คานน้อย คอยรัก (จบแล้วค่ะ)
คานน้อย คอยรัก

ในลักษณ์นั้นว่าประหลาด…………….คนบนคานนั้นว่าน่าประหลาด
เป็นเชื้อชาตินักรบกลั่นกล้า…………...เป็นเชื้อชาตินักรักผู้หาญกล้า
เหตุไฉนย่อท้อรอรา…………………..เหตุไฉนย่อท้อรอเวลา
ฤาจะกล้าแต่เพียงวาที…………………ฤาไม่กล้าบอกรักใครสักที

เห็นแก้วแวววับที่ดับจิต…………………เห็นคานแก้วแวววับสดับจิต
ใยไม่คิดอาจเอื้อมให้ถึงที่……………...ใยไม่คิดปีนไปให้ถึงที่
เมื่อไม่เอื้อมจะได้อย่างไรมี……………อย่ามัวรอจงขึ้นมาเร็วรี่
อันมณีฤาจะโลดไปถึงมือ………………บนคานนี้มีรักให้ฝึกปรือ

อันของสูงแม้ปองต้องจิต………………..คานเราสูงไม่เป็นรองของใครอื่น
ถ้าไม่คิดปีนป่ายจะได้ฤา………………..อย่าได้ขืนลงไปให้เสียชื่อ
มิใช่ของตลาดที่อาจซื้อ………………….มิใช่ทองตามตลาดที่อาจซื้อ
ฤาแย่งยื้อถือได้โดยไม่ยอม……………..เพราะเราถือความพอใจจึงลงไป

ไม่คิดสอยมัวคอยดอกไม้ร่วง……………ไม่คิดสอยมัวคอยให้คานทับ
คงชวดดวงบุปผาชาติสะอาดหอม………..รอให้ดับคาคานหรืออย่างไร
ดูแต่ภุมรินเที่ยวบินตอม…………………..ฤาต้องคอยรักแท้จนแก่ใช่ไหม
จึงได้ออมอบกลิ่นสุมาลี…………………..เกาะคานน้อยคอยรักต่อไป
…………………..........จนกว่าจะเจอคนที่ใช่…ใช่ไหมคาน………………
(อ้างอิงกลอนจากบทละครเรื่องท้าวแสนปม)

มาดูเหตุผลของคนที่ยังไม่ลงจากคานกันค่ะ...
อาจจะมีเหตุผลมากมายที่ไม่อยากลงจากคาน
หรืออาจมีเพียงแค่หนึ่งเหตุผลง่ายๆก็คือ...

...ไม่ใช่คนที่ใช่ก็ไม่ใช่...

หรือว่า

...โดนข้อหาหลายใจ เพราะเคยมีแฟนหลายหน...

หรืออาจเป็นเพรา

...เขาบอกให้รอ เราก็รอ...

หรือจริงๆแล้ว

...ขออยู่รอคนสุดท้ายคนนั้นได้ไหม...

หรือลึกลงไป

...กำลังรอเจ้าชายในฝันอยู่อย่างอดทนได้ทุกอย่าง...

หรือกำลังปลอบใจตัวเองว่า

...ครึ่งหนึ่งของฉันยังมาไม่ถึง...ซึ่งสักวันเขาจะมาอยู่ข้างกัน...

หรือกำลังหลอกตัวเองด้วยการปกปิดว่า

...ไม่หวั่นไหว หัวใจไม่ปรารถนา...

ทั้งๆที่จริงๆแล้ว

...อยากรัก อยากฝัน แต่เพราะกลัว ก็เลยไม่กล้ารักใคร...

หรือว่าอาจจะเป็นเหตผลสุดท้ายที่ไม่ค่อยมีใครกล้ายอมรับดังๆว่า

...ไม่เคยมีใครมาจีบ ไม่มีใครสน เรามันคนธรรมดาๆ...

แต่ไม่ว่าจะเหตุผลใด...

เราก็ยังหวังและยังคงรอคอยปาฏิหาริย์ว่าจะได้เจอคนที่ใช่ในสักวัน...


Tags: ดราม่า หวานซึ้ง อบอุ่น หมอรัง สิ้นรัก วายุ ปองขวัญ

ตอน: ยกที่ 80 เสรีภาพ

ยกที่ 80 เสรึภาพ

เสียงเอะอะโวยวายดังลั่นมาจากสำนักพิมพ์
ทำให้ช่อลิลลี่ที่เพิ่งเดินเข้าห้องส่วนตัวหรือจะเรียกให้ถูกนั่นก็คือคอก
หรือจะเรียกเล้าไก่ก็คงไม่ผิด เพราะสำนักพิมพ์แห่งนี้ถูกแบ่งออกเป็นคอกๆ
คอกใคร คอกมัน เล้าของใครก็ของมัน

แม่ไก่ประจำเล้าอย่างเธอจึงมีหน้าที่เบ่งไข่และก็ฟักไข่ออกมาสู่สายตาประชาชี…

แต่ทำไมวันนี้คอกข้างๆเธอถึงได้มีเสียงเอะอะโวยวายดังถึงปานนั้น
จะว่าพ่อไก่โต้งโห่ร้องดีใจที่เห็นไข่ที่แม่ไก่เบ่งออกมาสำเร็จเพื่อส่งทอดตลาดก็คงไม่ใช่

…นั่นมันเสียงดุด่าปนตำหนิเห็นๆ…

เด็กหน้าใหม่เดินออกมาจากคอกสวนทางกับเธอไปด้วยสีหน้าห่อเหี่ยวเหมือนจะร้องไห้…

“อารมณ์เสียอะไรพี่ปุ๊…เอะอะโวยวายจนไก่ตื่นไปทั้งโรงแล้วเห็นมั้ย…”
ช่อลิลลี่ยืนเท้าสะเอวมองท่านบอกอ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งฟาร์มไก่…

“อย่ายุ่ง คนกำลังวีนแตก…งานอะไรก็ไม่เห็นจะได้เรื่องสักชิ้น…
จะให้ตีพิมพ์ทำหงอกไปทำไม…ไอเดียดีๆไม่เห็นจะโผล่มาให้เห็น…เซ็ง…”

คนฟังคิ้วชนพร้อมกับสายตาตวัดไปทางชิ้นงานบนโต๊ะทำงานของบอกอใหญ่…
ก่อนจะเอาลิ้นกระทุ้งกะพุ้งแก้มแล้วเดินมาหยุดยืนข้างๆโต๊ะของหนุ่มร่างโปร่ง
ที่ตอนนี้กลายร่างเป็นยักษเขี้ยวยาวพร้อมจะหักคอลูกน้องได้ทุกเมื่อ

“แล้วเซ็ตรูปทะเลที่เกาะรังรักล่ะ…มันไม่เวิร์คเลยเหรอ…
ลี่ว่ามันก็สวยดีนี่…ทำเป็นสารคดีนำเที่ยวได้สบายเลยนะ…”
ช่อลิลลี่พยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบพร้อมกับหยิบชิ้นงานของตนที่วางอยู่ล่างสุด
ออกมาวางต่อหน้าเต็มกมล…

“แต่ไอ้บทบรรยายของแกมันไม่เห็นจะได้เรื่องเลย…
ไปหัดเรียนภาษาไทยกับเด็กม.หนึ่งใหม่น่าจะดีกว่านะ
เพราะฉันไม่เห็นว่ามันจะน่าอ่านตรงไหน

ภาพน่ะสวยแต่การนำเสนอมันห่วย…อันนี้ก็เหมือนกัน ภาพถ่ายไม่ได้เรื่อง
หาจุดเด่นของภาพก็ไม่ได้…ถ่ายมั่วๆอย่างกับเด็กป.หนึ่ง…

ถามหน่อย…หาอะไรถ่ายไม่ได้แล้วรึไง…ถึงได้ถ่ายยอดหญ้ามานำเสนอน่ะ…
รึว่าอยากเปลี่ยนจากถ่ายภาพสารคดีมาถ่ายหน้าหล่อๆของพวกดาราแทน…”

เต็มกมลกล่าวตำหนิชิ้นงานบนโต๊ะอย่างไม่ไว้หน้าเจ้าของผลงานตรงหน้าแม้แต่นิด

ช่อลิลลี่กัดฟันข่มกรามแน่น…แต่เพราะรู้จักนิสัยของคนตรงหน้าดี
จึงเลือกที่จะนิ่งรอให้อีกฝ่ายใจเย็นลงอีกสักนิด…
เนื่องจากยังไม่อยากโดนย้ายให้ไปถ่ายพวกภาพดาราอย่างแต่ก่อน…

เมื่อก่อนตอนไฟแรง ภาพงานสังคม ขุดเรื่องคาวๆของเหล่าดารา
มาลงหน้าหนังสือพิมพ์นั้นดูจะเป็นสิ่งที่ท้าทายและสนุกสำหรับเธอที่สุด

ทว่า ปัจจุบัน เธอผันตัวมานำเสนอสารคดีแทน
เพราะเริ่มเบื่อกับการวิ่งไล่ล่าหาข่าวของเหล่าดาราเสียแล้ว มันไม่สนุกอย่างแต่ก่อน

อาจเป็นเพราะวัยที่มากขึ้น ประกอบกับการได้อยู่กับธรรมชาติ
ได้ถ่ายรูปธรรมชาติมันสร้างความสุขและสงบได้มากกว่ากันก็เป็นได้
เธอถึงหันมาทำคอลัมดังกล่าวแทน

…ธรรมชาติน่ะมันรอให้เราเดินไปหาโดยไม่วิ่งหนีเราไปไหนอย่างพวกดารา นักร้อง…
ที่มักเล่นตัวและลีลา ชอบสร้างกระแสสร้างภาพจนเธอเริ่มเบื่อ
ไม่เหมือนกับธรรมชาติที่สวยงามโดยไม่ต้องสร้างภาพให้ดูดี…
ซึ่งอยู่ที่ตัวเราเท่่านั้น ว่าจะเห็นคุณค่าของความงามดังกล่าวหรือเปล่า…

“แล้วภาพนี้ล่ะ…”ช่อลิลลี่ส่งชิ้นงานอีกชิ้นให้อีกฝ่ายดู…

“นี่สวยแล้วใช่มั้ย…”คำตอบที่มาเป็นคำถามนั้นพร้อมน้ำเสียงราบเรียบธรรมดา
ที่แฝงนัยยะที่ไม่ธรรมดานั้นทำให้หญิงสาวต้องก้มลงมองภาพชิ้นงานของตนที
แล้วเงยขึ้นมองหน้าเจ้าของถ้อยคำทีก่อนจะกลืนน้ำลายลงคอ

ไอ้เรื่องทำลายความมั่นใจของคนอื่นน่ะ ไม่มีใครเก่งเท่าคนตรงหน้าเธอแล้วล่ะ

…เรารึ อุตส่าห์ทำงานมาอย่างดี ดูแล้วดูอีกจนถี่ถ้วน…

ดันมาถามว่า…นี่สวยแล้วใช่มั้ย…

“ชัวร์…”

คราวนี้อย่าหวังว่าจะได้แอ้ม…เธอไม่มีทางหัวหดห่อเหี่ยวเหมือนเด็กใหม่หรอก

…ไอ้แบบนี้น่ะโดนมาจนชิน จนมีภูมิคุ้มกันหัวใจ
คำพูดแบบนี้หาได้ระคายเคืองหัวใจช่อลิลลี่คนนี้ไม่…

“ภาพเซ็ตดอกหญ้าเนี่ยนะ!…”คนพูดเลิกคิ้ว เสียงสูง…
สีหน้าดูถูกดอกหญ้าของเธออย่างชัดเจน

“แน่นอน!…”ช่อลิลลี่ยักไหล่ด้วยสีหน้ามั่นอกมั่นใจในความงามของดอกหญ้าในใจเธอ…

“สรุปว่า…เที่ยวนี้แกมีไอเดียอยากขายดอกหญ้าในวันแห่งความรักที่จะมาถึง
แทนดอกกุหลาบ…บรรเจิดมากกกกกก…”
เสียงนั้นราวกับประชดประชันเจ้าของผลงาน…

“ก็ถ้าท่านเจ้าของฟาร์มไก่ผู้ยิ่งใหญ่จะเบิ่งพระเนตรพระกันต์อ่านบทความด้านล่างดูบ้าง…
ท่านก็อาจจะไม่ต้องมานั่งหัวเสียก็ได้นะเจ้าคะ…
หรือว่าจริงๆแล้วที่หัวเสียอยู่เนี่ย…เพราะว่าเอื้อมมือเด็ดดอกฟ้าไม่ถึงกันแน่…
ก็เลยหันมาดูถูกดอกหญ้าของลี่แบบนี้…”
เต็มกมลหันมาจ้องหน้าคนพูดตาเขม็ง…

“ดอกฟ้าที่พี่แหงนมองอยู่ทุกวันหายไป ใจพี่ก็เลยเหี่ยวเฉาใช่มั้ยล่ะ…
แยกให้ออกนะพี่ปุ๊ว่านี่น่ะงาน…ไม่ใช่ปนกันจนมั่วแบบนี้…
เตือนแล้วก็ไม่ฟังว่าอย่าริมีความรักระหว่างทำงาน…แล้วเป็นไงล่ะ…”
เต็มกมลสะบัดหัวแล้วหันหน้าไปอีกทาง…

“แกออกไปก่อนเถอะ…วันนี้ฉันไม่มีอารมณ์จะคุยกับใคร…มันหงุดหงิดไปหมด…”

ก็จะไม่ให้เขาหงุดหงิดได้อย่างไร…
ซาเนียอยู่ไหนเขาก็ยังไม่รู้ แต่ไอ้เวนไตยดันรู้ แถมไม่ยอมบอกอีก…

พี่รังนั่นก็อีกคน ไม่ยอมปริปากบอกที่อยู่ของซาเนียให้เขาได้รู้สักนิด
ยิ่งคิดยิ่งเจ็บใจ ว่าจะตัดใจแล้วเหมือนกัน แต่ตัดใจอย่างไรก็ตัดใจไม่ไหวสักที…

“ถ้าพี่ไม่มีอารมณ์ทำงาน…ลี่ว่าออกไปข้างนอกด้วยกันมั้ย
ลี่มีที่นึงที่อยากพาพี่ไปดู…รับรองว่ากลับมาอารมณ์ดีแน่นอน…”

ช่อลิลลี่อาสาด้วยรอยยิ้ม อีกฝ่ายมิได้ปฏิเสธ
เพราะเขาเองก็ไม่อยากนั่งอยู่กับที่แบบนี้เหมือนกัน

…ระยะหลังๆมานี้เขาต้องนั่งแท่นบริหารสำนักพิมพ์คนเดียว เพราะพี่สาวไม่ค่อยมีเวลา
เนื่องจากเอาเวลาไปดูแลว่าที่พี่เขยของเขาจนไม่เหลือแบ่งมาให้น้องชายสุดที่รักคนนี้บ้างเลย

น้องสาวฝาแฝดก็รีบตัดหน้าชิงแต่งงานไปก่อนเขาเสียให้ได้อยู่รอมร่อ
เพื่อนซี้อย่างไอ้สิ้นนั้นก็อีกคน…ทิ้งเขาเอาไว้บนยอดคาน
ที่ยังหาทางลงไม่ได้คนเดียว…คนโสดไร้คู่อย่างเขาก็เลยเหงาได้ใจ…


เต็มกมลที่นั่งหลับมาตลอดทางโดยมีช่อลิลลี่เป็นคนขับรถลืมตาปรือหาวหวอดๆ
หลังจากคนข้างๆปลุกเขาแล้วเปิดหลังคารถคันหรูออก…

