เทวทูตที่รัก
เปลือยกายล่อนจ้อน !

ประโยคท้ายวิ่งวนอยู่ในความคิด ภาพของราฟาเอลในสภาพเปลือยเปล่าผุดขึ้นมาในหัวเหมือนภาพยนต์ที่ฉายซ้ำไปมา หัวใจที่เพิ่งสงบลงกลับเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะความแกร่งของแผ่นอกหรือมัดกล้ามอันงดงามบนหน้าท้อง หากแต่เป็นตำแหน่งประจำกายที่อยู่ตรงจุดกึ่งกลางของลำตัว น้ำทิพย์นึกทบทวนถึงเรื่องราวที่ศึกษาค้นคว้ามาไม่ว่าจะเป็นตำรา นิยายหรือแม้แต่กระทั่งสิ่งที่อาจารย์เพิ่งบอกไปเมื่อวันวาน ทุกคนล้วนกล่าวตรงกันว่าเทวดาทางฝั่งตะวันตกนั้นไม่มีเพศ

โกหกชัดๆ แล้วสิ่งที่เธอเห็นเมื่อครู่ล่ะ มันคืออะไร !

Tags: ราฟาเอล

ตอน: เทวทูตที่รัก บทที่ 5 สัญญาปิศาจ

บทที่ 5 สัญญาณปิศาจ

ร่างสูงตระหง่านของผู้ครองอาณาจักรแห่งความมืดทำให้ผู้ที่กำลังจะก้าวเข้ามาหาจำต้องชะงักเท้ายืนนิ่งเพราะแม้จะยังเห็นใบหน้าไม่ชัดแต่ปีกสีดำขนาดใหญ่ที่ขยับไปมาอย่างเชื่องช้าแสดงถึงอารมณ์ขุ่นมัวของเจ้าตัวได้เป็นอย่างดี

เบลเซบับยืนชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งจึงเดินเข้าไปหาจ้าวนรก เขาค้อมตัวลงอย่างนอบน้อมพร้อมกับกล่าว

“ท่านลูซิเฟอร์”

“มีอะไร”เสียงทุ้มห้วนดังตอบกลับมา แม้จะดูสงบราบเรียบแต่ผู้ฟังก็รู้ดีว่าอารมณ์ของผู้พูดในเวลานี้เปรียบเสมือนภูเขาไฟที่พร้อมจะระเบิดร่างทุกคนที่อยู่ใกล้ได้ทุกเวลา ดวงตาขนาดใหญ่ของเบลเซบับชำเลืองมองอีกฝ่ายอย่างหวาดระแวงก่อนตอบ

“ข้ามารายงานเรื่องของราฟาเอล”

ปิศาจร้ายสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงดังสนั่นจากกำปั้นที่ทุบเปรี้ยงลงบนพนักบัลลังก์
ลูซิเฟอร์มองเขาด้วยแววตาที่พร้อมจะฉีกใครบางคนให้เป็นชิ้น

“เจอตัวมันหรือยัง”

“ข้าส่งปิศาจจำนวนมากออกไปค้นหา...”

“แล้วพบมันไหม” ลูซิเฟอร์กระชากเสียงถาม เบลเซบับขยับถอยหลังไปหนึ่งก้าวและตอบด้วยเสียงที่เกือบจะดังอยู่แค่ในลำคอ

“ยัง”

เชือกสีดำพุ่งมารัดลำคอปิศาจแห่งแมลงและรัดจนแน่น ถึงจะเต็มไปด้วยความหวาดกลัวแต่เบลเซบับก็ยังไม่กล้าแม้แต่จะยกมือขึ้นแตะมัน ลูซิเฟอร์จ้องด้วยดวงตาลุกโชนดุจเปลวเพลิง

“ข้าสั่งแล้วไม่ใช่หรือว่าห้ามเจ้ากลับมาจนกว่าจะเจอตัวเจ้าราฟาเอล”

“ข...ขออภัยแต่ถึงจะยังไม่พบตัวแต่ข้าก็เจอร่องรอยของมันแล้ว”

เบลเซบับพูดเสียงขาดเป็นห้วง จ้าวแห่งความมืดหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนเอนตัวพิงพนักเก้าอี้

“ว่ามา”

เชือกที่รัดลำคอคลายออกและหดกลับเข้าไปใต้บัลลังก์ เบลเซบับไอสองสามครั้งพร้อมกับรีบรายงาน

“ปิศาจตัวหนึ่งบอกว่าพบม่านพลังประหลาดปกคลุมบ้านหลังหนึ่งเอาไว้ แต่พอมันเข้าไปดูกลับไม่พบอะไรเลย”

“แน่ใจหรือว่าปิศาจตัวนั้นดูไม่พลาด”

ลูซิเฟอร์ถาม เบลเซบับส่ายหน้า

“ข้าส่งปิศาจอีกสองตัวไปตรวจ พวกมันพบม่านพลังนั่นเหมือนกัน แต่พอลงไปดูก็ไม่เจออะไรผิดปรกติ ข้าเห็นว่าเป็นเรื่องแปลกจึงรีบมารายงานให้ท่านทราบ”

ผู้ครองนรกยกมือขึ้นลูกคางอย่างใช้ความคิด

“เจ้าพวกเทวดามักใช้พลังลวงตาคนอื่น แต่ก็ยังสรุปไม่ได้ว่าม่านนั่นเป็นของปลอม บางทีเจ้าราฟาเอลอาจจะอยู่ในบ้านหลังนั้นและใช้พลังอำพรางร่างให้พ้นจากสายตาของพวกเรา”

เขาลุกยืนขึ้น

“ข้าไปดูเอง”

“แต่บาดแผลของท่าน” เบลเซบับแย้งพลางรอยไหม้ขนาดใหญ่บนแผ่นอก แม้เนื้อบางส่วนจะประสานกันแต่มันก็ยังดูร้ายแรงจนน่ากลัว ลูซิเฟอร์ดึงผ้าคลุมมาปิดเอาไว้พร้อมกับคำราม

“เจ้าไม่ต้องยุ่ง”

เจ้าแห่งความมืดก้าวออกจากห้องและเดินไปจนกระทั่งถึงระเบียงศิลาที่ยื่นออกไปจากตัวปราสาท ใบหน้างดงามราวเทพบุตรเงยขึ้นมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิง

