The Royal Wedding : รักนี้ที่วังหลวง
เมื่อเจ้าชายหนุ่มรูปงามแห่งศตวรรษที่ 21 ผู้ที่สตรีทั่วราชอาณาจักรต่่างเฝ้าฝันจะได้ควงคู่ กลับถูกสี่สาวพี่น้องตระกูลหนึ่งไม่เห็นว่าสำคัญ พระองค์จะทำอย่างไร เมื่อปัญหายิ่งหนักขึ้นด้วยสมเด็จพระราชินีมีพระดำรัสต้องการได้สะใภ้หลวงเป็น 1 ใน 4 สาวนั้น

เรื่องราวของซินเดอเรลล่ายุคใหม่เริ่มต้นขึ้น ไม่แปลกและไม่แตกต่าง แต่ก็เป็นสิ่งที่ใครๆอยากสัมผัสเสมอมา
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ไม่สำคัญ

The royal wedding 11

“เป็นอะไรของเอ็ง” ทรงพลถามชินาคมที่นั่งเหม่อลอยและไม่ได้สนใจสาวไหนเลยในค่ำคืนนี้ทั้งๆที่ผับหรูร้านประจำมีดาราสาวมานั่งลอยหน้าลอยตากันเต็ม
หนุ่มลูกครึ่งมองหน้าคนถามนิดหนึ่งก่อนจะตอบอย่างเบื่อๆ “ก็...ไม่มีอะไรนี่”
ได้ฟังดังนั้น ด้วยความหมั่นไส้ของดนัย จึงแกล้งเตะขาเพื่อนให้สนุกเล่น “ทำมาขรึม โดนพ่อด่าอีกล่ะสิ วันนี้ดูจะไม่สนใจสาวคนไหนเลยนะ”
ชินาคมเริ่มไม่พอใจ ดนัยมักจะเล่นแรงเสมอ หรือนั่นอาจจะเพราะที่เขามีเลือดทหารจากผู้เป็นพ่อ
“เหอะ...ก่อนจะสนใจเรื่องคนอื่นนะ จัดการเรื่องน้องดีว่าให้ได้ก่อนเถอะ” คำพูดของชินาคมทำเอาดนัยปิดปากเงียบทันที พลางคิดในใจว่าคุณด้วยรักที่หน้าตาสะสวย กิริยามารยาทงดงามอ่อนหวานนั้นจะชอบเอาชนะและไม่เกรงกลัวใครเลย หล่อนแอบร้ายไม่เบา ขนาดทำให้ดีว่าหัวเสียได้มากมายขนาดนั้น แถมนางแบบสาวยังโกรธเขายกใหญ่ โวยวายใส่เขากลางห้างเสียงดัง เขาง้ออย่างไรก็ไม่เป็นผลสักที
“นั่นสิคะ คุณดนัยไปทำอะไรดีว่าเข้าล่ะ เห็นบอกว่าคุณมีผู้หญิงอื่นหรือ ร้ายจริงเชียว” ซาร่านางแบบสาวลูกครึ่งออสเตรเลียที่กำลังโด่งดังเป็นที่สุดในขณะนี้ ที่สำคัญหล่อนเป็นคู่ควงคนล่าสุดของเจ้าชายอิศเรศร์ ร่างบางระหงอิงแอบพระวรกายสูงใหญ่ อีกทั้งสองแขนเล็กๆนั่นยังคล้องพระพาหะแข็งแรงแสดงท่าทีเป็นเจ้าของ
ได้ยินดังนั้น ดนัยจึงหน้าซีดเผือด เขารีบกระดกเหล้าเข้าปากอึกใหญ่ “นอกใจอะไรกันครับ คุณผู้หญิงคนนั้นผมรู้จักที่งานเลี้ยงวังเจ้าชายต่างหาก คุณด้วยรักน่ะฝ่าบาท ทรงจำได้ไหม”
เจ้าชายทรงขมวดพระขนงด้วยความไม่พอพระทัย นั่นก็เพราะว่าหากสาวสวยข้างพระวรกายพระองค์ทรงทราบเรื่องงานเลี้ยงคืนนั้นขึ้น เจ้าหล่อนจะต้องซักอะไรอีกมากมายเป็นแน่
ซาร่ากระชับแขนที่กอดรัดพระพาหะของเจ้าชายให้แน่นขึ้น พลางแกล้งเอียงคอถามให้ดูน่าเอ็นดู ทั้งๆที่ในใจเริ่มรู้สึกขุ่นมัว อะไรกัน เจ้าชายทรงจัดงานเลี้ยงแล้วมีผู้หญิงมากมาย แต่ไม่ได้ชวนหล่อนอย่างนั้นหรือ
“เอ๊ะ งานเลี้ยงอะไรกันเพคะ ซาร่าไม่เห็นทราบ”
ดนัยที่บัดนี้เริ่มรู้สึกตัวว่าได้ทิ้งระเบิดลูกใหญ่ลงระหว่างเจ้าชายและสาวสวย ก็รีบก้มหน้าก้มตาดื่มเหล้าต่อไป ส่วนเจ้าชายก็ทรงแต่งเรื่องโกหกขึ้นมาทันทีทันใด มีทรงพลนั่งไขว่ห้างเท้าคาง และอมยิ้มแอบฟังสหายของเขาแต่งเรื่องหลอกลวงด้วยความคล่องแคล่ว ทุกคนลืมสนใจชินาคมที่ค่อยๆขรึมขึ้นเรื่อยๆ ขณะจ้องไปที่เจ้าชายและซาร่าพลางฟังพระองค์ปั้นน้ำเป็นตัว
ที่เขาเหม่อลอยและขุ่นมัวจะเนื่องด้วยจากสาเหตุอะไรล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณแสนดีคนนั้นที่เขาตกหลุมรักทันทีตั้งแต่แรกเห็น และดูหล่อนจะเป็นมิตรและชอบเขาไม่น้อย ดูจากการที่เธอเต้นรำกับเขาตลอดเวลาไม่ได้เปลี่ยนคู่เลยจนกระทั่ง.....จนกระทั่งจู่ๆหล่อนก็หายไปและกลับมาอีกครั้งด้วยการเปิดฟลอร์คู่กับเจ้าชาย...แน่นอนดูเจ้าชายจะพอพระทัยหล่อนมาก เต้นติดต่อกันยาวจนเพลงสุดท้ายเลยทีเดียว ทิ้งให้เขาต้องนั่งคุยกับคุณยาใจที่ออกจะพูดน้อยและขรึมเสียเหลือเกิน แล้วดูวันนี้สิ เจ้าชายรูปงามก็ควงนางแบบชื่อดัง สร้างความหวานแหววต่อหน้าทุกคน...ชินาคมไม่เคยคิดจะแย่งและแข่งขันกับเพื่อนของเขาในเรื่องผู้หญิงเลยสักครั้งเดียว แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ เขามาก่อน และเจ้าชายที่มีผู้หญิงของตัวเองอยู่แล้วควรจะถอยไป...
หนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นลุกขึ้นท่ามกลางสายตาแสดงความสงสัยของเพื่อนฝูง “หม่อมขอตัวก่อนนะฝ่าบาท ไอกลับละ ทรงพล ดอน ลาก่อนครับคุณซาร่า” ว่าแล้ว ร่างสูงสมส่วนก็เดินออกจากกลุ่มของเขาไป ระหว่างทางแม้จะมีสาวๆพยายามเดินเบียดมาชนหรือส่งสายตาให้ แต่ใบหน้าหล่อเหลาก็ยังคงเต็มไปด้วยความบึ้งตึง
‘คุณแสนดี....ผมอยากเจอคุณอีกจริงๆ’ ชินาคมคิดในใจ
“ชิ เป็นอะไรหรือเปล่า ยังไม่ดึกไม่ใช่หรือทำไมรีบกลับ” เจ้าชายตรัสถามคนอื่นๆ
ทรงพลมองนาฬิกาข้อมือ “3 ทุ่มครึ่งเองฝ่าบาท เราพึ่งมากันได้แค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น”
“เออ มันจะรีบไปไหนกัน สงสัยโดนพ่อด่าจริงๆฝ่าบาท เพราะได้ข่าวว่ามันขาดประชุมบริษัทบ่อย แล้วคุณแม่ญี่ปุ่นของมันกลับไปเยี่ยมญาติเลยไม่มีใครคอยเข้าข้างล่ะมั้ง” ทรงพลอธิบายได้เป็นฉากๆ
3 ทุ่มครึ่งเท่านั้นหรือ...เจ้าชายคิดและรู้สึกแปลกๆ เพราะวันนี้เหมือนว่าพระองค์ต้องมีธุระอะไรบางอย่าง เจ้าชายทอดพระเนตรสาวสวยที่นอนซบไหล่ของพระองค์ พลางนึกถึงสาวอีกคนขึ้นมาได้
พระหัตถ์ค่อยๆแกะแขนเล็กบางนั่นออกจากพระวรกายของพระองค์ ก่อนจะกระซิบข้างหูหล่อนเบาๆ “ผมคงต้องกลับก่อนละ” สาวสวยหันมาสบพระเนตรคู่งาม พลางขมวคิ้วเป็นเชิงสงสัย
“มีอะไรหรือเพคะ พึ่งมากันเอง” ดวงหน้าหวานและน้ำเสียงออดอ้อน ทำเอาเจ้าชายพระทัยอ่อนและแย้มสรวลเอาอกเอาใจ “มีธุระนิดหน่อย คงไม่โกรธกันนะ” เสียงทุ้มยังคงกระซิบเบาๆ ทำเอาสาวสวยหน้าแดง และแกล้งทำแก้มป่องงอน
“หม่อมฉันไม่กล้าโกรธหรอกเพคะ” หล่อนสะบัดเสียงนิดๆพอดูน่ารัก
เจ้าชายจึงจุมพิตที่หน้าผากมนของหล่อนทีหนึ่ง พร้อมพูดด้วยเสียงนุ่มๆต่อไป “ไม่เอาน่า พรุ่งนี้ก็ได้เจอกันอีก แล้วผมจะไปหาที่คอนโดนะ”
ท่าทีที่ใส่ใจและพิศวาสอย่างนี้ ทำเอาหล่อนอ่อนระทวยและหลงเชื่อกับพระดำรัสพระองค์เสียทุกอย่าง
“เพคะ แล้วหม่อมฉันจะรอ แต่อย่าให้รอนานจนคิดถึงนะเพคะ” ประโยคสุดท้าย เจ้าชายได้ฟังแล้วนิ่งคิด
คิดถึงอย่างนั้นหรือ....หล่อนคิดถึงพระองค์แล้วตัวองค์เองล่ะ....จะใจร้ายไปไหม หากในพระทัยแล้ว พระองค์มีแต่ความ ‘นึกถึง’ ให้หล่อนเท่านั้น
เจ้าชายล่ำลาทุกคน ก่อนจะสั่งเสียดนัยและทรงพลให้ไปส่งซาร่าที่คอนโด
พระวรกายสูงใหญ่เดินออกจากผับหรูตามชินาคมไปแล้ว ปล่อยให้พระสหายทั้งสองนั่งสงสัยกันว่าทั้งสองคนที่รีบกลับนี้มีปัญหาอะไร