สายลมเย็นๆพัดผ่านใบหน้าจนผมของชายหนุ่มปลิว…
อากาศยามเย็น แสงแดดอ่อนๆ…ทำให้คนเพิ่งตื่นรู้สึกผ่อนคลาย…
หันมองไปรอบๆกายก็พบกับทุ่งหญ้ากว้างสุดสายตากับท้องฟ้าสวยงาม…
แมลงปอกำลังล้อเล่นลม…สายลมพัดผ่านทุ่งหญ้าเป็นระลอกคลื่น…

รอยยิ้มบางๆผุดที่มุมปาก…ทำให้คนที่นั่งอยู่ข้างๆซึ่งจับตามองปฏิกิริยาของอีกฝ่ายมาตลอด
ถึงกับระบายยิ้มออกมา…ก่อนจะค่อยๆเปิดประตูก้าวขาออกมายืนกางมือทั้งสองข้าง
ราวกับแมลงปอกางปีก…แล้วก็โยกไปมาเพื่อบิดขี้เกียจ…

“ไม่ออกมายืดเส้นยืดสายล่ะพี่ปุ๊…”คนฟังยิ้มกับท่าทางเมื่อครู่ของคนชวน

“ที่นี่ที่ไหน…”เต็มกมลถามเมื่อออกมายืนสูดอากาศอย่างเต็มปอดด้านนอกตัวรถแล้ว…

“เมืองลับแล…”เสียงใสตอบพร้อมแววตาขี้เล่น…ชายหนุ่มหันไปมองแล้วเลิกคิ้วสูง
แววตาส่อเค้าว่าหาได้เชื่ออย่างที่อีกฝ่ายพูดไม่…

“ลี่ร่ายมนต์ให้พี่ปุ๊หลับแล้วก็นั่งรถข้ามเวลามาที่นี่…”คนฟังถึงกับหัวเราะ

“ใครเชื่อก็บ้าแล้ว…”

“ที่นี่อยู่ใจกลางกรุงเลยรู้รึเปล่า…”ช่อลิลลี่พูดเสียงจริงจัง

“เพ้อเจ้อ…”เต็มกมลยักไหล่

“ไม่เชื่อพี่ก็ดูสิ…ที่นี่ไม่มีรถผ่านมาสักคัน…เป็นไปได้ยังไง…
เสียงจอแจของผู้คนก็ไม่มี…สงบจะตาย…”หญิงสาวกล่าว
ก่อนจะเดินไปยังทุ่งหญ้าแล้วนั่งเหยียดเท้าทั้งสองไปข้างหน้า
เอามือไพล่ไปทางด้านหลัง แหงนหน้ามองท้องฟ้า…

เต็มกมลเดินตามมาแล้วนั่งลงในท่าเดียวกันกับหญิงสาว…ก่อนจะเลิกคิ้วนิดนึง

“เธอรู้จักที่นี่ได้ไง…”ช่อลิลลี่หันมามองคนถามแล้วยักไหล่นิดนึง

“เวลาลี่เบื่อสังคม เบื่อผู้คน เบื่อเสียงดังจอแจ เบื่อสิ่งที่ทำ เบื่อชีวิตที่เป็นอยู่่ ลี่ก็จะมาที่นี่…
มันทั้งสงบ ปลอดโปร่ง อากาศก็ดี…ลี่เรียกที่นี่ว่า…ดินแดนเสรึสันติภาพ…”
คนฟังเลิกคิ้วนิดนึง

“เพราะ?”คนถูกถามระบายยิ้มก่อนจะยกมือทั้งสองรองศีรษะ
แล้วทิ้งกายลงนอนบนผืนหญ้านุ่มหลัง…

“เพราะฟ้าที่นี่ไม่มีอะไรมาบดบังสายตาลี่…ทุ่งหญ้าก็ดูอ่อนโยนตาเวลามอง…
เหมือนทุ่งหญ้ากับท้องฟ้าเป็นมิตรสหายที่ดีต่อกันยังไงก็ไม่รู้…
ทำให้ลี่สามารถทิ้งตัวลงนอนได้อย่างไร้กังวล…”คนฟังยิ้มที่มุมปาก
ก่อนจะนอนลงข้างๆกับหญิงสาว…

“ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับชื่อที่แกแอบตั้งให้มันเลยสักนิด…”

“ทำไมจะไม่เกี่ยว…พี่ปุ๊รู้มั้ย…ตั้งแต่เด็กๆแล้ว…พ่อแม่ใช้ให้ลี่ทำอะไรลี่ก็ทำตาม
อะไรที่เขาว่าดีลี่ก็เดินไปทางนั้น…ลี่ยอมทิ้งบ้านนอกออกเดินทางมาเล่าเรียนในเมืองใหญ่
เมืองเจริญที่ใครๆเขาว่ากันเพียงลำพัง ตั้งใจร่ำเรียนทุกเช้าค่ำ เรื่องรักไม่สนใจ
เขาบอกให้เรียนก็รีบเร่งเรียน เขาสั่งให้สอบก็รีบทำข้อสอบ
ผ่านสนามสอบมาอย่างโชกโชน ผ่านการคัดเลือกมาอย่างดี
ทำทุกอย่างเพื่อให้ผลสอบออกมาดีที่สุด เลิศที่สุด…

ไม่ว่าจะหนักหนาแค่ไหนก็อดทนและพยายามผ่านมันมาให้ได้…
ราวกับชีวิตของเราอยู่ในกำมือของอาจารย์ผู้สอน…และแขวนไว้กับใบปริญญา…

พอเรียนจบก็รีบออกหางาน…พอได้ทำงาน ก็พยายามทำงานให้ออกมาดีที่สุด
ทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับงานที่ทำ…ชื่อเสียง เงินทองคือสิ่งที่ลี่พยายามทุ่มเทให้ได้มา
โดยไม่สนใจว่าจะเหยียบย่ำใคร…

เจ็บแค่ไหน เกลียดแค่ไหนก็ต้องทำ เพื่อจุดหมายที่หวัง
อะไรที่สังคมบอกว่าดีว่าเลิศก็พยายามสรรหามาครอบครอง…

บ้าน รถ เงิน งาน ชื่อเสียง ลี่มีครบทุกอย่างแล้วตามที่คนบอก…

ใครๆเขาก็ต่างชื่นชมว่าลี่ประสบความสำเร็จทั้งๆที่อายุยังน้อย…
ได้ฟังแล้วชื่นใจแค่ไหนพี่คงรู้…”หญิงสาวเว้นช่องว่างเอาไว้นิดนึง
ดึงดอกหญ้าดอกเล็กๆข้างๆขึ้นมาดูแล้วหมุนไปมาขณะกล่าวต่ออีกว่า

“ลี่รู้สึกว่าที่ผ่านมา ลี่ได้ทำลายชีวิตและชื่อเสียงของคนอื่นๆไปหลายต่อหลายคน…”

“ก็คนที่เธอว่า มันสมควรที่จะโดนแฉแล้วไม่ใช่เหรอ…”เต็มกมลกล่าวแทรก
เพราะเขาเชื่อว่า คนไม่ดีก็สมควรแล้วที่จะโดนแฉ…

“ใช่ ตอนนั้นลี่รู้สึกสะใจ แต่ไม่รู้ทำไม พักหลังๆมาเนี่ยลี่แอบรู้สึกไม่ดีอยู่ลึกๆ
ว่าทำไมต้องเป็นเราที่ทำหน้าที่เปิดโปงคนอื่น…

มันอดรู้สึกไม่ดีไม่ได้ที่ได้เห็นชีวิตที่เราแฉพังยับเยินจนไม่มีที่ให้ยืน…
จากเมื่อก่อนที่รู้สึกสะใจ…แต่พอตอนนี้หันหลังกลับไป…
ลี่กลับรู้สึกว่าลี่ทำกับพวกเขาเกินไปหรือเปล่า…ชื่อเสียงเงินทองที่ลี่ได้มา
มันอยู่บนความล่มจมของผู้อื่น…ถึงคนเหล่านั้นจะเป็นคนไม่ดีก็เถอะ…”

“สำหรับพี่…คนไม่ดี…ก็ควรจะโดนสังคมตัดสิน…เราไม่ใช่ผู้ตัดสินความผิดเขา
เราแค่นำเสนอภาพการกระทำของเขาให้สังคมได้รับรู้และออกมาตัดสิน
จะได้เป็นอุทธาหรณ์ให้กับผู้อื่น…นี่คือหน้าที่ของนักข่าวอย่างเรานะลี่…”
เต็มกมลแย้งด้วยความเห็นของตนเอง…

“สำหรับพี่อาจจะทำข่าวเพราะเจตนาแบบนั้น มันต่างจากลี่
เมื่อก่อนลี่ทำเพราะต้องการชื่อเสียง เงินทอง เจตนาของพี่กับลี่มันต่างกัน
ก็เลยไม่แปลกที่ตอนนี้ลี่จะรู้สึกไม่ดี…
เพราะทุกครั้งที่ลี่ท้อและเหนื่อย สิ่งเหล่านั้นมันไม่ช่วยอะไรลี่ได้เลย…”
หญิงสาวกล่าวอย่างตรงไปตรงมาก่อนจะยิ้มเมื่อมองไปรอบๆกาย

“ลี่ก็เลยออกเดินทางจนได้มาเจอที่นี่…ที่นี่ทำให้ลี่รู้สึกว่าที่ผ่านมา
ลี่ใช้ชีวิตเหมือนมีปลอกลากคอให้เดินไปตามทาง สังคมชี้ให้เดินไปทางไหน
ก็เร่งรีบไปตามที่เขาบอก…พอทุ่มกายลงนอนบนผืนหญ้า
ลี่จึงรู้สึกเหมือนว่าได้เอาปลอกออกจากคอ…

ที่นี่ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ ไม่มีเงิน ไม่มีงาน ไม่มีชื่อเสียง มีแต่ท้องฟ้า ทุ่งหญ้า
แมลง และก็สายลม แสงแดด…พี่ปุ๊ไม่รู้สึกเหรอว่า ที่นี่มันดูกว้างใหญ่สุดตา…
สัมผัสได้ถึงอิสระเสรีหลังจากที่ถูกจับขังมาหลายปี…”
ประโยคสุดท้ายสะดุดใจคนฟังอย่างจัง…

“ทำไมแกถึงคิดว่าถูกจับขังล่ะ…”คนถูกถามยิ้มกว้างอย่างสบายใจ

“ก็คนที่ถูกจับขังน่ะ…ไม่ว่านายจะสั่งอะไรหรือชี้ให้ไปทางไหน
เราก็ต้องทำต้องเดินไปทางนั้น…ขัดไม่ได้…
เมื่อสังคมเป็นนายเรา…เราก็ต้องเดินไปตามสังคม…
สังคมไม่ได้บังคับให้เราเดินตาม เป็นเพราะเราต่างหากที่ยอมตกเป็นทาสของสังคม
พี่ไม่รู้สึกเหรอว่าทุกครั้งที่เราตามกระแสสังคมน่ะ
เรากลายเป็นทาสของสังคมจนถูกมันคุมขังเราเอาไว้โดยไม่รู้ตัว…”
คนฟังพยักหน้าอย่างเข้าใจ…

“ลี่เพิ่งเข้าใจศาสนาที่ลี่นับถือมาตลอดก็ตอนมาเจอสถานท่ีแห่งนี้แหล่ะ
ศาสนาเราสอนให้เชื่อว่าเรามาอยู่ที่โลกนี้เพื่อการทดสอบ…
โลกนี้คือโลกแห่งการทดสอบ ส่วนโลกหน้าคือโลกแห่งการตอบแทน
ใครที่ผ่านบททดสอบก็จะได้สวรรค์เป็นสิ่งตอบแทน
ส่วนใครที่สอบไม่ผ่านก็จะกลายเป็นเชื้อเพลิงในนรก…

ดังนั้น โลกแห่งนี้จึงเป็นสถานที่กักขังคนดี…ส่วนคนชั่วก็พยายามแหกคอก
ทำตามอารมณ์ใฝ่ต่ำของตน เดินไปบนหน้าแผ่นดินอย่างร่าเริงสบายใจเฉิบ…
ร้องรำทำเพลง…ปล่อยใจไปตามอารมณ์ที่มักโน้มนำไปในทางที่ไม่ดี
ไม่สนใจศีลธรรมอันดีงาม…อยากจะเบียดเบียนใครก็ทำ
อยากจะนอนกับลูกเมียใครโดยไม่แต่งงานกันก่อนก็ทำ…
เพราะรู้สึกว่าการทำความดี ทำตามกฏศาสนาที่วางไว้นั้นมันลำบากมันคือการถูกกักขัง…
พอไม่ทำตามมันก็รู้สึกอิสระ…”ช่อลิลลี่ถอนหายใจนิดนึง
ก่อนจะกล่าวต่อเมื่ออีกฝ่ายนอนฟังนิ่งๆ…

“พี่รู้มั้ย…ว่าทุกวันนี้คนที่พยายามทำความดีเริ่มท้อแท้หมดหวัง
เริ่มถูกบีบถูกต้อนเข้าถ้ำขึ้นทุกวัน…เสียงข้างมากอยู่ฝั่งคนไม่ดี…
เพราะคนไม่ดีมีมากขึ้นทุกวัน…ส่วนคนดีก็ลดน้อยถอยลง
ที่เหลืออยู่ก็ไม่อยากออกไปสู้รบปรบมือกับคนไม่ดี…
เพราะกลัวเปื้อนโคลนที่เขาต่างสาดใส่ต่อกัน…

กระแสสังคมมันจึงยุ่งยากวุ่นวาย ความไว้วางใจต่อกันก็หดหายไป…
เพราะว่างานและตำแหน่งถูกมอบหมายให้กับคนที่ไม่เหมาะสม…

จนลี่รู้สึกอึดอัดกับการต่อต้านกระแสดังกล่าว…ที่นี่เท่านั้นแหล่ะที่ลี่รู้สึกว่า…
อย่างน้อย โลกนี้ยังมีที่ว่างให้ลี่ได้รู้จักคำว่าเสรีสันติภาพบนความดีงามอยู่บ้าง…

เพราะทุกอย่างที่นี่ดูเป็นมิตรต่อกัน…อยู่แล้วไม่อึดอัด…รู้สึกผ่อนคลาย…”

ช่อลิลลี่พูดพลางมองเมฆที่ก่อตัวเป็นรูปร่างต่างๆ ช่างดูสวยงาม
พระเจ้าช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน…เพราะฟ้าในแต่ละวันไม่เหมือนกันเลยสักวันเดียว…

“ลี่อยากให้ที่นี่ผุดอยู่ตรงใจกลางกรุงเหลือเกินพี่ปุ๊…เพราะว่ามนุษย์เราอยากมีเสรีภาพ
อยากรู้จักกับสันติภาพ…แต่ดูไปแล้ว หนทางที่พวกเราต่างวิ่งไปหาอยู่นั้น
มันจะกลายเป็นทางลวงหรือเปล่า…

เพราะสิ่งที่เราต่างค้นหามันอยู่ ไม่เห็นจะเจอสักที…
ที่เห็นๆอยู่ ลี่ยังบอกอย่างเต็มปากไม่ได้เลยว่า มันคือเสรีภาพ คือสันติภาพที่แท้จริง

…บางทีเราอาจต้องกลับมาถามตัวเราว่า…
ทางที่เราเดินอยู่นั้น…มันจะพาเราไปที่ไหน…
แล้วที่ๆเราจะไปน่ะ มันคืออะไร อยู่ที่ไหน…”

“แล้วแกรู้รึยังว่าที่ที่แกจะไปน่ะคืออะไร อยู่ที่ไหน…”
เต็มกมลที่นอนฟังมาตลอดถามขึ้น…มือที่รองศีรษะข้างหนึ่งจับมดดำตัวหนึ่ง
ที่ไต่อยู่บนใบหน้าเขาออกมาแล้ววางลงบนผืนหญ้า

