ทะเลหวาน
หนึ่งคน... อยู่ในความทรงจำ ที่ฝังลึกอยู่ข้างในใจไม่ห่างหาย
หากอีกหนึ่งคน... มีตัวตน คอยเตือนเธอให้ลืมคนในอดีตอยู่เสมอ

การตัดสินใจอาจไม่ยากเย็น หากหัวใจเธอไม่ถูกปิดไปพร้อมกับอดีตที่ยังวนเวียนอยู่ไม่ไปไหน
Tags: เรื่องยาว ทะเล

ตอน: ตอนที่ 5

“ความจริงคุณไม่ต้องมาก็ได้นะ กระเป๋าฉันมีแค่ใบเดียวเอง” นฤมลเอ่ยอย่างเกรงใจ ระหว่างทางจากบ้านของกรกฎไปยังรีสอร์ต

“ไม่มาแม่ก็ฆ่าผมสิ แม่ผมน่ะเป็นฮิตเลอร์นะจะบอกให้ คุณนายเล่นเผด็จการกุมอำนาจทุกอย่างภายในบ้าน”

หญิงสาวหัวเราะเบาๆ กรกฎพูดเกินความจริงไปมาก อันที่จริงทุกคนยอมตามใจคุณอรทัยต่างหาก ไม่เว้นแม้แต่คุณเวศน์เธอแอบเห็นบ่อยครั้งที่คอยทอดสายตามองภรรยาอย่างรักและหวงแหนเวลาที่คุณอรทัยเผลอ จากที่เธอสังเกตมาหลายวัน คุณเวศน์เป็นผู้ชายไม่ค่อยแสดงออก เธอคิดว่าคุณลุงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความหมายของคำว่าโรแมนติกเป็นอย่างไร แต่การแสดงออกทั้งหมดที่คุณลุงทำ มันทำให้เธอรู้สึกสัมผัสได้ถึงความโรแมนติกที่ลอยอยู่รอบตัวทั้งคู่

เธออยากจะมีอย่างนี้บ้าง... นฤมลคิดแล้วก็หลุดขำออกมากับความเพ้อฝันของตัวเอง เธอจะมีได้อย่างไรในเมื่อหัวใจเธอไม่ได้อยู่ที่เธอตั้งนานแล้ว

“เฮ้ยคุณ บ้าหรือเปล่า อยู่ดีๆ ก็หัวเราะ เป็นอะไรล่ะเนี่ย”

“เปล่า แค่คิดว่าคุณลุงคุณป้าท่านน่ารักดี” กรกฎยิ้มกว้างกับคำชมที่พูดไปถึงพ่อกับแม่ของเขา โดยไม่รู้ตัวชายหนุ่มทอดสายตามองคนที่เดินอยู่ข้างๆ อย่างอ่อนโยน

“พ่อกับแม่ผมน่ารัก... แล้วผมล่ะ”

คำถามสะดุดหูนฤมลเข้าอย่างจัง หญิงสาวหันหน้าทันทีที่คำถามจบ หยุดเดินแล้วมองไปยังคนถามอย่างไม่ละสายตา เธอกำลังงงกับสิ่งที่กรกฎต้องการจะสื่อให้รู้

“คุณพูดว่าอะไรนะ” แต่กรกฎยังคงเงียบ ดีที่คืนนี้เป็นคืนเดือนมืด แสงไฟข้างทางก็ไม่มีมากนัก มันทำให้เขาแฝงสายตาที่แสดงออกไว้ในความมืดได้อย่างมิดชิด “คุณซี เมื่อกี้คุณว่าอะไรนะ”

“เปล่า” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอีกครั้ง หลังจากปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุมอยู่ชั่วครู่ นึกอยากยกมือเขกหน้าผากตัวเอง ลงโทษกับสิ่งที่พูดโดยไม่ทันยั้งคิดเมื่อครู่ เขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธอเสียหน่อย แต่... สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่กลับทำให้เขารู้ตัว ข้างในใจเขามันมีอะไรมากกว่านั้น

“จะเปล่าได้ยังไงก็เมื่อกี้ฉันได้ยิน...”

“ได้ยินว่าอะไร” น้ำเสียงกวนประสาทกลับมาอีกครั้ง กรกฎสวนทันควันทั้งที่นฤมลยังพูดไม่จบ ชายหนุ่มเลือกที่จะไม่บ่ายเบี่ยงแต่เปลี่ยนมาเป็นบังคับให้หญิงสาวพูดแทน ถึงจะรู้จักกันได้ไม่กี่วันแต่เขาก็รู้... เธอไม่กล้าหรอก

“ได้ยิน... ฉะ ฉัน ฉันไม่ได้ยิน ฉันหูหนวก หูตึง ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น คุณกลับไปที่บ้านคุณก่อนไป ฉันจะเก็บของแล้วตามไป”

“ไม่ได้ ถ้ากลับไป ต้องมีคุณกับเพื่อนคุณไปด้วย ไม่งั้นถ้าแม่ถามแล้วผมตอบไม่ได้ ผมก็ซวยสิ”

หญิงสาวถอนหายใจ สิ่งที่กรกฎบอกก็มีเหตุผล แต่เธอไม่อยากให้เขายืนรอที่หน้าบ้านนาน เพราะไหนจะเก็บของ ไหนจะต้องนั่งอธิบายให้เพื่อนคนอื่นฟังอีก ว่าทำไมเธอกับเมทินีต้องย้ายไปนอนที่บ้านของเจ้าของรีสอร์ต

“ตามใจคุณแล้วกัน ยืนเมื่อยแล้วอย่ามาบ่นให้ได้ยินแล้วกัน” คนยืนยันว่าจะยืนรอหน้าบ้านทำเพียงยักไหล่ด้วยท่าทางไม่ยี่หระต่ออะไร ทำเอานฤมลหมั่นไส้จนอยากจะแกล้งให้ยืนรอมันทั้งคืนไปเสียเลย


นฤมลเคาะประตูเมื่อบิดจะเข้าไปก็พบว่าประตูถูกล็อคอยู่ เธอยืนรอซักพักเพื่อนก็มาเปิดให้ ณัฐอ้าปากค้าง คำต่อว่าที่มีอยู่เต็มสมองมาจุกอยู่คอหอย เมื่อเหลือบไปเห็นว่ามีใครอีกคน ลักษณะคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนยืนอยู่ด้วย ชายหนุ่มที่มาเปิดประตูขมวดคิ้วมุ่น นึกสงสัยว่าเคยเห็นหน้าชายหนุ่มคนนี้ที่ไหน แต่ก็นึกไม่ออก แต่ที่ยิ่งสงสัยมากกว่านั้นคือ ทำไมเพื่อนเธอถึงเดินมากับผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่ง

“ใครวะ?” เมื่อเดินเข้ามาในบ้านได้ ณัฐก็ไม่อารัมภบทใดๆ แต่ยิงคำถามตรงไปยังนฤมลทันที ทำเอาเพื่อนอีกสองคนที่นั่งอยู่มึนไปด้วยกับคำถามไม่มีที่มาที่ไป

“คุณซี ลูกเจ้าของรีสอร์ต คนที่มาเคาะประตูห้องเมื่อตอนกลางวันไงวะ จำไม่ได้หรือไง“ ณัฐนึกอยู่ครู่หนึ่ง แล้วร้องอ๋อในใจ ถึงแม้เมื่อกี้จะเห็นเพียงลางๆ แต่เขาก็พอนึกออก

“ก็มันมืดนี่หว่า แล้วนี่ยังไง ค่ำๆ มืดๆ เดินกลับมากับผู้ชาย กลับกรุงเทพฯ ไปฉันจะฟ้องพี่ดล ว่าแกทำตัวไม่สมกับเป็นกุลสตรี”

คนถูกกล่าวหาพุ่งสายตามุ่งร้ายไปยังคนที่กำลังจะฟ้องพี่ชาย “ถ้ามันจะเสีย มันก็เสียตั้งแต่ฉันกับพวกแกนอนด้วยกันอย่างนี้ตั้งนานแล้ว ไอ้เพื่อนเวร แล้วรู้ไว้ด้วย ช่วงที่พวกแกอยู่นี่ ฉันกับเมจะไปนอนบ้านของพ่อกับแม่คุณซี เก็บของเลยนะเม”