“ฝ่าบาท มีธุระอะไรกับกระหม่อมหรือ” หลวงสีหนาทในชุดกางเกงแพรและเสื้อกล้ามออกมาต้อนรับเจ้าฟ้าชายอิศเรศร์ที่เสด็จมาเยี่ยมยามค่ำคืน
เจ้าชายรุ่นหนุ่ม แย้มสรวลด้วยความไม่มั่นพระทัย พระองค์เพียงแต่นึกถึงยาใจและอยากมาขอโทษเธอตามคำชวนของแสนดีเมื่อวาน แต่ทว่าทรงลืมไปว่าป่านนี้ก็ออกจะมืดมากแล้วและหลวงสีหนาทอาจจะไม่พอใจ
“คือ...คุณหลวง...คุณยาใจอยู่หรือเปล่า เรามีธุระจะคุยด้วย” สิ้นพระสุรเสียง หลวงสีหนาททำสีหน้าถมึงทึงและแสดงแววตาที่แข็งกร้าว
เจ้าฟ้าชายตรัสด้วยพระสุรเสียงและท่าทางที่อ่อนน้อมมากขึ้น “ถ้าคุณหลวงจะกรุณา.....”
กรุณาอย่างนั้นหรือ.....ใครจะกล้าขัดพระทัยพระองค์ หรือจะเป็นจริงอย่างที่แสนดีว่า เจ้าชายพอพระทัยยาใจ
“มิได้ฝ่าบาท เชิญประทับข้างในก่อน เดี๋ยวหม่อมฉันจะไปตามลูกสาวให้” หลวงสีหนาทหายไปเกือบสิบนาที ปล่อยให้เจ้าชายทรงกระวนกระวนกระวาย คิดไม่ออก ว่าจะตรัสกับหล่อนเช่นไร
ไม่นานนักก็มีเสียงคนคุยกันค่อยๆดังเข้ามาใกล้ๆห้องรับแขก พระวรกายสูงใหญ่ที่ประทับนั่งอยู่รีบประทับยืนอย่างสง่าทันใด แต่ทว่าพระหัตถ์ทั้งสองนั้นเย็นเฉียบ
ยาใจในชุดกระโปรงอยู่บ้านเรียบๆ ผมเผ้าปล่อยยาวสยาย เนื่องจากหล่อนเตรียมตัวที่จะอาบน้ำอยู่แล้ว แต่โดนเรียกตัวมาเสียก่อน ใบหน้าเรียบร้อยค่อนไปขรึมออกจะสงสัยในการเสด็จมาธุระครั้งนี้
เจ้าชายทรงรู้สึกตื่นเต้น เมื่อได้เห็นใบหน้าหวานๆนั้น พระทัยของพระองค์ออกจะเต้นแรง ที่สำคัญ หล่อนไม่ได้มาคนเดียว มีด้วยรักในชุดเสื้อคลุมสีเข้มเรียบร้อยที่รีบถอนสายบัวแล้วเดินไปเช็ดแกรนด์เปียโนที่อยู่ไม่ไกลนัก และเปี่ยมสุขที่ถอนสายบัวให้เจ้าชายอย่างขึงขังก่อนจะเดินไปทำทีหาหนังสืออ่านใกล้ๆแกรนด์เปียโน
เช็ดเปียโนและอ่านหนังสือตอนนี้เนี่ยนะ!!!! พวกหล่อนนี่ร้ายจริงๆ เจ้าชายทรงคิดอย่างขันในพระทัย
ยาใจค่อยๆย่อตัวถอนสายบัว เจ้าชายหนุ่มจึงแย้มพระสรวลน้อยๆ ประทานให้
“เชิญประทับสิเพคะ” สาวน้อยกล่าวเสียงเรียบเฉย ใบหน้าของหล่อนจ้องมองว่าที่มกุฏราชกุมารด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกความรู้สึกใดใด
เจ้าชายอิศเรศร์ค่อยๆประทับนั่งไม่ใกล้หล่อนมากนัก ทรงรีบตั้งสติและพยายามเรียบเรียงพระดำรัส
“คือ....คุณยาใจ เรื่องที่ทำให้คุณเข้าใจผิด ผมคงต้อง...เอ่อ...ขอโทษ”
ยาใจจ้องพระพักตร์คมคายหล่อเหลานิ่งงัน ชั่วขณะนั้น เจ้าฟ้าชายออกจะทรงรู้สึกหนาวๆร้อนๆ ผู้หญิงบ้านนี้น่ากลัวเหมือนกันหมด ทั้งคนที่อ่อนหวาน แก่น เรียบร้อย และ....อย่างแสนดีนี่จะเรียกว่าอะไร...อวดดี คงจะเหมาะ
และแล้วดวงหน้าหวานก็คลายความขรึม ก่อนจะยิ้มละไมถวายให้เจ้าชายอิศเรศร์
“หม่อมฉันเข้าใจดีเพคะ ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร ยายแสนก็ได้อธิบายให้หม่อมฉันฟังหมดแล้ว พระองค์ไม่จำเป็นต้องขอโทษหม่อมฉันหรอกเพคะ”
รอยยิ้มของหล่อนและน้ำเสียงนุ่มๆ ทำเอาเจ้าชายใจชื้นขึ้นเป็นกอง พระองค์คิดว่าหล่อนต้องให้อภัยตัวองค์เองยากเป็นแน่ เนื่องจากวันนั้นหล่อนดูโกรธเขาเสียเหลือเกิน แต่แล้วเรื่องกลับไม่ได้เป็นดังคาดก่อนจะตรัสด้วยพระสุรเสียงแห่งความยินดี แต่ในใจทรงรู้สึกแปลกๆบางอย่าง

