คานน้อย คอยรัก (จบแล้วค่ะ)
คานน้อย คอยรัก

ในลักษณ์นั้นว่าประหลาด…………….คนบนคานนั้นว่าน่าประหลาด
เป็นเชื้อชาตินักรบกลั่นกล้า…………...เป็นเชื้อชาตินักรักผู้หาญกล้า
เหตุไฉนย่อท้อรอรา…………………..เหตุไฉนย่อท้อรอเวลา
ฤาจะกล้าแต่เพียงวาที…………………ฤาไม่กล้าบอกรักใครสักที

เห็นแก้วแวววับที่ดับจิต…………………เห็นคานแก้วแวววับสดับจิต
ใยไม่คิดอาจเอื้อมให้ถึงที่……………...ใยไม่คิดปีนไปให้ถึงที่
เมื่อไม่เอื้อมจะได้อย่างไรมี……………อย่ามัวรอจงขึ้นมาเร็วรี่
อันมณีฤาจะโลดไปถึงมือ………………บนคานนี้มีรักให้ฝึกปรือ

อันของสูงแม้ปองต้องจิต………………..คานเราสูงไม่เป็นรองของใครอื่น
ถ้าไม่คิดปีนป่ายจะได้ฤา………………..อย่าได้ขืนลงไปให้เสียชื่อ
มิใช่ของตลาดที่อาจซื้อ………………….มิใช่ทองตามตลาดที่อาจซื้อ
ฤาแย่งยื้อถือได้โดยไม่ยอม……………..เพราะเราถือความพอใจจึงลงไป

ไม่คิดสอยมัวคอยดอกไม้ร่วง……………ไม่คิดสอยมัวคอยให้คานทับ
คงชวดดวงบุปผาชาติสะอาดหอม………..รอให้ดับคาคานหรืออย่างไร
ดูแต่ภุมรินเที่ยวบินตอม…………………..ฤาต้องคอยรักแท้จนแก่ใช่ไหม
จึงได้ออมอบกลิ่นสุมาลี…………………..เกาะคานน้อยคอยรักต่อไป
…………………..........จนกว่าจะเจอคนที่ใช่…ใช่ไหมคาน………………
(อ้างอิงกลอนจากบทละครเรื่องท้าวแสนปม)

มาดูเหตุผลของคนที่ยังไม่ลงจากคานกันค่ะ...
อาจจะมีเหตุผลมากมายที่ไม่อยากลงจากคาน
หรืออาจมีเพียงแค่หนึ่งเหตุผลง่ายๆก็คือ...

...ไม่ใช่คนที่ใช่ก็ไม่ใช่...

หรือว่า

...โดนข้อหาหลายใจ เพราะเคยมีแฟนหลายหน...

หรืออาจเป็นเพรา

...เขาบอกให้รอ เราก็รอ...

หรือจริงๆแล้ว

...ขออยู่รอคนสุดท้ายคนนั้นได้ไหม...

หรือลึกลงไป

...กำลังรอเจ้าชายในฝันอยู่อย่างอดทนได้ทุกอย่าง...

หรือกำลังปลอบใจตัวเองว่า

...ครึ่งหนึ่งของฉันยังมาไม่ถึง...ซึ่งสักวันเขาจะมาอยู่ข้างกัน...

หรือกำลังหลอกตัวเองด้วยการปกปิดว่า

...ไม่หวั่นไหว หัวใจไม่ปรารถนา...

ทั้งๆที่จริงๆแล้ว

...อยากรัก อยากฝัน แต่เพราะกลัว ก็เลยไม่กล้ารักใคร...

หรือว่าอาจจะเป็นเหตผลสุดท้ายที่ไม่ค่อยมีใครกล้ายอมรับดังๆว่า

...ไม่เคยมีใครมาจีบ ไม่มีใครสน เรามันคนธรรมดาๆ...

แต่ไม่ว่าจะเหตุผลใด...

เราก็ยังหวังและยังคงรอคอยปาฏิหาริย์ว่าจะได้เจอคนที่ใช่ในสักวัน...


Tags: ดราม่า หวานซึ้ง อบอุ่น หมอรัง สิ้นรัก วายุ ปองขวัญ

ตอน: ยกที่ 77 สายสัมพันธ์

ยกที่ 77 สายสัมพันธ์


“ได้ข่าวน้องซาเนียบ้างรึเปล่าคะพ่ีรัง…”
สิ้นรักถามรังสิมันต์หลังจากที่เขาออกจากห้องน้ำพร้อมด้วยชุดนอนตัวยาว…

“ยังเลย…ไม่ได้ข่าวเลย…ราวกับหายไปในม่านหมอก…”
รังสิมันต์ตอบพลางหยิบหวีขึ้นมา สิ้นรักไม่วายช่วยเป่าผมให้กับเขา

“แอบใช้แชมพูของรักอีกแล้วนะคะ…”หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า
เพราะคนที่เธอกำลังเล่นผมอยู่ไม่ยอมใช้แชมพูของตัวเองเลย
ตอนนี้ของเขายังเต็มขวดอยู่เลย มีแต่ของเธอที่ร่อยหรอลงทุกวัน…

“ก็ของเธอหอมดีนี่ เวลาได้กลิ่นผมของตัวเองทีไรก็นึกถึงเธอทุกที…
ทำให้พี่หายคิดถึงเธอเวลาออกไปทำงานข้างนอกได้นะ…”

ถ้อยคำธรรมดาๆนั้นถึงกับทำให้คนที่กำลังถือเครื่องเป่าผมอยู่ถึงกับยิ้มเขิน…

“แล้วถ้ารักเปลี่ยนยี่ห้อและกลิ่นล่ะคะ…”

“อย่าเปลี่ยนนะ…พี่ชอบยี่ห้อนี่และกลิ่นนี้…”รังสิมันต์รีบค้านทันที

“แต่รักเริ่มเบื่อแล้วนี่คะ…”

“ทำไมเพิ่งจะมารู้สึกเบื่อ พี่เห็นเธอใช้กลิ่นนี้มาตั้งแต่เด็ก…”

“ก็ตอนนี้ไม่เด็กแล้ว อยากเปลี่ยนมั่ง…”หญิงสาวยังแกล้งไม่เลิก

“แกล้งไม่เลิกแบบนี้ สงสัยอยากทำงานหนัก…”

“ไม่หนัก เพราะวันนี้เมนมาแล้ว…”สิ้นรักรู้ทัน

“มาอีกแล้ว…นี่เมนของเธอมาเดือนละกี่ครั้งกันแน่เนี่ย…”สิ้นรักหัวเราะคิก
กับน้ำเสียงและสีหน้าของเจ้าของเส้นผมนุ่มมือ…

“มาจริงๆค่ะ…เสียใจด้วยนะคะที่รักขา…”รังสิมันต์เริ่มหมั่นไส้คนพูด
จึงจับและรั้งมากอดเอาไว้แน่น…ก่อนจะล้มตัวลงนอน…

“นี่หมอนใบใหม่นี่…”
ชายหนุ่มรับรู้ได้ทันทีว่าหมอนที่รองศีรษะเขาอยู่เป็นหมอนใบใหม่…

“ก็พี่รังบอกว่าใบเก่ามันทำให้พี่รังชอบนอนตกหมอน รักก็เลยเย็บหมอนใบใหม่ให้…
รับรองว่าคราวนี้นอนหลับสบายแน่ๆค่ะ…เพราะว่ารักกะระดับเอง ไม่มีพลาด…
แถมยังเป็นหมอนใบชา กลิ่นดอกมะลิอย่่างที่พ่ีรังชอบด้วย…”

“อะไรนะ…หมอนใบชา…”รังสิมันต์เลิกคิ้วถาม

“คือรักยัดใบชาที่ใช้แล้วและนำไปตากแห้งซึ่งรักเก็บสะสมไว้มายัดหมอนแทนนุ่น
เพราะหมอนที่ยัดด้วยใบชาจะช่วยให้ไม่เวียนศีรษะ เพราะใบชาจีนมีกลิ่นหอม
ช่วยให้หายใจได้โล่งคอ และรักก็ใส่ดอกมะลิแห้งผสมลงไปด้วย
มันจะช่วยให้มีกลิ่นหอม คราวนี้พี่รังก็จะได้นอนหลับสบาย
ไม่ตื่นมาทำหน้าหงุดหงิดยามเช้าไงล่ะคะ…แม่บ้านยุคโบราณขอฟันธงค่ะ…”

รังสิมันต์จึงลองสูดกลิ่นหอมจากหมอนของตัวเองดูก็หอมกลิ่นมะลิดังที่คนทำการันตี

“รู้ได้ยังไง…พี่เป็นหมอมาก็นานไม่เห็นจะรู้เรื่องนี้เลย…”

“ก็รักอ่านหนังสือเอาน่ะสิคะ มีขายออกเกลื่อน…รักเห็นว่าน่าลองก็เลยลองทำดู…
ลองกับตัวเองมาก่อนด้วย เห็นว่าดีก็เลยทำให้พี่รังใช้บ้าง…
จริงๆแล้วเขาเอาไว้ทำให้ลูกน้อยค่ะ…
แต่รักเห็นว่าพี่รังมักมีปัญหากับหมอนหนุนนอนบ่อยๆ รักก็เลยลองดู”
รังสิมันต์จึงหอมแก้มภรรยาสุดที่รักให้อีกสามฟอดใหญ่

“เมียพี่ทำไมน่ารักอย่างนี้นะ นี่ยังมีอะไรเด็ดๆที่จะนำเสนอให้พี่
แปลกใจอีกรึเปล่าครับคุณแม่บ้าน…”รังสิมันต์เลิกคิ้วยิ้มถาม

เพราะเมื่อหลายวันก่อน คุณแม่บ้านเกิดทำน้ำหกใส่หนังสือเล่มโปรดของเขา
ซึ่งเขากำลังอ่านอยู่พอดีเข้าให้ ทำให้น้ำหกรดเปียกซึมเข้าไปด้านใน
เพราะถ้าหากปล่อยไว้น้ำก็จะค่อยๆซึมเข้าไปยังแผ่นอื่นๆด้วย
และจะค่อยๆติดกันเป็นก้อนในที่สุด แต่คุณแม่บ้านของเขาสามารถ
แก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ทันท่วงที ด้วยการนำหนังสือสุดที่รักของเขา
ไปแช่ในห้องแข็งของตู้เย็น โดยให้เหตุผลว่า ช่องเย็นจะดูดเอาความชื่นทิ้งไป
ทำให้หนังสือที่ติดกันแยกออกจากกันได้

ซึ่งตามทฤษฎีนั้นต้องบอกว่าใช่ ซึ่งเขาไม่เคยนำทฤษฎีดังกล่าวมาใช้ประโยชน์เลย
เพิ่งได้เห็นหลักการนำมาใช้ได้จริงจากผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของเขา

เธอทำให้เขาทึ่งได้ตลอด…พอเขาถามว่าได้มาจากไหน เธอก็ตอบว่า
อ่านจากหนังสือ ที่มีขายออกเกลื่อน เขาเองก็เพิ่งรู้ว่ามีหนังสือสอนอะไรแบบนี้ด้วย

…แสดงว่าคนข้างกายเขาก็พยายามขวนขวายหาความรู้เพิ่มเติมใส่ตัวอยู่เป็นประจำ

แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เขารัก เขาหลงได้อย่างไร
เพราะทุกวันนี้ เธอทำให้เขารู้สึกเหมือนเป็นเจ้าชาย
เป็นพระราชาที่มีหน้าที่แค่กินกับนอนยามอยู่กับบ้าน

เพราะเธอจะทำทุกอย่าง ไม่จ้างลูกน้องเพิ่ม เพราะให้เหตุผลเขาว่า
อยากออกกำลังกาย จะได้ไม่มีไขมันส่วนเกินให้เขาระคายเคืองลูกตา…

ซึ่งก็เป็นผล เพราะบ้านเรือนดูสะอาดสะอ้าน ไร้ที่ติ
แถมยังบริการเขาอย่างดีเวลากลับมาถึงบ้าน มีอาหารหน้าตาและรสชาติดีๆให้ทานทุกมื้อ
มีน้ำอุ่นๆในอ่างพร้อมอาบทุกครั้งที่กลับมาถึง
มีชุดวางไว้เรียบร้อยพร้อมใส่ทั้งก่อนออกจากบ้านและขากลับ
มีรองเท้าที่ไร้กลิ่นอับชื้นวางไว้ให้เรียบร้อยพร้อมสวมใส่ทุกเช้าก่อนออกไปทำงาน

แถมเธอไม่เคยพูดจาให้เขาระคายหูเลยสักครั้ง
ทำให้เขารู้สึกมีความสุข จนอยากกลับบ้านมาหาเธอเมื่อเสร็จธุระ

เรื่องหน้าที่ภรรยาเธอก็ทำได้ดีไม่มีขาดตกบกพร่อง
ทำให้มีความสุขและเต็มอิ่มจนเขาไม่คิดจะต้องการหญิงใดอีกเลย…