“ชะๆ นี่มาไม่ทันไร พาเข้าบ้านเลยเหรอวะ บ๊ะ! หมอนี่ร้ายไม่เบา”

หมอนใบใหญ่ปลิวหวือจากมือของนฤมล พุ่งไปทิศทางของใบหน้าณัฐอย่างแม่นยำ ถ้าเธอใจเด็ดอีกนิดคงกระโดดเอามือไปกดหมอนไว้ด้วย ไม่ให้มันหายใจมาพูดอะไรแบบนี้ได้อีก

“ปากมึงนี่หมาไม่แดกอีกแล้วนะ จะหยุดได้หรือยัง” คนถูกเอาไปเปรียบกับสัตว์สี่ขายังไม่สลด ณัฐกระโดดจากตรงจุดที่นั่งอยู่เข้าไปใกล้ศตวรรษ เหมือนประจำที่เคยทำเวลานฤมลฟิวส์ขาดเช่นวันนี้

“วัตขา วัตดูนังมลมันสิคะ มันรังแกนัตตี้ วัตต้องจัดการมันนะคะ” น้ำเสียงออดอ้อนนั้นทำให้ศตวรรษอดไม่ได้ ประเคนเท้าหนักๆ เข้าไปเพื่อนแทนการใช้มือผลักให้ไปไกลๆ แล้วมันก็ได้ผล ถึงคนโดนเท้าที่ไม่เบานักไปจะบ่นหงุงหงิงๆ แต่มันก็หยุดบ้าได้บ้าง

“ตกลงทำไมต้องไปนอนบ้านนู้น มล” ศตวรรษถามเป็นงานเป็นการขึ้นมาบ้าง สงสัยตั้งแต่ณัฐพูดว่ามีชายหนุ่มยืนรอเพื่อนเขาอยู่หน้าบ้าน

“ก็เพราะพวกแกมานั่นแหละ ฉันกับเมถึงต้องไปนอนบ้านนู้น คุณป้าเค้าเห็นว่าการที่กุลสตรีอย่างฉันจะมานอนรวมกับพวกแก มันจะไม่งาม”

คำหยาบคายที่ใช้เป็นประจำว่าเวลารับไม่ได้กับสิ่งที่เพื่อนพูดเกือบหลุดออกจากปากศตวรรษ เพื่อนเขาแทนตัวเองว่ากุลสตรี กุลสตรีที่ไหนจะทำห้องรกได้เทียบเท่าผู้ชาย ทำกับข้าวไม่เป็น งานบ้านใช้ไม่ได้ เห็นได้ชัดว่ามันขัดกันอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ อย่างไรก็ตามเขากับณัฐเป็นผู้ชาย ดังนั้นการที่จะมานอนค้างอ้างแรมห้องเดียวกัน โดยทีมีคนรู้จักอยู่ด้วยคงจะไม่ดีนัก แม้ว่าทางบ้านของเพื่อนจะไม่ว่าอะไร เนื่องจากคบกันมานานจนรู้ไส้รู้พุงกันหมดแล้ว

“ก็ดีเหมือนกันนะ พรุ่งนี้ค่อยไปเจอกันที่ขึ้นเรือแล้วกัน จองเรือที่จะไปดำน้ำให้แล้ว”

นฤมลเร่งเก็บเสื้อผ้าเท่าที่จำเป็นลงกระเป๋า ความจริงเพื่อนเธอมาเพียงสองคืนเท่านั้น แล้วจะกลับไปทำงานตามปกติ หลังจากนั้นจะเหลือเพียงเธอที่อยู่ที่นี่อีกเกือบอาทิตย์ หญิงสาวพยักหน้าชวนเมทินีเดินออกไปข้างนอก เห็นได้ชัดว่าเมทินีมีท่าทีอิดออดไม่อยากไป ด้วยว่าไม่ได้รู้จักอะไรกับฝ่ายนู้น แต่ด้วยลูกอ้อนของนฤมลที่ไม่ค่อยได้ใช้กับใคร เมทินีก็แพ้อย่างราบคาบ หญิงสาวเลยต้องมาเดินทำหน้ามู่ทู่อย่างเช่นตอนนี้

“ไอ้มล แกนะแก อยู่ๆ ก็ให้ฉันไปอยู่บ้านใครก็ไม่รู้ ไม่ได้รู้จักกันสักหน่อย”

“เอาน่า คุณป้ากับคุณลุงน่ารักมาก ใจดี แกจะไม่อึดอัดแน่นอน รีบไปเถอะ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า”

เมทินีทำหน้ามู่ทู่สะพายกระเป๋าเสื้อผ้าตัวเองไว้ที่หลัง ส่งสายตาน่าสงสารออดอ้อนไปทางเพื่อนอีกสองคน แต่ไม่มีใครช่วยได้ เรื่องนี้นฤมลตัดสินใจไปแล้ว และผู้ชายอีกสองคนก็เห็นดีด้วย จึงไม่มีใครโต้แย้ง ปล่อยให้หญิงสาวเดินตามนฤมลออกไป

หน้าบ้านพักมีชายหนุ่มยืนคล้ายคอยอะไรบางอย่าง เมทินีเพ่งตามองนึกสงสัยค่ำมืดแล้ว ใครมายืนทำอะไรแถวนี้ เธอกำลังจะหันไปสะกิดเพื่อนแต่ไม่ทัน หญิงสาวเห็นนฤมลเดินไปทางชายหนุ่มที่ยืนอยู่สะกิดเบาๆ เรียกให้เขาหันมา

อ๋อ เจ้าของรีสอร์ต... เอ๊ะ! เดินมาส่ง แล้วรอเดินกลับด้วยเนี่ยนะ

เมทินีชักได้กลิ่นแปลกๆ กับสองคนที่ยืนอยู่เสียแล้ว กับเจ้าของรีสอร์ตนั่นเธอไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นอย่างไร แต่ดูจากท่าทางการแสดงออกแล้วไม่ธรรมดาแน่นอน ส่วนทางด้านเพื่อนของเธอนั้น เพื่อนทุกคนต่างรู้ดีว่านฤมลยังลืมปีเตอร์ไม่ได้ และหากจะมีใครสักคนทลายกำแพงในใจของเพื่อนเธอได้... ไม่เร็วแบบนี้แน่นอน

“คุณ นี่เพื่อนฉันชื่อเม ที่เจอที่หาดเมื่อตอนบ่าย จำได้ไหม” เขากำลังจะตอบว่าจำไม่ได้ แต่คิดแล้วคงไม่มีประโยชน์อะไร เมื่อคนถามยังไม่สนใจคำถามตัวเองด้วยซ้ำ ชายหนุ่มจึงปล่อยผ่านไปหันไปยิ้มให้คนที่เพิ่งถูกแนะนำแทน “เม นี่คุณซีนะ ที่เล่าให้ฟัง”

“คุณนินทาอะไรผม” เสียงทุ้มเอ่ยแทรก โดยนฤมลไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแค่ชายหางตามองอย่างไม่สนใจ แล้วดึงแขนเพื่อนให้เดินตาม ไม่ได้สนใจคำถามของชายหนุ่มเลยสักนิด

เดินมาถึงบ้าน ห้องรับรองแขกก็ถูกทำความสะอาดและเตรียมไว้อย่างเรียบร้อยโดยแม่บ้านคนเก่งของบ้าน พอแนะนำเพื่อนให้รู้จักกับเจ้าของบ้านเรียบร้อย คุณอรทัยก็จับจูงมือเธอกับเมทินีไปยังห้องนอนที่เตรียมให้พวกเธอพัก ไม่ใช่แค่เพียงเดินมาส่ง คุณอรทัยยังถามด้วยความหวังดีกับเธอกลัวว่าเธอจะอยู่ไม่ได้ ซึ่งที่จริงแล้วห้องกว้างพร้อมกับเตียงนอนได้สามคน บอกว่าคำเดียวว่าสบายยิ่งกว่าสบายเสียด้วยซ้ำ

นฤมลเดินสำรวจรอบห้อง ตื่นตาตื่นใจกับห้องที่ตกแต่งอย่างสวยงามเข้ากับบรรยากาศทะเล ส่วยระเบียงที่ยื่นออกไปข้างนอกยังมองออกไปเห็นวิวทะเลอีกด้วย ตอนนี้เป็นเวลาน้ำลด นฤมลจึงไม่เห็นอะไรมากนัก แต่ดูจากจุดที่มองแล้ว ทะเลตอนเช้าคงสวยงามมากเป็นแน่