“ขอบใจที่คุณเข้าใจผม คือเอ่อ....” สายพระเนตรเหลือบไปเห็นสองสาวพี่น้องที่คน
หนึ่งหยุดเช็ดเปียโน และอีกคน แสร้งมายืนอ่านหนังสือใกล้ๆบุคคลทั้งสอง ทั้งด้วยรักและเปี่ยมสุข ทำท่าตั้งใจฟังสิ่งที่เจ้าชายอิศเรศร์กำลังจะตรัสอย่างออกนอกหน้า แต่เมื่อรู้ตัวว่าพระองค์ทอดพระเนตรกลับมาอย่างรู้ทัน สองสาวพี่น้องจึงแสร้งสนใจในกิจกรรมของตัวเองต่อไป
ยาใจและเจ้าชายหนุ่มหล่อ ยิ้มให้กันอย่างขัน ก่อนจะสบตากันชั่วขณะหนึ่ง จนสาวน้อยรู้สึกตะขิดตะขวงใจ จึงกล่าวว่าจะไปเตรียมพระสุธารสชามาถวาย ด้วยความเขินอายเช่นกันเจ้าชายอิศเรศร์ทรงขอเดินตามหล่อนไปที่ครัวด้วย แต่ก็ไม่มีทางคลาดสายตาของคนในบ้านไปได้ เพราะที่โถงทางเดินก่อนถึงห้องครัว มีหลวงสีหนาทยืนกระแอมเสียงดัง กำลังขัดปืนกระบอกใหญ่รุ่นเก่าอยู่
เจ้าชายนึกขันครอบครัวนี้ที่สามัคคีกันดีเหลือเกิน
เมื่อถึงห้องครัว ยาใจได้ชงพระสุธารสชาถวาย เจ้าชายทรงรับมาด้วยความยินดี
ก่อนจะตรัสขึ้นเบาๆ “คุณยาใจ คุณว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญอย่างนั้นหรือ”
ยาใจแปลกใจในพระดำรัสนั่น ก่อนจะนั่งลงในเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง “ทำไมหรือเพคะ ก็สิ่งที่พระองค์ทำนั้น หม่อมฉันเข้าใจดีเพคะ จริงตามที่ยายแสนบอก” พูดเสร็จยาใจก็สังเกตได้ถึงสีพระพักตร์ที่แสดงความรู้สึกฉงน
หล่อนกลัวว่าพระองค์อาจน้อยใจที่หล่อนบอกว่าไม่ต้องขอโทษ“แต่....แต่ หม่อมฉันเป็นเกียรติ และยินดีมากเพคะ ที่พระองค์ตรัสขอโทษ ทั้งๆที่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร จริงๆแล้วหม่อมฉันต่างหากที่ต้องของประทานอภัย เพราะวันนั้นเสียมารยาทเดินจากมาเสียดื้อๆ”
เจ้าชายหนุ่มตรัสแย้งทันที “เปล่าครับผมไม่สนเรื่องที่คุณอยากให้ผมขอโทษไหม แต่คุณแสนดีพูดอะไรหรือครับ ที่ทำให้คุณเข้าใจเป็นอย่างดี”
ยาใจตาวาว เมื่อนึกถึงคำพูดน้องสาว “แสนดีบอกว่า พระองค์ทรงไม่ได้ตั้งใจทำที่จะให้เกิดเหตุการณ์อย่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก”
ได้ยินดังนั้น เจ้าชายอิศเรศร์แย้มพระสรวลอย่างพอพระทัย “ขอบใจที่พวกคุณเข้าใจผม แล้ว...แสนดีล่ะครับ เธอนอนแล้วหรือ ผมไม่เห็นเธอเลย อ้อคุณหญิงวิสาด้วย”
ยาใจรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที “คุณแม่นอนแล้วค่ะ แต่ยายแสนยังหรอกค่ะ อ่านนิยายตาบวมอยู่ ที่ไม่ลงมาเพราะบอกว่าเป็นเรื่องส่วนพระองค์ ไม่อยากยุ่งน่ะเพคะ ทรงอยากพบใช่ไหมเพคะ หม่อมฉันจะเรียกให้” ว่าแล้วหล่อนก็รีบถอนสายบัวก่อนจะขึ้นไปตามแสนดีที่ชั้นบน ทั้งๆที่เจ้าชายยังไม่ได้ตรัสอะไร
ยาใจหาโอกาสจะปลีกตัวออกมาตั้งนานแล้วแต่ไม่ได้จังหวะเหมาะเสียที หล่อนไม่ได้โกรธพระองค์หรอก แต่แววพระเนตรเจ้าชู้นั้นทำเอาหล่อนไม่อยากอยู่ใกล้ด้วย แสนดีพูดถูก...คนที่หล่อนชอบไม่ว่าเขาจะเป็นใครหล่อนก็ต้องชอบอยู่วันยังค่ำ แต่นี่ไม่ใช่ เจ้าชายอิศเรศร์ตัวจริง ไม่เคยทำให้หล่อนรู้สึกอะไรเลย มีเพียงแต่ความรู้สึกเฉยๆต่อพระองค์เท่านั้น
“แสนดี เจ้าชายทรงอยากพบ” ยาใจบอกน้องสาวด้วยสาตาตื่นเต้น “ตรัสถึงน้องหลายครั้ง ลงไปสิ อย่าเสียมารยาท”
แสนดีเงยหน้าจากหนังสือด้วยความไม่สบอารมณ์ แต่แล้วหล่อนก็ถูกลากตัวลงมาถอนสายบัวต่อหน้าพระพักตร์จนได้
หลวงสีหนาทไล่ลูกสาวจอมอยากรู้ทั้งสองคนที่เหลือขึ้นห้องนอน เหลือเพียงตัวเขาเองที่ยังคงเช็ดกระบอกปืนอยู่เป็นเพื่อนลูกสาวคนเล็กต่อไป แม้จะสงสัยว่าแสนดีเกี่ยวข้องอะไรกับเหตุการณ์นี้ด้วยก็ตาม
หนุ่มสาวสองคนจ้องหน้ากันด้วยความรู้สึกสงสัย ไม่มีเรื่องต้องพูดจาอะไรกันนี่นา
“นั่งสิคุณแสนดี เอ่อ อ่านหนังสืออีกแล้วหรือ เรื่องอะไรล่ะ”
แสนดียิ้มน้อยๆ “รหัสลักษณ์แห่งสี่ เชอร์ล็อกโฮล์มที่ฝ่าบาทประทานให้อย่างไรล่ะเพคะ”
เจ้าชายมองหล่อนในชุดคลุมนอนสีหวาน ผมยาวปล่อยสยายดำขลำ ใบหน้าออกอาการง่วง แต่กลับน่าเอ็นดูดีเหมือนกัน
“ผมจะขอบใจคุณที่อธิบายเรื่องเข้าใจผิดนั้นให้คุณยาใจฟัง” พระองค์กล่าวเรียบๆ
แสนดีแสดงท่าทีรื่นเริง “มิเป็นไรมิได้ฝ่าบาท เรื่องเล็กน้อยเหลือเกิน”
จะไม่ให้เป็นเรื่องเล็กน้อยได้อย่างไรล่ะ ในเมื่อแสนดีออกจะโล่งใจที่พี่สาวของตนไม่ได้ตกหลุมรักเจ้าชายขี้หลี ที่สำคัญ สี่สาวพี่น้อง ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรในตัวพระองค์เลย แต่เรื่องปลอมตัวเล็กๆน้อยๆนั่น ไม่ได้กระทบต่อความรู้สึกของใครทั้งนั้น
เจ้าชายประทับยืน มองสาวน้อยที่ส่งยิ้มให้พระองค์อย่างเดียงสา ไม่มีอาการอาย ไม่ได้งอน ไม่ได้....เหมือนสาวๆบ้านนี้ ไม่ได้มีความรู้สึกยินดียินร้ายใดใดต่อพระองค์เลย
ราวกับว่า...พระองค์ไม่ได้สลักสำคัญอะไรต่อชีวิตพวกเธอจริงๆ
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวกลับก่อน ดึกมากแล้ว ขออภัยที่มารบกวน ฝากราตรีสวัสดิ์พี่สาวทั้งสามของคุณด้วย” ตรัสปิดการสนทนา แต่ในพระทัย ยังคงมีความรู้สึกที่ค้างคา
แสนดีเดินไปส่งพระองค์ถึงรั้วหน้าบ้าน มีหลวงสีหนาทถือปืนกระบอกใหญ่จ้องเขม็งมาจากทางเข้าข้างใน
แสนดีถอนสายบัวลาพระองค์ แต่ขณะที่พระวรกายสง่าจะประทับขึ้นรถพระที่นั่ง เจ้าชายก็หันมาตรัสถามหล่อน ในสิ่งที่ค้างคาใจและออกจะทำให้พระองค์ขุ่นมัวเหลือเกิน
“มันไม่สำคัญเลยหรือคุณแสนดี ทั้งๆที่ผม...ผมนึกขึ้นได้และรีบมาขอโทษพวกคุณยามดึก แต่...พี่สาวคุณและคุณ! บอกว่ามันเป็นเรื่องเล็ก ไม่สลักสำคัญ!”
ดวงตากลมแจ๋วจ้องพระพักตร์คมคายที่แสดงถึงความไม่พอพระทัย ด้วยความสนเท่ห์
“อะไรนะเพคะ”
นัยน์ตาบริสุทธิ์คู่เดิม ที่เคยมองพระองค์ด้วยความดูถูก หยิ่งผยอง และขบขัน ไม่เคยเปลี่ยนไป ทำไมกัน แววตาเดียงสาคู่นี้...ช่างปรักปรำพระองค์เหลือเกิน
เจ้าชายรูปงามทอดพระเนตรไปในความมืดมิดข้างหน้า “ช่างเถอะคุณแสนดี” ก่อนจะทรงสบพระเนตรกับหล่อนด้วยความยโส แล้วประทับขึ้นรถออกไปไกล


