ซีรี่ย์ ดอกไม้ หัวใจในควันปืน : ไฟซ่อนรัก

Tags: บู๊หน่อยๆโรมานซ์นิดๆ

ตอน: ตอนที่ ๑๖

ฉันทัชกวาดสายตามองฝ่าเปลวแดดร้อนระอุไปทั่วบริเวณเขตก่อสร้าง ที่กำลังจะกลายเป็นห้างสรรพสินค้าในอนาคต ชายหนุ่มมองความคืบหน้าของงานเพียงครู่ ก็หันไปสั่งกับคนงานคนหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้

“ไปตามลูกพี่ของนายให้ไปหาฉันหน่อยนะ”

“ครับ”

เมื่อคนงานรับคำแล้ว ฉันทัชก็เดินตรงไปยังตู้คอนเทรนเนอร์ที่ดัดแปลงเป็นสำนักงานชั่วคราว ซึ่งภายในมีความเย็นฉ่ำของเครื่องปรับอากาศกระจายอยู่ทั่วห้อง จากทีมวิศวกรที่เพิ่งพากันเดินออกไป

ชายหนุ่มถอดหมวกนิรภัยวางบนหลังตู้ใส่เอกสาร ก่อนเดินมาทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ทำงาน เปิดดูเอกสารที่วางบนโต๊ะได้ไม่กี่หน้า ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ ใบหน้ากร้านคล้ำแดดของหัวหน้าคนงานก็เปิดประตูก้าวเข้ามาภายใน

“คุณทัชเรียกผมหรือครับ”

ฉันทัชพยักหน้ารับพลางปิดเอกสาร
“นั่งก่อนสิ ผมมีเรื่องอยากจะถามนิดหน่อย”

“เรื่องอะไรครับ” ผู้สูงวัยกว่าเลื่อนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานนั่งลงด้วยท่าทีนอบน้อม

“ก็เรื่องปัญหาระหว่างคนงานของเรากับคนงานของพวกไพศาลกรุ๊ปน่ะสิ..ผมได้ข่าวว่า เมื่อคืนคนของเรามีเรื่องชกต่อยกับฝ่ายนั้นอีกแล้วเรอะ”

“..ครับ..”

“แล้วคราวนี้สาเหตุมันมาจากอะไร”

“คือ..ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ”

ฉันทัชนิ่วหน้า
“หมายความว่าไง..จู่ๆคนของเราไปมีเรื่องกับคนอื่นโดยไร้เหตุผลเรอะ”

“มันก็ไม่เชิงว่าไม่มีเหตุผลหรอกครับ เพียงแต่เหตุผลของพวกมันฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจเท่านั้นเอง” หัวหน้าคนงานพยายามพูดเพื่อปกป้องบรรดาลูกน้อง แต่เมื่อเห็นสายตาคมกริบจ้องเขม็งของเจ้านายหนุ่ม ทำให้เขาต้องรีบอธิบายเพิ่มเติม “คือ.. คุณก็รู้ว่าคนของเรากับฝ่ายนั้นน่ะเขม่นกันอยู่ก่อนแล้ว..แล้วเมื่อคืนคนของเรานั่งกินเหล้าอยู่ที่ร้านประจำของพวกมันนั่นล่ะ แต่มีคนของพวกนั้นเข้ามานั่งกินในร้านด้วย..ก็คงจะเหล่กันไปเหล่กันมา จนมีเรื่องกันนั่นล่ะครับ”

“สรุปก็คือ คนของเราตีกับพวกนั้นเพียงแค่ อีกฝ่ายเป็นคนของไพศาลกรุ๊ปใช่ไหม”

“มันไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ คุณทัช”

“ทำไมจะไม่ใช่ เวลาที่คนงานของเราเจอกับพวกคนงานของบริษัทอื่นไม่เคยเห็นมีเรื่องกันสักครั้ง แต่พอเจอกับพวกไพศาลกรุ๊ปกลับตีกันทุกที แล้วแบบนี้จะไม่ให้ผมคิดได้อย่างไง ว่าเราจ้องจะมีเรื่องกับฝ่ายนั้นน่ะ”

ฉันทัชถามเสียงเข้ม หัวหน้าคนงานแค่นยิ้มแหย
“ก็..มันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้นะครับ”

“มันเป็นเหตุบังเอิญที่ยอมรับไม่ได้..คุณก็รู้ว่าตอนนี้เรากำลังเป็นที่สงสัยของฝ่ายนั้นอยู่ แล้วผมก็เคยสั่งคุณแล้วนะ ว่าอย่าให้คนของเราไปก่อเรื่องอะไรอีก”

“พวกมันแค่ออกไปกินเหล้ากันตามประสานะครับ แต่พวกนั้นต่างหากล่ะที่เป็นฝ่ายมาหาเรื่องเรา”
น้ำเสียงแข็งกร้าวที่โต้กลับของหัวหน้าคนงาน ทำให้ฉันทัชยิ่งหงุดหงิด

“ถ้าอย่างนั้นผมก็ขอออกคำสั่งใหม่ ให้คุณไปกำชับพวกลูกน้องของคุณ ให้หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับพวกไพศาลกรุ๊ปในทุกๆทาง..ไม่ว่าจะซื้อของหรือกินข้าว ถ้าเจอพวกนั้นเข้ามาในร้านเดียวกันให้เดินออกไปหาร้านใหม่ทันที และถ้าอยากจะกินเหล้า ก็ให้กินกันในแคมป์คนงาน ห้ามออกไปเพ่นพ่านข้างนอกเด็ดขาด”

ซึ่งใจจริง ฉันทัชอยากจะสั่งห้ามไม่ให้ดื่มเหล้ากันเสียด้วยซ้ำไป เพราะรำคาญกับเรื่องทะเลาะเบาะแว้งที่มีเหล้าเป็นสาเหตุ แต่ขืนออกคำสั่งเช่นนั้น พวกคนงานคงพากันลงแดงตายหรือไม่ก็ลาออกกันหมด..ในเมื่อ เหล้า ได้เข้ามาเป็นปัจจัยสำคัญของชีวิตคนงานจนตัดขาดจากกันไม่ขาดเสียแล้ว

“ทำไมคุณต้องกลัวพวกนั้นจนยอมลงให้ถึงขนาดนี้ด้วย..คุณคณินยังไม่เคยตั้งกฎอะไรเข้มงวดขนาดนี้กับพวกเราเลย” หัวหน้าคนงานโต้กลับอย่างหัวเสียต่อกฎข้อบังคับอันแสนขี้ขลาดของชายหนุ่ม

