หัวใจหลงเงา(จบแล้วค่ะ)
เมื่อสาวน้อยสุดเชยราวกับหลงมาจากยุคโบราณพบจุดเปลี่ยนจนต้องลุกขึ้นมาปรับภาพลักษณ์ใหม่หมด จากยายสุดเฉิ่มเป็นสาวน้อยสวยใสสไตล์วินเทจ

เพียงเธอเริ่มเปลี่ยนลุคใหม่ก็ไปเข้าตานักร้องหนุ่มวงบอยแบนด์แสนเจ้าชู้ ที่ตามจีบเป็นว่าเล่น เรื่องคงไม่ชุลมุนขนาดนี้เพราะแต่ละคนที่มาจีบล้วนมีเบื้องหลังไม่น่าไว้วางใจจนพี่ชายต่างสายเลือดชื่อ 'ต้นสัก' ที่แอบรักเธอมานานต้องคอยตามดูแล กันท่าสารพัด จนเธอรอดเงื้อมมือนักร้องมาได้

แต่เธอหลงรักพี่ชายคนนี้ เข้าอย่างจัง ทั้งที่ความจริงในตอนหลังเปิดเผยว่าเขาเป็นลูกพ่อเดียวกันกับเธอ!

แล้วบัวบูชาต้องทำเช่นไร ในสถานการณ์กระอักกระอ่วนสุดแสนหักมุมเช่นนี้

Tags: อดีตสาวน้อยสุดเชยกับวงบอยแบนด์และพี่ชายสุดที่รัก

ตอน: ตอนที่ 2

สวัสดีค่ะนักอ่านที่รักทุกท่าน

"ดาริยา" เข้ามาบอกว่าตั้งใจจะนำ "หัวใจหลงเงา" ลงทุกวันจันทร์ พุธ ศุกร์ ค่ะ (ถ้าไม่ติดธุระอะไร) ^^

ขอขอบคุณทุกกำลังใจที่เข้ามาอ่านและติดตามงานนะคะ ดีใจมากๆ ที่ยังมีคนจำได้ อิอิ

มาเริ่มบทที่ 2 กันเลยค่า ^^


____________________________________________________________

บทที่ 2


เสียงแตรรถที่ดังอยู่หน้าประตูรั้วทำให้หญิงสาวซึ่งนั่งรออยู่ในห้องนั่งเล่นลุกยืนทันที ใจจริงอยากวิ่งออกไปรับหน้า แต่พอนึกว่าต้องโดนนมเป็ดดุแน่ๆ ถ้าทำอย่างนั้น จึงเดินช้าๆ ไปยังประตูหน้าบ้าน ออกไปต้อนรับภูวดลถึงรถ โดยมีแม่นมเดินตามมาไม่ห่าง

“พี่ภู มาตรงเวลาเป๊ะเลยนะคะ”

บัวบูชายกมือไหว้ชายหนุ่ม เขารีบรับไหว้ ก่อนลงจากรถ ถามไถ่ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“น้องบัวรอพี่นานไหมครับ”

หญิงสาวอึ้งไปพักใหญ่เมื่อร่างสูงสง่าของภูวดลเดินเข้ามาใกล้ เธอไม่เคยเห็นเขาในชุดทำงานที่ดูขลังอย่างนี้มาก่อน เสื้อสูทพอดีตัวเน้นจนเห็นโครงสร้างร่างกายกำยำอันไร้ที่ติ รอยยิ้มกระจ่างที่เขาส่งมาสะกดให้เธอหายใจขัด ใจเต้นรัวเหมือนกลอง ใบหน้าคมคายนั้นมีเสน่ห์จนเธอตกตะลึงแบบนี้ทุกคราวที่เจอกัน

“ไม่นานค่ะพี่ภู พี่มาตรงเวลาเป๊ะเลยนะคะเนี่ย” บัวบูชากระชับสายกระเป๋าผ้าที่เธอประดิษฐ์เองให้กระชับกับหัวไหล่ แสดงความพร้อมออกเดินทาง

“ประชุมที่บริษัทเสร็จพี่ก็บึ่งมาเลย ไม่อยากให้สาวน้อยรอนานจ้ะ อันที่จริงพี่ว่าเราออกไปกันเลยดีมั้ย” ภูวดลบอกราวกับรู้ใจว่าเธออยากโบยบินออกไปสู่โลกกว้างเต็มที

“ไม่แวะดื่มน้ำหรือนั่งพักก่อนหรือคะคุณภูวดล” นมเป็ดเอ่ยแทรกขึ้นมา ดูแววตาก็รู้ว่าไม่อยากให้บัวบูชาออกไปนอกบ้านตามลำพังกับชายหนุ่มเร็วนัก

“ไม่ดีกว่าครับนมเป็ด ผมขออนุญาตพาน้องบัวออกไปเลยแล้วกัน จะได้ไม่เสียเวลา”
“งั้นบัวไปก่อนนะคะนม บ๊ายบายค่ะ”

หญิงสาวโบกมือลา ภูวดลเปิดประตูส่งเธอเข้ามานั่งในรถยุโรปคันหรูสีดำเงาวับของเขา เมื่อชายหนุ่มนั่งลงบนเบาะคนขับก็สตาร์ตรถออกตัว แล้วหันมาส่งยิ้มพร้อมชวนคุย

“โรงงานทำแผ่นเสียงที่พี่จะพาไปดูนี่เลิกกิจการมานานแล้วนะจ๊ะน้องบัว เครื่องไม้เครื่องมืออาจจะเก่ามากแล้วล่ะ น้องบัวนึกยังไงถึงอยากไปเห็น”

