จลาจลรัก
เมื่อ "เศรษฐายุ" เจ้าชายจอมเผด็จการผู้รับคำสั่งจากผู้เป็นพ่อเพื่อตามหาและแย่งชิงตัวเจ้าหญิงพลัดถิ่นกลับมาให้ได้
"บุษราคัม"เจ้าหญิงที่แสนจะดื้อรั้นกับเศรษฐายุเพราะคิดว่าเขางี่เง่าไร้เหตุผลและเข้าใจผิดมาตลอดว่าเขาเป็นเพียงองครักษ์จอมเผด็จการ

ภึมายุกร เจ้าชายผู้ช่วยเจ้าของลักยิ้มทรงเสน่ห์ที่ไม่มีใครล่วงรู้อีกเหตุผลที่ชักนำเขามาสู่เรื่องวุ่นวายเหล่านี้
คิริมา นักศึกษาแพทย์สาวผู้มีปมหลังและสาเหตุบางอย่างที่ทำให้เหม็นขี้หน้าคนช่างตื้ออย่างภีมมากถึงมากที่สุด

เมื่อการชิงตัวเจ้าหญิงยังคงดำเนินต่อไปและปัญหามากมายยังรายล้อม แต่กลับถักทอร้อยเรียงก่อเกิดความรู้สึกหวามไหวในหัวใจทั้งสี่ดวง
ความรักจะดำเนินไปอย่างไร ในเมื่อความเป็นจริง
ไม่ว่าเศรษฐจะเป็นองครักษ์ที่ระหว่างเขากับบุษราคัมมีคำว่าชนชั้นเป็นตัวกั้นขวาง หรือจะเป็นเจ้าชายผู้มีศักดิ์เป็นถึงพระญาติสนิทที่มีสายพระโลหิตเป็นสายใยกั้นกลาง...



อ่านต่อ : http://writer.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=519954#ixzz1IQSdWwgZ
Tags: รักโรแมนติก เจ้าหญิงพลัดถิ่น เจ้าชาย

ตอน: พาไปขาย

ตอนที่ 3

เสียงดนตรีบรรเลงแว่วหวานในงานเลี้ยงรับขวัญอันยิ่งใหญ่คลออยู่ในโสตประสาท ชายหญิงล้วนแต่งกายงดงามจับคู่เต้นรำแช่มช้อยอ่อนหวาน หากแต่จะมีคู่ใดที่งดงามสมกันยิ่งกว่าบุรุษร่างสูงใหญ่ในชุดสมพระเกียรติสีน้ำเงินเข้มกับสุภาพสตรีร่างระหงบอบบางดูน่ารักน่าทะนุถนอมที่อยู่กลางฟลอร์เต้นรำ

ร่างบอบบางเคลื่อนกายไปตามจังหวะบรรเลงด้วยการนำของบุรุษร่างสูงใหญ่ที่แต่งกายด้วยชุดที่ไม่คล้ายกับทักสิโดแต่แลดูเหมือนเจ้าชายในละครสักพระองค์มากกว่า มือใหญ่โอบเอวคอดบางภายใต้ชุดราตรีงดงามราวกับเจ้าหญิงสีงาช้าง ขลิบด้วยด้ายสีทองมันเลื่อมขับสีผิวขาวอมชมพูของหญิงสาวหน้าหวานใสให้ผุดผ่องขึ้นเป็นเท่าตัว

เรือนร่างสมบูรณ์แบบของเขาแนบชิดกับเรือนร่างบอบบางของเธอแทบทุกสัดส่วนแต่ไม่ทำให้รู้สึกจาบจ้วงหรือฉวยโอกาส หญิงสาวซบใบหน้าหวานละมุนไปบนอกกว้างของเขา ดวงตากลมหวานหลับพริ้ม ริมฝีปากอวบอิ่มยิ้มในใบหน้า ศีรษะได้รูปอิงซบกับแผงอกแกร่ง เรือนผมนุ่มหอมหวานไม่ต่างจากตัวเธอ ชักชวนให้จมูกโด่งเป็นสันก้มลงมาดอมดม ความรู้สึกอบอุ่นแผ่ล้อมรอบกายอยู่ไม่ห่าง ยิ่งเมื่อคนคุมจังหวะกระชับกอดแน่นขึ้นคล้ายจะโอบอุ้มร่างเธอให้พลิ้วไหวไปตามเสียงเพลงและบรรยากาศอันแสนหวานนั่น โดยไม่นำพาต่อผู้คนรอบข้าง หรือไม่...ในงานอาจมีเพียงเขากับเธอก็เป็นได้

บรรยากาศรอบกายไม่ต่างกับความฝัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อดวงตากลมโตใต้แพตายาวงอนของเธอช้อนขึ้นสบนัยน์ตาทรงพลังคู่นั้นที่มองลงมาอยู่ก่อนแล้ว ราวกับหัวใจหยุดเต้น โลกพลันหยุดหมุน เข็มเวลาถูกตรึงอยู่กับที่ ริมฝีปากอิ่มเผยอขึ้นเล็กน้อย แววตาหวานดูเหม่อลอยเหมือนคนที่กำลังตกอยู่ในวังวนจนยากจะถอนตัวขึ้น ยามที่ริมฝีปากบางหยักโค้งของเขาค่อยๆ ก้มต่ำลงมา เสียงหวานเล็กจึงเอ่ยถามขึ้นคล้ายละเมอ