ฉันทัชลุกพรวดพร้อมตบโต๊ะเสียงดังสนั่นกับน้ำอดน้ำทนที่แทบไม่มีเหลือ
“ก็เพราะว่าคุณคณินไม่เคยทำอะไรเลยน่ะสิ เรื่องมันถึงได้เลยเถิดมาจนขนาดนี้..แล้วไอ้ที่ผมสั่งไปเนี่ยไม่ใช่ว่าผมจะขี้ขลาดตาขาวอย่างที่คุณคิด และผมก็ไม่สนใจด้วยว่า คำสั่งของผมมันจะทำให้ศักดิ์ศรีของพวกคุณถูกลดทอนลงไปแค่ไหน เพราะผมมองแต่ความอยู่รอดของบริษัท ซึ่งคุณอาจจะมองไม่เห็น ว่าในแต่ละครั้งที่เรามีเรื่องกับพวกไพศาลกรุ๊ปน่ะมันทำให้ชื่อเสียงของเราย่ำแย่ลงไปแค่ไหนในสายตาของคนทั่วไป ซึ่งตอนนี้เราก็มีแต่ข่าวพวกนี้ถี่ยิบ แล้วแบบนี้จะมีใครอยากจะจ้างเราทำงานให้ล่ะ ในเมื่อพวกเขามองเราเป็นแก๊งอันธพาลไปแล้ว..และเมื่อไม่มีงาน บริษัทก็ไม่จำเป็นต้องจ้างพวกคุณ คุณพอจะมองภาพออกรึยัง ว่าไอ้จุดเล็กๆที่คุณคิดว่าไม่สำคัญน่ะ แต่ที่จริงแล้ว มันสามารถทำให้เราจบเห่ได้ง่ายๆอย่างที่คุณคิดไม่ถึงเชียวล่ะ แล้วอีกอย่าง บริษัทนี้ไม่ได้มีสายป่านยาวเหยียดหรือยิ่งใหญ่อย่างพวกไพศาลกรุ๊ป มันจึงเป็นการกระทำที่โง่มาก หากคุณคิดจะพุ่งชนอีกฝ่าย ซึ่งฝ่ายเรานั่นล่ะที่จะถูกบดละเอียด ในขณะที่อีกฝ่ายอาจจะแค่ระคายผิวเท่านั้น..เพราะฉะนั้น หากไม่อยากกอดคอกันตายห่ายกแก๊ง ก็ขอให้ทำตามที่ผมสั่งซะ เข้าใจไหม”

หัวหน้าคนงานอ้าปากค้าง นิ่งงันกับอารมณ์เกรี้ยวกราดของเจ้านายหนุ่ม และรีบพยักหน้าหงึกหงัก
“คะ..ครับ..เข้าใจครับ”

ฉันทัชพ่นลมหายใจฟืด
“ถ้าเข้าใจแล้วก็ดี ผมจะได้ไม่ต้องเสียเวลาหาหัวหน้าคนงานใหม่”

คนฟังกล้ำกลืนน้ำลายลงคอ
“เข้าใจแบบแจ่มแจ้งเลยครับ คุณทัช”

“ผมมีเรื่องกับคุณเท่านี้ล่ะ ไปได้แล้ว”

“ครับ”
ร่างสูงใหญ่รับคำ พร้อมรีบลุกออกไปจากห้อง

ฉันทัชทิ้งตัวพิงหลังกับพนักเก้าอี้พลางถอนใจอีกเฮือก
“เมื่อไหร่ไอ้เรื่องบ้าๆนี่ถึงจะจบเสียทีวะ” แล้วก็เปิดเอกสารที่อ่านค้างเมื่อครู่มาดูต่อ โดยไม่รู้ว่า หลังจากที่หัวหน้าคนงานเดินออกมาแล้ว เขาก็เหลียวมองหามุมสงบเพื่อต่อโทรศัพท์รายงานเรื่องนี้กับก้องภพ

“คุณทัชสั่งแบบนั้นกับนายเรอะ” ก้องภพไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่หัวหน้าคนงานเพิ่งรายงานมา

“จริงๆครับ ถ้าผมไม่ทำตามคำสั่ง คุณทัชคงไล่ผมออกแน่ๆ”

“คุณทัชก็แค่ขู่ไปอย่างนั้นเองล่ะมั้ง” ก้องภพยังพยายามปลอบไว้

“แต่ท่าทางที่ผมเห็นเมื่อกี้ ผมเอาหัวเป็นประกันเลยนะครับ ว่าคุณทัชเอาจริงแน่..ผมก็เลยโทรมาบอก ว่าคงทำตามที่คุณขอไม่ได้แล้วล่ะครับ”

“นายจะยอมทิ้งเงินก้อนที่ได้มาฟรีๆเรอะ..ไม่เอาน่า นายคงไม่คิดจะทำอย่างนั้นจริงๆใช่ไหม”

หัวหน้าคนงานลังเลด้วยความเสียดาย เมื่อคิดถึงเงินหมื่นที่จะได้จากก้องภพเป็นค่าตอบแทนในแต่ละครั้งที่เขาสามารถทำให้ลูกน้องไปมีเรื่องกับคนงานของไพศาลกรุ๊ป ซึ่งก้องภพยื่นข้อเสนอให้เมื่อหลายปีก่อน โดยชายหนุ่มบอกว่า สิ่งที่เขาทำจะทำให้ชนาธิปเห็นความสำคัญของคณินมากขึ้น ซึ่งเขาก็มองไม่ออกว่าหากเขาทำเช่นนั้นมันจะเป็นการช่วยเหลือคณินตรงไหน แต่ก้องภพก็สามารถพูดจนเขามองข้ามความสงสัยนั้น และยอมทำตามคำแนะนำของก้องภพ โดยการให้เขาเป่าหูบรรดาลูกน้องให้มองคนงานของพวกไพศาลกรุ๊ปเป็นอริ เมื่อบรรดาคนงานฟังคำพูดลวงล่อ ชักจูงของเขากรอกหูอยู่ทุกวัน จนในที่สุด อคติภายในใจค่อยก่อกำเนิดจนชักนำไปสู่เหตุทะเลาะเบาะแว้งสมใจ และเขาก็ได้รับรางวัลจากก้องภพทุกครั้ง ซึ่งเงินที่ได้รับถือว่าเป็นจำนวนที่เยอะทีเดียวสำหรับเขา นับจากนั้นเขาจึงแอบทำตามคำสั่งของก้องภพเรื่อยมา เพราะไม่เห็นถึงผลกระทบใดๆ ก็แค่เรื่องทะเลาะวิวาทกันธรรมดาๆ แล้วอีกอย่างก็สามารถช่วยเหลือคณินผู้ที่เป็นเจ้านายคนเก่าคนแก่ตั้งแต่ก่อนที่ ฉันทัชจะเข้ามาคุมงานร่วมกับคณินเสียอีก

แต่ในขณะนี้..ดูเหมือนสิ่งที่เขาทำลงไป มันจะไม่ใช่เรื่องเล็กๆอย่างที่ก้องภพบอกเขาเสียแล้ว

