คานน้อย คอยรัก (จบแล้วค่ะ)
คานน้อย คอยรัก

ในลักษณ์นั้นว่าประหลาด…………….คนบนคานนั้นว่าน่าประหลาด
เป็นเชื้อชาตินักรบกลั่นกล้า…………...เป็นเชื้อชาตินักรักผู้หาญกล้า
เหตุไฉนย่อท้อรอรา…………………..เหตุไฉนย่อท้อรอเวลา
ฤาจะกล้าแต่เพียงวาที…………………ฤาไม่กล้าบอกรักใครสักที

เห็นแก้วแวววับที่ดับจิต…………………เห็นคานแก้วแวววับสดับจิต
ใยไม่คิดอาจเอื้อมให้ถึงที่……………...ใยไม่คิดปีนไปให้ถึงที่
เมื่อไม่เอื้อมจะได้อย่างไรมี……………อย่ามัวรอจงขึ้นมาเร็วรี่
อันมณีฤาจะโลดไปถึงมือ………………บนคานนี้มีรักให้ฝึกปรือ

อันของสูงแม้ปองต้องจิต………………..คานเราสูงไม่เป็นรองของใครอื่น
ถ้าไม่คิดปีนป่ายจะได้ฤา………………..อย่าได้ขืนลงไปให้เสียชื่อ
มิใช่ของตลาดที่อาจซื้อ………………….มิใช่ทองตามตลาดที่อาจซื้อ
ฤาแย่งยื้อถือได้โดยไม่ยอม……………..เพราะเราถือความพอใจจึงลงไป

ไม่คิดสอยมัวคอยดอกไม้ร่วง……………ไม่คิดสอยมัวคอยให้คานทับ
คงชวดดวงบุปผาชาติสะอาดหอม………..รอให้ดับคาคานหรืออย่างไร
ดูแต่ภุมรินเที่ยวบินตอม…………………..ฤาต้องคอยรักแท้จนแก่ใช่ไหม
จึงได้ออมอบกลิ่นสุมาลี…………………..เกาะคานน้อยคอยรักต่อไป
…………………..........จนกว่าจะเจอคนที่ใช่…ใช่ไหมคาน………………
(อ้างอิงกลอนจากบทละครเรื่องท้าวแสนปม)

มาดูเหตุผลของคนที่ยังไม่ลงจากคานกันค่ะ...
อาจจะมีเหตุผลมากมายที่ไม่อยากลงจากคาน
หรืออาจมีเพียงแค่หนึ่งเหตุผลง่ายๆก็คือ...

...ไม่ใช่คนที่ใช่ก็ไม่ใช่...

หรือว่า

...โดนข้อหาหลายใจ เพราะเคยมีแฟนหลายหน...

หรืออาจเป็นเพรา

...เขาบอกให้รอ เราก็รอ...

หรือจริงๆแล้ว

...ขออยู่รอคนสุดท้ายคนนั้นได้ไหม...

หรือลึกลงไป

...กำลังรอเจ้าชายในฝันอยู่อย่างอดทนได้ทุกอย่าง...

หรือกำลังปลอบใจตัวเองว่า

...ครึ่งหนึ่งของฉันยังมาไม่ถึง...ซึ่งสักวันเขาจะมาอยู่ข้างกัน...

หรือกำลังหลอกตัวเองด้วยการปกปิดว่า

...ไม่หวั่นไหว หัวใจไม่ปรารถนา...

ทั้งๆที่จริงๆแล้ว

...อยากรัก อยากฝัน แต่เพราะกลัว ก็เลยไม่กล้ารักใคร...

หรือว่าอาจจะเป็นเหตผลสุดท้ายที่ไม่ค่อยมีใครกล้ายอมรับดังๆว่า

...ไม่เคยมีใครมาจีบ ไม่มีใครสน เรามันคนธรรมดาๆ...

แต่ไม่ว่าจะเหตุผลใด...

เราก็ยังหวังและยังคงรอคอยปาฏิหาริย์ว่าจะได้เจอคนที่ใช่ในสักวัน...


Tags: ดราม่า หวานซึ้ง อบอุ่น หมอรัง สิ้นรัก วายุ ปองขวัญ

ตอน: ยกที่ 78 คำว่ารักคงยังไม่พอ

คราวนี้ที่หายไปหลายวันไม่ใช่เพราะอะไรเลยค่ะ...
เนื่องจากงานประจำที่ทำอยู่...บุกหนักจนไม่มีเวลาน่ะค่ะ...

วันนี้กะจะมาโพสต์ให้กันก่อนจะขอลากลับบ้านชั่วคราว
คงจะต้องของดอัพนิยายไปสักประมาณสัปดาห์น่ะค่ะ...เฮะๆ




ยกที่ 78 คำว่ารักคงยังไม่พอ


“ดีใจจังที่เธอกลับมาอย่างปลอดภัย แต่ทำไมไม่โทรมาบอกล่วงหน้ากันบ้างเลย…
เราสองคนจะได้ไปรับที่สนามบิน…”ซาเนียยิ้มให้เพื่อนสาว
ก่อนจะยื่นของฝากในมือให้…

“นี่ของเธอกับอนีส…”สองสามียิ้มกว้าง

“ขอบใจมากซาเนีย…”

“ส่วนนี่ก็ของเจ้าตัวน้อย…ว่าแต่ฮานีฟล่ะ…”ซาเนียมองหาร่างของเจ้าตัวเล็ก
ก่อนจะได้ยินเสียงแจ้วๆของเจ้าตัวน้อยที่กำลังวิ่งมาทางเธอด้วยเสียงหัวเราะร่า

“ซาเนียมาแล้ว…”เด็กชายตัวน้อยพูดประโยคภาษาไทยที่ซาเนียสอนให้
หญิงสาวจึงคุกเข่าแล้วยกมือทั้งสองข้างโอบกอดร่างน้อยเอาไว้
ด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างมีความสุข

เวนไตยมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกหลากหลาย

…ใจหนึ่งชอบและมีความสุขที่ได้เห็นรอยยิ้มสดใสนั่นของเธอ
หากลึกๆกลับรู้สึกใจหาย เมื่อเห็นชายหน้าตาดี บุคลิกดียืนอยู่ข้างๆเธอ

“คิดถึงซาเนียมั้ย…”ซาเนียถามเจ้าตัวน้อยด้วยภาษาไทยอย่างที่เธอ
เคยถามทุกๆครั้งที่เจอหน้ากัน…

“cok ozledim…คิดถึงมากๆ…”ร่างน้อยยิ้มก่อนจะรับของฝากจากมือของซาเนีย…
แล้วหันไปอวดกับพ่อแม่ของตน

…ซาเนียรู้สึกว่าบรรยากาศแปลกไปเมื่อมองสีหน้าของเพื่อน
และเหมือนจะรู้ว่าวันนี้ที่นี่ไม่ได้มีแค่บุคคลที่เธอเคยพบเจอเป็นประจำเท่านั้น
…ร่างที่คุ้นตายืนห่างเธอออกไปราวๆสองเมตร…
ซาเนียหลับตาก่อนจะลืมขึ้นอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าเธอไม่ได้ตาฝาดไป…

เพราะคนที่เธอเห็นเมื่อครู่คือเขาคนนั้น คนที่อยู่ในความคิดคำนึงของเธอ…

“นี่นายบินมาถึงที่นี่ได้ยังไง…นายพญาครุฑ…”

ใช่…เขาทำให้เธอประหลาดใจ…คนตรงหน้าทำให้เธอตกใจ
และนึกสงสัยได้เสมอว่าเขามีปีกเหมือนพญาครุฑเหมือนชื่อหรืออย่างไร

หากเมื่อนึกได้ว่าเธอมาที่นี่ทำไม ซาเนียก็รีบหันมาทางเพื่อนสาว
ก่อนจะรีบขอตัวกลับ โดยไม่ลืมหันไปทางนากีสที่มาส่งเธอ…

“Ozur dilerim…Nagir…(ฉันขอโทษค่ะนากีส)…
ben gidiyorum(ฉันคงต้องกลับแล้ว)…hadi gorusuruz(แล้วเจอกันค่ะ)…”

ถ้อยคำดังกล่าวบวกกับท่าทางเร่งรีบจะกลับอพาร์ตเม้นของซาเนีย
ทำเอานากีสถึงกับงงก่อนจะหันไปตามสายตาของเธอก็พบกับร่างของชายแปลกหน้า
…นากีสหันไปทางอนีสเพื่อนชาย…ฝ่ายนั้นได้แต่ยิ้มแหย…

และไม่ทันที่ใครจะทันได้อธิบายอะไร ซาเนียก็รีบเร่งฝีเท้ากลับอพาร์ตเม้นทันที
เวลานี้เธอยังไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับเวนไตย…

ทว่าไม่ทันแล้ว เวนไตยวิ่งตามมาดักหน้าเธอเอาไว้ได้ทันก่อนที่หน้าอพาร์ตเม้น
นากีสที่ตั้งใจจะวิ่งตามไปถูกเพื่อนชายรั้งแขนไว้
ก่อนจะลากเข้าบ้านแล้วเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง…


“จะหนีพี่ไปไหนอีกซาเนีย…ใจคอเธอจะหนีพี่ไปจนสุดขอบฟ้ารึยังไง…”
เวนไตยกล่าวพลางแย่งกระเป๋าเดินทางที่เธอลากอยู่มาไว้ในมือของเขาแทน…

“ให้พี่ขึ้นไปส่งเธอนะ…เธอพักอยู่ห้องไหน…”ซาเนียไม่ตอบแถมยังยื้อยุด
จะเอากระเป๋าคืนจากมือของชายหนุ่ม…ทว่าเวนไตยไม่ยอม…

“กระเป๋าใหญ่ขนาดนี้ ให้พี่ช่วยเถอะ…”ซาเนียลอบถอนใจ
ก่อนจะหันไปทางม้านั่งตรงสนามหญ้าเล็กๆตรงหน้าอพาร์ตเม้น

หญิงสาวเดินไปตรงบริเวณนั้น…แล้วนั่งลง เวนไตยลากกระเป๋าเดินตามไป
แล้วนั่งลงท้ิงระยะห่างเอาไว้ไม่ให้ดูน่าเกลียด…

“มาทำไม…”หญิงสาวเปิดบทสนทนาสั้นๆ ทว่าได้ใจความ…

“มาหาเธอ…จะมาตามเธอกลับบ้าน…”

“อยู่ที่นี่ก็ดีอยู่แล้ว…ไม่เป็นตัวภาระให้ใคร…ไม่ต้องหนี…
ไม่ต้องมีใครมาพลอยยุ่งวุ่นวายไม่เป็นสุขไปด้วย…”
หญิงสาวตอบเสียงราบเรียบ หากแฝงไปด้วยความรู้สึกตัดพ้อต่อว่านิดๆ…

“ใจคอเธอจะทิ้งพี่ ทิ้งทุกคนที่โน่นมาอยู่ที่นี่จริงๆเหรอซาเนีย…”

เวนไตยถามด้วยน้ำเสียงตัดพ้อน้อยใจหญิงสาวไม่แพ้กัน…
ซาเนียได้ฟังถึงกับนิ่งพูดไม่ออก…

“หรือจริงๆแล้วเพราะเขาคนนั้นถึงทำให้เธอไปจากที่นี่ไม่ได้…”

“ไม่เกี่ยวกับเขา…เพราะถึงไม่มีเขา…เรื่องระหว่างเรามันก็ต้องเป็นแบบนี้”
ซาเนียค้านเสียงขุ่น…