“มล ฉันจะนอนแล้วนะ” เมทินียื่นหน้าออกมาที่ระเบียง ขอรบกวนเวลาดื่มด่ำบรรยากาศของเพื่อนเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปที่เตียงนอนสะบัดผ้าห่มพร้อมนอน “แกก็นอนได้แล้วนะ พรุ่งนี้ต้องไปดำน้ำกันอีก ไม่มีแรงล่ะแย่เลย”

หญิงสาวไม่ได้ตอบอะไรนอกจากยืนนิ่งอยู่ที่ระเบียงเช่นเดิม ทำเอาเมทินีนึกเป็นห่วงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ หญิงสาวไม่ชอบเอาเสียเลยเวลานฤมลมีอาการนิ่งเช่นนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่องของพีทหรือปีเตอร์อีกเป็นแน่เชียว ยัยผู้หญิงคนนี้บอกให้เก็บความรู้สึกนี้ไว้ให้ลึกที่สุด แต่ยังจะดื้อเอามันออกมาอีกจนได้สิน่า คนเป็นเพื่อนได้แต่คอยมองแล้วถอนหายใจ เป็นห่วงก็เป็นห่วง เหนื่อยกับที่ต้องคอยบอกก็เหนื่อย จนตอนนี้เธอไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว

ช่างเถอะ... พรุ่งนี้มันก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมเองนั่นแหละ คิดได้ดังนั้น คนเป็นห่วงเพื่อนเลยมุดเข้าไปอยู่ในผ้าห่ม ไม่สนใจเพื่อนสาวอีกต่อไปว่ามันจะคิดสั้นกระโดดลงไปจากระเบียงหรือไม่

‘มล แกไปชลบุรีกับฉันหน่อย’ หญิงสาวเงยหน้ามองคนพูด แล้วยกนาฬิกาข้อมือตัวเองขึ้นมามอง ทำให้รู้ว่าอีกสองชั่วโมงจะล่วงเข้าวันใหม่แล้ว

‘ตอนนี้หรือพีท แกจะบ้าหรือไง สี่ทุ่มเนี่ยนะ’

คนชวนไม่ได้ตอบอะไร แต่เดินไปที่รถพร้อมขับออกไปเลย ทำให้นฤมลต้องรีบวิ่งตาม หญิงสาวชักระอากับความใจร้อนของเพื่อนคนนี้ บางทีปีเตอร์ก็ทำอะไรไม่ค่อยคิด ชายหนุ่มมักปล่อยให้ความใจร้อนครอบงำเสมอ การมีเรื่องชกต่อยของเขากับคนอื่นไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับเธอเลยด้วยซ้ำ

‘มีอะไรหรือเปล่า ทำไมต้องไปตอนนี้ด้วย’

‘เอาน่า แกนอนไปก็ได้ เดี๋ยวพอถึงแล้วจะปลุก’

หลับลงก็บ้าเต็มทนแล้ว สำหรับนฤมลที่มีเรื่องค้างคาอยู่ในใจเช่นนี้ การนั่งรถมากับเพื่อนโดยที่เขาไม่บอกสักคำว่าจะไปทำอะไร เกิดขึ้นไม่บ่อยนักสำหรับเธอ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรสำหรับปีเตอร์ เธอยอมทำทุกอย่าง หากมันจะทำให้เธอกับเขาอยู่ใกล้กันได้ขนาดนี้ สนิทกันเกินกว่าเพื่อนคนอื่นๆ ได้รับรู้เรื่องราวของเขาอยู่สม่ำเสมอ

รถที่พุ่งทะยานไปข้างหน้าพร้อมกับความเร็วที่เพิ่มขึ้นตามระดับความโล่งของถนนมุ่งหน้าสู่ชลบุรี นฤมลนั่งตัวแข็งมองทางข้างหน้าสลับกับคนขับ นึกภาวนาถึงคุณพระคุณเจ้าขอให้คุ้มครองเขาและเธอให้ปลอดภัยจากเพื่อนตีนผีของเธอด้วยเถิด

‘แกจะรีบไปไหนของแก ไอ้พีท เหยียบขนาดนี้ ลองกางปีกดูไหม เผื่อมันจะบินได้’

‘เถอะน่า แกอยู่นิ่งๆ เฉยๆ เป็นไหม อย่าเพิ่งพูดอะไร ฉันต้องใช้สมาธิ’

ใช่น่ะสิ ใช้สมาธิ ก็ถ้าขับให้มันช้าลงหน่อยมันก็คงไม่ต้องใช้สมาธิขนาดนี้ นฤมลเข่นเขี้ยวอยู่ในใจ หากไม่ติดว่าเพื่อนขับรถอยู่ เธออยากจะยื่นมือไปบิดแขนให้เขียวนัก ชอบทำอะไรบุ่มบ่ามไม่มีใครเกิน

รถวิ่งมาถึงบางแสนอย่างปลอดภัยทั้งคนขับคนนั่งกับภายในรถที่ได้ยินเพียงเสียงเครื่องทำความเย็นในรถ เนื่องจากปีเตอร์บอกว่าเขาต้องใช้สมาธิ เธอจึงให้มันใช้สมาธิอย่างเต็มที่โดยหันหน้าออกนอกหน้าต่างและปิดปากนิ่งสนิท ถามว่าเพื่อนเธอคนนี้เคยรู้ไหมว่าเธอเป็นอะไร ผิดปกติหรือเปล่า

ไม่... มันไม่เคยรู้ ไม่เคยแม้แต่จะสนใจด้วยซ้ำ

‘ตกลงมาทำอะไร’ เป็นประโยคแรกที่นฤมลเปิดปากถาม หลังจากลงจากรถ ปีเตอร์ง่วนอยู่กับการกดโทรศัพท์คล้ายโทรหาใครสักคน หากสัญชาตญาณไม่ผิด เธอคิดว่าคงเป็นเด็กคนหนึ่งในสังกัดมันแน่ๆ

‘แกจะไปเดินเล่นที่หาดก็ได้นะ ถ้าจะกลับจะไปเรียก’

ผิดเสียที่ไหนล่ะ ปีเตอร์มาหาผู้หญิงคนหนึ่งที่เธอไม่รู้จักตามความรู้สึกของเธอจริงๆ เธอไม่รู้หรอกว่าทำไมถึงขนาดต้องลงทุนขับรถมาหากลางค่ำกลางคืนขนาดนี้ แต่เรื่องนี้ปีเตอร์ทำเธอเสียความรู้สึกที่สุดเรื่องหนึ่ง เธอรู้ว่าเขาไม่ตั้งใจจะทำร้ายจิตใจเธอ แต่ให้นั่งมาเป็นเพื่อนแบบไม่พูดอะไรสักคำแล้วไล่ไปที่อื่น ส่วนตัวเองกับผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้ก็หาที่นั่งมองตากัน คราวนี้เธอโกรธเขาจริงๆ กลับไปจะไม่พูดด้วยสามวัน

โถ... เยอะเหลือเกินตั้งสามวัน นฤมลนึกสมเพชตัวเอง อีกทั้งสามวันนั้นคงไม่ใช่ปีเตอร์แต่คงเป็นเธอเองที่จะขาดใจตาย


เสียงเคาะประตูดังที่ดังขึ้นทำ เรียกให้นฤมลกลับสู่ปัจจุบัน หญิงสาวขมวดคิ้วมองที่ประตูแล้วหันมองเพื่อนที่หลับไม่รู้เรื่องไปแล้วที่เตียง ก่อนจะเดินไปเปิดประตูเพราะกลัวว่าเสียงเคาะประตูจะดังไม่หยุดจนเพื่อนเธอตื่น พอเห็นคนทื่ยืนอยู่หน้าห้องแล้วถึงกับเลิกคิ้ว ความสงสัยยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก เมื่อเห็นว่าในมือใหญ่มีกล้องตัวที่เธอเคยฉกไปใช้พักหนึ่งอยู่ด้วย

“ผม... เอากล้องมาให้น่ะ เมื่อตอนบ่ายยืมไปแล้วไม่ได้คืนให้” หญิงสาวยิ้ม เป็นรอยยิ้มจริงใจที่ระหว่างเธอกับเขาหาดูได้ยากเหลือเกิน