“คุณเป็นใครกัน”

ไม่มีคำตอบ ลมหายใจอุ่นปัดแถวแก้มชมพูเนียน แล้วเธอก็ได้ยินเสียงทุ้มนุ่มของเขาเอ่ยเบาๆ กระซิบใกล้ใบหูนิ่ม

“กลับบ้านเราเถิด...เจ้าหญิงของฉัน”

สิ้นเสียงของบุรุษลึกลับผู้ซึ่งเธอเห็นเพียงใบหน้าหล่อเหลาของเขาเพียงเลือนราง หญิงสาวก็ต้องเบิกตากว้าง ริมฝีปากสั่นระริกก่อนจะส่งเสียงหวีดร้องออกมาอย่างตกใจสุดชีวิต

“กรี๊ด!!!”





“กริ๊ง!!!”

“กรี๊ดดดด”

ร่างบอบบางกระเด้งขึ้นจากเตียงนอน ดวงตากลมฉายแววตื่นตระหนก ความหวานในฝันเมื่อครู่แทบมลายหายไปสิ้นเมื่อผู้ชายคนนั้นกลายเป็นงูเหลือมเผือกตัวใหญ่ลวดลายสีน้ำเงินที่กระหวัดรัดรอบตัวเธอแน่นขึ้นกว่าเดิม!

บุษราคัมถอนหายใจก่อนจะเอื้อมมือไปปิดนาฬิกาปลุก คงเพราะเมื่อคืนบังเอิญโทรศัพท์ไปรายงานตัวกับคุณยายตอนที่ท่านกำลังดูลิเกชื่อดังที่สองตายายแสนจะโปรดปรานพอดี ทำให้เสียงพระเอกลิเกเล็ดลอดเข้ามาในมือถือ และเป็นเธอที่ยังจำประโยคเมื่อวานได้ขึ้นใจ จนเอาไปนอนฝัน

‘กลับบ้านเราเถิดน้องหญิง...พี่มารับเจ้าแล้ว ชะเออเอิงเอ๋ย ชะเอ่อเอิงเอย’

“ท่าจะเพี้ยน...สงสัยจะกินมากไป”

หญิงสาวบ่นกับภาพสะท้อนของตัวเองในกระจก หญิงสาวใบหน้าเรียว ผิวขาวอมชมพูราวไข่มุก ดวงตากลมโตเป็นประกายระริก ริมฝีปากอวบอิ่ม เรือนผมสีน้ำตาลล้อมกรอบเครื่องหน้าที่งดงามลงตัว ปลายผมหยักโค้งเป็นลอนน้อยๆ ตามธรรมชาติทิ้งตัวอย่างมีน้ำหนักที่กลางแผ่นหลังบอบบาง

แต่บัดนี้ริมฝีปากอิ่มกลับยู่ให้คนในกระจก จมูกจิ้มลิ้มย่นใส่อย่างทะเล้น มือเล็กยีหัวตัวเองราวกับจะไล่ตะเพิดความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัวสมอง

เจ้าหญิงเจ้าชายมีจริงที่ไหนกันเล่า?

ตื่นเสียที...บุษราคัม





“เป็นอะไร เหม่อทั้งคาบเลยนะยัยตัวเล็ก”

เสียงทักนุ่มๆ กับมือใหญ่ที่วางแหมะลงบนศีรษะก่อนจะโยกไปมาอย่างหยอกเหย้าปลุกคนเหม่อให้หลุดจากภวังค์ บุษราคัมกระพริบตาปริบๆ แล้วพบว่าอาจารย์เลิกชั้นเรียนแล้ว บรรดานักศึกษากำลังรีบเร่งเก็บข้าวของเพื่อจะได้ไปช่วงชิงที่ว่างในโรงอาหารยามเที่ยง เห็นอย่างนั้นจึงไม่รอช้า ทั้งที่มือเริ่มเก็บ ปากก็ไม่วายร้องบอกเพื่อน

“ลงไปจองที่ก่อนเลย พลอยเก็บของเดี๋ยวเดียว แล้วจะรีบตามไป”
คนฟังไม่ได้มีท่าทีเร่งรีบตอบรับ เขาทำเพียงเหวี่ยงเป้ขึ้นพาดบ่าก่อนจะเอนกายพิงสะโพกไว้กับขอบโต๊ะเลคเชอร์อย่างหมิ่นเหม่ สองมือกอดอดหลวมๆ ด้วยท่วงท่าผ่อนคลาย ริมฝีปากได้รูปที่แม้นผู้หญิงยังอายยกขึ้นน้อยๆ ขณะมอง ‘ยัยตัวเล็ก’ ตั้งอกตั้งใจเก็บของ