“ทำไมจะไม่เกี่ยว…เธอยอมไปไหนมาไหนกับเขา…ทั้งๆที่ปกติเธอถือตัว
ไม่ยอมไปไหนไกลๆกับใครง่ายๆ…”

“คนมันเคยง่าย…จะง่ายอีกสักครั้งจะเป็นไรไป…
นายเคยบอกฉันเองไม่ใช่เหรอ…ว่าฉันมันใจง่าย…”

“เลิกพูดถือตัว เรียกแทนตัวเองว่าฉันอย่างโน้นฉันอย่างนี้กับพี่สักที…”

“นายก็เลิกแทนตัวเองว่าพี่ซะสิ…จะได้เจ๊ากัน…”ซาเนียไม่ยอม
จนคนฟังถึงกับอารมณ์พุ่ง บทเธอจะดื้อ ก็ดื้อได้สะบัดจริงๆ…

“ทุกคนทางโน้นเขาห่วงเธอ แต่เธอกลับหนีมามีความสุขอยู่คนเดียวแบบนี้
มันไม่ดูเห็นแก่ตัวไปหน่อยเหรอซาเนีย…”ฟังมาถึงตรงนี้
ความอดทนของหญิงสาวก็แทบขาดสะบั้น เมื่อโดนเขาสะกิดเผลอเก่าตรงที่เดิมเข้า

“ตอนอยู่ที่โน่น นายก็พูดราวกับว่าฉันเป็นตัวภาระให้คนอื่นต้องกลุ้มใจ
พอฉันหนีมาพึ่งพาตัวเองที่นี่…นายก็ตามมาต่อว่าฉันว่าเห็นแก่ตัว
เห็นแก่ความสุขของตัวเองอีก…ถ้านายมาที่นี่เพื่อจะต่อว่าฉันล่ะก็…
นายกลับไปได้แล้ว และเราก็ไม่ต้องมาเจอกันอีก…ฝากบอกทุกคนที่โน่นด้วยว่า
ฉันสุขสบายดีทุกอย่างและกำลังจะมีข่าวดีในอีกไม่ช้า…”

คำว่าข่าวดีถึงกับทำให้คนฟังตกใจ รู้สึกใจหายขึ้นมาทันที

“หมายความว่าไง…”

“ก็หมายความว่า…ฉันกำลังจะตกลงแต่งงานกับนากีสและจะอยู่กับเขาที่นี่
ไม่กลับไปเป็นตัวภาระให้ใครที่โน่นอีก…และก็ไม่ต้องหนีการตามล่าของใครอีกไงล่ะ…”
ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผาก แทบไม่อยากเชื่อหูของตัวเอง…

“แล้วพี่ล่ะซาเนีย…ที่ผ่านมาพี่อยู่ตรงไหนของหัวใจเธอ…”
หญิงสาวเบือนหน้าหนีสายตาของเขา

“หรือพี่มองเธอผิดไป…ที่คิดว่าเธอมีใจให้พี่มาตลอด…”
หญิงสาวยังคงเงียบ…

“หรือเธอไม่รู้ว่าพี่รู้สึกยังไงกับเธอ…พี่ว่าการกระทำของพี่มันชัดเจนจนเธอน่าจะเข้าใจ…”
ซาเนียหันมามองคนที่กำลังพูด

“เราไม่มีอะไรที่เข้ากันเลย…ขนาดพูดภาษาเดียวกันยังไม่เข้าใจกันเลย…”

หญิงสาวเหนื่อยและล้าที่ต้องปะทะฝีปากกับเขา…

สิ่งที่เธอต้องการจากเขาไม่ใช่คำว่ารัก
แต่เธอต้องการคำพูดดีๆ คำพูดปลอบใจ ให้กำลังใจ
คำพูดที่ทำให้เธอยิ้มได้ ไม่ใช่ต้องขมขื่นและกลับไปนอนร้องไห้…

และเธอก็ไม่ต้องการเป็นเงาของใคร ไม่ต้องการเป็นตัวแทนของใคร…

จากที่เคยคิดว่าสามารถตัดเขาทิ้งไปจากใจได้บ้างแล้ว หากเมื่อเจอหน้ากัน
คำตอบมันไม่ใช่…เมื่อไหร่เขาจะพูดจาดีๆกับเธอบ้าง…
แค่คำพูดดีๆ…ไม่ชวนทะเลาะ ไม่ทำให้เธอเจ็บช้ำ…แค่นั้น…

“มีความสุขรึไงที่ทำให้หัวใจพี่เยิน…”เวนไตยตัดพ้อหญิงสาวด้วยแววตาเจ็บปวด…
ซาเนียหันมามองหน้าของชายหนุ่มแล้วลุกขึ้นยืน
จับกระเป๋าแล้วเดินลากจากไปโดยไม่กล่าวอะไร

…เวนไตยมองภาพนั้นราวกับใจจะขาด…หัวใจของเขายังรักยังภักดีต่อเธอ…
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า เพียงไม่นาน…
ความรักความผูกพันก่อนหน้านี้ระหว่างเขากับเธอ
จะพ่ายแพ้ความรักความผูกพันที่เธอทุ่มเทให้กับผู้ชายคนนั้น…

ที่ผ่านมามีแต่เขาใช่มั้ยที่ยังคงรั้งและพยายามดึงทุกอย่างเอาไว้…

“พี่รักเธอนะซาเนีย…เธอคือรักแรกและรักเดียวของพี่…”

ขาของหญิงสาวชะงักลงเมื่อได้ยินประโยคนั้นจากปากของเขา
ประโยคที่เธออยากได้ยินมาตลอด แต่พอได้ฟังจริงๆ เธอกลับไม่ได้รู้สึกดีใจเลย…
น้ำตาของหญิงสาวไหลหยดลงมาก่อนจะก้าวขาเดินต่อไป…

“ก่อนจะทิ้งกันไป…บอกเหตุผลพี่สักข้อได้ไหมว่าเพราะอะไร…”
เวนไตยวิ่งตามมาขวางหน้าซาเนียเอาไว้…

“ถ้าจะเดินหนีพี่ไปแบบนี้…ฆ่าพี่ซะดีกว่า…”สายตาเว้าวอนของชายหนุ่ม
ทำให้ซาเนียถึงกับหลั่งน้ำตา…

“เหตุผลเหรอ…แค่น้ำตาก็เกินจะพอแล้ว…ชีวิตที่ต้องถูกไล่ล่ากับหัวใจที่ถูกย่ำยี…
หลายครั้งที่ต้องกลับมาถามตัวเองว่า ระหว่างน้ำตากับลมหายใจ อย่างไหนนะจะหมดก่อนกัน…

เมื่อออกมาจากวังวนนั้นได้บ้างแล้ว ก็ไม่อยากกลับไปเจ็บ ไม่อยากกลับไปเสี่ยงอีก…
เพราะแค่ที่เจ็บอยู่…ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะหาย…”
ซาเนียหยุดหายใจนิดนึงก่อนจะกล่าวอีกว่า…

“นายคิดว่าคำว่ารักคำเดียวจะมีอานุภาพมากมายรึยังไง…
คำพูดแบบนี้ไม่ใช่แค่นายที่พูดได้ คนอื่นที่ผ่านเข้ามาในชีวิตฉันเขาก็พูดกันแบบนั้น…
แต่ก็ไม่เคยมีใครทำได้อย่างนิยามของมันเลย…

เพราะแค่คำว่าเข้าใจนายยังเข้าไม่ถึงเลย…นายไม่เคยเข้าใจฉัน
เหมือนๆกับที่ฉันก็ไม่เข้าใจนาย…สรุปว่าเราไม่เข้าใจกัน…เราไปด้วยกันไม่ได้หรอก…
ภาษาเดียวกัน มันไม่ได้ช่วยให้เราเข้าใจกันได้เลย…”

เวนไตยยกมือหมายจะซับน้ำตาให้หญิงสาว ทว่าซาเนียกลับหลบ…
ก่อนจะยกมือซับน้ำตาตัวเองแทน…

“พี่ขอโทษ…พี่สัญญาว่าจะพยายามไม่ทำให้เธอร้องไห้อีก…
พี่จะทำให้เธอเห็นว่ารักพี่มีดียังไง…”

“อย่าสัญญาในสิ่งที่นายยังหาวิธีรักษามันไม่ได้เลย…
เพราะแค่คำพูดหวานๆ…นายยังพูดไม่เป็นเลย…”

“ผู้ชายคนนั้นปากหวานงั้นสิ…”

ซาเนียกัดฟัน นั่นไง เอาอีกแล้ว…
หญิงสาวจึงเลี่ยงเดินหนีชายหนุ่มไปอีกทาง…ยิ่งพูดกับเขาเธอก็ยิ่งเหนื่อย เหนื่อยใจเหลือเกิน…

“ถึงพี่จะพูดหวานไม่เป็น…แต่ผู้ชายปากร้ายคนนี้จะทำให้เธอรักให้สำเร็จให้ได้คอยดู…”

ซาเนียไม่สนเดินขึ้นห้องไป

เพราะต่อจากนี้ถึงแม้เขาจะไม่ทำอะไร เธอก็รักเขาไปแล้ว…
รักแล้วก็รักเลย แต่การจะลงเอยด้วยการเดินทางไปด้วยกันสำหรับเธอ
…มันมีอะไรที่มากกว่ารัก…เพราะแค่รักกัน มันไม่เพียงพอให้ชีวิตคู่อยู่รอดไปตลอด…

…คู่รักอาจเป็นใครก็ได้ที่เรารัก…
…แต่คู่ชีวิต มิใช่ว่าคนที่เรารักจะเป็นได้ทุกคน…
…และคนที่เธอต้องการ…มิใช่แค่คู่รัก…แต่เธอต้องการคู่ชีวิต…
…เมื่อได้เจอคนที่รักแล้ว…เธอก็แค่ต้องการให้แน่ใจว่าคนที่เธอรัก
สามารถเป็นคู่ชีวิตของเธอได้หรือเปล่า…

…เธอไม่ได้เป็นผู้หญิงที่ดีเลิศ…และคนที่เธอต้องการก็ไม่จำเป็นต้องดีเลิศ…
เธอแค่ต้องการคนที่เข้าใจ คนที่เติมเต็มสิ่งที่ขาดหาย
คนที่เป็นครึ่งหนึ่งของชีวิต…คนที่เป็นได้มากกว่ารัก…

แม้บทบาทชีวิตที่เธอได้รับมาแสดงจะโหดร้ายสักแค่ไหน…
แต่เธอก็ยังมองเห็นสิ่งดีๆผ่านเหตุการณ์ร้ายๆเหล่านั้น…

ไม่แปลกที่เธอรักเขา และจะแปลกอะไร ถ้าเธอจะอยากรู้ว่า เขาจะเป็นคู่ชีวิตของเธอได้หรือไม่
…หวังว่าสักวัน เขาจะเข้าใจเธอได้มากกว่านี้…

เวนไตยมองภาพหญิงสาวเดินเข้าตัวตึกไปแล้วได้แต่ทอดถอนใจ

“คำว่ารักคงยังไม่พอสำหรับเธอใช่มั้ยซาเนีย…เธอถึงไม่รับฟัง…”



หลังจากวันนั้น เวนไตยก็พยายามตามตื้อซาเนียอยู่อีกหลายวัน
โดยไม่ละความพยายามแม้จะมีคู่ต่อสู้ที่น่ากลัว แม้ศัตรูหัวใจ
จะเหมือนม้ามืดอัศวินในสายตาของซาเนีย
หากเวนไตยก็ยังแน่ใจว่าซาเนียยังมีใจให้เขาอยู่…