“ก็อย่างที่รู้น่ะค่ะพี่ภู บัวชอบฟังเพลงเก่าๆ และจะชอบมากถ้าฟังจากแผ่นเสียง คุณพ่อเคยอธิบายว่าการอัดแผ่นเสียงเขาใช้ระบบอนาลอกไม่ใช่ดิจิตอลแบบตอนนี้ ดิจิตอลจะต้องบีบอัดสัญญาณ ทำให้เวลาอ่านแผ่น ข้อมูลบางอย่างก็สูญหายไป คุณภาพด้อยลง แผ่นดิจิตอลสมัยนี้เลยสู้แผ่นเสียงไวนิลแบบเก่าๆ ไม่ได้ จริงๆ บัวไม่รู้หรอกค่ะ ว่าต่างกันตรงไหน รู้แต่ว่าฟังจากแผ่นเสียงไพเราะและได้บรรยากาศกว่าเยอะ บัวเลยใฝ่ฝันอยากเห็นว่าแผ่นเสียงไวนิล เขาทำกันยังไง”

“อันที่จริงพี่ก็ชอบนะ เพลงจากแผ่นเสียงน่ะ แต่มันหาฟังยากไปหน่อย ความนิยมน้อยจนโรงงานของครอบครัวพี่ต้องหันมาผลิตแผ่นซีดีแทน ช่วงนี้ก็ยังมีโครงการขยายไปทำค่ายเพลงด้วย เรื่องแผ่นเสียงไวนิลนี่เลิกคิดไปเลย ตลาดมันเล็ก”

บัวบูชาตื่นเต้นทุกครั้งเมื่อได้คุยกับภูวดล เขาทำตัวเป็นพี่ชายใจดีได้ทุกคราวที่เจอกัน ไม่มีมาดนักธุรกิจที่รับผิดชอบงานมากมายต่อจากผู้เป็นบิดา ไม่มีความเคร่งเครียดทั้งๆ ที่รู้มาว่าต้องดูแลบริษัทยักษ์ใหญ่ในการผลิตแผ่นซีดี รวมถึงธุรกิจผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและบริษัทลูกอีกหลายบริษัท แม้บัวบูชาจะเพิ่งถูกแนะนำให้รู้จักเขาได้แค่ปีกว่า แต่ก็ต้องยอมรับว่าภูวดลกลายเป็นชายในฝันที่เธอได้พบในโลกของความจริง อดภูมิใจไม่ได้เมื่อเดินเคียงข้างเขาแล้วมีสาวๆ มองตามมาด้วยความอิจฉา

รถยุโรปแล่นมาจอดเทียบหน้าอาคารสำนักงานใหญ่โตของบริษัทโกลด์คอร์ปอเรชัน ภูวดลลงจากรถ ส่งกุญแจให้พนักงานของบริษัทที่มีหน้าที่ขับไปจอดให้ แล้วพาเธอเดินเข้ามายังตัวอาคารโอ่โถงติดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ

“โรงงานเก่าอยู่ด้านหลังอาคารสำนักงานจ้ะ แต่พี่ขอแวะมาทำธุระที่นี่ก่อน ขอสั่งงานแป๊บเดียวนะ”

ภูวดลแตะข้อศอกพาบัวบูชามาจนถึงหน้าลิฟต์ รอเพียงครู่ลิฟต์ก็เปิดออก กำลังจะเดินเข้าไป สายตาของหญิงสาวก็ปะทะเข้ากับสายตาคมกล้าของชายอีกคน เธอจำไม่ผิดแน่ เผลอส่งเสียงออกมาเบาๆ

“พี่ต้น”

แต่เจ้าของชื่อไม่สนใจเสียงเรียกนั้น ทำเหมือนเขาไม่ได้ยินเสียงเธอเลยด้วยซ้ำ ต้นสักเดินก้มหน้าออกไปจากลิฟต์โดยไม่มองหน้าเธอ ไม่ทักตอบ

เกินไปแล้วนะ! คอยดูสิ ต่อไปนี้จะไม่ทักทายผู้ชายคนนี้อีกแล้ว อยากกลายเป็นคนไม่เคยรู้จักกันใช่ไหม...ย่อมได้ ต่อไปนี้บัวบูชาไม่รู้จักผู้ชายที่ชื่อ ต้นสัก ... ไม่เคยรู้จักมาก่อนเลยด้วย!

____________________________________________________________


“เป็นอะไรหรือเปล่าต้น มาถึงก็หน้าบึ้งตึงเชียว”

นางเตือนใจร้องทักทันทีที่ร่างสูงของลูกชายโผล่เข้ามาในร้าน ใบหน้าคมสันมีรอยยิ้มเพียงจางๆ ไม่ยิ้มกว้างทักทายเช่นทุกเย็นเมื่อกลับจากทำงาน

“ก็...ไม่มีอะไรหรอกครับแม่”

ต้นสักตอบสิ่งที่ตรงข้ามกับความจริงออกไป ทั้งที่ในใจเขาตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าตัวเองหงุดหงิดอะไรนักหนา ตั้งแต่เมื่อบ่าย ที่ได้เจอบัวบูชาโดยบังเอิญ สาวน้อยคนนั้นเดินเคียงข้างมากับเจ้าของบริษัทในเครือโกลด์คอร์ปอเรชัน เห็นแวบเดียวก็รู้แล้วว่าสนิทสนมกันขนาดไหน ฝ่ายชายประคับประคองเธออย่างทะนุถนอม รวมทั้งส่งสายตาหวานฉ่ำทอดไปหาหญิงสาวอย่างมีความหมาย

“ไม่ต้องมาปิดเลย แม่เห็นหน้าก็รู้แล้วว่าต้นหงุดหงิด ที่ทำงานมีปัญหาอะไรหรือเปล่า”