“ขอบคุณ ฉันนึกว่าคุณจะริบแล้วไม่ให้ฉันยืมต่อเสียอีก”

“ผมแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ”

แหม... อยากจะพยักหน้าเหลือเกิน ถามคำถามปลายเปิดทำร้ายตัวเองมาขนาดนี้ นฤมลคิดในใจ สงสัยไม่น้อยว่าคนตรงหน้าจะมาไม้ไหน ทำไมอยู่ๆ ถึงได้มาทำดีกับเธอ

“คุณ ไม่สบายหรือเป็นไข้ ปวดหัว ตัวร้อนหรือเปล่า” ถามออกไปแบบนั้นแล้วแอบหัวเราะอยู่ในใจ ไม่บ่อยนักที่คนตรงหน้าจะไม่สวนกลับคำถามเธอด้วยคำตอบเจ็บๆ แต่ปล่อยทิ้งให้กลายเป็นความเงียบแบบนี้ “แต่ยังไงก็ขอบคุณนะที่ให้ยืมต่อ เพราะเดี๋ยวถ้าเพื่อนฉันกลับ ฉันก็คงต้องมีกล้องเป็นเพื่อนเหมือนเดิม”

“อ้าว คุณไม่ได้กลับพร้อมเพื่อนเหรอ”

“เปล่า ฉันอยู่ต่ออีกสักพักถึงจะกลับ” กรกฎทำหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย

“เออ พรุ่งนี้คุณพาเพื่อนไปดำน้ำใช่ไหม ไปนอนเถอะ พรุ่งนี้จะไม่ตื่นเสียเปล่าๆ” นี่ถ้าเธอข่วนหน้าตานี่ได้เธอทำไปแล้ว คุยดีๆ กันอยู่หันมากัดเธอเรื่องตื่นสายอีกจนได้ นฤมลเหวี่ยงค้อนให้โดนคนที่ยืนอยู่อย่างจัง นึกอยากเอาคำขอบคุณเมื่อครู่คืนมา แล้วปิดประตูใส่หน้าเจ้าของบ้านให้ดังโครม แต่ก็ทำไม่ได้ เกรงใจคุณลุงคุณป้าที่ป่านนี้คงนอนไปแล้ว

“กลับห้องคุณไปได้แล้วไป ฉันจะนอน” ว่าแล้วก็ปิดประตูทันทีที่พูดจบ หญิงสาวเลยไม่ได้เห็นว่าคนที่ยืนหลังประตูยิ้มขำมากแค่ไหนกับการที่เห็นเธอทำหน้าตาไม่สบอารมณ์ คนปกติเขาควรจะประทับใจในรอยยิ้มของเพศตรงข้าม แต่ไม่ใช่กับนฤมล รอยยิ้มของหญิงสาวน่ามอง เขายอมรับ แต่ที่น่ามองมากกว่านั้นคือเวลาเธอทำหน้าเหวี่ยงเล็กๆ ใส่เขานี่แหละ น่ารักกว่าเป็นกอง

เอ... หรือเขาจะกลายเป็นโรคจิตไปแล้ว ไม่หรอกน่า... เขาอาจมีปัญหาทางสายตามากกว่าทางจิตก็ได้ใครจะรู้

ถามเองตอบเองเสร็จสรรพ กรกฎถึงเดินออกมาจากหน้าห้องนอนรับแขกนั้น เพื่อตรงไปยังห้องตนเองที่อยู่ถัดไป ในความคิดยังคงสับสนกับอาการที่เขาเป็น ทำไมต้องอยากเห็นหน้า ทำไมต้องอยากเจอ ทำไม ทำไม และทำไม... คำถามมากมายผุดขึ้นในความคิด พอมากเข้าชายหนุ่มก็ตัดสินใจว่าจะไม่สนใจแล้วผล็อยหลับไปในที่สุด


อากาศแจ่มใสในตอนเช้า ก้อนเมฆสีขาวลอยอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าสีสดใส เสียงคลื่นสาดกระเซ็นเข้ากระทบหาดทราย เป็นบรรยากาศสดชื่นที่หาได้ยากในปัจจุบัน เกือบทุกที่มีมลพิษและควันสีดำ ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นจากน้ำมือมนุษย์ที่คอยแต่หาผลประโยชน์จากธรรมชาติทั้งสิ้น

เสียงไหลอย่างต่อเนื่องในห้องน้ำ ไม่ได้ทำให้บรรยากาศรอบตัวแย่ลงเลยสักนิด นฤมลสูดลมหายใจเข้าลึก เก็บอากาศบริสุทธิ์ไว้กับร่างกายให้มากที่สุด ภาพที่อยู่ตรงหน้าสวยราวกับภาพวาด หญิงสาวยกกล้องถ่ายรูปขึ้นมาถ่ายเก็บความทรงจำดีๆ เอาไว้ เพื่อไม่ให้ลบเลือนไปตามกาลเวลา เธอชอบถ่ายรูปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่อาจบอกได้ แต่รู้ตัวอีกที โน้ตบุ๊คทั้งเครื่องก็เต็มไปด้วยภาพถ่ายฝีมือเธอไปเสียแล้ว แม้จะไม่เก่งเท่านักถ่ายภาพมืออาชีพ แต่ความหลงตัวเองที่พอมีอยู่บ้างพอจะทำให้พูดได้เต็มปากว่าภาพเธอก็สวยไม่แพ้ใคร

เธอมักหามุมแปลกๆ ถ่ายอยู่เสมอ ด้วยความที่ชอบความแปลกใหม่ ความคิดสร้างสรรค์จึงทำให้เธอถ่ายภาพได้ไม่เหมือนใคร

‘เลิกเป็นอาจารย์แล้วไปถ่ายรูปขายแทนดีไหมมล’ คำถามที่แสนจริงจังของพี่ชาย ทำเอาเธอลังเลอยู่ช่วงหนึ่ง ก่อนจะคิดได้ว่าหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น เดือนไหนไม่มีใครจ้างเธอแล้วทีนี้เธอจะเอาอะไรกิน

ความที่กลัวไม่มีอันจะกินเป็นสิ่งหนึ่งที่ให้ความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ดังนั้นคนเห็นแก่กินจึงปฏิเสธคำแนะนำของพี่ชายเช่นนพดลอย่างเด็ดขาด แล้วตั้งหน้าตั้งตาสอนลูกศิษย์ที่น่ารักเช่นเดิม

เสียงเคาะประตูดังขึ้นดึงความคิดเธอหลุดออกจากเรื่องความหลังที่ผ่านไปนานแล้ว หญิงสาวหันมองที่ประตูแล้วขมวดคิ้ว ถึงแม้ไม่มีพลังพิเศษสามารถมองทะลุกำแพงได้อย่างหนังฮีโร่เรื่องหนึ่ง แต่เธอก็พอจะเดาออกว่าใครจะเสียมารยาทขนาดที่มาเคาะประตูห้องผู้หญิง อีกทั้งยังไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าตื่นกันหรือยัง

“ตานี่ชักจะกล้ามากไปแล้วนะ” นฤมลบ่นกับตัวเองเบาๆ เหลือบมองประตูห้องน้ำที่ยังคงปิดสนิทและมีเสียงน้ำอย่างต่อเนื่องแล้วบ่นพึมพำอย่างหาที่ลง “นี่ก็อีกคน อาบน้ำนานเป็นชาติเลย”

เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้งคราวนี้ยาวและดังกว่าเก่าเล็กน้อย นฤมลถอนหายใจแล้วบิดลูกปิดประตูอย่างเบามือ “มีอะไรคุณ” น้ำเสียงที่ถามออกไปเนือยอย่างเห็นได้ชัดจนคนมาเคาะประตูชักไม่แน่ใจว่าแหย่โดนอะไรเข้าหรือเปล่า

“มาเรียกไปกินข้าว ก่อนเราจะออกไปดำน้ำไง” หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่น

“’เรา เราไหน”

“เรา ก็คุณ เพื่อนคุณสามคน แล้วก็ผมไง ห้าคนรวมเป็นเรา” กรกฎพูดออกมาหน้าตาเฉยราวกับการเหมารวมตัวเองเข้ากับใครต่อใครเป็นเรื่องปกติ แต่นฤมลยังคงนิ่ง คิดไม่ทันว่าทำไมจู่ๆ เธอกับเพื่อนถึงกลายเป็น ‘เรา’ ได้