แต่เมื่อคิดอีกมุม ชายหนุ่มก็พบว่า เขาอาจจะเห็นแก่ตัวหรือเปล่า
ที่จะพาเธอกลับไทย ไปเผชิญหน้ากับการไล่ล่า การเสี่ยงตาย…
และที่สำคัญ ต้องเผชิญกับทุกคนที่เกาะชิงชัง

เหนือสิ่งอื่นใด เขายังมีภาระที่ต้องแบกรับเอาไว้อีกมากมายที่เมืองไทย…
มีอีกหลายอย่างในชีวิตที่ต้องกลับไปสะสาง…มีหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายที่ต้องทำให้ลุล่วง

…บางทีการปล่อยเธอไว้ที่ตรงนี้…อาจเป็นการดีสำหรับเธอ…แม้เขาจะเจ็บปวดแค่ไหน…
และอาจจะทำให้เธอเข้าใจเขาผิดไป…แต่เขาก็แน่ใจว่า สักวันหนึ่ง
ซาเนียจะเข้าใจกับการตัดสินใจของเขา…

ชายหนุ่มจึงตัดสินใจว่าจะกลับไทย
ทว่าก่อนไปเขาได้โทรไปหานากีสแล้วนัดมาเจอกันที่ริมทะเล
ที่มีช่องแคบที่แบ่งเขตระหว่างทวีปยุโรปและทวีปเอเชีย…

“ผมพูดอังกฤษไม่คล่อง ขอพูดไทยแล้วกัน คุณจะเข้าใจหรือไม่ ผมไม่รู้…
แต่ผมอยากบอกคุณว่า…การที่ผมไป ไม่ได้หมายความว่าผมยอมแพ้คุณหรอกนะ…
แต่ผมเชื่อว่าซาเนียจะปลอดภัยและยิ้มได้มากกว่าถ้าได้อยู่ที่นี่ต่อไป…

ผมคงต้องฝากคุณดูแลเธอด้วย รักเธอให้มากกว่าที่ผมรัก…ผมขอคุณแค่นี้…”

เวนไตยแทบอยากจะกัดลิ้นตัวเองด้วยซ้ำที่ต้องกล่าวถ้อยคำ
ที่เป็นเหมือนการยกของรักของหวงให้กับคนอื่น

…แต่การรั้งไว้มันไม่ช่วยให้อะไรๆดีขึ้นเลย…

เธออาจจะต้องมาเสี่ยงชีวิต หากต้องกลับไปกับเขา…
สู้ได้มองเธอมีชีวิตอย่างสงบสุขและยิ้มได้ต่อไปอยู่ห่างๆ ไม่ดีกว่าหรือ…

เขาและเธออาจจะไม่ได้ถูกสร้างมาให้คู่กันก็ได้…

สำหรับเขา การได้รัก ได้ทำหน้าที่ของคนที่รักเธอจนสุดกำลัง…เท่านี้เขาก็ชื่นใจแล้ว…
แม้จากนี้ไปจะเจ็บปวดสักเท่าไหร่…เขาก็ยินดีที่จะรับความเจ็บนั้น
หากมันจะทำให้คนที่เขารักปลอดภัยและได้อยู่กับคนที่ดี…

เขาเชื่อว่าผู้ชายตรงหน้าเขานั้น…เป็นคนดีและสามารถปกป้องดูแลเธอให้มีความสุขได้…
ที่สำคัญ นากีสเป็นผู้ชายที่สามารถให้ความมั่นคงให้กับซาเนียได้
ซึ่งต่างจากเขา ชีวิตเขาไม่มีอะไรแน่นอนเลย…

เขาเองก็อยากทำตามสัญญาว่าจะปกป้องดูแลเธอไปตลอด
ดังที่ได้ให้ไว้กับลุงกุมพลก่อนที่ท่านจะเสียชีวิต…

แต่ทุกครั้งก็ลงเอยด้วยการพาเธอไปเสี่ยงจนเธอเกือบเอาชีวิตไม่รอดมาหลายต่อหลายครั้ง…
ครั้งนี้เขาจึงแน่ใจแล้วว่า การตัดสินใจในครั้งนี้…
เขากัดฟันทำมันเพื่อปกป้องเธออย่างสุดกำลังแล้ว

เพราะไม่มีอะไรที่จะทำให้เขาเจ็บปวดได้มากเท่ากับการยอมให้เธอได้เคียงคู่กับคนอื่น…

“หน้าที่คนเก่าอย่างผมคงหมดแค่นี้…ลาก่อน…”

นากีสได้แต่มองแผ่นหลังของชายหนุ่มที่เขาเริ่มรู้สึกนับถือหัวใจขึ้นมา

…เขารู้แล้วว่า ทำไมซาเนียถึงได้รักผู้ชายคนนี้จนไม่เหลือเศษใจเอาไว้ให้รักเขาเลย…

“ผมจะทำเพื่อเธอ ให้เท่ากับที่คุณทำ…”
ชายหนุ่มชาวตุรกีกล่าวประโยคดังกล่าวเป็นภาษาไทย
แม้ไม่ชัดถ้อยชัดคำนักหากก็ทำให้เท้าของเวนไตยชะงักนิดนึง
ก่อนจะหันกลับมายิ้มให้คนพูดพร้อมกับโบกมือลา

…นากีสรู้ว่า เขาคงไม่อาจทำเพื่อซาเนียได้เท่ากับที่ผู้ชายคนนั้นทำได้แน่
เพราะเขาเป็นผู้ชายที่เห็นแก่ตัวเกินกว่าจะปล่อยให้คนที่ตัวเองรักไปมีความสุขกับคนอื่นได้…

ผู้ชายคนนั้นกลัวว่าการเหนี่ยวรั้งซาเนียไว้จะทำให้เธอเจ็บปวด
และเป็นอันตรายถึงได้ยอมปล่อยมือเธอ…

เพราะการยื้อแย่งเธอกับเขา คนที่จะเจ็บปวดที่สุด ก็คงไม่พ้นคนที่โดนแย่งไปมาอย่างซาเนีย…

เขาเชื่อแล้วว่า…หัวใจรักของผู้ชายที่เพิ่งโบกมือลาเขานั้นยิ่งใหญ่
มากกว่าเขาหลายเท่านัก…ผู้ชายคนนั้นยอมตายในหน้าที่…





“บทชีวิตคือบทละครที่สวรรค์กำหนด ได้บทที่เหี้ยมโหด เฝ้าโทษตัวเอง
ก่อนจากหากได้ลา ปัญหาฉันคงทุเลา เพียงได้สบตา ทุกข์คงบรรเทา

คำว่ารักคงยังไม่พอ เธอคงไม่รับฟัง…รักคงยังไม่พอ
แต่อยากจะขอ ได้พบได้พูดให้เธอเข้าใจ
ให้รู้ในใจยังรักเธออยู่ แต่กลัวจะซ้ำเติมทุกข์ให้เธอเจ็บช้ำ
เพราะรักคงยังไม่พอ…

หมดความหมาย ได้บทแสดงยังหายใจอยู่ ถูกคนลบหลู่ บาดใจทุกวัน
ปิดฉากไปเสียดีกว่า แสดงเป็นคนไร้ค่า อาจมีสักวันเข้าใจมากกว่านี้

คำว่ารักคงยังไม่พอ เธอคงไม่รับฟัง…รักคงยังไม่พอ
แต่อยากจะขอ ได้พบได้พูดให้เธอเข้าใจ
ให้รู้ในใจยังรักเธออยู่ แต่กลัวจะซ้ำเติมทุกข์ให้เธอเจ็บช้ำ
เพราะรักคงยังไม่พอ…

ดังเรือใบล่องหาทิศทาง แบกภาระสูงจนเต็มลำ ติดตามไปคงไม่ถึงฝ่ัง
ดูใจดำแต่ฉันหวังดี ที่ต้องทิ้งเธอตามลำพัง
ไม่อยากให้เธอต้องลำบากด้วยกัน

ความจริงใจสื่อสารลำบาก ฝากความหมายในเพลงบางคำ
เผื่อสักวันเธออาจเข้าใจ…เผื่อสักวันเธอให้…อภัย…”

(เพลง รักคงยังไม่พอ…ของ เสือ ธนพล อินทฤทธิ์)

เสียงร้องเพลงกับเสียงดีดกีตาร์ของเวนไตยดังก้องไปทั่วสนามหญ้าหน้าบ้าน
ของสองสามีภรรยา ดาลัลกับอนีส ซึ่งด้านในของตัวบ้านมีซาเนียซ่อนกายอยู่…

กีตาร์ของอนีสถูกใช้งานในการสัั่งลาทางอ้อมของเวนไตย…
ไม่มีใครรู้ เพราะชายหนุ่มไม่ได้บอกกล่าวกับใคร

หลังจากพูดธุระฝากฝังซาเนียกับนากีสเสร็จแล้ว
เวนไตยก็แวะมาบ้านของสองสามีภรรยา…

ชายหนุ่มมองหน้าเจ้าตัวน้อยที่นั่งฟังเขาร้องเพลงดีดกีตาร์ด้วยแววตาและสีหน้าสนใจ
แล้วก็อดยิ้มขณะโยกศีรษะทุยนั่นด้วยความเอ็นดูไม่ได้…

ที่นี่สงบและดูอบอุ่นจริงอย่างที่ซาเนียบอกเขา…
เขาควรดีใจที่เธอได้พักอยู่ที่นี่…เธอได้ทำงานที่รัก ได้ใช้ชีวิตอย่างที่เธอต้องการ

และที่สำคัญ ครอบครัวของเพ่ือนสาวของเธอก็อบอุ่นและน่ารักมาก
เขาแน่ใจว่า…ที่นี่จะทำให้ซาเนียมีความสุขได้ไม่น้อยหรืออาจจะมากกว่าที่ประเทศไทยด้วยซ้ำไป

…เขาจะไม่โกรธเธอเลย หากวันนึงคนที่เธอเลือกมาเป็นคู่ชีวิตไม่ใช่เขา
เพราะสุดกำลังที่มี เขาก็ยังทำได้ไม่ดีพอ…

เมื่อเธอเจอใครที่ดีกว่า เขาก็พร้อมจะยินดีด้วย
ถึงแม้จะเจ็บปวดมากมายเท่าไหร่ แต่ความชื่นใจมันมีมากกว่า…

คืนนี้เขาจะเดินทางกลับบ้านเกิดของเขาแล้ว…
ที่นั่นยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่เขาต้องกลับไปดูแลสะสาง…
หากเขาก็ยังอยากเห็นหน้าซาเนียอีกสักครั้งก่อนจากไป…

ทว่า…เธอกลับไม่ยอมออกมา…เขาจึงต้องใช้เพลงนี้สื่อสารกับเธอแทน

“ให้พี่ซาเนียด้วยนะฮานีฟ…ให้พี่ซาเนีย…”เวนไตยยื่นอะไรบางอย่าง
ส่งให้เจ้าตัวน้อยก่อนจะยกมือลูบศีรษะนั้นเบาๆอย่างเอ็นดู…
พร้อมกับย้ำซ้ำตรงถ้อยคำในประโยคหลังสุด…

“ส่วนนี่ของฮานีฟ พี่ยกให้…”เวนไตยสวมสร้อยคอที่ถืออยู่ในมือ
ซึ่งมีปิ๊กกีตาร์ที่เขาใช้เล่นกีตาร์เมื่อครู่เป็นจี้ให้เจ้าตัวน้อย…