และเธอไม่เคยปล่อยให้ปัญหาของเขาผ่านเลยไปโดยไม่ช่วยแก้ไขให้
อย่างปัญหาเล็กๆเช่นเรื่องหมอนหนุนนอน เธอก็พยายามหาวิธีแก้ไขให้กับเขา…

“ทำไมจะไม่มีล่ะคะ…พี่รังไม่เห็นเหรอคะว่าห้องเรามีสีใหม่…
สีฟ้าอ่อนอย่างที่พี่รังบอกว่่าชอบ…วันนี้ทั้งวันรักทาสีให้จนเสร็จ…
แถมไม่มีกลิ่นเหม็นของสีด้วย เพราะว่าก่อนทาสี
รักผสมสีกับน้ำวานิลลานิดนึง…สีที่ทาใหม่จึงไม่มีกลิ่นเหม็นไงคะ…”

จริงอย่างที่คนตรงหน้าบอกเขา เพราะว่าสีของห้องเปลี่ยนเป็นสีฟ้าอ่อนแล้วจริงๆ
สีสวยถูกใจเขาที่สุด แถมไม่มีกลิ่นเหม็นของสีอย่างที่ควรจะเป็นอีกด้วย…

“แค่พี่ไปดูงานที่เกาะรังนกไม่กี่วัน เธอก็ทาสีห้องใหม่ให้พี่แล้ว...น่ารักจริงๆ…”

“อะไรที่รักพอจะทำให้พี่รังได้ รักก็ยินดีทำค่ะ…”

“เหนื่อยมั้ย…”สิ้นรักเลิกคิ้วข้างซ้ายเป็นเชิงถาม

“กับการต้องดูแลพี่…และดูแลบ้านของเรา…”สิ้นรักยิ้มบาง

“เหนื่อยค่ะ…แต่ภูมิใจ…ที่ได้ทำเพื่อพี่รัง…
แต่ไม่ว่ารักจะเหนื่อยเท่าไหร่ก็คงไม่เหนื่อยเท่าพี่รังหรอกค่ะ…”

“ทำไมถึงคิดอย่างนั้น…”

“เพราะรักดูแลพี่รังแค่คนเดียว ส่วนพี่รังต้องดูแลคนอีกมากมาย
รักดูแลบ้านหลังนี้แค่หลังเดียว แต่พี่รังต้องดูแลทุกข์สุขของคนอื่นๆ
ที่อยู่ในปกครองของพี่รังซึ่งไม่ได้มีแค่หลังเดียว…

สำหรับรัก…การดูแลพี่รังแค่คนเดียวให้มีความสุข
มันเทียบไม่ได้เลยกับความเหนื่อยของพี่รังที่ต้องทำเพื่อให้คนอีกหลายคนมีความสุข…

รักภูมิใจออกที่ได้ทำอะไรเพื่อคนที่รักรัก และคนที่รักรักก็ได้ทำอะไรดีๆให้คนอื่นๆ…

ทุกครั้งที่รักเห็นพี่รังออกจากบ้านไปเพื่อออกไปสู่หนทางของพระเจ้า…
รักก็ภูมิใจและรอคอยที่จะทำให้พี่รังมีความสุขเมื่อกลับมาบ้านของเรา”

รังสิมันต์ระบายยิ้ก่อนจะจับสองมือนิ่มๆของหญิงสาวที่เขารักขี้นมา
แล้วจุมพิตด้วยความรักใคร่และซาบซึ้งใจ ภูมิใจที่ได้เธอมาอยู่เคียงข้าง…

สองมือนี้สินะที่ทำให้โลกหมุนต่อไป…สองมือบอบบางนี้
ที่ผลักดันให้เขาอยากทำสิ่งดีๆ อยากมีวันดีๆในทุกๆวัน…

พลังของอิสตรีมิได้อยู่ที่ไหนไกลเลย หากมันซ่อนอยู่ในบ้าน…
เธอดูมีพลังและขุมเสน่หา…ยามเมื่อเธออยู่ในบ้าน…

เพราะเธอสามารถทำให้บ้านเป็นสวรรค์หรือเป็นนรกก็ได้…
สวรรค์และนรกของบุรุษจึงตกอยู่ในกำมือของอิสตรี…

“แล้วเมื่อไหร่จะมีพยานรักตัวน้อยๆให้พี่สักทีล่ะครับ…
พี่ว่าพี่ขยันทำการบ้านแล้วนะ แต่ทำไมไม่เห็นมีวี่แววสักที…
นี่เราก็อยู่ด้วยกันมาเกือบครึ่งปีแล้วนะ…ไอ้ลมมันเพิ่งมาอวดพี่เมื่อวานเอง
ว่าปองขวัญจะมีน้องแล้ว…”สิ้นรักถึงกับตาโตกับข่่าวที่ได้ยิน

“พี่รังว่าอะไรนะคะ…”

“นี่เธอยังไม่รู้เรื่องนี้เหรอ พี่คิดว่าปองขวัญจะบอกเธอแล้วซะอีก…”
สิ้นรักส่ายหน้า

“ยังเลยค่ะ…รักกับไอ้ปองไม่ได้เจอกันเกือบเดือนแล้ว ได้คุยกันบ้าง
ผ่านทางโทรศัพท์ นี่ไอ้ปองจะมีน้องแล้วเหรอคะ…”สิ้นรักถึงกับยิ้มดีใจ
เพราะรู้ว่าพี่ีลมกับปองขวัญอยากมีลูกด้วยกันมากแค่ไหน…

“เห็นไอ้ลมมันบอกอย่างนั้น…สองเดือนแล้วล่ะ…”

“งั้นรักคงต้องโทรไปแสดงความยินดีซะแล้ว…”สิ้นรักพูดพร้อมกับลุกขึ้น
หมายจะคว้าโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนหัวเตียง
ทว่ารังสิมันต์รั้งร่างนั้นมากอดเอาไว้เสียก่อน

“ป่านนี้เนี่ยนะ พี่ว่าคงไม่เหมาะมั้ง…”สิ้นรักเหลือบมองเวลาบนหน้าจอโทรศัพท์ก็หัวเราะแหะๆ
เพราะเกือบเที่ยงคืนแล้ว…

“ลืมตัวค่ะ…นึกว่าตะวันเพิ่งตกดินไป…เฮะๆ”รังสิมันต์ยิ้มขันกับน้ำเสียง
และท่าทางของคนตรงหน้า จนเขาอดใจที่จะหอมแก้มนั้นไม่ได้…

“สรุปว่าคืนนี้ งดทำการบ้านใช่มั้ย…”สิ้นรักเห็นสีหน้าเหงาๆที่น่าเอ็นดู
ของคนพูดแล้วยิ้มขำ

“คงต้องเป็นอย่างนั้น…”

“เฮ้อ…ไม่รู้ว่าเกรดจะออกเมื่อไหร่…”เสียงบ่นๆนั้นทำเอาสิ้นรักหัวเราะคิก

“อิจฉาพี่ลมเหรอคะ…”

“เธอก็รู้ว่าพี่ไม่เคยแพ้ไอ้ลม…”รังสิมันต์เอ่ยด้วยสีหน้าสุดเซ็ง

“และก็รู้ด้วยว่า พี่ลมเองก็ไม่เคยแพ้พี่รัง…”สิ้นรักต่อให้

“แต่กำลังจะแพ้…”สิ้นรักเห็นแววตาเศร้าๆของคนตรงหน้าก็อดเห็นใจไม่ได้
เธอจึงยกมือขึ้นกุมใบหน้านั้นเอาไว้ให้หันมาทางเธอ

“พี่รังอยากมีลูกมากเลยเหรอคะ…”รังสิมันต์จ้องตาคนถามนิ่ง
ราวกับจะค้นหาอะไรบางอย่าง ก่อนจะพยักหน้าด้วยแววตาจริงใจ

“ลูกคือความฝันของพี่…”สิ้นรักยิ้มฝืด เพราะประจำเดือนของเธอเพิ่งมา
เรื่องลูกคงยังไม่มีหวัง…

“แต่ไม่เป็นไร ค่อยว่ากันยกหน้า…”รังสิมันต์กล่าวพร้อมกับยิ้มให้ภรรยาสุดที่รัก
ก่อนจะกอดเธอแล้วล้มตัวลงนอนบนหมอนใบใหม่

“อยากรู้จังว่าครูครุฑจะเป็นยังไงบ้าง…”

“ทำไมเหรอ…”รังสิมันต์เลิกคิ้วถาม มือก็ลูบผมหญิงสาวเล่น

“พี่รังก็รู้เหมือนที่รักรู้ว่าครูครุฑคิดอย่างไรกับซาเนีย…”

“ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน รักแท้ต้องใช้ระยะทาง
และกาลเวลาพิสูจน์ ถึงจะรู้ว่ารักนั้นมั่นคงและยั่งยืนแค่ไหน…”
รังสิมันต์กล่าวออกมาก่อนจะก้มลงจุมพิตหน้าผากสิ้นรัก

“เหมือนรักของเรา ที่กว่าจะเดินทางมาถึงวันนี้ มันไม่ใช่แค่วันเวลา
และระยะทางที่เป็นตัวเชื่อม แต่ยังมีสายสัมพันธ์ที่คอยผูกใจเรา
เอาไว้ให้คล้องกันจนมีวันนี้…

พี่คิดว่าซาเนียเองก็คงอยากพิสูจน์หัวใจของตัวเองและของเวนไตย…
ถึงได้หายไปโดยที่ไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ไหนเลยสักคน…

นี่แหล่ะลูกสาวของอากุมพล ซาเนียถอดนิสัยเด็ดเดี่ยวแบบนี้มาจากพ่อของเขา…
เพราะเวลาเอาจริงขึ้นมา อากุมพลก็ไม่เคยหวาดกลัวหรือหวาดหวั่นต่อสิ่งใด…”

สิ้นรักลอบถอนใจ เธออยากเห็นครูครุฑของเธอมีความสุขสมหวังในรักเสียที…
คิดมาถึงตรงนี้ เธอก็อดนึกไปถึงอีกคนหนึ่งไม่ได้
เพราะดูข่าวคราวของเขาจะเงียบผิดปกติไปหลายเดือนแล้ว…

“ไม่ค่อยได้ข่าวคราวของสองพี่น้องจอมปลวกกับลูกชายเลยนะคะ…”
รังสิมันต์ได้ฟังถึงกับยิ้มฝืด…

“พวกเขากำลังจะได้รับผลของการกระทำในอีกไม่ช้าแล้วล่ะ…”

ถ้อยคำดังกล่าวทำให้สิ้นรักถึงกับขมวดคิ้ว หากรังสิมันต์กลับชวนเธอเข้านอนเสีย…





ทางด้านขุนศึกที่กำลังกระวนกระวายใจกับอาการป่วยของบิดาที่ไม่ยอมไปหาหมอ
ไม่รู้ว่าท่านจะกลัวหมอไปถึงไหน
แถมยังต้องยุ่งกับเรื่องที่คิดจะเอาคืนรังสิมันต์และวายุที่ทำให้เขาและลูกน้องบาดเจ็บในคราวนั้น
ซ้ำยังทำให้พ่อกับลุงของเขาต่อว่าเขาต่างๆนาๆ
จนเขาแทบเอาหน้าแทรกแผ่นดินหนี ที่แผนการที่วางไว้ทั้งหมดล้มไม่เป็นท่า

“หยุดสักทีเถอะนายไลท์…”ขุนพลกล่าวขึ้นเมื่อเริ่่มสุดทนกับการกระทำของน้องชาย
ที่ยังไม่รู้ว่ามีเขาเป็นพี่ชายแท้ๆ

“นายนั่นแหล่ะหยุด…มือไม่พายแล้วอย่าเอาเท้าราน้ำสิ”
ขุนศึกตอกกลับอย่างไม่ไว้หน้า

“เพราะฉันรู้ว่าเรือที่นายกำลังพายอยู่กำลังเดินไปสู่ความมืดมน…
ฉันก็เลยต้องเอาเท้าราน้ำขัดนายเอาไว้อย่างนี้…อย่าทำร้ายใครไปมากกว่านี้อีกเลย…
นายไม่เห็นเหรอว่า พ่อของนายกำลังเผชิญหน้าอยู่กับอะไร…ฉันอยากให้นายลดๆลงบ้าง…
รู้จักคำว่าพอ…ซะบ้าง…ตอนนี้นายมีทุกอย่างที่ต้องการแล้ว
ไม่ว่าจะหน้าตา ช่ือเสียง เงินทอง อำนาจและการยอมรับ
นายมีทุกอย่างแล้ว พอสักทีเถอะไลท์…ฉันอยากเห็นนายเป็นดังชื่อเล่นของนาย
ไลท์มันแปลว่าแสงสว่างไม่ใช่เหรอ…”