“ราฟาเอล” ลูซิเฟอร์คำราม“ข้าจะฉีกร่างเจ้าให้เป็นชิ้นด้วยมือของข้าเอง”

เปลวไฟร้อนแรงระเบิดลุกท่วมร่างของจอมปิศาจและหมุนหายขึ้นสู่ด้านบนมุ่งหน้าตรงไปยังโลกมนุษย์ ดินแดนที่ซึมซับความมืดและแสงสว่างเอาไว้อย่างกลมกลืน

*/*/*/*/*

เสียงดนตรีจังหวะร้อนแรงดึงน้ำทิพย์ให้หลุดจากนิทราอันแสนสุข หญิงสาวควานหารีโมตเพื่อปิดเครื่องเล่นเพลงที่เธอใช้แทนนาฬิกาปลุกและมุดเข้าไปในผ้าห่มเพื่อจะนอนอีกครั้งแต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าวันนี้มีชั่วโมงเรียนตอนเช้าหญิงสาวจึงรีบลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัว

ประทินโฉมเสร็จน้ำทิพย์จึงลงมายังชั้นล่างเพื่อต้มน้ำสำหรับชงกาแฟ ระหว่างรอเธอลงมือเตรียมอาหารเช้าซึ่งก็คือขนมปังปิ้งกับไข่ดาว ตอนแรกเธอคิดจะทอดไส้กรอกด้วยแต่พอนึกถึงสิ่งที่เห็นเมื่อวานตอนเย็นแล้วน้ำทิพย์จึงตัดสินใจจะเลิกกินอาหารชนิดนี้สักระยะ หญิงสาวชำเลืองตามองไปยังห้องของราฟาเอลที่ยังคงปิดสนิท แม้อยากรู้เหลือเกินว่าเขาตื่นแล้วหรือยังแต่ความที่กลัวว่าหากเปิดประตูเข้าไปอาจจะพบกับภาพบาดตาอีกครั้งทำให้เธอไม่กล้าแม้กระทั่งเคาะประตู กระทั่งอาหารทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก็ยังไม่มีวี่แววว่าเทวดหนุ่มจะออกจากห้อง เธอจึงตัดสินใจเดินไปหยุดยืนที่หน้าประตูและเอ่ยเรียกด้วยความเป็นห่วง

“ราฟาเอล”

ทุกอย่างเงียบสงบเหมือนไร้ผู้ใดอยู่ในห้อง น้ำทิพย์แนบหูเข้ากับบานประตูเหมือนต้องการจะฟังความเคลื่อนไหวแต่ทุกอย่างยังคงเงียบสงัด หญิงสาวจึงเรียกซ้ำด้วยเสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิม

“ราฟาเอล”

ไม่มีเสียงขานรับเหมือนครั้งแรก เธอจึงขยับเตรียมจะเรียกอีกครั้งโดยตั้งใจว่าหากคราวนี้อีกฝ่ายไม่ตอบเธอก็จะเปิดประตูเข้าไปโดยไม่สนใจว่าคนที่อยู่ข้างในจะทำอะไรอยู่ แต่ยังไม่ทันที่จะได้ทำตามความคิดหญิงสาวก็ต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงเอะอะเจี๊ยวจ๊าวของนกกระจอกดังมาจากหน้าบ้าน ด้วยความสงสัยเธอจึงเดินออกไปดูและต้องยืนตกตะลึงอ้าปากค้างเมื่อเห็นร่างสูงสง่าของราฟาเอลกำลังยืนอยู่กลางสนามหญ้าโดยเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ฉาบด้วยแสงสว่างแห่งรุ่งอรุณ ดวงตาสีฟ้าสวยจ้องตรงไปยังกลุ่มเมฆสีขาวสะอาดคล้ายปุยฝ้ายที่กระจายเกลื่อนอยู่บนนภาสีครามดุจกำลังสวดอ้อนวอนต่อผู้สูงศักดิ์ที่อยู่เบื้องบน เขายืนนิ่งไม่ยอมขยับปล่อยให้สายลมเย็นยามเช้าโบกสะบัดพัดผ่านร่างจนเรือนผมสีทองหยิกสลวยเป็นลอนคลื่นพลิ้วกระจาย และเมื่อพินิศดูให้ดีน้ำทิพย์จึงเห็นรัศมีสีสวยดุยสายรุ้งแผ่เรื่อเรืองออกมาจากร่างของเทวดาหนุ่ม มันเป็นแสงที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและสร้างความรู้สึกปลอดภัยจนนกนานาชนิดกล้าที่จะบินร่อนลงมายืนอยู่รายรอบและเปล่งเสียงขับขานบทเพลงกันอย่างเจื้อยแจ้ว ตอนนั้นเองที่เหมือนเวลาทั้งหมดหยุดนิ่ง มีเพียงเส้นผมที่ยาวสยายจรดแผ่นหลังของราฟาเอลเท่านั้นที่เคลื่อนไหว มันช่างเป็นภาพตรึงใจอย่างที่สุด แม้กระทั่งตัวของน้ำทิพย์เองก็ยังไม่คิดเลยว่าชีวิตนี้จะได้เห็น

หญิงสาวยืนจ้องราฟาเอลอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งได้ยินเสียงแตรรถยนต์ที่แล่นผ่านหน้าบ้านไป เธอจึงนึกขึ้นได้ว่าเทวดาหนุ่มกำลังอยู่ในที่โล่ง ความตกใจทำให้เธอรีบพุ่งไปคว้าข้อมือเขาและลากกลับเข้ามาภายในบ้าน เมื่อกดล็อคประตูจนแน่นหนาดีแล้วน้ำทิพย์จึงมองหน้าราฟาเอล

“ทำอะไรของคุณน่ะ” เธอถามพลางมองผ่านประตูกระจกออกไปด้านนอกและกวาดสายตามองจนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้นแล้วหญิงสาวจึงปิดม่านและหันไปทางราฟาเอลซึ่งกำลังยืนทำหน้างงงัน

“คุณพูดเรื่องอะไร”

น้ำทิพย์เหลือกตาขึ้นและหลุดปากออกมาเบาๆว่า ให้ตายเถอะ ก่อนจะลดสายตากลับลงมาหาเทวดาหนุ่มอีกครั้ง

“นึกยังไงถึงออกไปยืนข้างนอก”