เพราะก่อนหน้านี้ เจ้าตัวน้อยตรงหน้าดูจะสนใจสร้อยคอของเขา
เวลาที่เขาเล่นฟุตบอลด้วย…

“แล้วนี่ฝากคืนพ่อของเราด้วย…”แม้เด็กชายจะไม่ค่อยเข้าใจความหมายสักเท่าไหร่
แต่ก็พอเดาได้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร…

“คุณจะกลับที่พักแล้วเหรอ อยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนสิ…”

ดาลัลเห็นเวนไตยเดินผ่านหน้าไปยังหน้าบ้าน…
ตอนแรกชายหนุ่มกะว่าจะเดินจากไปเงียบๆ
เพราะไม่อยากบอกกล่าวให้เป็นเรื่องราววุ่นวายขึ้นมาอีก

…การต้องเอ่ยคำลามันเจ็บปวดยิ่งกว่าตอนที่ต้องเดินจากไปหลายเท่านักสำหรับเขา…

หากตอนนี้เขาคงจะปฏิเสธมันไม่ได้อีกแล้ว…

“ครับ…จะกลับแล้ว…ขอบคุณนะครับสำหรับบรรยากาศน่ารักๆและอบอุ่น
ที่มอบให้ผมในดินแดนนี้…ผมจะไม่ลืมเลย…”หญิงสาวเลิกคิ้วนิดนึง
ด้วยความแปลกใจในตอนท้ายๆของประโยค

“งั้นทานขนมนี่ก่อนก็ดีนะคะ…เค้กแรวานี่เนี่ย ฉันกับซาเนียตั้งใจทำให้คุณทานเลยนะคะ…
เมื่อกี้ได้ยินเสียงคุณร้องเพลงด้วย…เพลงเพราะดีนะคะ เสียงคุณก็ไพเราะ น่าฟัง…
ฉันกำลังจะเอาขนมมาให้ทานพอดี อย่าเพิ่งกลับเลยนะคะ…อีกแป๊บอนีสก็คงกลับมาแล้ว”
ดาลัลกล่าวพร้อมยิ้มอย่างจริงใจ

“ขอบคุณครับสำหรับน้ำใจ…แต่ผมคงต้องกลับแล้วล่ะครับ…
ผมดีใจที่ได้รู้จักกับครอบครัวของคุณ…ซาเนียโชคดีที่มีเพื่อนอย่างคุณ
ลาก่อนนะครับ ลาก่อนนะฮานีฟ…”เวนไตยหันไปลูบศีรษะของเจ้าตัวน้อย
ที่ยืนอยู่ข้างๆมารดาอีกครั้ง…

“ฝากลาและฝากขอบคุณอนีสด้วยนะครับ…ฝากบอกซาเนียด้วยว่า…”

ไม่ทันที่เวนไตยจะกล่าวจบ เจ้าของชื่อก็ปรากฏกายต่อหน้าเขา
พร้อมถุงกระดาษสีฟ้าครามที่ยื่นมาตรงหน้าเขา…

“แรวานี่สำหรับนาย…”เสียงของคนพูดสั่นนิดๆจนคนฟังรู้สึกได้…

พอเขาเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของชื่อขนมหวานในถุงกระดาษ
เธอก็เบือนหน้าหนี…ไม่ยอมสบตากับเขา…

“พี่ขอให้เธอโชคดี มีสุขอยู่เสมอ…”
ซาเนียถึงกับน้ำตาคลอแทบจะรื้นออกมาทางหางตาเลยทีเดียวกับถ้อยคำนั้นของเขา…

“เธอเหมาะกับที่นี่…เธอเหมาะกับเขา…”

น้ำตาของหญิงสาวหยดแหมะลงมาเมื่อเข้าใจความนัยของประโยคดังกล่าว

…มันคือสัญญาณของการอำลา…เธอแอบนึกอยู่ตั้งแต่ได้ฟังเพลงที่เขาร้องเมื่อครู่แล้ว
ถึงได้จัดแจงเค้กที่ทำไว้ใส่ลงกล่อง…

“พี่อยากเป็นเรือส่งให้เธอไปถึงฝั่งฝัน…แต่ขอนไม้อย่างพี่คงส่งเธอได้แค่นี้
ขอแสดงความยินดีล่วงหน้าด้วยนะครับ…Allaha ismarladik (ลาก่อน)”

เวนไตยกล่าวลาเป็นภาษาตุรกี…แม้จะอยู่ที่นี่ไม่กี่วัน แต่คำว่าลาก่อน
มันไม่ยากนักที่เขาจะหัดพูดหัดจำมา เพราะรู้ว่าคำๆนี้สักวันนึงเขาคงต้องใช้
แม้จะไม่อยากพูด แต่ก็จำเป็นต้องเอ่ยออกไป…

ซาเนียมองภาพแผ่นหลังของชายหนุ่มทีกำลังก้าวออกไปจากชีวิตของเธอ
ก่อนจะปล่อยโฮออกมา ดาลัลจึงคว้าตัวเพื่อนมาสวมกอด
เมื่อพอจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว…

“เขายอมถอดใจจากไปแล้วดาลัล…เขาเลือกจะทิ้งฉันไปแล้ว…”
ดาลัลลูบหลังเพื่อนสาวโดยไม่กล่าวอะไร…

“สุดท้ายเขาก็เลือกหน้าที่…”ซาเนียร้องไห้โฮอย่างไม่นึกอาย

วันนั้นตอนที่เธอตัดใจทิ้งเขามา เธอว่าเจ็บปวดแล้ว
แต่พอโดนเขาเป็นฝ่ายทิ้งเธอไปบ้าง ไม่คิดเลยว่า รสชาติของมันจะเจ็บปวดขนาดนี้…

เจ้าตัวน้อยเห็นพี่ซาเนียคนสวยของตัวเองกำลังร้องไห้เสียใจ
จึงกระตุกมือของหญิงสาว ซาเนียจึงก้มลงมองร่างน้อย
ก่อนจะรับของที่ฮานีฟส่งมาให้เธอ ซาเนียมองกระดาษที่พับเป็นรูปเรือ
กับกำไลมือที่เธอเคยคิดว่าทำหายไปแล้วด้วยแววตาประหลาดใจ…

ก่อนจะยิ้มออกมาทั้งน้ำตา…เมื่อรู้ว่า…เขาเป็นคนเก็บมันได้…

กำไลนี่เคยเป็นกำไลของแม่ของเขาที่เธอเคยอยากได้ ก็เลยขอท่าน
ทั้งๆที่รู้ว่าท่านรักและหวงกำไลมืออันนี้ แต่เธอก็อยากได้มันโดยที่ก็รู้ว่าไม่อาจสวมใส่ได้
เพราะมันใหญ่เกินข้อมือเล็กๆของเธอในตอนนั้น

ทว่า…ก่อนที่คุณป้านาเดียจะหายไปจากชีวิตเธอ…ท่านได้ยกมัน
ให้กับเธอราวกับจะรู้ว่า เราจะไม่ได้พบเจอกันอีก…
แม้ตอนนั้นเธอจะยังเด็กอยู่มากๆ แต่ภาพการกระทำเหล่านั้น
มันยังชัดเจนเสมออย่างน่าประหลาดใจ...
ภาพที่ท่านสวมกำไลนั้นให้เธอที่ข้อมือเล็กเอามากๆนั้น
เด็กขวบเศษอย่างเธอจำได้...จำมาได้จวบจนวันนี้
เพราะน่ันคือภาพสุดท้ายระหว่างเธอกับท่าน...

เธอขอให้มารดาช่วยเก็บกำไลอันนี้เอาไว้อย่างดีมาตลอด
เพื่อเป็นตัวแทนของท่านและครอบครัวของท่าน
พอสวมได้ก็สวมมันเอาไว้เสมอเพื่อระลึกถึงตัวท่านและครอบครัวของท่าน…

วันที่ได้รู้ว่าเขาคือพี่ปราณลูกชายคนเดียวของคุณป้านาเดีย
เธอแอบดีใจอย่างที่สุด ที่ถึงจะไม่ได้เจอท่านอีกแล้ว
หากก็ยังได้เจอลูกชายของท่านที่เธอคิดมาตลอดว่าได้เสียชีวิตไปแล้ว…

แววตาของเขาเมื่อครู่ช่างเหมือนกับแววตาของท่านที่เธอจำได้ยิ่งนัก…
ยิ่งในภาพถ่ายยิ่งเหมือน...

เธอแน่ใจว่า…เขาคือพ่ีปราณจริงๆอย่างที่เขาเคยบอก…

เธอมีความสุขยามที่เขามาอยู่ใกล้ๆ แม้จะแสร้งทำหมางเมินใส่เขา
แต่แท้ที่จริงแล้ว เธอมีความสุขมากกว่าทุกวันที่ผ่านมา…

ทุกนาทีเป็นสีทอง…รักทำให้ความทุกข์คลาย…
ยาอื่นไม่หายไม่เลือนเหมือนเขาเป็นยา…ทว่าบัดนี้ ยาใจได้จากเธอไปแล้ว

“ฉันรักเขาเหลือเกินดาลัล…”ซาเนียสารภาพกับเพื่อน
ดาลัลผ่อนลมหายใจแล้วกล่าวกับเพื่อนสาวว่า

“ฉันพอจะเข้าใจเจตนาของเขา…เขาเป็นห่วงเธอ กลัวเธอจะไม่ปลอดภัย
แต่ถ้าเธอรักเขามากขนาดนี้…ฉันว่ากลับไปหาหัวใจของเธอเถอะ…
อย่าทรมานตัวเองอีกเลย…”ซาเนียส่ายหน้า…เธอไม่อาจกลับไปได้

“ฉันไม่อยากกลับไปทำให้เขาลำบากใจ…เขามีภาระหน้าที่มากมายที่ต้องแบกรับในแต่ละวัน…
หากมีฉัน เขาจะห่วงหน้าพะวงหลัง…เธอก็รู้ว่ามีคนคอยตามล่าตัวฉันอยู่ที่นั่น…”
คนฟังถึงกับลอบถอนใจ คนรักกัน หวังดีต่อกันแท้ๆ แต่ต้องมาลงเอยแบบนี้ เห็นแล้วมันหดหู่ใจ

“ฉันเชื่อว่าเวลาจะช่วยได้…”ซาเนียพยักหน้าก่อนจะปาดน้ำตา
ที่ไหลอาบแก้มแล้วยิ้มปนเปื้อนน้ำตาอีกครั้ง…เมื่อก้มลงมองกำไลมือ

ภาพเวลาแห่งความหลังยังคงตรึงอยู่ในใจเธออย่างมั่นคง
ทุกภาพที่มีเขาคอยเป็นเงาที่เอื้ออาทร คอยห่วงใยเธอ…
ในยามที่เธองอแงก็มีเขาคอยตักเตือนคอยใส่ใจ…
ในยามที่เธอตกอยู่ในอันตราย ก็มีมือของเขายื่นเข้ามาช่วย…

ทั้งเธอและเขาต่างก็ผ่านเหตุการณ์ร้ายๆมาด้วยกัน
ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะยอมปล่อยให้เธอตกอยู่ในอันตราย…
ไม่ว่าจะแดด ฝน ลมพายุ หรือดงกระสุน เราก็ฝ่ามันมาด้วยกัน…