“อ้าว! ทำไมไม่รีบไปจองล่ะภีม มานั่งกดดันกันอย่างนี้ยิ่งช้าไปกันใหญ่”
ชายหนุ่มที่ชื่อภีมหัวเราะแล้วยักคิ้วข้างเดียวรับค้อนวงใหญ่จากเพื่อนตัวเล็กด้วยความเอ็นดู บุษราคัมส่ายหน้าน้อยๆ กับท่าทางทะเล้นของเขา ก่อนจะหลิ่วตามองบางอย่างข้างหลังชายหนุ่ม ทำให้เสียงหัวเราะค่อยๆ เงียบลงเมื่อเขารู้สึกไม่ไว้ใจท่าทางราวกับเด็กหญิงตัวร้ายของเธอ

“อ๋อ...” ยัยตัวเล็กลากเสียง หลิ่วตา แล้วยื่นหน้ามากระซิบกระซาบกับเขาให้ได้ยินเพียงสองคน “หรือว่าที่อยู่รอเนี่ย เพราะอยากเจอใครบางคนใช่มั้ยล่ะ”

“เดี๋ยวเถอะยัยแสบ” เขาพูดรอดไรฟัน ใบหน้าที่ยังคงยิ้มร่ายื่นมากระซิบใกล้ใบหู ท่าทางของทั้งคู่จึงไม่ต่างจากคู่รักที่กำลังหวานจนน้ำตาลเรียกพี่

“พลอย” เสียงเรียบๆ มาก่อนตัว ผู้มาใหม่เดินเข้ามาแทรกระหว่างฉากหวานของเพื่อนรักและอีกหนึ่งเพื่อนที่ไม่รัก ด้วยความสูงระดับนางแบบทำให้หล่อนจ้องตากับภีมได้ไม่ยากนักและทันเห็นแววตายั่วอารมณ์ของอีกฝ่ายที่ตั้งใจปั้นแต่งส่งมาให้ “ไปกินข้าวกันเถอะพลอย กินผิดเวลาครีมกลัวว่าเดี๋ยวโรคกระเพาะจะถามหา”

บุษราคัมยิ้มรับความห่วงใยจากใจจริงของครีมหรือคิริมา เพื่อนสนิทที่รู้ใจกันที่สุดที่รู้จักกันมาตั้งแต่มัธยมปลาย แม้คนอื่นจะมองว่าคิริมาเป็นพวกสวยแต่หยิ่ง แต่แปลกที่เธอไม่เคยรู้สึกอย่างนั้นสักครั้ง อาจเป็นเพราะนัยน์ตาเรียวดำนิ่งลึก ท่วงท่าสง่างามราวนางพญาและโดดเด่นไม่ว่าจะมองมุมใด หรืออาจเป็นเพราะคิริมาพูดน้อยโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเธอ แต่หญิงสาวก็เป็นผู้ฟังที่ดีและให้คำแนะนำดีๆ กับเธอได้เสมอ และเป็นอีกคนที่รักเธอและเธอรักนอกจากตายาย

“พลอยขอเก็บของอีกแป๊บนะครีมจ๋า” เธอบอก นัยน์ตาเจ้าเล่ห์แวบไปมองภีม “เอาอย่างนี้สิ ถ้าครีมกลัวได้ข้าวช้า จะลงไปจองที่กับภีมก่อนก็ได้นะ”

พูดเสร็จก็ลงมือเก็บนู่นนี่ต่อ แต่ไม่วายแอบลอบมองทั้งสองเป็นระยะ สนุกดีที่เห็นภีมส่งสายตายั่วเย้าคิริมาเพราะน้อยคนนักที่จะกล้าสบตาคมเฉี่ยวของเพื่อนรักเธอนานๆ ถ้าจะมีก็คงจะเป็นผู้ชายตรงหน้านี่แหละ

สมน้ำสมเนื้อดีแท้

“มาเถอะพลอย ครีมช่วย” คิริมาว่า เพราะทนยืนอยู่ต่อไม่ไหวและอาจห้ามใจไม่ให้เอื้อมไปควักลูกตาวิบวับของชายหนุ่มออกมาจากเบ้าไม่ไหว “วันนี้เรียนรู้เรื่องไหมพลอย”

“มีงงบางจุดที่อาจารย์ไปเร็วน่ะ แต่เมื่อกี้ภีมอธิบายให้ฟังบ้างแล้วครีมไม่ต้องห่วงนะ”

คนพูดยิ้มประจบเพราะไม่อยากให้เพื่อนห่วง แต่หารู้ไม่ว่าคำว่า ‘ไม่ต้องห่วง’ นั้นกระตุ้นความ ‘หวง’ ในใจเพื่อนรักให้ลุกโชน พอๆ กับที่ความไม่ชอบขี้หน้าภีมทวีความรุนแรงขึ้น

“อ้อหรอ” คิริมารับคำเบาๆ พอดีกับที่เงยหน้าขึ้นมาแล้วเจอสายตาเป็นต่อของภีมจ้องอยู่ก่อนแล้ว สาวสวยเม้มปากแน่นเชิดหน้าขึ้นแล้วหันไปคุยกับบุษราคัมที่เก็บของเสร็จพอดี

“แล้ววันนี้เรียนเรื่องอะไรล่ะ”