หญิงสูงวัยพยายามกระตุ้นให้ลูกชายพูดออกมา รู้นิสัยดีว่าถ้าไม่จำเป็น ต้นสักพยายามไม่เอาเรื่องไม่สบายใจมาเล่าให้มารดาฟัง

“ก็เหมือนทุกวันแหละครับแม่ ปัญหาเดิมๆ โชคดีที่ไม่ต้องอยู่ต่อไปอีกแล้ว วันนี้ก็แค่เข้าไปเก็บของ”

“ลาออกแล้วก็น่าจะโล่งใจนี่นา แม่ไม่เคยว่านะ ถ้าลูกจะเปลี่ยนงาน อยู่ที่ไหนอึดอัดเราก็คงไม่มีความสุข ผู้ร่วมงานเป็นเรื่องสำคัญ มีคนคอยอิจฉา ปัดแข้งปัดขาขนาดนั้น ต้นลาออกมาก็ดีแล้ว” นางเตือนใจบอกด้วยน้ำเสียงเข้าอกเข้าใจ

“ผมก็โล่งใจขึ้นครับแม่ ยิ่งอีกบริษัทตอบรับเข้าทำงานทันทีอย่างนี้ผมยิ่งสบายใจที่จะลาออกมา วันนี้ที่หงุดหงิดก็แค่...แค่บังเอิญไปเจอหนูบัวของแม่ที่นั่น เดินควงมากับคุณภูวดล เจ้าของบริษัทน่ะครับ”

ชายหนุ่มทอดถอนใจ นึกถึงใบหน้าคมสวยที่แสดงความตื่นเต้นพร้อมเสียงเอ่ยทักเบาๆ แล้วก็อดรู้สึกผิดนิดๆ ไม่ได้ที่ทำเป็นไม่ได้ยิน ก็แค่ไม่อยากเจอ ไม่อยากคบหาสมาคมด้วยเท่านั้นเอง

“ทำไมจะต้องไปหงุดหงิด หนูบัวเธอโตเป็นสาวแล้ว เธอจะมีแฟนก็ไม่น่าแปลก” ผู้เป็นแม่แย้ง สายตาที่มองมาอย่างจับสังเกตทำให้ต้นสักรีบอธิบาย

“มันแปลกตรงที่คุณเธอช่างไม่รู้ตัวเลยว่าผู้หญิงเชยๆ อย่างเธอน่ะ ไม่ใช่สเปกนายภูวดลนั่นหรอก ผมยังไม่เคยเล่าให้แม่ฟังว่าเจ้าของบริษัทคนนี้เจ้าชู้มากนะครับแม่ เข้าขั้นเสือผู้หญิง แล้วยายบัวจะไปทันเขาได้ยังไง งานนี้โดนหลอกแน่ๆ คุณภูวดลควงสาวไม่ซ้ำหน้าเลย แต่ละคนเปรี้ยวจี๊ด ขนาดผมไม่สนใจเรื่องของเจ้านายยังได้ยิน ได้เห็นกับตาหลายหน ... มันน่ากลัวมากนะแม่” ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าของต้นสักปิดความกังวลไว้ไม่มิด

“ดีแล้วล่ะ ที่ห่วงน้อง แต่แม่ว่าต้นคิดมากไปรึเปล่า อีกอย่าง ลงว่าทางผู้ใหญ่ยอมปล่อยหนูบัวออกไปนอกบ้านตามลำพังกับชายคนนี้ เขาต้องเป็นคนที่ทั้งสองท่านมั่นใจว่าไว้ใจได้ ต้นเห็นนมเป็ดไปด้วยหรือเปล่าล่ะ”

“ไม่เห็นเลยครับแม่ ที่ผมแปลกใจก็ตรงนี้แหละ ทำไมคราวนี้นมเป็ดไม่ตามไปด้วย ทุกทีแม่เล่าว่าไปไหนไม่เคยห่างนมเป็ดนี่นา ยกเว้นตอนมาส่งไข่ที่นี่เท่านั้น”

“ถ้างั้นก็แปลว่าผู้ชายคนนี้ผ่านการพิจารณาจากทั้งสองท่านแล้วล่ะ แม่ว่าคุณดำเกิงท่านกว้างขวาง เดาเอานะ ว่าอาจจะเป็นผู้ชายที่หมายมั่นจะให้แต่งงานกัน ก็เลยต้องยอมปล่อยให้คบกันบ้าง”

“แต่งกับนายภูวดลเนี่ยนะ...หนูบัวของแม่ตกนรกแน่คราวนี้” ต้นสักอดเอ่ยออกไปตรงๆ ไม่ได้ ก็มันเป็นความจริงนี่นา ยายเด็กย้อนยุคคนนั้นไม่มีทางตามทันเสือผู้หญิงอย่างภูวดลแน่ๆ

“แล้วจะให้แม่ทำไงล่ะต้น เดินเข้าไปบอกท่านเหรอ ว่าผู้ชายคนนี้ไม่น่าไว้ใจ แม่ไม่บังอาจหรอก อีกอย่าง เขาอาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ต้นกลัวก็ได้” นางเตือนใจติง ตามประสาคนมองโลกในแง่ดีอย่างสุดโต่ง

“อันนั้นก็แล้วแต่แม่ ผมก็ไม่อยากให้แม่ไปยุ่งกับพวกเขานักหรอก เอาเป็นว่า เสมือนว่าผมยังไม่ได้พูดเรื่องนี้กับแม่ก็แล้วกัน ปล่อยเขาไปเถอะ” ต้นสักถอนใจพร้อมส่ายหน้า ระอาใจตัวเองอยู่เหมือนกันที่ทำตัวเหมือนคนชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน ทั้งที่ไม่ใช่นิสัยของเขาเลยสักนิด