“ไอ้เงินน่ะ ผมก็เสียดายอยู่หรอกครับ แต่ถ้าขืนผมยังทำต่อไป คุณทัชต้องรู้แน่ๆว่าผมเป็นคนยุยงเจ้าพวกนั้น..ผมไม่อยากเสี่ยงหรอกครับ”

ก้องภพนิ่งไปอึดใจ ก่อนจะเอ่ยออกมาอีกครั้ง
“แย่จริงๆ ฉันนึกว่านายจะภักดีกับคุณคณินมากกว่านี้เสียอีก”

“ก็เพราะว่าผมภักดีต่อคุณคณินยังไงล่ะครับถึงยอมทำตามที่คุณบอก..แต่จนป่านนี้ผมก็ยังไม่เห็นเลยว่าสิ่งที่ผมทำลงไปมันช่วยคุณคณินได้อย่างไร มีแต่ทำให้เรื่องมันแย่ลงเสียมากกว่า”

“มันสมองระดับนาย ไม่มีทางรู้หรอกว่าเรื่องนี้มันช่วยอะไรได้บ้าง” ก้องภพพูดน้ำเสียงดูหมิ่น

“หมายความว่าอย่างไง..นี่คุณจะด่าว่าผมโง่เรอะ” หัวหน้าคนงานถามกลับอย่างฉุนเฉียว

“อย่าหาเรื่องกันน่า เอาล่ะ..ถ้านายไม่อยากทำแล้วก็ตามใจ แต่อย่าพูดเรื่องนี้กับใครล่ะ เพราะยังไงก็คงไม่มีใครเชื่อหรอก มันรังแต่จะทำให้นายเดือดร้อน”

“ผมรู้แล้วล่ะน่า งั้นแค่นี้ล่ะ”
พูดจบ หัวหน้าคนงานตัดสัญญาณทันที ไม่คิดจะกลัวคำพูดที่แฝงคำข่มขู่แม้แต่น้อย เพราะหากก้องภพคิดกลั่นแกล้งเขาล่ะก็ เขาจะนำความลับนี้ไปบอกฉันทัช และเชื่อแน่ว่าฉันทัชที่มีอคติกับก้องภพจะต้องเชื่อในคำพูดของเขา และถึงแม้จะไม่เชื่อ ก็คงต้องมีระแวงกันบ้างล่ะ

เมื่อคิดได้ดังนั้น หัวหน้าคนงานก็เดินสบายใจกลับไปทำงานของตนต่อ ในขณะที่ฝ่ายก้องภพต่อโทรศัพท์หาสิทธิโชค
“พี่โชค เรามีปัญหานิดหน่อย”

“หวังว่าคงไม่ใช่ปัญหาใหญ่นะ”

“ม้าใช้ของเราตัวนึงมันเกเร ไม่ยอมทำงานครับ”

สิทธิโชคหัวเราะในลำคอ
“อันนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่..แค่หาตัวใหม่มาทำงานก็หมดเรื่อง”

“แล้วตัวเก่าล่ะครับ”

“ก็กำจัดมันทิ้งเสียสิ !”


และในเช้ามืดวันต่อมา..
เด็กหนุ่มคนงานเปิดประตูห้องพักของหัวหน้าคนงานเข้าไปหลังจากที่ตะโกนเรียกอยู่หลายนาที และอึดใจต่อมา เด็กหนุ่มก็แหกปากลั่น เมื่อเห็นร่างของลูกพี่นอนแข็งทื่อบนเตียงเล็กที่ค่อนข้างรกรุงรังด้วยกองเสื้อผ้า ดวงตาทั้งคู่เบิกโพลงเนื้อตัวเย็นเฉียบไร้ลมหายใจ แขนข้างหนึ่งห้อยตกข้างเตียงโดยมีขวดเหล้าขาวที่เหลือครึ่งขวดล้มหกเรี่ยพื้น..ความโกลาหลบังเกิดขึ้นในฉับพลัน เมื่อบรรดาคนงานต่างพากันมามุงดูศพและส่งเสียงถามกันดังแซงแซ่ จนในที่สุดก็รู้ถึงสาเหตุการตายของลูกพี่ว่า ถูกงูพิษกัด!

...........


ราโมน่าลืมตาขึ้นมองแสงของดวงอาทิตย์ที่ลอดผ่านม่านกรองแสงผืนบางเข้ามาตกทาบชุดนอนยี่ห้อแบรนด์ดัง สีเขียวเช่นเดียวกับสีตาของเธอวางพาดบนโซฟา ซึ่งเป็นชุดที่อนาวินซื้อให้เมื่อค่ำคืน และมันก็ช่างแสนบางเบาจนแทบพรางสายตาไม่ได้เลย แต่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นที่ถูกอกถูกใจสำหรับผู้ซื้อที่มองตาไม่กะพริบเลยทีเดียวยามที่ชุดนี้สวมอยู่บนร่างเธอ และในไม่กี่นาทีต่อมา เขาก็เป็นคนถอดมันพ้นออกไปจากร่างของเธอ

สายตาของหญิงสาวยังคงอยู่ที่เดิมพลางไล้ปลายนิ้วลูบเล่นกับลำแขนแกร่งที่พาดโอบเอว เพียงอึดใจ ร่างหนาอบอุ่นที่ซ้อนอยู่ด้านหลังเริ่มขยับตัวพร้อมกระชับวงแขนให้ร่างของเธอแนบชิดยิ่งขึ้น และมีเสียงงึมงำดังในลำคอยามเจ้าตัวเกลือกกลิ้งใบหน้าซุกไซ้กับกลุ่มผมยาวของเธอก่อนจะสงบนิ่ง มีเพียงลมหายใจผ่าวร้อนที่เป่ารดอย่างสม่ำเสมอบนศีรษะของเธอ หญิงสาวอมยิ้มกับตัวเองและปล่อยช่วงเวลาแห่งความสุขให้ผ่านเลยอย่างเชื่องช้า แต่ในที่สุด..เธอจำต้องลุกขึ้นจากเตียง โดยพาร่างออกจากวงแขนที่โอบกอดอย่างแผ่วเบาที่สุด ซึ่งดูเหมือนว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เมื่อเจ้าของร่างไม่คิดจะปล่อยเธอไปง่ายๆ

“เช้านี้โม้นาไม่มีงานนี่นา จะรีบลุกไปไหนล่ะครับ”
อนาวินถามน้ำเสียงงัวเงีย และยังหลับตา

“โม้นาจะทำอาหารเช้าให้พี่จิลทานค่ะ”

คราวนี้อนาวินลืมตาขึ้นมองคนพูดที่กำลังแย้มยิ้ม มั่นอกมั่นใจ
“ทำเป็นเหรอ”

“อย่าดูถูกกันสิคะ รับรองว่าโม้นาทอดไข่ไม่ไหม้หรอก”

