่ได้ไม่ดีพอ…
ดังนั้นโอกาสที่จะพลาดก็เลยน้อยค่ะ…
เพราะเขาจะไม่ยอมให้พลาดอย่างเด็ดขาด ซาเนียก็เลยรอดมาได้ทุกครั้งไงคะพี่ปอง”

ซาเนียกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับชื่นชม
หากเวนไตยกลับไม่คิดเช่นนั้น เขารู้ว่าเธอกำลังประชดเขา…

“พี่ก็ว่าเก่งค่ะ…เก่งมากๆเลยทีเดียว…”ปองขวัญยังไม่วายกล่าวชื่นชม
เวนไตยอย่างเปิดเผย…ชายหนุ่มจึงได้แต่ยิ้มบางๆแล้วพาสองสาวลงจากเรือ
ซึ่งทุกคนต่างวิ่งออกมาต้อนรับอยู่แล้ว…

ปองขวัญวิ่งไปยังอ้อมกอดของบิดาและมารดาและอีกหลายๆคนที่ต่างเข้ามารุมล้อม

“ไม่เป็นไรนะครับน้องซาเนีย…”เต็มกมลถามซาเนียพร้อมสำรวจความปลอดภัยของเธอ

“พี่อยากจะติดตามไปช่วยด้วย แต่พี่ไม่ถนัดคิวบู๊…ก็เลยไม่อยากไปเป็นตัวถ่วงเขา…
ดีใจที่เห็นน้องซาเนียกลับมาอย่างปลอดภัย…”
ซาเนียยิ้มบางให้กับเต็มกมล

“ขอบคุณค่ะที่เป็นห่่วงซาเนีย…”

“แล้วอีกสามคนล่ะ…”บันลือถามเวนไตยเมื่อมองไปไม่เจอลูกสาว
และลูกเขยรวมทั้งวายุด้วย

“นั่นน่ะสิครับพี่ปอง…พี่ลมล่ะครับ…”ปองขวัญถึงกับน้ำตารื้นเมื่อนึกถึงวายุ
รวมทั้งรังสิมันต์และเพื่อนรักของเธอ

“ยังไม่รู้เหมือนกันค่ะ…พวกเราล่วงหน้ามาก่อน…”เสียงนั้นเบาหวิว
เพราะรู้สึกเหมือนตัวเองช่างเห็นแก่ตัวนัก…
เวนไตยจึงเป็นคนอาสาเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ทุกคนฟัง

“สรุปว่านายรู้ว่าพวกเราถูกจับไปไว้ที่ไหน เพราะสร้อยคอที่คุณป้าให้ฉันไว้เนี่ยน่ะนะ…”
ซาเนียกล่าวขึ้นพร้อมกับจับสร้อยที่คอขึ้นมาดู

“ใช่จ่ะ…”แพรวาเป็นคนเฉลย

“ป้าเป็นคนให้เจ้ารังทำจี้นี้ขึ้นเป็นพิเศษตอนที่เรามาขอป้า
ว่าอยากเดินทางท่องเที่ยวเพียงลำพัง…เพราะป้าเป็นห่วงกลัวเราจะเป็นอันตราย…”

“มิน่าล่ะ…”หญิงสาวพึมพำออกมา เพราะทุกครั้งที่เกิดภัยกับเธอ
ก็เหมือนมีคนมาช่วยเธอตลอด ไวเท่าความคิด หญิงสาวหันไปทางเวนไตย
ซึ่งทางนั้นแกล้งเบือนหน้าหันไปอีกทาง…

“เวนไตยเขาอาสาขอติดตามไปดูแลเรา พี่รังของเราเขาก็ไม่ขัด
เพราะเห็นว่าเป็นญาติกัน…ป้าเองก็เห็นด้วย…คิดว่าคงไม่มีใคร
จะทำหน้าที่ปกป้องดูแลซาเนียได้ดีเท่าเวนไตยเขาแล้ว…เพราะผลงาน
ท่ีผ่านมาของเขามันทำให้ป้ามั่นใจและไว้ใจเขา…ป้ารักหนูมากนะซาเนีย…
และป้าก็ไม่อยากให้หนูไปไหนตามลำพังอีกแล้ว…”
ซาเนียยิ้มกว้างพร้อมน้ำตาใสๆที่คลอเบ้าก่อนจะสวมกอดแพรวาเอาไว้แน่น

