ทะเลหวาน
หนึ่งคน... อยู่ในความทรงจำ ที่ฝังลึกอยู่ข้างในใจไม่ห่างหาย
หากอีกหนึ่งคน... มีตัวตน คอยเตือนเธอให้ลืมคนในอดีตอยู่เสมอ

การตัดสินใจอาจไม่ยากเย็น หากหัวใจเธอไม่ถูกปิดไปพร้อมกับอดีตที่ยังวนเวียนอยู่ไม่ไปไหน
Tags: เรื่องยาว ทะเล

ตอน: ตอนที่ 8

นฤมลผล็อยหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้ แต่รู้ตัวอีกทีเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง หญิงสาวปรือตาขึ้นก่อนที่จะหลับตาลงอีกครั้ง เมื่อแสงอาทิตย์ยามเช้าลอดม่านเข้ามาพร้อมกับฉาบไปทั่วห้องเป็นสัญญาณของเช้าวันใหม่ แต่พอเธอหลับตาได้ไม่เท่าไหร่ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นมาอีก คนขี้เซาร้องอือออในลำคออย่างขัดใจที่มีคนมาขวางความสุขในการนอน

เมื่อเห็นว่าคนที่เคาะประตูอยู่ด้านนอกไม่ยอมรามือง่ายๆ เธอจึงบังคับตัวเองให้ผงกศีรษะขึ้นจากหมอน กลั้นใจสะบัดผ้าห่มแสนนุ่มออกแล้วเดินสะโหลสะเหลไปเปิดประตู

ภาพที่เห็นทำเอากรกฎกลั้นขำไม่อยู่ หญิงสาวยืนหลับตาและใช้กรอบประตูเป็นหลักยึดไม่ให้ล้ม ยืนอยู่ตรงหน้าเขาด้วยชุดเสื้อยืดกางเกงกีฬาตัวเดิมที่เคยเห็นวันก่อน ไหนจะผมที่พันกันยุ่งเหยิงแถวฟูราวกับรังนกนั่นอีกล่ะ

“ถ้าเคาะประตูเพื่อเรียกมาฟังเสียงหัวเราะ ฉันจะฆ่าคุณตอนนี้แหละ” เสียงหัวเราะเลยต้องเงียบลง แต่ก็ยังไม่หมด ชายหนุ่มมองสภาพหญิงสาวตรงหน้าแล้วยิ้ม ตอบกลั้วหัวเราะ

“มาเรียกไปกินข้าวเช้า”

“คุณกินไปเถอะ ฉันยังไม่หิว”

“ไปเถอะน่า อาหารเช้าสำคัญที่สุด ล้างหน้าแปรงฟันแล้วลงไปเลยนะ ผมไปรอข้างล่าง” คำพูดที่ดูบังคับกลายๆ นั้น ทำให้นฤมลนึกอยากรั้นกระโดดขึ้นเตียงแล้วนอนต่อตอนนี้เลย หากไม่ได้ยินอีกประโยค “ถ้า... กลับไปนอนอีก คุณได้ลงไปกินแบบไม่ต้องแปรงฟันแน่”

“คุณไม่ทำอะไรฉันหรอกน่า”

“ลองไหมล่ะ” คำถามที่ดูเป็นการท้าทายนั้น ทำเอานฤมลเริ่มห่วงในความปลอดภัยของตัวเอง ยอมแพ้โดยการปิดประตูอย่างเบามือแล้วเดินไปที่ห้องน้ำทำทุกอย่างให้เร็วที่สุด แล้วเดินลงมาด้วยสภาพที่กรกฎคิดว่าดีขึ้นมาหน่อย เพราะผมที่เคยเป็นรังนกตอนนี้กลับเป็นผมที่ถูกหวีให้ทำหน้าที่ปกคลุมศีรษะเพียงอย่างเดียว


“คุณลุงกับคุณป้ายังไม่กลับเหรอ”