“ไม่ไหม้ หรือว่า ไหม้ไหม้ กันแน่” เขาต่อให้อย่างยั่วเย้า ซึ่งเธอก็ค้อนใส่ตาเสียหนึ่งขวับ

“ชิมแล้วจะติดใจ”

หญิงสาวผลักมือเขาให้พ้นจากตัวได้แล้ว และทำท่าจะลุกจากเตียงแต่ก็ต้องชะงักเมื่อนึกขึ้นได้ว่าทั้งเนื้อตัวเธอไม่มีผ้าติดกายสักชิ้น และมองมาที่เขาซึ่งกำลังอมยิ้มอย่างผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า ราโมน่ามองสบตาเขา และพบว่าตนเองกำลังถูกท้าทาย..เธอหยัดยิ้มอย่างสาวทรงเสน่ห์ ซึ่งเคยใช้มันในการแสดงเพื่อยั่วยวนนักแสดงชายที่มีบทคู่กับเธอ แต่สำหรับครั้งนี้ เธอไม่ได้เสแสร้งไปตามบท แต่ทุกการกระทำมันออกมาจากหัวใจและความรู้สึกที่แท้จริง โดยมีแรงกระตุ้นมาจากผู้ชายที่กำลังอยู่ตรงหน้าคนนี้..ผู้ชายเพียงคนเดียวที่เธออยากจะทำทุกอย่างให้เขามีความสุขมากที่สุดเท่าที่ผู้หญิงอย่างเธอจะสามารถให้ได้

อนาวินทอดถอนใจยาวยามร่างขาวผ่องค่อยถดถอยพ้นจากผืนผ้าห่ม เผยความงดงามอันไร้ที่ติของเรือนร่างอิสตรีกระจ่างชัดด้วยแสงแดดละมุนที่โอบล้อม ซึ่งแม้ว่าเขาจะรู้จักเรือนร่างนี้ทั่วทุกตารางนิ้วแล้ว แต่ความปรารถนาที่จะครอบครอง ชื่นชมเรือนร่างของเธอไม่ได้ลดน้อยถอยลงไปเลย และดวงตาสวยคมหวานที่ตวัดมองทางหางตาราวกับเชิญชวนนั้น มันแทบทำให้เขากระโจนเข้าหาเลยทีเดียว แต่ราโมน่ากลับหัวเราะคิกเผ่นแผล็วหนีเข้าห้องน้ำอย่างไว ชายหนุ่มจึงทิ้งตัวกลับลงนอนอีกครั้งด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มระคนเสียดาย สายตายังคอยมองอยู่ที่บานประตูห้องน้ำตลอดเวลา และไม่อยากตามเข้าไปขัดจังหวะช่วงเวลาอันสุนทรีย์ยามอาบน้ำของเธอ

ราโมน่ากลับออกมาจากห้องน้ำในชุดคลุมอาบน้ำ และปรายสายตามองชายหนุ่มที่นอนคว่ำหน้ามองเธอบนเตียงอย่างเฝ้ารอ หญิงสาวอมยิ้มและเดินผ่านสายตาของเขาไปยังห้องแต่งตัวเลื่อนเปิดตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ ซึ่งพื้นที่ภายในนอกจากจะมีเสื้อผ้าของเขาแล้ว ยังแบ่งที่สำหรับเสื้อผ้าของเธอ ซึ่งเขาเป็นคนเลือกซื้อไว้ให้ทุกชิ้น ซึ่งนั่นก็รวมทั้งชุดชั้นในและชุดนอนที่แสนวาบหวิวอีกหลายชุดด้วย และไม่ใช่เพียงแค่เสื้อผ้าเท่านั้นที่เขาจัดเตรียมไว้ให้ แต่ยังมีของใช้ส่วนตัวอื่นๆทั้งครีมทาผิวและเครื่องสำอางยี่ห้อเดียวกับที่เธอใช้เป็นประจำ..เขาทำราวกับว่า ห้องนี้เป็นห้องของเธอร่วมด้วยอีกคน

แม้ว่าเธอจะคอยย้ำเตือนตนเอง ให้เหนี่ยวรั้งความรู้สึกไม่ให้ผูกพันกับเขามากไปกว่านี้ แต่ในทางปฏิบัติ เธอไม่อาจต้านทานอะไรในตัวเขาได้เลย ในเมื่อเขาทั้งอ่อนโยนและอ่อนหวาน คอยเอาอกเอาใจไปสารพัด หัวใจของเธอก็ยิ่งถลำลึกอย่างฉุดไม่อยู่..ได้แต่เฝ้าอ้อนวอนต่อพระผู้เป็นเจ้า ขอให้ความเลวร้ายที่เธอหวาดกลัวยามต้องแยกจากเขานั้น อย่าได้มาถึงเร็วนักเลย

หญิงสาวเลือกหยิบกางเกงขาสั้นกับเสื้อกล้ามมาสวม และเมื่อมองไปรอบๆ เธอยังเห็นตู้เสื้อผ้าอีกหลายใบที่ไม่เคยเปิด เป็นเพราะตัวเขานั่นล่ะที่เกาะติดอยู่กับเธอจนแทบไม่มีเวลาไปใส่ใจอย่างอื่นเลย และครั้งนี้มีโอกาสแล้ว เธอจึงลองเปิดดูในแต่ละตู้ว่ามีอะไรบ้าง ซึ่งตู้แต่ละใบใช้เป็นที่เก็บแอสเซสเซอรี่ต่างๆของเขาจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบและมีมากมายไม่ต่างจากเครื่องใช้ของเธอเลยทีเดียว..และชั้นบนของตู้ใบสุดท้าย เธอเห็นหนังสือนิตยสารวางเรียงกันเป็นตั้ง จึงลองเอื้อมมือไปหยิบมันมาดู แล้วก็เห็นว่าเป็นนิตยสารที่เธอขึ้นปก และมันไม่ใช่เพียงแค่เล่มนี้เท่านั้น แต่นิตยสารทั้งตั้งนั้น ล้วนแต่เป็นภาพที่เธอขึ้นปกทุกเล่ม

อนาวินนิ่วหน้าอย่างสงสัย เมื่อเห็นว่าราโมน่าหายเข้าไปในห้องแต่งตัวนานเกินไปแล้ว
“โม้นา..ทำอะไรอยู่ครับ”

และเมื่อเรียกแล้ว แต่ไม่มีเสียงตอบรับ เขาจึงลุกจากเตียงคว้าเสื้อคลุมมาสวมก่อนเดินเข้าไปยังห้องแต่งตัว พลางเรียกอีกครั้งขณะก้าวเข้าไป

“โม้นา”

และเห็นผู้ที่กำลังตามหานั่งไขว่ห้างบนโซฟา ก้มหน้าพลิกนิตยสารบนตักอย่างสนใจโดยที่พื้นข้างตัวนั้นยังมีนิตยสารอีกหลายเล่มวางเกลื่อน