“ขอบคุณค่ะคุณป้า…สิ้นคุณพ่อไป ก็มีแต่คุณป้าที่รักและห่วงใยซาเนีย…
ทำให้ซาเนียรู้สึกเหมือนมีแม่และพ่อคอยห่วงใย…ซาเนียรักคุณป้าค่ะ…”
แพรวากอดตอบร่างบางในอ้อมแขนแล้วยิ้มออกมา
แม้ลึกๆจะรู้สึกหวาดหวั่น เพราะทั้งลูกชายคนโต
และลูกสะใภ้หมาดๆยังไม่รู้ว่าจะรอดปลอดภัยกลับมาหรือเปล่า…

อีกทั้งวายุ เพื่อนรักของลูกชายอีก เธอทั้งรักท้ังเอ็นดูวายุไม่ต่างจากลูกในไส้
เพราะรู้จักมักคุ้นกันมานาน…รายนัั้นไม่เคยทอดทิ้งลูกชายของเธอเมื่อยามมีภัยเลยสักครั้ง

…ขอให้พระเจ้าจงคุ้มครองทั้งสามให้กลับมาอย่างปลอดภัยด้วยเถิด…




ไม่นานนัก…เรือที่ขับโดยวายุก็จอดลงหน้าเกาะรังรัก ทำให้ทุกสายตา
ที่จดจ้องและรอคอยด้วยความหวังถึงกับกรูเข้าไปอออยู่ตรงชายหาด

“ให้ฉันอุ้มนาโนดีกว่ามั้ย…”วายุเห็นท่าทางของเพื่อนดูไม่ดีเท่าไหร่นัก
จึงอาสาอุ้มสิ้นรักที่หน้าซีดเผือดจนเห็นได้ชัด…อาจเป็นเพราะเสียเลือดไปมาก
เนื่องจากบาดแผลที่ถูกยิง…

“ไม่เป็นไร…ฉันไหว…”รังสิมันต์ยืนยันที่จะเป็นคนอุ้มภรรยาของตัวเอง
ทำให้วายุถึงกับฉายยิ้มที่มุมปากกับท่าทางหวงๆนั้นของเพื่อน
ขนาดว่าเรี่ยวแรงทางกายไม่ให้ แต่เรี่ยวแรงทางใจยังหนักแน่นมั่นคง…
วายุจึงคอยมองอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ

“หนุ่ยเป็นอะไรน่ะรัง…”เสียงนั้นดังจากบุพการีของสิ้นรักที่ดูจะตกอกตกใจ
เมื่อเห็นลูกสาวถูกอุ้มลงมาจากเรือ สีหน้าดูไม่สู้ดีนัก
ขนาดว่ามืด ยังเห็นได้ชัดถึงขนาดนี้…

“ถูกยิงครับ ผมจะรีบพาเธอไปที่คลีนิค…”คลีนิคที่รังสิมันต์พูดถึงนั้น
คือคลีนิคส่วนตัวที่เขาสร้้างขึ้นเพื่อรักษาเยียวยาผู้คนบนเกาะรังรัก
ที่นั่นมีเครื่องมือทุกอย่างพร้อมสรรพ…แม้แต่เครื่องมือทางการแพทย์ขั้นสูง
ที่โรงพยาบาลใหญ่ในตัวเมืองมี…

“ส่งลูกสาวมาให้ฉันเถิด ดูท่าเธอเองก็จะไม่ไหวอยู่แล้ว…”บันลือกล่าว
ระหว่างเดินเคียงกันมากับรังสิมันต์…

“ไม่เป็นไรครับ…ผมไม่เป็นไร…”

“พ่อบัน…”สิ้นรักที่กำลังสลึมสลือได้ยินเสียงบิดาก็ร้องหา…

“ไม่เป็นไรนะหนุ่ย…หนุ่ยจะต้องเข้มแข็งเข้าไว้…”บันลือปลอบลูกสาว

“ทุกคนปลอดภัยมั้ยคะพ่อบัน…”

“ปลอดภัยหนุ่ย ทุกคนปลอดภัย…”ได้ยินอย่างนั้นคนถามจึงค่อยโล่งใจ
ก่อนจะค่อยๆหลับลงอย่างไม่อาจฝืนสังขารได้อีกต่อไป…

เมื่อมาถึงคลีนิค รังสิมันต์ก็รีบกันทุกคนออก โดยเหลือเพียงเขา
กับปองขวัญและคนไข้เท่านั้นในห้องผ่าตัด…

