จลาจลรัก
เมื่อ "เศรษฐายุ" เจ้าชายจอมเผด็จการผู้รับคำสั่งจากผู้เป็นพ่อเพื่อตามหาและแย่งชิงตัวเจ้าหญิงพลัดถิ่นกลับมาให้ได้
"บุษราคัม"เจ้าหญิงที่แสนจะดื้อรั้นกับเศรษฐายุเพราะคิดว่าเขางี่เง่าไร้เหตุผลและเข้าใจผิดมาตลอดว่าเขาเป็นเพียงองครักษ์จอมเผด็จการ

ภึมายุกร เจ้าชายผู้ช่วยเจ้าของลักยิ้มทรงเสน่ห์ที่ไม่มีใครล่วงรู้อีกเหตุผลที่ชักนำเขามาสู่เรื่องวุ่นวายเหล่านี้
คิริมา นักศึกษาแพทย์สาวผู้มีปมหลังและสาเหตุบางอย่างที่ทำให้เหม็นขี้หน้าคนช่างตื้ออย่างภีมมากถึงมากที่สุด

เมื่อการชิงตัวเจ้าหญิงยังคงดำเนินต่อไปและปัญหามากมายยังรายล้อม แต่กลับถักทอร้อยเรียงก่อเกิดความรู้สึกหวามไหวในหัวใจทั้งสี่ดวง
ความรักจะดำเนินไปอย่างไร ในเมื่อความเป็นจริง
ไม่ว่าเศรษฐจะเป็นองครักษ์ที่ระหว่างเขากับบุษราคัมมีคำว่าชนชั้นเป็นตัวกั้นขวาง หรือจะเป็นเจ้าชายผู้มีศักดิ์เป็นถึงพระญาติสนิทที่มีสายพระโลหิตเป็นสายใยกั้นกลาง...



อ่านต่อ : http://writer.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=519954#ixzz1IQSdWwgZ
Tags: รักโรแมนติก เจ้าหญิงพลัดถิ่น เจ้าชาย

ตอน: เจ้าหญิงเลนีอาร์

ตอนที่ 2

แม้จะตามเสด็จเจ้าชายเศรษฐายุออกจากพระตำหนักขององค์ราชันมาได้ครู่หนึ่งแล้ว แต่ราชองครักษ์คนสนิทก็ยังไม่เห็นวี่แววที่พระวรกายสูงใหญ่เบื้องหน้าจะเร่งพระบาทกลับพระตำหนัก มิหนำซ้ำยังค่อยๆ เยื้องพระบาทโต้ลมเย็นที่พัดโชยมาราวกับกำลังปลดปล่อยพระดำริเคร่งเครียดออกจากพระทัย

และการเดินทอดน่องตามอารักขาเจ้านายก็คงเป็นหน้าที่ที่พันกรต้องทำอย่างเต็มใจ แม้มีสายลมแรงปะทะใบหน้า แต่นั่นไม่ทำให้สายตาระแวดระวังตลอดเวลาของเขาพลาดสิ่งผิดปกติไปได้แม้แต่จุดเล็กๆ เพียงจุดเดียว

“อุ๊ย!” เสียงอุทานเบาหวิวจากพระวรกายบอบบางที่ชนเจ้านายของเขาเป็นสิ่งที่พันกรไม่สามารถช่วยได้ การแตะต้องเชื้อพระวงศ์ที่เป็นสตรีถือเป็นความผิดยิ่งยวดสำหรับอุรัศยา ทำให้มีเพียงเจ้าชายเศรษฐายุเท่านั้นที่มีสิทธิยึดพระพาหาเรียวเล็กไว้ของอีกฝ่ายไม่ให้ล้มลง

“ถวายบังคมเจ้าหญิง” เขากล่าวพร้อมกับใช้มือขวาแตะปลายดาบแล้วโค้งศีรษะอันเป็นธรรมเนียมการทำความเคารพอย่างอุรัศยา

“เลนีอาร์” เจ้าชายเก้าตรัสด้วยสุรเสียงที่ยังคงระดับความราบเรียบไว้ได้ดีอย่างน่าชื่นชมแล้วค่อยๆ ปล่อยพระหัตถ์ออกจากพระพาหาของพระขนิษฐาต่างพระมารดา พลางสงสัยว่าค่ำมืดดึกดื่นเจ้าหญิงเลนีอาร์มาทำอะไรที่ตำหนักฟากนี้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นตำหนักของพระโอรสแทบทั้งสิ้น