ราโมน่าที่เพิ่งจะได้ยินเสียงเรียกจากอนาวินเมื่อครู่เงยหน้าขึ้นมาจากนิตยสาร และเห็นเขากำลังมองมาพอดี ด้วยท่าทีอึ้งเล็กน้อยอย่างคาดไม่ถึงว่าเธอจะมาเห็นความลับของเขา ซึ่งมันทำให้เธออดภูมิใจไม่ได้ว่า ไม่ใช่เพียงแค่เธอเท่านั้นที่หลงชื่นชมเขามานาน แต่ตัวเขาเองก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกับเธอมานานแล้วเช่นกัน

“อุ๊บ!”
รอยยิ้มล้อเลียนเกลื่อนชัดบนดวงหน้าสวย ยามที่ปิดนิตยสารในมือยกขึ้นชูใกล้กับหน้าของเธอ

“..อุ๊บ..”
อนาวินเลียนแบบเสียงเธอด้วยใบหน้าที่ออกสีเข้มขึ้นอย่างขัดเขินกับหลักฐานในมือของเธอและอีกหลายเล่มที่วางเกลื่อนพื้น ก่อนพยายามตีหน้าขรึมเดินเข้าไปใกล้

“มาเที่ยวซนค้นข้าวของอยู่นี่เอง ไหนบอกว่าจะทำอาหารเช้าให้พี่ไงล่ะ”

“อืมม์..เผอิญโม้นาเจออะไรที่น่าสนใจมากๆ ก็เลยลืมไปชั่วขณะค่ะ” และรอยยิ้มยั่วเย้าก็ยังไม่หายไปจากใบหน้างดงาม “แปลกนะคะ ที่หนังสือพวกนี้มีแต่รูปของโม้นาทั้งนั้นเลย”

ชายหนุ่มรู้สึกถึงความร้อนวูบวาบกระจายทั่วใบหน้าจึงขึงตาใส่คนพูดเป็นการกลบเกลื่อนอาการ ก่อนดึงนิตยสารในมือของเธอที่ขึ้นปกในชุดว่ายน้ำมาถือเสียเอง พูดอย่างขึงขัง
“รู้อะไรไหม นี่น่ะเป็นสมบัติล้ำค่าของพี่ที่ห้ามยุ่งเด็ดขาด เข้าใจไหมยัยเด็กจอมซน” พร้อมโน้มตัวลงปัดนิ้วบนปลายจมูกโด่งของราโมน่า ให้เจ้าตัวหัวเราะเสียงใส ก่อนขยับตัวลุกขึ้นยืน

“โอเค โม้นาไม่สนใจสมบัติของพี่จิลแล้ว..โม้นาไปทำอาหารเช้าดีกว่า”

“ให้ไวเลย ก่อนพี่จะเปลี่ยนใจกินโม้นาเป็นอาหารเช้าแทน”
และทำท่าคุกคาม หญิงสาวรีบถอยกรูดทำน้ำเสียงจิ๊จ้ะ แต่สายตาที่มองเขานั้นแสนฉ่ำหวานยามหันร่างเดินออกจากห้องแต่งตัว


อนาวินอาบน้ำ แต่งตัวด้วยชุดลำลองเดินไปหาราโมน่าในครัว ซึ่งหญิงสาวทำอาหารเช้าเสร็จแล้ว และกำลังจัดเรียงไข่ดาว แฮม เบค่อนและไส้กรอกใส่จานให้ออกมามีหน้าตาที่น่าทานพอตัว

“เป็นไงคะ ไม่ไหม้ด้วย”
เธอยกจานอาหารเช้าอวดเขา

“ครับ ไม่ไหม้”
อนาวินตอบรับด้วยรอยยิ้มพลางหยิบจานอาหารทั้งสองจานถือมาวางบนโต๊ะเล็กภายในครัวที่ราโมน่าจัดเตรียมมีดส้อมไว้แล้ว

ราโมน่าหยิบขนมปังออกจากเครื่องอบใส่จาน ก่อนหันมารินกาแฟร้อนให้อนาวิน ในขณะที่ของเธอเป็นน้ำส้มคั้นและนมสด

หลังอาหารเช้าอันแสนสุขผ่านไป..สองหนุ่มสาวเคลื่อนตัวไปยังห้องนั่งเล่น ที่อนาวินเปลี่ยนให้เป็นห้องเล่นเกมเสมือนจริงและชักชวนให้ราโมน่าร่วมเล่นกับเขา ซึ่งมันเรียกเสียงหัวเราะได้มากมายจากหญิงสาว เมื่อคิดว่าเขาทำให้เธอหวนกลับไปเป็นเด็ก ที่ไม่ต้องรับผิดชอบภาระใดๆอีกครั้ง จนกระทั่ง..ราโมน่าเหนื่อยหอบจากการวิ่งไปวิ่งมา บางครั้งก็กระโดดโลดเต้น และเหนื่อยกับการหัวเราะจากการเล่นเกมที่ไม่เอาไหนของตน

ร่างอวบอิ่มทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตัวใหญ่ เอนทั้งหลังและศีรษะพิงพนักนุ่มอย่างอ่อนเพลีย แต่รอยยิ้มยังคงค้างบนใบหน้า ในอึดใจต่อมา อนาวินก็ตามเข้ามานั่งข้างกายในลักษณะเดียวกับเธอ
“สนุกใช่ไหมล่ะ”

“ค่ะ สนุกดี” เธอตอบพลางขยับเอียงร่างมาอิงศีรษะซบไหล่เขา และอนาวินเอียงศีรษะอิงกับศีรษะของเธอ ปล่อยให้เวลาผ่านไปเงียบๆ จนกระทั่ง อนาวินเลื่อนมือมาวางบนหน้าขาของเธอพร้อมลูบเบาๆ

“วันนี้โม้นาไม่ต้องกลับบ้านได้ไหมครับ”

ราโมน่าหันมองสบสายตาวิงวอนที่ทำให้หัวใจเธอแทบอ่อนยวบ และต้องใช้ความพยายามอย่างหนักในการปฏิเสธ
“โม้นาไม่ได้กลับบ้านมาสองอาทิตย์แล้วนะคะ..โม้นาไม่อยากให้คุณลุงสงสัย”