“ให้ปองทำเถอะนะคะ…พี่รังดูไม่พร้อมร้อยเปอร์เซ็น…”

รังสิมันต์มองหน้าปองขวัญอย่างชั่งใจ เรื่องฝีมือการผ่าตัด เขาอาจจะเก่งกว่าปองขวัญก็จริง
แต่เมื่อประเมินสมรรถภาพในขณะนี้แล้ว เขาเองก็เริ่มไม่ค่อยไว้ใจตัวเองนัก

“ไว้ใจปองเถอะค่ะ…ปองจะพยายามจนสุดความสามารถ…”
รังสิมันต์พยักหน้าเมื่อเห็นแววตามุ่งมั่นของแพทย์หญิงปองขวัญที่เคยร่วม
เผชิญกับสถานการณ์คับขันในการเป็นแพทย์ภาคสนาม
ขณะเข้าช่วยเหลือผู้คนที่ประสบภัย…ปองขวัญจึงตั้งสติและ
ตรวจดูบาดแผลของสิ้นรักก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
แล้วหันไปยิ้มให้กับรังสิมันต์…หลังจากมองจอมอนิเตอร์

“แค่กระสุนถากค่ะ…โชคดีที่แผลไม่ลึกมา…คงเพราะเสียเลือดเป็นเวลานาน
ไอ้สิ้นก็เลยหมดแรงไป เดี๋ยวปองจะทำแผลและก็ให้ยาแก้ปวดกับน้ำเกลือ…”

ปองขวัญชี้แจงไปพลางก็จัดแจงทำแผลให้กับเพื่อนรักของตน
ที่นอนสลบไปด้วยความอ่อนเพลีย…

ก่อนจะตกใจเมื่อเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มร่างใหญ่ที่หน้าตาดูซีดลงไปถนัดตา…
ปองขวัญรีบเข้าไปหาพร้อมกับตรวจดูก่อนจะเบิกตาโตด้วยความตกใจ…

“นี่พี่รังก็โดนยิงมาเหมือนกันนี่คะ…ทำไมไม่บอกปอง…
ปองก็นึกว่าเลือดที่เสื้อพี่เป็นเลือดของไอ้สิ้น…”

ปองขวัญเอ่ยพลางประคองร่างที่ใกล้จะร่วงราวกับนกปีกหัก
ไปยังอีกเตียงข้างๆเตียงสิ้นรักก่อนจะฉีกเสื้อของรังสิมันต์ออก
จึงพบกับบาดแผลที่ถูกยิงถึงสองแห่ง

“แผลที่หลังกระสุนคงฝังใน ส่วนที่ลำแขนแค่ถาก…”รังสิมันต์อธิบายเสียงแหบแห้ง…

“ไม่ต้องฉีดยาให้พี่…ผ่าตัดเอากระสุนออกมาเลย…พี่ทนได้…”
รังสิมันต์กัดฟันตอบ เพราะหากไม่จำเป็นนัก เขาก็ไม่อยากใช้ยาชา…

“จะไหวเหรอคะ…”ปองขวัญถามย้ำให้แน่ใจ

“ไหว…”แม้เสียงคนพูดจะแหบแห้งทว่าหนักแน่น…

ปองขวัญจึงเริ่มทำการผ่าตัดเอากระสุนออกทันที…
หลังจากวัดระดับความดันและชีพจรของชายหนุ่มแล้ว…

“ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้างในบ้าง…”แพรวาเอ่ยออกมาอย่าง
ไม่อาจอัดอั้นได้อีกแล้วด้วยความห่วงใย…

“ผมจะลองเข้าไปดู เพราะไอ้หมอก็โดนยิงมาด้วย…”

ถ้อยคำที่หลุดออกมานั้นถึงกับทำให้คนฟังตกใจอย่างคาดไม่ถึง
โดยเฉพาะแพรวาผู้เป็นมารดาของรังสิมันต์ที่แทบลมจับ
เมื่อรู้ว่าทั้งลูกชายคนโตและลูกสะใภ้หมาดๆของตนโดนยิงมาทั้งคู่…

โชคดีที่อากิโกะรับร่างของท่านไว้ได้ทัน…บัณฑิตกับบันลือ
หันมามองหน้ากันแล้วขบกรามแน่นจนเป็นสันนูน…

“พี่รังโดนยิงด้วยเหรอคะพี่ลม…แล้วจะเป็นอะไรมากมั้ย…”