…ช่อลิลลี่ยิ้มกับการกระทำนั้นด้วยแววตาประทับใจ

…ใครจะรู้ว่าความดีเล็กๆน้อยๆมันก่อเกิดความรู้สึกดีๆ
มีส่วนให้เราตัดสินคนๆนั้นได้เหมือนกัน…

คนที่มีจิตใจอ่อนโยน ขนาดมดยังฆ่าไม่ลง
อย่าให้พูดถึงมนุษย์ด้วยกันเลยว่าเขาจะฆ่าได้ไหม…

“สำหรับลี่…พระเจ้าคือจุดหมายปลายทางของลี่…
ที่ลี่พยายามทำดี ทำตามกฏที่พระเจ้าสั่งใช้…ก็เพียงเพราะอยากจะใกล้ชิดพระองค์…
แม้ลี่จะยังทำได้ไม่ดีนัก แต่ลี่ก็จะพยายามเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
สิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นความสุขใจของลี่ไปแล้วล่ะพี่ปุ๊…
พี่ปุ๊ไม่เห็นเหรอว่าระยะหลังๆมานี่ ลี่ควบคุมสติได้ดีกว่าแต่ก่อนเยอะ…
ว่าแต่พี่ปุ๊เถอะ สบายใจขึ้นบ้างรึยัง…”

ช่อลิลลี่ลุกขึ้นนั่งพับเพียบหันมามองคนที่ยังคงนอนเหยียดกายบนพื้นหญ้า…

“ขอบใจนะสำหรับสถานที่ดีๆ กับข้อคิดบางอย่างที่ฉันอดยอมรับไม่ได้ว่า
ฉันไม่เคยนึกถึงหรือไม่แม้แต่จะสนใจเสาะหา…”รอยยิ้มบนใบหน้าของคนพูด
ทำให้คนมองรู้สึกมีความสุขได้อย่างแปลกประหลาด…

“พี่รู้มั้ยว่าทำไมลี่ถึงได้เลือกดอกหญ้าให้เป็นตัวแทนความรัก…”
คราวนี้คนฟังถึงกับเลิกคิ้วสูง…

“นั่นน่ะสิ…ยังงงๆอยู่เหมือนกัน…”

“ดอกหญ้าน่ะมันมีอิสระอยู่ในที่ที่มันเติบโต ไม่มีใครเด็ดมันไปปักแจกันอย่างดอกกุหลาบ…
มันไม่ได้สวยโดดเด่นเหมือนดอกฟ้าที่ใครๆต่างมองอย่างชื่นชมและใฝ่ฝันอยากครอบครอง…
มันเป็นตัวของมันได้อย่างเต็มที่ ได้เป็นดอกไม้ในทุ่งหญ้าที่มีท้องฟ้าคอยโอบอุ้ม…

ไม่ว่าจะฟ้าร้อง สายลมพัดหรือพายุกระหน่ำ
มันก็ยังคงยืนท้าทายกับสายลมแรงได้อย่างไม่ย่อท้อ…

เป็นพืชที่เราไม่ต้องรดน้ำพรวนดินให้ก็เจริญเติบโตได้

มันเกิดและเติบโตมาจากดิน กินอาหารจากดิน ได้รับแสงแดดและน้ำค้างจากฟากฟ้า…
แผ่นดินและผืนฟ้าคอยส่งให้มันเติบโตและสวยงามตามระบบที่พระเจ้าวางไว้ให้…

เหมือนความรักความดีงามที่ไม่ว่าจะพานพบกับสิ่งใดก็ไม่หวั่นไหว ไม่ย่อท้อ
หากยังคงยืนหยัดและตายอยู่ในท้องทุ่ง…แล้วมีต้นหญ้าต้นต่อไปเติบโตอีกครั้งและอีกครั้ง
ไม่มีวันหมดไปจากโลกนี้…”
ช่อลิลลี่ยิ้มบางก่อนจะกล่าวประโยคถัดมาว่า

“พี่เชื่อมั้ยว่าเวลาเรารักใครแล้ว ต่อให้เขามองไม่เห็นมัน
แต่รักนั้นก็ยังคงเจริญเติบโตอยู่ในหัวใจเราได้…
แม้จะไร้คนที่เรารักมาคอยดูแลหัวใจรักนั้น…

ต้นรักบางทีมันก็เหมือนต้นหญ้านั่นแหล่ะ…เติบโตได้ดีในท้องทุ่งกว้าง…
ชอบอิสระ…แค่แสงแดดอ่อนๆ สายลมพัดพลิ้ว…ก็ทำให้มันเริงร่าสดใสได้แล้ว…

บางทีมันก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย แค่ได้เติบโตในหัวใจคน…
และรอคอยวันที่จะออกดอกเบ่งบาน ขยายพันธุ์สืบไปไม่ให้หายไปจากโลกนี้ก็เท่านั้น…”

ช่อลิลลี่ยื่นดอกหญ้าในมือส่งให้เต็มกมลที่ตอนนี้ลุกขึ้นนั่งชันเข่า
นั่งฟังเธอพร่ามอย่างเงียบๆผิดจากเต็มกมลคนขี้วีนเมื่อเช้ายิ่งนัก…

“ต้นหญ้าน่ะขึ้นง่าย ไม่ว่าจะไปตกอยู่บนแผ่นดินไหน…ก็เจริญเติบโตได้ไม่ยาก…
แม้จะถูกมองข้าม แต่มันก็ไม่ย่อท้อเลยสักนิด…

ลี่ไม่อยากให้พี่มองข้ามต้นไม้เล็กๆที่พยายามจะมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้…
ดูสิ…ดอกของมันน่าเอ็นดูออก…”

เต็มกมลส่ายหน้าไม่ยอมรับดอกหญ้าในมือของช่อลิลลี่…

“มันอุตส่าห์แซะซอกหินเพื่อพยายามยื่นหน้าออกมาเบ่งบานรับแสงแดด…
แทนที่แกจะเอ็นดูอยู่เฉยๆ แล้วไปเด็ดมันมาทำไม…”

คนโดนตำหนิถึงกับหน้าหุบไปนิด หากเจตนาของเธอนั้นมี…

“สำหรับดอกหญ้าเล็กๆดอกนี้…ลี่อยากให้มันบานในใจพี่…รับไว้สิ…”

คนฟังถึงกับกระตุกคิ้วนิดนึง แววตากลอกไปมาเมื่อยามมองตาฝ่ายตรงข้าม
เห็นเพียงรอยยิ้มซื่อๆ เขาจึงยื่นมือรับมันไว้แล้วใส่ไปในกระเป๋าเสื้อยืดตรงหน้าอกด้านซ้าย…

“สงสัยฉันคงต้องกลับไปดูภาพดอกหญ้าของแกอีกรอบแล้วล่ะลี่…
ไม่แน่…งานชิ้นนี้ของแกอาจผ่านก็ได้…แต่ย้ำนะว่ารูปดอกหญ้าของแกต้องสวย ไร้ที่ติ…”

คนฟังถึงกับยิ้มกว้างด้วยความดีใจ…ก่อนจะชูสองนิ้วขณะพูดว่า

“แน่อนอยู่แล้ว…พี่ปุ๊ก็รู้ว่าฝีมือระดับนี้ ไม่มีไม่เจ๋ง…”

“อยากรู้เหมือนกันว่าดอกหญ้าของแกจะขายดีสักแค่ไหน…”

“ไม่ลองจะรู้เหรอพี่…ของอย่างนี้มันต้องกล้าได้กล้าเสีย…
กลัวอะไร…ค่ากระดาษกับหมึกจะสักเท่าไหร่กัน…”

เออ…จะสักเท่าไหร่ของมัน เคยเกือบทำเอาสำนักพิมพ์แทบวายมาแล้วก็แล้วกัน…

“สรุปว่าที่พามานี่ก็หวังผลอยากให้งานผ่านว่างั้น…”

“ที่ไหนเล่า…เค้าหวังดี อยากให้พี่อารมณ์ดีต่างหากเล่า…”

“ว่าแต่…”ช่อลิลลี่ไม่วายอดถามข้อกังขาใจมาตลอดไม่ได้อยู่ดี

“งานของลี่กับบทความสารคดีน่ะมันแย่จนต้องกลับไปเรียนม.ต้นใหม่จริงๆเหรอพี่…”

คนถูกถามถึงกับหัวเราะ…ก่อนจะโยกหัวหญิงสาวแล้วไขข้อข้องใจของอีกฝ่ายไปว่า

“คนมันอารมณ์เสีย…ก็เหมือนรถเสียนั่นแหล่ะ มันใช้การได้ซะที่ไหนล่ะ…
ซ่อมเสร็จโน้นแหล่ะ ถึงจะกลับไปใช้งานได้อีกครั้ง…”

ช่อลิลลี่ได้ฟังคำตอบก็ถึงกับหัวเราะขำ

“หวังว่ามันจะไม่เสียให้ต้องออกแรงซ่อมบ่อยๆนะพี่…
บอกตามตรง ถ่อสังขารมาถึงที่นี่ ใช้เวลาและน้ำมันไม่น้อยเลยนะ…
อย่าลืมล่ะว่าน้ำมันน่ะมันตังค์น้อง…เบียดเบียนผู้น้อยไม่ดีรู้รึเปล่า…
จ่ายมาซะดีๆ…ค่าซ่อมด้วย…”

“งกจริงแก…เปลี่ยนเป็นเลี้ยงข้าวแทนได้ป่าวล่ะ…”

“จริงอ่ะ…งั้นขอร้านหรูๆแพงๆได้มั้ยอ่ะ แบบร้านข้างถนนไม่เอานะ
กินบ่อยแล้ว…วันนี้อยากกินอาหารญี่ปุ่น…พี่พาไปกินหน่อยสิ…”

“ได้ทีขี่แพะไล่เลยนะไอ้ลี่…แต่…จะไปก็ไป…”

“ไชโย…พี่ปุ๊จะเลี้ยงอาหารญี่ปุ่นไอ้ลี่แล้วโว้ย…ไชโย้…”
ช่อลิลลี่กระโดดชูไม้ชูมือด้วยสีหน้าและน้ำเสียงดีใจ

…เพราะเท่าที่จำได้เธอไปกินอาหารต่างด้าวอย่างอาหารญี่ปุ่นที่แพงเอาการอยู่
กับชายหนุ่มเมื่อสมัยยังละอ่อนโน่นแหน่ะ…
ไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่ไม่ค่อยทำตัวว่างอย่างพี่ปุ๊ของเธอจะยอมพาลูกน้องอย่างเธอ
ไปกินของแพงด้วยกัน…อย่างนี้ไม่มีเฮได้ยังไง…





สิ้นรักยืนโบกมือลาเพื่อนรักกับอากิโกะที่แวะมานอนเป็นเพื่อนเธอ
ระหว่างที่รังสิมันต์เดินทางไปต่างประเทศเพื่อติดต่อเรื่องงาน…

สามวันที่ผ่านมา เธอรู้สึกดีมากกว่าวันไหนๆ ไม่เหงา ไม่เครียด
ไม่จมอยู่กับปัญหาของตนเองจนเกินไปนัก อีกอย่างมีเด็กตัวน้อยๆอย่างเจ้าแฝด
คอยสร้างบรรยากาศดีๆให้ด้วยยิ่งทำให้เธอยิ้มได้

และพอทั้งหมดบอกลา ความเหงาก็กลับมาเยือนบ้านของเธออีกครั้ง…

เธออาจจะมีบ้านหรูๆ มีเงินทองมากมาย แต่มันก็ไม่อาจข่มความทุกข์ทางใจได้เลย

…อันคนเรานั้น ยามแรกรักมักหวานชื่น ต่างคนต่่างก็หยิบยื่นความดีให้แก่กัน…
ทุกอย่างที่เห็นจึงดูสวยงาม…

ความรักความงดงามช่างยิ่งใหญ่กว่าสิ่งใด สุดท้ายจึงตกลงปลงใจแต่งงานกัน…
ใช้ชีวิตคู่ด้วยกันอย่างที่หวังไว้…

หากเป็นในละครที่เธอเคยดู…ฉากจบของความรักที่ต้องฝ่าฟันความทุกข์ยากลำบาก
กว่าจะได้แต่งงานกันคงจบลงอย่างหวานชื่นในงานแต่ง
ซึ่งพระเอกกับนางเอกแต่งงานกันแล้วยืนจับมือกันเดินไปตามทางด้วยรอยยิ้มสุขใจ

…ภาพความประทับใจในงานวันแต่งยังคงประทับใจของเธอจนทุกวันนี้…
วันที่เธอต้องพบกับความจริงที่ว่า โลกเรามีสองด้าน มีทั้งดีและแย่ มีทั้งมืดและสว่าง…

สิ่งดีๆที่เราเคยหยิบยื่นให้กันในวันวานเริ่มจางหายไป
เมื่อมีความไม่ไว้วางใจ ความไม่เชื่อใจกันเกิดขึ้นระหว่างเราสองคน…

ความหวาดระแวงสร้างความร้าวฉานให้กับชีวิตคู่ที่กำลังก่อร่างสร้างรักทีละนิดทีละน้อย…
เธอเองก็บอกกับตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่ความอดทนจะมาถึงที่สุด

…สิ่งที่เธอกำลังทำอยู่คือการยื้อเวลา…

สิ้นรักทรุดกายลงตรงบนโซฟานุ่มเนื้อดี…

ยามนี้ เธอต้องการใครสักคนที่เธอจะสามารถระบายความในใจทั้งหมดที่มีออกไปได้
โดยไม่ต้องกังวลว่าเขาคนนั้นจะต้องทุกข์ใจไปกับเธอ…

พ่อบันคือคนแรกที่เธอนึกถึง หากก็ไม่อยากทำให้ท่านทุกข์ใจ…

วันนี้เธอไม่เหลือใครที่จะสามารถเล่าความทุกข์ในใจนี้ออกไปได้เลยจริงๆ
ไม่ใช่เพราะไม่ไว้ใจ หากเป็นเพราะไม่อยากให้คนที่เธอรักและห่วงใย
ต้องทุกข์กังวลใจด้วยก็เท่านั้นเอง…

“หนูรัก…”เสียงนั้นทำให้สิ้นรักหลุดจากภวังค์ หันไปทางเสียงนั้น
ก่อนจะยิ้มดีใจเมื่อเห็นใบหน้าของเจ้าของเสียง…

“นม…นมมาได้ไงคะ…”หญิงสูงวัยเดินเข้ามาโอบกอดสิ้นรักเอาไว้แน่น

“นายหญิงน่ะสิคะ…ไล่ให้นมมาดูแลหนูรัก…ท่านเป็นห่วงหนูมากนะคะ
แต่ปลีกเวลามาอยู่ด้วยไม่ได้ เลยไล่ให้นมมาดูแลแทน…
บอกตามตรงว่านมเต็มใจมาสุดๆเลยล่ะ…”สิ้นรักยิ้มกว้างก่อนจะพาหญิงสูงวัยมานั่งตรงโซฟา…

“นมพาเจ้าผักหวานให้มาช่วยหนูรักเรื่องงานบ้านด้วยค่ะ…จะได้ไม่เหนื่อยนัก…”
สิ้นรักมองเด็กสาว หน้าตาสวยใสตรงหน้าแล้วหันไปมองหน้าคนพามา

“แล้วเจ้าผักหวานของนมไม่มีเรียนหรอกเหรอคะ…”หญิงสูงวัยส่ายหน้า

“ไม่แล้วล่ะค่ะ…เจ้าเด็กคนนี้มันขี้เกียจจะเรียน จบม.หกแล้ว นมเห็นว่าไม่มีงานทำ
ก็เลยจะเอามาฝากหนูรัก…เรื่องงานบ้านงานเรือนทำได้ไม่มีที่ติ…”
สิ้นรักมองเด็กสาวที่นั่งก้มหน้าก้มตาแล้วยิ้มบาง…

“อายุเท่าไรแล้วล่ะเรา…”

“สิบแปดค่ะ…”เสียงใสตอบกลับมา แววตาของเด็กสาวดูหวานซึ้งปนเศร้า

“กำพร้าค่ะ…พ่อแม่เพิ่งเสียไปไม่นานมานี้เอง…”
สิ้นรักได้ฟังถึงกับเห็นอกเห็นใจเด็กสาวตรงหน้า…

“รักจะรับไว้ดูแลเองค่ะนม…นมไม่ต้องห่วงนะคะ…”
สิ้นรักหันไปยิ้มให้กับหญิงสูงวัยแล้วหันมาทางเด็กสาววัยสิบแปด

“ชื่อเพราะดี…อยู่กับฉันที่นี่นะผักหวาน…ปกติบ้านหลังนี้ฉันจะเป็นคนดูแลคนเดียวทั้งหมด…
เพราะว่าชอบทำน่ะ…ได้ออกแรงออกกำลัง…
ยิ่งกำลังตั้งท้องแบบนี้ยิ่งต้องหมั่นออกกำลังกาย ร่างกายจะได้แข็งแรง
เวลาคลอดจะได้มีแรงเบ่ง…ไม่อ้วนหลังคลอดด้วย…

ดังนั้นงานบ้านจึงเป็นงานที่ไม่หนัก แต่ช่วยให้เราได้ออกเหงื่อ…นมว่าจริงมั้ยคะ…”

หญิงสูงวัยถึงกับพยักหน้า เพราะคนสมัยหล่อนนั้นไม่ว่าจะตั้งท้องหรือไม่
งานบ้านก็จำเป็นต้องทำ...ผู้หญิงสมัยก่อนนั้นไม่ค่อยมีคนอ้วนมากนัก ต่างจากสมัยนี้…
แต่คนที่อ้วนท้วนสมบูรณ์ก็ดูน่ารัก ตุ้ยนุ้ยไปอีกแบบ...