“คุณ... คุณจะไปด้วยงั้นเหรอ” ชายหนุ่มพยักหน้ารับคำ

“มันเป็นหน้าที่ ผมต้องออกไปดูว่ากิจกรรมมีปัญหาอะไรหรือเปล่า จะได้รีบแก้ไขปัญหา และดูแลอย่างทั่วถึง”

หือ... เธอจำได้ว่าถ้าไม่นับทริปที่เธอไปดำน้ำ เธอไม่เคยเห็นกรกฎนั่งเรือไปกับลูกค้ากลุ่มไหนที่ไปดำน้ำอีกเลย แล้วอย่างนี้มันเรียกว่าทั่วถึงได้ยังไง

นฤมลนึกถึงเหตุผลที่พอจะลากเข้ามาใส่ให้สมเหตุสมผล แต่นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก เธอไม่เห็นว่ามันจะมีเหตุผลอะไรที่ทำให้กรกฎต้องออกไปกับเรือที่พาไปดำน้ำในวันนี้เลยสักนิด พอดีกับที่เมทินีเปิดประตูห้องน้ำออกมา นฤมลจึงรีบตัดบท ชายหนุ่มเพื่อปิดประตูให้เพื่อน เป็นที่รู้กันในหมู่เพื่อนผู้หญิงว่า ถ้าไม่จำเป็นเมทินีจะไม่แต่งตัวในห้องน้ำ หญิงสาวอ้างว่ามันไม่ถนัด การนุ่งกระโจมอกออกมาเพื่อแต่งตัวในพื้นที่ที่แห้งสนิทและกว้าง ทำให้เธอสดชื่นได้มากว่าการแต่งตัวในห้องน้ำ

ซึ่งนฤมลและเพื่อนคนอื่นไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวข้องกันตรงไหนเลยสักนิด...


เรือที่บรรทุกผู้โดยสารพอดีกับปริมาณที่สามารถจุได้ พาผู้โดยสารทั้งหมดที่อยากดำน้ำสัมผัสกับประการังมายังกลางทะเล ที่พอมองลงไปในน้ำจะเห็นโขดหินเต็มไปหมด เพื่อดำน้ำดูประการังน้ำตื้นตามที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องการ นฤมลยืนจับกล้องนิ่งไม่ยอมขยับเข้าไปฟังเจ้าหน้าที่อธิบายวิธีการใช้ ปล่อยให้เพื่อนทั้งสามยืนฟังใกล้ๆ อย่างตั้งใจ มือขาวจับกล้องขึ้นมองรอบๆ เหมือนอย่างที่เคยทำทุกครั้ง พยายามหามุมโดยการหมุนไปเรื่อยๆ จนเลนส์กล้องไปโฟกัสเอาใบหน้าของกรกฎที่ยืนคุยอยู่กับเจ้าหน้าที่อีกคนอยู่ตรงคนขับเรือ

ใบหน้าถูกฉาบด้วยรอยยิ้มอย่างที่เธอไม่เคยมีโอกาสได้เห็น เพราะเจอกันทีไรต่างก็แขวะกันไปแขวะกันมา เสียงหัวเราะเธอพอเคยได้ยินบ้าง ตอนดูรูปเธอ... เอ่อ ที่แต่งเป็นเงาะป่านั่นแหละ หัวเราะเสียงดังเหมือนดูตลกทั้งคณะอย่างนั้น เธอนึกอยากจะหาอะไรทุบหัวตัวเองให้สลบไปเลยจริงๆ

รอยยิ้มบนใบหน้ากรกฎทำให้นฤมลนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะหันมาสนใจเพื่อนอีกครั้งเมื่อทั้งสามเดินมาพร้อมกับมีสน็อคเกิ้ลคาดอยู่บนหัวคนละอันพร้อมกับเสื้อชูชีพที่ใส่อย่างแน่นและกระชับตามหลักการที่เจ้าหน้าที่แนะนำ

“แกไม่ลงจริงเหรอวะมล” ศตวรรษถามย้ำเพื่อนอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ว่าเพื่อนไม่อยากลงไปดำน้ำด้วยกันจริงๆ หลังจากเกลี้ยกล่อมไปแล้วพักหนึ่งก่อนเรือจะอยู่กลางทะเล

“อือ ฉันลงไปดูตั้งแต่ก่อนพวกแกจะมาแล้ว วันนั้นเป็นตะคริวด้วย เข็ดว่ะ ขอทำใจอีกสักพักแล้วกัน คราวหน้าค่อยว่ากันใหม่”

ในเมื่อพูดล่อพูดกล่อมอย่างไรนฤมลก็ไม่ยอม บอกจะถ่ายรูปอยู่ข้างบนท่าเดียว เพื่อนอีกสามคนที่เหลือจึงไม่พูดอะไรต่อ ประจวบกับเจ้าหน้าที่เรียกรวมเพื่อกระโดดลงน้ำพอดี นฤมลจึงดึงสมาธิกลับเข้าไปอยู่ในกล้องถ่ายรูปเช่นเดิม

“อ้าวคุณ ทำไมวันนี้ไม่ลงไปดูข้างล่างล่ะ” กรกฎเอ่ย พร้อมกับนั่งลงข้างๆ นฤมลที่กำลังเช็คภาพย้อนหลัง แต่ยังทำได้ไม่ถึงไหนชายหนุ่มก็เข้ามาขัดเสียก่อน

“ฉันไปไม่ไปแล้วจะทำไม ยังเข็ดตะคริวไม่หาย” ได้ยินคำพึมพำเบาๆ ท้ายประโยคของคนเคยเป็นตะคริวในน้ำอย่างชัดเจนเลยทีเดียว ชายหนุ่มทำเสียงขลุกขลักในลำคออย่างคนกลั้นหัวเราะแต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ นอกจากมองไปยังทะเลเบื้องหน้าที่ไม่เห็นฝั่ง

“คุณ รู้ไหมทำไมคนที่มีเรื่องทุกข์ใจชอบมาเที่ยวทะเล” นฤมลเหลือบมองคนข้างกายเล็กน้อย แล้วเงียบปล่อยให้คนขึ้นเรื่องมาพูดต่อ “เพราะทะเลมันกว้าง ความกว้างอย่างไม่มีที่สิ้นสุดของทะเลทำให้คนเรามักเอาความทุกข์มาฝากไว้ที่นี่ พอฝากเสร็จก็กลับบ้านไป ปล่อยให้ทะเลแบกรับความทุกข์ของตัวเองไว้ วันดีคืนดีความทุกข์ของคนมากเกินไป ทะเลเริ่มทนไม่ไหวมันถึงเกิดคลื่นซัดหาดแรงขึ้นเรื่อยๆ เป็นการขู่ไม่ให้คนเราเข้าใกล้ทะเลมากนัก เมื่อไหร่ที่ทะเลซัดคลื่นเข้าหาดแรงกว่าปกติ เวลานั้นคือเวลาที่ทะเลกำลังแบกรับความทุกข์มากเกินไป”

คนเรียนจบสายที่อ้างอิงกับวิทยาศาสตร์และทุกสิ่งล้วนคำนวณได้อย่างคณะวิศวกรรรมศาสตร์ นึกอยากจะสวนคนเล่าให้รู้สึกเหมือนตกจากที่สูงดังแอ้ก ว่าการที่คลื่นซัดเข้าชายฝั่งไม่ได้เกี่ยวอะไรกับความทุกข์ที่เขาเล่าเลยสักนิด แต่เป็นปรากฎการณ์ของลมบก-ลมทะเลที่คอยพัดความกดอากาศเข้าและออกจากฝั่งต่างหาก

แต่ก็กลัวคนเล่าจะเสียใจ ไหนๆ ก็พูดกับเธอได้ยาวขนาดนั้น เธอก็ไม่ควรจะไปทำลายจินตนาการของเขา

“คนเราเมื่อมีความทุกข์ก็ต้องหาที่ยึดเหนี่ยว หาที่พึ่งทางใจเป็นธรรมดา” คำที่ตั้งใจจะสวนกลับถูกกลืนลงลำคอไปอย่างยากเย็น เหลือเพียงความคิดเห็นเล็กน้อยอย่างไม่ทำลายจิตใจคนฟัง