แม้ปากเขาจะร้าย…แต่เขาไม่เคยใจร้ายกับเธอจริงๆเลยสักครั้ง…
ภาพเหล่านั้นยังไม่เลือนหายไปจากใจเธอ…ลมหายใจเข้าออกก็ยังมีเขา
จนกลายเป็นความผูกพัน กลายเป็นส่วนหนึ่งของหัวใจเธอ…



ซาเนียยืนตรงริมหน้าต่างห้องพักของตัวเองแล้วคลี่กระดาษที่พับเป็นรูปเรือออก
เห็นตัวหนังสือลายมือของเขาก่อนจะอ่านมันทั้งน้ำตาอาบแก้ม…


‘แม้สุดท้าย จะเจ็บปวด แต่พี่ก็ภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่นี้ได้ลุล่วง…
ถึงจากนี้ต้องตาย พี่ก็ไม่เสียดายชีวิต เพราะแน่ใจแล้วว่าเธอได้เจอกับคนดี
และพร้อมจะดูแลปกป้องเธอ…พี่เชื่อว่าเขาทำหน้าที่นั้นได้ดีไม่แพ้พี่…
พี่จะยินดีด้วยที่สุด ถ้าเธอได้ครองคู่กับเขา…คนดีๆไม่ได้หากันได้ง่ายๆ…
วันนึงเมื่อเธอรักเขา พี่ก็จะเป็นเพียงแค่คนนึงที่เธออาจจะจำไม่ได้ก็ได้…

บางที…เธออาจจะขอบคุณพี่ด้วยซ้ำที่ไม่ฉุดรั้งเธอไว้ในวันนี้…
พี่ขอให้เธอโชคดี…มีความสุขอยู่เสมอ…แล้วก็เลิกขี้แยได้แล้ว…
…ปราณ ปุรารัตน์…’

ซาเนียส่ายหน้าไปมาก่อนจะพร่ำออกมาทั้งน้ำตาว่า

“ไม่มีทาง…ซาเนียไม่มีทางจะลืมพี่ได้หรอก…ไม่มีวันนั้นแน่ๆ…
และก็ไม่มีวันจะรักใครนอกจากพี่ได้ด้วย…ต่อให้เราไม่อาจครองคู่กัน
ซาเนียก็ยินดีจะรักพี่ไปอย่างนี้…จะไม่ขอมองใครอีกแล้ว…
ต่อให้เขาคนนั้นจะดีกว่าพี่สักกี่พันเท่า ซาเนียก็จะขอรักพี่ไปอย่างนี้…
รักพี่ไปจนสิ้นลมหายใจ…”ซาเนียตีอกชกหัวตัวเอง

ทำไมเขาต้องผลักใสให้เธอไปรักคนอื่นด้วย…เธอไม่ได้อยากรักใครนอกจากเขา…
เขาคนเดียวที่เธออยากจะรักและจะขอรักอยู่อย่างนี้…

ซาเนียวิ่งออกจากห้องตรงไปยังโรงแรมที่เวนไตยพักอยู่ หากก็ไปไม่ทัน
เขาเช็คเอาท์ออกไปแล้ว…ก่อนจะมาทรุดเข่าลงมองเครื่องบินที่ทยาน
ขึ้นสู่ฟากฟ้าในยามดึกที่สนามบิน…เธอมาช้าไป…

เธอมาที่นี่เพื่อจะมามองหน้าเขาให้ชัดอีกสักครั้งก่อนจะจากกัน…
ไม่ได้มาเพื่อจะฉุดรั้ง…แค่อยากเห็นหน้าเขาอีกสักครั้งเท่านั้น…

แต่มันสายไปแล้ว…เขาไปแล้ว…

…คำว่ารักของเขาอาจจะยังไม่เพียงพอ แต่หัวใจของเขาเพียงพอแล้ว
สำหรับเติมเต็มช่องว่างให้กับชีวิตและหัวใจของเธอ…

…บางที…อาจจะเป็นเพราะเธอเองไม่ได้เกิดมาเพื่อใคร…
ทุกคนที่เธอรักถึงได้จากเธอไปไกลแสนไกล…

…ขอให้พระเจ้าโปรดคุ้มครองเขาให้ปลอดภัยด้วยเถิด…

…ขอให้เธอรักเขาตลอดไปเช่นแผ่นฟ้ามั่นคงไม่ดับสลาย…

…ขอให้เขาโชคดี มีสุขอยู่เสมอ…

…ขอให้เราได้กลับมาพบเจอกัน…และเป็นคู่ชีวิตกันด้วยเถิด…

...เธอไม่อยากเหงาเดียวดายอยู่บนคานน้อย คอยรักตลอดไป…

…แต่ถ้าไม่ใช่เขา เธอก็พร้อมจะอยู่บนนี้จนแก่ตาย…





เวนไตยมองเค้กแรวานี่ในกล่องสีฟ้าครามในมือหลังจาก
เครื่องบินลงจอดที่สนามบินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว…ภาพของซาเนีย
แววตาของเธอตอนยื่นกล่องขนมนี้ให้เขายังคงติดตาตรึงใจ…

ยิ่งเมื่อได้แกะกล่องแล้วลองหยิบขนมดังกล่าวขึ้นมาลองชิมดู…
รสหวานฉ่ำของมันทำให้ลำคอที่แห้งผากของเขาชุ่มชื่นขึ้นมาทันตา

น้ำตาของบุรุษรื้นขึ้นมา เมื่อจินตนาการภาพของเธอที่กำลังทำขนมชนิดนี้
เขารู้ว่าที่ผ่านมาซาเนียทำอะไรแบบนี้ไม่เป็น แค่ล้างจานก็ยังทำจานแตก
ทว่ารสชาติของขนมเค้กนี้ เขาอดยอมรับไม่ได้ว่า
มันอร่อยถูกใจเขาที่สุดในบรรดาขนมและของหวานที่เขาเคยทานมา

…เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ มันเป็นขนมที่เธอตั้งใจทำให้เขา
ที่เขารู้เพราะเธอรู้ดีว่าเขาชอบของหวาน

แม้ปากของเขาจะหวานไม่เป็น แต่เขาก็เป็นคนชอบของหวาน…
ชอบถ้อยคำหวานๆ…ชอบผู้หญิงหน้าหวาน…ชอบตาหวานๆของเธอ…
เขาไม่รู้ว่าอะไรทำให้เธออยากหัดทำอาหารและของหวาน…

เพราะตั้งแต่ระรินเสียชีวิตไป…และเขาก็เมินเฉยต่อเธอ…

หลังจากวันนั้น เขาก็เห็นเธอพยายามหัดทำกับข้าว หัดตกปลา หัดปลูกผัก
แล้วนี่ยังหัดทำขนมหวานอีก…เธอเปลี่ยนไปจากครั้งแรกที่เขาเจอเธอ…

ผู้หญิงที่เขาคิดว่าไม่เอาไหน เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อในวันวาน
ตอนนี้เธอกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี เธอกำลังทำในสิ่งที่เป็นเสน่ห์ของผู้หญิง
ซึ่งผู้ชายอย่างเขาไม่อาจปฏิเสธได้…

อยู่ๆชายหนุ่มก็เผลอจินตนาการถึงภาพที่บ้านของเขามีเธอมาเป็นแม่บ้าน
คอยทำอาหารอร่อยให้เขาทานทุกมื้อ คอยพูดจาหวานๆพร้อมยกน้ำมาให้เขาดื่ม
ยามที่เขากลับมาเหนื่อยๆ ส่งยิ้มให้เขาคลายความอ่อนล้า

…เขาจะมีความสุขแค่ไหน ถ้าได้เธอมาเป็นคู่ชีวิต มาเป็นแม่บ้านแม่เรือน
และเป็นแม่ของลูกของเขา…

หากความคิดและภาพจินตนาการดังกล่าวก็พลันหายไปในพริบตา
เมื่อภาพของชายหนุ่มรูปงาม ที่เพียบพร้อมไปด้วยทุกอย่างเข้ามาแทนที่
อยู่ๆน้ำตาของลูกผู้ชายก็ไหลออกมาอย่างห้ามเอาไว้ไม่ไหว…

เวนไตยกลั้นสะอื้นแล้วซ่อนน้ำตาเอาไว้อีกครั้ง…ก่อนจะฉีกยิ้มสู้ชะตา…
แล้วก้าวเดินต่อไปพร้อมกระเป๋าเดินทางโดยอีกมือมีถุงขนมของซาเนีย

แม้ความเหงาและความว้าเหว่จะพยายามทักทายเขาตลอดเส้นทางที่เดินอยู่สักแค่ไหน…
หากชายหนุ่มก็มิได้หลีกหนีหรือปฏิเสธมัน
ซ้ำยังพยายามยื่นอกรับอย่างเต็มใจให้มันเข้ามาเป็นมิตร…

เพราะตอนนี้สิ่งที่ยังเหลือ ก็คือความว่างเปล่า…
ที่เดิมที่เคยมีเธอกับเขาสองคนหายไป…ทิ้งไว้แค่ร่องรอยของความรู้สึก
ร่องรอยของความผูกพันเท่านั้น…




“ซาเนียล่ะครูครุฑ…”สิ้นรักถามเวนไตยเมื่อเห็นเขาลากกระเป๋า
เข้ามาในบ้านของเธอด้วยสีหน้าอิดโรย ท่าทางอ่อนล้า…

ชายหนุ่มไม่พร้อมจะกลับเกาะชิงชังในสภาพเช่นนี้
จึงนั่งเรือมาหาสิ้นรักกับรังสิมันต์ที่เกาะรังรักแทน…

แค่ก้าวขึ้นฝั่ง ภาพวันเก่าๆก็หวนกลับมาจนแทบทำให้เข่าของเขาหมดแรงจะย่างก้าว…

เกาะรังรักนั้นแค่เสี้ยวหนึ่งเท่านั้น ถ้าเป็นที่เกาะชิงชังเขาก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเป็นอย่างไร
ก่อนหน้านี้เขายังมีความหวังว่าจะได้เจอเธออีกครั้ง
หากหลังจากนี้ไป ความหวังดังกล่าวของเขาได้ดับลงไปแล้วด้วยมือของเขาเอง

…เขาไม่มีหวังจะได้เธอกลับมาสู่อ้อมกอดอีกแล้ว…

เพราะเขาได้ปล่อยโอกาสนั้นให้คนอื่นไป…เขาปล่อยมือเธอไปแล้ว…
แต่มันก็ดีแล้วมิใช่หรือที่ตัดสินใจทำอย่างนั้น…เธอควรจะได้อยู่ในที่ๆดีกว่า
และได้อยู่กับคนที่เหมาะสม คู่ควรกว่า…

เวนไตยทรุดเข่าลงนั่งบนโซฟาที่ห้องรับแขกแล้วได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ
ทำเอาสิ้นรักถึงกับงง…

เมื่อสองสามวันก่อน ครูครุฑของเธอโทรมาบอกว่าจะพาซาเนียกลับมาให้ได้

…แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น…หากพอจะอ้าปากถามก็ให้ต้องอดใจเอาไว้
เมื่อเห็นแววตาอ่อนแสงและไร้เรี่ยวแรงของคนที่เพิ่งเดินทางกลับมาถึง…

“เดี๋ยวพี่จะไปเอาน้ำมาให้นะ…”สิ้นรักมักแทนตัวเองว่าพี่ทั้งๆที่ปากก็เรียกอีกฝ่ายว่าครูครุฑ
…แม้ว่าเวนไตยจะไม่ยอมเรียกเธอว่าพี่ แต่เธอก็จะแทนตัวเองว่าพี่อย่างนี้แหล่ะ