ตอนแรกราฟาเอลเกือบจะหลุดปากตอบเธอไปตามตรงว่าเขากำลังสวดภาวนาขอความช่วยเหลือจากมิคาเอล แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตระหนกและกังวลของน้ำทิพย์แล้วเขาจึงเปลี่ยนใจ

“ผมเห็นอากาศดีจึงออกไปรับลมเล่น”

“รับลมเล่น!”น้ำทิพย์ทวนพร้อมกับทำตาโต”คุณเป็นผู้ชายออกไปยืนหน้าบ้านหญิงสาวตัวคนเดียวแต่เช้าตรู่แบบนี้ถ้าเพื่อนบ้านเห็นเข้ามีหวังได้วิจารณ์กันเละว่าลูกสาวตระกูลจิตเกื้อการุณย์พาหนุ่มมานอนกกที่บ้าน งานนี้มีหวังฉันขายไม่ออกแน่”

ประโยคสุดท้ายพูดด้วยท่าทางเหนื่อยหน่ายแต่สีหน้าของหญิงสาวก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นเมื่อกล่าวประโยคต่อไป

“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ เพราะนั่นยังไม่สำคัญเท่ากับเรื่องของคุณ ออกไปยืนแบบนั้นถ้าเกิดลูซิเฟอร์มาเจอเข้าจะทำยังไง”

“ผมบอกคุณไปแล้วไม่ใช่หรือว่า มีม่านกำบังตาพวกปิศาจเอาไว้”

“ถ้าเป็นพวกสมุนกระจอกฉันไม่เถียง แต่ลูซิเฟอร์ฉันไม่แน่ใจ เขาเป็นถึงจอมปิศาจม่านป้องกันของเทวดาที่กำลังอ่อนแรงแบบนี้ไม่มีทางปกปิดอะไรเขาได้อยู่แล้ว”

ราฟาเอลยืนนิ่งเพราะทุกสิ่งที่น้ำทิพย์กล่าวมานั้นถูกต้อง พลังที่เขามีอยู่ในตอนนี้สามารถป้องกันได้เพียงปิศาจระดับปลายแถวเท่านั้น หากลูซิเฟอร์บุกเข้ามาเขาคงไม่มีทางรับมือหรือป้องกันอะไรได้ แน่นอนว่าเทวดาหนุ่มไม่ได้กังวลถึงตัวเองเท่าใดนักเพราะอาร์คแอนเจิ้ล (Arch Angles) เช่นพวกเขายอมอุทิศทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อพระองค์ ผู้ที่เขาเป็นห่วงและต้องการปกป้องให้รอดพ้นจากเงื้อมมืออันเหี้ยมโหดของจอมมารก็คือน้ำทิพย์ หญิงสาวผู้มีจิตใจบริสุทธิ์ สตรีที่เขาถือว่าเป็นผู้มีพระคุณ

“ลูซิเฟอร์ไม่ลุกจากบัลลังก์เพียงเพราะเรื่องแค่นั้น”

เทวดาหนุ่มพูด น้ำทิพย์เลิกคิ้วด้วยความสงสัย

“หมายความว่ายังไง”

“ผมหมายความว่า ลูซิเฟอร์จะใช้ให้บริวารออกมาควานหาตัวผมจนเจอเสียก่อน จากนั้นจึงจะลงมือ”

“ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่ใครจะไปรู้ใจพวกปิศาจ บางทีเขาอาจจะออกมาตามหาคุณด้วยตัวเองก็ได้ สรุปว่าจากนี้ไปหากไม่จำเป็นแล้วห้ามคุณออกไปข้างนอก ถ้าอึดอัดอยากจะรับลมก็ไปที่เรือนกล้วยไม้หลังบ้าน”

“ตกลง”ราฟาเอลรับคำอย่างว่าง่าย หญิงสาวจึงยิ้มพลางจูงมือเขาเข้าไปในห้องอาหาร ตอนแรกเธอเตรียมกาแฟให้เขาหนึ่งถ้วยแต่พอเห็นเทวดาหนุ่มทำหน้าแหยเกเหมือนกำลังซดยาพิษแล้วหญิงสาวจึงเปลี่ยนเครื่องดื่มของเขาเป็นนมสด โชคดีที่ชาวสวรรค์ไม่มีปัญหากับขนมปังปิ้ง อาหารมือเช้าจึงผ่านไปได้ด้วยดี จากนั้นน้ำทิพย์จึงพาราฟาเอลไปยังห้องนั่งเล่นเพื่อสอนวิธีการเปิดและเปลี่ยนช่องโทรทัศน์ หญิงสาวมองเทวดาหนุ่มด้วยความแปลกใจเพราะแม้จะเขาจะดูทึ่งกับวิทยาการของมนุษย์แต่ก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมากนัก หลังจากอธิบายจนอีกฝ่ายเข้าในดีแล้วเธอจึงส่งรีโมตให้พร้อมกับกำชับ

“ถ้าอยากศึกษาเรื่องราวของพวกมนุษย์ขอให้เลือกช่องที่มีสารคดี อย่าได้ไปดูพวกละครเป็นอันขาดถ้ายังไม่อยากเป็นเทวดาสมองกลวง”

พูดจบหญิงสาวก็หยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายและเดินไปที่ประตูโดยไม่ลืมฉวยกุญแจรถติดมือไปด้วย ก่อนจะก้าวออกจากบ้านเธอหันกลับมาพูดกับราฟาเอลอีกครั้ง

“ปิดประตูให้สนิท ใครเรียกยังไงก็ห้ามเปิด ฉันรู้ว่าเทวดามีเมตตากับมนุษย์แต่คนเดี๋ยวนี้เจ้าเล่ห์มากกว่าที่ท่านคิดมาก”

“ผมเข้าใจ”เทวดาหนุ่มตอบด้วยใบหน้าที่ทำให้น้ำทิพย์แทบอยากจะกระโดดเข้าไปหยิกแก้ม แต่เธอก็ทำได้แค่เพียงส่งยิ้มให้กับเขาพร้อมกับพูด

“งั้นก็ดี เอาไว้เย็นนี้ฉันจะกลับมาทำอาหารให้ทาน”