“ใครว่าฉันมีทุกอย่าง นายไม่เห็นรึไงว่าผู้หญิงที่ฉันต้องการ
ไอ้รังมันได้ไปครอบครอง…นายจะให้ฉันยอมง่ายๆได้ยังไง…
ถ้าฉันไม่ได้ ก็อย่าหวังว่าคนที่ได้ไปจะมีความสุข…”
ขุนพลถึงกับส่ายหน้าให้กับความคิดของน้องชาย…

“ถ้านายได้เธอมาจริงๆ นายแน่ใจเหรอว่าจะทำให้เธอมีความสุขได้
ขนาดความสุขของตัวเองนายยังสร้างไม่เป็น…ไฟในใจของนาย
กำลังเผาตัวเองอยู่ไม่รู้รึไง…”ขุนศึกหันมาจ้องหน้าคนพูดก่อนจะเหยียดยิ้ม

“อย่ามาสั่งสอนฉัน นายเองมีดีอะไรนักหนาถึงได้มาสั่งสอนคนอื่นเค้า
ชีวิตห่วยแตกแบบนี้ ยังมีหน้ามาสั่งสอนคนอย่างฉันอีกเหรอ…

นายเดินไปตามความคิดของนายต่อไปเถอะ…ฉันรับรองได้เลยว่า
ชีวิตนายจะห่วยอยู่อย่างนี้ตลอดไป…
อย่าริมาแนะนำคนอื่นทั้งๆที่ชีวิตตัวเองกำลังตกต่ำลงแบบนี้…”

ขุนพลถึงกับของขึ้นที่อยู่ๆก็โดนตอกกลับอย่างเจ็บแสบมาแบบนั้น แต่ก็กัดฟันข่มอารมณ์ไว้…

“คนที่บ้าและหลงโลกแบบนายคงพูดและมองเห็นคนอื่นได้แค่นี้แหล่ะ
นายจะทำอะไรมันก็ชีวิตนาย แต่ที่ฉันต้องยุ่งเพราะเห็นว่านายเป็นน้องหรอกนะ…”
ขุนศึกเหยียดยิ้มราวกับเย้ย

“น้องเหรอ…ฉันไม่เคยมีพี่อย่างนาย…และไม่เคยนับคนอย่างนายเป็นพี่”

“นายจะรับฉันเป็นพี่หรือไม่ก็แล้วแต่…แต่นายก็ปฏิเสธเลือดที่ไหลเวียน
ในตัวของนายไม่ได้หรอก…ยังไงนายกับฉัน เราก็มีเลือดสีเดียวกัน…”
คนฟังถึงกับกระตุกคิ้วนิดนึง

“หมายความว่าไง…”

“สักวันนายจะเข้าใจทุกอย่างเอง…และวันนี้ฉันจะต้องพาอาวันไปโรงพยาบาลให้ได้…
เพราะพ่อฉันเองก็ป่วยไม่ยอมไปโรงพยาบาลอยู่เหมือนกัน…ถ้าอาวันไป พ่อก็ต้องไป…”

ขุนพลกล่าวด้วยสีหน้าหนักแน่นแววตาจริงจัง…และเขาก็กล่อมจอมทัพจนสำเร็จ…

จอมทัพยอมไปโรงพยาบาลและยอมให้พยาบาลเจาะเลือดเพื่อตรวจหาสาเหตุของอาการ…
จนผลที่ออกมาถึงกับทำให้เขาและน้องๆถึงกับช็อก

ส่วนน้ามณีหรือคุณหญิงมณีที่ใครๆรู้จักถึงกับล้มทั้งยืน…

“เป็นไปได้ยังไง…พ่อต้องไม่เป็นโรคนี้สิ…บ้าที่สุด…”

ขุนศึกแทบคลั่งเมื่อรู้ว่าผลตรวจเลือดของพ่อของเขาออกมาว่า
พอของเขาเป็นโรคเอดส์

โรคที่สังคมรังเกียจ โรคที่ยังหาทางรักษาไม่ได้…เขาจะทำอย่างไร
หากสื่อมวลชนรู้เรื่องนี้เข้า เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน…

ต่างกับขุนพลที่ดูจะควบคุมสติได้ดีกว่าใคร เขาเดินไปยังบิดา
แล้วพูดกับท่านสั้นๆว่า

“มันคงใกล้ถึงเวลาที่พ่อต้องบอกความจริงกับสองคนนั่น…ความลับไม่มีในโลก…”
จอมพลมองหน้าลูกชายด้วยแววตาประหลาดใจ ขุนพลจึงเฉลยว่า

“ผมรู้ว่าสองคนนั่นเป็นน้องคนละแม่กับผม…”
คนฟังถึงกับเข่าทรุด หาที่นั่งแทบไม่ทัน…

“ผมได้ยินทุกอย่างจากปากของพ่อกับน้ามณีที่คฤหาสถ์กลางป่า”
จอมพลถึงกับลมหายใจสะดุด มองลูกชายด้วยแววตาอ้อนวอน

“แกอย่าบอกเรื่องนี้กับใครนะเจ้าไนท์…”

“ถึงผมไม่บอก เร่ืองมันก็ต้องแดงออกมาอยู่ดี…พ่อก็รู้ว่าโรคนี้มันติดต่อทางใดได้บ้าง…
และผมไม่สงสัยเลยว่่าอาการที่พ่อเป็นอยู่มันมีสาเหตุมาจากอะไร…น้ามณีเองก็คงหนีไม่พ้น…”

“แล้วการที่แกแกล้งทำไม่รู้ด้วยการไปสู่ขอยัยไอซ์กับแม่ของเขาล่ะ แกทำไปทำไม…”

จอมพลไม่วายต่อว่าลูกชายที่ก่อนหน้านี้ทำเอาบ้านเขากับบ้านของน้องชายแทบลุกเป็นไฟ…

“ผมก็แค่อยากเห็นปฏิกิริยาของพ่อกับน้ามณีว่าจะเป็นยังไง…ก็เท่านั้น…”

“สาแก่ใจแกแล้วล่ะสิ…”จอมพลตัดพ้อลูกชาย…

“ยังหรอกพ่อ…พ่อยังต้องเจอกับผลของการกระทำอีกหลายระลอก
เพราะต่อจากนี้ พ่อต้องเก็บซ่อนอาการป่วยกับความลับเอาไว้อย่างแน่นหนา…

ถ้าอาวันรู้เรื่องนี้เข้า ผมก็ไม่รู้ว่าระหว่างเรื่องที่ผมไปสู่ขอยัยไอซ์กับเรื่องของพ่อกับน้ามณี
อย่างไหนจะทำให้บ้านลุกเป็นไฟได้มากกว่ากัน…”

ขุนพลกล่าวด้วยไม่มีเจตนาจะทำร้ายจิตใจบิดา
เพียงแค่ต้องการให้ท่านสำนึกผิดกับสิ่งที่กระทำมา ทว่ากลับไร้ผล…

“ไอ้วันจะไม่มีวันรู้เรื่องนี้…และถ้าแกแหกปากพูดล่ะก็
แกกับฉันได้เห็นดีกันแน่…”

“น่าดีใจที่พ่อเข้มแข็งมากกว่าที่ผมคิด ขนาดอาวันที่รู้ว่าเป็นโรคอะไร
ก็ถึงกับร้องไห้ฟูมฟาย ส่วนน้ามณีก็เป็นลมล้มทั้งยืน
แต่พ่อกลับทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร…ผมล่ะนับถือพ่อจริงๆ…”

ขุนพลรู้ดีว่าลึกๆแล้วบิดาของเขาร้อนรน กระวนกระวาย
และทุกข์ใจแค่ไหน…

“แต่ไม่ว่ายังไง พ่อก็ยังเป็นพ่อของผมอยู่ดี…ผมสัญญา
ว่าจะไม่ทิ้งพ่อไปไหนแน่ๆ จะอยู่ให้พ่อด่าอยู่อย่างนี้แหล่ะ…
จนกว่าพ่อจะรู้ว่าคนที่รักพ่อและยอมรับพ่อได้จริงๆมีกี่คน…

โน่นไง ลูกชายที่พ่อแสนจะภูมิใจเขาอยู่ที่โน่น…เขากำลังกลุ้มใจหนัก
ว่าจะปิดข่าวนี้ยังไงไม่ให้มันรั่วออกไปให้เก้าอี้ที่เขานั่งอยู่ในสภาต้องสั่นสะเทือน…
สุดยอดลูกชายดีเด่นแห่งปี…ลูกทรพีอย่างผมพ่อคงไม่ภูมิใจ…”

พูดจบขุนพลก็เดินออกไปจากห้องพักในโรงพยาบาลของบิดา
เขารู้ว่าวันนี้บิดาจะไม่ยอมให้พยาบาลเจาะเลือดไปตรวจเป็นแน่

และอีกไม่นานเขาก็ต้องขับรถไปส่งท่านที่บ้าน
เพราะท่านคงจะไม่ยอมให้ใครรักษาอาการป่วยของท่าน

และเขาก็คงต้องเสาะหาหมอมารักษาท่านเป็นการส่วนตัว
หมอที่จะไม่ปริปากออกไปให้ใครรู้…

เขาเองก็ไม่ได้ต้องการให้อาของเขารู้เรื่องนี้ เพราะแค่นี้อาของเขา
ก็ทุกข์ระทมเกินกว่าจะรับไหวอยู่แล้ว ถ้าต้องมารับรู้เรื่องความสัมพันธ์
ระหว่างพี่ชายกับภรรยาของตนเข้า ยิ่งมารู้ว่าลูกชายที่เขาภูมิใจมาตลอด
กับลูกสาวสุดที่รักไม่ใช่ลูกแต่เป็นแค่หลาน เขาก็ไม่แน่ใจว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนั้น

…ที่สำคัญ บิดาของเขาเองก็คงทุกข์ไม่น้อย…

เวรของกรรมจริงๆ…ทำไมต้องเกิดเรื่องแบบนี้กับครอบครัวของเขาด้วย
และเขาควรทำอย่างไรดี…










“Caddelerde ruzgar, aklimda ask var
Gece yarisinda, eski yagmurlar
Sarki soyluyorlar, sesiz usulca
Ozledigim simdi cok uzaklarda


Deli dolu gunler, hayat guzeldi
Kahkalariyla gunler gecerdi
Ellerim uzanmaz, dokunamam ki
Ozledigim simdi cok uzaklarda

O da ozluyormus benim bir tanem
Hep agliyormus ben olmayinca
Oyle yaziyor, son mektubunda”

คำแปลเป็นภาษาอังกฤษ

“There is wind on the streets, love is on my mind
In the midnihgt, old rain is singing, silently, gently
The one I miss is so far away

Reckless days, life was good
With its laughter days pass by
My hands can’t reach, I can not touch
The one I miss is so far away

He is missing too, my only one (darling)
He is very cold without me
It’s written on his last letter

He is missing too, my only one (darlind)
He is always crying without me
It’s written on his last letter…”


เสียงเพลงภาษาตุรกีอันแสนไพเราะจบลง ก่อนจะรีเพลย์หรือเล่นใหม่อีกครั้ง…

“เพลงนี้เพราะและความหมายดีนะดาลัล ชื่อว่าอะไรเหรอ…”

หญิงสาวที่กำลังพิงหน้าต่างห้องมองไปยังทัศนียภาพของท้องทะเลสีครามด้านนอก
ด้วยแววตาที่ทอดไปไกลแสนไกล หวนคิดถึงความหลัง
และความทรงจำต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ที่นี่สงบและน่าอยู่...
เธอสามารถทำงานที่รักได้โดยมิต้องกังวลหรือหวาดระแวงอีกต่อไป…

“cok uzaklarda จ่ะ…”เจ้าของภาษาตอบกลับมาด้วยเสียงหวานกังวานใส

“ที่แปลว่า so far away ห่างไกลกันเหลือเกินใช่มั้ย…”

“ใช่…ว่าแต่กำลังคิดถึงใครอยู่เหรอ…อย่าบอกนะว่าเป็นเขาคนนั้น…”

ซาเนียยิ้มฝืด ดาลัลคือเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยในอิตาลีที่รู้จักสนิทสนมที่สุด
พ่อของดาลัลเป็นชาวตุรกี ส่วนแม่ของดาลัลเป็นสาวมุสลิมจากแดนไทย

ทั้งสองท่านแต่งงานกัน ดาลัลจึงสามารถสนทนาภาษาไทยได้
แม้สำเนียงจะไม่ชัดเท่าเธอ แต่ก็นับว่าดาลัลพูดเก่งแล้ว

เพราะว่าตั้งแต่แม่ของดาลัลเสีย ดาลัลก็ไม่มีโอกาสได้กลับไปเยือนเมืองไทย
เป็นเวลาสิบกว่าปีแล้ว พ่อของดาลัลเองก็มาเสียชีวิตไปเมื่อไม่กี่ปีก่อน
นับว่าเธอกับดาลัลตกอยู่ในสถานภาพที่ไม่แตกต่างกันนัก…