ซาเนียเริ่มกระวนกระวายใจ นั่งแทบไม่ติด เดินไปมาหน้าห้องผ่าตัดราวกับหนูติดจั่น
เวนไตยที่นั่งเก็บอาการอยู่ได้แต่มองภาพหญิงสาวที่เดินไปมานิ่ง…

วายุที่หมดความอดทนหลังจากรอมานานร่วมชั่วโมง
ถึงกับเดินไปเปิดประตูแล้วก้าวเข้าไปอย่างถือวิสาสะ…

แล้วภาพที่เขาเห็นเพื่อนนอนคว่ำโดยมีปองขวัญคอยทำการผ่าตัดอยู่

คนที่ปกติไม่เคยกลัวอะไรก็ถึงกับออกอาการวิงเวียนศีรษะเมื่อ
ได้เห็นสีแดงฉานของเลือดที่มีปริมาณมากเต็มสองตา…

ตอนอยู่ในที่มืดบนเรือนั้นภาพสีแดงๆของเลือดมันไม่ได้ชัดเจนเท่าตอนนี้…
เลือดนิดๆหน่อยๆอาจไม่กระตุกใจเขาก็จริง แต่กองเลือดที่แดงฉาน
พร้อมสีหน้าเจ็บปวดของเพื่อนรวมกัน มันทำเอาเพดานห้องผ่าตัด
หมุนติ้วๆๆราวกับมีใครมาพลิกมันไปมาต่อหน้าเขา…

ปองขวัญที่รู้สึกเหมือนมีใครก้าวเข้ามาในเขตหวงห้ามก็หันมอง
ก่อนจะตกใจเมื่อเห็นวายุล้มลงไปนอนบนพื้นเสียแล้ว

“พี่ลม…”หญิงสาวอุทานเสียงดังลั่น ก่อนจะวางมือจากงานตรงหน้า
ที่จวนจะเสร็จแล้วนั้นเดินไปดูวายุพร้อมกับเอามืออังที่จมูกของเขาเป็นอันดับแรก…
แล้วค่อยๆพ่นลมหายใจออกมา

“พี่ลมเป็นลมค่ะพี่รัง…คงเมาเลือดแน่ๆ…
รู้ว่าเมาเลือดแล้วยังหาเรื่องเข้ามาอีก…เบ๊อะจริงๆ…”
ปองขวัญกล่าวพร้อมรอยยิ้มขัน

แม้ในสภาวะตึงเครียดเช่นนี้ เธอก็ยังมีอารมณ์ขันได้อย่างไม่น่าเชื่อ
เพราะคนที่นอนเป็นลมอยู่บนพื้นแท้ๆเชียว…

“แถมยังมีหน้ามีเมียเป็นหมออีกด้วยนะ…”
รังสิมันต์ที่แทบจะหมดเรี่ยวแรงเอ่ยออกมาด้วยความหมั่นไส้เพื่อนรัก
ที่คงจะเป็นห่วงเขากับสิ้นรักจนทนรอไม่ไหว แหวกม่านเข้ามาดูให้เห็นกับตาเป็นแน่…

ปองขวัญยิ้นเห็นด้วยก่อนจะรีบเดินไปยังด้านนอก…
ก็พอดีกับที่พยาบาลประจำเกาะรังรักซึ่งมีแค่คนเดียวมาถึงพอดี…

“พี่ลมเป็นลมค่ะ…ช่วยดูให้หน่อยนะคะ…”
ซาเนียที่อยู่ด้านนอกจึงรีบรุดเข้ามาในห้องผ่าตัดด้วยเมื่อสบโอกาส
โดยให้เหตุผลว่าจะอยู่ช่วยปฐมพยาบาลให้กับวายุ…ซึ่งเธอก็ทำได้ดี…
โดยที่สายตาก็พยายามมองไปยังร่างของรังสิมันต์ที่นอนคว่ำอยู่ด้วย…

ร่างของวายุถูกยกหามไปวางไว้บนเตียง ด้วยความช่วยเหลือจากเวนไตย
ที่เดินตามซาเนียเข้ามาด้วย…ก่อนจะขอตัวออกไปด้านนอก
เพราะไม่สู้ไหวนักกับกลิ่นยาในห้องผ่าตัด…

“พี่รังเป็นไงบ้างคะพี่ปอง…”