หญิงสาวโบกมือให้กับเขาก่อนจะก้าวขึ้นรถและขับออกไป ส่วนราฟาเอลเมื่อเห็นอีกฝ่ายพ้นไปจากสายตาแล้วเขาจึงกลับเข้าไปนั่งในห้องรับแขกและเริ่มต้นเปิดข่าวอย่างสนใจ ภาพสงครามและเหตุการณ์รุนแรงที่มีอยู่ทั่วโลกสร้างความกังวลต่อเทวดาหนุ่มเป็นอย่างมากเพราะทุกอย่างเกิดขึ้นจากจิตใจด้านมืดของมนุษย์ที่ซึมซึบพลังชั่วจากนรกส่งผลให้พวกเขาสามารถกระทำเรื่องเลวร้ายได้อย่างหน้าตาเฉย ยิ่งคนผู้นั้นคือผู้มีอำนาจทุกอย่างในมือด้วยแล้ว หายนะที่เกิดขึ้นจะร้ายแรงจนสุดต้านทาน

หลังจากนั่งดูอยู่ได้พักใหญ่ราฟาเอลจึงเตรียมจะปิดโทรทัศน์และกลับเข้าห้องทำสมาธิเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บแต่ยังไม่ทันจะหยิบรีโมตเสียงประกาศแจ้งข่าวด่วนก็ดังขึ้น ภาพของรถบรรทุกที่มีไฟลุกท่วมปรากฏบนจอภาพพร้อมเสียงบรรยายของผู้รายงาน

“ขณะนี้เกิดอุบัติเหตุรถบรรทุกแก๊ซพลิกคว่ำ คาดว่าเกิดจากคนขับหลับใน ตอนนี้ไฟได้ลามไปยังรถที่อยู่ใกล้เคียงจนวอดไปแล้วกว่าสิบคัน อุบัติเหตุในครั้งนี้ทำให้มีผู้เคราะห์ร้ายเป็นจำนวนมากเพราะจากที่ค้นพบในเบื้องต้นพบร่างของผู้เสียชีวิตแล้วกว่าสิบรายและดูเหมือนจะมีจำนวนเพิ่มขึ้น...”

กลุ่มควันสีดำที่พวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าท่ามกลางเปลวเพลิงลุกท่วมสร้างความสยดสยองต่อผู้สื่อข่าวสาวเป็นอย่างมาก แต่สิ่งที่สร้างความตระหนกต่อราฟาเอลไม่ใช่ซากรถยนต์ที่กำลังมอดไหม้ หากแต่เป็นเงาของอะไรบางอย่างที่กำลังโบยบินอย่างเริงร่าอยู่ในกลุ่มควัน แม้จะมองเห็นไม่ชัดนักแต่สัมผัสของเทวดาทำให้ราฟาเอลรู้ได้ในทันทีว่านั่นคือเหล่าบรรดาปิศาจชั้นต่ำ บริวารอันแสนชั่วร้ายของลูซิเฟอร์

“พวกมันกล้าทำร้ายมนุษย์ด้วยตัวเองเลยหรือนี่” เทวดาหนุ่มพึมพำพลางสะบัดปีกทั้งสองข้างให้กางออก ความเจ็บแปลบวิ่งพล่านไปทั่วแผ่นหลังจนเขาต้องสะดุ้ง มือเลื่อนไปแตะปีกที่หักด้วยความเจ็บใจ

“สภาพแบบนี้เราคงทำอะไรไม่ได้”

ปีกทั้งสองจางหายไป ราฟาเอลทิ้งตัวไปบนเก้าอี้และถอนใจออกมา

“ตอนนี้คงได้แต่ภาวนาอย่าให้พวกมันเจอเราที่นี่ ไม่อย่างนั้นแล้วน้ำทิพย์จะพลอยตกอยู่ในอันตรายไปด้วย”

เทวดาหนุ่มปิดโทรทัศน์จากนั้นจึงเดินกลับเข้าห้อง หลังจากปิดผ้าม่านจนแน่ใจว่าไม่มีช่องที่จะให้ใครมองเข้ามาได้แล้วเขาจึงนั่งบนเตียงและสยายปีกออกอีกครั้งจากนั้นจึงตั้งจิตรวบรวมสมาธิเรียกพลังเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของตัวเอง

*/*/*/*/*

อุบัติเหตุสยองขวัญส่งผลให้การจราจรติดขัดต่อเนื่องไปจนถึงถนนเส้นทางที่น้ำทิพย์วิ่งเป็นประจำ กว่าจะหลุดจากท้องถนนและวิ่งเข้าไปในมหาวิทยาลัยได้ก็ใช้เวลานานกว่าปรกติถึงครึ่งชั่วโมง โชคดีที่หญิงสาวเผื่อเวลาเอาไว้ล่วงหน้าอยู่แล้วจึงไม่ได้กังวลใจอะไรนัก แต่ก็โชคร้ายตรงที่ความล่าช้าทำให้ลานจอดรถใกล้อาคารเรียนเต็มหมด เธอจึงจำต้องขับรถไปยังตึกที่อยู่ใกล้เคียงหลังจากวนอยู่สองสามรอบจึงหาที่จอดได้ เมื่อลงจากรถและตรวจดูจนแน่ใจว่าประตูทุกบานถูกล็อคเป็นที่เรียบร้อยแล้วน้ำทิพย์จึงสะพายกระเป๋าเดินตรงไปยังอาคารเรียนที่อยู่ห่างพอสมควร ระหว่างผ่านสวนหย่อม หญิงสาวต้องขมวดคิ้วด้วยความสงสัยเมื่อเห็นกฤตชัยกำลังยืนพูดคุยอยู่กับชายแปลกหน้าสามคน ตอนแรกเธอคิดว่าอาจจะเป็นเพื่อนนักศึกษาด้วยกันแต่พอเห็นเครื่องแต่งกายกับหน้าตาท่าทางที่ออกไปในแนวนักเลงหัวไม้แล้วเธอจึงเข้าใจได้ในทันทีว่าคนกลุ่มนี้คืออันธพาลก๊วนเดียวกับกฤตชัย

ปัญหาคือพวกเขาเข้ามาทำอะไรในนี้ จะบอกว่าเป็นการเข้ามาเยี่ยมเยือนตามวิสัยของพวกว่างงานก็ไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะอาการหลุกหลิกลับๆล่อๆของคนทั้งสามบ่งบอกว่านี่ไม่ใช่เป็นการพูดคุยทักทายกันตามปรกติอย่างแน่นอน ตอนแรกหญิงสาวคิดจะไปแจ้งยามรักษาการณ์แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเธอไม่มีหลักฐานว่าคนเหล่านั้นมีความผิด ดังนั้นสิ่งเดียวที่เธอควรจะทำในตอนนี้ก็คือเดินหนีไปให้เร็วที่สุดซึ่งดูเหมือนจะไม่สำเร็จเพราะจังหวะนั้นเองที่กฤตชัยหันมาเห็นเข้าพอดี เขาพูดอะไรบางอย่างกับชายแปลกหน้าสองสามคำก่อนจะหันกลับมาที่เธออีกครั้งพร้อมกับร้องเรียก