“ขอบคุณนายหญิงสิเจ้าผักหวาน…”เด็กสาวเงยหน้าขึ้น
ก่อนจะกล่าวขอบคุณสิ้นรัก…

“ขอบคุณค่ะนายหญิง…”สิ้นรักยิ้มอย่างเอ็นดู…

“เธอชอบเด็กรึเปล่าผักหวาน…”เด็กสาวพยักหน้า…

“ชอบค่ะ…”

“งั้นดีเลย…น้องคลอดเมื่อไหร่…เราสองคนจะได้ช่วยกันดูแล…
ว่าแต่…เธอไม่มีพี่น้องหรือผักหวาน…”เด็กสาวส่ายหน้า

“ไม่มีค่ะ…”สิ้นรักพยักหน้าอย่างนึกสงสาร…

“ฉันเองก็ไม่มีพี่น้องที่ไหนเหมือนกัน เป็นลูกสาวคนเดียว…”

สิ้นรักเริ่มรู้สึกถูกชะตากับเด็กสาวตรงหน้าก่อนจะพาเด็กสาวไปดูห้องหับ…
ซึ่งอยู่ชั้นล่างของบ้าน…เด็กสาวยิ้มอย่างตื่นเต้นดีใจ
เมื่อเห็นห้องกว้างและสวยกว่าที่คาดคิดไว้…

“นายหญิงจะให้ผักหวานพักที่ห้องนี้จริงๆเหรอคะ…”
สิ้นรักยิ้มให้กับสีหน้าท่าทางนั้นของเด็กสาว

“จริงสิ…ห้องนี้เป็นห้องที่ยังเปิดว่างอยู่…เผื่อว่าแขกมาอยู่กันหลายคน
เธออยู่ใกล้ๆฉันแหล่ะดีที่สุด…ส่วนผ้าปูที่นอนพับอยู่ในตู้นะ…
มีสึชมพูด้วยรึเปล่าไม่แน่ใจ…เอาเป็นว่าชอบสีไหนก็เลือกใช้ได้ตามใจเลยนะ…”

เด็กสาวมองไปรอบๆห้องด้วยความชอบใจ…
เพราะนี่คือห้องในฝันของเธอเลยทีเดียว…
เมื่อฝันเป็นจริงเด็กสาวจึงอดไม่ได้ที่จะขอบคุณผู้ให้ด้วยความตื้นตันใจ

“ขอบคุณนายหญิงมากเลยนะคะที่ทำให้ฝันของผักหวานเป็นจริง
ผักหวานชอบห้องนี้มากเลยค่ะ…”สิ้นรักยิ้มก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวเด็กสาวอย่างเอ็นดู…

“เธอชอบฉันก็ดีใจ…ยังไงก็ช่วยฉันดูแลบ้านหลังนี้ด้วยกันนะ…”

“แล้วอย่าเหลวไหลเชียวล่ะเจ้าผักหวาน…”เสียงหญิงสูงวัยกล่าวตักเตือนสอนสั่ง…
ทว่าไม่ทันได้พูดอะไรต่อ เสียงกระดิ่งก็ดังมาจากหน้าบ้าน

“สงสัยพี่รังจะกลับมาแล้วค่ะนม…เดี๋ยวรักขอตัวไปดูก่อนนะคะ…”
สิ้นรักกล่าวจบก็รีบเดินไปยังหน้าบ้านก็เห็นเป็นจริงดังคาด
รังสิมันต์ยืนอยู่ตรงหน้าประตู หอบข้าวของมาเต็มมือ…

“ให้รักช่วยมั้ยคะ…”สิ้นรักอาสา

“ไม่เป็นไร…”รังสิมันต์พูดจบก็ถอดรองเท้าเข้าบ้านทันที…
ก่อนจะวางของในมือลงบนโต๊ะ…

“อ้าว…นม…มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ…”แววตาของรังสิมันต์ประหลาดใจ
เมื่อเห็นร่างของหญิงสูงวัย ก่อนจะเลิกคิ้วนิดนึงเมื่อเหลือบไปเห็นร่างของเด็กสาว
ที่ยืนเยื้องอยู่ทางด้านหลังของหญิงสูงวัย…

“ก็นายหญิงแพรวาน่ะสิคะ…ไล่ให้นมมาอยู่ช่วยดูแลหนูรัก
กลัวว่าหนูรักจะเหงา…ก็นายน้อยน่ะแหล่ะ เล่นไปไหนต่อไหนเสียบ่อยๆ…
แล้วนี่เจ้าผักหวานค่ะ นมพามาฝากนายหญิงให้ช่วยดูแลงานบ้าน…”
รังสิมันต์พยักหน้าเห็นด้วย…

“ดีสิครับ…ผมกำลังมองหาคนมาช่วยงานบ้านหนูรักของนมอยู่พอดี…”

รังสิมันต์กล่าวพลางเอื้อมมือไปโอบไหล่สิ้นรักเอาไว้…ทำเอาสิ้นรักถึงกับสะดุ้งโหยง
หากเมื่อมองรอยยิ้มสุขใจของหญิงสูงวัยจึงเข้าใจว่า ละครกำลังถูกจัดแสดงขึ้นอีกครั้ง…

“เราไปดูของที่พี่ซื้อมาฝากด้วยกันข้างบนดีกว่านะ…”
รังสิมันต์ชวนสิ้นรักขึ้นห้องด้วยรอยยิ้มหวาน…สิ้นรักจึงยิ้มตอบ

“น่าอิจฉานายหญิงนะจ๊ะยาย…นายหัวทั้งหน้าตาดี ช่างเอาอกเอาใจ
และดูจะรักนายหญิงขนาดนั้น…เป็นผักหวาน ผักหวานรักตายเลย…”

เด็กสาวกล่าวออกมาด้วยแววตาฝันหวาน

…เธอเพิ่งได้เห็นตัวเป็นๆของคุณหมอชื่อดังที่ผันตัวมาเป็นนายหัวแห่งเกาะรังนกหลายแห่ง
ในภาคใต้ก็ครั้งนี้เอง…ใครๆเขาก็ลือกันว่านายหัวรังสิมันต์นั้นทั้งหล่อ ทั้งใจดี
แถมยังเก่งรอบด้านแบบหาตัวจับยากอีก…

พอเธอได้มาเห็นตัวเป็นๆแบบนี้ แทบหยุดหายใจ…ทั้งหน้าตา บุคลิก…
ทุกอย่างดูลงตัวไปหมด…รอยยิ้มที่เขามอบให้นายหญิงของเธอนั้นช่่างน่ามองยิ่งนัก

…หัวใจเธอแทบหยุดเต้นเลยทีเดียว…

ที่ว่าน้องชายซึ่งป็นดาราดังคับฟ้านั้นหล่อลากไส้แล้ว…คนเป็นพี่ยิ่งแล้วกว่า
หล่อเข้ม ดูมีภูมิฐานกว่าเป็นไหนๆ…จึงอดแปลกใจไม่ได้ที่นายหัวผู้เพียบพร้อมขนาดนั้น
ทำไมถึงได้เลือกหญิงสาวตัวเล็กที่ถึงแม้จะดูสวยหวานซึ้ง หากก็มิได้สวยสะดุดตา
บาดตาบาดใจใครเท่าไหร่มาเป็นคู่ชีวิตทั้งๆที่สามารถเลือกหญิงสาวที่เพียบพร้อมทัดเทียมกัน
ได้มากกว่านี้ด้วยซ้ำ

…แต่คงเป็นเพราะความรักกระมัง…
ถึงทำให้ทั้งสองตกลงปลงใจแต่งงานใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน…

“แต่ยายว่านายน้อยน่าอิจฉามากกว่าที่ได้หนูรักมาเป็นภรรยา…
น้อยคนนักจะรู้ว่า…คนอย่างนายน้อยเป็นคนอย่างไร…
และน้อยคนนักเช่นกันที่จะทำให้คนอย่างนายน้อยแพ้ทางได้…

ที่เจ้ามองๆว่านายหญิงของเจ้าเขาดูไม่มีอะไรน่ะ
จริงๆแล้วหนูรักของยายน่ะเก่งและอดทนยิ่งกว่าใคร…
แถมยังใจดีมีเมตตาธรรม…ยิ่งมองยิ่งพิศยิ่งอยู่ด้วยก็จะยิ่งรัก…
เดี๋ยวเจ้าอยู่ๆไปก็จะเข้าใจไปเอง ว่าที่ยายพูดนั้นไม่มีผิดหรอก…”

เมื่อเข้าห้องแล้วรังสิมันต์ก็เดินเข้าห้องน้ำ จัดการธุระส่วนตัวเสร็จก็รีบเข้าห้องหนังสือ…
หมกตัวอยู่ในนั้นหลายชั่วโมงกว่าจะออกมา

สิ้นรักที่ดูจะเข้าใจสถานการณ์ดีระหว่างเขากับเธอ จึงพยายามสงบใจ
และลงมาจัดการกับอาหารเย็นให้กับสามี แต่เพราะยังแพ้ท้องอยู่
จึงไม่อาจทนกลิ่นอาหารได้…

ดังนั้นเรื่องการทำอาหารจึงตกเป็นหน้าที่ของหญิงสูงวัยกับผักหวานแทน…
แต่คนที่ไม่อยากอยู่นิ่งๆ ชอบทำตัวให้มันวุ่นวาย โดยการเช็ดฝุ่นตามแจกัน
จัดดอกไม้ รดน้ำให้กับต้นไม้ ทำอะไรเรื่อยไปไม่หยุด ไม่ยอมให้ใจมันว่าง
หวังเพียงเพื่อฆ่าเวลาไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน…

แต่ดูจะเปล่าประโยชน์ เพราะทุกๆครั้ง
หญิงสาวก็มักจะแหงนหน้าขึ้นมองไปยังห้องทำงานของสามีอยู่ตลอดเวลา
…อยากเข้าไปหาเขา อยากเห็นหน้าเขา อยากอยู่ใกล้ๆเขา แต่ก็ไม่กล้า

…เธอควรจะทำอย่างไรดีไม่ให้นมและเด็กสาวรู้เรื่องความสัมพันธ์ของเธอกับเขา
…เมื่อก่อนไม่มีใครมาคอยอยู่ด้วยในบ้าน หากตอนนี้ไม่ใช่แล้ว

…เธอไม่แน่ใจว่าจะปิดบังคนอื่นเรื่องรอยร้าวของชีวิตรักของเธอไปได้อีกนานแค่ไหน
ระยะหลังๆมาเขาไม่ได้นอนร่วมเตียงเดียวกันกับเธอเลย…

คนอย่างเธอจะมีอะไรให้เรียกร้องได้…
แววตาที่เขามองน้องสะใภ้มันบาดลงไปกรีดลงไปถึงหัวใจ…
อยากจะยอมแพ้แล้วไปให้ไกลเสียตอนนี้ เพราะอยู่กับคนที่ไร้หัวใจ อยู่ไปก็ไร้ค่า

…เธอไม่ได้โกรธแค้นอากิโกะหรือโทษเขา เรื่องแบบนี้ใครจะห้ามได้…

เรื่องของเธอท่ีเขาโกรธอยู่ยังเป็นหนามตำใจเขา
…เธอเองก็สุดจะแก้ไขได้…ยังมองไม่เห็นทาง…



“พี่รังขึ้นมานอนบนนี้เถอะนะคะ…เดี๋ยวรักจะลงไปนอนข้างล่างเอง”

สิ้นรักมองภาพสามีที่นอนบนพื้นข้างล่างข้างๆเตียงนอนของเธอไม่ได้
ปกติเขาจะนอนห้องอื่น แต่ต่อจากนี้คงทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว
เพราะคนอื่นจะสงสัยเอาได้…

“ไม่เป็นไร เธอกับลูกนอนบนนั้นแหล่ะดีแล้ว…”เสียงตอบกลับมาราบเรียบ

“แต่…”

“ไม่ต้องแต่…พี่ง่วงแล้ว จะหลับ…พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า…”

สิ้นรักถึงกับพูดไม่ออก…ได้แต่มองภาพเขานอนตะแคงหันหลังให้อย่างเหงาๆ…

เขาบอกว่ารักเธอต่อหน้าคนอื่น…แต่พอลับหลังกลับนอนหันหลังให้
แถมไม่ยอมเข้าใกล้เธอราวกับเธอเป็นไอ้ตัวสกปรก น่าขยะแขยง…

เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าสามีของตัวเองสร้างภาพเก่งขนาดไหน…

สิ้นรักจึงล้มตัวลงนอนตะแคงหันไปทางรังสิมันต์ ขยับกายมาที่ริมเตียง
เพื่อจะได้มองเขาที่นอนอยู่ด้านล่างได้ถนัด…บอกกับใจตัวเองว่า
ต่อให้เขาจะไม่รักเธอ แต่เธอก็จะยังรักเขา…
ชีวิตของเธออยู่ในกำมือเขาแล้ว

…เพราะเมื่อทบทวนเรื่องราวระหว่างเขากับเธอที่ผ่านมา
เธอก็พบว่า ไม่อาจเปลี่ยนใจไปรักใครได้อีกและก็ไม่อาจเดินไปจากเขาได้…

ตกดึก หญิงสาวลุกขึ้นไปห้องน้ำโดยไม่ให้เกิดเสียงดังรบกวนคนนอนหลายต่อหลายรอบ
ซึ่งเป็นปกติของคนท้อง ที่จะปวดปัสสาวะต้องเข้าห้องน้ำหลายรอบ
…จนไม่เป็นอันหลับอันนอน…และเมื่อถ่ายมากจึงหิวน้ำตามมา…

สิ้นรักมองกระติกน้ำบนโต๊ะข้างเตียงก็พบว่าว่างเปล่า…ไม่มีน้ำดื่ม
หญิงสาวจึงลุกเดินไปนอกห้องพยายามเปิดประตูห้องอย่างเบามือ…