อนาวินถอนใจเฮือก..ใช่ เธอไม่ได้กลับไปทานข้าวเย็นร่วมกับสมาชิกในบ้านของเธอได้สองอาทิตย์แล้ว โดยอาทิตย์แรก เธอติดงานแสดงละครจริงๆ แต่ในอาทิตย์ต่อมา เขาขอร้องให้เธอโกหกว่าติดงานอีกเช่นกันเพื่อที่เธอจะได้อยู่กับเขา..เพราะการที่ทั้งคู่เป็นคนมีชื่อเสียงในวงสังคมและเหตุความขัดแย้งของสองตระกูลทำให้จำต้องคบหากันแบบหลบๆซ่อนๆ มันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะหลบสายตาผู้คนมาพบกันได้ และตัวเขากับเธอต่างก็มีงานรัดตัว ทำให้หาเวลามาพบเจอยากยิ่งขึ้น จะมีแค่บางคืนเท่านั้นที่พอจะมีเวลามาพบกัน ให้เขาและเธอได้ตักตวงความสุขซึ่งกันและกันในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ก่อนจะแยกย้ายกันกลับสู่สังคมจอมปลอมที่ทั้งเขาและเธอต้องแสดงภายใต้หน้ากากของคำว่า อริ ต่อกัน

“รู้ไหม คำตอบของโม้นาทำให้พี่เสียใจมากนะ เพราะฉะนั้น..โม้นาคงต้องปลอบใจพี่อย่างหนักเชียวล่ะ”

ราโมน่าอมยิ้มกับแววตากรุ้มกริ่ม ฝ่ามือที่ลูบไล้บริเวณหน้าขาเริ่มซุกซนเรียกร้อง เธอจึงเลื่อนตัวเองขึ้นไปนั่งเกยคร่อมบนท่อนขาแข็งแกร่ง โน้มใบหน้าใกล้กับหน้าเขา พลางกระซิบ

“นั่นสินะ คงต้องปลอบใจกันอย่างหนัก จริงๆ”

และทาบทับริมฝีปากลงอย่างอ้อยอิ่ง ดื่มด่ำในรสจูบที่ไม่เคยเบื่อหน่าย ปลดปล่อยอารมณ์ให้โลดแล่นไปตามจังหวะแห่งห้วงเสน่หาที่จะผูกพันทั้งเขาและเธอต่อไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุด


...........

เสียงหัวเราะสดใสระหว่างราโมน่ากับอรดีดังแว่วมาจากในครัว ทำให้ร่างของฉันทิกาที่กำลังเดินผ่านชะงัก และอดที่จะลอบมองเข้าไปภายในอย่างเสียไม่ได้ และเห็นว่าทั้งสองสาวกำลังช่วยกันทำกับข้าวอะไรสักอย่าง ร่วมกับบรรดาแม่ครัวซึ่งกำลังตระเตรียมอาหารสำหรับมื้อเย็น

สายตาของเธอยังคงจับจ้องหลานสาวของสามีอย่างจับผิด และสังเกตว่า ช่วงระยะเวลาเกือบเดือนที่ไม่เห็นหน้ากัน ราโมน่านั้นดูจะผุดผาดสวยขึ้นผิดหูผิดตา ดวงตาสดสวยส่องประกายเจิดจ้าราวกับกำลังมีความสุขสุดล้น ทั้งๆที่บอกว่ามีงานรัดตัวจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน..ความระแวงเริ่มกลับเข้ามาคุกคามรุมเร้าอีกครั้ง เมื่อโยงเข้ากับสามีที่ในระยะหลังมานี่ เขามักจะกลับบ้านดึกดื่นค่อนคืน และทุกครั้งก็จะอ้างเรื่องงานเสมอ เธอเองก็อยากจะเชื่อใจเขา แต่อะไรหลายๆอย่างมันคอยกระตุ้นให้เธออดที่จะหวาดระแวงไม่ได้

และขณะที่กำลังจับจ้อง เสียงของเด็กรับใช้เอ่ยทักดังมาจากด้านหลัง
“คุณผู้หญิงคะ”

ฉันทิกาสะดุ้งเฮือก ก่อนหันไปดุ
“แย่จริง! ยัยตานี่เอง เข้ามาไม่ให้ซุ่มให้เสียงแบบนี้ เดี๋ยวฉันก็หัวใจวายตายกันพอดี”

หญิงสาวผู้ถูกต่อว่าเก็บซ่อนความไม่พอใจ ก่อนก้มหน้าทำเสียงสลด
“ขอโทษค่ะ หนูแค่จะเข้าไปช่วยแม่ทำกับข้าว..แต่คุณผู้หญิงขวางทางอยู่ หนูก็เลย..”

“เอาล่ะๆ จะไปทำอะไรก็ไป” ฉันทิกาโบกมือว่อน ก่อนเป็นฝ่ายเดินไปเสียเอง

แววตามองตามอย่างเข่นเขี้ยว
‘ฉันจะไม่ยอมทนเป็นขี้ข้าให้แกโขกสับอยู่แบบนี้ไปตลอดชีวิตหรอก ฮึ! ’

แล้วก็หันเดินเข้าครัว จำใจทำงานที่ตนเองต้องทำอย่างไม่มีทางเลือก..เพราะความยากจน แม่ของเธอละทิ้งท้องนาในต่างจังหวัด ทิ้งให้เธออยู่กับตา-ยายเข้ามาทำงานในเมืองหลวงตามคำชักชวนของเพื่อนและคอยเจียดเงินส่งให้ตา-ยายสม่ำเสมอ แต่กระนั้นก็ยังไม่ค่อยพอใช้ เพราะยายนั้นป่วยกระเสาะกระแสะต้องคอยหาหมอตลอดเวลา และเมื่อเธอเรียนจบประถมหก ก็ไม่ได้เรียนต่อเหมือนเด็กคนอื่นๆ ต้องออกมาทำงานรับจ้างช่วยตาหาเงินอีกแรงอยู่หลายปี

จนเมื่อสามปีก่อน แม่ของเธอนำเงินไปให้ตาอีกก้อนและรับเธอมาทำงานด้วยกัน ซึ่งในตอนแรกเธอดีใจมากเมื่อคิดว่าจะมีงานสบายๆ เงินดีๆให้ทำได้มีกินมีเที่ยวหรือมีเงินซื้อของสวยๆงามๆเหมือนคนอื่น รวมทั้งบ้านสวยๆที่ไม่ใช่กระท่อมซ่อมซ่อผุพัง แต่พอรู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว แม่ของเธอเป็นเพียงคนรับใช้ ความฝันที่วาดไว้สวยหรูเป็นอันอันตรธานหายไปในพริบตา และเธอจำต้องยอมทนทำงานเป็นคนรับใช้เช่นเดียวกับแม่ของเธอตั้งแต่นั้นมา

“เอ้า มัวยืนทำอะไรอยู่ล่ะนังตา มาล้างผักให้แม่เร็ว แม่จะได้ไปทอดปลา”

เสียงของผู้ให้กำเนิดเอ่ยเร่ง ทำให้เธอจำต้องก้าวยาวๆเข้าไปหยิบผักมาล้างอย่างเสียไม่ได้ พลางชำเลืองมองราโมน่า กับอรดี ด้วยความอิจฉา ที่ทั้งสองคนนอกจากจะมีหน้าตาสะสวยแล้ว ยังเกิดมาบนกองเงินกองทอง ไม่ต้องกระเสือกกระสนดิ้นรนหาเลี้ยงปากท้องเช่นเธอ และมันเป็นแรงผลักดันให้เธอตั้งปณิธานไว้ว่า สักวัน เธอจะต้องมีชีวิตที่สวยหรูเหมือนๆกับทั้งสองคนนี้ให้จงได้!