“น้ำทิพย์”

หญิงสาวถอนใจอย่างเบื่อหน่ายเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินยิ้มเผล่เข้ามาหา ครั้นจะรีบหนีก็ดูจะเป็นการน่าเกลียดเกินไป สุดท้ายเธอจึงจำต้องส่งยิ้มตอบพร้อมกับพูด

“อ้าวคุณคริส ขอโทษทีค่ะพอดีทิพย์มัวแต่รีบเลยไม่ทันเห็นคุณ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับเพราะตอนนี้คุณก็ได้เจอกับผมแล้ว” กฤตชัยพูดพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างจนแทบจะเห็นฟันทั้ง 32 ซี่ น้ำทิพย์กลอกตาขึ้นฟ้าอย่างระอาก่อนจะหมุนตัวเตรียมออกเดิน

“เดินไปคุยไปกันดีกว่านะคะ” พูดทั้งที่ในใจพยายามคิดหาทางหนี ทีแรกเธอคิดจะใช้แผนเดิมแต่ก็ต้องล้มเลิกเมื่ออีกฝ่ายดักคอ

“หวังว่าคุณคงไม่แวะเข้าห้องน้ำกลางทางนะครับ”

“คุณคริสพูดแบบนี้ทิพย์เขินแย่เลย” พูดพลางแกล้งใส่จริตเล็กน้อยแต่พองาม อีกฝ่ายหัวเราะชอบอกชอบใจ

“แค่แหย่เล่นเท่านั้นครับอย่าคิดมาก” เขามองหญิงสาวด้วยท่าทางกรุ้มกริ่ม “คุณน้ำทิพย์ดูสวยกว่าทุกวัน มีอะไรพิเศษหรือเปล่าครับ”

น้ำทิพย์แทบอยากจะสวนกลับไปว่า ฉันก็แต่งแบบนี้ทุกวันจะมีเปลี่ยนก็แค่สีของลิปสติกเท่านั้น มันสวยกว่าทุกวันตรงไหน

“ขอบคุณค่ะที่ชมแต่ทิพย์ก็แต่งตามปรกติเหมือนทุกวัน ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษหรอกค่ะ”

หญิงสาวตอบด้วยถ้อยคำที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่คิด กฤตชัยจึงขยับเข้าไปใกล้อีกนิดพร้อมกับแกล้งกุมมือของเธอ

“มือคุณน้ำทิพย์นุ่มจัง ใช้ครีมอะไรหรือครับ”

ขาที่กำลังก้าวเดินหยุดกึก ใบหน้าของน้ำทิพย์แดงก่ำด้วยความโกรธ ช่วงที่กำลังคิดจะเหวี่ยงเท้าเตะสั่งสอนเจ้าคนบังอาจให้รู้สำนึกว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงประเภทที่จะเข้ามาจาบจ้วงได้ตามอำเภอใจอยู่นั้นเสียงสดใสน่ารักของใครบางคนก็ดังขึ้น

“พี่ทิพย์”

หญิงสาวหันไปมองและยิ้มอย่างโล่งอกเมื่อเห็นนักศึกษารุ่นน้องที่ชื่ออรอนงค์กำลังวิ่งเข้ามาหา ต่างจากกฤตชัยที่เบือนหน้าหนีพร้อมกับกระแทกลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด

“พี่ทิพย์พอมีเวลาหรือเปล่าคะ พอดีเนยมีเรื่องต้องปรึกษานิดหน่อย” อรอนงค์พูดโดยไม่มองฝ่ายชายที่กำลังยืนหน้าบึ้ง น้ำทิพย์ยิ้มกว้าง

“ว่างจ้ะ มีอะไรเหรอ”

“พูดตรงนี้ไม่ได้ค่ะ”อรอนงค์รีบพูด กฤตชัยจึงโพล่งอย่างเหลืออด

“เรื่องมากจริง อยากถามอะไรก็ว่ามาเลย”

นักศึกษาสาวไม่แม้แต่จะชำเลืองมองชายหนุ่ม เธอจ้องหน้าน้ำทิพย์ก่อนจะพูดเสียงเรียบ

“มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการแข่งขัน ไม่สมควรให้คนนอกได้ยินค่ะ”

อรอนงค์เน้นคำว่า คนนอก อย่างจงใจ กฤตชัยขบกรามแน่นและคงจะโวยลั่นหากน้ำทิพย์ไม่รีบพูด

“งั้นทิพย์คงต้องขอตัวไปกับน้อง คงไม่เป็นไรใช่ไหมคะ”

เธอมองเขาด้วยดวงตาเชิงอ้อนวอน กฤตชัยจึงจำต้องพยักหน้าพร้อมกับพูด

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมคุยกับคุณวันหลังก็ได้” เขาส่งสายตาอาฆาตไปยังนักศึกษารุ่นน้องก่อนสะบัดหน้าเดินจากไป เมื่อเห็นชายหนุ่มอยู่ห่างไปพอสมควรแล้วน้ำทิพย์จึงถามอรอนงค์ที่ยังคงยืนเฉยอยู่

“น้องเนยจะปรึกษาพี่เรื่องอะไรเหรอคะ”

“ไม่มีหรอกค่ะ”รุ่นน้องสาวตอบหน้าตาเฉยและรีบอธิบายเมื่อเห็นอีกฝ่ายเลิกคิ้ว”เนยเห็นพี่ทิพย์ทำหน้าอึดอัดเลยเข้ามาช่วย คงไม่ได้เป็นการตัดสินใจผิดใช่ไหมคะ”

“เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องและเข้าจังหวะที่สุดเลยค่ะ เพราะถ้าน้องเนยมาช้ากว่านั้นพี่อาจฆ่าคนไปแล้ว”

พูดพลางถูมือข้างที่ถูกกฤตชัยจับกับสะโพกค่อนข้างแรงอย่างรังเกียจ อรอนงค์จึงเปิดกระเป๋าหยิบหลอดพลาสติกสีชมพูน่ารักยื่นส่งให้