…เพราะสำหรับพ่อบันแล้ว เธอเชื่อว่าท่านรักเวนไตยไม่แตกต่างไม่จากที่รักเธอ
ซึ่งเป็นลูกแท้ๆหรอก…

เธออ่านแววตาของท่านออก เพราะก่อนที่เวนไตยจะขอไปตามซาเนียที่ตุรกี
สายตาของพ่อบันที่มองดูเขาเดินจากไปมันเต็มไปด้วยความรักความห่วงใย…
ซ้ำยังโทรมาถามข่าวคราวของเขาจากเธอแทบทุกวัน…

“ขอบคุณครับ…”เวนไตยขอบคุณพร้อมรับแก้วน้ำมาจากสิ้นรัก
ก่อนจะยิ้มบางๆให้กับหญิงสาว แล้วต้องถามขึ้นเมื่อมองสำรวจไปรอบๆบ้าน

“นายหัวไม่อยู่เหรอครับ…”สิ้นรักส่ายหน้า

“ไม่อยู่ ไปดูงานที่เกาะรังนกที่สตูล มะรืนถึงจะกลับ…”

“คุณหนูคงเหงาแย่…”เวนไตยเริ่มชวนคุย เพื่อหลีกเลี่ยงท่ีจะพาตัวเอง
ให้จมดิ่งสู่ห้วงแห่งความทุกข์ทรมาน

“ก็เหงาเหมือนกันนะ…แต่พอคิดว่าอีกแป๊บเขาก็กลับมา ไอ้ที่กะจะเหงา
ก็ดันไม่เหงาเท่าไหร่…นึกแค่ว่าจะทำอะไรให้เขาตอนเขากลับมาดี…
วันนี้ก็เลยลองหัดถักริมผ้าขนหนูเอาไว้ให้เขาซับหน้า
เพราะเวลาทำงานกลางแดด เหงื่อจะออกเยอะ…ผ้าเช็ดหน้าธรรมดาคงเอาไม่อยู่…
เขาจะได้มีผ้าขนหนูที่ไม่เหมือนใครและไม่ซ้ำใครไว้ใช้…

ที่สำคัญ เวลาใช้งานจะได้นึกถึงคนถักให้…ครูครุฑสนใจจะรับไว้สักผืนมั้ย…พี่จะทำเผื่อ…”
เวนไตยยิ้มหลังจากที่สะดุดตรงประโยคแรกๆของคนพูด…ก่อนจะส่ายหน้า

“อย่าเลยครับ…รบกวนคุณหนูเปล่าๆ…”

“รบกวนอะไร ไม่เลย…พี่ชอบทำงานฝีมือ ทำแล้วมีความสุข…
ยิ่งได้วาดลวดลายลงบนผ้า ยิ่งสนุก เสียก็แต่ไม่มีคนทำเป็นเพื่อน…
ทำคนเดียวมันเปลี่ยวจิต…”ถ้อยคำดังกล่าวทำเอาคนฟัง
ถึงกับหวนนึกไปถึงหญิงสาวอีกคน…

“ถ้ามีน้องซาเนียก็คงดี ตอนอยู่ด้วยกันที่นี่…พี่กับซาเนีย
ยังช่วยกันทำผ้าบาติกด้วยกัน สนุกสุดๆ…นั่นไงผ้าม่านที่พี่กับซาเนียช่วยกันทำ…สวยมั้ย…”
เวนไตยหันไปทางที่สิ้นรักชี้ชวนให้ดู ก็เห็นผ้าม่านลวดลายของท้องทะเล
และสัตว์น้อยใหญ่ในท้องทะเล รวมทั้งเหล่าปะการังสีสันสวยงาม…

“ว่าแต่…เอ่อ…”สิ้นรักไม่แน่ใจว่าควรจะถามออกไปตรงๆดีหรือไม่
และเหมือนเวนไตยจะเข้าใจ…

“ผมพาเธอกลับมาไม่ได้ครับ…แต่ก็เป็นเรื่องดี เพราะเธอดูมีความสุข
กับชีวิตที่โน่นและอาจจะมีข่าวดีในอีกไม่ช้า…”สิ้นรักถึงกับอึ้งและตกใจที่ได้ยินเช่นนั้น…

“หมายความว่าไงครูครุฑ…”เวนไตยลอบถอนใจ ก่อนจะกล่าวออกไป
ด้วยรอยยิ้มฝืดที่ซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้

“ผมคิดว่าเธอเจอคนที่ใช่แล้ว…เขาเป็นคนดีและมีพร้อมทุกอย่าง…
ผมคิดว่าเขาเหมาะกับเธอ…และที่นั่นก็ดูจะปลอดภัยสำหรับเธอมากกว่าที่นี่…
ทุกคนที่นั่นดูจะรักและจริงใจกับเธอ…ไม่มีอะไรที่ผมจะต้องห่วงเธออีกต่อไป
หากเธอตัดสินใจแต่งงานกับชายหนุ่มคนนั้นและอยู่กับเขาที่ตุรกี…
เธอควรที่จะอยู่ที่นั่นดีกว่าจะต้องกลับมาใช้ชีวิตเสี่ยงๆที่นี่กับผม…”

สิ้นรักได้ฟังถ้อยคำที่คนตรงหน้าพยายามอธิบายเธอด้วยแววตาเจ็บปวด
ก็ให้เห็นใจปนไม่เข้าใจว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง

“เธอยอมปล่อยมือซาเนียเหรอครูครุฑ…ก็ไหนบอกว่ารักเค้านักหนายังไงล่ะ…
ทำไมถึงปล่อยเธอไว้ที่นั่น…ทำไมถึงยอมถอดใจง่ายๆ
ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร มีดีกว่าเธอนักรึไง…”เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังเงียบสิ้นรักจึงกล่าวต่อ

“อย่าดูถูกตัวเองสิครูครุฑ…เธอเป็นถึงลูกชายของอดีตนายหัวผู้โด่งดัง
และร่ำรวยอย่างนายหัวปุรินทร์ ปุรารัตน์ เชื้อชาติและตระกูลของเธอ
ไม่ได้น้อยหน้าใครเลย...แถมยังเป็นลูกชายของพ่อบันอีก
ซ้ำยังเป็นลูกบุญธรรมของญาติสนิทของคุณป้าของฉันซึ่งเป็นถึงลูกสาวของอดีตเจ้าพ่อยากุซ่า
ผู้ทรงอิทธิพลอีกล่ะ ศักดิ์ศรีและเกียรติของเธอไม่แพ้ใครเลย
พี่นี่แหล่ะขอยืนยัน…”สิ้นรักถามด้วยแววตาไม่เข้าใจ เวนไตยระบายยิ้มขณะตอบว่า

“จะให้ผมฉุดดึงเธอให้ลงมาเสี่ยงตายกับผมเพ่ืออะไรล่ะครับ…
ที่ผ่านมา ผมพยายามพยุงให้เธอลุกขึ้นมา หวังให้เธอได้อยู่ในที่ดีๆและปลอดภัยกว่านี้…
วันนี้…ผมก็ได้เห็นแล้วว่าเธอปลอดภัยและมีความสุขเมื่ออยู่ที่โน่น…
เธอได้เจอคนที่ดีกว่าผม ได้อยู่ในที่ที่ดีกว่านี้และปลอดภัยกว่านี้…ผมก็อุ่นใจแล้วครับ…”

“แม้จะเจ็บปวดอย่างนั้นเหรอ…”สิ้นรักถามด้วยแววตาคาดคั้น

“ครูครุฑถามเธอแล้วยังว่าต้องการอย่างนี้รึเปล่า…ถามเธอรึยังว่าเธอจะเลือกทางไหน…”
เวนไตยส่ายหน้า

“ไม่จำเป็นหรอกครับ…ผมรู้ตัวดีว่ามีไม่พอ…”

“ไม่จริงหรอก…”สิ้นรักค้าน…

“ครูครุฑประมาทหัวใจผู้หญิงเกินไป…โดยเฉพาะซาเนีย…
ถึงภายนอกซาเนียจะดูบอบบาง…แต่พี่เชื่อว่าเธอเข้มแข็งมาก…
และอาจมากพอที่จะไม่กลัวอันตรายใดๆ…”เวนไตยส่ายหน้า

“เธอบอกกับผมเองว่าไม่อยากหนีให้เหนื่อยอีกแล้ว…เํธอเบื่อกับการต้องโดนไล่ล่า
เบื่อที่ต้องเป็นตัวภาระของคนอ่ืน…ผมเข้าใจเธอ
และที่นั่นคือทางออกที่ดีที่สุดที่จะให้ในสิ่งที่เธอต้องการ…
ผมไม่มีสิ่งนั้นให้เธอ…ผมรู้…และผมก็ไม่คิดจะดึงรั้งเธอ เมื่อเธอเจอใครที่ดีกว่า…
ผมยินดี ขอแค่ได้มองดูเธอมีความสุขอยู่ในที่ของผม ผมก็ชื่นใจแล้ว…

ที่สำคัญ…ผมก็แค่เด็กกำพร้าคนนึง…ที่มีทุกวันนี้ได้ก็เพราะคุณป๋า พ่อของคุณหนูช่วยเอาไว้…”
สิ้นรักถึงกับลอบถอนใจ…มองคนตรงหน้าด้วยแววตาเห็นใจ…

“แต่พ่อบันรักเธอมากเลยนะ…พี่ว่ารักพอๆกับที่รักพี่เลยล่ะ…”
เวนไตยยิ้มบาง…

“คุณป๋ารักทุกคนแหล่ะครับ…เพราะความเมตตาของท่านจึงทำให้พวกเรารักและนับถือท่าน…”
สิ้นรักส่ายหน้า

“รักทุกคนน่ะใช่ แต่กับครูครุฑ ไม่เหมือนคนอื่น…อีกอย่าง
เกาะชิงชังก็เป็นสิทธิ์ของครูครุฑอย่างถูกต้อง…”เวนไตยส่ายหน้า

“ที่นั่นไม่ใช่ของผมหรอกครับ แต่เป็นของทุกคนที่อยู่ที่นั่น…”

“แต่มันก็ไม่ใช่เหตุผลให้เธอมองตัวเองว่าต้อยต่ำ…คนเราสูงต่ำอยู่ที่ทำตัว…ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ…
ที่เราเห็นว่าคนอื่นเขาสูงกว่าเพราะเราก้มหัวให้เขาหรอก…
เธอมองไม่เห็นหรอกเหรอว่าฟ้ากับดินไม่มีสูงหรือต่ำกว่ากันเลย…
และพี่ก็รู้มาว่าฟ้ากับดินเคยเป็นแผ่นเดียวกันมาก่อน…

ที่เธอคิดว่าเค้าสูงเกินเอื้อมเพราะเธอไม่กล้าเอื้อมมากกว่า…
ถ้าใจคิดว่าเขาสูงกว่าก็ปีนขึ้นไปสิ…ฝ่าเมฆฝนปีนไปให้ถึงเขา…มีปีกไม่ใช่เหรอ…
หรือกลัวว่าจะร่วงลงมาตาย…พญาครุฑอย่างเธอไม่น่าจะปีกหักง่ายๆ

พ่อบันอุตส่าห์ตั้งชื่อให้ใหม่ว่าเวนไตย เพราะเชื่อว่าเธอจะใช้ปีกที่มี
บินกลับรังของเธอได้ในที่สุด…เมื่อไม่อยากฉุดเขาลงมาเราก็ต้องปีนขึ้นไป…
บนคานน้อยน่ะ ไม่ได้สูงอะไรนักหรอก…ยิ่งมีคนที่เรารักคอยอยู่บนนั้น…
พี่ว่า…เธอควรจะสู้นะ ไม่ใช่มานั่งถอดใจอยู่แบบนี้…”