ระหว่างเปิดก็พยายามมองให้แน่ใจว่าไม่ทำให้อีกฝ่ายตกใจตื่น…
เมื่อแน่ใจแล้วจึงค่อยๆเดินไปยังห้องครัวรินน้ำร้อนลงแก้ว แล้วรินน้ำลงไปในกระติก…

เมื่อมองไปทางตู้เย็นจึงรู้สึกหิวขึ้นมา ปกติเธอจะไม่หิวตอนดึกๆเช่นนี้
ตั้งแต่ตั้งท้อง ระบบร่างกายของเธอก็เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม

หญิงสาวจึงเปิดตู้เย็นดูก็พบขนมเค้กก้อนหนึ่งวางอยู่ จึงยิ้มอย่างเป็นสุข
ก่อนจะค่อยๆหยิบขนมเค้กออกมานั่งกินคนเดียวบนโต๊ะ…
กินเสร็จก็ลูบท้องตัวเองเบาๆพลางพูดว่า

“อยากกินขนมเค้กล่ะสิ…แม่รู้นะ…เพราะปกติแม่จะไม่กินขนมเค้กเวลานี้
เนี่ยเห็นแก่หนูนะรู้มั้ย…อยากกินอะไรบอกแม่นะ แม่จะพยายามส่งไปให้…”

สิ้นคำเท่านั้น สิ้นรักก็เริ่มอยากกินช็อกโกแลตขึ้นมา
โดยไม่แน่ใจเลยว่าในตู้เย็นจะมีหรือเปล่า…และพอเปิดดูไม่เจอ
จึงเดินหาไปตามตู้ในห้องครัวและห้องรับแขกเผื่อว่าจะเจอ

…แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ…หญิงสาวจึงถอดใจ…

“ไม่มีช็อกโกแลตเลยลูก…เอาไว้พรุ่งนี้แม่จะส่งไปให้นะ…
คืนนี้อย่ากวนแม่เลย แม่นะง้วงง่วง…”สิ้นรักบ่นเสียงเบาระหว่างกำลังขึ้นบันไดไปยังห้องนอน…
ทว่าเมื่อถึงหน้าห้องก็พบกับร่างยักษ์ที่ยืนจังก้าขวางประตูห้องอยู่…

“มาทำอะไรดึกๆดื่นๆแบบนี้…”เสียงถามนั้นฟังดูจะไม่พอใจเธอสักเท่าไหร่

“มาหาน้ำดื่มค่ะ…”สิ้นรักพูดพลางยกกระติกน้ำในมือขึ้นให้อีกฝ่ายดู

“แล้วพี่รังล่ะคะ…จะไปไหน…”

“จะลงไปหาน้ำดื่มเหมือนกัน…”

“งั้นดื่มของรักสิคะ…”สิ้นรักยื่นกระติกน้ำให้…ทว่าอีกฝ่ายกลับส่ายหน้า

“ไม่ต้องหรอก…”พูดจบก็เดินลงไปยังด้านล่างทันที…สิ้นรักได้แต่ยืนงงๆก่อนจะเข้าห้องไป
แต่พยายามข่มตานอนเท่าไหร่ก็นอนไม่หลับ
ความอยากกินช็อกโกแลตที่มีรสหวานๆขมๆมันทำให้เธอหลับตาไม่ลง…
จึงได้แต่พลิกตัวไปมา…

หนำซ้ำอีกฝ่ายที่บอกว่าจะลงไปหาน้ำดื่ม ป่านนี้ยังไม่กลับขึ้นมานอน…
จนทำให้สิ้นรักต้องลุกขึ้นอีกรอบเพื่อลงไปดูให้แน่ใจว่าทำไมสามีของตัวเอง
ถึงได้หายไปนานสองนาน…

และเมื่อลงมาดูจึงพบว่าเขากำลังทำอะไรบางอย่างอยู่ในครัว
เสียงดังแค๋กๆ พร้อมกลิ่นช็อกโกแลตที่หอมโชยแตะจมูก…
ทำให้สิ้นรักถึงกับอมยิ้มเดินเข้าห้องครัวไปทันที…

รังสิมันต์ตกใจสะดุ้งนิดนึงเมื่อเห็นว่าคนที่เขาคิดว่าหลับไปแล้ว
มาหยุดยืนอยู่ข้างๆเขา…

“พี่รังกำลังทำช็อกโกแลตให้ใครทานคะ…รักหาเสียตั้งนานก็ไม่เจอ…
พี่รังไปเจอผงทำช็อกโกแลตนี่ที่ไหนคะ…”
สิ้นรักถามเมื่อเห็นรังสิมันต์กำลังเทช็อกโกแลตเหลวบนเตาลงไปบนแม่พิมพ์ที่เตรียมไว้…

“พี่หิว อยากกินช็อกโกแลตก็เลยลงมาทำน่ะ…”
สิ้นรักเลิกคิ้วสูงด้วยความไม่แน่ใจว่าเขาล่วงรู้จิตใจตนว่ากำลังอยากกินช็อกโกแลต
หรือเป็นเพราะใจเราตรงกัน…

“งั้นแบ่งให้รักกินบ้างได้มั้ยคะ…รักหิว อยากกินช็อกโกแลตจนนอนไม่หลับ
กระสับกระส่ายจนทนไม่ไหวแล้วน่ะค่ะ…”สิ้นรักทำเสียงอ้อนนิดๆ

“สงสัยลูกคงอยากกินน่ะค่ะ…”ถ้อยคำนั้นทำเอารังสิมันต์ต้องเงยหน้าขึ้นมองคนพูดทันที…

“เอาสิ…ถ้าลูกอยากกิน พี่ก็ไม่ขัด…”ถ้อยคำดังกล่าวราวกับฟ้าฟาดลงกลางใจคนฟัง

…นี่เขายอมเพราะเห็นแก่ลูกอย่างนั้นน่ะหรือ…แล้วเธอซึ่งเป็นเมียเขาล่ะ…

หลังจากนั้นความเงียบก็เข้าปกคลุมบรรยากาศในห้องครัว…
จนช็อกโกแลตเย็น รังสิมันต์จึงแกะออกส่งให้สิ้นรัก
หญิงสาวมองช็อกโกแลตตรงหน้าอย่างชั่งใจ

ใจหนึ่งนั้นอยากกินยิ่งนัก หากอีกใจก็อดน้อยใจคนทำไม่ได้…

แต่เมื่อนึกถึงลูกน้อยในท้องที่ทำให้เธอรู้สึกหิวจนนอนไม่หลับขึ้นมาจึงลดทิฐิลง
หยิบช็อกโกแลตขึ้นมาแล้วส่งเข้าปาก…รสชาติหวานปนขมของมันทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น…

รังสิมันต์เองก็เริ่มจัดการกับช็อกโกแลตตรงหน้าเช่นกัน…

“เอาอีกไหม…”สิ้นรักส่ายหน้า

“ไม่แล้วล่ะค่ะ…พอแล้ว…”แค่ชิ้นเดียวก็พอจ๊ะลูก…
แค่นี้แม่ก็หน้าด้านเห็นแก่กินมากเกินไปอยู่แล้ว

…พ่อของลูกเขาสงสารลูกก็เลยให้แม่กิน จริงๆแล้วเขาไม่ได้อยากให้แม่กินหรอก…

“ทำไมล่ะ…ไม่อร่อยเหรอ…”สิ้นรักส่ายหน้า

“อร่อยค่ะ…แต่อิ่มแล้ว…”พูดแล้วร่างเล็กจึงลุกขึ้น…

“แน่ใจเหรอว่าลูกอิ่มแล้ว…”สิ้นรักถึงกับชะงักขาที่กำลังจะก้าวเดิน
ก่อนจะหยุดแล้วพูดเสียงเบาๆโดยไม่หันกลับมามองอีกฝ่ายว่า

“ค่ะ…แม่เขาอิ่มเขาก็อิ่ม…เราอิ่มพร้อมกัน…”เท่านั้นสิ้นรักก็รีบก้าวขา

“พี่จะเก็บเอาไว้ในตู้เย็นนะ…หิวเมื่อไหร่ก็ค่อยกิน…”สิ้นรักไม่ตอบ
เดินขึ้นห้องห่มผ้าคลุมโปง…พยายามข่มตานอน…

เสียงประตูห้องของเธอเปิดออกแล้วปิดลงก่อนจะมีเสียงฝีเท้าเดินมาหยุดอยู่ข้างๆเตียง…
ก่อนจะได้ยินเสียงเขาล้มตัวลงนอน…

สิ้นรักจึงค่อยๆเปิดผ้าห่มที่คลุมศีรษะอยู่ออก แล้วค่อยๆคืบเข้าไปดูว่าเขานอนหลับหรือยัง…
ก่อนจะตกใจเมื่อดวงตาดำสนิททั้งสองคู่ของเขายังเบิกกว้างและกำลังจ้องมองมาที่เธออยู่

…สิ้นรักจึงรีบหดตัวกลับแล้วคลุมโปงทันที…

สักพักผ้าห่มของเธอก็ปลิวติดมือของอีกฝ่ายไปทันที…
พร้อมๆกับร่างหนาที่ขึ้นคร่อมร่างของเธอ…

“เอ่อ…เอ่อ…”ไม่ทันได้พูดหรือซักถามอะไร…
รังสิมันต์ก็ฉกริมฝีปากบางทันทีจนสิ้นรักตั้งตัวไม่ทัน…
มือทั้งสองของเขาพยายามประสานกับมือของสิ้นรักเอาไว้แน่น…
ก่อนจะเปลี่ยนมาประคองแก้มของหญิงสาวเพื่อฝังจุมพิตลงไปอย่างถนัดถนี่

…สิ้นรักเริ่มโอนอ่อนผ่อนตาม เพราะใจก็ต้องการรสสัมผัสจากเขาอยู่เช่นกัน…

“คราวหลังถ้าอยากกินอะไรหรือต้องการอะไรก็บอกพี่ตรงๆ
เธอก็รู้ว่าพี่ทำได้ทุกอย่าง…ขอแค่บอกพี่มาตรงๆ…
อิ่มก็บอกว่าอิ่ม ไม่อิ่มก็บอกว่าไม่อิ่ม ไม่ใช่กักเก็บความต้องการเอาไว้จนทนไม่ไหว…
แล้วไปอ้อนวอนขอเอากับคนอื่นภายหลัง…”

สิ้นรักถึงกับหยุดชะงักเมื่อเจอเข้ากับประโยคที่เหมือนชกเข้าตรงหน้าท้องของเธออย่างจัง…
อารมณ์วาบหวามวูบไหวเมื่อครู่มลายหายพลัน…

“จะดูถูกกันเกินไปแล้วนะคะ…”
สิ้นรักกลืนน้ำลายลงคอมองหน้ารังสิมันต์อย่างตัดพ้อต่อว่า…

“ดูถูกก็ยังดีกว่าดูผิด…”สิ้นรักถึงกับน้ำตาไหล เจ็บเหลือเกิน…

คำพูด แววตา สีหน้าของเขาทำเธอเจ็บปวดเหลือเกิน…

สิ้นรักผลักร่างหนาให้ออกห่าง…แล้วพยายามหลบหนีออกจากกรงเล็บของเขา
ทว่ากลับถูกรังสิมันต์กระชากกลับไป…

“เธอหิว พี่ก็หิว ไม่คิดจะทำอะไรให้สามีของตัวเองบ้างรึไง…”

พูดจบรังสิมันต์ก็จุมพิตสิ้นรักอย่างหนักหน่วง…สิ้นรักได้แต่โอนอ่อนผ่อนตาม

…ยามที่สามีต้องการ ภรรยาอย่างเธอก็ไม่อาจขัดใจได้…
เพราะลึกลงไป…เธอเองก็ต้องการเขาเช่นกัน…

คงต้องขอบคุณหญิงสูงวัยกับผักหวานที่วันแรกที่ก้าวเข้ามาอยู่ที่นี่
ก็ทำให้สองสามีภรรยามีโอกาสได้กลับมานอนห้องเดียวกัน…
หลังจากที่แยกห้องกันนอนมาเป็นเดือนๆ…




ทางด้านครอบครัวทวีวรวรรณ ณ คฤหาสน์หลังงามของจอมทัพ…
เมื่ออาการป่วยของจอมพลมิอาจจะปกปิดได้อีกต่อไป…

“เป็นไปได้ยังไงที่พี่จะเป็นโรคนี้ เราสามคนเป็นโรคนี้เหมือนกัน
ในระยะเวลาเดียวกันแบบนี้ได้ยังไง…บอกฉันได้ไหมมณี…”
จอมทัพหันมาถามภรรยาด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด…
ทำเอาคุณหญิงมณีถึงกับหน้าซึดมองไปทางจอมพลที่นั่งอยู่บนรถเข็น
โดยมีขุนพลยืนอยู่ไม่ห่าง

“อะไรๆมันก็เกิดขึ้นได้น่ะวัน…มันก็แค่บังเอิญ…”

“แต่ผมรู้จักพี่ดี พี่ไม่ชอบนอนกับอีหนู…กับตัวผมน่ะผมยอมรับว่าเป็นไปได้
และกับมณีซึ่งเป็นเมียผมมันก็เป็นเรื่องปกติ…แต่กับพี่ มันเกิดขึ้นได้ยังไง…นอกซะจาก…”
สายตาของจอมทัพตวัดไปทางภรรยาของตนอย่างไม่ไว้วางใจ

…ดุจมณีกับขุนศึกถึงกับตกใจกับสิ่งที่พ่อของตนเองคิด…

“พี่กำลังดูถูกฉัน ดูถูกพี่หนึ่งอยู่นะพี่วัน…”คุณหญิงมณีตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ

“แค่ฉันได้รับเชื้อนี้มาจากพี่ ฉันก็แย่ไม่รู้จะแย่ยังไงอยู่แล้ว
แต่นี่พี่ยังจะมาป้ายความผิดของตัวเองให้คนอื่นแบบนี้ ฉันรับไม่ได้
ตัวเองมั่วกับอีหนูที่ไหนก็รู้จนติดเชื้อ…แล้วยังจะหาเรื่องโยนบาปให้คนอื่นอีก…”

ดุจมณีเริ่มพาลเพื่อกลบเกลื่อนความผิดของตนเอง
โดยการพยายามซัดทอดความผิดไปยังตัวต้นเหตุแห่งเชื้อไวรัสชนิดนี้

เพราะถ้าสามีของหล่อนไม่ไปมั่วสุมกับพวกอีหนู…มีหรือเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น…
ยิ่งคิดยิ่งเจ็บใจ…ขุนศึกที่นั่งรับฟังพวกผู้ใหญ่ทะเลาะกันก็เริ่มเบื่อเริ่มเซ็ง

“ผมไม่เข้าใจว่าจะนัดกันมาทะเลาะเพื่ออะไร…วันนี้วันเกิดผมนะครับ
และผมขอย้ำว่า เรื่องพวกนี้จะต้องไม่หลุดออกไปนอกบ้าน สังคมจะต้องไม่รับรู้…”
ทุกคนที่ได้ฟังถึงกับอึ้งไปชั่วครู่ และคนที่พูดขึ้นก่อนใครก็ไม่พ้นขุนพล…

“แล้วที่แกมีวันเกิดได้น่ะ ไม่ใช่เพราะพ่อกับแม่แกหรอกเหรอ…
ทำไมแกพูดราวกับไม่ให้ความสำคัญกับท่านแบบนี้…”
ขุนศึกได้ฟังถึงกับเหยียดยิ้มเยาะอีกฝ่าย

“เลิกทำตัวเป็นคนดีสักทีเถอะน่า เห็นแล้วรำคาญ…”

“หยุด…พอสักที…ทั้งสองคนนั่นแหล่ะ…”จอมพลกล่าวขึ้น
เพราะยังไม่อยากให้พี่น้องต้องมาทะเลาะกันในยามนี้…

“งั้นก็อย่าให้ผมรู้ก็แล้วกัน ว่าพี่ได้รับเชื้อนี้มาจากใคร…”