“ของแบบนี้ต้องล้างด้วยแอลกอฮอล์ค่ะ พี่ทิพย์เอาไปใช้ได้เลยเพราะเนยยังมีอีกหลายหลอด” เธอยักคิ้วอย่างเจ้าเล่ห์ น้ำทิพย์จึงหัวเราะก่อนจะรับเจลทำความสะอาดจากรุ่นน้องตัวแสบ

“ขอบคุณน้องเนยมากค่ะ”

“ด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่งค่ะพี่”อรอนงค์พูดพร้อมกับแสดงความคำนับในท่าถอนสายบัว”จวนได้เวลาเรียนแล้วเนยไปก่อนนะคะ ถ้ามีแมลงอะไรมารบกวนอีกพี่ทิพย์ยิงพลุขึ้นฟ้าเรียกเนยได้ตลอดเวลาอย่าได้เกรงใจ”

พูดจบก็วิ่งตื๋อออกไป น้ำทิพย์มองตามและส่ายหน้าก่อนจะก้มลงมองหลอดเจลทำความสะอาดในมือ

”เห็นนิ่งๆนึกว่าจะเรียบร้อยที่แท้ก็ร้ายไม่เบา”

พูดพลางเก็บหลอดเจลที่รุ่นน้องมอบให้ใส่ลงกระเป๋าจากนั้นจึงเดินตรงไปยังอาคารเรียน เมื่อเห็นน้ำทิพย์ก้าวเข้าห้องกฤตชัยก็เตร่เข้าไปหาเพื่อพูดคุยกับเธออีกครั้งแต่พอถูกจรายุทธกับจันทรนิภากีดกันอย่างออกนอกหน้าเขาจึงจำต้องละความตั้งใจและเลี่ยงไปหานักศึกษาหญิงคนอื่นแทย เมื่อปราศจากสิ่งรบกวนน้ำทิพย์จึงเรียนได้อย่างเต็มที่ เมื่อถึงชั่วโมงที่ต้องส่งการบ้านการออกแบบตัวละครหลักของเกมส์ หญิงสาวถึงกับยิ้มหน้าบานเมื่อได้รับคำชมจากอาจารย์ว่าการออกแบบชุดเกราะเทวดาของเธอสมจริงอย่างน่าทึ่ง

มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น เพราะเธอได้รับแรงบันดาลใจมาจากชุดเกราะเทวดาตัวจริงเลยนี่นา

น้ำทิพย์นึกในใจและคิดต่อไปว่าเย็นนี้คงต้องทำอาหารอร่อยๆให้ราฟาเอลสักหน่อย เพราะเขาแท้ๆทำให้เธอได้คะแนนเก็บสูงที่สุดในห้องแถมอาจารย์ยังขอผลงานของเธอไปเป็นตัวอย่างให้รุ่นน้องอีกด้วย

ดังนั้นเมื่อหมดชั่วโมงเรียนหญิงสาวจึงรีบขับรถตรงไปยังห้างที่อยู่ภายในเมือง แม้จะค่อนข้างไกลและจำต้องฝ่าการจราจรที่ติดขัดแต่เพราะเธอต้องการวัตถุดิบชั้นดีประกอบกับต้องซื้อเสื้อผ้าที่มีขนาดพอดีกับตัวของราฟาเอล ซึ่งก็ไม่ผิดหวังเพราะร้านที่เป็นเป้าหมายของเธอนำเข้าเสื้อผ้าจากต่างประเทศ หลังจากเลือกอยู่ครู่หนึ่งจึงตัดสินใจซื้อเสื้อยืดคอกลมครึ่งโหลกับกางเกงยีนอีกสามตัว รวมทั้งรองเท้าชนิดสวมอีกหนึ่งคู่เผื่อวันใดวันหนึ่งเขาออกมาเที่ยวนอกบ้านจะได้ไม่ลำบาก

เสร็จจากการจับจ่ายหญิงสาวก็มุ่งตรงกลับบ้านทันที เมื่อไปถึงเธอก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นราฟาเอลนั่งรออยู่ในความมืด ความเป็นห่วงเธอจึงรีบเข้าไปเปิดไฟแทบทุกดวงพร้อมกับถาม

“ทำไมไม่เปิดไฟล่ะ”

“คุณเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอว่าไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าผมอยู่ในบ้าน”

คำตอบตรงไปตรงมาทำเอาคนถามต้องยืนกะพริบตาปริบๆ แต่ก็เดี๋ยวเดียวเท่านั้นเพราะเธอยื่นถุงกระดาษสองสามใบให้เทวดาหนุ่ม เขารับมาถือไว้อย่างงงงันก่อนจะถาม

“อะไร”

“เสื้อ กางเกงแล้วก็รองเท้า ลองสวมดูว่าพอดีตัวหรือเปล่าถ้าคับฉันจะได้เอาไปเปลี่ยน”

ช่วงที่รอราฟาเอลลองเสื้อน้ำทิพย์ก็หอบเครื่องปรุงอาหารเข้าไปในครัว ความที่เห็นว่าเทวดาหนุ่มยังกินอาหารได้ไม่คล่องนักเธอจึงตัดสินใจทำแป๊ะซะปลาแซลมอนกับแกงจืดสาหร่ายใส่ลูกชิ้นกุ้ง ตอนที่กำลังจะลงมีดบั้งปลาเสียงของราฟาเอลก็เรียกมาจากทางด้านหลัง เมื่อหญิงสาวหันไปมองก็ต้องยืนตกตะลึงตาค้างเพราะแม้จะเป็นแค่เสื้อยืดกางเกงยีนแต่มันก็ช่างเหมาะเจาะต่อผู้สวมใส่อย่างเหลือเกิน ถึงเสื้อจะดูตึงไปสักนิดเพราะสรีระที่ค่อนข้างใหญ่ในแบบนักรบแต่มันกลับทำให้รูปร่างของเทวดาหนุ่มดูเร้าใจมากยิ่งขึ้นไม่ว่าจะเป็นต้นแขนที่แน่นไปด้วยมัดกล้ามหรือปลายยอดของหน้าอกที่ดันเนื้อผ้าจนนูนออกมา