ห้องสมุดฝรั่งในวันธรรมดามีผู้คนมาเยี่ยมเยียนออกจะบางตาไปบ้าง แต่เจ้าหน้าที่บรรณารักษ์ทุกคนกลับทำงานกันอย่างแข็งขันเช่นเคย
“ทิพ หนังสือเก่าที่จะนำมาโละขายน่ะ แยกกองไว้หรือยังจ๊ะ” แสนดีที่กำลังๆก้มๆเงยเก็บหนังสือที่คนอ่านมาคืนเข้าชั้นตามรหัส
ทิพ หรือทิพมาศ สาวร่างสูงโปร่ง ใบหน้าออกหมวยเงยหน้าขึ้นมาจากจอคอมพิวเตอร์ “แล้วจ้ะ ทิพเก็บไว้ในตู้ห้องเก็บของน่ะ เยอะพอดูนะ แต่ยังไม่ได้ปัดฝุ่นเลย งานครบรอบ 120 ปี ของห้องสมุดเราจะจัดกันเมื่อไหร่ล่ะ”
สิปรางซึ่งเป็นคนติดต่อประสานงานในการจัดงานยิ่งใหญ่ประจำปีของห้องสมุดในครั้งนี้จึงเอ่ยขึ้น “วันที่ 16 เดือนหน้าอย่างไรล่ะ บอสเอรินแจ้งฉันมาแล้ว หล่อนบอกให้ฉันส่งจดหมายเชิญคุณหญิง
จรินทร์มาเป็นประธานในงานด้วยนะ”
ได้ยินชื่อคุณหญิงจรินทร์ แสนดีก็ทำตาโตขึ้นมาทันที “คุณหญิงจะมาเหรอ ตายแล้ว!!! ปราง ฉันขอเป็นคนถือพานตัดริบบิ้นได้ไหมล่ะ ฉันข้อร้องล่ะนะ”
สิปรางมองเพื่อนสาวด้วยอารามตกใจ แสนดีไม่เคยดูตื่นเต้นขนาดนี้มาก่อน “เอ่อแสน...ฉันกะว่าจะเป็นคนเชิญพานเองแหละ แต่ถ้าเธออยากถือพานก็ได้จ้ะ”
ทิพมาศได้ยินดังนั้นเลยหัวเราะ “แสนเขาปลื้มคุณหญิงจรินทร์น่ะจ้ะ ยอมเขาไปเถอะนะปราง”
แล้วสามสาวก็คุยกันเรื่องงานครบรอบ 120 ปี ของห้องสมุดฝรั่งอย่างสนุกสนาน เนื่องจากวันนั้นจะมีกิจกรรมมากมาย ทั้งการจัดแสดงนิทรรศการภาพวาดสีน้ำ การขายหนังสือเก่าที่ได้รับความนิยมเสมอ การจัดซุ้มหนังสือและแข่งต่อจิ๊กซอว์สำหรับเด็กๆ และจัดให้มีการสมัครสมาชิกฟรีตลอดปี
แต่แล้วการสนทนาก็ถูกขัดจังหวะขึ้น เมื่อสิปรางหยุดพูดเสียดื้อๆ อีกทั้งตาค้างจ้องมองบางอย่างไม่วางตา ทำให้แสนดีและทิพมาศต้องหันไปมองตามด้วย
ใบหน้าขาวเนียนออกแนวญี่ปุ่น คิ้วเข้ม ปากแดงตามธรรมชาติ รับการร่างสูงโปร่ง และมาดโก้ในชุดเสื้อเชิ้ตเนื้อดีและกางเกงแสล็คแบบคนทำงานออฟฟิศ ชายหนุ่มในมือหนึ่งถือช่อดอกไม้ พลางส่งยิ้มที่คิดว่ามัดใจสาวได้ดีที่สุด
“สวัสดีครับคุณแสนดี” ชินาคมเอ่ยทักหล่อน ท่ามกลางความตกตะลึงของเพื่อนสาว
สิปรางและทิพมาศมองหน้าเพื่อนด้วยสายตาแสดงถึงคำถาม แสนดีก็ประหลาดใจไม่แพ้เพื่อน คุณชินาคมจะมาทำไม แล้วยังดอกไม้ในมือนั่นอีก
แต่หล่อนก็ต้องสนทนากลับไปตามมารยาท “สวัสดีค่ะคุณชินาคม มีอะไรให้ฉันช่วยหรือ”
ชินาคมยิ้มกว้างอย่างยินดี หล่อนเปิดทางให้เขาแล้ว ก่อนจะย่างอย่างมั่นใจตรงไปหาสาวน้อยในชุดกระโปรงสีเข้ม โดยที่ไม่ได้สนใจในสายตาอีกสองคู่ที่จ้องเขาอยู่เลย
“มีแน่ครับ ถ้าคุณไม่รังเกียจ....เอ้อ...ที่จะไปทานข้าวกลางวันกับผม” เขาพูดราวกับมั่นใจ แต่มือที่ถือดอกไม้อยู่นั้นเย็นเฉียบ
แสนดีสบตาเขาอย่างประหลาดใจ หล่อนไม่อยากเออออไปเอง แต่การกระทำแบบนี้บ่งบอกว่าเขาจะ ‘จีบ’ เธอ
แสนดียิ้มบาง “คือ ฉันไม่รังเกียจหรอกนะคะ แต่ฉันนัดพี่สาวไว้แล้วน่ะค่ะ” หล่อนไม่ได้โกหก แต่วันนี้เปี่ยมสุขมาทำธุระที่ชมรมขี่ม้าและจะมารับหล่อนไปทานข้าวเที่ยงด้วยกันจริงๆ....โชคดีไป เพราะถ้าไม่อย่างนั้นเธออาจจะโกหก ก็เพิ่งรู้จักเขาไม่กี่ครั้ง จะให้ไปไหนสองต่อสองกันอย่างนั้นหรือ
ชินาคมยิ้มค้าง...นั่นสิ...จริงๆแล้วเขาก็ทำใจมาล่วงหน้าบ้างแล้วว่าผู้หญิงอย่างหล่อนอาจจะปฏิเสธ แต่การที่กลัวเจ้าชายเพื่อนสนิทจะทำคะแนนนำ เขาเลยต้องรีบแจ้นมาทันที
หนุ่มหล่อทำคอตก จะทำอย่างไรดี เขาชอบเธอจริงๆ และไม่อยากเสียโอกาสที่จะได้สานสัมพันธ์ไป ความเจ้าชู้และมาดเท่ห์ๆของเขาไม่เคยใช้ได้กับเธอ แสนดีมักจะทำสีหน้าที่เดาความคิดได้ยากเสมอ แต่แน่นอน คาสโนว่า ฆ่าอย่างไรก็ไม่ตาย
“เหรอครับ ถ้าอย่างนั้น ชวนพี่สาวคุณไปทานข้าวด้วยกันสิครับ คนไหนล่ะครับ คุณด้วยรัก หรือคุณยาใจ”
แสนดียิ้มเหมือนเจ้าเล่ห์ “พี่เปี่ยมน่ะค่ะ เปี่ยมสุข จำได้ไหมคะ” เพราะถ้าเป็นเปี่ยมสุข ชินาคมอาจจะกลัว เพราะเขาเคยแอบอ้างว่าเป็นเพื่อนสนิทหล่อน
ได้ผล เขาหุบยิ้มเล็กน้อย สายตาและสีหน้าบ่งบอกถึงความกังวล
ซวยล่ะสิไอ้ชิ....คุณเปี่ยมสุขเสียด้วย เจ้าชายตรัสว่าคนนี้ดุที่สุด...จะเอาอย่างไรดี
ชินาคมปั้นยิ้มหล่อรักษามาด “คุณเปี่ยมสุขนั่นเอง ดีเลยครับ ถ้าคุณสองคน เอ่อ....ไม่รังเกียจผม”
แสนดีจ้องตาเขา แววตาขี้เล่น ใจดี ที่ดูจะมีความกังวล แต่เขาก็กลับยืนยันในคำพูดเดิม ให้โอกาสเขาบ้าง อีกทั้งพี่เปี่ยมไปด้วย ก็คงไม่มีปัญหาอะไร
“ค่ะ คงต้องรอพี่เปี่ยมสักครู่นะคะ”
ชินาคมแทบจะกระโดดด้วยความดีใจ ใบหน้าขาวมีเลือดสูบฉีดทันใด รอยยิ้มกว้างผุดขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะยื่นช่อดอกไม้สวยงามส่งให้หล่อน
“นี่สำหรับคุณครับ” เขาพูดเสียงนุ่ม แสนดีได้แต่รับมาอย่างยิ้มๆ หล่อนไม่ได้ใจเต้นและเขินอายอะไร
บางที...การมีเพื่อนต่างเพศบ้างอาจจะเป็นเรื่องดี...แค่เพื่อนน่ะ
ชินาคมขอตัวไปนั่งรอเปี่ยมสุขในมุมอ่านหนังสือพิมพ์ ปล่อยให้แสนดีถูกเพื่อนๆรุมล้อมซักถาม
ในมุมอ่านหนังสือพิมพ์เล็กๆ หนุ่มมาดโก้ หน้าตาหล่อเหลา การศึกษาดี มีชาติตระกูล กำลังเหงื่อแตก และรีบกดรัวเบอร์มือถือโทรหาเพื่อน
ไอ้ดนัยคงออกมาตอนบ่ายไม่ได้เพราะทำราชการ เจ้าชายยิ่งแล้วใหญ่คงกำลังประชุมสภา มีแต่ทรงพลเท่านั้นที่คงช่วยเขาได้
ปลายสายรับด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า “มีอะไรพ่อญี่ปุ่น งานการไม่ทำ”
ชินาคมเหงื่อแตกพลั่ก เมื่อนึกถึงหน้าเปี่ยมสุข ทั้งสวยทั้งห้าว คงจะหวงน้องสาวน่าดู
“ไอ้พล บ่ายว่างใช่ไหม ช่วยไอด้วย”