“แล้วคุณเห็นพวกท่านหรือยังล่ะ” มือที่คนโจ๊กหมูร้อนๆ ในชามอยู่ชะงัก กรกฎคนเดิมกลับมาแล้ว แถมยังกวนประสาทเธอแต่เช้าอีกด้วย เมื่อวานตานี่ต้องโดนผีเข้าแน่นอน

“วันนี้คุณตื่นเข้าไปซื้อโจ๊กเองเหรอ”

“ก็ใครเขาจะตื่นสายเหมือนคุณกันครับ” มันวกมาจนได้ นฤมลถือช้อนในมือเกร็งอีกครั้ง หลังจากเมื่อวานเธอคิดว่าจะปรับทัศนคติกับกรกฎอีกครั้งแต่เวลานี้ทำได้ยากเหลือเกิน ชายหนุ่มชอบพูดจาขัดให้เธอโมโหตลอดให้ตายสิ

“คุณซีคะ” ก่อนที่นฤมลจะได้โต้ตอบอะไรกลับไปให้แสบๆ คันๆ บุคคลที่สามภายในบ้านก็ปรากฏตัวขึ้นมาเสียก่อน หญิงสาวในชุดพนักงานของรีสอร์ต ผมรวบตึงไว้ด้านหลังเพื่อให้ดูเรียบร้อยไม่เกะกะเวลาทำงาน เดินออกมาจากในครัวและเรียกความสนใจจากอีกสองคนที่เหลือได้เป็นอย่างดี “ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วนะคะ เดี๋ยวสายๆ ดิฉันจะให้เด็กเข้ามาจัดการพวกจานชามที่เหลือค่ะ”

“ขอบคุณมากครับ คุณบัว” เธอเห็นหน้าของพนักงานสาวขึ้นเรื่อสีแดงเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะก้มหลบสายตาเธอแล้วเดินออกจากบ้านไป สงสัยจะแอบชอบอีตานี่ล่ะสิ หน้าตาก็ดูงั้นๆ แต่ชอบทำตัวหว่านเสน่ห์ไปทั่ว เชอะ!

คนนั่งฟังบทสนทนาระหว่างเจ้านายกับลูกน้องเงียบๆ ทำปากขมุบขมิบกับชามโจ๊กตรงหน้า ไม่ทันรู้ตัวว่าคนเองกำลังถูกกรกฎจับตามองอยู่

“เป็นอะไร อยากพูดอะไรก็พูดดังๆ สิครับคุณผู้หญิง” ‘คุณผู้หญิง’ ทำเสียงฮึในลำคอเบาๆ แล้วพยายามเบี่ยงประเด็นไปเรื่องอื่น ก่อนที่เรื่องทั้งหมดจะเข้าตัวไปมากกว่านี้

“ไหนคุณบอกว่าไปตลาดมา ตกลงพ่อครัวที่รีสอร์ตทำให้ใช่ไหม”

“ผมบอกคุณสักคำหรือเปล่าว่าไปตลาดมา” คำตอบกวนโมโหที่ออกจากปากเจ้าของบ้าน ทำเอาเธอจนใจจะพูด

นฤมลทานโจ๊กเงียบๆ ไม่มีการสนทนาใดเกิดขึ้นอีกระหว่างทั้งคู่ พอทั้งสองทานเสร็จหญิงสาวก็จัดแจงยกชามทั้งหมดเข้าไปในครัวเพื่อทำการล้าง แต่กรกฎเข้ามาปรามเสียก่อน

“ไม่เป็นไรหรอกคุณ เดี๋ยวทางรีสอร์ตก็ให้คนมาเก็บเองนั่นแหละ”

“ไม่เป็นไร แค่นี้เองฉันจัดการสบายมาก เหนื่อยพนักงานคุณเปล่าๆ ไหนจะเดินมาเดินกลับต้องเอาไปล้างอีก ฉันล้างให้แป๊บเดียวแหละน่า”