ภายในห้องทำงาน..
ชนาธิปนั่งคุยอยู่กับลูกชายด้วยเรื่องทั่วไป และวนเวียนกลับมาสู่เรื่องงาน
“เรื่องที่ไม่ให้พวกคนงานออกไปกินเหล้านอกแคมป์น่ะ เราสั่งไปรึยัง”

ผู้เป็นลูกชายพยักหน้ารับ
“สั่งแล้วครับ แต่คงต้องย้ำคำสั่งใหม่อีกรอบ เพราะหัวหน้าคนงานดันถูกงูกัดตายวันที่ผมสั่งไปนั่นล่ะ..อะไรมันจะฟลุ๊คได้ขนาดนั้นก็ไม่รู้”

ฉันทัชส่ายหน้าไปมาด้วยอาการหงุดหงิดเล็กน้อย
“แต่ไม่ต้องห่วงหรอกพ่อ ผมให้คุณผดุงดูแลพวกนั้นไปก่อน จนกว่าจะหาหัวหน้าคนใหม่ได้..ก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว”

“ถ้าไม่มีปัญหาอะไรก็ดี ตอนนี้พ่อก็ยุ่งๆกับงานที่พม่าด้วย เราคอยจัดการเรื่องนี้กับลุงนินไปก็แล้วกัน”

ฉันทัชพ่นลมหายใจฟืดทันทีที่บิดาเอ่ยถึงคณิน
“ผมไม่เห็นลุงนินจะสนใจอะไรเลย เอะอะอะไรก็ให้นายก้องภพจัดการ..แบบนี้มันไม่ไหวนะพ่อ”

ชนาธิปเห็นความขุ่นเคืองแสดงออกมาชัดเจนบนใบหน้าของลูกชาย ที่เขาอยากจะให้ปรองดองทำงานร่วมกับผู้เป็นลุงให้ได้มากที่สุด แต่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นการประสานงานที่ล้มเหลว เมื่อลูกชายของเขาก็ไม่ใจเย็นพอที่จะโอนอ่อนเข้าหาผู้เป็นลุง ในขณะที่พี่ชายของเขาก็ไม่ค่อยจะให้ความร่วมมือเอาเสียเลย และคิดว่า รอให้เรื่องวุ่นวายมันคลี่คลายหรือรอให้เขามีเวลามากกว่านี้อีกสักหน่อย จะได้นั่งจับเข่าคุยกันสามคนให้รู้เรื่องกันไปเลย

ชนาธิปตบไหล่ลูกชายหนักๆ
“เอาน่า ลุงนินเขาก็เป็นอย่างนั้นล่ะ ไม่ต้องไปใส่ใจอะไรเขามากหรอก เราทำในส่วนของเราให้เต็มที่ก็พอแล้ว”

“ผมเข้าใจ ถึงได้พยายามไม่เข้าไปยุ่งกับเขาไงครับ..ขี้เกียจทะเลาะด้วย แค่เรื่องงานนี่ก็ประสาทจะกินแล้ว”
ผู้เป็นพ่อหัวเราะครืน กับสีหน้าเบื่อโลกของลูกชาย

นาทีต่อมา..ทั้งสองต่างเหลียวไปยังบานประตู เมื่อได้ยินเสียงเคาะเบาๆ ก่อนจะถูกเปิดออกด้วยมือของราโมน่าที่ก้าวเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม ตามด้วยร่างของอรดีที่เพียงชะโงกหน้าเข้ามาพร้อมเสียงใสแจ๋ว
“คุณอาขา ไปทานข้าวกันเถอะค่ะ วันนี้แอ้มกับพี่โม้นาลงมือทำอาหารกันสุดฝีมือเลยนะคะ รับรองอร่อยเลิศอย่าบอกใครเชียว”

น้ำเสียงและสีหน้านั้นคล้ายจะอวด แต่ก็ต้องหุบยิ้มฉับเมื่อฉันทัชเอ่ยขัด
“อย่าเสี่ยงนะพ่อ แบบนี้ ถ้าไม่ท้องเสียก็ท้องอืดชัวร์”

อรดีพาร่างปรี่ตรงเข้ามาหาญาติหนุ่มอย่างเอาเรื่อง
“พี่ทัชก็พูดเกินไป เคยกินฝีมือเค้าแล้วเหรอ”

และฉันทัชก็กอดอกโน้มตัวลงเล็กน้อย โต้กลับญาติผู้น้องสีหน้าขึงขัง
“ขนาดกาแฟที่เราชงให้พี่น่ะ ยังกินไม่ได้เลย แล้วอาหารเนี่ยก็คงไม่ต่างกันหรอก เฮอะ!”

อรดีหน้าเจื่อน นึกถึงกาแฟถ้วยล่าสุดที่เธออาสาชงให้เขาเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เพราะต้องการเอาใจเพื่อจะออดอ้อนขอให้เขาพาเธอกับกลุ่มเพื่อนสาวไปเที่ยวกลางคืน และด้วยอารามดีใจจึงไม่ทันมองอะไรให้ละเอียดถี่ถ้วน จึงกลายเป็นว่า เธอใส่เกลือที่คิดว่าเป็นน้ำตาลไปสองช้อนพูนๆลงไปในถ้วยกาแฟ..ผลสรุปที่ออกมาก็คือ ฉันทัชพ่นกาแฟอึกแรกที่ดื่มเข้าไปทิ้งอย่างเร็วจนเธอที่ยืนอยู่ใกล้หลบแทบไม่ทัน และคืนนั้น..เธอกับเพื่อนก็ชวดการไปเที่ยวกลางคืน

หญิงสาวยิ้มหวานจ๋อย “แหม! นั่นมันแค่ความผิดพลาดเล็กๆน้อยๆเท่านั้นเอง” และยื่นมือไปแงะมือใหญ่ของเขาออกจากแผงอกกว้างมาแกว่งเล่น “คราวนี้แอ้มไม่พลาดแล้ว ป้าสมใจการันตีได้” และยกแม่ครัวเอกของบ้านมาอ้าง ก่อนออกแรงฉุดดึงร่างเขาอย่างเอาใจ โดยหวังผลว่าเขาจะใจอ่อนยอมพาเธอกับเพื่อนไปเที่ยวในค่ำคืนนี้ “มาเร็วพี่ทัช เดี๋ยวอาหารเย็นหมด แล้วจะกินไม่อร่อยนะ”