ซาเนียยิ้มให้กับตัวเอง สายตาทอดออกไปไกลตรงเส้นขอบฟ้า…



ที่นี่…คอนสแตนติโนเปิลหรืออิสตันบูล เป็นถิ่นกำเนิดของเธอ…

ซาเนียเกิดที่เมืองนี้ แต่ไม่กี่เดือนหลังจากคลอด พ่อกับแม่ก็พาเธอกลับประเทศไทย

เมื่อไม่อาจจะกลับไปยังบ้านที่เธอรักและเติบโตมาได้…
อิสตันบูลจึงเป็นสถานที่ที่เธอนึกถึง จึงกลับมา

…กลับมายังที่ที่เธอลืมตาดูโลกเป็นครั้งแรก…

และไม่ผิดหวังเลย…แม้ปัจจุบันอิสตันบูลจะมิใช่เมืองหลวงของตุรกี
หากเมืองนี้กลับเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในตุรกี
และเคยเป็นเมืองหลวงนับระยะเวลาทั้งสิ้น 1,610 ปี…

แรกๆที่มาอยู่ที่นี่ ดาลัลพาเธอนั่งบอลลูนชมเมือง
แล้วก็ล่องเรือไปตามช่องแคบบอสฟอรัส
จากปลายสุดของทะเลดำหรือBlack Sea ไปจนจบทะเลมาร์มารา
หรือ The Sea of Marmara ซึ่งช่องแคบนี้มีความสำคัญ
ตรงที่เป็นเส้นแบ่งเขตทวีปยุโรปและทวีปเอเชีย

อิสตันบูลจึงเป็นเมืองอกแตก เหมือนกับเมืองหลวงของไทยอย่างกรุงเทพมหานคร
ซึ่งมีแม่น้ำผ่ากลาง จะแตกต่างกันตรงที่อิสตันบูลนั้นคือทะเล

ซึ่งเป็นเมืองเดียวในโลกที่อยู่ในสองทวีป…โดยมีสะพานข้ามช่องแคบที่เชื่อมสองทวีป
นับว่าเมืองแห่งนี้เป็นเมืองแห่งประวัติศาสตร์อันยาวนานก็ว่าได้

และสถานที่ที่เธอชอบมากที่สุดก็คือ Blue Mosque (บลูมอสค์)
หรือ มัสยิดสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นมัสยิดที่สวยงาม อลังการงานสร้าง
และยังเป็นที่เก็บพระศพของสุลต่านในอดีตอีกด้วย…

ยามที่สะดวก เธอจะไปที่นั่น…

“cay isiyormusun…”เพื่อนสาวของเธอถามขึ้น

“evet”

“ภาษาไทยเขาพูดว่ายังไงแล้วซาเนีย…”

“จะดื่มชามั้ย…”

“ใช่ๆๆ…ดื่มชา…เค้าต้องพูดว่าดื่ม ไม่ใช่กิน…ฉันนึกไม่ออก
ว่าเค้าใช้คำไหนแล้ว โทษที…”

การดื่มชาเป็นวัฒนธรรมหลักอย่างหนึ่งของคนตุรกี
เรียกว่าแทบจะดื่มแทนน้ำกันเลยทีเดียว…

“sagol (ขอบคุณค่ะ)”ซาเนียกล่าวขอบคุณเมื่อเพื่อนสาวส่งชามาให้

“รีบดื่มซะ เดี๋ยวจะเย็น ไม่อร่อย…นี่ชาจีนอย่างดี อนีสเขาได้มาตอนไปดูงานที่จีน…”

อนีสก็คือสามีสุดที่รักของดาลัล เธอแต่งงานหลังจากเรียนจบปริญญาตรีได้ไม่นาน…

จริงๆแล้วดาลัลอายุมากกว่าซาเนียอยู่หลายปี…
ตอนเจอกันที่อิตาลีนั้น ดาลัลไปศึกษาต่อปริญญาตรีอีกสาขาหนึ่ง
ซึ่งเป็นสาขาเดียวกันกับเธอ

และตอนนั้นดาลัลก็มีเจ้าตัวน้อยอย่างฮานีฟเป็นพยานรักแล้วด้วย…
และตอนนี้เจ้าตัวน้อยก็จะอายุหกขวบอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า…
กำลังซนได้ใจเลยทีเดียว…

และเจ้าตัวน้อยตัวป่วนนี่แหล่ะที่ทำให้ซาเนียไม่มีเวลาเซ็งกับชีวิต…
แล้วอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าเจ้าตัวน้อยก็คงจะได้เห็นน้องสาวที่กำลังอยู่ในท้องของดาลัล
ออกมายิ้มเริงร่าให้ดูเป็นแน่…

ดูเหมือนอนีสกับเจ้าตัวน้อยต่างเฝ้ารอคอยวันนั้นด้วยใจจดใจจ่อ…


ในทุกวันซาเนียจะแวะไปรับเจ้าตัวน้อยจากโรงเรียน
หลังกลับจากทำงานที่โรงผ้าของดาลัลพร้อมๆกับดาลัล…

เธอทำงานที่นั่นในฐานะนักออกแบบลายผ้า…ก่อนจะลากลับอพาร์ตเม้น
ที่อยู่ติดกับบ้านของดาลัล…เนื่องจากเธอไม่อยากรบกวนเพื่อนสาวไปมากกว่านี้…
จึงขออยู่อพาร์ตเม้นข้างๆ

อีกอย่างมันดูไม่เหมาะนักที่เธอจะอยู่กับเพื่อนสาวโดยที่เพื่อนสาวเองก็มีครอบครัวไปแล้ว
…หากมาพักชั่วครั้งชั่วคราวก็คงไม่เป็นไร

ทว่า เธอไม่ได้กะจะมาพักชั่วครั้งชั่วคราว แต่กลับคิดจะปักหลักอยู่ท่ีนี่
จนกว่าจะมีทางให้เธอกลับไปยังเมืองไทยได้อีกครั้งโดยไม่เป็นตัวภาระของใครทางโน้นอีกต่อไป

…ใช่ว่าเธอไม่รักไม่คิดถึงทุกคนที่อยู่ทางโน้น
หากเธอก็รู้ดีว่าถ้ากลับไป ชีวิตเธอก็คงวนเวียนอยู่กับการถูกล่่าและก็หนี

…ซึ่งที่นี่สามารถทำให้เธอใช้ชีวิตอย่างสงบสุข
และสามารถพึ่งพาตัวเองได้โดยไม่เป็นตัวภาระให้ใครต้องแบกอย่างที่ผ่านมา

“ฉันกำลังจะทำ Revani (แรวานี่) สนใจจะทำด้วยกันมั้ย…”
ซาเนียถึงกับตาโตเมื่อได้ยิน…

“ประเดี๋ยวอนีสกับเจ้าตัวน้อยของฉันก็จะกลับมาแล้ว…”

Revani เป็นเค้กที่มีความหวานฉ่ำไปด้วยน้ำเชื่อม
ซึ่งปกติแล้วคนตุรกีชอบกินหวานถึงหวานมาก

แค่ได้ยินชื่อ ซาเนียก็อดคิดถึงหน้าตาน่าทานของมันไม่ได้แล้ว เรื่องรสชาติไม่ต้องถามถึง…

“สนใจที่สุดเลยดาลัล…”สองสาวจึงเดินเข้าครัวไปด้วยกัน
ดาลัลจึงเริ่มสอนกรรมวิธีในการทำให้กับซาเนียไปพลางก็เล่าเรื่องราว
ต่างๆที่เคยพบเจอแลกเปลี่ยนกัน…

“Revani ทำไม่ยากเลย…เอาไว้มีโอกาสเธอจะได้ทำให้ tatliของเธอทาน
รับรองว่ารักจะหวานฉ่ำ…เหมือน Revani…”คนพูดพูดไปยิ้มไป

“วันนี้ฉันจะทำ Revani รสส้ม…”

tatli ในภาษาตุรกีแปลว่่า หวาน,ของหวาน หรืออีกนัยหมายถึง my sweet นั่นเอง

“เด็กๆก็ชอบ…ยามเธอมีเจ้าตัวน้อยจะได้ทำให้ด้วย…
รับรองว่าเจ้าตัวน้อยจะหลงรักมามี้อย่างเธอ และจะรีบกลับบ้านไม่เถลไถลไปไหน
เมื่อรู้ว่ามามี้อย่างเธอทำเค้กแรวานี่ให้ทาน…อย่างอนีสกับฮานีฟไงล่ะ…
นี่แหล่ะกับดักของฉันล่ะ…เป็นเทคนิคเล็กๆน้อยๆแต่ว่าได้ผลเกินคาด....”

รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเพื่อนสาวทำให้ซาเนียอดยิ้มขำไม่ได้
และอดนึกไปถึงใครคนหนึ่งซึ่งอยู่แดนไกลไม่ได้

เขาคนนั้นก็ชอบของหวาน พี่ระรินเคยบอกเธอว่าเขาชอบของหวานมาก
รสหวานฉ่ำของแรวานี่คงจะถูกปากเขาไม่น้อย…

หญิงสาวคิดวาดฝันไปไกล หากก็ต้องกลับมาสู่ความจริง…
ความจริงที่ไม่มีเขาอยู่ข้างๆเธออีกแล้ว เขาไม่ผิดหรอก เธอเองที่ผิดที่จากมา…

แต่ถ้าเธอไม่จากมา…คนที่ต้องลำบากก็ต้องเป็นเขากับพี่รัง…

“คิดถึงเขา ทำไมไม่กลับไปหาเขา…”
ดาลัลเห็นแววตาเศร้าซึมของเพื่อนก็พอจะเข้าใจว่าหมายถึงอะไร
และเพื่อนกำลังคิดอะไรอยู่…

ซาเนียเล่าเรื่องราวต่างๆให้เธอฟังแล้ว และเธอก็ไม่ค่อยสนับสนุนความคิดของเพื่อน
เท่าไหร่นัก แต่ก็พอจะเข้าใจว่าอะไรที่ทำให้หญิงสาวตรงหน้าเธอตัดสินใจเช่นนี้
ซึ่งมันไม่ผิดหรอก…คนเราต่างความคิดกัน…

“ฉันไม่รู้จะกลับไปยืนอยู่ตรงไหน…ที่นั่นไม่มีที่ที่พอให้ฉันยืนได้เลย…
ฉันไม่อยากกลับไปอยู่อย่างหวาดระแวง ระแวดระวังภัย
และต้องหนีครั้งแล้วครั้งเล่าอีกแล้ว…ฉันรู้ว่าการหนีมาที่นี่ไม่ใช่ทางออกที่ดีสักเท่าไหร่
แต่มันก็เป็นทางออกที่ดีที่สุดที่ฉันมีและเลือกได้เอง…”
ซาเนียมองหน้าเพื่อนรักแล้วถอนใจยาว

“อย่างน้อยการหนีมาที่นี่ ก็ทำให้ฉันไม่ต้องหนีซ้ำๆซากๆอีกต่อไป…
ที่นี่…สงบ ไร้คนตามล่าฉัน…ฉันได้ทำงานที่ฉันรัก…
ได้นอนหลับโดยไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาลากตัวไปโน่นมานี่…

ที่สำคัญ…ที่นี่ทำให้ฉันนึกถึงวัยเด็ก…ทำให้ฉันอยากเริ่มต้นใหม่…”

แววตาของคนพูดแม้จะเศร้าอยู่ในที หากก็แฝงไปด้วยแสงแห่งความหวัง

“หากฉันคิดถึงที่นี่ก่อนหน้านี้สักนิด ชีวิตฉันก็คงไม่ต้องพบเจอเขาคนนั้น
และฉันก็คงไม่ตกหลุมรักเขาจนเจ็บและทรมานแบบนี้…”

ซาเนียยอมรับอย่างซื่อๆกับเพื่อนสาวถึงความในใจที่เธอไม่เคยเล่าให้ใครที่ไหนฟังมาก่อน
…เป็นเพราะเธออีดอัดจนออกแทบแตก…มือบางๆของดาลัลจึงลูบบ่าของซาเนียเบาๆ…

“ฉันว่าอาจจะเป็นโชคดีของเธอก็ได้นะที่ได้เจอเขาคนนั้น…ฉันเชื่อว่า
เขาคนนั้นก็น่าจะมีใจให้เธออยู่ไม่น้อย…ฉันไม่เห็นว่าจะมีใครจะปฏิเสธเธอได้เลย…
เธอน่ะสวย น่ารักและก็มีเสน่ห์…ตอนเรียนก็มีแต่หนุ่มๆมองตามเป็นแถว แต่ก็ไม่มีใครกล้าจีบ…

มาอยู่ที่นี่ก็ทำให้หัวใจของนากีสเพื่อนของอนีสระส่ำระส่ายเพราะคิดถึงเธอ…
วันนี้ไม่รู้ว่าจะแวะมาขายขนมหวานที่บ้านฉันอีกรึเปล่า”

สำนวนของเพื่อนสาวของเธอถือว่าวิเศษมาก
สำหรับคนที่ไม่ได้พูดภาษาไทยมานานเป็นปีเช่นนี้…

“คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกดาลัล…ฉันไม่เห็นว่าจะมีใครจีบฉันสักคน…”

“ก็ใครจะกล้าจีบเธอล่ะ…แค่รู้ว่ามีบอดีการ์ดตามติดเธอ เขาก็ไม่กล้าแล้ว
แล้วเธอล่ะ…คิดยังไงกับนากิส…”ซาเนียเงียบไปราวกับอีดอัดใจ
และเหมือนอีกฝ่ายจะรู้…

“ฉันจะได้บอกๆเขาไปว่่าให้เลิกสนใจเธอสักทีไงล่ะซาเนีย…
แต่ถ้าเธออยากเปิดใจให้ใครสักคน…ฉันว่า นากิสก็ไม่เลวนะ…
เขาเป็นคนดี มีความรับผิดชอบ ขยัน และก็ซื่อสัตย์ ไม่เจ้าชู้…

แม้จะหล่อสู้อนีสสุดที่รักของฉันไม่ได้ แต่รับรองว่ารวยกว่าอนีสเยอะ…
แบบว่าชดเชยกันได้…ไม่กินขาดกันมาก…”

ซาเนียยิ้มบางกับคำโฆษณาที่ไม่ได้เกินจริงนัก
เพราะจากที่เธอรู้จักหนุ่มนามว่านากีส ที่อายุดูจะราวๆกับเขาคนนั้น
นับว่าเขาเป็นคนดี สุภาพ…นิสัยโดยรวมนับว่าดีมาก…

ที่สำคัญ เขาไม่ได้หล่อน้อยกว่าอนีสเลย…แทบจะเรียกได้ว่าหล่อขั้นเทพเลยก็ว่าได้
หล่อกว่าเขาคนนั้นอยู่หลายขุมเลยทีเดียว…

แต่ไม่ว่านากีสจะหล่อ นิสัยดี การงานดีและร่ำรวยแค่ไหน
หากเธอก็ยังคงหาวิธีลืมเขาคนนั้นไม่ได้อยู่ดี

…สายสัมพันธ์ที่ร้อยรัดระหว่างเขากับเธอไว้มันเหนียวเกินกว่าจะขาดลงได้ง่ายๆ

สำหรับเธอแล้ว เขาคือมิสเตอร์ไรท์ที่เธอตามหา

…ผู้ชายที่มีแววตาอบอุ่น อยู่ใกล้แล้วรู้สึกปลอดภัย…

“สงสัยจะกลับกันมาแล้ว…ฉันฝากเธอดูน้ำเชื่อมให้หน่อยนะ…”
ดาลัลกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มดีใจเมื่อได้ยินเสียงกระดิ่งหน้าบ้าน
เธอรีบเดินออกจากห้องครัวทันทีโดยไม่ลืมน้ำเชื่อมที่กำลังตั้งไฟอยู่

“ทำอะไรอยู่ครับ หอมจัง…”อนีสพูดไทยได้ เพราะว่าต้องเดินทางไปติดต่อ
เรื่องงานที่ประเทศไทยอยู่บ่อยครั้ง…แต่จ้อได้ไม่เก่งเท่าดาลัล…

“กำลังทำน้ำเชื่อมราดแรวานี่อยู่ค่ะ…”ซาเนียยิ้มตอบ ก่อนจะหันไปทาง
อีกหนุ่มที่ยืนย้ิมอยู่ข้างหลังเพื่อนชายของเขา…

“ne yapiyorsun (คุณทำอะไรอยู่ครับ)”เสียงนั้นถามซาเนียเป็นภาษาตุรกี

“Revani yapiyorum (ทำแรวานี่อยู่ค่ะ)”หญิงสาวยิ้มตอบอย่างสุภาพ

“ล้างมือแล้วก็เชิญนั่งรอที่ห้องรับแขกเลยค่ะท่านชายใหญ่และท่านชายน้อย…”
ดาลัลกล่าวกับหนุ่มใหญ่และหนุ่มน้อย แต่สุดท้ายเจ้าหนุ่มน้อยอย่างฮานีฟกลับไม่ยอมไปไหน
บอกว่าจะขออยู่ราดน้ำเชื่อมลงบนเค้กแรวานี่ด้วยคน

ซึ่งต้องราดตอนที่แรวานี่ยังร้อนๆอยู่ ส่วนน้ำเชื่อมกำลังอุ่นๆ
เวลาราดให้ใช้ช้อนค่อยๆตักราดให้ทั่วทุกๆชิ้น
เพื่อที่ขนมจะได้ดูดซับน้ำเชื่อมเข้าไปให้ชุ่มอย่างทั่วถึงกัน…

หลังจากนั้นก็ทิ้งไว้ให้เย็น แล้วตักใส่จาน โรยด้วยมะพร้าวก่อนเสริฟ
เป็นอันว่า Revani ที่หวานฉ่ำไปด้วยน้ำเชื่อมกำลังอวดโฉม
อยู่บนโต๊ะอาหารเป็นที่เรียบร้อยพร้อมน้ำชา…

“yardim edeyimmi…(ให้ช่วยมั้ยครับ)”นากีสอาสาช่วย
เมื่อเห็นซาเนียกำลังเสริฟของว่างให้พวกเขาอยู่

“yok, otur sana…(ไม่เป็นไรค่ะ คุณนั่งเถอะ)”หญิงสาวยิ้มตอบ

“tamam…(ตกลงครับ)”ซาเนียจึงยกขนมพร้อมน้ำชาให้ชายหนุ่มผู้เป็นแขก
และหนุ่มเจ้าของบ้าน

“sagol…(ขอบคุณครับ)”สองหนุ่มกล่าวขอบคุณซาเนีย…
แล้วมองเค้กหน้าตาหน้าทานที่ดาลัลวางให้ตรงหน้า

“afiyet olsun…(กินให้อร่อยนะคะ/ขอให้มีความสุขในการกิน)”
ดาลัลกล่าวขึ้น ซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติอย่างหนึ่งของคนตุรกี
ซาเนียนั่งลงข้างๆเจ้าตัวน้อยแล้วยิ้มให้พลางถามว่า

“Guzel mi…(อร่อยมั้ย)…”

“cok guzel…(อร่อยมาก)”เจ้าตัวน้อยพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
มุมปากมีมะพร้าวที่ใช้โรยหน้าแรวานี่ติดอยู่ ซาเนียจึงยกผ้าเช็ดปาก
เช็ดมุมปากให้เจ้าตัวน้อย ก่อนจะยิ้มให้อย่างเอ็นดู ทำให้หนุ่มโสด
ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามถึงกับมองภาพนั้นด้วยรอยยิ้มและแววตาประทับใจ…

“cok guzel. Eline saglik…(อร่อยมากครับ ขอให้มีมือที่มีสุขภาพ)”

หนุ่มโสดหนึ่งเดียวกล่าวชม ซึ่งประโยคท้ายนั้นมักใช้พูดเมื่อมีคนทำอะไร
ก็แล้วแต่ด้วยมือต้องพูด ซาเนียหันไปมองเพื่อนสาวแล้วหันมายิ้มให้นากีสขณะกล่าวว่า

“afiyet olsun…(ขอให้มีความสุขในการกินค่ะ)”

ทั้งหมดจึงร่วมกันทานของว่่างก่อนจะพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกัน
ตรงสนามหญ้าหน้าบ้าน แล้วสองสาวค่อยๆขอตัวเข้าครัว

ทั้งหมดจึงกลับมาร่วมรับประทานอาหารค่ำด้วยกันบนโต๊ะอีกครั้ง…
ก่อนที่แขกคนสำคัญจะขอตัวกลับ

ดาลัลแสร้งว่ายุ่ง ต้องจัดการให้เจ้าตัวน้อยอาบน้ำเข้านอน…
ส่วนอนีสคุณสามีก็หาเหตุปวดท้องเข้าห้องน้ำกะทันหัน…

หน้าที่ส่งแขกคนสำคัญจึงตกเป็นของแขกขาประจำอย่างซาเนียไป…

“cok tesekkurederim her sey icin…(ขอบคุณครับสำหรับทุกอย่าง)”
ชายหนุ่มกล่าวเมื่อซาเนียเดินมาส่งเขาที่หน้าประตู

“bir sey degil…(ไม่เป็นไรค่ะ)…”ซาเนียยิ้มตอบอย่างสุภาพ
ก่อนจะกล่าวส่งท้าย

“kendine iyi bak…(ดูแลตัวเองด้วยนะคะ)…)”

ชายหนุ่มยิ้มกว้าง ทำเอาซาเนียถึงกับชื่นชมคนตรงหน้าอยู่ในใจ
เพราะการที่เขายิ้มอย่างนี้มันทำให้เขาดูดีมากเลยทีเดียว…

ถ้าไม่ติดกับว่าหัวใจของเธอถูกใครคนนึงครอบครองไปแล้ว
เธอก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะอดใจไม่ให้ตกหลุมรักผู้ชายคนนี้ไปได้นานสักแค่ไหน

…เขาดูอ่อนโยน สุภาพ แววตาของเขาที่มองเธอดูชื่นชมอย่างเปิดเผย
…ไม่หยาบโลนแม้แต่นิดเดียว…

“sende kendine iyi bak…(คุณก็เช่นกัน ดูแลตัวเองด้วยนะครับ)”

“hadi iyi gunler. Gorusuruz…(ขอให้มีวันที่ดี แล้วเจอกันค่ะ)…”

“cok guzelsin (คุณสวยมาก)…bi tanem(คุณคือที่หนึ่งของผม)…”
ซาเนียออกจะเก้อเขินเมื่อถูกเอ่ยชมซึ่งๆหน้าเช่นนี้

“cok ozledim seni…(ผมคิดถึงคุณมาก)…”

ผู้ชายตรงหน้าช่างปากหวานต่างกับเขาคนนั้นลิบลับ…

หญิงสาวยิ้มบางก่อนจะพูดอะไรบางอย่างออกไป
เพื่อไม่เป็นการให้ความหวังอีกฝ่าย เพราะเธอรู้หัวใจตัวเองในตอนนี้ดี…
ต่อให้เขาคนนั้นปากร้าย เธอก็ยังหาเรื่องรักเขาอยู่ดี…น่าตีจริงๆหัวใจดวงนี้
ทว่า อีกฝ่ายกลับชิงพูดลาเสียก่อน

“hadi gorusuruz…guzelim…(แล้วเจอกันครับ my beautiful)…”

ซาเนียระบายยิ้มยามมองแผ่นหลังของคนปากหวานที่เดินจากไปแล้ว

นากีสมิใช่คนพูดมาก ออกจะพูดน้อย
และเป็นผู้ฟังที่เอาแต่นั่งยิ้มเสียมากกว่า…

หากเวลาพูดออกมาแต่ละคำ ทำเอาคนฟังแทบตั้งรับไม่ทัน…

เขาไม่ใช่ผู้ชายขี้อาย แถมยังมีความกล้าที่จะพูดในสิ่งที่ใจคิด
และดูจะไม่ยอมปล่อยให้โอกาสหลุดมือไปง่ายๆด้วย…
ทั้งๆที่เขาก็รู้ดีว่าเธอมีใครอยู่ในใจแล้ว หากเขาก็ไม่ยอมลดละที่จะเอาชนะใจเธอ
หมั่นมาส่งขนมหวานให้เธออย่างที่ดาลัลพูดแทบทุกวัน…

เธออดยอมรับไม่ได้ว่าเขาคือผู้กล้า เป็นนักสู้ที่ดี…
หากไม่ติดกับเธอยังรักเขาคนนั้นอย่างมั่นคง และสายสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นยังผูกใจเธออยู่
เธออาจจะรักนากีสได้ไม่ยากเลย…

“ทำไมพี่ปราณถึงไม่พูดหวานๆแบบนี้กับซาเนียบ้าง…
รู้มั้ย…ซาเนียอยากให้ถ้อยคำที่นากีสพูดเมื่อกี้เป็นพี่ที่พูดมันออกมามากกว่า…”

ซาเนียพึมพำเบาๆอยู่คนเดียว โดยมีภาพของเวนไตยปรากฏแทนภาพของนากีส

ภาพเขายังชัด ชัดเจนในใจ…

ชายสองคนนี้มีบางอย่างที่เหมือนกัน นั่นคือแววตาที่มองมาที่เธอ…
จึงอดเข้าข้างตัวเองไม่ได้เลยว่า…เขาคนนั้นเองก็มีใจให้เธอ…

แต่จะเป็นไปได้อย่างไร แค่คิดก็น่าอายแล้ว…เขารักพี่ระริน…
ภาพวันที่เขาอุ้มร่างของพี่ระรินลงจากเรือ ภาพที่เขาอุ้มร่างพี่ระรินลงไปในหลุมฝังศพ…
สีหน้าแววตาเจ็บปวดของเขายังชัดเจนในใจเธอเช่นกัน…