จอมทัพยังไม่ยอมลงให้อีกฝ่ายง่ายๆ เพราะลางสังหรณ์ของเขามันแรง
จนไม่อาจมองข้ามข้อสงสัยดังกล่าวนี้ได้…

เขาอยากจะไว้ใจพี่ชาย แต่เมื่อเห็นแววตาบางอย่างที่ภรรยาของเขา
มองไปยังพี่ชายของเขาแล้ว…มันก็อดสงสัยไม่ได้…

ยังไง ก่อนตาย เขาจะต้องสืบเรื่องนี้ให้รู้ให้ได้…

“เชื่อใจพี่สิวัน…พี่ไม่ทรยศแกหรอก…”จอมพลกล่าวกับน้องชาย
ก่อนจะหันไปทางมณี ที่ยืนอกสั่นขวัญหาย กลัวว่าสามีจะจับได้…

หล่อนรู้ดีว่าถ้าสามีจับได้ เขาต้องไม่ไว้ชีวิตหล่อนแน่ๆ…

จอมทัพนั้นใจคอเหี้ยมโหดยิ่งกว่าคนเป็นพี่เป็นไหนๆ…
เขาฆ่าคนได้โดยไม่รู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำ…

“เรามาคุยเรื่องเกาะรังกับเกาะชิงชังกันดีกว่านะ…”
จอมพลเริ่มเรื่องที่เคยติดค้างเอาไว้
เพราะก่อนหน้านี้…เขามัวแต่จมอยู่กับความทุกข์เรื่องโรคที่เป็นอยู่
หากเมื่อเวลาผ่านไป เขาก็สามารถปรับใจ ทำใจได้มากกว่าแต่ก่อน

…โรคนี้แม้จะไม่มียารักษาให้หายได้ หากดูแลตัวเองดีๆ
มีกำลังใจที่ดีก็จะสามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกหลายปี…

และเขาก็เชื่อว่าเงินที่มีอยู่สามารถช่วยต่อเวลาให้เขามีอายุเพิ่มได้อีกหลายปี…

“นี่พ่อยังไม่เลิกล้มความคิดเรื่องนี้อีกเหรอ…”ขุนพลที่ได้ฟังถึงกับรับไม่ได้กับสิ่งที่ได้ยิน…

“มันเรื่องของฉันกับอาของแก…ถ้าแกไม่สนก็อย่ามายุ่ง…”จอมพลดุลูกชายอย่างไม่ไว้หน้า…

“นั่นน่ะสิ…แกมันผ่าเหล่าผ่ากอ…ไม่อยากได้ก็อย่ามายุ่ง…”
ขุนศึกตอกกลับขุนพลซ้ำ ทำเอาดุจมณีที่ฟังอยู่นานแล้วถึงกับไม่เข้าใจ

“นี่…ไอซ์พลาดอะไรไปรึเปล่าคะ…”

“เอาน้องออกไปเจ้าไนท์…”จอมพลสั่งขุนพลเสียงแข็ง…

“ไอซ์ไม่ไปค่ะ…คุณลุงกับคุณพ่อกำลังวางแผนจะทำอะไรกันแน่คะ
แล้วเรื่องเกาะรังกับเกาะชิงชังนั่น…มันหมายความว่าไง…”

ดุจมณีรู้ดีว่าเจ้าของเกาะรังนั้นคือนายแพทย์รังสิมันต์
และเธอก็ไม่ใช่ผู้หญิงจะเอาแต่หลับหูหลับตาจนไม่รู้ว่าบิดาของตัวเองรวยขึ้นมามีวันนี้
ได้เพราะอะไร และเงินที่ตัวเองใช้อยู่ได้มาจากอาชีพอะไร…

“ก็หมายความว่า เราจะเอาทั้งสองเกาะนั่นมาเป็นของเรา
ต่อไปเวลาแกอยากมีที่พักดีๆ บรรยากาศสงบๆ แกจะพาเพื่อนๆไปพัก
หรือทำอะไรก็ได้โดยที่สังคมไม่รู้ยังไงล่ะยัยไอซ์…ไม่ชอบเหรอ…
ความเป็นส่วนตัว ความเป็นอิสระ ไร้กฏเกณฑ์บ้าบอที่คอยบีบคอให้หายใจไม่คล่อง
นี่แหล่ะเสรีภาพที่ใครๆก็ต้องการ…”ขุนศึกกล่าวกับน้องสาวด้วยแววตาหมายมั่น
เพราะเกาะดังกล่าวอยู่ในทำเลที่ดีเหมาะทั้งสำหรับไว้พักผ่อนและทำงานผิดกฏหมาย

“พี่จะได้มั่วกับใครๆได้สะดวกใช่มั้ยล่ะ…”
ดุจมณีตอกกลับพี่ชายด้วยสีหน้าไม่เห็นด้วยและไม่พอใจ

“ของๆคนอื่น…ไอซ์ไม่อยากได้หรอกค่ะ…มันจะสุขได้สักแค่ไหนกัน
ไปช่วงชิงของคนอื่นเขามา…วันหนึ่งเขาก็ต้องกลับมาเอาคืน…
แย่งกันไปแย่งกันมาอยู่อย่างนี้…เมื่อไหร่จะสุขสงบ…
เท่าที่มีอยู่ก็กินไปจนตายไม่หมดแล้ว…ทำไมพ่อกับคุณลุงถึงยังไม่ยอมปลงอีกคะ…
สมบัติที่มีอยู่เนี่ยมันยังไม่เพียงพออีกเหรอคะ…”

หญิงสาวหันไปถามผู้สูงด้วยวัยทั้งสองคนที่เธอเคารพรักนับถือ
แต่เมื่อเธอได้รู้ความจริงหลายๆอย่างเกี่ยวกับธุรกิจของท่าน
ความนับถือเหล่านั้นมันก็ค่อยๆลดลงทีละนิดทีละน้อย

ที่มีเหลืออยู่ก็คือความรักความหวังดีเท่านั้น…

“มันเป็นความฝันของพ่อ…อะไรที่พ่อต้องการ ใครก็ขวางไม่ได้…”
จอมทัพกล่าวขึ้นด้วยแววตาคาดหวัง

“แม้แต่ความตายน่ะเหรอคะ…”ดุจมณีถามด้วยแววตาสิ้นหวังและท้อแท้

เธอเหนื่อยเหลือเกิน…เหนื่อยกับสภาพครอบครัวที่เป็นอยู่
ทุกคนในครอบครัวต่างมุ่งหวังต่ออำนาจ บารมีและทรัพย์สิน…
สร้างสมเอาไว้มากมายจนกลายเป็นกำแพง กำแพงที่ไม่เคยปกป้อง
คุ้มครองเธอจากความเหงาที่พยายามจู่โจมเธอได้เลย…

ความเหงามันพังกำแพงเหล่านั้นมาก่อกวนหัวใจเธอได้ทุกเวลา…

ไม่เคยมีใครหันมาสนใจสร้างกำแพงรัก กำแพงบุญเอาไว้ปกป้องหัวใจ
ของคนในครอบครัวบ้างเลย…ไม่มีใครสักคนจะเข้าใจถึงความต้องการของเธอเลย
…ทุกคนสนใจแต่ความต้องการของตัวเองกันทั้งนั้น…

“ใช่…แม้แต่ความตายก็ขวางไม่ได้…”แววตาของคนพูดไม่ได้ใส่ใจอะไร
มากไปกว่าสิ่งที่ต้องการมาตลอด…ซึ่งก็คือการได้ครอบครองเกาะทั้งสอง

“พอพ่อได้ครอบครองเกาะนั้นแล้ว…พ่อก็จะเสาะหาเกาะโน้นเกาะนี้ไปเรื่อยๆ…
เพราะพ่อยึดเกาะติดความต้องการของตัวเองเป็นใหญ่
จนไม่เคยสนใจต่อความต้องการของคนรอบข้าง…พ่อไม่เคยรู้จักการให้…
แม้แต่ลูก…พ่อก็ยังไม่สนใจเลยที่จะไถ่ถามว่าเค้าต้องการอะไร…
เงินมันไม่ใช่ทุกสิ่งของชีวิตหรอกนะคะ…”

คนฟังถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ พูดไม่ออก…

จอมพลมองไปยังลูกสาวที่เขาไม่อาจมอบความเป็นพ่อให้อย่างเปิดเผยได้
ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรักความห่วงใย
อยากจะกอดร่างนั้นเอาไว้อย่างสุดกำลัง…หากก็ทำไม่ได้…

เขารู้จักน้องชายของตัวเองดี รายนั้นไม่เคยรักใครอย่างแท้จริง…

จอมทัพนั้นรักแต่ตัวเอง…คิดอะไร ทำอะไรก็จะนึกถึงแต่ตัวเองเป็นหลัก
ไม่สนใจว่าใครจะเป็นอย่างไร…เพราะทั้งชีวิตที่ผ่านมา
เขาเป็นผู้ให้และเสียสละเพื่อน้องชายคนนี้มาโดยตลอด
จนน้องชายไม่เคยเรียนรู้กับคำว่าให้…ดีแต่เรียกร้องต้องการ…

และการที่เขาต้องการเกาะรังกับเกาะชิงชังนั่น
เพียงเพราะต้องการให้งานที่ทำมันดำเนินไปได้ด้วยดี สามารถหลบเลี่ยงกฎหมายก็เท่านั้น
ที่แห่งนั้นสามารถหลบสายตาจากกฎหมายได้ดีกว่าที่อื่นๆ…

“เราก็พูดกับพ่อเค้าเกินไปนะไอซ์…ขอโทษพ่อเขาเดี๋ยวนี้…”
มณีพรามลูกสาว…ทว่าดุจมณีไม่สน

“ถ้าวันหนึ่งไอซ์มีลูก ไอซ์จะเลี้ยงเขาด้วยเงินบริสุทธิ์ที่ไม่ใช่เงินบาป
เลือดเนื้อของเขาจะได้บริสุทธิ์ และไอซ์จะไม่สนใจว่างานที่ทำมันจะทำให้เรารวยหรือจน
ขอแค่ได้ทำงานที่สุจริต…ได้ทำเพื่อสังคมบ้าง

และไอซ์จะไม่วิ่งตามล่าหาอำนาจบารมี…โดยทิ้งลูกไว้เบื้องหลัง…
ไอซ์จะมอบความรักให้กับเขาเท่าที่จะทำได้…สิ่งที่ไอซ์จะสร้างสมให้กับลูก
ก็คือความรักและความดีค่ะพ่อ…เพราะสิ่งนี้จะปกป้องเขาได้ไม่ว่าเขาจะยากดีมีจน…

ไอซ์จะบอกเขาว่าทรัพท์ที่ได้มาจะต้องถูกสอบสวนในวันพิพากษาหลังจากที่เราตายไปแล้ว…

มันคุ้มเหรอคะพ่อที่เราสร้างสมทรัพย์ที่ได้มาจากความเดือดร้อนของคนอื่น…
ทั้งๆที่พอเราตายไปแล้วมันก็ต้องกลายเป็นมรดกตกทอดเป็นของคนอื่น…
แล้วเราก็ต้องลงนรก ซ้ำบาปกรรมที่เราทำไว้กลับไม่มีใครมาช่วยแบกรับ…”

พูดจบดุจมณีก็วิ่งออกจากห้องนั้นไปทันที…ร้อนจนขุนพลต้องวิ่งตามออกไปดู…




“อย่าถือลูกเลยนะพี่วัน…อย่าโกรธลูกเลยนะพี่”คุณหญิงมณีหันไปลูบบ่าสามีเบาๆ…

“ไม่ใช่เพราะเงินหรอกเหรอที่เลี้ยงมันมาจนโต…
และไม่ใช่เพราะเงินหรอกเหรอที่ทำให้คนห้อมล้อมมัน…
ไม่ใช่เงินหรอกเหรอที่ทำให้มันอยู่ดีมีสุข…สังคมยกย่องเชิดชู
ลองไม่มีเงินสิ…ใครที่ไหนเขาจะสนใจ…มันจะรู้อะไร
มันไม่เคยไม่มีเงินอย่างพ่อมันนี่…”จอมทัพกล่าวออกมาอย่างอัดอั้น

“มันไม่รู้หรอกว่าโลกใบนี้มันไม่ได้มีที่ให้คนจนยืนนักหรอก…
เพราะมันไม่เคยจน…มันยังไม่เคยอดอยาก…มันยังไม่เคยขอเขากิน…
มันยังไม่เคยโดนคนเหยียดหยาม…มันก็เลยดูถูกเงินที่พ่อมันหามาให้ใช้แบบนี้ไงล่ะ…”

จอมทัพกล่าวอย่างเจ็บใจที่ลูกสาวตัดพ้อต่อว่าเขาเมื่อครู่

ดุจมณีได้แต่ลูบบ่าสามีเบาๆ พลางหันไปยังจอมพล
และลูกชายที่ยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ข้างๆหน้าต่างห้องรับแขก…

“มันไม่รู้หรอกว่า…ความจนมันเป็นสิ่งที่สังคมรังเกียจและน่าขยะแขยง
ต่อให้เลวแค่ไหน ถ้ามีเงิน สังคมก็พร้อมที่จะยกย่องเทิดทูน…

ฉันขายความดีเพื่อแลกกับการเลิกเป็นคนจนมานานแล้ว…
และจะไม่มีวันกลับไปเป็นคนจนให้สังคมรังแกอีกต่อไป…

เงินบาปเหรอ…อย่างน้อยก็ทำให้มันโตมาเถียงพ่อมันฉอดๆๆ…
จะเงินบาปเงินบริสุทธิ์ มันก็ซื้อข้าวทำให้อิ่มท้องได้เหมือนกันนั่นแหล่ะ”

จอมทัพไม่วายนึกถึงวันวานเมื่อยังเยาว์…เขากับพี่ชายต้องฝ่าฟัน
ขึ้นมาจากโคลนตมเพื่อทะยานขึ้นมาอยู่เหนือเมฆ…ถ้าไม่ใช่เพราะเงิน
เขากับพี่ชายก็คงเดินมาไม่ไกลจนถึงทุกวันนี้หรอก…

และเงินบริสุทธิ์ที่ไหนจะหาได้ง่ายเท่าเงินบาป…เมื่อเลือกแล้วที่จะเลิกเป็นคนจน
อะไรที่ทำแล้วได้เงิน เขากับพี่ชายก็ไม่ใส่ใจหรอกว่ามันจะได้มาจากไหนและด้วยวิธีใด…
ใครจะต้องเดือดร้อน เขาไม่สนใจหรอก
เพราะตอนที่เขากับพี่ชายเดือดร้อน ไม่เห็นจะมีใครยื่นมือเข้ามาช่วย...ไม่มีเลย…





“ยังไงท่านก็เป็นพ่อ…ถึงท่านจะเป็นยังไง…เราก็ไม่มีทางเลิกเป็นลูกท่านได้
และไม่ว่ายังไง ก็ไม่มีเหตุผลใดให้เราเลิกรักท่านได้…”ขุนพลกล่าวขึ้น
ขณะที่นั่งลงข้างๆน้องสาวตรงม้ายาวที่สนามหญ้า…
ดุจมณีนั่งก้มหน้าพยายามสงบสติอารมณ์…

“เราไม่อาจตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ได้เลย ท่านเลี้ยงเรามาให้โต
ส่วนเราเลี้ยงท่านจนกว่าท่านจะตาย…เลี้ยงให้โตกับเลี้ยงจนกว่าจะตาย
มันจะตอบแทนกันได้ยังไงใช่มั้ย…”

ดุจมณีเงยหน้าขึ้นมองพี่ชายที่เธอรักและนับถือยิ่งกว่าพี่ชายแท้ๆ
…เพราะยามที่เธอทุกข์ใจมีปัญหา เขาเท่านั้นคือที่ปรึกษาและให้คำแนะนำที่ดีกับเธอเสมอมา…