“อย่าห่วงเลยจ้ะ ถ้ามีโอกาสแม่จะเลียบๆ เคียงๆ ถาม แล้วก็ตักเตือนน้องให้”

“บัวไม่ใช่น้องผม” ชายหนุ่มรีบแย้ง มันเป็นสิ่งที่เขาพยายามย้ำเตือนตัวเองมาตลอด ให้ลืมความสัมพันธ์ดีๆ สมัยวัยเด็กไปให้หมดสิ้น

“ไม่ใช่ก็เหมือนใช่ คุณดำเกิงเคยอุปการะเราแม่ลูกมาตั้งสี่ปีในบ้านท่าน ไหนจะเงินที่ส่งเสียแม่ทุกเดือน รวมทั้งร้านขายของนี่อีก ยังไงลูกสาวของท่านกับคุณหญิงก็เหมือนน้องของต้น ต้องห่วงใยช่วยกันดูแลบ้าง”

“ผมบอกแม่หลายครั้งแล้วว่าผมเรียนจบให้เลิกรับเงินจากเขา ทำไมแม่ไม่เชื่อเลย ผมเลี้ยงแม่ได้” ชายหนุ่มพูดถึงประเด็นเดิมๆ ที่แม่ไม่เคยทำตาม เหมือนมีเส้นใยบางๆ เชื่อมระหว่างแม่กับคุณดำเกิงไว้ตลอดเวลา

“ต้น...แม่รู้ว่าต้นไม่อยากให้แม่ไปยุ่งเกี่ยวกับตระกูล ‘อัครบดีศักดิ์’ อีก แต่แม่อยากให้ลูกรู้ว่าในใจลึกๆ แม่ไม่เคยลืมความรักที่แม่มีต่อผู้ชายคนแรกในชีวิต แม่คงต้องเล่าให้ลูกฟังเสียทีว่าสมัยยังสาวแม่รักกับคุณดำเกิงมากนะ แต่ต้องพลัดพรากจากกันเพราะความต่าง พอแม่มาแต่งงานกับพ่อ อยู่กันได้แค่ปีกว่า พ่อของต้นก็ตายตอนลูกอยู่ในท้องแม่ ตอนนั้นแม่คว้างนะ ก็ได้คุณดำเกิงกับเมียที่แสนประเสริฐอย่างคุณหญิงนลินนาถที่อุ้มชูแม่มาตลอด แล้วแบบนี้ลูกสาวแท้ๆ ของทั้งสองท่าน แม่จะไม่ช่วยดูแลได้ยังไง ลูกห่วงน้องก็ถูกแล้ว เรื่องคุณภูวดลนั่นเราจะค่อยๆ ดูไป ถ้าเห็นไม่ชอบมาพากลจริงๆ ถึงจะบอกท่าน แม่ไม่กล้าไปวุ่นวายกับท่านมาก ลูกก็รู้” ความรู้สึกภายในใจของแม่ที่ต้นสักเพิ่งรู้ทำให้เขาอึ้งไปพักใหญ่ ก่อนบอกออกไป

“ผมก็ไม่ได้ห่วงยายเด็กสุดเชยอะไรนั่นนักหรอก ก็แค่เห็นว่าเป็นลูกผู้มีพระคุณ แม่อย่าเอาผมไปอ้างว่าเป็นพี่เป็นน้องกับหนูบัวของแม่เลย...ผมไม่บังอาจหรอกครับ เอาเป็นว่าผมหมดหน้าที่แล้ว ก็แค่เห็นอะไรไม่ชอบมาพากลรีบเอามาบอกให้แม่รู้ไว้ แม่จะจัดการยังไงก็ตามใจ” ต้นสักตัดบท ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ยุ่งเรื่องบัวบูชาอีกแล้ว

“ขอบใจจ้ะลูก มาถึงเหนื่อยๆ ต้นไปพักเถอะนะ แม่กับแววดูแลร้านได้ วันนี้ลูกค้าน้อย” นางเตือนใจชายตามองไปยังเด็กสาวที่จ้างมาช่วยจัดเรียงของและดูแลร้าน แววเป็นคนเอางานเอาการ ช่วยให้เบาแรงไปได้ไม่น้อย

“งั้นผมไปอาบน้ำก่อนนะครับ” ชายหนุ่มผละจากมาทางด้านหลังร้าน ยังได้ยินเสียงแม่บอกอย่างห่วงใย

“ตามสบายเลยลูก อ้อ! แล้วงานใหม่เริ่มเมื่อไหร่ล่ะ”

“พรุ่งนี้เลยครับ บริษัทใหม่กำลังต้องการคนอยู่พอดี ผมคงต้องเตรียมตัวหน่อย”

ต้นสักเดินขึ้นบันไดสู่ชั้นสองซึ่งแบ่งเป็นห้องนอนเล็กๆ สองห้อง ผลักประตูเข้ามายืนอยู่หน้าเตียงเล็กที่เริ่มคุ้นเคย แม้ห้องนี้จะไม่กว้างขวางแต่ก็สะดวกสบาย ตกแต่งแบบเรียบง่าย แทบไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรมากนอกจากตู้เสื้อผ้าและเตียงนอน ยังดีที่พอจะเจียดเนื้อที่บางส่วนไว้เป็นมุมในการเขียนภาพสีน้ำ อันเป็นงานอดิเรกที่โปรดปราน ชายหนุ่มถอนใจยาว พยายามผลักภาพใบหน้าสวยใสของบัวบูชาออกไปจากสมองอีกครั้ง บอกตัวเองด้วยคำเดิมๆ ที่พยายามเตือนมาเป็นพันครั้ง