ฉันทัชยอมก้าวตามแรงฉุดดึงของญาติสาว โดยมีรอยยิ้มของบิดากับราโมน่าที่เหลียวมองตาม

ราโมน่าหันกลับมาทางชนาธิปอีกครั้ง ซึ่งเดินมาหยุดข้างตัว ก่อนฝ่ามือใหญ่อบอุ่นจะยื่นมาลูบเบาๆกับศีรษะ พร้อมพูดด้วยความห่วงใย
“ไง โหมงานมากไปรึเปล่า เวลาพักผ่อนแทบไม่มีเลยนะเราน่ะ เพลาๆลงบ้างก็ได้ เดี๋ยวจะไม่สบายไปเสียก่อน”

“ก็..คงจะมีเยอะแค่ช่วงนี้ล่ะค่ะ..เดี๋ยวก็คงจะซาลงแล้ว”

ชนาธิปลดมือลงมาโอบไหล่หลานสาว ขณะพาก้าวเดินไปยังห้องอาหาร
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดี ช่วงนี้ลุงมีเรื่องยุ่งๆที่ต้องจัดการ คงดูแลอะไรเรามากไม่ได้..โม้นาอยู่คนเดียว ก็ต้องดูแลตัวเองให้ดีๆล่ะ บอกตรงๆ ว่าเห็นเราโหมทำงานหนักขนาดนี้ ลุงเป็นห่วงมากนะ”

“คุณลุงไม่ต้องห่วงค่ะ โม้นาจะดูแลตัวเองให้มากๆเลยค่ะ”

เธอยิ้มออกไปให้ดูสดใสที่สุดเท่าที่จะสามารถเสแสร้งได้ ขณะที่ภายในใจลึกๆนั้นกำลังแปลบปลาบกับจิตใต้สำนึกที่กำลังรุมกระหน่ำ ว่าเธอกำลังกระทำผิดมหันต์ที่ลักลอบคบหากับคนของศัตรู ซึ่งหากลุงของเธอรู้เรื่องนี้ คงเสียความรู้สึกกับเธอมากทีเดียว และนอกจากจะเสียความรู้สึกแล้วยังอาจลุกลามไปจนถึงขั้นเกลียดเธอก็เป็นได้

และเธอก็ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นเลย..



คณินแต่งตัวออกจากบ้านไปกับก้องภพ เพื่อร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์กับกลุ่มเพื่อน โดยไม่สนใจอาหารเย็นที่ลูกสาวบอกว่าตั้งใจจะทำให้ทาน

ชญาภานั่งอ่านหนังสือเป็นการฆ่าเวลาขณะรอคนรับใช้จัดโต๊ะอาหาร โดยมีมารดานั่งแต่งเล็บอยู่ใกล้กัน และเมื่ออรดีซึ่งพาน้องชายมาด้วย เอ่ยชวนให้เข้าห้องอาหารด้วยกัน เธอจึงปิดหนังสือวางบนโต๊ะและลุกขึ้นตามไป แต่ฉันทิกากำลังจะเอ่ยถามถึงสามี จำต้องชะงัก เมื่อเห็นบุรุษที่กำลังจะถามถึงเดินโอบไหล่หลานสาวคนสวยตรงมาอย่างรักใคร่ และมันเป็นภาพที่กรีดลึกลงในหัวใจของเธอให้เจ็บแปลบ ความหวาดระแวงก็ยิ่งพลุ่งพล่าน ชวนให้คิดฟุ้งซ่านเป็นทวีคูณ แต่จำต้องข่มกลั้นอารมณ์กรุ่นโกรธนั้นไว้ เพราะไม่อยากผิดใจกับสามีมากไปกว่านี้ แค่เรื่องที่ราโมน่าออกไปอยู่ข้างนอก เขาทำมึนตึงและบางครั้งก็เปรยๆออกมาเหมือนจะรู้ว่าเป็นความคิดของเธอที่ผลักดันหลานสาวออกจากบ้าน เพียงแต่เขาไม่เคยพูดออกมาตรงๆเท่านั้น และท่าทีเช่นนั้น มันจึงทำให้เธอไม่สามารถคาดเดาความคิดของเขาได้ เธอจึงแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้และอยู่อย่างสงบให้มากที่สุด

แต่ทุกการเคลื่อนไหวของราโมน่ายังคงอยู่ในสายตาของเธอต่อไป และหากวันไหนจับได้ว่าแม่หลานสาวคนสวยคิดจะทรยศความไว้วางใจของเธอ เธอจะจัดการขั้นเด็ดขาดทันที!

................................................................................


จบตอนค่ะ
โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ

^^



ระรินใจ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 ต.ค. 2555, 14:04:04 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 ต.ค. 2555, 14:04:04 น.

จำนวนการเข้าชม : 2126





<< บทที่ ๑๕   ตอนที่ ๑๗ >>
Gingfara 9 ต.ค. 2555, 15:00:42 น.
อ๊ายยยยย ยัยป่านี่ก็แก่แล้วเก่เลย แก่ไปก็เท่านั้นจริงๆ
เฮ้ออออออ พี่จิล รีบเคลียร์เลยเจ้าค่ะ


sai 9 ต.ค. 2555, 17:02:06 น.
ศึกหลายด้านจริงๆ อ๊ากกกก


nunoi 9 ต.ค. 2555, 18:17:18 น.
ขอให้หวานกันนานๆ หน่อยน๊า อยากให้พี่จิล กะ โม้นา มีความสุขนานๆอ่ะ น่ารัก


ระรินใจ 10 ต.ค. 2555, 13:48:58 น.
คุณ Gingfara === แหะๆใจเย็นค่า ความจริงฉันทิกาก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรหรอกนะคะ อาจจะแค่ ขี้หึง+ขี้ระแวงมากไปหน่อยเท่านั้นเอง




คุณ sai === ถ้ามีศึกด้านเดียว ก็ไม่สนุกน่ะสิคะ อิอิ



คุณnunoi === หวานมากไปเดี๋ยวเลี่ยนนะคะ..หวานๆขมๆปนกัน อร่อยดีออก ^^


anOO 10 ต.ค. 2555, 19:39:19 น.


ระรินใจ 10 ต.ค. 2555, 20:14:12 น.
ยิ้มแบบนี้ เขินหรือคะ คุณ an00 อิอิ


sirynth 11 ต.ค. 2555, 07:15:58 น.
Love the sweet scenes, though I don't think it will last. Chantika is really too much, way too much w/ jealousy & anger, need to tone down a bit. Sanook mak ka, keep up the good work.


ระรินใจ 12 ต.ค. 2555, 00:23:50 น.
ก็เติมฉากหวานๆให้คนอ่านวี๊ดวิ้วหน่อยค่ะ คุณsirynth เพราะเดี๋ยวก็ถูกฉันทิกาป่วนความสุขแล้วล่ะค่ะ
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ ^^


Zephyr 21 ต.ค. 2555, 00:13:27 น.
ป้าแก่แล้วเลอะเลือนนะเนี่ย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account