“ยายแสน สั่งเมนูที่แพงที่สุดเลยนะ” เปี่ยมสุขกระซิบบอกน้องสาว พลางหันไปแกล้งยิ้มหวานใส่ชินาคมและทรงพล

“วันนี้พวกคุณว่างกันหรือคะ”

ชินาคมปั้นหน้าไม่ถูก เนื่องด้วยรู้สึกเกรงเปี่ยมสุข ดูเธอจะไม่ไว้ใจเขา ทำท่ารู้ทัน และไม่ยอมเสียเปรียบเลยแม้แต่นิดเดียว ที่สำคัญ เขาไม่ได้ว่างมากมายหรอก มีประชุมกรรมการผู้จัดการบริษัท แต่เขาก็แอบโดดออกมาอย่างเคย

“ครับ แล้วคุณเปี่ยมล่ะฮะ วันนี้ไม่ต้องซ้อมขี่ม้าหรือ” หนุ่มหน้าญี่ปุ่นรีบเปลี่ยนเรื่องเบี่ยงเบนความสนใจ

เปี่ยมสุขดื่มน้ำส้มคั้นอึกใหญ่อย่างชื่นใจก่อนจะตอบฉะฉาน “ไม่ต้องค่ะ ว่าแต่คุณชินาคมและคุณทรงพลทำงานอะไรอยู่หรือคะ”

ชินาคมมองหน้าทรงพลเป็นการขอความช่วยเหลือ หล่อนจะมาไม้ไหนกัน แล้ววันนี้เขาจะได้คุยกับแสนดีไหม

“ผมช่วยบริษัทส่งออกของพ่ออยู่น่ะครับ” เขาพูดตอบ พลางสายตามองไปที่แสนดี เห็นเธอยิ้มกลับมาเขาก็ชื่นใจ นี่เขากำลังทำอะไรอยู่เนี่ย มาสัมภาษณ์สมัครงานหรืออย่างไร

“แล้วทำตำแหน่งอะไรเหรอคะ แบบว่าไม่ยุ่งหรือบ่ายๆแบบนี้ อาจจะต้องมีประชุมหรือเปล่า” พี่สาวคนสวยพูดหยั่งเสียง อยากลองแกล้งคนคนนี้ดูเสียหน่อย เขาเคยเอาหล่อนไปอ้างว่าเป็นเพื่อนสนิท ขอหล่อนเอาคืนเล็กๆน้อยๆหน่อยเถอะ

ชินาคมยิ้มจางๆแบบแบ่งรับแบ่งสู้ มีทรงพลนั่งมองเปี่ยมสุขด้วยความสงบ ผู้หญิงคนนี้ ลูกเล่นเยอะจริงๆ
“ผมเป็นกรรมการผู้จัดการน่ะครับ บ่ายนี้ก็เอ่อ...”

“ผมเปิดบริษัทนำเข้ารถยนต์น่ะฮะ งานค่อนข้างยุ่งเพราะตอนนี้ต้องทำการนำเข้ารถรุ่นใหม่ อ้อ บริษัทของผมเป็นผู้สนับสนุนชมรมขี่ม้าแห่งภัทรประเทศอย่างเป็นทางการในการเข้าร่วมแข่งขันโอลิมปิกด้วยนะฮะ ไม่ทราบว่าคุณเปี่ยมรู้หรือเปล่า แต่บริษัทเรามีนโยบายมอบรถรุ่นใหม่ล่าสุดจากเยอรมันให้ผู้ที่ได้เหรียญทองกลับมา คุณเปี่ยมอาจจะสนใจ ถ้ายังไงผมมีโบรชัวร์ของรถรุ่นนี้ติดมาด้วย อ้อ นี่ไงครับ” ว่าแล้วทรงพลที่นั่งขรึมอยู่ตั้งนานก็พูดด้วยความนิ่งแต่ลื่นไหลช่วยเบี่ยงเบนความสนใจของเปี่ยมสุขออกจากตัวชินาคม

หล่อนออกจะตกใจเล็กน้อย เพราะผู้ชายใบหน้าคมเข้ม และมาดนิ่งสงบแตกต่างจากชินาคมตรงหน้า ไม่น่าจะเป็นคนพูดเก่งและดึงดูดความสนใจไปได้อย่างชาญฉลาด หล่อนรู้ทันหรอก ว่าเขาจะช่วยเพื่อน แต่ด้วยมารยาทอันดี หล่อนจึงต้องทำทีสนใจแผ่นพับโฆษณารถหรูตรงหน้า

เมื่อโอกาสเปิดให้เพียงนี้ชินาคมจึงได้มีโอกาสคุยกับแสนดี ทั้งสองเริ่มคุยจากเรื่องทั่วๆไป แต่ชินาคมที่ออกจะช่ำชองในการจีบผู้หญิงอยู่เหมือนกัน ถึงแม้สำหรับแสนดีแล้วเขาจะอ่อนกำลังไปบ้าง แต่ไหวพริบยังคงครบถ้วน เขารู้ว่าเธอชอบอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจจึงยกประเด็นหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาคุย และได้ผลเป็นอย่างดี เนื่องจากหล่อนจ้อกับเขาไม่หยุด และดูจะมีความเป็นกันเองต่อเขามากขึ้น เพียงแค่นี้ ก็พอแล้วที่จะทำให้ชายหนุ่มรู้สึกว่าสามารถเดินเข้าหาเธอได้อีกก้าว