และคล้ายกับว่าเจ้าหญิงคนงามจะล่วงรู้คำถามในพระเนตรสีนิลลึกล้ำคู่นั้น สุรเสียงหวานนุ่มจึงตรัสตอบว่า “น้องมาตามเอนีญ่าเพคะ เห็นว่าดึกแล้วยังไม่กลับตำหนัก เมื่อครู่ให้นางกำนัลมาตามแต่ก็เงียบหายไป ไม่รู้จะชวนกันเล่นถึงไหน”

“แถวนี้...ที่ตำหนักภีมายุกรงั้นหรือ?”

“เพคะ”

“งั้นพี่จะให้พันกรไปตามให้” เจ้าหญิงเลนีอาร์หลบพระเนตร เพียงแค่รับรู้ว่าคงทรงเป็นห่วง พระหทัยของพระองค์ก็ฟูฟ่องอย่างประหลาด แม้ไม่อยากหลงพระองค์เอง แต่ก็ทรงแน่พระทัยว่าพระองค์เป็นสตรีเพียงไม่กี่นางเท่านั้นที่เจ้าชายเก้าให้ความสนิทสนมด้วย

“จะดีหรือเพคะ เกรงใจคุณพันกร”

“ไม่เป็นไร พันกรมีธุระจะไปทางนั้นพอดี” ทรงตรัสตอบแล้วตวัดพระเนตรไปทางคนสนิทแวบเดียว โดยที่อีกฝ่ายก็เข้าใจแทบจะทันที

“ขออย่าได้ทรงกังวล กระหม่อมไปตามให้เองพระเจ้าค่ะ”

“ขอบคุณมากนะคะคุณพันกร” เจ้าหญิงเลนีอาร์กล่าวอย่างสุภาพ เพราะอย่างไรเสียพันกรก็เป็นถึงบุตรชายของตระกูลองครักษ์ตระกูลสำคัญของอุรัศยา และยังมีศักดิ์เป็นพระสหายของเจ้าชายเศรษฐายุอีกด้วย

“ไปเถอะ พี่จะเดินไปส่ง”

“เพคะ”

พระวรกายสูงใหญ่และพระวรกายเล็กบางทรงพระดำเนินเคียงคู่กันไปตามทางที่เจ้าหญิงคนงามแห่งอุรัศยาเพิ่งเสด็จมา โดยมีสายตาของพันกรตามส่งเสด็จไปอย่างเงียบๆ แต่องครักษ์หนุ่มไม่รู้เลยว่านอกจากเขาแล้วยังมีสายตาของใครอีกคนหนึ่งที่กำลังมองตามทั้งสองร่างไปด้วยแววตาชิงชังเหลือทน

ท่ามกลางรัตติกาลมืดสนิท แสงไฟสีเหลืองนวลจุดเล็กๆ ตามทางเดินในยามค่ำคืน บวกกับเรื่องที่บังเอิญได้ฟังเมื่อตอนกลางวันเกี่ยวกับการตามหาเจ้าหญิงที่สูญหาย ทั้งหมดล้วนผลักดันให้เจ้าหญิงเลนีอาร์ผู้ได้รับขนานพระนามว่า ‘งดงามดั่งดวงจันทรา’ จำต้องเอ่ยปากถามในสิ่งที่สงสัยมาโดยตลอด เพราะรู้ดีว่าเจ้าชายเก้าอย่างเศรษฐายุต้องไปตามหาเจ้าหญิงผลัดถิ่นเป็นแน่ หากไม่ทรงถามวันนี้แล้ว ก็ไม่รู้ว่าอีกนานเพียงใดจะได้เจอกันอีก

แล้วหระหทัยของพระองค์เล่าจะต้องรอคอยคำตอบอีกนานเพียงใด...

“ท่านพี่...” สุรเสียงหวานทำให้พระบาทที่กำลังจะก้าวต่อไปหยุดลง เจ้าชายเศรษฐายุทอดพระเนตรความมืดเบื้องหน้า รอคอยคำถามที่พระองค์คาดว่าเดาไม่ผิด “มีบางเรื่องที่หญิงสงสัย อยากรบกวนเวลาของท่านพี่ไม่นาน ไม่ทราบว่าจะทรงประทานให้ได้หรือไม่?”