“การหายใจระดับเซลล์แล้วก็พวกการถ่ายทอดอิเล็กตรอน”

“ครีมอธิบายให้ฟังได้นะ” หญิงสาวเสนอตัว เมื่อรู้สึกว่าความรักของเพื่อนกำลังจะถูกแบ่งไปให้ชายหนุ่มอีกคนในห้อง เธอไม่ถูกชะตากับเด็กใหม่ที่ชื่อภีมเลย ทั้งที่เข้ามาเรียนทีหลังตั้งหนึ่งปีแต่กลับเข้ากับคนอื่นได้ง่ายดาย ที่สำคัญภีมเข้ากับพลอยได้ดีจนเธอหวั่นใจทีเดียว

“แต่ตอนเช้าคุณไม่ได้เข้าเลคเชอร์นี่ครับ”

“ฉันอ่านมาแล้ว” หล่อนสวนแทบจะทันที “หลายรอบแล้วด้วย”

“เอ...บางทีถ้าอ่านมานานแล้วเนี่ย ข้อมูลก็มักจะไม่อัพเดทนะครับ”

“ถ้านายหมายถึงหนังสือก็คิดผิดแล้วล่ะ” เจ้าหล่อนเชิดหน้าขึ้นอีก ภีมลอบมองจมูกสวยได้รูปที่เชิดขึ้นนิดๆ แล้วกลั้นยิ้ม “...ฉันอ่านวารสารอัพเดทตลอด ไม่อัพเดทในกูเกิ้ลเหมือนนาย”

“ไม่ยักรู้ว่าคุณสนใจด้วยว่าผมชอบอากู๋กูเกิ้ล”

“ฉันไม่ได้สนใจนาย”

“ผมก็ไม่ได้บอกว่าคุณสนใจผม” เขาตอบเสียงนุ่มแต่เน้นเสียงเหมือนใส่สารเร่งปฏิกิริยาแล้วรอดูผลที่เกิดขึ้น แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นแม้แต่การเปลี่ยนสีบนใบหน้า มีเพียงแววตาไม่ชอบใจฉายชัดที่ส่งมาให้เท่านั้น

ภีมส่ายหัวกับความคาดหวังบางอย่างในใจเขา ก่อนจะเอ่ยต่อ “อย่างน้อยกูเกิ้ลก็รายงานข่าวเร็ว อย่างงานวิจัยของนาซาเรื่องทะเลสาบโมโนที่มีแต่สารหนู ใครจะไปคิดว่าแบคทีเรียสายพันธุ์จีเอฟเอเจ-1 จะมีชีวิตรอดในสภาพแวดล้อมเป็นพิษอย่างนั้นได้ การใช้สารหนูเป็นตัวถ่ายทอดพลังงานในเซลล์ทั่วร่างกายแทนฟอสฟอรัสไม่ใช่เรื่องที่นักวิทยาศาสตร์อยากเชื่อมากหรอกนะคุณ”

“ใช่ เพราะฉะนั้นมันก็ยังเป็นเพียงงานวิจัยที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้”

“แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคือความคืบหน้าของวงการวิทยาศาสตร์ที่อาจเปลี่ยนโลกก็ได้...ใครจะไปรู้”

“รอให้มันสำเร็จก่อนเถอะ”

“คุณนี่ไม่รู้จักกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เอาเสียเลยนะครับ”

“ก็ฉันเรียนหมอ ไม่ใช่วิทยาศาสตร์”

“แล้ว...”

“โอ๊ยยย!” บุษราคัมร้องโอดโอยเบี่ยงเบนความสนใจของคนที่กำลังจะเอาความรู้มากินหัวอีกฝ่าย “หิวข้าวจังเลย ไปเถอะครีมภีม ไปกินข้าวกันเถอะนะ...นะๆๆ ไปจ๊ะครีมจ๋า”

ท่อนแขนกลมกลึงถูกเพื่อนคล้องหลวมๆ ก่อนจะดึงให้ออกเดินคู่กันไป แต่ไม่วายตวัดสายตาไม่ชอบใจทิ้งท้ายไปให้ชายหนุ่มที่เดินตามรั้งท้ายที่พยายามเก็บเสียงหัวเราะไว้ในลำคอเบาๆ พลางคิดในใจ

ผมจะต้องรู้ให้ได้ว่าทำไมคุณถึงหวงพลอยขนาดนั้น...คิริมา





สนามบินนานาชาติคลาคล่ำไปด้วยคนหลากหลายชาติพันธุ์ พันกรสอดส่ายสายตาหาพระวรกายสูงใหญ่ที่ไม่ยอมให้เขาอยู่อารักขาและช่วยทรงงาน แต่กลับเตะโด่งเขามาประเทศไทยเพื่อจัดการธุระสำคัญ

ไม่ต้องชะเง้อหาเพราพระวรกายสูงใหญ่บวกกับพระพักตร์หล่อเหลาโดดเด่นท่ามกลางฝูงชนที่แน่นขนัด เจ้าชายเศรษฐายุเองก็เห็นราชองครักษ์คนสนิทแล้วเช่นกันแม้ว่าอีกฝ่ายจะแต่งกายด้วยชุดธรรมดาแต่ส่วนสูงระดับพันกรก็หาได้ยากในหมู่คนไทย พระองค์จึงสาวพระบาทตามราชองครักษ์ที่ทำเพียงค้อมหัวให้เล็กน้อยก่อนจะนำทางไปที่จอดรถ