เลิกสนใจยายเด็กนั่นเสียที เขากับเธอไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเสียหน่อย เขาไม่เคยลืมเหตุการณ์ในวัยเด็กวันนั้น และจะไม่มีวันลืมด้วย

อย่าใส่ใจบัวบูชาเป็นอันขาด ออกห่างๆ เข้าไว้เป็นดีที่สุด

______________________________________________________________


เช้าวันนี้ไม่เหมือนทุกวันที่ผ่านมา บรรยากาศในบ้านอัครบดีศักดิ์มีแต่ความตึงเครียดซึ่งแฝงอยู่ลึกๆ แม้สายตาของทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นจะจดจ้องไปยังหน้าจอทีวีที่เปิดทิ้งไว้ แต่บัวบูชาก็รู้ว่าทั้งคุณพ่อ คุณหญิงแม่และนมเป็ดต่างก็เงี่ยหูฟังเสียงโทรศัพท์เหมือนเธอไม่มีผิด

“บัวบอกคุณพ่อคุณแม่แล้วว่าให้ติดอินเทอร์เน็ตที่บ้านให้ แต่ก็ไม่มีใครยอมใจอ่อนเสียที ถ้ามีเน็ตก็ดูผลสอบเองได้แล้ว แย่จริงๆ ที่ต้องนั่งรอแบบนี้ บัวบอกเลยนะคะว่าถ้าเอ็นท์ติดแล้ว ยังไงก็ต้องติดเน็ตให้ บัวไม่ใช่เด็กๆ นะคะจะได้ไม่รู้ว่าอะไรควรเข้าไปดู อะไรไม่ควร”

บัวบูชาอดบ่นไม่ได้ เรื่องการไม่ได้เข้าไปท่องในโลกไซเบอร์ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เธอไม่ค่อยจะทันใคร เพื่อนคุยอะไรกันเธอก็แทบไม่รู้เรื่องด้วย คุณพ่อกับคุณหญิงแม่เอาแต่กลัวว่าเธอจะโดนหลอกเหมือนข่าวที่เคยได้ยินมา เธอจึงกลายเป็นนักเรียนมอปลายสุดแสนล้าสมัยไร้อินเทอร์เน็ตในบ้าน ทำรายงานทีไรต้องไปทำบ้านเพื่อนโดยมีนมเป็ดตามไปนั่งจ้องจอตรวจดูว่ามีความไม่ชอบมาพากลอะไรหรือไม่ ความพิสดารแบบนี้ทำเอาบัวบูชาแทบไม่มีเพื่อนสนิท มีก็แต่พิมพ์ชนกเท่านั้นที่พอจะเข้าใจ ยังคงคบเธอโดยไม่สนใจสายตาคนทั้งโรงเรียนที่มองว่าบัวบูชาเป็นตัวประหลาด

“เอาละๆ ตกลงเป็นอันว่าถ้าหนูบัวเอ็นท์ติด คุณพ่อจะติดอินเทอร์เน็ตที่บ้านให้ แต่มีข้อแม้ว่าตอนเปิดอยู่ต้องมีนมเป็ดคอยช่วยดู ช่วยกลั่นกรองด้วย ที่ผ่านมาคุณพ่อหวังดีนะ ได้ข่าวมาเยอะถึงอันตรายของโลกไซเบอร์ ก็เลยใจแข็งไม่ให้บัวเข้าไปวุ่นวายมาก” คุณดำเกิงบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบตามนิสัยของท่าน

“แล้วมันก็ดีกับหนูบัวของคุณแม่มากเลย เห็นมั้ย พอเราเอาเวลาไปหัดทำการฝีมือ ฝึกเล่นดนตรี เรียนพิเศษที่บ้าน เราก็กลายเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อม ไม่เหมือนใคร” คุณหญิงนลินนาถสนับสนุนอีกแรง

“ไม่เหมือนใครจริงๆ ค่ะคุณแม่ บัวไม่เหมือนจนจะไม่มีเพื่อนอยู่แล้ว”

เป็นครั้งแรกที่บัวบูชาเริ่มออกความเห็นแรงๆ กับคุณหญิงแม่เรื่องนี้ ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าเธอเองนั่นแหละที่ ‘ยอม’ มาตลอด ทุกเรื่องเลยก็ว่าได้ เพราะเห็นว่าทั้งสองท่านอายุต่างจากเธอมากมายนัก ตอนที่คุณหญิงแม่คลอดเธอนั้นท่านอายุมากแล้ว ทำให้ท่านรักและห่วงใยเกินเหตุ ถึงขั้นวิตกกังวล บัวบูชาเข้าใจ และที่สุดเมื่อรวมกับความเคยชินเธอก็เลยไม่รู้สึกถึงความแปลกเหล่านี้อีกต่อไป หญิงสาวใช้ชีวิตในแบบย้อนยุคได้ ท่ามกลางสังคมที่วิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง แต่เธอก็ไม่คิดว่าจะต้องเป็นเช่นนี้ตลอดไป บัวบูชาตั้งใจแล้วว่าเมื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย เธอต้องไม่ดูแปลกจนเกินไป เพราะถ้าเป็นแบบนั้น คงหาเพื่อนคบด้วยไม่ได้แน่