“หลับไปแล้ว…สงสัยคงอ่อนเพลียเต็มที นี่ก็ไม่ยอมให้พี่ใช้ยาชานะ
พอฉีดยาแก้ปวดให้ไม่นานก็หลับไปเลย…น้องซาเนียไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ
พี่รังเขาผ่านเหตุการณ์ที่หนักหนากว่านี้มาหลายครั้งแล้ว…
แค่นี้คงไม่ระคายผิวพี่เขาหรอกเนอะ…เพราะพี่เช็คดูแล้ว
ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเท่าครั้งก่อนค่ะ…ยอมรับเลยว่า พี่รังเขาเป็นหมอเหล็กจริงๆ
ไม่รู้ว่ากินเหล็กเป็นอาหารรึเปล่า…”

ปองขวัญกล่าวอย่างอารมณ์ดี…
เพราะเธอแน่ใจว่าคนไข้ทั้งสามที่นอนให้เธอรักษาอยู่นั้นคงไม่เป็นอะไรแน่ๆ

…เธอไม่ได้เชื่อในฝีมือตัวเอง แต่เชื่อในสัมผัสของตัวเอง…
และที่สำคัญ เธอเชื่อในพระเจ้าว่าจะคุ้มครองคนดีๆทั้งสามให้รอดปลอดภัย…

“ดูสิคะ…ขนาดว่าตัวเจ็บยังไม่วายแบกไอ้สิ้นมาเอง แถมตอนแรก
ยังทำท่าจะไม่ยอมให้พี่รักษาไอ้สิ้นอีกนะคะ…นึกแล้วก็อดชื่นชมไม่ได้ค่ะ
ดีใจแทนไอ้สิ้นที่ได้พี่รังเป็นคู่ชีวิต…”

พูดจบก็หันไปทางเตียงที่วายุนอนเป็นลมอยู่ รอยยิ้มของหญิงสาวจึงฉุดขึ้น
ร่างบางจึงก้าวเข้าไปใกล้ๆแล้วกุมมือของวายุเอาไว้แนบแก้มอย่างห่วงใย

ลึกลงไปมีความโล่งอกที่เขารอดปลอดภัยกลับมาได้
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ เขาทำเธอกระวนกระวายใจและทรมานกับการรอคอยเขากลับมา…

“ตื่นได้แล้วค่ะพี่ลม…รู้ค่ะว่าเป็นลม…แต่เป็นลมนานๆไม่ดีนะคะ ปองเป็นห่วง…”
ปองขวัญกระซิบข้างๆหูของวายุ ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ยอมตื่น

“สงสัยคงจะเหนื่อยมาด้วยล่ะค่ะ…ได้โอกาสหลับ ก็เลยหลับยาว…”
ซาเนียกล่าว…

“เราออกไปบอกทุกคนกันเถอะ…พวกเขาจะได้สบายใจ…
ฝากทางนี้ด้วยนะคะ…คุณสร้อย…”ปองขวัญชวนซาเนียก่อนจะหัน
ไปทางคุณพยาบาลที่ยืนยิ้มอยู่ก่อนหน้าแล้ว…


...โปรดติดตามตอนต่อไป....

มาให้กันตอนเช้าๆค่ะ...ก่อนจะออกไปทำธุระข้างนอก...


ขอคุยกับนักอ่านก่อนนะคะ

1.คุณหมีชมพู...สงสารพี่รังเถอะค่ะ....พี่แกรอคอยวันนี้มานานแล้ว
และเหมือนคงต้องรอต่อไป เพราะเจ้าสาวดันเจ็บซะแล้ว อิอิอิ

2คุณkonhin...เห็นฝีมือลูกศิษย์ของเวนไตยแล้วใช่มั้ยคะว่า ไม่ใช่แค่"พอใช้ได้"...อิอิ
แต่เริ่มเข้าขั้นแล้ว....

3.คุณviolette...ใช่แล้วค่ะพ่อพญาครุฑขาดสติไปนิดเลยทำอะไรลงไปโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง
ส่วนพี่รังคงต้องรอต่อปายยยยยยย...ฮ่าๆๆ

4.คุณsai....อิอิอิ...ระวังนะคะอยู่บนนั้นนานๆแล้วจะหาทางลงยาก...อิอิอิ...
ส่วนพี่รัง...ฉุดเขาลงมาจากคานได้สำเร็จแล้วแท้ๆแต่ก็ยังไม่วายอด...ฮ่าๆๆๆ

5.คุณpatiisa...นั่นน่ะสิคะ อุตส่าห์ยังเจออุปสรรคหรือก้างชิ้นโตอีก...
นายขุนศึกคงไม่ยอมรามือง่ายๆแน่ๆค่ะ ลูกเสือลูกตะเข้เลยนะคะนั่น...