“ไม่ได้บรรทมสามวัน ยังสบายดีไหมพระเจ้าค่ะ?”
คำถามชนิดที่ประชดประชันกันสุดขีดของพันกรดังขึ้นเมื่อประตูรถปิดสนิท แต่กลับได้รับคำตอบเป็นการปิดเปลือกตาลงแล้วเอนตัวพิงเบาะ ปล่อยให้ราชองครักษ์คนสนิทพล่ามอยู่คนเดียว

“บอกแล้วว่าให้ฉันอยู่ช่วยก็ไม่เอา” คำพูดแบบไร้ราชาศัพท์ติดจะสนิทสนมจนเกินเหตุดังขึ้น เพราะเศรษฐจะบังคับให้เขาเป็นเพื่อนสนิทของมันทันทีที่ก้าวออกจากอุรัศยา ศัพท์แสงยืดยาวก็ไม่เหลือเพราะเศรษฐไม่ประสงค์จะให้ใครรู้ถึงฐานะที่แท้จริง “แกนี่มันหาเรื่องจริงๆ ไม่รู้จะส่งฉันมาที่นี่ก่อนทำไม แทนที่จะอยู่ช่วยกันเคลียร์งานจะได้เสร็จไวๆ ไม่เหนื่อยด้วย”

“ฉันไม่ได้เหนื่อยอะไร” เจ้าชายเศรษฐายุเอ่ยตอบด้วยประโยคที่เรียกความหมั่นไส้ของเพื่อนสนิท แต่น้ำเสียงเหนื่อยๆ ก็ทำให้พันกรนึกสงสารเพื่อนขึ้นมาเหมือนกัน พลันอดคิดย้อนไปเมื่อตอนเป็นเด็กไม่ได้

จากที่ยังเคยท้าตีท้าต่อยกันอยู่บ่อยๆ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าช่วงเวลานั้นมันช่างมีความสุขเพราะสำหรับเขาภาระของเด็กกับผู้ใหญ่มันช่างแตกต่างกัน แต่สำหรับคนข้างๆ กลับไม่ใช่

แม้ในวัยเด็ก เจ้าชายเศรษฐายุก็ยังต่างจากเจ้าชายในวัยเดียวกัน

ความจริงแล้วเขาไม่ได้เจอกับเศรษฐเพราะความบังเอิญ แต่ถูกพ่อจับส่งให้ไปฝึกเป็น ‘ราชองครักษ์’ ของเจ้าชายหน้านิ่งข้างๆ ต่างหาก!

แต่ความสัมพันธ์ของคนพูดมากกับคนพูดน้อยก็ถือว่าดีและอาจจะถึงขั้นดีมาก เพราะเรียกได้ว่าแทบจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันตลอดเวลา จนผู้ใหญ่อาจกลัวว่าลูกชายนั้นจะวิปริตผิดเพศไป จึงได้ส่งเศรษฐไปเรียนต่อที่อังกฤษแล้วส่งเขาที่ควรจะอยู่อารักขาความปลอดภัยไม่ห่างไปเรียนถึงออสเตรเลีย ด้วยเหตุผลชวนน้อยใจของพ่อตัวเอง

‘แกไม่ต้องห่วงเจ้าชายหรอก ทรงพระปรีชาสามารถกว่าแกตั้งเยอะ กลัวแต่ว่าไปเรียนด้วยกันจะกลายเป็นพระองค์ต้องปกป้องแกน่ะสิ’

พันกรกลั้นยิ้ม เพราะพอคิดถึงทีไรเขาก็แอบหมั่นไส้คนเก่งกว่าไม่ได้ นิสัยทะเยอทยานทำให้พันกรถีบตัวเองให้เป็นคนที่เก่งที่สุดจนหลายคนกล่าวขาน และเชื่อว่าที่เขาได้ตำแหน่งราชองครักษ์ไม่ใช่เพราะเส้นบิดา แต่ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรเขาก็ยังไม่เคยเก่งกว่าเพื่อนยศสูงคนนี้เสียที และเศรษฐก็เป็นข้อยกเว้นเดียวในโลกที่เขาไม่คิดจะแข่งด้วย

“ยิ้มอะไร” เจ้าชายสูงศักดิ์ถาม

“อ้าว! ยิ้มก็ผิดหรือไง แกจะจับฉันประหารมั้ยล่ะ” คนสนิทเฉไฉ จะบอกได้ไงว่ากำลังอิจฉาแกมหมั่นไส้มันอยู่ “นอนไปเถอะ ถึงแล้วจะปลุก หน้าตาแกยิ่งกว่าซอมบี้อีกรู้ตัวมั้ย...อ้าว ยิ้มอะไร?”