“ผมชอบแนวสืบสวนเหมือนกัน แต่ชอบปัวโรต์นะฮะ ไม่ใช่เชอร์ล็อก โฮล์ม อย่างคนอื่น”

แสนดีทำท่าตื่นเต้น “ฉันก็ชอบมากค่ะ แต่ของอกาธา คริสตี้ ฉันเคยอ่านไปเล่มเดียวเท่านั้น แต่ล่าสุดนี่อ่านรหัสลักษณ์แห่งสี่ที่เจ้าชายประทานให้ยืม ออกจะชอบมากเลยทีเดียว โฮล์ม ฉลาด และละเอียดอ่อนมากกว่าภายนอกของเขานะคะ”

ชินาคมฟังแล้วสะดุด เจ้าชายประทานให้อย่างนั้นหรือ เมื่อไหร่แล้วด้วยเหตุผลอะไร

“ฉันก็ชอบนะคะอกาธา คริสตี้ ชอบต่อน Little ten Indians ที่สุดเลยค่ะ คุณชินาคมเคย....” เปี่ยมสุขพยายามจะเข้าร่วมวงสนทนาของน้องสาวด้วย แต่แล้วกลับถูกหนุ่มมาดนิ่งตรงหน้าขัดอีกเป็นครั้งที่เท่าไรก็จำไม่ได้

“คุณเปี่ยมครับ เสื้อคุณเลอะซอสน่ะฮะ เอ้านี่ครับ” ทรงพลเห็นว่าเสื้อของเธอเลอะจริง ก่อนจะส่งกระดาษทิชชู่ให้หล่อน แล้วเบี่ยงเบนหล่อนด้วยบทสนทนาอีกครั้ง

“เมื่อกี้คุณว่าอะไรนะครับ นักขี่ม้าคนไหนที่ผมชอบที่สุดหรือก็คงจะเป็น…”
แล้วการสนทนาของสองคู่ก็เป็นไปอย่างราบรื่น สนุกสนาน จนลืมให้ความสำคัญกับอาหารเลิศรสตรงหน้าไปอย่างเสียไม่ได้
ชินาคมมีความสุขจนลืมตัว พอหมดเรื่องคุยจนไม่รู้จะพูดอะไรและใกล้หมดเวลาพักของแสนดีแล้ว เขาก็ได้แต่นั่งยิ้มจ้องหน้าเธอ

แสนดีรู้สึกกระอักกระอ่วนใจไม่น้อยในพฤติกรรมของเขา จึงทำทีขอไปเข้าห้องน้ำ โดยไม่ได้ชวนพี่สาวเพราะเห็นว่าหล่อนคุยกับทรงพลอย่างถูกคอ

แต่เมื่อแสนดีลุกไป ชินาคมจึงลุกตามไปด้วย จนเปี่ยมสุขสังเกตเห็นจึงทำทีจะตัดบทสนทนาของทรงพลแล้วตามน้องสาวไป

ทรงพลหมดปัญญาจะรั้งหล่อน เพราะหล่อนก็อ้างว่าจะไปเข้าห้องน้ำเช่นกัน แต่เขาก็อยากให้ชินาคมได้คุยกับแสนดีสองต่อสอง เพราะเขารู้ทันว่าเพื่อนตัวดีต้องพาหล่อนไปที่สวนกล้วยไม้หลังร้านอาหารเป็นแน่

คิดได้ดังนั้นแล้ว ก็เหลือวิธีสุดท้าย ทรงพลแสร้งปัดแก้วน้ำตัวเองล้มซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่แสนดีพยายามลุกขึ้น ชั่วขณะนั้นจึงเหมือนกับว่าหล่อนกระแทกทำแก้วน้ำหกกระเซ็นใส่เขา

ทรงพลเปียกตั้งแต่เอวลงไป ในขณะที่เปี่ยมสุขตกใจและขอโทษขอโพย มีพนักงานสองสามคนเข้ามายื่นผ้าขนหนูให้

แต่เมื่อพนักงานหันหลังเดินจากไป และเหลือเพียงทรงพลและหล่อนสองคนอยู่ที่โต๊ะ หล่อนก็มองเขาที่กำลังเช็ดกางเกงด้วยท่าทีสงบนิ่ง แต่แววตาวาวโรจน์ด้วยความรู้สึกเสียเปรียบ

“คุณแกล้งฉัน” หล่อนพูดเสียงเฉียบ ทำเอาหนุ่มร่างกำยำตรงหน้าหันมาสบตาเธออย่างนิ่งงัน ไม่สะทกสะท้านเลยสักนิดเดียว

“เปล่านี่ครับ” เขาตอบสั้นๆ แสร้งทำหน้าสงสัย อย่างกวนโทสะ

เปี่ยมสุขเม้มปาก นัยน์ตาแข็งกร้าว “คุณพยายามเบี่ยงเบนฉันไม่ให้ยุ่งกับน้องสาว คุณร้ายกาจมาก”

ทรงพลยิ้มที่มุมปาก ผู้หญิงคนนี้ ดุและตรง ดี “ผมแค่พยายามช่วยเพื่อน คุณต่างหากที่กำลังแกล้งทุกคน น้องสาวคุณก็โตแล้วทำไมไม่ให้โอกาสเธอบ้าง”

“ฉันไม่ให้โอกาสอะไร!” หล่อนแหวใส่ แต่ชายหนุ่มยังสงบนิ่ง ไม่ได้อารมณ์เสียแต่อย่างใด เขาวางตัวเป็นผู้ใหญ่ได้ดี

ทรงพลยังคงอธิบายด้วยสีหน้าปกติและน้ำเสียงสม่ำเสมอ บ่งบอกถึงการจัดการกับอารมณ์อย่างใจเย็น

“โอกาสที่จะได้ทำความรู้จักกับคนต่างเพศอย่างไรครับ แค่เป็นเพื่อนกันก่อนก็ได้ ไม่ต้องรีบร้อน ไอ้ชิมันเข้าตามตรอกออกตามประตูอยู่แล้ว”

เปี่ยมสุขคิดตามเขา....ก็ดูจะมีเหตุผลดี แต่....ทำไมต้องยอมเขาง่ายๆล่ะ

“แต่คุณทำกับฉันแบบนี้ไม่ถูก คุณไม่ให้เกียรติฉัน พยายามขัดบทสนทนาตลอด แล้วเรื่องน้ำหกอีก คิดว่าฉันไม่รู้ทันหรือ”

ทรงพลยิ้มกว้าง หล่อนแพ้ประเด็นชินาคมแต่ยังอยากจะเอาชนะด้วยประเด็นอื่นสินะ “จริงอย่างที่คุณว่านะครับ ผมคงต้องขอบคุณคุณ”

สาวสวยหน้าแดงขึ้นมาทันที ขอบคุณหล่อนเนี่ยนะ เขาจะมาไม้ไหนกันแน่ “จะมาขอบคุณฉันทำไม” หล่อนถามเสียงแข็ง

ทรงพลหัวเราะ หึหึ “ก็ทั้งๆที่คุณรู้ทันแต่คุณก็ยังมีมารยาทต่อผม คุณยังคงคุยและสนใจเรื่องน้ำหกเลอะกางเกง ดังนั้นผมควรจะขอบคุณในความมีน้ำใจนี้จริงไหมครับ”

เปี่ยมสุขรู้สึกว่าเสียหน้าอย่างบอกไม่ถูก หล่อนรู้สึกได้ว่าเลือดกำลังสูบฉีดอย่างพลุ้งพล่าน และความโกรธได้มาถึงขีดสุดแล้ว เขาพูดแบบนี้หมายความว่าหล่อนก็มีใจเผลอไผลไปกับการเบี่ยงเบนความสนใจของเขาอย่างนั้นสินะ

ให้ตายสินายทรงพล นายเป็นผู้ชายคนแรกนอกจากคุณพ่อที่ทำให้ฉันยอมแพ้ นายคิดว่าตัวเองมีดีมากหรือไง

ใบหน้าสวยเด่นเชิดขึ้นอย่างดื้อรั้น หล่อนคว้ากระเป๋าแล้วลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว “ฉันจะกลับ” พูดสั้นๆก่อนจะเดินออกจากโต๊ะอาหารอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจสายตาของชายหนุ่มที่สังเกตอาการเธอตลอดเวลา