“แล้วคุณล่ะ เวลาทุกข์คุณทำยังไง”

หญิงสาวเหลือบมองคนถามอีกครั้ง แล้วตอบอย่างใจเย็น “ก็มาทะเล”

“แสดงว่าตอนนี้...” ก่อนที่กรกฎจะพูดจบ ทั้งคู่ได้ยินเสียงนกหวีดดังมาจากกลางทะเล เจ้าหน้าที่ที่คอยดูแลนักท่องเที่ยวอยู่ในทะเล รีบมองหาต้นเสียงแล้วว่ายน้ำเข้าไปในทิศทางนั้น ก่อนจะช่วยดึงหญิงสาวคนหนึ่งขึ้นมาบนเรือด้วยสภาพหมดสติ

นฤมลมองเห็นภาพตัวเองเมื่อวันก่อนปรากฎอยู่ตรงหน้า หญิงสาวสังเกตการณ์เงียบๆ อยู่ที่เดิมเพราะไม่อยากให้เจ้าหน้าที่ทำงานลำบากไปมากกว่านี้ แต่อีกด้าน เจ้าของรีสอร์ตผู้ที่ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้มากที่สุด กลับยังคงนั่งเฉยอยู่ที่เดินเหมือนเธอราวกับเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ

“คุณ ไม่ไปดูหน่อยเหรอ ลูกค้าคุณเพิ่งจมน้ำไปนะ” ชายหนุ่มยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ เขามั่นใจในตัวเจ้าหน้าที่มาก พอๆ กับที่เคยเห็นการฝึกของเจ้าหน้าที่ทุกคนต้องเจอก่อนจะมาทำงานนี้ นับว่าเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่จะเกิดขึ้น เรื่องแค่หมดสติแค่นี้เจ้าหน้าที่เขาจัดการได้สบายมาก

“เจ้าหน้าที่เขาจัดการได้ คุณไม่ต้องห่วงหรอก”

ภาพเจ้าหน้าที่กำลังช่วยชีวิตหญิงสาวนิรนามคนนั้นอย่างตั้งใจ เจ้าหน้าที่ก้มๆ เงยๆ เพื่อเป่าอากาศให้เข้าไปและให้คนหมดสติสำลักน้ำออกมา อีกทั้งใช้มือกดเป็นจังหวะตรงหัวใจ ปากก็พร่ำเรียกชื่อคนหมดสติ ทำให้ภาพที่เธอประสบเองผุดขึ้นมาในหัวสมอง นฤมลหันหน้ามองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างไม่เข้าใจ ในวันที่เธอเป็นตะคริว หญิงสาวจำได้ว่าพอลืมตาขึ้นมาแล้ว เธอเห็นหน้าของกรกฎเป็นคนแรกไม่ผิดอย่างแน่นอน

“คุณ วันนั้นใครเป็นคนผายปอดให้ฉัน” คนนั่งข้างๆ ยังคงเงียบ พอรู้สึกว่าเงียบนานเกินไปก็ล้วงกระเป๋า ยกเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเสียอย่างนั้นเป็นการตัดบท แต่มีหรือนฤลจะยอม “นี่คุณ หูหนวกหรือไง ฉันถามว่าใครเป็นคนผายปอดฉัน ไม่ได้ยินหรือไง”

“คุณซีเป็นคนผายปอดให้คุณเองครับ”

สองคนที่นั่งอยู่หันขวับหาที่มาของเสียงที่สาม ทั้งคู่เห็นเจ้าหน้าที่ที่ตอนแรกทำหน้าที่ผายปอดหญิงสาวจมน้ำยืนอยู่ใกล้ๆ เนื้อตัวเปียกโชก พอมองเลยไปข้างหลังเห็นคนที่หมดสติอยู่เมื่อครู่กำลังกอดกับเพื่อนที่มาด้วยกันสะอื้นร้องไห้... ดูท่าจะกลัวทะเลไปอีกนาน

“เมื่อกี้คุณว่าอะไรนะคะ” เธอถามเจ้าหน้าที่อีกครั้งเพื่อความแน่ใจ เห็นทางหางตาว่ากรกฎหยุดกดมือถือเหมือนกำลังรออะไรบางอย่าง

“ผมจำคุณได้ครับ คนที่เป็นตะคริวในน้ำเหมือนคุณมีไม่บ่อย วันนั้นผมจะช่วยแต่พอดีคุณซีห้ามไว้ เขาบอกว่าเขาจะช่วยคุณเอง ผมเลยแค่ยืนดูอยู่ใกล้ๆ เพราะยังไงแฟนคุณเขาเคยฝึกเรื่องปฐมพยาบาลมาแล้วน่ะครับ”

นฤมลหันหน้าไปหาคนข้างตัวช้าๆ แต่ยังไม่ทันพูดอะไร กรกฎก็ลุกพรวดเดินไปยังส่วนของคนขับเรือเสียแล้ว คำถามที่กำลังจะออกจากปากเลยกลายเป็นอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น ไม่มีเสียงใดๆ ลอดออกไป เธอหันมายิ้มแหยกับเจ้าหน้าที่ที่ยังคงยิ้มให้อย่างมีไมตรี

“ขอบคุณนะคะที่วันนั้นลากฉันขึ้นมาจากทะเล แต่ว่าคุณซีเค้าไม่ใช่แฟนฉันหรอกค่ะ”

“อ้าว หรือครับ ผมต้องขอโทษด้วย เห็นวันนั้นคุณซีเขาทำท่าทางเหมือนไม่อยากให้ใครยุ่งกับคุณ ผมล่ะกลัว...”

เจ้าหน้าที่หนุ่มยังพูดไม่จบประโยคดี เสียงเพื่อนเจ้าหน้าที่ก็ดังขึ้นเรียกเขาให้ไปดูอะไรบางอย่างที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าเรือ ทำให้เขาต้องขอตัวจากนฤมลเดินไปหาเพื่อน เผื่อมีอะไรฉุกเฉินจะได้ช่วยกันแก้ได้ทัน

พอเจ้าหน้าที่หนุ่มเดินออกไป กรกฎก็เดินกลับมานั่งที่เดิมในเวลาเดียวกับที่เพื่อนทั้งสามของนฤมลเดินมาหาหญิงสาวเช่นกัน การสอบสวนคนที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยเลยต้องพับไปก่อน เมทินีดูตื่นเต้นกับการดำน้ำครั้งนี้มาก แม้จะเคยดำน้ำที่ทะเลอื่นมาบ้าง แต่ทะเลแต่ละที่ก็มีลักษณะเด่น เสน่ห์และความสวยงามไม่เหมือนกัน เรียกได้ว่าสวยกันคนละแบบ

ส่วนณัฐกับศตวรรษ แม้ไม่แสดงอาการความตื่นเต้นชัดเจน แต่นฤมลพอจับความรู้สึกได้เพื่อนทั้งสองชอบภาพใต้ทะเลไม่ใช่น้อย ดูจากการนั่งคุยกันถึงหอยเม่นที่คอยขยับเข้ามาใกล้นักท่องเที่ยว ทั้งที่ตัวมันเองอาจให้ความเจ็บปวดอย่างที่สุดจากหนามแหลมของมัน หรือปะการังรูปร่างสวยราวกับดอกไม้ที่คอยขยับตามแรงดันของน้ำทะเล ทำให้นฤมลยิ้มและหัวเราะตามเพื่อนได้อย่างไม่ยาก

กล้องถ่ายรูปยังคงทำหน้าที่บันทึกความทรงจำระหว่างเพื่อนได้เป็นอย่างดี ภาพถ่ายรอยยิ้มระหว่างนฤมลและเพื่อน บางภาพก็มีฝีมือของกรกฎรวมอยู่ด้วย ในฐานะที่อยู่เฉยๆ ก็ไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นมา ทำเอาคนถูกใช้ให้ถ่ายรูปให้แทบไม่อยากรับกล้องที่ยื่นมาตรงหน้า แต่ชายหนุ่มก็ตั้งใจถ่ายรูปตั้งแต่เรืออยู่กลางทะเล จนกระทั่งแล่นมาแตะที่ชายหาดของรีสอร์ต