ว่าแล้วนฤมลก็จัดการลงมือล้างชามทั้งหมดอย่างตั้งใจ เลยไม่ได้รู้สึกว่ามีสายตาหนึ่งกำลังมองเธออยู่ กรกฎยืนมองหญิงสาวล้างจานอย่างคล่องแคล่วโดยไม่ละสายตา เขาไม่ใช่พวกผู้ชายที่ไม่คุ้นเคยกับผู้หญิง แต่กลับตรงกันข้ามงานที่เขาทำอยู่ผู้หญิงกับผู้ชายเป็นสัดส่วนครึ่งต่อครึ่งเสียด้วยซ้ำ แต่เขาก็ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้มานานมากแล้วตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรี ความรู้สึกที่มองหน้าใครสักคนแล้วเหมือนมีผีเสื้อมาบินอยู่ในท้อง อย่างที่คนอื่นเขามักพูดกัน ยิ่งเวลาเห็นเธอยิ้มหวานแล้วยิ่งไปกันใหญ่

ใครจะนึกว่าผู้หญิงที่ไม่มีเค้าความสวยให้น่าพิศมัย ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัวหรือการแสดงออกถึงกริยามารยาทต่างๆ แต่เพียงแค่เธอทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ นี้ กลับทำให้เขารู้สึกหัวใจพองโตอย่างบอกไม่ถูก

“มองอะไร” เสียงแข็งส่งมาพร้อมกับมือขาวคว่ำจานใบสุดท้ายไว้ตรงที่วางเพื่อรอแห้ง มองหน้าคนที่ยืนจ้องหน้าเธอไม่ขยับตัวไปไหนอย่างไม่ไว้ใจ “คิดอะไรแย่ๆ อยู่ใช่ไหม”

“เปล่า ก็... แค่คิดว่าคนอย่างคุณทำงานบ้านแบบนี้เป็นด้วยเหรอ”

“มันก็ต้องหัดไว้บ้างสิ ฉันเป็นผู้หญิงนะ เป็นกุลสตรี”

กุลสตรีเอ่ยอย่างยืดๆ ทำเอาคนนั่งมองหลุดขำออกมาเบาๆ กับความหลงตัวเองนั้น มือขาวเอื้อมหันไปเช็ดผ้าเช็ดมือแล้วหันกลับมาอีกครั้งแล้วขมวดคิ้วเอ่ยเสียงเขียวกับคนที่ยังไม่ยอมหยุดหัวเราะ

“ขำอะไรคุณ”

“ขำกุลสตรี ผมเห็นแต่เสาสะพาน ไม่เห็นมีกุลสตรีสักคน”

เสาสะพานยกมือเท้าเอวทำหน้าเอาเรื่อง มองจิกสายตาไปยังคนหาเรื่อง แต่กลับมองได้ไม่นานก็ต้องถอนสายตากลับมามองที่เท้าตัวเองซ่อนความหวั่นไหวไว้ เมื่อเห็นสายตาของคนที่นั่งอยู่มองมาสู้กับสายตาของเธอ สายตาอบอุ่นถูกส่งมาเพื่อกระชากใจเธอแน่ๆ ตานี่ต้องหาเรื่องให้เธอไขว้เขวแน่ๆ

“หยะ หยะ หยุดเดี๋ยวนี้นะคุณ” จู่ๆ คนที่ก้มหน้าก้มตาอยู่ก็ตะโกนขึ้นมา เล่นเอาคนที่ยืนมองอยู่ผงะถอยไปข้างหลังหลายก้าว

“อะไรกันคุณ อยู่ๆ ก็ตะโกนขึ้นมา ผีเข้าหรือไง แล้วอะไรหยุด คุณจะให้ผมหยุดอะไร ผมยังไม่ได้ทำอะไรคุณเลย”

“คุณทำ!”