สิ้นรักเว้นช่วงให้ตัวเองได้หายใจบ้างก่อนจะกล่าวต่อ
เมื่อเห็นอีกฝ่่ายเอาแต่ก้มหน้าฟังไม่พูดอะไร

“เรื่องความปลอดภัยของซาเนียเธอจะกังวลไปทำไม
เรามีพระเจ้าไว้เพื่ออะไร มิใช่เพื่อขอต่อพระองค์ให้คุ้มครองพวกเราหรอกเหรอ…

ส่วนเรื่องตาย ถ้าถึงที่ตาย ที่ไหนๆก็ตายได้…
แม้เราคิดว่าที่แห่งนั้นปลอดภัยแล้วก็เถิด…ถ้าถึงที่ตาย แม้วินาทีเดียวก็ผลัดไม่ได้…
แต่ถ้าไม่ถึงที่ตาย ต่อให้อยู่ในที่ที่อันตรายที่สุด ยังไงก็รอดกลับมาได้…
ต่อให้คนๆนั้นจะเก่งกาจสามารถแค่ไหน หากพระเจ้าไม่คุ้มครองซะแล้วก็เปล่าประโยชน์…

เหตุการณ์ที่ผ่านมาน่าจะทำให้เธอคิดได้ว่า…เพราะเรายังไม่ถึงที่ตาย…
และเราก็พยายามที่จะเอาตัวรอดมาให้ได้อย่างสุดกำลังแล้ว…เราทำเต็มที่แล้ว…
ตายเป็นตาย…รอดเป็นรอด”เวนไตยมองหน้าคนพูดแล้วระบายยิ้มออกมา

“จริงอย่างคุณหนูว่า…ผมคิดและกังวลไปเอง…แต่ที่ผมทำไปทั้งหมด
ก็เพื่อให้ซาเนียมีความสุข…ผมรู้ว่าเธอจะทุกข์ใจแค่ไหนถ้าต้องกลับไปอยู่ที่เกาะชิงชัง…
เธอบอบช้ำกับเรื่องราวที่นั่นมามากแล้ว
ผมยังไม่อยากให้ทุกคนที่นั่นทำร้ายจิตใจเธอซ้ำอีก…ผมยอมรับว่า
มันเป็นเรื่องที่ผมไม่อาจควบคุมให้เป็นไปอย่างใจของตัวเองได้…”
สิ้นรักยิ้มเมื่อได้ยินเช่นนั้น…

“แล้วใครบอกเธอล่ะว่าคนที่นั่นจะทำร้ายจิตใจซาเนียซ้ำอีก…
ทุกคนที่นั่นรักเธอแถมยังรักและเคารพพ่อบันอีก…
ถ้าเธอกับพ่อบันร่วมแรงร่วมใจกันทำให้ทุกคนที่นั่นเข้าใจซาเนียและมองซาเนียในแง่ที่ดี…
มีหรือที่คนที่จิตใจไม่ได้แข็งกระด้างอย่างทุกคนที่นัั่นจะไม่เข้าใจและให้อภัยซาเนีย…

หรือถ้าเจรจาไม่สำเร็จ…พี่กับพี่รังยินดีที่จะช่วยอีกแรง…
อยากเห็นเธอกับซาเนียคู่กันสุดๆรู้รึเปล่า…”

สิ้นรักพูดขณะที่ระบายยิ้มด้วยแววตาจริงใจ…
เวนไตยที่ได้ฟังถึงกับคาดไม่ถึงว่าสิ่งที่เขากังวลใจมาตลอด
จะหาทางออกได้ไม่ยากอย่างที่คิด

วิธีที่คนตรงหน้าแนะนำเขา อาจจะแก้ปัญหาดังกล่าวได้ไม่ยาก…

ทำไมก่อนหน้านี้เขาถึงคิดไม่ได้นะ…ใช่ว่าทุกคนที่เกาะชิงชัง
จะใจร้ายใจดำอำมหิตเสียหน่อย…ทุกคนที่นั่นล้วนผ่านเรื่องเลวร้ายในชีวิตมาแล้วทั้งนั้น…
และนั่นอาจทำให้พวกเขาเข้าใจและเห็นใจซาเนียด้วยซ้ำไป
หากจะมีใครสักคนเช่นเขาหรือคุณป๋าเข้าไปอธิบายให้ทุกคนฟัง…

“ไม่รู้สิ…อะไรบางอย่างมันบอกพี่ว่า…เรื่องระหว่างเธอกับซาเนียไม่จบลงแค่นี้แน่…
พี่รู้สึกถึงรัศมีบางอย่างเวลาเห็นเธอกับซาเนียอยู่ใกล้กัน…
มันอาจจะเป็นรัศมีแห่งคู่แท้ก็ได้…”เวนไตยหันมามองคนพูดทันที
สิ้นรักระบายยิ้มอีกครั้ง…ก่อนจะยักคิ้วข้างเดียว…

“อย่าเพิ่งหมดหวังสิ…บางทีมันอาจจะยังไม่ถึงเวลาก็ได้…
ทุกอย่างมันย่อมมีเวลาของมัน อย่างพี่กับพี่รัง…กว่าจะได้แต่งงานกัน
เล่นเอาจัดงานแต่งไปไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ ก็ไม่ได้แต่งกันสักที
พอถึงเวลาของมัน อยู่ๆพี่ก็ลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วก็ได้แต่ง…
ตอนที่เตรียมกันไว้อย่างดีกลับไม่ได้แต่ง…แปลกมั้ยล่ะ…”

เวนไตยถึงกับระบายยิ้ม คนตรงหน้าเขาเข้าใจปลอบโยนจิตใจ
ที่กำลังห่อเหี่ยวของเขาให้กลับมาสดชื่นได้ทันตา…
สมแล้วที่ใครๆหลายๆคนให้ฉายาเธอว่าแม่หมอศีราณีคนเก่ง…

“ตอนนี้เธออายุเท่าไหร่เอง…ดูอย่างพี่สิ…สามสิบกว่าถึงจะได้แต่ง
ไม่ใช่ว่าพี่ไม่เคยคบหาใครๆก่อนหน้านี้นะ แต่มันไม่เจอรักแท้สักทีเท่านั้นเอง…
ไม่ว่าพี่จะคบใคร พี่ก็ทุ่มเทให้ทุกๆอย่างเสมอ…
ไม่เคยคบใครทีละหลายๆคน แต่สุดท้ายพี่ก็โดนทิ้งไปทุกที
ไม่ใช่ไม่เสียใจนะ แต่ที่ทำใจได้เร็วเพราะว่่ายังภูมิใจที่ยังไม่เสียตัวไปด้วย
เพราะถึงจะเสียใจแค่ไหน แต่พี่ก็ไม่ยอมเสียตัวให้ใครง่ายๆหรอก…

หลายครั้งยังต้องกลับมาคิดเลยว่า มันผิดที่เราคนเดียวใช่ไหม…
เพราะเปลี่ยนแฟนไม่รู้กี่หน จนเหมือนเป็นคนหลายใจ…

อย่างว่าแหล่ะ…ไม่ใช่คนที่ใช่ ก็ไม่ใช่…พี่เชื่อของพี่แบบนี้"

สิ้นรักหยุดตรงประโยคดังกล่าว ซึ่งเวนไตยเห็นด้วยกับวลีสุดท้ายของคนพูด
จนถึงกับยิ้มกว้างด้วยความชอบใจ

“และตอนนี้พี่เองคิดว่าพี่รังคือคนที่ใช่ เพราะพี่ไม่คิดอยากเปลี่ยนอีกแล้ว
ไม่คิดจะมองหาใครอีกแล้ว…ใจมันหยุดนิ่งอยู่ที่พี่เขาคนเดียว…
มันสงบและมีความสุขเมื่อได้อยู่กับเขา
ก่อนหน้านั้นเกือบจะเลิกกันไปหลายครั้งแล้วล่ะ แต่สุดท้ายความรักความผูกพัน
ก็นำเราสองคนกลับมาเป็นคู่กันอีกจนได้…มันเป็นสายใยบางๆที่เหนียวแน่น
ตัดกันไม่ขาดสักที…”สิ้นรักพูดไปก็นึกถึงเรื่องราวความรักของตนเอง…

เมื่อมองย้อนกลับไป ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มให้กับมัน…
และอดไม่ได้ที่จะภูมิใจที่ตนเองสามารถผ่านเรื่องราวต่างๆมาได้จนมีวันนี้
ก่อนจะหันไปทางเวนไตย แล้วยิ้มให้ชายหนุ่มเมื่อกล่าวว่า

“เธอเองก็อย่าเพิ่งถอดใจไป…หนทางยังอีกยาวไกล…ก้าวต่อไป ทาเคชิ…”
สิ้นรักกล่าวเลียนแบบประโยคของการ์ตูนที่เธอเคยดูพร้อมรอยยิ้ม
ทำเอาคนฟังถึงกับยิ้มตาม…

“แล้วที่อยากจะบอกก็คือ…พี่ลมกับไอ้ปองเพื่อนพี่กำลังจะมีน้อง…
เห็นมั้ย…พี่กับพี่รังยังไม่ได้เลย ทั้งๆที่แต่งงานพร้อมกัน คืนเดียวกันแท้ๆ
อย่างนี้ถ้าไม่เรียกว่าเป็นเรื่องของเวลาใครเวลามัน แล้วจะเรียกว่าอะไร เธอว่ามั้ย…”

เวนไตยยิ้มขำ…แปลกที่สุดก็คือ ใจที่เคยหมดเร่ียวหมดแรงเมื่อครู่
กลับกระชุ่มกระชวยขึ้นเป็นกอง…ความหวังเป็นสิ่งสำคัญ…
หากเราไม่ยอมหมดหวัง หัวใจของเราก็จะเต้นอย่างมีชีวิตชีวา…

“งั้น…ผมก็ขอให้คุณหนูกับนายหัวมีน้องไวๆนะครับ…”สิ้นรักได้ฟัง
ถึงกับยกมือส่ายไปมา

“ตอนนี้คงไม่หรอก…พี่ยังไม่พร้อม…อะไรหลายๆอย่างยังไม่เข้าที่เข้าทาง”

“แล้วนายหัวล่ะครับ…”สิ้นรักถึงกับตกใจที่เธอเผลอพูดอะไรออกไปเมื่อครู่
จะเรียกคำพูดนั้นกลับมาก็ไม่ทันแล้ว…

“เอ่อ…พี่รังเค้าก็…ยังไงก็ได้…แล้วแต่พี่น่ะสิ…”สิ้นรักยกมือปิดปากตัวเองนิดนึง
ขณะพูดออกไปแบบตะกุกตะกัดนิดๆ…
ทว่าคนฟังมิได้เอะใจอะไรกับสีหน้าท่าทางและน้ำเสียงดังกล่าว

“ขอบคุณนะครับคุณหนูที่ทำให้ผมสบายใจขึ้น…ผมคิดไม่ผิดที่มาที่นี่ก่อน…
ดีใจที่ได้พบและพูดคุยกับคุณหนู…ขอบคุณจริงๆครับ…”

สิ้นรักถึงกับเลิกคิ้วสูง ไม่เข้าใจว่าคนตรงหน้าจะขอบคุณอะไรเธอมากมายขนาดนี้…

“อ้าว…แล้วนั่นจะไปไหน…”สิ้นรักถึงกับอ้าปากหวอเมื่อเห็นอีกฝ่าย
ลุกขึ้นลากกระเป๋า…

“จะกลับแล้วครับ…”