กลุ่มของนฤมลเป็นกลุ่มสุดท้ายที่ลงจากเรือ โดยมีกรกฎลงไปก่อน ชายหนุ่มยื่นมือมาตรงหน้าเธอที่กำลังจะลงเรือต่อจากเขา แต่หญิงสาวกลับไม่ได้ให้ความสนใจมากไปกว่ามองมือใหญ่ที่ยื่นมาแล้วกระโดดลงจากเรือเอง ก่อนจะตามมาด้วยเพื่อนอีกสามคน ที่เดินลงเรือกันอย่างคล่องแคล่ว

“แปดจุดเก้าริกเตอร์พอดิบพอดี” เสียงกระซิบข้างหูนฤมลทำให้หญิงสาวตัวแข็งไปแว้บหนึ่ง ก่อนจะหันกลับมานึกถึงคำพูดที่กรกฎกระซิบบอก แสดงถึงอัตราการสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว

“ไอ้...” คำหยาบคายหลุดออกมาตามความเคยชิน แต่คราวนี้เธอยั้งเสียงไว้ไม่ให้ดังไปถึงอีกฝ่าย ด้วยยังมีความเกรงใจกันอยู่บ้าง กรกฎไม่ใช่เพื่อนที่เธอคบมาหลายปีแต่เป็นคนที่เธอเพิ่งเจอได้ไม่กี่วัน ดังนั้นเธอไม่ควรแสดงความเป็นตัวเองในด้านลบให้เขาได้เห็นมากมายนัก

คิดได้ดังนั้นนฤลจึงเปลี่ยนจากคำต่อว่าที่กำลังออกันอยู่ที่ริมฝีปาก เป็นรอยยิ้มเคลือบยาพิษแทน หญิงสาวเดินเข้าไปใกล้ชายหนุ่ม ปล่อยให้เพื่อนเดินพูดคุยกันอยู่ข้างหลัง มือขาวเอื้อมไปบิดเบาๆ ที่เนื้อแขนคนคำนวณแรงสั่นสะเทือนที่เธอกระโดดลงเรือมาเมื่อครู่ ถึงไม่แรงมากแต่มันก็พอทำให้กรกฎร้องไม่ออก

ชายหนุ่มหันมามองแขนข้างที่ถูกบิด พยายามจะดึงออกจากนิ้วที่แข็งราวกับคีมเหล็กของนฤมลแต่ไม่สำเร็จ หญิงสาวยังคงหนีบเนื้อของเขาไว้ แม้เขาจะร้องเสียงดังขึ้นเพื่อให้อีกฝ่ายตกใจเหมือนผู้หญิงทั่วไปก็ตาม แต่ตาที่พยายามถลึงให้โตขึ้นกว่าปกติบอกเขาได้ดี นฤมลเลือดเย็นกว่านั้น

“คุณ ผมเจ็บ”

“เจ็บสิดี ปากเสียพูดอะไรไม่คิด ต้องโดนอย่างนี้แหละ”

“ผมพูดอะไรที่ไหน ยังไม่ได้พูดอะไรเลย หูฝาดหรือเปล่า” คำพูดที่พยายามแถนั้น ทำให้นฤมลที่คลายแรงลงเมื่อครู่ตั้งท่าจะเพิ่มแรงบิดเข้าไปใหม่ หากไม่ทันได้ทำอะไรมือใหญ่ก็ตรงเข้ามาจับมือข้างที่เธอจับเนื้อเขาอยู่ เพื่อดึงมือเธอออก “บอกแล้วไงว่ามันเจ็บ คุณนี่พูดไม่รู้ฟัง”

สงครามสงบลงพร้อมๆ กับทั้งสี่คนเดินมาถึงบ้านของกรกฎ อีกทั้งยังเป็นที่พักของสองสาว จากนั้นศตวรรษกับณัฐจึงขอตัวกลับไปอาบน้ำที่บ้านพัก เพราะมัวแต่เดินเงียบๆ เข้าตัวบ้านไปพร้อมกล้องถ่ายรูปโดยไม่สนใจคนที่ยังยืนอยู่ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือคนที่เธอเพิ่งทะเลาะด้วยเมื่อครู่ นฤมลจึงไม่ทันได้สังเกตสายตาของเพื่อนทั้งสามที่กำลังมองกันราวกับจะสื่อสารอะไรบางอย่างผ่านทางสายตา

“คุณป้า ทำอะไรอยู่หรือคะ” ใบหน้าเรียบที่เดินเข้าบ้านมาเปลี่ยนเป็นขมวดคิ้วมุ่นแทน เมื่อเข้ามาแล้วเห็นคุณอรทัยผู้เป็นเจ้าของบ้านกำลังก้มๆ เงยๆ อยู่ที่โซฟาตัวใหญ่ที่เป็นศูนย์รวมของคนทั้งบ้านเอาไว้ดูโทรทัศน์ยามว่าง “หาอะไรอยู่หรือคะคุณป้า”

“อ้าว หนูมล หนูเม กลับมาแล้วหรือจ๊ะ ป้ากำลังหาต่างหูจ้ะ ต่างหูป้าหล่น เอาออกมาดู ขัดๆ มันบ้างทั้งสร้อยทั้งอะไร จับไปจับมาหล่นหายไปไหนเสียก็ไม่รู้ หาไม่เจอเลย ตาป้าก็ไม่ค่อยดี หนูมาก็ดีแล้วยังไงช่วยป้าหาทีนะ คู่นี้คุณเวศน์เขาซื้อให้ตอนครบรอบแต่งงานเสียด้วย ประเดี๋ยวรู้ว่าหายจะน้อยใจกันยกใหญ่”

นฤมลยิ้ม นึกภาพคุณเวศน์ตอนโกรธหรือที่คุณอรทัยบอกว่าน้อยใจไม่ออกเอาเสียเลย เธอคิดว่าคุณเวศน์เป็นผู้ชายใจเย็นที่สุดเท่าที่เธอเคยเห็นก็ว่าได้ เย็นราวกับแม่น้ำไม่ว่าคุณอรทัยจะบังคับขู่เข็ญสามีมากแค่ไหน คุณเวศน์ก็จะทำเพียงแค่ยิ้มหรือหัวเราะ แต่หากไม่เห็นด้วยก็เพียงแค่เตือนเบาๆ ไม่เคยขึ้นเสียง ก่อนหน้านี้เธอเคยคิดว่าบิดาของเธอนั้นใจเย็นที่สุดแล้ว แต่พอมาเจอคุณเวศน์เข้า พ่อเธอตกอันดับมาเป็นที่สองไปเลย คะแนนแพ้กันหลุดรุ่ย

“ลักษณะเป็นยังไงคะคุณป้า เดี๋ยวหนูช่วยหา”

คุณอรทัยบอกลักษณะไปพร้อมๆ กับการก้มหน้าก้มตาหาอยู่เช่นเดิม พอเงยหน้าขึ้นมาเธอก็เห็นภาพลูกชายยืนทำหน้าตาทำอะไรไม่ถูกอยู่ตรงหน้า “แม่ทำอะไรน่ะ”

“หาต่างหู หล่นไปไหนเสียก็ไม่รู้” คนเป็นแม่ต้องอธิบายให้ลูกชายฟังอีกครั้ง หลังจากอธิบายให้แขกฟังไปแล้วรอบหนึ่ง “แกมาช่วยแม่หาด้วยก็ดีเหมือนกัน ตาแม่ลายหมดแล้ว อ้าวหนูเมยืนตัวสั่นเชียว หนาวมากหรือจ๊ะ แม่ว่าหนูไปอาบน้ำก่อนเถอะจ้ะ จะได้ลงมาทานข้าวเย็นนะ” คนยืนตัวสั่นยืนลังเลเล็กน้อย นึกเกรงใจที่ไม่ได้ช่วยเพื่อนหาของ แต่พอเจ้าของบ้านคะยั้นคะยออีกครั้ง เธอจึงยอมเดินขึ้นไปยังห้องที่เธอพักกับนฤมล

นฤมลคลานหาตามพื้นที่อยู่ในส่วนของห้องนั่งเล่นนี้ เธอคิดว่าต่างหูอาจจะหล่นแล้วกระเด็นออกไปไกลจากจุดที่ตก แต่ไม่ว่าจะหาจนรอบห้องยังไง เธอก็ยังไม่เจอ เช่นเดียวกับกรกฎที่พยายามช่วยมารดาหาเช่นกัน ชายหนุ่มพยายามวนดูบริเวณที่มารดาบอกว่านั่งดูต่างหูอยู่แต่ก็ไม่พบสิ่งใด เพราะมัวแต่มองหาของ กรกฎที่ใช้เข่าเดินแทนเท้าอยู่นั้นจึงไม่รู้ว่าข้างหน้ามีนฤมลกำลังหาของอยู่เหมือนกัน ต่างคนต่างคลานเข้ามาใกล้กันเรื่อยๆ จนศีรษะทั้งคู่ชนกันโครม