ที่เขาทำเหมือนมีใจให้เธออาจเป็นเพราะฤทธิ์ของความเหงาก็ได้
เหงาที่ไม่มีพี่ระรินอยู่เคียงข้าง จึงยึดเธอเอาไว้คลายหนาวชั่วคราว…

แปลกดีที่คนที่รักเรา เรากลับไม่รัก คนที่เรารักเขากลับไม่รักเรา…

เธออยากให้นากีสเป็นเขา…บ้า เธอต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่คิดถึงเขาอยู่ได้
หยุดสักทีเถอะซาเนีย หยุดคิดถึงเขา หยุดเพื่อตัวเอง…

“ซาเนียขอโทษนะนากีส…ซาเนียขอโทษ…”หญิงสาวกล่าวด้วยแววตาปนเศร้า
แม้จะรู้ว่าเขาไม่ได้อยู่ฟัง หากเธออยากพูดประโยคนี้กับนากีสที่สุด…

วินาทีนี้เธอเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าควรจะปล่อยเขาคนนั้นไปจากใจแล้วรับนากีสเข้ามา…
หรือควรปล่อยให้ใจคิดถึงเขาคนนั้นไปอย่างนี้…แล้วบอกปฏิเสธนากีสไป
เขาจะได้ตัดใจจากเธอแล้วมีโอกาส ได้เจอกับผู้หญิงคนอื่นที่ดีกว่าเธอ…

…แต่เพียงแค่คิดจะตัดใจจากเขาคนนั้น มันก็ไม่ง่ายแล้ว…

…มันไม่ง่ายเลยสักนิดเดียว ในเมื่อพื้นที่ในหัวใจมันมีแต่เขาเต็มทุกช่องว่าง

“ยืนตรงนี้นานๆ ระวังยุงเฒ่าชราแถวนี้จะรุมจีบเอานะจ๊ะ…”เสียงนั้น
เรียกซาเนียกลับมาสู่ปัจจุบันอีกครั้ง ก่อนจะหันไปยิ้มให้เพื่อน

“ไม่เห็นจะมียุงอย่างเธอว่าสักตัว…”ซาเนียตอบกลับ เพราะตั้งแต่มาอยู่ที่นี่
เธอยังไม่เห็นยุงสักตัว…

“ก็ที่เมืองไทยมีเยอะไม่ใช่เหรอ…ฉันกลัวว่ามันจะบินตามเธอมาถึงนี่นะสิ”
ดาลัลแกล้งเย้าเพื่อนสาวอย่างสนุก พลอยทำให้ซาเนียกลับมายิ้มได้
และลืมเรื่องเศร้าๆเมื่อครู่ไป…

“ฉันปรึกษากับอนีสเรื่องที่เธอจะไปขี่อูฐดูพีระมิดที่อียิปต์แล้วนะ…”
ดาลัลกล่าวระหว่างที่ลากตัวเพื่อนสาวเข้าบ้าน…

“อนีสบอกว่าเขามีเพื่อนอยู่ที่โน่น…”

“เพื่อนผู้ชาย…คงไม่ดีมั้ง…”ซาเนียนึกถึงความเหมาะสม
และความปลอดภัยมาเป็นอันดับหนึ่ง

“ฉันบอกเธอแล้วไงดาลัล ว่าฉันพักโรงแรมก็ได้…”

“เพื่อนผู้ชายก็จริง แต่เขามีครอบครัวแล้วจ๊ะ…ภรรยาของเขาเป็นน้องสาวของนากีส…
แถมยังบอกว่ายินดีและเต็มใจที่จะเปิดบ้านต้อนรับเธอ…
ขอบอกว่าบ้านของเขากว้างมาก…รับรองว่าเธอคงไม่เดินชนกับเพื่อนชายของอนีสหรอก…
อีกอย่างรายนั้นไว้ใจได้ ไม่เจ้าชู้…ภรรยาของเขาก็ดูเหมือนจะอยากเห็นหน้าเธอ
สงสัยนากีสคงจะเล่าอะไรๆให้ฟัง…ถึงได้กระตือรือร้นอยากให้เธอไปเที่ยวที่นั่นไวๆ…
ได้ยินอย่างนี้แล้ว…พอรับได้ไหมจ๊ะ…”คนพูดเอียงคอถามด้วยแววตาขี้เล่น
…แม้จะท้องโย้ขนาดนี้ แต่เพื่อนของเธอยังแบกท้อง
ด้วยสีหน้าชื่นบานราวกับที่แบกอยู่ไม่ได้หนักสักเท่าไหร่…

“Tamam…(ตกลงจ๊ะ)…”ซาเนียยิ้มพร้อมกับพยักหน้า

“ค่อยโล่งอกไป…ว่าแต่พร้อมจะไปเมื่อไหร่…”คนฟังดูครุ่นคิด

“เดือนหน้าดีมั้ย…เพราะเดือนนี้ออร์เดอร์ของเธอเต็มเลย…
ฉันไม่อยากให้เธอแบกท้องไปคุมงานบ่อยๆ…”ดาลัลถึงกับยิ้ม ซาบซึ้งน้ำใจเพื่อน
ที่ไม่หนีเธอไปเที่ยว ยามที่โรงงานของเธอกำลังต้องการตัวคนออกแบบงานที่เก่ง
และมีฝีมืออย่างซาเนีย…

เพราะลูกค้าของเธอต่างออกปากชมฝีมือของเพื่อนสาวคนนี้ของเธอนัก
หลายคนชื่นชอบลวดลายผ้าสวยแปลกตาที่เพื่อนของเธอออกแบบมาก
จนสั่งทำเพิ่มหลายชิ้นเลยทีเดียว

…นับว่า…ต้ังแต่เจอกับซาเนีย ชีวิตของเธอดูดีขึ้นและมีความสุขขึ้นเรื่อยๆ
เจ้าตัวน้อยก็ดูจะชอบซาเนียอยู่ไม่น้อย…
จนเธอไม่อยากให้เพื่อนคนนี้ไปไหนอีกเลย…

ซาเนียเป็นคนน่ารัก มีน้ำใจและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นเสมอ…
ถ้าซาเนียลงเอยกับนากีสได้…คงจะดีไม่น้อยเลย…

“ว่่าแต่ภาษาอาหรับของเธอยังใช้ได้อยู่ใช่มั้ย…”ดาลัลอดถามเพื่อนสาว
ด้วยความกังวลใจไม่ได้ ถึงเพื่อนจะพูดภาษาอังกฤษกับภาษาตุรกีได้ก็จริง
แต่ถ้าเป็นที่อียิปต์ ใช้ภาษาอาหรับน่าจะสะดวกกว่า…

“น่าจะไม่มีปัญหานะ…ชุกรอน(ขอบคุณในภาษาอาหรับ)…”

“Kam al sa'an?... (กี่โมงแล้ว)”ซาเนียแกล้งถามเพื่อนเป็นภาษาอาหรับ
เพื่อเป็นการยืนยันว่าภาษาอาหรับของเธอยังโอเคอยู่…

ดาลัลถึงกับงงว่าทำไมเพื่อนถึงถามเธอว่ากี่โมง แล้วก็ต้องยิ้มขัน
เมื่อเพื่อนของเธอเฉลยเป็นภาษาตุรกีว่า

“ben gidiyorum…(เดี๋ยวจะกลับแล้ว)…ดึกแล้ว…เดี๋ยวอนีสของเธอจะรอเธอนานเกินไป…”
ประโยคหลังซาเนียยิ้มหยอกเพื่อนสาว ทำเอาเพื่อนของเธอยิ้มเขิน…

“Tamam (โอเค)…แล้วเจอกันพรุ่งนี้เช้า…”





ณ เกาะรังรัก

“ได้ข่าวซาเนียบ้างรึเปล่าเวนไตย…”รังสิมันต์ถามคำถาม
ที่เวนไตยเองก็ตั้งใจเดินทางมาถามเขาอยู่พอดี...

เวนไตยจึงได้แต่ส่ายหน้าไปมาด้วยแววตาเหนื่อยล้าปนทดท้อ…

“ฉันเองก็มืดแปดด้าน…เพราะซาเนียไม่ได้เบิกจ่ายเงินจากบัญชีธนาคารเลยแม้แต่นิด…
คงจะนำของมีค่าอย่างพวกทองคำและพวกเครื่องประดับกับเงินสดติดตัวไปพอให้ตั้งตัวได้
และคงจะต้องทำงานอยู่ที่ไหนสักแห่ง
เพราะถ้าไม่ทำงาน ป่านนี้เงินในบัญชีธนาคารของซาเนีย
ก็ต้องมีการเบิกจ่ายหรือเคลื่อนย้ายบ้างแล้ว…”

รังสิมันต์กล่าวพร้อมกับทอดถอนใจ

…บทซาเนียจะเงียบหายไป ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
และเหมือนจะรู้ว่าพวกเขากำลังตามแกะรอยของเธออยู่ เธอจึงหาหนทาง
ท่ีจะไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ให้แกะได้สักทางเดียว…

“ที่สำคัญ…ซาเนียทำราวกับหายสาบสูญไปเลย…ไม่แตะต้องโลกไซเบอร์
หรือติดต่อผู้คนที่เคยรู้จัก…ฉันสืบหาจากเพื่อนๆของซาเนียและคนที่รู้จักแล้ว
ปรากฏว่าไม่มีใครรู้หรือได้ข่าวซาเนียเลย…”คนพูดกล่าวขณะหันไปทางมารดา
ที่กำลังรอคอยการกลับมาของซาเนีย…
เวนไตยได้แต่นั่งก้มหน้าครู่ใหญ่และเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้…

“ก่อนหน้านี้ซาเนียพร่ำพูดว่าอยากกลับบ้าน…พยายามอ้อนวอนให้ผมไปส่งที่ท่าเรือใหญ่…
โดยให้เหตุผลว่าคิดถึงบ้าน…เป็นไปได้มั้ยครับว่า
บ้านที่ซาเนียกำลังอยู่ในตอนนี้คือบ้านหลังอื่นที่ไม่ใช่หลังที่เราเห็นกัน…”
รังสิมันต์หันไปทางมารดาอีกครั้ง

“น่าคิด…”แพรวาครุ่นคิดตามอยู่นาน…ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

“เพราะถ้าจะพูดไปแล้ว…ซาเนียไม่ได้มีบ้านที่ไหนเลย ตอนไปเรียนต่อที่อิตาลี
ก็เป็นแค่การเช่าบ้านอยู่เท่านั้น…นอกจากบ้านที่นี่แล้ว…
ที่เดียวเท่าน้ันที่น่าจะเป็นบ้านสำหรับซาเนียได้…”
สองหนุ่มหันมามองคนพูดเป็นตาเดียวกัน…

“ที่ไหนครับ…”รังสิมันต์เอ่ยขึ้นด้วยอยากรู้

“บ้านเกิดของเขา…”สองหนุ่มหันมามองหน้ากันพร้อมกับขมวดคิ้ว

“ซาเนียไม่ได้เกิดที่นี่เหรอครับ…”เวนไตยเป็นคนถาม…แพรวาส่ายหน้า

“เธอคงจะยังเด็ก เลยไม่รู้…ส่วนเจ้ารังคงจะลืมไปแล้วว่าน้องเขาเกิดที่ตุรกี…
มยุเรศคลอดลูกสาวที่ตุรกี และไม่กี่เดือนหลังจากคลอด…ซาเนียก็ได้กลับมาอยู่ที่ไทย…
อิสตันบูลน่าจะเป็นที่ที่ซาเนียหลบไปพักก็ได้…เพราะซาเนียเขาพูดตุรกีได้
แถมยังพูดภาษาอาหรับได้คล่องอีกด้วย…”

ประโยคหลังคนพูดกล่าวชื่นชมบุคคลที่สามด้วยแววตาภูมิใจ…

“ซาเนียเป็นคนเก่ง…พูดได้หลายภาษา…ส่วนฝีมือเรื่องออกแบบลายผ้าล่ะหาตัวจับยาก…
เพราะแม่ของซาเนียเขามีเชื้อสายทางแถบอาหรับ
จำไม่ได้เหมือนกันว่าตาหรือยายของซาเนียแล้วที่เป็นชาวเปอร์เซีย…”

สองหนุ่มนิ่งฟังอย่างตั้งใจ…เวนไตยนั้นได้แต่ยิ้มภูมิใจในตัวของหญิงสาวที่ถูกกล่าวถึง
อย่างน้อย เขาก็ได้รู้ว่าเธอไม่ใช่คนที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ
เห็นท่าทางหงอๆแบบนั้น จริงๆแล้วมีความสามารถรอบด้านเหมือนกัน…

มิน่าเล่า…คุณหญิงแพรวาถึงได้หมายมั่นปั้นมือให้ลูกชายได้หมั้นหมาย
แต่งงานกับซาเนียก่อนหน้านี้…