“อะไร? ผมไม่ได้ทำอะไรเลย คุณอย่ามาใส่ร้ายผมนะ”

“คุณนั่นแหละทำ” นฤมลเงยหน้าขึ้นเถียงสู้ คราวนี้เธอเห็นอีกแล้วสายตาอบอุ่นที่ส่งให้เธอเหมือนเมื่อครู่ แม้จะพยายามมองสู้แค่ไหนเธอก็ไม่สามารถเอาชนะคนที่ยืนส่งสายตาอยู่ตรงหน้าได้ “นี่ไง คุณกำลังทำอยู่ หยุดส่งสายตาแบบนั้นเสียทีสิ ฉะ ฉัน ฉัน”

“ไหน ผมส่งสายตาแบบไหน ผมก็มองคุณแบบปกตินั่นแหละ คิดอะไรทะลึ่งอยู่ใช่ไหม”

“เปล่า ฉันไม่ได้คิด คือฉัน... ฉัน...” คนโดนต้อนเริ่มจนมุม นฤมลเริ่มอึกอักไม่ยอมพูดอะไรออกมา หญิงสาวเลยคิดจะเดินหนีออกไปนอกบ้านเป็นการตัดปัญหา “ฉัน ฉัน ฉันไปเดินย่อยดีกว่า อิ่มมากเลย”

“เดี๋ยวก่อน จะไปไหน” กรกฎคว้าแขนคนโวยวายแน่น พร้อมกับดึงตัวมาล็อคไว้กับซิงค์น้ำล้างจานในห้องครัวไม่ยอมให้หนีไปไหนง่ายๆ “ตกลงที่บอกให้หยุดน่ะ หยุดอะไร”

“เฮ้ย คุณ คุณไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้กับฉันนะ ปล่อย”

“ผมปล่อยคุณแน่ แต่ถ้ายังดิ้นไม่หยุด ผมจะทำให้คุณหยุดด้วยวิธีของผมเองนะ อยากรู้ไหมว่าวิธีไหน” คนถูกตัดทางหนีส่ายหน้าเร็วๆ จนผมกระจาย พยายามก้มหน้าไม่มองคนที่กำลังขยับหน้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ จนเธอรู้สึกถึงลมหายใจอ่อนๆ

“หยุด... หยุดทำแบบนี้ไงโว้ยยย คุณกำลังทำให้ฉันเป็นบ้า หยุดซักที หยุดส่งสายตาแบบนั้น หยุดเข้าใกล้ฉันแบบนี้ ฉันจะเป็นบ้าแล้วคุณเข้าใจไหม”

คนกำลังเหมือนคนบ้าจริงๆ ทั้งผลักทั้งดันคนที่ใช้แขนกางกั้นทางออกเธอไว้ แต่กลับไม่สำเร็จ เธอเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มอีกครั้งพร้อมกับน้ำตาที่กำลังคลออยู่ ทำเอาคนเห็นใจหายวาบ เขายังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าไปทำอะไรให้เธอตอนไหน ทำไมจู่ๆ เธอถึงร้องไห้ออกมา

“ปล่อยฉันนะคุณซี ฉันขอร้อง” เธอว่าเสียงสั่นเครือ อย่างที่พยายามควบคุมน้ำเสียงตัวเองสุดกำลัง จนกรกฎต้องถอนหายใจออกมา เขาไม่อาจรู้ได้ว่าทำไมเธอถึงกลายเป็นคนอ่อนไหวได้ขนาดนี้ ทั้งที่หลายวันที่ผ่านมาเธอยังเป็นผู้หญิงปากจัดเอาแต่ใจอยู่ตลอดเวลา แต่ตอนนี้ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้เป็นใครกัน

“ผม... ขอโทษ ถ้าทำให้คุณสับสน แต่สิ่งที่ผมทำลงไป ในทุกๆ อย่าง ผมไม่เคยเสแสร้ง ผมทำตามความรู้สึกของผมจริงๆ”

ดูเหมือนพายุจะสงบลงแล้ว กรกฎแอบถอนหายใจเบาๆ อย่างโล่งอก เมื่อเห็นคนในวงแขนสงบลง ใจกล้าขึ้นอีกนิดที่จะเอื้อมมือไปปาดน้ำตาที่จวนจะหยดลงมาให้หายไปเสีย เขาได้ยินคำขอบคุณเบาๆ จากเจ้าของน้ำตาตรงหน้าแต่เธอยังคงก้มหน้างุดหลบสายตาของเขาอยู่ดี