“หากไม่ด่วนมาก รอพรุ่งนี้ดีกว่า ตอนนี้ดึกมากแล้วหญิงควรจะรีบกลับตำหนัก” สิ้นคำตรัส ริมฝีปากของผู้ฟังกลับเม้มแน่นเป็นเส้นตรง แต่เจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์อย่างพระองค์ไม่คิดที่จะใช้วิธีตัดพ้อฟูมฟาย ด้วยทรงรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ชอบคนไม่มีเหตุผล

“หญิงขอโทษเพคะที่กวนเวลาพักผ่อนของท่านพี่ แต่หญิงรอคำตอบของท่านพี่มานานเหลือเกิน” ทรงตรัส “...หญิงมาทวงคำตอบที่ทรงสัญญาไว้ก่อนไปเรียนที่เมืองนอกว่ากลับมาจะตอบหญิง”

“...” เจ้าชายหนุ่มเงียบ และเจ้าหญิงเลนีอาร์ทรงสัมผัสได้ถึงพระเนตรที่ว่างเปล่า

“พี่ยังยืนยันคำตอบเดิม ว่าไม่เคยรังเกียจหญิง”

พระเนตรหวานทอประกายแห่งความหวัง หากแต่ประโยคต่อไปช่างตัดรอนหัวใจคนฟังยิ่งนัก พระหัตถ์กำแน่นจนพระนขาจิกฝ่าพระหัตถ์นุ่มนิ่มเป็นรอยแดง

“เพราะหญิงคือน้องสาวที่ดีที่สุดของพี่เสมอ และจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”

“ทำไมหรือเพคะ...หญิงไม่ดีตรงไหน ท่านพี่ถึงรักหญิงไม่ได้” ในเมื่อพระองค์เป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกปฏิเสธความรักและความอดทนกำลังขาดสะบั้นลง พระอัสสุชลจึงหลั่งรินอาบพระปรางเนียนเงียบๆ ในเงามืดอย่างไร้เสียงสะอื้นไห้

“เพราะหญิงเป็นน้องสาว พี่ถึงรักหญิงได้เพียงแค่น้องสาว”

“ถ้าเพราะหญิงเป็นน้องสาว ท่านพี่ถึงไม่...” เจ้าหญิงเลนีอาร์เม้มพระโอษฐ์ ไม่อยากเอ่ยคำว่า ‘ไม่รัก’ ให้พระทัยชอกช้ำ “...แล้วใครที่ท่านพี่จะรัก”

ใช่...พระองค์เป็นถึงเจ้าหญิงแห่งอุรัศยาที่คู่ควรกับพระองค์ หากพระองค์ไม่ดีพอแล้วใครจะดีพอ!

เจ้าชายเก้าถอนพระปัสสาสะเมื่อทอดพระเนตรเห็นพระเนตรดื้อรั้นคู่งาม ทรงตรัสตอบอย่างนุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะถนอมพระหทัยของพระขนิษฐาได้มากที่สุด

“ไม่มีคำว่าดีพอในความรัก เพราะมันไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวเลนีอาร์”

“หญิงจะรอ...” สุรเสียงหวานหายไป เพราะผู้เป็นพี่ส่ายพระพักตร์ช้าๆ แล้วตรัสต่อว่า

“เมื่อลองเปิดใจให้กว้าง หญิงจะรู้ว่ามีใครบางคนที่พร้อมจะดูแลหญิง”

“ท่านพี่...” พระหัตถ์น้อยกำฉลองพระองค์สีน้ำเงินขัตติยะของพระเชษฐาแน่น เจ้าชายเศรษฐายุคงไม่ว่าอะไรหากพระขนิษฐาจะทำร้ายพระองค์ ถ้ามันจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้น

ทว่าทุกอย่างกลับผิดคาดเมื่อเจ้าหญิงเลนีอาร์ทรงเขย่งพระบาท แล้วรั้งฉลองพระองค์ลงมา พระโอษฐ์นุ่มทาบทับลงบนพระโอษฐ์หยักโค้งของชายผู้เป็นที่รักเนิ่นนาน