“ซาเนียเขาถอดแบบมาจากแม่เขาล่ะ…เพราะแม่เขาเองก็เก่งเรื่องออกแบบลายผ้า…
นิสัยหลายๆอย่างก็เหมือนกับแม่ของเขา…จะต่างกันก็ตรงที่นิสัยเด็ดเดี่ยวนี่แหล่ะ
ที่คงได้มาจากกุมพล…รายนั้นเวลาตัดสินใจอะไรลงไปแล้ว
ใครจะคัดค้านหรือเปลี่ยนใจล่ะก็…ยาก…”รังสิมันต์เห็นด้วยในข้อนี้…
เพราะเขารู้จักทั้งอากุมพลและซาเนียดี…

“แม่กำลังจะบอกพวกเราว่า…ซาเนียอาจจะอยู่ที่ตุรกี…แต่อิสตันบูลน่ะ
ไม่ใช่เมืองเล็กๆนะครับ…ที่สำคัญ…เราไม่คุ้นเคยกับที่นั่นเลย…
ผมเองก็ไม่มีใครที่รู้จักอยู่ทางนั้น…ภาษารึก็ไม่ได้…”

“แกพูดอังกฤษได้มิใช่รึเจ้ารัง…”แพรวาท้วงถาม…ทำเอาคนเป็นลูกถึงกับยิ้ม
ส่วนเวนไตยไม่แน่ใจในภาษาอังกฤษของตัวเองเอาเสียเลย…
ถ้าเป็นภาษาญี่ปุ่นรึก็ว่าไปอย่าง…เจอเข้าอย่างนี้ ชายหนุ่มก็ได้แต่ร่ำร้องในใจ
แต่ถ้าหากซาเนียอยู่ที่นั่นจริง เขาก็พร้อมจะเดินทางไปตามหาเธอ

ต่อให้เธอหนีไปอยู่กับหมีที่ขั้วโลกเหนือ เขาก็จะตามไปหาให้เจอ…
และจะนำตัวกลับมาให้ได้…

“แล้วซาเนียเคยมีเพื่อนที่ตุรกีบ้างรึเปล่าครับ…”
เวยไตยอดถามถึงเรื่องนี้ไม่ได้ เพราะเท่ากับเป็นการกระชับวงล้อมให้แคบขึ้น…

“น่าจะมีนะ…เพราะเขาพูดตุรกีได้ ก็น่าจะเพื่อนชาวตุรกีบ้าง…
แต่ก็สุดปัญญา…ไม่รู้จริงๆ…ในเรื่องนี้…”รังสิมันต์ได้ฟังถึงกับยิ้ม

“ไม่ยากหรอกเวนไตย…สืบเอาก็ได้ เรื่องแค่นี้ไม่ยากเกินมือของวาที
เลขาของไอ้ลมมัน…เพราะถ้าเป็นเรื่องราวของคนไทยในอิตาลีล่ะก็…
เจ้านี่รู้นัก…เพราะมีสายสืบอยู่ที่นั่น…”

รังสิมันต์นึกถึงผลงานชิ้นโบว์แดงที่วาทีสืบรู้เรื่องราวของตามตะวัน
กับตะวันพี่ชายของวายุที่เกิดขึ้นในประเทศอิตาลี

…เขาอดยอมรับฝีมือด้านนี้ของวาทีไม่ได้…

เจ้าหมอนี่เป็นคนเจ้าเล่ห์และรู้จักผู้คนมากมายหลายวงการ…

“แสดงว่าอีกไม่นาน เราก็จะได้รู้ใช่มั้ยครับว่าซาเนียอยู่ที่ไหนกับใคร…”
เวนไตยกล่าวด้วยรอยยิ้มแห่งความหวัง…หลังจากความมืดมนหายไป…

“ขอให้เป็นอย่างที่เราคิดไว้ก็พอ…ขอให้ซาเนียอยู่ที่ตุรกีจริงๆเถอะ…”
รังสิมันต์กล่าวทิ้งท้าย…







หนึ่งเดือนหลังจากนั้น…เวนไตยก็ได้ฤกษ์ออกเดินทางไปตุรกีตามลำพัง
แม้ภาษาอังกฤษจะแค่งูๆปลาๆ แต่ก็พอถูๆไถๆไปได้บ้าง

อีกอย่าง…เขาได้ลองศึกษาเส้นทางมาก่อนหน้านี้แล้วเป็นอย่างดี…
ยิ่งไปกว่านั้น…เขาได้รายชื่อของเพื่อนสาวของซาเนียพร้อมที่อยู่มาแล้ว

ซึ่งงานนี้คงต้องยกความดีให้กับวาที เลขาของวายุ ที่สืบรู้มาได้…
แถมยังทำให้เขารู้ด้วยว่า…สามีของเพื่อนของซาเนียนั้นเคยมาติดต่อ
เรื่องงานกับทางอาทิตยะกรุ๊ปอยู่บ่อยครั้ง…

ซาเนียอยู่แค่ปลายจมูกของเขาแค่นี้…แต่เล่นเอาเขาวิ่งวุ่นตามหาเธอเสียเกือบปี…
จะไม่ให้เขาวิ่งวุ่นตามหาเธอได้อย่างไร ในเมื่อเธอได้เอาหัวใจของเขาติดมือไปด้วย

…เขาอยู่โดยไม่มีหัวใจไม่ได้…

“ใช่คุณดาลัลรึเปล่าครับ…”เวนไตยแน่ใจว่าหญิงสาวที่มาเปิดประตู
ให้กับเขานั้นคือดาลัล เพื่อนสาวของซาเนีย เพราะเขามีภาพถ่ายของเธอ
ซึ่งเป็นภาพถ่ายรุ่นตอนวันรับปริญญาของซาเนียกับเพื่อนร่วมรุ่น…

“ค่ะ…คุณคือคนไทย…”ดาลัลพูดไทยตอบกลับไปด้วยแววตาระแวดระวัง
หากพอมองสีหน้าเป็นมิตรของคนตรงหน้า หญิงสาวก็เปลี่ยนจากหวาดระแวงเป็นยิ้ม

“ครับ…ผมเป็นคนไทย…มาตามหาซาเนีย…”เมื่อได้ยินชื่อของเพื่อน
ดาลัลก็ถึงกับตกใจ…พร้อมกับพยายามสำรวจชายหนุ่มตรงหน้าให้แน่ใจ
ว่ามาดีหรือมาร้าย…จะให้เธอไว้ใจคนแปลกหน้าได้อย่างไร…
ซาเนียเคยบอกเธอว่ามีศัตรูที่กำลังตามล่าตัวอยู่…

“ซาเนียหอบหัวใจของผมติดมือมาด้วย…ผมก็เลยต้องมาตามเอาหัวใจผมคืน…
ผมเวนไตย บอดีการ์ดของซาเนียครับ…นี่ครับ พาสปอร์ตของผม…”

เวนไตยรู้ว่าคนตรงหน้ากำลังสงสัยในตัวเขา
จึงยื่นพาสปอร์ตให้กับหญิงสาว ดาลัลรับไปตรวจดูก่อนจะยิ้มออกมา
แล้วเปิดประตูต้อนรับเวนไตยเข้าไปในบ้าน…แล้วพาเขาไปยังที่นั่ง
ตรงสนามหญ้าหน้าบ้านแทนห้องรับแขก

หากจะให้บอกออกไปเรื่องของซาเนีย เธอก็ไม่แน่ใจว่าเพื่อนของเธอ
จะว่าอย่างไร…แต่ถึงอย่างไร…ก็ไร้ประโยชน์…

“พอดีว่า...ตอนนี้ฉันอยู่บ้านคนเดียว…เลยไม่ค่อยสะดวกที่จะเชิญคุณเข้าไปในบ้าน…
ต้องขอโทษจริงๆค่ะ…”ดาลัลกล่าวลุแก่โทษก่อนจะ
ขอตัวเดินเข้าบ้านและออกมาอีกครั้งพร้อมกับน้ำชาและขนม…

“เชิญดื่มชากับเค้กก่อนค่ะ…”เวนไตยหยิบถ้วยชาขึ้นจิบก่อนจะวางลง
ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่อนีสสามีของเธอกับลูกชายกลับมาถึงพอดี
ดาลัลจึงขอตัวไปเปิดประตูให้สามีกับลูกชาย…

“ใครกันคุณ…หน้าตาไม่ใช่คนบ้านเรา…”อนีสกระซิบกับภรรยา
ระยะหลังๆตั้งแต่มีซาเนียมาอยู่ด้วย อนีสจะพยายามสนทนากับภรรยา
เป็นภาษาไทยเพื่อเป็นการฝึกฝนให้คล่อง…

“เขารู้จักกับซาเนียค่ะ…ฉันไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี…เอาไงดีคะ…”
ดาลัลหนักใจกับสถานการณ์ที่ไม่ทันตั้งรับเช่นนี้…

“ก็บอกกับเขาไปว่าซาเนียไม่ได้อยู่กับเรา…”อนีสเสนอ

“โกหกน่ะบาปนะ…”ดาลัลติง…

“คุณแน่ะ…ไปรับแขกพลางๆ ฉันจะพาเจ้าตัวน้อยเข้าบ้านก่อน…
เดี๋ยวอยู่ด้วยแล้วจะพูดให้เราแก้ต่างไม่ถูก…”ดาลัลผลักหลังสามี
ก่อนจะรีบจูงลูกชายเข้าบ้านไป…

“เอ่อ…สวัสดีครับ…คุณ…”อนีสเปิดบทสนทนาทันทีเมื่อเดินมาหยุดนั่ง
ลงฝั่งตรงข้ามกับเวนไตย

“เวนไตยครับ…ดีใจที่คุณพูดภาษาไทยได้…”เวนไตยถึงกับโล่งอก
ที่เขาไม่ต้องพูดภาษาอังกฤษให้อายคนตรงหน้า…

“พอได้ครับ…เพราะดาลัลเขาเป็นลูกครึ่งไทย…ส่วนผมไปทำธุระที่ไทยอยู่บ่อยๆครับ…
ว่าแต่คุณมาที่นี่มีอะไรหรือเปล่าครับ…”อนีสไม่อ้อมค้อม

“ผมมาตามหาซาเนียน่ะครับ…ได้ข่าวมาว่าเขามาอยู่ที่นี่…”
เวนไตยพูดพลางก็มองหน้าฝ่ายตรงข้ามเพื่อจะดูปฏิกิริยา
หากกลับไม่พบอะไรที่น่าส่อพิรุต…

“คุณได้ข่าวมาจากไหนครับ…”น้ำเสียงนั้นราบเรียบ เวนไตยไม่ตอบ
เลี่ยงโดยการถามตรงๆออกไป

“ผมกับซาเนียเราทะเลาะกันและผมอยากปรับความเข้าใจกับเธอ
ถ้าคุณรู้ว่าเธออยู่ไหน ผมอยากให้คุณเห็นใจผม…ผมตามหาเธอมาเกือบปีแล้ว…
แกะรอยเธอกว่าจะมั่นใจว่าเธออยู่ที่นี่…”อนีสลอบถอนใจ
เจอเข้าแบบนี้ เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าจะเอาอย่างไร ภรรยาก็ชิ่งหนีไป
ปล่อยให้เขาออกรบอยู่คนเดียวแบบนี้ ถ้าพลาดพลั้งไป ไม่เป็นเขาหรือที่โดนดีเข้า…

“ซาเนียไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกค่ะ…เธอมาแล้วและก็ไปแล้ว…”
อยู่ๆเสียงภรรยาสุดที่รักของเขาก็ตอบขึ้น ทำให้อนีสหันไปมองตัวช่วยทันที

อย่างไรเสีย ดาลัลกับซาเนียเป็นเพื่อนกัน มีอะไรก็คงเคลียร์กันได้ง่ายกว่าเขาแน่
…งานนี้เขาคงต้องยกให้ภรรยาตัดสินใจเอง

“ไปแล้ว…ไปไหนครับ…”เวนไตยถึงกับตกใจก่อนจะประหลาดใจกับสิ่งที่ได้ยิน…

“ไปอียิปต์ค่ะ…ไม่แน่ว่ากลับมาอีกที เธออาจจะมีข่าวดีก็ได้…”
ประโยคถัดมายิ่งทำให้เวนไตยถึงกับงงปนสับสน…ข่าวดีที่ว่า หมายถึงอะไร

“ฉันไม่รู้หรอกนะคะว่าซาเนียเจออะไรมาบ้าง…แต่ตอนแรกที่ฉันเจอเธอ
เธอไม่ต่างกับนกปีกหักที่บินมาหาฉันถึงนี่…แต่ทุกวันนี้ ซาเนียยิ้มได้
สามารถบินได้อีกครั้ง กลับมาเป็นซาเนียที่ฉันเคยรู้จัก…”ดาลัลหยุดนิดนึง
ราวกับชั่งใจว่าจะพูดประโยคต่อมาดีหรือไม่ หากเธอก็ต้องพูดมันออกมา
เพราะเท่าที่เธอสำรวจผู้ชายตรงหน้าจากภายนอกแล้ว
เขาแทบเทียบกันไม่ได้เลยกับนากีส เพื่อนของสามีของเธอ