หญิงสาวลูบหัวป้อยๆ เพื่อบรรเทาอาการเจ็บ แต่พอเงยหน้าขึ้นมาเห็นว่าเป็นใคร ใบหน้านั้นกลับไปนิ่งสนิทเช่นเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีคำต่อว่าหรือโยนความผิดให้เขาเหมือนทุกครั้ง นอกจากนั้นยังเลี่ยงออกนอกเส้นทางการค้นหา เพื่อไม่ให้เจอกับชายหนุ่มอีก ทำเอาคนโดนเมินมึนไปครู่หนึ่งกับอาการเธอ

“นี่คุณ โกรธอะไรผมหรือเปล่า” กรกฎพยายามคลานเข้ามากระซิบเบาๆ ไม่ให้ผู้เป็นแม่ที่อยู่บริเวณนั้นได้ยินด้วย

“เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร”

“เปล่าแล้วหนีผมทำไม หันหน้ามาคุยกันดีๆ สิ” เขายังคงไม่ละความพยายาม เมื่อเห็นหญิงสาวปฏิเสธแต่การกระทำกลับไม่ใช่ นฤมลเบือนหน้าหนีเขาอย่างเห็นได้ชัด ผิดจากปกติที่เวลาต่อล้อต่อเถียงกับเขาเธอจะจ้องหน้าเขาตาไม่กระพริบ... เขาทำอะไรผิดงั้นหรือ “นี่ ถ้าคุณไม่พูด ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าคุณเป็นอะไร โกรธอะไรผมหรือเปล่า”

“เรื่องไม่เป็นเรื่องน่ะคุณ เดี๋ยวก็ไม่มีอะไรแล้วคุณสบายใจได้” กรกฎขมวดคิ้วกับคำตอบของหญิงสาว คำว่า ‘เดี๋ยวก็ไม่มีอะไร’ แสดงให้เขาเห็นอย่างชัดเจนว่าตอนนี้นฤมล ‘มีอะไร’ แน่ๆ แต่ยังไม่ทันจะท้วงอะไร หญิงสาวก็ลุกพรวดเดินไปหามารดาของชายหนุ่มพร้อมกับต่างหูที่ช่วยกันตามหาเสียก่อนแล้ว

หญิงสาวขอตัวออกมาเดินข้างนอกบ้าน หลังจากหาของให้เจ้าของบ้านเสร็จเรียบร้อย สายลมริมทะเลยามเย็นทำให้จิตใจของเธอสงบลงบ้าง ไม่ฟุ้งซ่านเหมือนเมื่อครู่ที่ผ่านมา เธอไม่ควรแสดงออกอย่างนั้นกับกรกฎเลยสักนิด ชายหนุ่มเป็นเพียงคนที่เพิ่งรู้จักได้ไม่นาน ไม่ใช่เพื่อนเธอด้วยซ้ำ เป็นแค่เพียงพี่ชายของลูกศิษย์ แต่กริยาที่แสดงออกเมื่อครู่ทำให้เธอตกใจตัวเองกับการที่เข้าไปพูดคุยด้วยและการแสดงออกของความไม่พอใจ อย่างที่ไม่เคยทำกับเพื่อนคนไหน จะมีก็เพียงคนเดียวเท่านั้นที่เธอแสดงออกเช่นนี้... ปีเตอร์เพียงคนเดียวเท่านั้น

แต่กรกฎไม่ใช่ปีเตอร์... อาจเป็นเพราะนิสัยบางอย่างที่พอคล้ายกันอยู่บ้าง ทำให้เธอเผลอนึกไปว่าชายหนุ่มคือเพื่อนสนิทของเธอ รอยหยิกที่เธอฝากไว้นั่นไม่รู้ว่าเป็นรอยมากหรือเปล่า แต่พอมาคิดอีกทีก็สะใจ อยากมาว่าเธอกระโดดแล้วทำให้แผ่นดินไหวดีนัก เจอแบบนี้เสียบ้างจะได้เข็ด

นฤมลรู้สึกเหมือนมีคนมอง... หญิงสาวหันรีหันขวางแล้วสายตาก็ไปปะทะเข้ากับร่างสูงที่กำลังเดินอยู่อีกฝั่งของสนามหญ้า เธอหายใจเข้าลึกก่อนจะเดินไปยังทิศทางที่กรกฎเดินอยู่ นึกอยากขอโทษที่ทำร้ายร่างกายเขา

เสียงเดินเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ชายหนุ่มต้องหันมามอง นฤมลชะงักเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าชายหนุ่ม

“คุณ... เจ็บมากไหม” น้ำเสียงอ่อนลงอย่างไม่เคยได้ยิน พร้อมกับนิ้วชี้ที่ยกขึ้นชี้ตรงจุดเกิดเหตุ ทำเอากรกฎเหวอใบ้กินไปเล็กน้อย ก่อนจะกระแอมเรียกสติตัวเองกลับมาให้ครบถ้วน

“เอ่อ... ก็ไม่เท่าไหร่ หายแดงไปแล้ว”

“เฮ้ย แดงเลยเหรอ ขอโทษนะ ฉันเผลอน่ะคิดว่า... เอ่อ”

“คิดว่า?” เมื่อเห็นจู่ๆ ผู้ร้ายรับสารภาพเงียบไป ชายหนุ่มเลยทวนคำอีกฝ่าย กลัวเธอลืมแล้วจะไม่พูดต่อ

“ไม่มีอะไร ฉันไม่ได้คิดอะไร แค่อยากขอโทษ ขอดูแขนหน่อยสิ” ไม่พูดเปล่า มือเล็กยื่นไปจับแขนข้างที่เคยโดนเธอทำร้ายเข้าหมับแล้วพลิกดู เมื่อเห็นรอยแดงจางๆ อยู่ตรงจุดที่เธอบิดเนื้อเขา หญิงสาวก็เงยหน้าส่งยิ้มแหยอย่างรู้สึกผิดไปให้ “ขอโทษนะ เดี๋ยวมันก็หายเนอะ”

กรกฎมองหน้าแหยๆ นั้น แล้วหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือไปจับศีรษะของคนรู้สึกผิดก่อนจะผลักเบาๆ อย่างเอ็นดู “ไม่ว่าอะไรหรอกน่า มันแดงแป๊บๆ เดี๋ยวก็หาย”

“นั่นมือหรือตีน ผลักทีมึนหาทางกลับไม่ถูกเลยนะ”

“แน่ะ เล่นด้วยหน่อยลามปาม เดี๋ยวฟ้องคุณนายอรทัยให้ไล่ออกจากบ้าน” นฤมลหยุดจัดทรงผมตัวเองให้เข้าที่ แล้วหันไปยักคิ้วให้คนพูดอย่างเป็นต่อ

“จะลองไหมล่ะ ลองดูว่าคุณป้าจะเชื่อใคร”

ทำหน้าตาได้น่าหมั่นไส้มาก ยัยผู้หญิงคนนี้... กรกฎมองใบคนที่กำลังยักคิ้วส่งมาให้แล้วนึกอยากจะผลักหน้าผากมนนั้นอีกซักรอบ แต่ก็ไม่ได้ทำ เขาใช้วิธีเดินหนีเข้าบ้านแทน ตะโกนออกมาจากในตัวบ้านราวกับจะให้คนงานทั้งรีสอร์ตรู้ด้วย

“ยืนอยู่ตรงนั้นจะไม่กินข้าวใช่ไหม”

================================================

เจอกันวันอาทิตย์จ้า ^^



มิณทิมา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 ก.ย. 2555, 22:45:18 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 ก.ย. 2555, 22:45:18 น.

จำนวนการเข้าชม : 1961





<< ตอนที่ 4   ตอนที่ 6 >>
mhengjhy 22 ก.ย. 2555, 08:38:10 น.
กรกฎน่ารักกกก เนียนๆ เลยนะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account