พระองค์จะยอมละทิ้งศํกดิ์ศรีและความทระนง หากมันเป็นไพ่ใบสุดท้ายที่จะยื้อพระเชษฐากลับมา

ไร้ปฏิกิริยาตอบสนองจากเจ้าชายเศรษฐายุ พระอัสสุชลหลั่งริน เจ้าหญิงคนงามเพียงถอนพระโอษฐ์ออกมาเล็กน้อยแล้วกระซิบถามสุรเสียงสั่นพร่ากับความหวังสุดท้ายที่ริบหรี่

“หากท่านพี่จะทรงบอกว่าไม่รู้สึกอะไรสักนิด หญิงก็จะหักห้ามใจ แม้ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานสักเท่าไหร่ก็ตาม”

“ตัดใจเสีย...เลนีอาร์”

พระหัตถ์ที่กำฉลองพระองค์ตกลง พระเนตรที่คลอไปด้วยพระอัสสุชลเก็บซ่อนความรวดร้าวในพระทัยไว้ไม่มิด ก่อนที่พระวรกายบอบบางจะหันหลังกลับแล้วทรงวิ่งจากไป

เจ้าชายเศรษฐายุทรงถอนพระปัสสาสะอีกครั้ง หากย้อนเวลากลับไปได้แต่มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุด พระองค์ก็ยังเลือกที่จะทำ แม้จะต้องทำร้ายพระทัยของใครก็ตาม

แม้จะทรงอยู่ในพระดำริของพระองค์เอง แต่ประสาทสัมผัสที่ว่องไวจากการฝึกฝนไม่เคยเลือนหาย เสียงฝีเท้าไม่เบามากนักจากด้านหลังแสดงให้เห็นว่าผู้มาเยือนมิได้ประสงค์ร้ายถึงชีวิต

ผลั่ก!

หมัดซ้ายตรงเข้าที่พระพักตร์ของพระองค์ เพราะเจ้าตัวไม่คิดจะหลบเมื่อเห็นว่าผู้ประทุษร้ายนั้นเป็นใคร

...เจ้าชายชาร์คี

“แกทำร้ายเลนีอาร์ แกทำให้เลนีอาร์ต้องเสียใจ” ผู้มาใหม่ตะโกนไม่ต่างกับเสียงกระซิบ พระเนตรเกลียดชังถูกส่งมาให้ “ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าทำให้เลนีอาร์เสียใจ ไม่งั้นฉันจะไม่ปล่อยแกไว้”

“ฉันไม่ได้ทำให้เลนีอาร์เสียใจ”

“ไอ้เศรษฐ!” เจ้าชายชาร์คีตวาดลั่น ทั้งที่พระองค์เห็นพระอนุชาต่างพระมารดาจุมพิตหญิงที่รักของเขา แต่มันกลับบอกว่าไม่ได้ทำผิด “แก...”

“หยุด!” เจ้าชายเศรษฐายุตรัสสุรเสียงนิ่ง แต่สามารถสะกดเจ้าชายแปดได้ ก่อนจะทรงหันกลับไปยังทางที่จากมา พระพักตร์ที่มีพระโลหิตตรงมุมพระโอษฐ์ผินกลับมา “หมัดเดียวสำหรับน้ำตาของเลนีอาร์ หากมีหมัดต่อไป ฉันไม่อยู่เฉยแน่”

“แกมันไม่ใช่ลูกผู้ชาย”

เสียงตะโกนไม่ทำให้เจ้าชายเก้าชะลอฝีพระบาท พระปฤษฎางค์ทระนงค่อยๆ ห่างออกไป ทิ้งให้พระเชษฐายืนกำหมัดแน่นเพียงลำพังพร้อมสุรเสียงเค้นรอดไรพระทนต์ที่เต็มไปด้วยความโกรธดั่งเปลวไฟที่พร้อมจะลุกลามไปอย่างง่ายดาย หากแม้นมีใครราดน้ำมันทิ้งไว้

“แก...แกแย่งทุกอย่างของฉันไป ฉันเกลียดแก...เศรษฐายุ!”


------------------------------------------------------------------------



เจ้าชายน้อย
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 เม.ย. 2554, 10:23:25 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 เม.ย. 2554, 10:23:25 น.

จำนวนการเข้าชม : 1509





<< เค้าลางของความวุ่นวาย   พาไปขาย >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account