ริมฝีปากหยักโค้งได้รูปยิ้มบางๆ ทั้งที่ยังหลับตา พลางเอ่ยช้าๆ ตอบคนที่เป็นถึงพระสหายสนิทควบตำแหน่งราชองครักษ์ไปด้วย “ถ้าฉันไม่ตอบ แกจะฆ่าฉันหรือเปล่า? นั่นแหละคำตอบ”

พันกรยิ้มที่มุมปาก คำตอบของเศรษฐก็คือคำตอบของเขา เศรษฐกำลังจะบอกว่าไม่มีวันทำร้ายเขา เหมือนกับที่เขาซึ่งเป็นราชองครักษ์ไม่สามารถทำร้ายหรือปล่อยให้คนอื่นมาทำร้ายเพื่อนรักและเจ้านายอย่างเศรษฐได้เช่นกัน!

เสียงคุยเงียบลง แต่กระนั้นคนหลับตาก็ยังไม่จมสู่ห้วงนิทราอย่างที่คนอดนอนสามวันติดควรจะเป็น สมองประมวลผลคำพูดของทุกคนที่ผ่านเข้ามาในรอบหลายวัน

ภีมายุกรโทรมาถามเขาว่าจะมาถึงเมืองไทยเมื่อไหร่เพราะเจ้าตัวรู้สึกว่ากลิ่นชักจะไม่ดี และเป็นห่วงความปลอดภัยของเจ้าหญิงพลัดถิ่นนามว่า ‘บุษราคัม’ ที่ตอนนี้ภีมกำลังดูแลภายใต้ฐานะใหม่คือนักศึกษาแพทย์ทุนแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ

ทำให้เขาต้องรีบเคลียร์งาน ทั้งที่รีบมากอยู่แล้ว มิหนำซ้ำเจ้าชายพสุเนวียังไม่สามารถจัดเครื่องบินส่วนพระองค์ให้ได้เพราะอยู่ในระยะซ่อมบำรุงหลังจากที่สัปดาห์ที่แล้วเกิดปัญหาขณะขึ้นบิน กว่าจะมาได้จึงต้องรอจนถึงวันพฤหัสบดีเนื่องด้วยสายการบินอุรัศยาแอร์ไลน์ที่จะบินมาเมืองไทยมีวันเดียวในรอบสัปดาห์เท่านั้น

แต่อะไรก็ไม่ทำให้เขาต้องข่มใจ ข่มความสงสัยเอาไว้ตลอดหลายวันที่ผ่านมา เรื่องที่บอกไม่ได้ว่าเขารู้สึกอย่างไรระหว่างเสียใจ ดีใจ หรือประหลาดใจ

เขาได้ยินบทสนทนาระหว่างภีมายุกรกับพระอัครมเหสีตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ




เงาต้นไม้ทอดยาวไปตามทางเดินในมหาวิทยาลัย รถยนต์หลากหลายยี่ห้อจอดเรียงรายในช่องของตนเอง ภีมเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ อย่างรอเวลาสายตาเหลือมองนาฬิกาข้อมือก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองสองสาวข้างหน้า

บุษราคัมนั้นดูตัวเล็กกะทัดรัดไปถนัดเมื่อเทียบกับคิริมาซึ่งรูปร่างสูงกว่า คนหนึ่งผมสีน้ำตาลเข้มเป็นลอนน้อยๆ ส่วนอีกคนผมตรงดำมันวาว คนหนึ่งใส่เสื้อพอดีตัวกับกระโปรงพลีทจับจีบรองเท้าหุ้มส้นกระเป๋าสะพายเฉียงสีแดงลายแมวเหมียวดูน่ารักสดใส แต่อีกคนใส่ชุดนักศึกษาเข้ารูปกับกระโปรงทรงสอบสั้นเหนือเข่าอวดท่อนขาขาวเนียนรองเท้าส้นแหลมกระเป๋าแบรนด์เนมดูโฉบเฉี่ยวทันสมัย คนหนึ่งดวงตากลมวาววับเป็นประกายเหมือนเด็กหญิงตัวน้อยน่าเอ็นดู ส่วนอีกคนนัยน์ตาเรียวสงบนิ่งไม่แสดงอารมณ์ดูน่าค้นหา

เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าสองสาวสองสไตล์เป็นเพื่อนกันได้อย่างไร แต่หากมองลึกๆ คงหาคำตอบได้ไม่ยาก เพียงเพราะคนหนึ่งโหยหาความสดใสและความรัก ส่วนอีกคนก็มีพร้อมสรรพทั้งความรัก ความเอาใจใส่ และความสดใส อาจพูดได้ว่าทั้งสองคือส่วนเติมเต็มซึ่งกันและกันอย่างลงตัว

ชายหนุ่มดึงตัวเองออกมาจากความคิดอย่างฉับพลันเมื่อรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลจากด้านหลัง

“จ๊ะเอ๋! คุณภีมขา”

“เฮ้ย!” ภีมร้องเสียงหลงสะดุ้งสุดตัว พยายามแกะมือปลาหมึกของเพื่อนร่วมคณะที่ยั้วเยี้ยราวกับมีสักสิบมือก็ไม่ปาน “เบอร์รี่...ป ปล่อยผมเถอะครับ”