6.คุณใบบัวน่ารัก...สงสัยคงเป็นอีกฝ่ายที่ไม่อยากให้คู่บ่าวสาวของเราเข้าหอรึเปล่าคะ..อิอิ
มันเป็นแผนการกระชากใจของหมอรังล้วนๆเลยนะคะนั่น...

7.คุณPampam...พี่ลมดูจะสบายไปเลยงานนี้...แต่พี่รังของเรานี่สิ...
คงต้องรอต่อปายยยยยยย...อิอิอิ

8.คุณตุ๊งแช่...อย่าได้กังวลไปเลยค่ะ การแสดงความเห็นเป็นสิ่งที่ดีค่ะ
แค่เราใช้คำสุภาพก็ถือว่าโอเคแล้วล่ะค่ะ ส่วนว่าจะทำให้ถูกใจคนเขียนรึเปล่านั้น
สำหรับเต่่าโยคิดว่า...คนเขียนเองก็คงต้องเปิดใจรับฟังทุกๆความเห็นน่ะค่ะ
เราคงกะเกณฑ์ให้ผลงานของเราถูกใจทุกคนคงไม่ได้แน่ๆ...
และคงกะเกณฑ์ให้นักอ่านทุกคนเขียนความเห็นถูกใจไม่ได้เช่นกัน...
แต่สิ่งสำคัญของความเห็นก็คือ การทำให้เราได้เห็นผลตอบรับกลับมามากกว่าค่ะ...
โยจึงชอบอ่า่นความเห็นของนักอ่านมากๆ...และเก็บคำแนะนำ
และความเห็นต่างๆไปคิด...แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า
เราจะต้องเปลี่ยนแปลงไปตามคำขอของนักอ่านทุกท่่านน่ะค่ะ...
เนื่องจาก ผลงานของเรามีเนื้อหาที่เราวางเอาไว้แล้วน่ะค่ะ
แต่การได้รับความเห็นต่างๆจากนักอ่าน จะเป็นบันไดไปสู่การเขียนในขั้นต่อไป...

เรื่องคู่พี่ตามคงต้องใช้เวลาค่ะ เพราะว่าที่เจ้าบ่าวยังเดินไม่ได้เลย...
มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยค่ะที่คนที่เป็นอย่างพี่เพลิงแล้วจะกลับมาเดินได้ง่ายๆ...
มันเป็นบททดสอบเรื่องของความอดทนและความรักค่ะ
แต่ถ้าคนอายุ 35 ถือว่าแก่แล้ว โยก็ชักจะเสียวสันหลังวาบๆแล้วนะคะ...อิอิ...
เพราะพี่ตามอายุอยู่ที่ 35นิดๆ ค่ะ...ถือว่าน่าจะยังมีลูกได้นะคะ...
ส่วนฝั่งผู้ชายอย่าได้ห่วงไปเลยค่ะ เขาสามารถผลิตลูกได้ตลอดชีพ...
อยู่ที่ว่าจะมีน้ำยาสักแค่ไหนเท่านั้นเอง...5555
ส่วนว่ามีลูกไม่ทันใช้ โยว่าใช้ไม่ทันแล้วล่ะค่ะ....
ก็ขวานดันมาบิ่นตอนเจอไม้งาม...อิอิอิ...
ปล.โยก็เขียนอะไรสั้นๆไม่เป็นค่ะ...ฮิอิอิ...ชอบร่ายยาวประจำ...
ปล.อีกที...ก่อนสงกรานต์หรือคะ...น่าคิดค่ะ...อิอิอิ...

9.คุณgoldensun...ถูกต้องแล้วค่ะ...พี่รังโดนกระชากจากวิมาน...
มันน่าเคืองที่สุด...และสงสัยชีวิตคู่ของทั้งสองคงจะยังมีคลื่นลมมรสุม
เข้ามาแวะเวียนเยี่ยมเยือนกันอีกหลายระลอก...และแต่ละระลอกก็จะเป็นดัง
บททดสอบความมั่นคงในรักของทั้งสองค่ะ ว่าที่ว่าจะรักกันตลอดไปนั้น
จะจริงดังคำพูดแค่ไหน...อิอิ...จุ๊บๆนะคะ


สุดท้ายไม่ท้ายสุด...