“เป็นยังไง”ราฟาเอลถามเมื่อเห็นหญิงสาวยืนนิ่งไม่พูดอะไร น้ำทิพย์แทบจะปาดน้ำลายของตัวเองก่อนตอบด้วยน้ำเสียงเหมือนคนละเมอ

“หล่อมาก”

“คุณพูดว่าอะไรนะ”

เทวดาหนุ่มย้อนถามพร้อมกับขมวดคิ้วและเอียงหน้าเล็กน้อยเหมือนไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยิน หญิงสาวสะดุ้งตอบอย่างเร็วจนลิ้นแทบจะพันกัน

“ฉันบอกว่าดูดีมาก แบบนี้ค่อยเหมือนคนธรรมดาขึ้นมาหน่อย”

พูดจบก็หันกลับไปทำอาหารต่อ ราฟาเอลมองชุดที่ตัวเองสวมด้วยสีหน้าที่ดูเหมือนจะไม่ชอบใจเท่าใดนักก่อนจะเดินเข้าไปหาน้ำทิพย์และยืนดูเธอบั้งปลาอย่างสนใจ

“กำลังทำอะไรอยู่หรือ”

“แซลมอนแป๊ะซะ”หญิงสาวตอบด้วยหัวใจที่เต้นเร็วจนแทบจะหลุดออกมาจากอก เธอเองก็ไม่รู้สาเหตุเหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น จะบอกว่าเพราะใบหน้าคมสันที่ก้มลงมาจนเกือบจะชิดหรือกลิ่นกายหอมกรุ่นที่โชยออกมาจากร่างของเขาก็ไม่น่าจะเป็นไปได้

ก็เธอเคยเห็นอะไรต่อมิอะไรของเทวดามาจนหมดแล้ว จะมาตื่นเต้นกับเรื่องแค่นี้ไปทำไม
น้ำทิพย์คิดพลางพลิกปลาเพื่อจะบั้งอีกด้าน แต่แทนที่คมมีดจะเชือดลงไปบนตัวปลามันกลับไถลเลื่อนขึ้นมาปาดหลังมือของเธอ หญิงสาวร้องอุทานลั่นและยกมือขึ้นกดปากแผลเพื่อห้ามเลือดที่กำลังไหลทะลักออกมาราวกับน้ำ ตอนแรกเธอเตรียมจะวิ่งไปหยิบเครื่องมือปฐมพยาบาลแต่ราฟาเอลกลับคว้าตัวเธอเอาไว้และดึงมือข้างนั้นมากุมไว้กับอก ใบหน้าของน้ำทิพย์แดงจัดด้วยความตระหนกและอาย หญิงสาวคิดจะดึงมือกลับแต่พอสัมผัสถึงความอบอุ่นที่กำลังไหลเข้ามาในมือแล้วเธอก็ต้องเปลี่ยนใจ เมื่อราฟาเอลคลายมือออกเธอจึงพบว่าบาดแผลที่เกิดจากมีดประสานตัวกันจนหายสนิท ไม่มีเหลือแม้รอยเลือดสักหยด

“คุณทำได้ยังไง”

น้ำทิพย์ถามพลางพิศมือตัวเองด้วยความทึ่ง เทวดาหนุ่มส่งรอยยิ้มอ่อนละมุนมาให้

“แค่ตั้งจิตภาวนา”

“หมายความว่าพลังแห่งการเยียวยาของท่านกลับคืนมาแล้วใช่ไหม”

หญิงสาวพูดด้วยความยินดีแต่อีกฝ่ายกลับสั่นศีรษะ

“สิ่งที่ผมทำก็คือการขอเพื่อคนอื่น แต่ก็ใช่ว่าจะทำได้ทุกครั้ง หากบาดแผลของคุณสาหัสกว่านี้ผมก็ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้”

คำตอบของราฟาเอลทำให้น้ำทิพย์จำต้องอึ้ง เพราะนั่นหมายความว่าเขายังอยู่ในสภาพที่อ่อนแอ การใช้พลังรักษาบาดแผลให้กับเธอนั้นนับเป็นการฝืนตนเองมากพอดู หญิงสาวถอนใจออกมาเบาๆด้วยความกลัดกลุ้มเมื่อคิดว่าจะเป็นอย่างไรหากลูซิเฟอร์มาพบเขาในตอนนี้ ไม่ต้องนึกถึงเรื่องการปกป้องเธอเพราะแค่รักษาตัวเองให้รอดก็หืดขึ้นคอแล้ว

“บอกแล้วไงว่าบ้านของคุณมีม่านพลังป้องกัน พวกปิศาจไม่มีวันหาตัวผมพบหรอก”

ราฟาเอลพูดขึ้น น้ำทิพย์ขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ

“คุณอ่านความคิดฉันใช่ไหม” ใบหน้าเข้มขึ้นเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตลอดเวลาสองวันที่ผ่านมาเธอโลมเลียเทวดาหนุ่มทางความคิดมาโดยตลอด ป่านนี้ราฟาเอลคงรู้แล้วว่าแท้จริงแล้วเธอไม่ได้เป็นผู้หญิงที่มีจิตใจบริสุทธิ์

“ทุกอย่างเป็นเพียงแค่ความคิดซึ่งมันก็ไม่เคยเกินเลยไปกว่านั้น และถ้าคุณไม่ใช่คนที่มีจิตใจงาม ก็คงไม่มีวันทำทุกอย่างเพื่อช่วยผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่ง” เทวดาหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ แต่การอ่านใจคนอื่นไม่ใช่สิ่งที่ดีนัก ถ้าอยากอยู่ด้วยกันก็เลิกอ่านความคิดคนอื่นโดยเด็ดขาด”

คราวนี้ฝ่ายเทวดาต้องนิ่วหน้าด้วยความลำบากใจ

“ผมเองก็ไม่อยากทำแบบนั้น แต่พวกมนุษย์เองต่างหากที่ส่งความปรารถนาทั้งหลายไปยังสรวงสวรรค์โดยหวังจะให้เทวดาได้ยิน”

“แต่บางคนก็ไม่ได้อยากให้ใครล่วงรู้เรื่องราวที่เก็บซ่อนเอาไว้ในใจ คุณควรจะปิดกั้นพลังนี้”

น้ำทิพย์พูดด้วยสีหน้าจริงจัง อีกฝ่ายถอนใจออกมาเบาๆแต่ก็ผงกศีรษะ

“ตกลง”

หญิงสาวจ้องหน้าเขาเขม็งเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินเท่าใดนัก