รอยยิ้มบางๆจึงผุดขึ้น มองคนพูดด้วยแววตาซาบซึ้ง…

เธอรักบิดามารดามาก รักมาตลอด แม้ท่านจะไม่ค่อยมีเวลาให้สักเท่าไหร่
หากนอกจากท่านแล้ว คงไม่มีใครจะรักเธอได้มากกว่าท่าน…

แม้ความรักของท่านจะสัมผัสได้ยากสักแค่ไหนก็ตาม…
ความห่าง…ทำให้ความผูกพันจืดจาง ทว่าสายสัมพันธ์มันไม่เคยเจือจาง…

“มองท่านให้เป็นประตูสู่สวรรค์สิไอซ์…ตอนนี้แหล่ะ…ตอนที่ท่านไม่สบาย
เราจะปฏิบัติดีกับท่าน…ดูแลท่านอย่างดี…
นี่คือสวรรค์ที่พระเจ้าเอามาตั้งไว้ต่อหน้าเราแล้วนะไอซ์…
ครั้งนี้แหล่ะ…ที่เราจะมีวาสนาได้ทดแทนบุญคุณท่าน…”

ดุจมณียิ้มขณะพยักหน้า…ขุนพลจึงวางมือลงบนบ่าอย่างพยายามจะบอกว่าเขาเข้าใจเธอนะ…

“พี่เองก็อดยอมรับไม่ได้ว่า สิ่งที่พ่อของพี่ทำ พี่ไม่เคยชอบและไม่เคยเห็นด้วย…
แต่เหนือสิ่งอื่นใด…พี่รักท่าน…”

ชายหนุ่มกุมมือน้องสาวแท้ๆ ซึ่งเจ้าตัวไม่เคยรู้ว่าเขาคือพี่ชายแท้ๆ
และเขาก็ไม่อาจบอกความลับนี้ให้น้องสาวแท้ๆรู้ได้…

“พี่เองก็อยากให้ไอซ์เผื่อแผ่ความรักมาให้พ่อของพี่บ้าง…
มองท่านให้เหมือนพ่อของไอซ์จริงๆ…จะได้มั้ย…”

ดุจมณีกระตุกคิ้วนิดนึงก่อนจะเหมือนนึกบางอย่างขึ้นมาได้…
เพราะคนตรงหน้าเคยบอกให้คุณลุงมาสู่ขอเธอ แต่เกิดเรื่องเสียก่อน

…นี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งก็ได้…

ทว่าแปลก…ที่เธอไม่อาจคิดกับคนตรงหน้าไปมากกว่าพี่ชายได้…
มันไม่ได้จริงๆ…และเหมือนเขาจะล่วงรู้ในสิ่งที่เธอคิดอยู่…

“เรื่องนั้น…เอ่อ…พี่แค่อยากแกล้งผู้ใหญ่…เราเองต่างรู้ดีว่า
เรารู้สึกต่อกันอย่างไรใช่มั้ยไอซ์…”ดุจมณียิ้มกว้างอย่างโล่งอก…

“ค่ะ…ไอซ์รู้…ขอบคุณนะคะสำหรับคำแนะนำดีๆ…ขอบคุณจริงๆค่ะ…”

ขุนพลยิ้มบางก่อนจะยกมือขึึ้นลูบหัวทุยๆนั่นอย่างเอ็นดู…
ดุจมณียิ้มก่อนจะยกมือทั้งสองแล้วแหงนหน้าหันไปทางทิศตะวันตก
แล้วจึงกล่าวขึ้นว่า

“ขอพระเจ้าจงอภัยให้ไอซ์ อภัยให้กับพ่อแม่ อภัยให้คุณลุงและพี่ชายทั้งสองของไอซ์ด้วยเถิด…
ขอพระองค์ทรงเมตตาท่าน…อย่าเอาท่านลงนรกด้วยเถิด…”

ขุนพลยิ้มกับสิ่งที่เขาได้เห็นและได้ยิน…เขาเองก็พร่ำวอนขอต่อพระเจ้า
ให้เปิดใจท่านให้ท่านหันกลับมากระทำความดี…
ละเว้นความชั่ว ขอให้พระองค์ทรงอภัยให้ท่าน…
ขออย่างที่คนที่นั่งข้างๆเขากำลังขอ…

“ไอซ์จะกลับไปขอโทษพ่อค่ะพี่ไนท์…ไอซ์ไม่ควรทำกริยาและน้ำเสียงที่ไม่ดีกับท่านเลย…
ไม่ควรเลยที่จะทำให้ท่านเสียใจ…”

พูดจบหญิงสาวก็จูงมือขุนพลเข้าไปในบ้านก่อนจะนั่งคุกเข่าลงตรงหน้ารถเข็นของบิดา
ที่มีมารดาของเธอซึ่งดูจะแข็งแรงกว่าท่านกำลังช่วยประคองรถเข็นอยู่ข้างหลัง

…ดุจมณีน้ำตาคลอก่อนจะยกสองมือโอบรอบเอวของบิดา
อย่างที่ไม่มีโอกาสได้ทำแบบนี้กับท่านมานาน ก่อนจะกล่าวกับท่านว่า

“ไอซ์ขอโทษนะคะพ่อ…ที่ไอซ์ทำกริยาไม่ดี ใช้น้ำเสียงไม่ดีกับพ่อ…
เพราะไอซ์รักและเป็นห่วงพ่อ…ไอซ์ไม่อยากให้พ่อของไอซ์ทำร้ายใครอีก
ไอซ์ไม่อยากให้พ่อต้องตกนรก…ไอซ์แค่อยากเห็นพ่อกับแม่และพวกเรา
มีความสุขทั้งในโลกนี้และโลกหน้า…พ่อเข้าใจไอซ์นะคะ…”

จอมทัพถึงกับพูดอะไรไม่ออก…หันไปมองพี่ชายและลูกชาย
ก่อนจะก้มลงมองลูกสาวที่กำลังกอดเขาไม่ยอมปล่อย

…คนที่วัยล่วงเลยเหมือนไม้ใกล้ฝั่งถึงกับสั่นสะท้านไปทั้งใจก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวลูกสาวเบาๆ…

“แต่มันเป็นความฝันของพ่อและลุงของลูก…”ดุจมณีส่ายศีรษะ

“เราเปลี่ยนเป้าหมาย เปลี่ยนความฝันไม่ได้เหรอคะ…
ไอซ์สัญญาว่าจากนี้ไป…ไอซ์จะอยู่ดูแลพ่อกับแม่เอง…จะดูแลให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้…
ขอแค่พ่อเลิกในสิ่งที่ทำอยู่…”หญิงสาวมองบิดาด้วยแววตาขอร้องอ้อนวอน…

“มาถึงตอนนี้…พ่อคงเลิกไม่ได้แล้ว…เมื่อขี่หลังเสือแล้วจะลงได้ยังไง…
พ่อลงไม่ได้แล้วไอซ์…”จอมทัพคิดอย่างไม่อาจปลงได้กับสิ่งที่ลูกสาวต้องการให้เป็น
…เขาปลงไม่ได้จริงๆ…

“ได้โปรดเถอะนะคะพ่อ…นะคะคุณลุง…นะคะพี่ไลท์…”
ดุจมณีหันไปอ้อนวอนจอมพลกับขุนศึก…ซึ่งขุนศึกได้แต่เลี่ยงหันหน้าไปทางอื่น…

เพราะถึงพ่อกับลุงของเขาจะปลงได้ แต่เขาไม่ขอปลงด้วยแน่ๆ…

“เราทั้งหมดจะมาอยู่ด้วยกันที่นี่…แล้วไอซ์จะขออยู่ดูแลทั้งพ่อและแม่รวมทั้งคุณลุงด้วย…
เราจะช่วยกันดูแลพวกท่านใช่มั้ยคะพี่ไนท์…”

ดุจมณีหันไปทางขุนพล ซึ่งเธอเชื่อหมดใจว่าเขาจะเห็นด้วยกับความคิดของเธอเป็นแน่…
ซึ่งเป็นดังที่คาดไว้ รอยยิ้มจากเขาเป็นคำตอบที่ทำให้เธอรู้สึกอุ่นใจ

…จอมพลที่ได้ยินถ้อยคำดังกล่าวจากปากลูกสาวถึงกับซาบซึ้งใจ
…เขาอดยอมรับไม่ได้ว่าอยากอยู่ใกล้ชิดลูกๆของเขาก่อนตาย
…โดยเฉพาะกับลูกสาวคนนี้…

“สำหรับลุง…ลุงอยากอยู่ให้หนูดูแล…ว่าแต่หนูจะไม่รังเกียจหรือกลัวเหรอ โรคนี้น่ะ…”
ดุจมณีส่ายหน้า

“ไม่กลัวค่ะ…ไม่กลัว…ขอแค่พ่อกับคุณลุงจะยอมหยุดทุกอย่างแล้วอยู่ให้ไอซ์ดูแล…
ไอซ์สัญญาว่าจะปรนนิบัติอย่างดี…เราจะมีวันดีๆด้วยกัน…
เราจะสร้างครอบครัวหรรสาให้คนอิจฉาด้วยกัน…ไอซ์สัญญา…ว่าจะรักให้ดีที่สุด”

หญิงสาวยกสองนิ้วเป็นการสัญญา จอมทัพกับจอมพลหันมามองหน้ากัน
ก่อนจะหันไปทางมณี…หญิงสาวที่ทั้งสองรัก…ซึ่งคุณหญิงมณีได้แต่นิ่ง
ปล่อยให้ทั้งสองตัดสินใจกันเอาเอง

…เพราะสำหรับหล่อน ตั้งแต่รู้ตัวว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกไม่นาน…
หล่อนก็ลด ละ เลิก อบายมุข มันหมดเรี่ยวแรง จนไม่อยากทำอะไรอีกแล้ว…

ที่หวาดกลัวอยู่ตอนนี้มิใช่วันตายเพียงเท่านั้น หากยังกลัวว่าความลับจะถูกเปิดเผยก่อนตาย…
กลัวว่าลูกๆของหล่อนจะเสียใจและรับไม่ได้…

ที่สำคัญ หล่อนเห็นใจจอมพลเหลือเกิน หล่อนดูออกว่าเขาอยากอยู่ใกล้ชิดลูกๆของหล่อนแค่ไหน…

อาจเป็นครั้งนี้…ที่เขาจะมีโอกาสนั้น…มันขึ้นอยู่กับเขา ว่าจะสลัดโอกาสนี้ทิ้งไปหรือเปล่า…

“พ่อขอเวลาคิดและทบทวนเรื่องนี้ก่อนนะไอซ์…”จอมทัพไม่แน่ใจ
และยังไม่อาจจะตัดใจจากความฝันที่วาดไว้ได้
ที่สำคัญงานที่เขาทำมาตลอดนั้น เขาไม่อาจหยุดมันได้ง่ายๆ…

“แล้วคุณลุงล่ะคะ…”หญิงสาวหันไปทางจอมพล…ซึ่งฝั่งนั้นยิ้มรับด้วยความเต็มใจ
เขาโหยหาโอกาสเช่นนี้มานานแล้ว…

“ตกลงสิไอซ์…ลุงตกลง…แต่ขอเวลาให้ลุงได้เคลียร์ทุกอย่างก่อนนะ มันไม่ง่ายเลย…”
เท่านั้นก็ทำให้คนที่ไม่คาดคิดว่าคำอ้อนวอนของเธอจะถูกตอบรับถึงกับดีใจแล้ว…

“ถ้าพ่อกับคุณลุงอยากจะวางมือจริงๆ…ผมรับช่วงต่อก็ได้ครับ…”
เสียงนั้นดังมาจากขุนศึก…ทำเอาทุกคนหันไปทางเขาเป็นสายตาเดียวกัน

“ไม่ดีหรอก…มันเสี่ยงเกินไป…”จอมทัพขัดขึ้น

“นั่นน่ะสิ…มันไม่ง่ายเลยนะไลท์…”จอมพลเสริม

“แม้มันจะไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินไปสำหรับผมหรอกครับ…
พ่อกับลุงทำได้ ผมก็ทำได้…เพราะผมมันไม่ใช่คนดีอะไร…
พร้อมจะรับช่วงต่อได้สบายอยู่แล้ว…”
ประโยคหลังๆนั้นราวกับกำลังกระแทกกระทั้นใครสักคน
ซึ่งขุนพลที่ยืนอยู่รู้ดีว่าเขานั่นแหล่ะคือคนๆนั้น…

“แต่แม่ไม่เห็นด้วยที่จะปล่อยให้ลูกเสี่ยงเพียงลำพัง…”คุณหญิงมณีออกโรง

“เชื่อฝีมือผมเถอะครับแม่…ผมทำได้…และผมก็เห็นด้วยกับยัยไอซ์
ที่จะให้พ่อกับคุณลุงวางมือจากทุกอย่าง แล้วหันมารักษาสุขภาพอย่างจริงๆจังๆ…

ถึงผมจะดูเป็นลูกอกตัญญูที่ไม่กล้าให้สังคมรับรู้เรื่องของพ่อแม่และคุณลุง
แต่ผมก็ยังอยากให้พ่อแม่และคุณลุงอยู่กับพวกเราไปนานๆ…”พูดจบขุนศึกก็ถอนใจยาว

“วันนี้วันคล้ายวันเกิดของผม…ถ้าไม่มากเกินไป…ผมก็อยากจะขอ
ให้พ่อกับคุณลุงวางมือและยกทุกอย่างให้ผมรับช่วงต่อ…จะได้มั้ยครับ”

ขุนพลมองหน้าน้องชายแท้ๆของเขาด้วยแววตาประหลาดใจ

หากไม่เห็นด้วยกับการที่น้องชายของเขาจะต้องเข้ารับหน้าที่ดังกล่าวอย่างเต็มตัว

…ความต้องการของเขาก็คือ อยากให้เลิกทำธุรกิจดังกล่าวไปเสียเลยด้วยซ้ำ…

“ใครจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม…แต่ยังไงถ้าพ่อกับคุณลุงอยากจะวางมือ
ผมเต็มใจและอยากจะรับช่วงต่อ…มันน่าเสียดายที่เม็ดเงิน ผลประโยชน์มากมาย
และอำนาจจะต้องตกไปเป็นของคนอื่น…”

จบคำพูดนั้น ทำให้ทุกคนถึงกับไม่กล้าออกปากคัดค้าน…

คนป่วยทั้งสามต่างรู้ดีว่าสังขารของตัวเองไม่อาจต่อสู้กับงานได้อีกแล้ว
เพราะแค่ต่อสู้กับโรคภัยที่รุ้มเร้าอยู่ก็แทบจะหมดเรี่ยวแรงอยู่แล้ว…


...โปรดติดตามตอนต่อไป....


ตอนที่น้องชายให้ฟังเพลง "พรุ่งนี้ไม่มีจริง"ของ ปาน
แปลกที่อยู่ๆก็นึกถึงนิยายทั้งสามเรื่องที่เขียนมา
โดยเฉพาะเรื่อง"รังรัก"...พอว่างนิดหน่อยเลยกลับไปอ่านที่เคยเขียนไว้

ความตายมันไม่ได้อยู่ไกลตัวเราหรือคนที่เรารักเลย...
เวลาของการมีชีวิตไม่ได้ยาวนานเลย...
เราน่าจะรักกันให้มากกว่านี้ ทำดีต่อกันให้มากกว่านี้...