ขอบคุณทุกไลค์ ทุกกำลังใจ และทุกๆคนที่เข้ามาอ่านมาติดตามกันค่ะ...

...แล้วเจอกันยกหน้านะคะ....

"เต่าโย"







yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 ธ.ค. 2555, 08:29:02 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 ธ.ค. 2555, 08:29:02 น.

จำนวนการเข้าชม : 2450





<< ยกที่ 74 มงกุฏกุหลาบขาวกับสะพานดาว   ยกที่ 77 สายสัมพันธ์ >>
AprilSK 22 ธ.ค. 2555, 09:01:31 น.
อร๊าย ปู้จายแมนๆ กลัวเลือดรึนี่ ชอบคุณค่ะคุณโย ได้ขำระบายเครียดออกไปสักหน่อย


pattisa 22 ธ.ค. 2555, 12:18:46 น.
ไม่นึกว่าพีาลมจะเป็นลมเพราะเลือดนะเนี่ย 5555 เห็นบู๊เลือดตกยางออกตลอด


ตุ๊งแช่ 22 ธ.ค. 2555, 17:28:27 น.
นึกว่าจะไม่รอดซะแล้ว งั้นจัดไปค่ะ 55 อ่ะถุกคอมเม้นท์ บางทีก็ช่วยนะเปิดมุมมอง และแนวทางอื่น ถึงแม้เราจะมีพลอตทางเดินไว้แล้ว แต่ก้ได้ไอเดียหลากหลาย และ รับรู้อารมณ์ร่วมของคนอ่าน ว่าเขียนสื่อถึง จนคนอ่านอินกับเนื้อเรื่องและตัวละคร ไหม

แหมๆๆ ผู้หญิง 40 ยังมีคลอดลูกเลย กลัวแต่ว่า จะได้วิวาห์กันหรือป่าวเนี่ยสิ

คิดเลยค่ะ สงกรานต์ๆๆ


goldensun 22 ธ.ค. 2555, 17:47:51 น.
แมวที่ขุนศึกพูดถึงคือใครคะ
พี่รังเจ๋งมาก แหวกวงล้อมทั้งที่มีแค่สิ้นกับพี่ลม เก่งทั้งกลุ่มเลย
โชคดีที่สิ้นหัดยิงปืนจนแม่นแล้วด้วย พี่ลมมาเสียท่าตรงเมาเลือดนี่แหละ
พี่น้องจอมปลวกจะแพ้ภัยตัวเอง ป่วยตายหรือคะ โรคทางเลือดด้วย
ลุ้นซาเนียกับเวนไตยจัง คนนึงเจ็บใจ อีกคนเสียใจ


หมีสีชมพู 22 ธ.ค. 2555, 21:05:21 น.
พี่รังอึดมาก สิ้นสลบไปแล้ว แต่พี่รังโดนไปสองที่ต้องผ่าตัดยังแบกสิ้นรักคนเดียวแบบไม่ยอมให้ใครอุ้มแทน


ใบบัวน่ารัก 22 ธ.ค. 2555, 21:46:32 น.
เมื่อไรจะสงบสุขเสียที
ไปทำอะไรไว้เนี่ยศัตรูเยอะจัง


violette 23 ธ.ค. 2555, 00:19:06 น.
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด แอคชั่นนนนน


konhin 23 ธ.ค. 2555, 03:30:59 น.
ต้องอย่างงี้สิพี่รัง วันนี้ได้คะแนนเกินร้อยเลยยยย


Littlewitch 23 ธ.ค. 2555, 13:48:55 น.
ยังกะดูละครบู๊ทีเดียวคะ หลังจากที่ทำให้คนอ่านถลาไปกับการหักมุมวันหวานในห้องหอของทั้ง 2คู่ไปแบบฉิวเฉียด เรื่องเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆเลยนะคะ หลายๆตอนที่ผ่านมาอยากแสดงความคิดเห็นด้วยแหละแต่อ่านแบบม้วนเดียวจบก็เลยไม่มีเวลาจิบชา ถกความคิดเห็นตัวละครด้วยเลย


supayalak 23 ธ.ค. 2555, 23:08:07 น.
บอกได้คำเดียวสุดโค้ยยยยยยยยยยยยยยย หนุ่มๆ ของป้าเก่งมากเลยคร้า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account