“คุณโอเคขึ้นแล้วใช่ไหม” คนถูกถามทำเพียงพยักหน้าให้ ทั้งๆ ที่ยังคงก้มหน้าอยู่อย่างนั้น เป็นภาพที่ทำให้กรกฎอดหัวเราะขำขึ้นมาไม่ได้ “ตกลงคุณกำลังตอบผม หรือกำลังคุยอะไรกับเท้าผมอยู่กันแน่”

“นี่!” นฤมลเงยหน้าขึ้นมาพร้อมสายตาเอาเรื่อง แต่ก็ต้องชะงักแล้วก้มลงมองที่เดิมเมื่อเห็นสายตาของกรกฎที่ยังคงส่งให้ไม่หยุด ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าเขาคิดอย่างไรกับเธอ แล้วเธอล่ะ... หัวใจเธอยังพอมีพื้นที่สำหรับเขาอีกหรือ “ปล่อยก่อนเถอะนะคุณซี เดี๋ยวใครมาเห็นเข้ามันไม่ดี”

“อยู่แบบนี้ก็ดีนะ พ่อกับแม่ยังไม่กลับด้วยสิ”

“คุณคิดจะทำอะไร คุณป้ากลับมาฉันจะฟ้องท่าน”

“ฟ้องอะไรครับ ฟ้องว่าผมทำรุ่มร่ามกับคุณงั้นเหรอ คุณได้แต่งงานกับผมพรุ่งนี้แน่” คนมีแต้มต่อพูดแล้วหัวเราะเสียงดังเมื่อนึกถึงแม่ตนเองที่หมายมั่นปั้นมือไว้แล้วว่าอยากได้ลูกสะใภ้ ถ้าอาจารย์สาวเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา แม่เขาต้องไม่อยู่เฉยอย่างแน่นอน

“ไม่ได้สิคุณ คุณกับฉันไม่ได้เป็นอะไรกันจะแต่งงานกันได้ยังไง”

“ถ้าอย่างนั้นเป็นเสียเลยดีไหม ผมอยากรู้จักคุณมากกว่านี้ คุณล่ะอยากรู้จักผมหรือเปล่า”

“พรุ่งนี้ฉันจะกลับกรุงเทพฯ แล้วนะ” คนถามคำถามตัดสินชีวิตเมื่อครู่ขมวดคิ้วทันควันเมื่อได้รับคำตอบที่ไปคนละทิศละทางกับคำถาม

“ผมไม่ได้ถามว่าคุณกลับกรุงเทพฯ เมื่อไหร่ ผมถามคุณว่า อยาก-รู้-จัก-ผม-หรือ-เปล่า” ชายหนุ่มเน้นทีละคำ บ่งบอกคนตรงหน้าได้ดีว่าเธอจะเฉออกไปตอบเรื่องอื่นไม่ได้ หญิงสาวนิ่งเงียบไปนาน จนคนถามชักใจเสีย ปล่อยมือสองข้างที่เท้าโต๊ะอยู่ลงข้างตัว แต่ยังคงยืนนิ่งไม่ขยับไปไหน รอคำตอบที่ต้องการ...

“ฉัน... ฉัน... เอ่อ” ยิ่งเห็นหญิงสาวติดอ่าง ตัดสินใจไม่ได้แล้วยิ่งนึกเอ็นดูใบหน้าที่ลังเลนั้น ทำให้มือที่ตกลงข้างตัวเมื่อครู่ถูกยกขึ้นมาวาดแขนรวบเธอไว้ในอ้อมกอดอีกครั้ง นั่นทำให้เธอติดอ่างหนักเข้าไปอีก ความคิดที่ไม่อยู่กับร่องกับรอยยิ่งเตลิดไปไกล นฤมลควบคุมสติอยู่พักหนึ่ง กำลังจะอ้าปากท้วงแต่ก็มีเสียงที่สามดับแทรกขึ้นมาเสียก่อน