“พูดจริงนะ”

“ผมพูดจริง ถ้าคุณไม่เชื่อก็ลองคิดอะไรดูสิ”

ราฟาเอลพูดด้วยใบหน้าอมยิ้ม น้ำทิพย์ทำหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ เมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งเฉยไม่กล่าวคำตอบโต้เธอจึงยื่นหน้าเข้าไปถาม

“ไม่พูดอะไรสักคำเหรอ”

“ผมไม่ได้ยินสิ่งที่คุณคิด เลยไม่รู้จะพูดอะไร”

“ค่อยยังชั่ว” หญิงสาวพูดด้วยท่าทางโล่งใจและหันกลับไปยกจานปลาใส่หมอนึ่ง หลังจากโรยผักและยกขึ้นตั้งบนเตาแล้วเธอจึงเทสาหร่ายใส่กะละมัง ราฟาเอลมองการทำงานอย่างคล่องแคล่วของเธอด้วยสายตาชื่นชม

“มีอะไรที่ผมพอจะทำได้บ้าง”

เขาถามเหมือนอึดอัดที่ต้องยืนดูเฉยๆ น้ำทิพย์จึงส่งถุงลูกชิ้นกุ้งให้พร้อมกับพูด

“สำหรับมือใหม่ ล้างลูกชิ้นพวกนี้แล้วใส่ตะกร้าพักไว้ ส่วนเรื่องการปรุงปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉัน” เธอเปิดน้ำใส่หม้อและหันมายิ้มเมื่อเห็นเทวดาหนุ่มทำตามที่สั่งจนครบ

“คุณไปนั่งรอที่โต๊ะ เสร็จแล้วฉันจะยกไปบริการถึงที่ รับรองว่ามื้อนี่อร่อยแน่”

*/*/*/*/*

ด้านนอกบนท้องฟ้าเหนือหลังคาบ้านเงาดำของปิศาจกลุ่มหนึ่งได้ปรากฏขึ้น พวกมันไม่รู้ว่าราฟาเอลอยู่ที่ไหนกันแน่แต่พลังที่เขาใช้เมื่อครู่คือสิ่งบ่งบอกว่าผู้ที่จอมปิศาจกำลังตามหาได้ซ่อนตัวอยู่ในบริเวณนี้ แม้จะน้อยนิดดุจหยดเลือดในทะเลกว้างแต่กลิ่นของมันก็มีอำนาจมากพอที่จะดึงดูดฉลามที่อยู่ห่างไกลให้เข้ามาได้ จะต่างกันก็ตรงที่แม้พวกปิศาจจะรับรู้ถึงพลังของคลื่นแต่พวกมันก็ไม่อาจมองเห็นหรือรู้ได้อย่างเด่นชัดว่าผู้ส่งอยู่ที่ใด เพราะผลจากอำนาจของม่านป้องกันที่ราฟาเอลสร้างไว้ตั้งแต่วันแรกที่ร่วงหล่นลงมา หลังจากบินวนเวียนค้นหาอยู่สักพักหนึ่งในนั้นจึงตัดสินใจนำข่าวนี้ไปแจ้งแก่ลูซิเฟอร์ ส่วนพวกที่เหลือแยกย้ายไปดูตามบ้านไล่ไปทีละหลังโดยหวังผลงานว่าตัวเองคือผู้ค้นพบเทวดา

จะเป็นโชคดีของพวกปิศาจหรือโชคร้ายของราฟาเอลก็สุดจะเดาเพราะตอนที่ปิศาจค้นพบคลื่นพลังนั้นเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ลูซิเฟอร์ขึ้นมาจากนรกพอดี หลังจากได้รับรายงานจากบริวาร จอมมารก็รีบเดินทางไปยังจุดที่น่าสงสัยและหยุดลงบริเวณที่ไม่ไกลจากบ้านของน้ำทิพย์เท่าใดนัก

ร่างที่ยืนอย่างสง่าอยู่กลางอากาศ แม้จะอยู่ท่ามกลางกระแสลมแต่ผ้าคลุมสีดำสนิทกลับทิ้งน้ำหนักห้อยลงไปตามลำตัว มีเพียงเรือนผมสีดำดุจรัตติกาลยาวสยายเท่านั้นที่กำลังพลิ้วไหวไปมา

“แน่ใจหรือว่าเป็นพลังของเจ้าราฟาเอล”

เสียงทุ้มต่ำเปี่ยมไปด้วยอำนาจเอ่ยถาม ปิศาจที่มีหน้าตาเหมือนค้างคาวก้มหัวลงเล็กน้อยก่อนตอบ

“ถึงจะเป็นพลังที่อ่อนมากแต่ข้าแน่ใจว่าเป็นมันแน่ ปัญหาก็คือถึงจะรู้ว่ามาจากไหนแต่ไม่ว่าพวกเราจะพยายามค้นหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ”

“เจ้านั่นคงสร้างม่านพลังป้องกันเอาไว้” ลูซิเฟอร์กล่าวพลางเลื่อนสายตามองไปยังทิศทางที่บริวารบอก”พลังของเทวดาแม้จะน้อยนิดแต่ก็มีอำนาจมากพอที่จะบดบังสายตาพวกชั้นต่ำอย่างเจ้า”

ดวงตาสีเปลวเพลิงทอแสงลุกโชนขณะที่จอมปิศาจเคลื่อนตัวไปข้างหน้า ผ้าคลุมที่แนบกับลำตัวเมื่อครู่เริ่มสะบัดไหวไปตามลม ลูซิเฟอร์แสยะยิ้มพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ฟังคล้ายสัตว์ร้ายคำราม

“ขอเพียงเจ้าราฟาเอลเผยพลังออกมาอีกครั้ง ข้าจะไปเยี่ยมมันด้วยตนเอง”

จ้าวปิศาจส่งเสียงหัวเราะกระหึ่มในลำคอ เพลิงนรกลุกโชติช่วงหมุนวนรอบร่าง เมื่อสายลมกรรโชกผ่านมันก็ดับวูบลงและหายวับไปพร้อมกับจอมมาร

*/*/*/*/*




มุนีรัตน์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 ก.ย. 2555, 08:40:09 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 ก.ย. 2555, 08:40:09 น.

จำนวนการเข้าชม : 1330





<< บทที่ 4 ความเปลี่ยนแปลง   บทที่ 6 ลูซิเฟอร์ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account