“ไม่เอานะคะหนูบัวลูกแม่ อย่าคิดแบบนั้น หนูบัวไม่ได้แปลกจนขนาดไม่มีเพื่อนหรอก ดูแต่ยายพิมสิ เห็นสนิทสนมกันดีจะตายไป สนิทตั้งแต่มอต้นเลยนี่นา พูดถึงยายพิม นี่ทำไมยังไม่โทร. มาบอกผลสอบเสียทีนะ คุณแม่เครียดนะคะเนี่ย ไหนว่าจะประกาศทางอินเทอร์เน็ตตอนสายๆ ไงล่ะ”

ไม่ต้องรอนานเลย เสียงโทรศัพท์บ้านก็ดังแทรกขึ้นมาทันที บัวบูชาถลาไปคว้าโทรศัพท์มาแนบหู

“รู้ผลแล้วเหรอ บอกฉันมาเร็ว ยายพิม” หญิงสาวกรอกเสียงรัวเร็ว ทางปลายสายเริ่มด้วยเสียงหัวเราะเริงร่า ก่อนตะโกนลั่น

“ทั้งฉันทั้งแก ติดที่เดียวกันล่ะบัว คณะดุริยางคศาสตร์ ศิลปากร ถึงจะต่างสาขา แต่ก็ได้เรียนที่เดียวกัน เย้ๆๆ”

ถ้าไม่ได้อยู่ต่อหน้าคุณพ่อกับคุณหญิงแม่ บัวบูชาคงกรี๊ดสนั่นไปแล้ว เป็นครั้งแรกที่เธออยากกรีดร้องดังๆ ประกาศให้โลกรู้ว่าเธอก้าวไปอีกขั้น เธอจะได้เข้ามหาวิทยาลัย มีสังคมที่ไม่ได้อยู่แค่ในโรงเรียนคาทอลิกหญิงล้วนซึ่งมีกฎระเบียบเข้มงวดอีกต่อไป

“โอย! ฉันดีใจจนพูดไม่ออกแล้ว เอาเป็นว่า แล้วเราค่อยคุยกันอีกทีนะ ตอนนี้ขอบอกข่าวดีกับคุณพ่อ คุณแม่ก่อน” บัวบูชาเผลอตะโกนใส่หูโทรศัพท์อย่างตื่นเต้น

“อืม ตามสบายเพื่อน ฉันก็ต้องวิ่งลงไปป่าวประกาศกับหม่าม้าเหมือนกัน นี่ฉันนั่งเฝ้าจอคอมฯ อยู่บนห้องนอนชั้นสองน่ะ รู้ผลสอบแล้วสงสัยหม่าม้าต้องพาฉันไปไหว้บอกวิญญาณปะป๊าด้วยแน่ๆ เรื่องยาวละคราวนี้” พิมพ์ชนกปิดท้ายด้วยเสียงหัวเราะ

บัวบูชาวางสาย เดินตรงเข้าไปนั่งลงบนโซฟาแทรกกลางระหว่างบิดากับมารดาที่นั่งยิ้มเพราะจับใจความจากเสียงคุยได้บ้างแล้ว เธอหอมแก้มคุณหญิงแม่ ตามด้วยคุณพ่อ ก่อนบอกด้วยน้ำเสียงภูมิใจ

“บัวสอบติดคณะดุริยางคศาสตร์แล้วค่ะ คุณพ่อคุณแม่ ยายพิมก็ติดที่เดียวกัน แค่คนละสาขา”

“คุณพ่อกับคุณแม่ดีใจที่สุดเลยลูก หนูบัวเก่งจริงๆ” คุณหญิงนลินนาถบอกลูกน้ำตาคลอ ขณะรั้งร่างบอบบางเข้าไปกอดแน่น

“คุณพ่อภูมิใจในตัวลูกนะ ลูกสาวคนเก่ง” คุณดำเกิงลูบศีรษะลูกสาวเบาๆ รอยยิ้มยินดีปรากฏบนใบหน้าซึ่งปกติจะเรียบเฉย

บัวบูชาผละจากโซฟามาคุกเข่าลงบนพื้นข้างๆ นมเป็ด โอบกอดแม่นมของเธอ

“ขอบคุณนมเป็ดมากนะคะ ที่ดูแลบัว ไปไหนมาไหนกับบัวทุกที่ ในที่สุดบัวก็ทำได้แล้ว บัวเข้ามหาวิทยาลัยได้กับเขาด้วย โล่งอกไปที”

บัวบูชารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เธอกังวลมาตลอดว่าการที่ไม่มีโอกาสไปกวดวิชาเหมือนคนอื่น มีแต่ครูมาสอนพิเศษที่บ้านจะทำให้เธอไม่ทันเพื่อน สู้คนอื่นไม่ได้ แต่พอผลออกมาแบบนี้คงต้องยอมรับแล้วว่าชีวิตที่ยังยึดติดกับความเรียบง่ายเดิมๆ อาจทำให้เธอมีสมาธิ ไม่วอกแวกไปกับสิ่งเร้ารอบด้าน ที่สุดเธอก็สอบติดจนได้

“คนดีของนม นมภูมิใจ ดีใจจนพูดไม่ถูก ยินดีด้วยจริงๆ นะคะ คุณหนูบัว ว่าแต่คณะที่ว่านี่ ต้องไปเรียนไกลไหมคะ”

“เรียนแถวๆ ตลิ่งชันน่ะนม” บัวบูชาตอบฉะฉาน ทั้งที่ยังนึกไม่ออกเหมือนกันว่าตลิ่งชันอยู่ตรงไหน

“โหย! ไกลจากบ้านเรามากนี่คะ”