ยิ่งกลับไปบ้านล่าสุด ก็ได้รับข่าวไม่ค่อยดี...
คนที่เราเห็นมาแต่ไหนแต่ไรเพิ่งรับรู้ว่าตัวเองกำลังเป็นมะเร็งระยะสุดท้้าย
อยู่หลายต่อหลายคน...แต่ก็นับว่ายังโชคดีค่ะ ที่ยังมีเวลาให้เราได้กลับไปพบเจอ
กลับไปเป็นกำลังใจให้กันและกัน...ซึ่งกับอีกคนนึงนอนหลับเป็นเจ้าชายนิทรา
ไม่อาจพูดคุยกันได้...และอาจจะไม่มีโอกาสได้พูดคุยกันอีกแล้วก็ได้...

...แต่ว่าบางคำลา มันก็เดินทางมา ทั้งที่ไม่ได้เตรียมหัวใจ...
(ชอบประโยคนี้มากเลยทีเดียวค่ะ)

...พรุ่งนี้ไม่มีจริงๆค่ะ เรามีแค่วันนี้กับอดีตที่กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว...

พร่ามเสร็จแล้วขอคุยกับนักอ่านหลังจากที่ไม่ได้ตอบความเห็นนักอ่าน
มาหลายยกแล้ว...เฮะๆ

ขอตอบความเห็นของนักอ่านจากสองยกก่อนหน้านี้นะคะ

1.คุณsupayalak...ขอบคุณค่ะสำหรับคำอวยพรและกำลังใจน่ารักๆ...
หากเราไม่เรียนรู้ความทุกข์ เราก็จะไม่รู้ค่าของความสุข ว่ามั้ยคะ...อิอิ

2.คุณkonhin...สำหรับโย โยก็เชื่อว่า รักคงยังไม่พอ
คนเราจะอยู่ด้วยกันได้ ไม่ใช่แค่รักอย่างเดียวเท่านั้น...
มันต้องมากกว่ารักค่ะ...อิอิ...ความเชื่อใจเป็นอาหารหล่อเลี้ยงต้นรักค่ะ...
หากไม่มีความเชื่อใจ ความรักก็ไม่อาจเจริญเติบโตสวยงาม ผลิดอกได้...

3.คุณviolette....สวัสดีปีใหม่เช่นกันค่ะ...
ขอบคุณนะคะสำหรับกำลังใจที่มอบให้โยเรื่อยมา...
อย่าเพิ่งเกลียดพี่รังเลยนะค้า...พี่รังแค่หึงเมียและแพ้ท้องแทนเมียเท่านั้นเอง
อารมณ์เลยขึ้นๆลงๆ ยากจะควบคุม โยนะสัมผัสผู้ชายที่แพ้ท้องแทนเมียมาแล้วค่ะ
ว่าสามารถเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ แต่พอหายแพ้ท้องแทนเมียแล้ว
ก็จะกลับสู่สภาวะเดิมๆค่ะ...อิอิ...คงเป็นเรื่องมหัศจรรย์อีกอย่างนึง
ที่ผู้ชายก็สามารถแพ้ท้องแทนเมียได้...อิอิอิ...

4.คุณgoldensun...สวัสดีปีใหม่เช่นกันนะคะ...
ขอบคุณค่ะสำหรับกำลังใจและคำอวยพร...
ขอให้สุขภาพแข็งแรง สมปรารถนาทุกอย่างเช่นกันนะคะ...
ขุนศึกเขารู้ทางพี่รังค่ะ เพราะรุ้จักกัดกันมาตั้งแต่ตอนเด็กๆแล้ว...อิอิ
ศัตรูในวัยเยาว์ เราไม่อาจประมาทได้เลยค่ะ เพราะเขารู้อะไรๆเกี่ยวกับเรา
ได้ดีกว่าใครๆ ที่มารู้จักเราตอนโตแล้ว...แต่ก็อย่างว่าค่ะ ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว อิอิ

5.คุณPampam...สวัสดีปีใหม่ค่ะ...
บางทีการพบกันในวันนี้ก็อาจหมายถึงการต้องพรากจากกันในวันหน้า
และบางกรณี...การที่ต้องจากกันในวันนี้ ก็อาจจะเพื่อพบกันในวันหน้า...
ดังนั้น วันนี้ วันที่เรามีโอกาสได้อยู่ด้วยกัน จึงเป็นวันสำคัญกว่าวันไหนๆ
เพราะมีหลายคนในชีวิตที่พรากจากเราไป แล้วยังไม่มีโอกาสได้เจอกัน...
มารอดูคู่เวนไตยกับหมอรังต่อนะคะ ว่าจะลงเอยอย่างไร...


6.คุณหมีสีชมพู...สวัสดีปีใหม่จ้าาาาาา...
นี่แหล่ะค่ะ พี่รังในมุมที่คนอื่นมองไม่เห็น สิ้นรักได้สัมผัสแล้วว่า
พี่รังก็มีบางมุมที่เราก็ไม่ได้คาดคิดว่าเขาจะเป็นเช่นนั้นเช่นนี้
...ดังนั้น...รักแท้จึงเกิดขึ้นหลังแต่งงาน ดังคำของพ่อกับแม่ที่บอกโยมาค่ะ...
เพราะคนเราต่อให้คบกันนานกี่สิบปี หากไม่เคยอยู่ด้วยกันตลอด 24 ชั่วโมงในแต่ละวัน
ก็อาจจะไม่มีโอกาสได้เห็นในบางมุมได้น่ะค่ะ...และเป็นอะไรที่ยากมาก
ที่จะให้คนๆนึงเป็นดังที่เราหวังไว้ทุกอย่าง...การเรียนรู้และปรับเข้าหากันและกัน
จึงน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตคู่...

7.คุณตุ๊งแช่...เวนไตยเองคงจะรู้นะคะว่าถ้ามาเรียนวิธีมัดใจสาวกับหมอรัง
อาจกินแห้วเป็นไร่ได้...อิอิอิ...เพราะอย่างที่เห็นค่ะ...หมอรังก็กำลังร่อแร่อยู่ อิอิ
ทางที่ดี โยว่าเวนไตยน่าจะไปผูกสัมพันธ์กับพี่ลมน่าจะเวิร์คกว่าค่ะ
เพราะเรื่องรักๆ พี่ลมเขาดูโอเคกว่าหมอรังอยู่หลายขุม...อิอิ...

8.คุณLittlewitch...สวัสดีปีใหม่ค่ะ..กลับไปพักผ่อนพร้อมกับแวะไปเยี่ยมญาติ
และคนป่วยค่ะ...ได้รับทั้งข่าวดีและข่าวไม่ค่อยดี...ชีวิตก็เป็นอย่างนี้แหล่ะค่ะ
มีสองด้าน...ช่วงนี้เลยแอบเศร้านิดนุง...เฮะๆ
แต่ก็อยากให้ชีวิตของคุณแม่มดสดใส สมหวังดั่งที่หวังไว้ทุกเรื่องนะคะ..
พบคนที่ใช่ที่จะเดินเคียงคู่ไปด้วยกันได้ตลอดไปนะคะ...
(หรือว่าพบไปแล้วก็ไม่รู้สิ...อิอิอิ)...ขอบคุณนะคะสำหรับกำลังใจดีๆ
ที่มอบให้โยเสมอมา...

9.คุณAprilSK...สวัสดีปีใหม่ค่ะ ขอบคุณนะคะที่แวะมาส่งกำลังใจ
พร้อมคำอวยพรให้เต่าโย...ขอให้สุขกาย สบายใจ ตลอดปีและตลอดไปด้วยเช่นกันนะคะ

10.คุณaom...ใช่แล้วค่ะ...คำว่ารักคงยังไม่พอ...
ความเชื่อใจ ไว้วางใจกันจึงเป็นอาหารหล่อเลี้ยงความรักให้ยั่งยืน...
หากไร้ความไว้วางใจต่อกันเสียแล้ว ความวุ่นวายก็จะติดตามมาไม่หยุดไม่หย่อน

11.คุณpattisa...นายขุนศึกทำได้ยังไงต้องมาติดตามกันต่อค่ะ
เพราะคนๆนี้ ไม่ธรรมดาค่ะ...ตอนเด็กๆที่ว่าร้ายๆแล้ว โตขึ้นมา
ความร้ายก็เพิ่มขึ้นอีกทบทวีคูณ ที่สำคัญ เขารู้ทางหมอรังซะด้วย
เพราะว่ารู้จักเป็นคู่กัดคู่แค้นกันมาตั้งแต่เด็กๆ...
คนเรา หากรู้จักกันตอนเด็กๆ ก็จะเห็นจุดอ่อนกันค่ะ...เพราะเด็กๆมักตรงไปตรงมา
ยังไม่รู้จักเก็บอาการหรือซ่อนจุดอ่อนได้อย่างผู้ใหญ่...รู้จักกันตั้งแต่เด็กๆ
จึงได้เปรียบก็ตรงนี้แหล่ะค่ะ คือไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่...
และแน่นอน หมอรังเราก็ย่อมรุ้จุดอ่อนของอีกฝ่ายได้ไม่ยากเช่นกัน...อิอิ

ดังนั้น สงครามรักยังไม่จบ อย่าเพิ่งนับหยดน้ำตากันนะคะ...อิอิอิ

12.คุณใบบัวน่ารัก...สงสัยสิบปีที่คบกันมาคงไม่ช่วยอะไรมั้งคะ
หากลองความเชื่อใจบินหายไป...บางคนคบกันเป็นสิบๆปี
แต่งงานกันปีเดียว หย่ากันเลยก็มีค่ะ...บางครั้ง...ระยะเวลาก็ไม่ได้ช่วย
ให้รักมั่นคง เท่ากับ การที่คนสองคนเชื่อใจกันและกัน....อดทนต่อกัน...


สุดท้ายไม่ท้ายสุด....

ขอบคุณทุกไลค์ ทุกๆกำลังใจ และก็ทุกๆคนที่แวะเวียนเข้ามาอ่านกันนะคะ

...แล้วเจอกันยกหน้าจ้าาาาา...

ปล.เรื่องคานน้อยฯ เหลืออยู่ในสต๊อกไม่กี่ยกแล้วค่ะ...
หมดสต๊อกเมื่อไหร่ คงมาแบบถี่ๆไม่ได้อย่างเคย
เลยอาจทำให้นักอ่านอาจต้องรอนิดนึงค่ะ...

แต่เรื่องราวมาถึงช่วงท้ายๆแล้วค่ะ(ไม่ท้ายเรื่องก็คงจะแปลกแล้วใช่มั้ยคะ
เพราะว่านี่ก็ยกที่ 80 เข้าไปแล้ว...แถมแต่ละยกก็แบบว่าอย่างยาวอีก...)อิอิ

...หากมีเวลา โยก็อยากจะปั่นให้เสร็จอยู่เหมือนกันค่ะ
แต่เรื่องของเรื่องก็คือ ทุกวันนี้...งานที่ทำอยู่มันยุ่งยากและก็วุ่นวาย จนหาเวลา
มาปั่นนิยายไม่ค่อยจะได้เลยค่ะ...

...รักษาสุขภาพนะคะ...

"เต่าโย"









yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 ม.ค. 2556, 21:32:35 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 ม.ค. 2556, 21:32:35 น.

จำนวนการเข้าชม : 2477





<< ยกที่ 79 คนเดิมที่แตกต่าง   ยกที่ 81 สายลมที่แสนดี >>
หมีสีชมพู 5 ม.ค. 2556, 22:01:05 น.
สงสารรัก ไม่รู้ว่ารักจะทนไปทำไม เมื่อก่อนรักเข้มแข็งกว่านี้นะ


supayalak 5 ม.ค. 2556, 22:16:31 น.
น้ำตาก็ยังท่วมใจ ท่วมตาอยู่ดี ก็คงได้แต่หวังว่าพี่รังจะปรับความเข้าใจกับรักได้เร็วๆ หักมุมจริงๆ คะคู่นี้ นึกไม่ถึงว่าหลังจากฝ่าฟันความทุกข์มาได้ตั้งนาน จะต้องมาอยู่กับกองน้ำตามากกว่าใครๆเลย


แว่นใส 5 ม.ค. 2556, 23:04:11 น.
นายขุนศึกนี่ชั่วจริง ๆ นะ


violette 5 ม.ค. 2556, 23:27:53 น.
ยังไงก็สงสารคนท้องอยู่ดีแหละค่ะ
ใจร้ายแบบนี้ไม่ไหวเลยเฮ่อ


konhin 5 ม.ค. 2556, 23:39:30 น.
เสียใจแทนหนูรัก กว่าจะได้อยู่ด้วยกันต้องฝ่าฟันอะไรมากมาย แต่พี่รังก็ยังไม่เชื่อใจรักมากพอทั้งๆที่พี่รังเองก็ไม่ค่อยอธิบายอะไรให้รักรู้แต่หนูรักก็ยังเชื่อใจได้ ถ้าจะจบแบบเลิกกันคนอ่านก็เข้าใจค่ะ คำว่ารักคงยังไม่พอ เพราะเธอไม่เชื่อใจ


wii 5 ม.ค. 2556, 23:58:04 น.
พลาดอะไรไปหรือเปล่านายขุนศึกไปเป็นชู้กับหนูรักตอนไหนเนี่ย เเล้วถ้าไม่ใช่หนูรักเเล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นใครมาจากไหน เมื่อไหร่อีตาหมอจะตาสว่างเสียที หรือว่าต้องให้เเม่มาตบสั่งสอนซะก่อน ตาถึงจะสว่างกะเค้า หรือว่าให้สูญเสียหนูรักไปซะก่อนค่อยสำนึก ไม่คิดหรือว่ากว่าจะมีวันนี้ใด้ต้องทนทรมานมาเป็นสิบๆปีกว่าจะสมหวัง หรือว่าเวลาเหล่านั้นไม่มีค่าเเละไมให้บทเรียนอะไรกับอีตาหมอเลย


pattisa 6 ม.ค. 2556, 01:15:30 น.
หมอรังใจร้าย สงสารรัก ถ้าหมอรังรู้ความจริงเมืี่อไหร่ ขอให้ตอนนั้นรักอยู่ที่ๆหมอรังไม่มีทางหาเจอนะคะ จะสมน้ำหน้าหมอรัง เชอะะ


goldensun 6 ม.ค. 2556, 05:56:02 น.
พี่รังเป็นจิตแพทย์แท้ๆ ทำไมทำตัวเหมือนคนโรคจิตซะเองแบบนี้
สงสารหนูรักจัง ไม่ควรเลยที่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ แล้วแม่ทุกข์ใจอย่างนี้ ลูกในท้องจะเป็นยังไง
ขุนศึกท่าจะเหมือนอามากกว่าพ่อนะคะ เมื่อไหร่ความจริงจะปรากฎ


ใบบัวน่ารัก 6 ม.ค. 2556, 10:33:40 น.
จะเลิกทะเลาะกันได้ยังนะรักกะคุณหมอ
อินเลิฟแรงๆจะกระทบถึงลูกในท้องได้นะ^^
กี่เดือนแล้วนะคุณแม่รัก


ตุ๊งแช่ 7 ม.ค. 2556, 11:44:16 น.
นึกว่าจะแฮปปี้ เว้อ หมอรังกะสิ้นนี้ยังมีอีกช้อตได้อีก จะมีความสุขจริงๆกับเขาบ้างไหมน้อ


Littlewitch 9 ม.ค. 2556, 00:20:38 น.
สวัสดีปีใหม่คะ ตั้งแต่ก่อนปีใหม่งานยุ่งมากคะ แอบดีใจที่นิยายยังไม่มา เผื่อจะได้อ่านแบเน้นๆบ้าง คำอวยพรเรื่องคู่สำหรับแม่มดนั้นคงเลยไปแล้วคะ ปีนี้มีเรื่องตลกๆคือคนที่เกิดปีชงมาขอเงินแล้วให้เราอวยพรคะ บอกว่าจะแก้เคล็ดให้เค้าได้ มะรืนนี้แม่มดแวบไปรับอากาศเย็นแดนไกลก่อนคะ กลับมาค่อยตั้งหน้าตั้งตาอ่านต่อ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account