“เฮ้ย…ทำไมล่ะ…ไม่อยู่พักที่นี่ก่อนเหรอ…มาไวไปไวนะเรา…”
เวนไตยยิ้มขำก่อนจะตอบเจ้าของแววตาขี้เล่นนั่น

“ก็ตอนนี้สบายใจแล้ว มีแรงให้ทำงานแล้ว…ผมก็เลยคิดว่า
น่าจะกลับไปทำงานต่อดีกว่า…อู้งานมาหลายสัปดาห์แล้ว…”
สิ้นรักยิ้มพลางส่ายหน้า

“น่าจะอยู่กินข้าวเป็นเพื่อนกันหน่อย…กินคนเดียวมันเหงาๆชอบกล…
ถ้ามีน้องชายอย่างเธอมานั่งกินด้วย บรรยากาศคงครึกครื้นขึ้นเยอะ
อย่าเพิ่งกลับเลย…อยู่กินข้าวกันก่อนนะ…นะครูครุฑนะ…”

“ไม่มีคนอยู่กินข้าวด้วยจริงๆอ่ะ…”เวนไตยเอียงคอถามปนล้อ
สิ้นรักพยักหน้าด้วยแววตาอ้อนวอน…

“ก็เห็นๆกันอยู่ ว่ากำลังโดนทิ้ง…อยู่นะ นะ นะ…นะครูครุฑนะ…”
ชายหนุ่มถึงกับยิ้มขันกับท่าทางเหมือนแมวขี้อ้อนของหญิงสาว
ที่ชอบออกตัวว่าเป็นพี่สาวของเขาเสมอ…

“ก็ได้ครับ…นี่เห็นว่า ตกที่นั่งลำบากเหมือนกันนะเนี่ย ถึงยอม…”

“คนเพิ่งโดนทิ้งมาว่างั้น…โธ่…แล้วอีกหน่อยจะชินเหมือนกับพี่ไปเอง”
สิ้นรักแบะปากนิดนึงก่อนจะหัวเราะร่า…

“จะบอกอะไรให้อย่างนะว่า…รสชาติของการรอคอยน่ะอร่อยเหาะที่สุด
ตอนที่ได้เจอหน้าคนที่เรารอ…หรือได้ในสิ่งที่เรารอคอยมานาน…
มันสุดจะบรรยายเลยล่ะความรู้สึกตอนนั้นน่ะ...อดทนเข้าไว้นะจ๊ะ…
แล้วจะรู้ว่า…ความอดทนนั้นเป็นยาบำรุงหัวใจ…ทำให้ความรัก
มีรสชาติหอมหวานหลังจากผ่านความขมขื่นมาได้สำเร็จ…”

“งั้นวันนี้ขอจองที่พักสักคืน…เอาเรือนหลังเดิมที่ผมเคยพักก็แล้วกันนะครับ
อยากอยู่กินข้าวเป็นเพื่อนกับคุณหนูจนกว่านายหัวจะกลับขึ้นมาซะแล้วสิ…
อย่างน้อยผมก็อยากจะเห็นว่า คุณหนูจะหน้าบานสักแค่ไหน
หลังจากผ่านความขมขื่นแห่งการรอคอยนายหัวมาได้สำเร็จ…แบบว่า
อยากดูไว้เป็นเยี่ยงอย่าง เย้ย…ไว้เป็นตัวอย่าง…”

คนพูดพูดไปก็ยิ้มไป ทำเอาคนฟังถึงกับค้อนให้หนึ่งวง
โทษฐานล้อเลียนคนสวยที่ถูกสามีทิ้งไป แล้วเอาใจภรรยาน้อยอย่างงานแทนที่

…ไม่รู้ป่่านนี้จะหัวหมุนสักแค่ไหน
เหตุที่ต้องไปที่เกาะรังนกนั่นหลายวัน ไม่ใช่เพราะฝีมือใครเลย
คนที่บอกว่าจะป่วนชีวิตคู่ของเธอนั่นแหล่ะที่เป็นคนทำให้เกาะรังนก
ที่อยู่ในความดูแลของพี่รังของเธอป่วนไม่เว้น…ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่
เขาจะหยุดสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นสักที…

“อย่าเพิ่งหน้างอสิครับ…อย่าลืมสิว่าผมเองก็เพิ่งถูกทิ้งมา…”เวนไตย
พูดยิ้มๆ เลยทำให้สิ้นรักหยิกเขาเข้าให้ตรงสีข้างด้วยความหมั่นไส้…

“งั้นมาเลี้ยงส่งความเหงาด้วยกันดีกว่า…เพราะต่อแต่นี้ไปเราจะไม่เหงากันแล้วเนอะ…”
พูดไปอย่างนั้นเองว่าไม่เหงา ท้ังที่ความจริงแล้ว ความเหงามันชอบมานั่งข้างๆเธอ
คอยเป็นเพื่อนเธอเวลาที่ไม่มีรังสิมันต์อยู่ข้างกายประจำ…

“ผมเองก็ไม่ค่อยอยากคบมันเป็นเพื่อนหรอก…แต่คงปฏิเสธไม่ไหว…
บางทีมีความเหงาเป็นเพื่อนก็ดีเหมือนกันนะครับ…แต่ถ้าคุณหนูอยากเลี้ยงส่งมัน
ผมก็ยินดีจะสลัดมันทิ้งไปสักวันสองวันเพื่อคุณหนู…”

เวนไตยกล่าวพร้อมรอยยิ้มขี้เล่น เนื่องจากเวลาอยู่กับคนตรงหน้า
เขาเครียดไม่ค่อยเป็น…เพราะแค่เห็นหน้าเธอแล้ว อารมณ์ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ

นายหัวรังนี่โชคดีอยู่ไม่น้อยเลย ที่ได้คนตรงหน้าเขามาเป็นคู่ชีวิตแบบนี้…

“งั้นก็รีบกลับไปอาบน้ำที่เรือนเลยไป…แล้วอีกสักครึ่งชั่วโมงค่อยมาเจอกันอีกที…
โอเคนะคะ…ครูครุฑ…อ้อ…ลืมบอกไปอีกอย่าง…
ดอกกุหลาบที่เธอกับระรินมอบให้พี่กับพี่รังน่ะ…ออกดอกแล้วนะ…
สวยถูกใจที่สุด…ไม่เชื่อไปดูได้เลย พี่กับพี่รังเอาไปปลูกโชว์
ท่ามกลางกุหลาบขาวตรงศาลาสีชมพูโน่นแหน่ะ…คนที่ได้เห็นเป็นร้องว้าว
กันทั้งนั้นเลย…ขอบใจอีกครั้งนะจ๊ะ…”



...โปรดติดตามตอนต่อไป....


ต้องขอโทษนักอ่านทุกท่านด้วยนะคะที่หายไป...
และไม่ได้เข้ามาคุยกันเลยในสองยกก่อนหน้านี้รวมทั้งยกนี้ด้วย...

เนื่องจากงานรัดตัวจริงๆค่ะ....หวังว่านักอ่านที่น่ารักทุกคนจะเข้าใจเต่าโยนะคะ

ขอขอบคุณทุกๆไลค์ ทุกๆกำลังใจ และทุกๆคนที่เข้ามาอ่านมาติดตาม
และแวะมาเยี่ยมเยือนกันค่ะ...

...งั้น...

โยขอส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ล่วงหน้าเลยนะคะ...

ขอให้นักอ่านทุกท่านประสบพบเจอแต่สิ่งดีๆ...
ขอให้ปีใหม่นี้เป็นปีที่ดี เป็นปีแห่งความสุขนะคะ...

และขอให้ทุกท่านมีความสุขไปกับการพักผ่อนกับครอบครัวและคนที่รักนะคะ...


...แล้วเจอกันปีศักราชหน้าค่ะ....อิอิ


...คิดถึงนะคะ...

"เต่าโย"




yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 ธ.ค. 2555, 22:23:10 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 ธ.ค. 2555, 22:23:10 น.

จำนวนการเข้าชม : 2368





<< ยกที่ 77 สายสัมพันธ์   ยกที่ 79 คนเดิมที่แตกต่าง >>
supayalak 27 ธ.ค. 2555, 23:13:40 น.
ถูกต้องอย่างที่พี่รักบอกเลยค่ะ เราไม่มีสิทธิตัดสินคนที่เรารักโดยที่ไม่ถามเค้าว่าเห็นด้วยกับการตัดสินใจของเราหรือไม่ บางทีคำตอบที่เราได้มาอาจจะทำให้เราสุขได้ในขณะที่เราทุกข์ก็ได้นะคะ

ดีใจที่เปิดมาเจอครูครุฑกะไรท์เตอร์ระหว่างพักอ่าน test ทำข้อสอบพรุ่งนี้

เจอกันปีหน้าฟ้าใหม่ขอให้ไรท์เตอร์เต่าโยกับเพื่อนๆ ทุกคนมีความสุขขอให้พบเจอแต่สิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต
สุขภาพแข็งแรง ได้ทำงานที่รัก มีครอบครัวที่อบอุ่นทุกคนค้าาาาาา



konhin 27 ธ.ค. 2555, 23:34:34 น.
รักคงยังไม่พอ เพราะใจยังแกร่งไม่พอ ถอดใจซะแล้วพ่อนกยักษ์


violette 28 ธ.ค. 2555, 00:04:43 น.
สวัสดีปีใหม่ค่าคุณโย


goldensun 28 ธ.ค. 2555, 01:10:46 น.
ปากร้าย แถมยังชอบคิดเองเออเองอีก เวนไตย แต่ซาเนียพูดตัดก่อน เลยจากกันด้วยน้ำตาเลย
ซาเนียไม่มีสิ้นรักคอยให้แง่คิดดีๆ คงยิ่งเศร้า เวนไตยเข้าใจมาหาสิ้นรัก ทุกข์คลายเลย
สวัสดีปีใหม่ค่ะ เต่าโย สุขภาพแข็งแรง สมปรารถนาทุกอย่างค่ะ


Pampam 28 ธ.ค. 2555, 02:46:02 น.
จากกันวันนี้เพื่อพบกันวันหน้า สวัสดีปีใหม่ค่ะไรเตอร์


หมีสีชมพู 28 ธ.ค. 2555, 02:58:10 น.
สวัสดีปีใหม่ค่ะ


ตุ๊งแช่ 28 ธ.ค. 2555, 10:26:36 น.
สงสัยต้องให้เวนไตยมาเรียนรู้วิธีมัดใจสาวกับหมอรัง ซะแล้วจะได้อยู่หมัดสักที


Littlewitch 29 ธ.ค. 2555, 23:57:28 น.
ไปพักผ่อนแล้วสินะคะ ขอให้กลับมามีกำลังเผชิญกับทุกๆสิ่งเลยคะ ทางนี้ก็จะรออ่านตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อเลยคะ


Littlewitch 1 ม.ค. 2556, 00:32:19 น.
สวัสดีปีใหม่คะ ขอให้สมหวังดังตั้งใจ พบคนที่ใช่เหมือนในนิยาย มีมิตรแท้ที่จริงใจ ไร้ทุกข์โศก โรคภัยเบียดเบียน นะคะ


AprilSK 1 ม.ค. 2556, 05:07:48 น.
แวะมาสวัสดีปีใหม่ค่ะ ขอให้สุขกาย สุขใจ ตลอดปีและตลอดไปค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account