“แหม...คุณภีมก็ ขอเบอร์รี่โอบนิดกอดหน่อยก็ไม่ได้ หวงตัวจริงนะฮ้า” เพื่อนชายหัวใจหญิงนามว่า ‘เบอร์รี่’ แกล้งพ้ออย่างมีจริต ก่อนจะฉวยโอกาสกระซิบที่ข้างใบหูน่าเจี๊ยะของหนุ่มหล่อ

“...เดี๋ยวก็ไม่ช่วยซะเลย”

ภีมลูบขนแขนตัวเองที่ตั้งชันขึ้นมาแล้วยิ้มแหยๆ ให้เพื่อสองสาวที่หันมามอง เบอร์รี่มองตามก่อนจะส่งเสียงทักทายไปก่อนตัว

“อันยองพลอยครีม!” ร่างสะโอดสะองเดินบิดซ้ายขวาเข้าไปหา “ยัยครีม คืนนี้ว่างมั้ยยะว่าจะชวนหล่อนไปดริ๊งที่ผับเปิดใหม่ซะหน่อย”

“คืนนี้น่ะว่าง แต่ตอนนี้ต้องไปส่งพลอยก่อน”

“ไปเที่ยวอีกแล้วหรอเบอร์รี่ แทนที่จะกลับไปพักผ่อนเอาแรง เรียนมาทั้งวันแท้ๆ” บุษราคัมปรามหน้ามุ่ย ไม่ค่อยอยากให้เพื่อนไปเที่ยวกลางคืนด้วยความเป็นห่วง

“จ๊ะ แม่เด็กอนามัยเข้านอนตอนสองทุ่ม” เบอร์รี่ประชดยิ้มๆ “อย่างฉันน่ะไม่ชอบพักผ่อนเอาแรง แต่ชอบออกแรงตอนกลางคืนย่ะ”

“เบอร์รี่!” คิริมาตีแขนเพื่อน “พูดสองแง่สองง่ามกับพลอยแบบนี้ได้ยังไง”

“ไม่ใช่เด็กๆ ซะหน่อย โตจนเรียนมหาวิทยาลัยแล้วนะ” เบอร์รี่อุบอิบ ก็คิริมาทำตาดุใส่น่ากลัวจะตายไป แต่เมื่อตาประสานกับดวงตากลมแพรวพราวล้อเลียนของบุษราคัมแล้ว ความกลัวก็หายไป หลงเหลือไว้แต่ความหมั่นเขี้ยว

“โอ๊ย!” บุษราคัมร้องเมื่อโดนมือของเพื่อนสาวดึงแก้มสองข้างไปมา ท่ามกลางเสียงหัวเราะของเบอร์รี่ คิริมาและภีม หญิงสาวแกล้งทำหน้ามุ่ย ก่อนจะหันไปอ้อนคิริมา จนเบอร์รี่แอบหมั่นไส้แกมเอ็นดูไม่ได้

“พอๆๆ แม่ลูกคู่นี้จะอ้อนกันอีกนานมั้ยยะ...ตกลงหล่อนจะไปกับฉันไหมยัยครีม”

“เอาสิ กี่โมงแล้วเจอกันที่ไหน”

“ไม่จงไม่เจอจ๊ะ ไปด้วยกันตอนนี้นี่แหละ” เบอร์รี่บอกก่อนหันไปสบตาภีมแวบหนึ่ง แล้วรีบยื้อท่อนแขนเรียวของคนสวยกว่า “หล่อนต้องไปช่วยฉันเลือกเสื้อผ้าเพราะว่าวันนี้พวกเด็กวิศวะก็ไปเปิดสายที่นั่นกันเยอะ ไม่แน่ฉันอาจจะได้เด็กหนุ่มเอ๊าะๆ สักคนกลับไปนอนกอดก็ได้ใครจะไปรู้”

“แต่ฉันต้องไปส่งพลอย”

“ก็นี่ไงให้คุณภีมไปส่ง จริงมั้ยคะคุณภีมขา?”

“แต่...” เสียงปฏิเสธเงียบไป ไม่ใช่เพราะเบอร์รี่หว่านล้อมสาวสวยได้ผล แต่สาเหตุคือซีวิคสีดำปลาบที่แล่นเข้ามาเทียบข้างทางต่างหาก

กระจกที่นั่งข้างคนขับลดลง มองเห็นเพียงชายหนุ่มร่างใหญ่ผิวเข้มใส่เสื้อเชิ้ตสีดำชะโงกหน้าที่มีแว่นกันแดดปกปิดดวงตาไว้แล้วพูดเสียงดังจนหลายคนหันมามอง

“ยัยครีม ขึ้นรถ!”