“คุณซีคะ... อุ๊ย! หนูขอโทษค่ะ หนะ หนู เอ่อ” เด็กสาวใส่ชุดพนักงานของทางรีสอร์ตที่โผล่พรวดเข้ามาเห็นภาพที่เกิดขึ้นเต็มสองตาก็ได้แต่ยืนนิ่งอึกอัก ก้มมองมือตัวเองที่บีบเข้าหากันแน่น ไม่กล้าสบตาคนเป็นเจ้านาย เกรงว่าจะโดนดุเอาที่เข้ามาขัดจังหวะ ยิ่งเธอเพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่กี่วัน กลัวเหลือเกินว่าจะโดนไล่ออกในวันนี้ เพราะทำให้เจ้านายโกรธ

“มีอะไร ก็พูดมาสิ ผมฟังอยู่นะ”

“เอ่อ คือ หนู หนะ หนู” พอเงยหน้าขึ้นมาตามหลักสากลที่ต้องมองหน้าคนฟังเวลาพูด เด็กสาวก็ต้องรีบก้มหน้าลงเช่นเดิม เมื่อเห็นว่าเจ้านายหนุ่มยังคงอยู่ในท่าเดิมที่เธอเห็นตอนเดินเข้าหา แม้ว่าผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมแขนจะดิ้นสักเท่าไหร่ก็ไม่ได้กระเทือนเจ้านายเธอเลยสักนิด

“คุณ ปล่อยนะ เห็นไหมว่าไม่ได้มีแค่เราสองคน” นฤมลต่อว่าเขาเบาๆ พยายามทั้งดันทั้งผลักแต่ก็ไม่สำเร็จ กรกฎไม่สะดุ้งสะเทือนแถมยังเลิกคิ้วทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ส่งมาทางเธอเสียด้วยซ้ำ

“คุณจะอายอะไร เด็กเค้าไม่ได้มองเสียหน่อย”

คนขี้อายนึกเข่นเขี้ยวในใจ หน้าเริ่มขึ้นสีเรื่อแล้วแดงขึ้นเรื่อยๆ จนคนมองใกล้ๆ นึกเอ็นดู หากไม่ติดว่ามีบุคคลที่สามยืนอยู่ตรงนั้น เขาจะขอหยิกแก้มเธอแรงๆ เสียที โทษฐานที่ทำให้เขาใจเต้นไม่เป็นจังหวะ แล้วเด็กสาวที่ยืนอยู่ก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงร้องดังลั่นบ้าน แต่พอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็เห็นเจ้านายหนุ่มลูบแขนป้อยๆ มองหน้าหญิงสาวที่ยืนกอดอกอยู่ราวกับผู้ชนะ เขาส่งสายตาคาดโทษให้คนที่กล้าทำการอุกอาจต่อหน้าลูกน้องเขา แล้วถึงหันมาหาเด็กสาวที่ยืนหน้าเหวออยู่

“ตกลงมีอะไร รีบบอกมาสิ อึกอักอยู่ได้”

“เอ่อ คือพี่บัวให้มาเก็บโต๊ะอาหารเช้าน่ะค่ะ แต่หนูคิดว่าเอ่อ คง...”

“ไม่ต้องเก็บแล้ว ยัยเสาสะพาน เอ๊ย คุณมลเขาเก็บเรียบร้อยแล้ว ไปทำงานของเธอต่อเถอะ”

เด็กสาวรีบถอยหลังออกมาจากห้องครัว จากเดินจนกลายเป็นวิ่งออกมาจากบ้านหลังใหญ่ ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มโล่งอกที่ไม่โดนเจ้านายต่อว่าที่เข้าไปขัดจังหวะ แถมพอนึกถึงภาพที่ตนไปเห็นเข้าแล้วรู้สึกเขินอย่างบอกไม่ถูก ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งเคยเห็นฉากรักจริงๆ ที่ไม่ใช่ในละครก็คราวนี้ เห็นทีเรื่องดีๆ แบบนี้จะเก็บไว้คนเดียวไม่ได้เสียแล้ว