ทรงพลมองหล่อนนิ่งๆอย่างพิจารณา เธอดื้อ ชอบเอาชนะ และคิดว่าฉลาดกว่าผู้ชายอย่างนั้นสินะ เพราะดูเธอจะไม่ได้สนใจอะไรเลย ก่อนจะลุกขึ้นอย่างรวดเร็วไม่แพ้กันไปยืนดักหน้าเธอไว้ได้ทัน

“ไม่เอาน่าคุณเปี่ยม มีเหตุผลหน่อย เดี๋ยวน้องสาวคุณก็กลับมาแล้ว”

เปี่ยมสุขโมโหอย่างสะกดอารมณ์ไม่ไหว ก่อนจะกระทืบเท้าของทรงพลเต็มแรง แล้วรีบวิ่งให้พ้นเขาชายหนุ่มร้องลั่นด้วยความเจ็บ แต่นักรักบี้เก่าย่อมไวไม่แพ้นักขี่ม้าทีมชาติ มือแข็งแรงจึงเอื้อมไปคว้าแขนเล็กๆนั่นได้ทัน

“เดี๋ยวคุณ” แล้วเปี่ยมก็สุขร้องด้วยอารามตกใจบ้าง ทำเอาคนทั้งร้านหยุดทำกิจกรรมแล้วจ้องคนทั้งสองเป็นตาเดียว

“พี่เปี่ยมเป็นอะไรเหรอคะ” แสนดีที่เดินเข้ามาพร้อมกับชินาคมที่ยิ้มหน้าระรื่น เนื่องจากเมื่อครู่ได้มีเวลาอยู่กับแสนดีเพียงลำพัง

เปี่ยมสุขสะบัดแขนออกจากชายหนุ่ม ก่อนจะจ้องหน้าเขาด้วยความโกรธเป็นการทิ้งท้าย แล้วเดินไปจูงมือน้องสาวให้ออกเดินโดยแรง

“ยายแสนกลับ!”

แสนดีและชินาคมมองหน้ากันด้วยความตกใจ แต่เมื่อหล่อนถูกลากออกไปเกือบพ้นประตูร้าน ชินาคมก็ทำท่าจะวิ่งตามออกไป แต่ทรงพลคว้าแขนเพื่อนรั้งไว้ก่อน

“ปล่อยพวกหล่อนไปเถอะ” เขาพูดน้ำเสียงเรียบ

ชินาคมมองหน้าเพื่อนหนุ่มด้วยความไม่เข้าใจ “ทำไมวะ เอ็งไปทำอะไรคุณเปี่ยม!”

ทรงพลหลบสายตาเพื่อนด้วยความเสียใจ เขาอาจจะทำให้ชินาคมอดพบแม่แสนดีอีกก็เป็นได้ แต่เปี่ยมสุขนั่นล่ะผิด หล่อนโอหังเกินไป

“ไม่รู้สิ แต่หล่อนกระทืบเท้าไอแรงมาก”




สมเด็จพระราชินีสิรินญากำลังทรงพระอักษรในยามบ่ายแก่ๆ มีเจ้าฟ้าหญิงอรรัมภาทรงงานเอกสารเกี่ยวกับมูลนิธิช่วยเหลือเด็กยากจนทั้งในและนอกประเทศอยู่ไม่ห่าง

“เยอะเกินไปเพคะเสด็จแม่ หญิงว่าหญิงจะออกเงินส่วนตัวให้อีก” เจ้าหญิงผู้แก่นแก้วแต่กลับสามารถทรงงานเอกสารได้นานๆทรงเกิดรู้สึกล้าสายพระเนตร จึงทรงแสร้งทำท่าบรรทมอยู่บนโซฟาหนานุ่ม

พระมารดาเงยพระพักตร์จากกองเอกสารแล้วทอดพระเนตรพระธิดาด้วยความเอ็นดู “อะไรเยอะจ๊ะหญิง”

เจ้าฟ้าหญิงตรัสทั้งๆที่ยังคงหลับพระเนตร “คนจนเพคะ คนจนเยอะเกินไป แต่คนที่รวยกลับรวยจนล้นฟ้า ส่วนคนจนแทบไม่มีกิน หญิงรู้สึกละอายเหลือเกิน เลยคิดว่าจะออกเงินส่วนตัวลงให้มูลนิธิอีก”

พระราชินีหยุดทรงงานทันที พลางนึกชื่นชมพระธิดาในใจ หล่อนทั้งฉลาด กล้าหาญ เอาการเอางาน และมีเมตตา ถ้าอิศเรศร์เป็นดั่งพระเชษฐภคินี พระองค์ก็คงรู้สึกสบายใจกว่านี้ แต่อันที่จริงพระโอรสก็วางตัวดีมากขึ้นแล้ว เสียอย่างเดียวยังคงเที่ยวกลางคืนบ่อยและแอบคบกับแม่นางแบบลูกครึ่ง ไม่นานมานี้มีคนทูลว่านั่งคลอเคลียกันอยู่ที่ผับแห่งหนึ่ง

“แม่ดีใจที่หญิงมีพระทัยที่ดี งานที่หญิงทำก็ออกจะเป็นประโยชน์ต่อคนหมู่มาก แต่หญิงอย่าลืมนะจ๊ะ ว่าบางอย่างเราไม่สามารถช่วยได้หมด แม่ว่าถึงแม้หญิงจะเสียสละทรัพย์ส่วนตัวจนหมด คนจนก็ยังไม่หมดไปหรอก แล้วพวกเศรษฐีใหม่ที่แสวงหาแต่ความสุขส่วนตัวก็เพิ่มขึ้นทุกวันๆ ปล่อยให้เป็นกรรมของพวกเขาไปบ้าง นี่ล่ะโลกมนุษย์”

เจ้าฟ้าหญิงรูปงามลืมพระเนตรทันใด พลางคิดตามพระมารดา “ก็จริงเพคะ หญิงอาจจะแก้ที่ปลายเหตุ และชอบมานั่งเศร้าแทนคนเหล่านี้เสมอ ทั้งๆที่ลืมไปว่าต้นเหตุคือความเห็นแก่ตัวของคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น” แล้วพระธิดาองค์โตก็ทำท่าครุ่นคิด....

“หรือจะให้เสด็จพ่อและอิศเรศร์ออกกฎหมายเพิ่มภาษีพวกเศรษฐีดีไหมเพคะ แล้วก็....” แล้วเจ้าฟ้าหญิงก็สรวลอย่างอารมณ์ดี

“หญิงจะหว่านล้อมให้อิศเรศร์บริจาคเงินส่วนตัวให้หมด ทีนี้น้องก็ไม่มีเงินไปทเยวเต่แล้ว”

ทรงฟังดังนั้น พระราชนิสิรินญาก็สรวลตามอย่างขันในพระธิดาและทรงนึกภาพอิศเรศร์ที่หมดตัวไม่มีเงินพาสาวๆไปเที่ยว ก็ตลกดีเหมือนกัน....ทั้งๆที่เรื่องแบบนี้ไม่มีทางเป็นจริง

“หญิงพูดแบบนี้ทำให้แม่คิดได้ แม่อยากจัดการเรื่องคู่ครองของอิศเรศร์เร็วๆ แม่นางแบบนั่นอาจจะทำงามหน้าขึ้นทุกวัน แต่อย่าไปว่าใครเลย คนของเราก็ใช่ย่อย”

เจ้าฟ้าหญิงอรรัมภาทรงลุกขึ้นจากพระอาสน์แล้วเสด็จไปยังพระมารดา ก่อนจะแย้มพระะสรวลกว้าง

“หญิงมีแผนเพคะ ได้ผลดีเป็นแน่ แต่...เสด็จแม่ต้องพระราชทานรางวัลให้หญิงล่วงหน้า”

พระมารดาแย้มพระสรวลอย่างรู้ทัน “หญิงอยากได้อะไรล่ะจ๊ะ”

แล้วพระมารดาและพระธิดาก็ทรงกระซิบกระซาบกันโดยเบา


“อะไรกันเสด็จแม่ ชายไม่ได้ว่างขนาดนั้นหรอกพะย่ะค่ะ พี่หญิงสิทรงชื่นชอบขี่ม้าเหมือนกัน ไม่ต้องไปประชุมสภาอย่างชายด้วย”