“จะกลัวอะไรคะนมเป็ด นมไม่ได้เป็นคนขับซะหน่อย ลุงหวินต่างหากที่ควรบ่นน่ะ แต่รับรอง ลุงหวินของบัวไม่มีบ่นหรอก ให้ไปส่งที่ไหนก็ไปอยู่แล้วล่ะ” คนพูดยิ้มระรื่น สบายใจที่ผลการสอบออกมาไม่ผิดหวัง ที่สำคัญพิมพ์ชนกเพื่อนรักก็ได้เรียนที่เดียวกัน เพียงแต่ต่างสาขาตามความสนใจ บัวบูชาเลือกสาขาการแสดงดนตรี แต่ฝ่ายนั้นเลือกสาขาดนตรีเชิงพาณิชย์

“งั้นนมก็ไม่บ่นหรอกค่ะ คุณหนูบัวเรียนที่ไหน นมก็ตามไปรับ ส่งได้ ทูนหัวของนมสอบเข้าได้ก็ดีใจแล้ว เห็นว่าปีๆ หนึ่งรับไม่เยอะด้วย”

เสียงนมเป็ดพร่าสั่น ยกมืออวบขึ้นปาดน้ำตาป้อยๆ บัวบูชาหอมแก้มซ้าย ขวาแรงๆ ก่อนบอกนางด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

“ถ้างั้นตอนนี้ก็เลิกซึ้ง ได้เวลาไปทำอย่างอื่นแล้วละ ไหนนมเป็ดว่าจะทำขนมจ่ามงกุฎให้บัวทาน เอาฤกษ์เอาชัยไงคะ”

“เมื่อเช้านมไม่มีแก่ใจทำ มัวแต่มานั่งลุ้น เดี๋ยวไปทำต่อดีกว่าค่ะ จะทำสุดฝีมือเลยนะคะ ฉลองที่คุณหนูบัวสอบได้”

นมเป็ดค้อมตัวเดินออกไปจากห้อง บัวบูชามานั่งลงข้างกายผู้เป็นบิดามารดาอีกครั้ง ก่อนบอกในสิ่งที่ตั้งใจไว้

“คุณพ่อ คุณแม่ขา สอบติดแล้วแบบนี้ต้องพาบัวไปดูคอนเสิร์ตที่ศาลาเฉลิมกรุงตามที่เคยพูดไว้นะคะ บัวชอบวงสุนทราภรณ์ อยากเห็นการแสดงสดบนเวทีน่ะค่ะ” หญิงสาวรีบต่อรองในยามที่ความชื่นมื่นยังอบอวลอยู่ทั่วบ้าน

“ได้เลยลูกพ่อ คุณพ่อเองก็อยากไปดู นานๆ จะจัดคอนเสิร์ตที เห็นว่าเป็นคอนเสิร์ตการกุศลด้วย เสาร์หน้านี้แล้ว เดี๋ยวคุณพ่อให้ลูกน้องไปซื้อบัตรให้ เอาบัตรวีไอพีไปเลย อืม เราชวนตาภูวดลไปด้วยดีมั้ย” คนพูดเอื้อมมือไปลูบศีรษะลูกสาวด้วยความรักใคร่

“ก็ดีค่ะคุณพ่อ พี่ภูบอกว่าชอบฟังเพลงเก่าอยู่เหมือนกัน”

“อู๊ย คุณแม่ชักตื่นเต้นแล้วสิหนูบัว เราต้องหาชุดสวยๆ ใส่ไปนะจ๊ะ ราตรียาวน่าจะเหมาะ ได้ข่าวว่าจัดให้เป็นบรรยากาศกาล่าดินเนอร์ย้อนยุคสุดหรูด้วย” คุณหญิงนลินนาถทำตาโต มีแวววาดฝันอยู่ในนั้น

“ต้องราตรียาวเลยเหรอคะ คุณแม่” ผู้เป็นลูกสาวขัดขึ้นมา คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน

“ใช่จ้ะ งานนี้หนูไม่ต้องยุ่ง เดี๋ยวคุณแม่จัดการเรื่องชุดให้เอง”

บัวบูชาฝืนยิ้มรับ ทำเป็นลืมๆ ไปว่าแต่ละชุดที่คุณหญิงแม่เลือกให้มักจะย้อนยุคไปไกลจนคนปัจจุบันต้องเหลียวหลัง ...เธอไม่สนหรอก ตอนนี้ใจคอจดจ่ออยู่แต่กับการได้ชมได้ฟังเพลงไพเราะที่เคยฟังจากแผ่นเสียงเก่าๆ ถึงจะเป็นคอนเสิร์ตจากสุนทราภรณ์รุ่นใหม่ในยุคนี้ แต่เชื่อได้ว่าต้องเป็นนักร้องคุณภาพ ได้อารมณ์เพลงเก่าไม่แพ้กัน

______________________________________________________________


“ยินดีด้วยนะคะหนูบัว น้าบอกแล้วว่ายังไงก็ต้องสอบเข้าได้ หนูบัวเก่งขนาดนี้”

นางเตือนใจตรงเข้าไปกอดร่างบอบบางทันทีที่บัวบูชาผลักประตูเข้ามาพร้อมหิ้วตะกร้าไข่ไก่อยู่ในมือ หญิงสาววางของลงบนโต๊ะ แล้วกอดตอบ สายตายังไม่วายกวาดไปทั่วร้าน แต่ก็เห็นแค่เด็กสาวที่ชื่อแววกำลังเรียงของขึ้นบนชั้น ไร้เงาของต้นสัก ชายที่เธอพยายามบอกตัวเองว่าไม่อยากเจอ แต่ก็อดใจไม่ได้เสียที ทุกคราวที่มาร้านนี้ เธอมักจะมาด้วยความหวังเสมอ ว่าจะได้พบได้คุยกับเขาสักครั้ง