อนีสดูดีมีสง่าราศีกว่าคนตรงหน้าอยู่หลายขุมนัก
และเธอก็แน่ใจว่า เรื่องนิสัย และคุณสมบัติอื่นๆ นากีสไม่แพ้ใครแน่
…เพื่อนของเธอควรจะได้ในสิ่งที่ดีกว่า

“และที่สำคัญ…ซาเนียกำลังจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นี่กับคนที่รักและพร้อมจะปกป้องเธอ…
จะไม่มีใครทำอะไรซาเนียได้อีกแล้ว เพราะนากีสเขาพร้อมจะดูแลซาเนีย…
ตอนนี้ซาเนียไปเที่ยวบ้านน้องสาวของนากีสที่อียิปต์ค่ะ…กว่าจะกลับก็คงอีกหลายวัน…
อาจจะไปนานหลายสัปดาห์ก็ได้ค่ะ…เพราะนากีสก็แอบตามไปดูแลเธออยู่ห่างๆด้วย”

เวนไตยถึงกับนิ่งอึ้งด้วยความตกใจปนใจหายที่ได้ยินเช่นนั้น…

ห่างกันไม่เท่าไหร่ ซาเนียก็หันไปหาคนอื่นแล้วหรือ

…ใช่สิ…เขาไม่เคยถามเธอนี่ว่าเธอคิดอย่างไรกับเขา…
ไม่แปลกหากเธอจะรักผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่เขา…

แต่เขาจะแน่ใจได้อย่างไรว่าผู้หญิงตรงหน้าจะไม่โกหกเขา…

“ผมจะรอจนกว่าเธอจะกลับมา…”เวนไตยยืนยันเสียงหนัก
อนีสถึงกับกระตุกสีข้างภรรยาราวกับไม่เห็นด้วยที่ภรรยาของตนพูดออกไปแบบนั้น

“เสียเวลาเปล่าๆค่ะ…ปล่อยซาเนียไปเถอะค่ะ…”
ดาลัลพยายามหว่านล้อมให้อีกฝ่ายถอยทัพกลับไป เพราะหากซาเนียกลับมาเจอเขาคนนี้
เธอกลัวว่าเพื่อนจะใจอ่อน

“เสียเวลาผมไม่กลัวเท่าเสียเธอไป…ยังไงผมก็จะอยู่รอจนกว่าจะเจอเธอ”

อนีสที่ได้ฟังถึงกับลอบยิ้มให้กับความเป็นนักสู้ของคนตรงหน้ายิ่งนัก
ขนาดภรรยาของเขาพูดถึงขนาดนี้ แต่ฝ่ายนั้นกลับยืนกรานไม่ยอมถอยทัพกลับไป

…งานนี้…เขาว่านากีสเพื่อนของเขาเจอของจริงเข้าให้แล้วล่ะ…
ถึงบุคลิกภายนอกของผู้ชายตรงหน้าเขาจะเทียบกับนากีสเพื่อนของเขาไม่ได้
หากเขาแน่ใจว่า ผู้ชายตรงหน้ามีอะไรบางอย่างที่เหนือกว่าเพื่อนของเขาอยู่หลายขุม

…ดูจากแววตาท่าทางแล้ว เขาว่าชายคนนี้แน่มาก
ถึงได้กล้าบุกมาหาซาเนียถึงที่นี่ ซ้ำแววตายังไร้ความหวาดกลัวต่อสิ่งใด…

“เชื่อฉันเถอะคุณ…นากีสเป็นผู้ชายที่ดีและเหมาะสมกับซาเนียมาก
เขาจะทำให้ซาเนียมีความสุขได้ไม่ยาก…คุณเองไม่ใช่เหรอ
ที่ทำให้เธอร้องไห้ซานซมบินมาหาฉันถึงนี่…”

ประโยคหลังราวกับต่อว่า ทำให้เวนไตยถึงกับสะอีก พูดอะไรไม่ออกอยู่ครู่ใหญ่

หากอย่างไรเสีย เขาก็ต้องอยู่จนกว่าจะเจอเธอ เขาอยากเห็นหน้าเธอ
อยากรู้ว่าเธอมีความสุขดีรึเปล่า…เหนือสิ่งอื่นใด เขาคิดถึงเธอ…
และไม่อาจกลับไปได้โดยไม่เจอเธอ…

“ถึงยังไงผมก็ยังยืนยันว่าจะอยู่จนกว่าจะเห็นหน้าเธอ…
ผมตามเธอมาถึงน่ีไม่ใช่หวังแค่จะตามเธอกลับบ้าน…
แต่ผมจะมาบอกเธอในสิ่งที่ผมไม่เคยบอกเธอ…ถึงยังไงผมก็ต้องบอกให้เธอรู้…
แล้วเธอจะตัดสินใจอย่างไร…ผมก็จะไม่เสียดายเลย…ซ้ำยังยินดีด้วยซ้ำ
หากคนที่เธอเลือกคือคนที่สามารถทำให้เธอมีความสุขได้มากกว่าผม…”

อนีสหันไปมองสีหน้าของภรรยาของตนที่ดูจะอึ้งไป
กับถ้อยคำของชายหนุ่มผู้เป็นแขก…

“แต่ผมเชื่อว่า…ผมรักเธอได้ดีไม่น้อยกว่าใคร…
ความรักความห่วงใยที่ผมมีให้เธอ ไม่เป็นรองใคร…
และผมก็รู้ว่าเธอเองก็มีใจให้ผม…ไม่มีเหตุผลใดที่เราไม่เหมาะสมกัน…
นอกเสียจากว่า เธอรักคนอื่นที่ไม่ใช่ผมไปแล้วเท่านั้น…”

เวนไตยลุกขึ้นยืนอย่างสุภาพก่อนจะกล่าวทิ้งท้ายกับสองสามีภรรยาว่า

“และผมจะไม่ยอมเดินหลีกทางให้ใคร จนกว่่าจะแน่ใจ
ว่าเธอไม่ได้รักผมจริงๆเท่านั้น…ขอบคุณนะครับสำหรับน้ำชาและขนม…”

กล่าวจบเวนไตยก็บอกลาแล้วเดินจากไปอย่างสงบ ทำเอาสองสามีภรรยา
ต่างหันมาจ้องหน้ากัน…

“คุณไม่น่าพูดแบบนั้นเลย…ทั้งๆที่คุณก็รู้ว่าซาเนียไม่เคยคิดเกินเลยกับนากีส…
ผมน่ะดูออกว่าผู้ชายคนเมื่อกี้รักซาเนียไม่น้อยเลย…
แววตาของเขามุ่งมั่นไม่ยอมแพ้…”

“ฉันรู้ค่ะ…ก็แค่อยากดูว่าจะใจเสาะ ถอยทัพกลับบ้านไปเลยรึเปล่า…”

ดาลัลกล่าวก่อนจะค้อนสามี…ตอนแรกเธอน่ะอยากให้เพื่อนลงเอยกับนากีส
แต่พอได้เห็นแววตามุ่งมั่นและคำพูดที่ซื่อตรงจริงใจจากผู้ชายที่บอกกับเธอตรงหน้าประตู
อย่่างเต็มปากเต็มคำว่า ซาเนียเพื่อนของเธอได้หอบเอาหัวใจของเขาติดมือมาด้วย…
พร้อมด้วยอีกหลายคำพูดท่ีได้ฟังแล้วโดนใจเธอเข้าอย่างจัง…
จนอดอิจฉาเพื่อนไม่ได้ ที่มีชายหนุ่มตามล่าหัวใจข้ามฟ้ามาถึงนี่…

แม้หน้าตาจะสู้นากีสไม่ได้ แต่เธอว่า หัวใจของผู้ชายคนนี้นากีสไม่ควรประมาทเลยทีเดียว…







หลังจากวันนั้น…เวนไตยก็หมั่นแวะมาหาสองสามีภรรยาที่บ้านเป็นประจำแทบทุกวัน
จนเจ้าตัวน้อยเริ่มคุ้นเคยกับเขา…และสองสามีภรรยาก็ดูจะเป็นมิตรกับเขา
สนิทสนมกับเขามากขึ้น…ทีท่ากระดากขัดเขินหายไป
ทำให้เขาสนทนาภาษาตุรกีได้บ้างบางคำ เพราะเจ้าตัวเล็กพูดไทยไม่ได้
เขาจึงต้องพูดกับเจ้าตัวน้อยแบบต้องพึ่งพาล่าม…

ทว่าท่าทางและสีหน้าดูจะเอาชนะกำแพงภาษาได้ไม่ยาก
เพราะเจ้าตัวน้อยยอมเตะบอลกับเขาที่สนามหญ้าโดยไม่ขัดเขินอย่างตอนแรก…

เสียงกระดิ่งหน้าบ้านเรียกสายตาของเจ้าของบ้านสองสามีภรรยา
ที่นั่งมองเวนไตยกับลูกชายกำลังเตะฟุตบอลอยู่หันไปมอง พร้อมรอยยิ้มกว้าง
เมื่อรู้ว่าแขกผู้มาเยือนคือใคร…

“นากีส…ซาเนีย…”เสียงเรียกชื่อแขกผู้มาใหม่นั้นทำให้เวนไตยหยุดชะงักขา
ที่กำลังเลี้ยงลูกบอลหลบหลีกไปมาอย่างชำนาญลง
ก่อนจะหันไปยังทิศทางที่สองสามีภรรยาเดินไป…


....โปรดติดตามตอนต่อไป....

วันนี้ โยแว้บเอามาให้อ่านกันค่ะ

แล้วยกหน้าจะมาคุยด้วยนะคะ... ^^

...มีอะไรหรือเจอข้อผิดพลาดอะไรตรงไหน ช่วยทิ้งเม้นท์ไว้ให้อ่านกันบ้างนะคะ...

จุ๊บๆค่ะ

ขอบคุณทุกไลค์ ทุกกำลังใจ และทุกๆคนที่แวะเข้ามาอ่านมาติดตามกันค่ะ...

ปล.ตุรกีเป็นเมืองที่มีมนต์เสน่ห์อีกเมืองนึงที่เราไม่ควรพลาด...
แต่เต่าโยนั้นอยากขี่อูฐที่อียิปต์ค่ะ...อิอิอิ....

"รักษาสุขภาพนะคะ"

"เต่าโย"





yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 ธ.ค. 2555, 22:08:27 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 ธ.ค. 2555, 22:19:25 น.

จำนวนการเข้าชม : 2902





<< ยกที่ 75 รักคือการ(ไม่)ให้   ยกที่ 78 คำว่ารักคงยังไม่พอ >>
Littlewitch 24 ธ.ค. 2555, 22:23:26 น.
อยากขี่อูฐที่อียิปต์หน้านี้ก็เที่ยวได้นะคะ แม่มดเกือบหงายจากหลังอูฐมาแล้ว เพราะมันสถูงมาก ถ้าคุณโยเล่นเฟซก็ดีสิ จะให้ดูรูปขี่อูฐ อิ อิ


หมีสีชมพู 25 ธ.ค. 2555, 00:21:03 น.
เจอแล้วๆ ครุฑอุตส่าห์ไปตาม หวังว่าซาเนียจะใจอ่อนน้า

พี่ลมแซงพี่รังไปแล้ว พี่รังยอมได้ไงเนี่ย


konhin 25 ธ.ค. 2555, 00:59:25 น.
ว้าววว ในที่สุดก็เลิกปากหนักซะที


Pampam 25 ธ.ค. 2555, 02:39:49 น.
เจอซาเนียแล้ว หวังว่าเวนไตยจะพูดดีๆนะ


pattisa 25 ธ.ค. 2555, 08:21:57 น.
อร๊ายยยย ค้างอ่ะ
ว่าเเต่มีหนุ่มๆมาให้กรี๊ดกร๊าดอีกล่ะ อิอิ


ตุ๊งแช่ 25 ธ.ค. 2555, 11:54:57 น.
นายครุฑได้ฤกษ์เอาจริงใช่ไหมค่ะนี่


goldensun 25 ธ.ค. 2555, 12:20:52 น.
พี่ลมน้ำยาดี พี่รังน้ำยาบูดรึเปล่า ปองเลยแซงหน้าสิ้นรักไปเลย
เวนไตยพูดกับเพื่อนซาเนียเต็มปากเต็มคำ ต่อหน้าซาเนียตัวเป็นๆ จะกล้าพูดมั้ย
แต่เดิมพันสูงขนาดนี้ คงต้องพูดแล้ว
พี่น้องจอมปลวกเจอเอดส์เล่นงานแล้ว จะหายซ่า หายอยากใหญ่รึเปล่า
พิรุธค่ะ


supayalak 25 ธ.ค. 2555, 12:37:12 น.
ตัวเอ้งงงงง เค้ามาแล้นนนนนนนน


violette 26 ธ.ค. 2555, 00:21:49 น.
ว้ายยย พี่ลมไฟแรงแซงพี่รังไปแล้ววว


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account