“พี่คชา” คิริมาละล้าละลัง อยากจะปฏิเสธแต่รู้ดีว่าหากคชาลงทุนตามมาถึงมหาวิทยาลัยคงไม่ปล่อยให้เธอคลาดอีกเป็นแน่

“โถ่เว้ย จะต้องรอให้คันข้างหลังมันด่าฉันหรือไงแกถึงจะขึ้นฮะ” ชายหนุ่มตวาดซ้ำ คิริมาเม้มปากแน่นคล้ายชั่งใจ ทั้งที่มือบางกระชับกระเป๋าถือ มืออีกข้างที่จับจูงบุษราคัมถูกบีบเบาๆ อย่างให้กำลังใจ หญิงสาวยิ้มบางๆ ให้เพื่อน

“วันนี้ครีมไปส่งไม่ได้นะพลอย”

“มีอะไรโทรมานะครีม” บุษราคัมย้ำ แต่ไหนแต่ไรเธอก็ไม่เคยปลื้มคชาอยู่แล้ว ยิ่งพักนี้คิริมาดูมีเรื่องให้ต้องคิดยิ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่าปัญหาพวกนั้นคงมาจากคนพวกนี้เป็นแน่ “พลอยเป็นห่วงนะ ดูแลตัวเองล่ะ”

คิริมาพยักหน้ารับรู้ เสียงแตรรถผสมกับเสียงสบถของคชาดังผสมกัน เร่งเร้าให้หล่อนตวัดสายตามองภีมแวบเดียวอย่างฝากฝัง แม้ไม่ชอบขี้หน้าแต่ถ้าลดทิฐิก็พอจะเชื่อว่าภีมไม่น่าจะเป็นคนเลวร้ายอะไร สุดท้ายจึงหันไปหาเบอร์รี่ แต่ไม่ทันพูดอะไรคนรู้ใจก็เอ่ยแทนเสียแล้ว

“ไม่เป็นไรหล่อน เทคแคร์นะยะ”

ร่างระหงขึ้นรถไป ก่อนที่ซีวิคคันงานจะพุ่งทะยานด้วยความเร็วที่น่าเป็นห่วงบ่งบอกถึงนิสัยมุทะลุของผู้ขับได้เป็นอย่างดี บุษราคัมมองภาพนั้นอย่างไม่ใคร่สบายใจนัก จนเพื่อนสาวยื่นมือมาโอบไหล่เบาๆ

“คงไม่มีอะไรหรอกพลอย เชื่อฉันสิ”

“ขอให้เป็นอย่างนั้นจริงๆ เถอะเบอร์รี่” เสียงหวานตอบแผ่วๆ “เอ้อ...แล้วคืนนี้เบอร์รี่จะไปกับใครล่ะ หรือว่าไม่แล้ว”

“โอ๊ย ไม่มีทางจ๊ะเด็กน้อย ฉันยังมีนังพวกชะนีอีกเยอะไปเป็นเพื่อน ขาดยัยครีมไปคนสบายมาก ว่าแต่พลอยเถอะ คงต้องวานคุณภีมขาของฉันไปส่งเธอแล้วนะยะ” ว่าแล้วก็ส่งสายตารู้กันให้หนุ่มหล่ออย่างรวดเร็ว

“ยินดีครับ” ภีมรับคำยิ้มๆ แม้ในใจจะยังตงิดกับความสัมพันธ์ของคนทั้งสองเมื่อครู่ก็ตาม “เบอร์รี่จะไปด้วยกันไหมครับ เดี๋ยวผมไปส่ง”

“ถ้าเบอร์รี่จะไปสวรรค์ คุณภีมขาจะไปส่งเบอร์รี่มั้ยค้า”

“เบอร์รี่!” บุษราคัมร้องเสียงหลง มือกุมท้องหัวเราะเอิ้กอ้ากชอบใจ แล้วหันไปกระเซ้าคนเสนอที่ถึงคราวเจอคนสนองเข้าให้ไม่รู้ตัว “...ไปป่ะๆ พ่อสุภาพบุรุษ”

“ทะเล้นนะยัยตัวเล็ก” เขาแกล้งเอ็ด “งั้นผมไปแล้วนะเบอร์รี่ ขอบคุณมากๆ ครับ”

“ยินดีฮ้า...ถ้าเป็นคุณภีมต่อให้ขึ้นสวรรค์ลงนรก เบอร์รี่ก็ยอม”

บุษราคัมส่งสายตาล้อเลียนคนที่กำลังจะเปิดประตูรถ ก่อนจะแทรกตัวเข้าไปนั่งบนรถโฟล์คเขียวตองสีสันสดใส มือเล็กจัดการคาดเข็มขัดให้ตัวเอง จัดแจงเปิดซีดีเพลงโปรดเสร็จสรรพ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วพบว่าน้องเต่ากำลังเลี้ยวไปทางที่ไม่ใช่ทางไปคอนโดของเธอ

“นี่เราจะไปไหนกันน่ะภีม ทางกลับบ้านมันเลี้ยวซ้ายไม่ใช่หรอ”

ภีมหันกลับมาอวดลักยิ้ม นัยน์ตาเป็นประกายแพรวพราว แต่อะไรก็ไม่ทำให้ใจสั่นนอกจากคำตอบของเขาที่ว่า

“...พาไปขาย”



เจ้าชายน้อย
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 เม.ย. 2554, 10:24:55 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 เม.ย. 2554, 10:24:55 น.

จำนวนการเข้าชม : 1494





<< เจ้าหญิงเลนีอาร์   เจ้าชาย เจ้าหญิง และนิทานหลอกเด็ก >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account