“ขอบคุณค่ะ น้าเตือน นี่คุณพ่อคุณแม่กะจะฉลองด้วยการพาบัวไปดูคอนเสิร์ตสุนทราภรณ์ที่ศาลาเฉลิมกรุงเชียวนะคะ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้ดูคอนเสิร์ต” หญิงสาวอวด ใบหน้าสดใสฉาบไว้ด้วยรอยยิ้ม

“ดีจังจ้ะ หนูบัวจะได้ไปเปิดหูเปิดตา อ้าว! นั่นต้นมาพอดีเลย โชคดีจริง จะได้เจอกันเสียที”

อันที่จริงใจหนึ่งบัวบูชานึกอยากวิ่งหนีไปไกลๆ แต่ไม่รู้ทำไมเธอยังยืนปักหลักอยู่หน้าเคาน์เตอร์คิดเงิน ตาจ้องไปยังร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตผูกเนกไทกับกางเกงสแล็กส์ที่กำลังเดินเข้ามา หัวใจเต้นรัวเหมือนกลอง

เมื่อได้เห็นเต็มตาแบบนี้หญิงสาวก็สรุปได้ว่าต้นสักดูหนาขึ้น ลำตัวของเขาไม่ได้ผอมๆ บางๆ เหมือนสมัยยังเด็ก แล้วเขาก็สูงขึ้นมากด้วย

กำลังคิดหาคำทักทายดีๆ ให้พี่ชายต่างสายเลือด ก็ได้ยินเขาพูดออกมาเสียก่อน

“เมื่อคืนแม่นอนดึก ทำไมไม่ไปพักผ่อนเสียหน่อย ให้แววเฝ้าหน้าร้านก็ได้ สายๆ อย่างนี้ไม่มีลูกค้าหรอกครับ”

บัวบูชาหุบยิ้มฉับ อีตาบ้า! พี่ต้นใจร้าย นี่เขาเห็นเธอเป็นอากาศธาตุไปแล้ว ไม่ทักทาย ไม่สบตา เหมือนไม่มีเธอยืนอยู่ตรงนี้เลยด้วยซ้ำ ความน้อยใจประดังขึ้นมาจนรู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตา หญิงสาวรีบบอกพร้อมๆ กับการก้าวเท้าออกไปถึงประตูหน้าร้าน

“บัวกลับก่อนค่ะ น้าเตือน”

แล้วเธอก็วิ่งจากมา มุ่งไปยังรถเก๋งคันใหญ่สีเทาที่ลุงหวินจอดรออยู่ตรงที่จอดรถหน้าคอนโดฯ เข้ามานั่งบนเบาะหลังแล้วก็รีบบอกคนขับรถเก่าแก่ พยายามไม่ให้เสียงสั่น

“พาบัวกลับบ้านเลยค่ะ ลุงหวิน ส่งไข่เสร็จแล้ว”

“ทำไมวันนี้ไวจังล่ะครับ คุณหนูบัว ไม่อยู่คุยกับคุณเตือนใจอีกสักหน่อยหรือครับ เพิ่งมีข่าวดีแท้ๆ”

“ไม่ละจ้ะ บัวจะกลับบ้านให้เร็วที่สุด”

ลุงหวินขับรถเคลื่อนไปข้างหน้าช้าๆ ไม่ทันใจบัวบูชาเอาเสียเลย เธออยากไปให้พ้นๆ หน้าผู้ชายใจร้ายคนนั้น วันนี้การกระทำของเขาตอกย้ำให้เห็นชัดเจนแล้วว่า สำหรับต้นสัก...เธอไม่ได้มีความหมายอะไร...ไม่มีความหมายสักนิดเดียว

จบบทที่ 2

ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านค่ะ ^^

____________________________________________________________

ตอบคอมเมนต์ค่ะ

คุณ Pat คะ ... ขอบคุณมากค่า...มาคนแรกเลย อิอิ

คุณ หมีสีชมพู คะ ... เริ่มแล้ว ด้วยใจระทึก >O<

คุณ Oleang ขา ... ขอบคุณจ้ะ น้องสาวเกาะขอบจอเช่นเคย อิอิ

คุณ goldensun คะ ... เริ่มคอมเมนต์ตอนแรกด้วยการวิเคราะห์เจาะลึกเลย...ขอบคุณมากๆ นะคะ ^^

คุณ nunoi คะ ... ได้โปรดติดตามต่อนะค้า ^^


___________________________________________________________



ดาริยา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 ก.ย. 2555, 05:29:54 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 ก.ย. 2555, 05:29:54 น.

จำนวนการเข้าชม : 2390





<< ตอนที่ 1   ตอนที่ 3 >>
หมีสีชมพู 21 ก.ย. 2555, 06:16:14 น.
แปะชื่อก่อนค่ะ


Oleang 21 ก.ย. 2555, 07:12:59 น.
เกาะขอบสนาม


goldensun 22 ก.ย. 2555, 16:08:33 น.
รูปหล่อเจ้าชู้มาอีกรายแล้ว แถมหนูบัวชอบด้วย
เดิมต้นอยู่บริษัทของภูหรือคะ แล้วลาออก? ทำหนูบัวน้อยใจมากเลยนะนี่


anOO 22 ก.ย. 2555, 19:58:15 น.
ตามมาอ่าน 2 ตอนรวด อีตาพี่ต้นสักเป็นบ้าอะไรของเค้าเนี้ย


nunoi 23 ก.ย. 2555, 00:00:46 น.
พี่ต้นสักทำไมไม่พูดกับหนูบัวหล่ะเนี๊ย


Pat 23 ก.ย. 2555, 13:50:51 น.
พี่ต้น ใครทำให้ระคาย(ฝัง)ใจ ถึงไม่พูดไม่คุยกะน้องล่ะนี่


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account