เจ้าฟ้าชายอิศเรศร์ทรงโวยวายเมื่อทรงทราบว่าถูกมอบหมายให้รับตำแหน่งประธานชมรมขี่ม้าแห่งภัทรประเทศแทนเสด็จพ่อที่พระมารดาและพระเชษฐภคินีทรงลงความเห็นว่าพระราชาทรงเหนื่อยและทรงมีภาระทั้งในและนอกประเทศมากเกินไป ทั้งๆที่พระราชาเองก็เพิ่งทรงทราบข่าวเดี๋ยวนี้หลังกลับมาจากประชุมสภาพร้อมพระโอรส แม้พระองค์จะทรงสงสัยแต่กลับถูกสายพระเนตรพิฆาตของพระราชินีปรามไว้ว่าไม่ต้องตรัสอะไร

“ไม่เอาน่าพ่อชาย ลูกจะได้ถือโอกาสนี้พัฒนาวงการขี่ม้าของเราอย่างที่ลูกใฝ่ฝันตั้งแต่เด็กไงจ๊ะ ที่สำคัญเราจะต้องรีบจัดการประสานงานและดูแลนักกีฬาที่จะไปโอลิมปิกโดยไว เพราะงานใหญ่หลังจากนี้คือการที่ประเทศของเราเป็นเจ้าภาพจัดงานการแข่งม้าสากลด้วยนะลูก แม่อยากให้ลูกรีบทำงานแต่เนิ่น เพื่อหน้าตาของประเทศเรา” พระราชินีตรัสเสร็จ พระราชาจึงสบพระพักตร์อย่างประหลาดใจ นี่ไม่ใช่งานเล็กๆ อิศเรศร์จะไหวหรือ

เจ้าฟ้าชายผู้แสนดื้อรั้นทอดพระเนตรพระมารดาด้วยแววตารู้ทัน งานนี้ใหญ่มาก พระองค์ไม่เคยทรงงานนี้มาก่อน แล้วอย่างไรล่ะ...ทำไมพระองค์จะต้องลงมือเอง เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสมาคมขี่ม้ามีอีกเยอะไป

“ถ้านั่นเป็นพระราชประสงค์ของทุกคน ชายก็จะยอมทำพะย่ะค่ะ แต่ชายจะสวมหัวโขนเท่านั้น ชายจะสั่งการนายกสมาคมขี่ม้าเอง เรื่องอะไรชายต้องลงมือทำ”

เจ้าฟ้าหญิงเห็นทีไม่ได้การ จึงตรัสช่วยพระมารดาอีกแรง “ไม่ได้อิศเรศร์ น้องต้องรู้จักกระบวนการการทำงานด้วย ไม่อย่างนั้นน้องจะรู้ปัญหาและบริหารทุกอย่างได้อย่างไรล่ะ ถามเสด็จพ่อสิ เสด็จพ่อก็ต้องทรงงานเองกับมือ จริงไหมเพคะ” พระธิดาองค์โตหันไปสบพระพักตร์พระบิดาด้วยสายพระเนตรราวกับจะตรัสบางอย่าง

พระราชาผู้ทรงสับสนกับเรื่องนี้ แต่พอจะทรงเดาการกระทำของคู่แม่ลูกออก จึงทรงพยักพักตร์ตามไปแบบแกนๆ

“ใช่อิศเรศร์ ไม่อย่างนั้นเมื่อลูกขึ้นเป็นกษัตริย์ ลูกจะปกครองใครได้อย่างไร ในเมื่อลูกไม่เคยให้พวกเขาได้สัมผัสบารมีของลูกเลย”

พระราชดำรัสนี้ทำเอาพระราชินีและพระธิดาผู้เลอโฉมจ้องพระพักตร์พลางแย้มสรวล

เจ้าฟ้าชายอิศเรศร์เริ่มขุ่นมัว อะไรๆก็ยกเรื่องครองราชมาเป็นประเด็น มาบังคับจิตใจกันอยู่เรื่อย ถ้าเกิดพระองค์ทรงสละตำแหน่งมกุฎราชกุมารขึ้นมาจะเป็นอย่างไร

ก็น่าสนใจดี...จะมีผู้หญิงคนไหนอยากแต่งงานกับพระองค์อีกไหม....ไม่สิ....เรื่องใหญ่กว่านั้น...คือการที่..อภิราชสกุลที่สืบเชื้อสายกันมาหลายร้อยปี....ต้องจบลง....หลีกทางให้กับรัฐฐาสกุลขึ้นปกครองประเทศแทน

พระพักตร์ของลูกพี่ลูกน้องเชื้อสายห่างๆผุดขึ้นมาในห้วงความคิดของเจ้าชาย....ไอ้หน้าปลาจวดที่นิสัยขี้โกง แม้กระทั่งโกงการเล่นหมากรุกในวัยเด็ก ทำเอาพระองค์รู้สึกรังเกียจขึ้นมาทันที

“ตกลงพะย่ะค่ะ ชายจะลงมือทำเอง แล้วต้องเริ่มอย่างไร”

สมเด็จพระราชินีแย้มพระสรวลกว้าง สีพระพักตร์รู้สึกสมหวังอย่างบอกไม่ถูก

“ปรึกษากับหลวงสีหนาท เขาเป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ ผ่านเวทีแข่งระดับโลกมากมาย ชายควรจะเร่งมือทำให้เร็วที่สุด ไปพบเขาที่บ้านเลยเป็นดี พระอาจารย์ของลูกที่คุ้นเคยกันอยู่แล้ว คงทำงานร่วมกันไม่ยากนัก”

พระพักตร์หล่อเหลาจ้องพระมารดาและพระเชษฐภคินีอย่างตะลึง.....อีกแล้วหรือ คิดว่าเขาโง่หรืออย่างไร นี่มันเกมของเด็กๆชัดๆ นี่ทั้งพระมารดาและพี่หญิงตัวดีจะให้พระองค์ได้ใกล้ชิดกับแม่สี่สาวตัวร้ายพวกนั้นหรือ จะจับคู่คลุมถุงชน...ให้ตายสิ...พระองค์รู้ว่าสักวันต้องเข้าพิธีอภิเษกกับหญิงสาวที่พระมารดาต้องประสงค์....แต่การยัดเยียดแบบเด็กๆเช่นนี้ช่างน่าขัน...อีกทั้ง...จะให้พระองค์ตกลงปลงใจกับ 1 ในสี่สาวที่ไม่เคยมองว่าพระองค์สำคัญอย่างนั้นหรือ...แล้วไหนล่ะความรัก...แม่พวกนี้เกลียดพระองค์จะตาย...

พระโอรสรูปงามกล่าวนิ่งๆ แต่แววพระเนตรแสดงถึงความเจ็บปวดลึกๆ “เสด็จแม่และพี่หญิงจะให้ชายสนิทสนมกับลูกสาวหลวงสีหนาทใช่ไหมพะย่ะค่ะ ถึงกับต้องให้ชายไปทำงานที่นั่น ทรายจะบอกอะไรให้ เผื่อเสด็จแม่และพี่หญิงจะได้พระเนตรสว่างเสียที....พวกหล่อนไม่สนใจชายหรอกพะย่ะค่ะ พวกเธอเห็นชายเป็นที่น่าดูถูก ไม่เหมาะสมกับพวกเธอ”

ทุกพระองค์นิ่งงันเมื่อเจ้าชายตรัสเสร็จ พระวรกายสูงใหญ่จ้องพระพักตร์ทุกพระองค์เพื่อประเมินปฏิกิริยา

“แต่เอาเถอะพะย่ะค่ะ ชายจะทำให้เสด็จแม่และพี่หญิงพอพระทัย ชายจะไปทำงานกับคุณหลวงที่บ้าน แต่ถ้าพวกหล่อนไม่ได้รักชาย ชายก็คงทำอะไรไม่ได้ เสด็จแม่คงต้องหาลูกสาวข้าหลวงในวังคนอื่นให้ชายแทน...ให้รู้กันไปว่าเจ้าชายที่ดูจะเพียบพร้อมทุกอย่างไม่สามารถหาคู่ที่เหมาะสมเองได้.....”

ประโยคหลังดูพระองค์จะเศร้า...แต่ก่อนจะออกจากห้องบรรทมของพระมารดาไป เจ้าชายกลับตรัสสิ่งที่พระราชินีแสนกลัว

“ไม่แน่...ซาร่าอาจจะเป็นชายาของชาย เพราะไม่มีผู้หญิงคนไหนของเสด็จแม่คิดว่าชายดีพอ”



ลายเส้น
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 พ.ค. 2554, 12:53:03 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 พ.ค. 2554, 12:53:03 น.

จำนวนการเข้าชม : 1469





<< สินบน   แขกคนเดิม >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account