“คุณว่าฉันเป็นเสาสะพานอีกแล้วนะ”

“ก็คุณมาหยิกผมก่อนทำไมล่ะ” คนโดนทำร้ายร่างกายเอ่ยด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ แต่คนถูกกล่าวหายืนดูแล้วไม่น่าสงสารเลยสักนิด เธอเบ้ปากเล็กน้อยให้กับความเจ้าเล่ห์ของชายหนุ่ม

“ก็ก่อนหน้านั้นคุณทำรุ่มร่ามกับฉันก่อนทำไมล่ะ คุณนั่นแหละ เป็นเพราะคุณคนเดียว ป่านนี้เด็กนั่นเอาฉันไปพูดอย่างไงบ้างก็ไม่รู้”

“ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ผมรับผิดชอบเองน่า”

กรกฎพยายามเดินตามนฤมลที่พยายามจะออกจากห้องปิดตายนั่น เพราะถึงแม้ห้องครัวจะกว้างมากแค่ไหนแต่เธอก็ถูกปิดกั้นทางเดินด้วยร่างของเจ้าของบ้านอยู่ดี เธอหนีจากคนมือยาวสายตาอบอุ่นที่ดูร้อนอย่างกับไฟ เวลาเธอมองมันดูเหมือนสามารถหลอมละลายเธอให้นิ่งงันอยู่กับที่ได้ มันต้องมีอะไรผิดพลาดในระบบการทำงานของสมองของเธออย่างแน่นอน เธอควรจะไปหาหมอ ต่อมรับรู้ความรู้สึกของเธอคงผิดปกติ หญิงสาวคิดว่าเธอควรอยู่ห่างเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่หากวันนี้คุณเวศน์กับคุณอรทัยยังไม่กลับมา เห็นทีหัวใจของเธอคงเข้าสู่ระยะอันตราย

“คุณป้า!” คนที่เอาแต่เดินหนีตะโกนออกมาอย่างดีใจราวกับหาทางให้ชีวิตรอดได้อีกครั้ง ขาที่กรกฎเคยบอกว่าเหมือนเสาสะพานก้าวเร็วไปหาเป้าหมายที่กำลังเดินเข้ามาในบ้าน มีคุณเวศน์และนางแจ่มตามหลัง อีกทั้งยังมีพนักงานขนกระเป๋าเดิมปิดขบวน “งานเลี้ยงสนุกไหมคะ”

“สนุกตามประสาคนแก่แหละจ้ะ ไปเจอเพื่อนเก่าเพื่อนแก่คุยกันตามประสา แล้วนี่หนูมลเป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะ พี่เขาทำอะไรหรือเปล่า”

“เอ่อ...” ‘หนูมล’ เหล่ตามอง ‘พี่’ ต่างสายเลือด แล้วหันกลับมายิ้มให้คนถามแล้วบอกได้แค่ว่าไม่มีอะไร กรกฎดูแลพาเธอไปทานข้าวอย่างดี “คุณป้ามาเหนื่อยๆ ขึ้นไปพักก่อนไหมคะ” เมื่อคุณอรทัยทำท่าเห็นดีเห็นงามด้วย นฤมลก็เริ่มใจชื้น หันไปยักคิ้วให้คนที่ยืนอยู่ข้างหลังเธออย่างผู้ชนะ แต่พอเธอขยับตัวเข้าใกล้ผู้อาวุโส กรกฎก็รีบปราดเข้ามาที่แขนอีกฝั่งของมารดาที่ยังว่างอยู่

“ผมพาแม่ไปเอง คุณไปเดินเที่ยวเถอะ พรุ่งนี้จะกลับแล้วนี่”

คนคิดแผนว่าจะกลับพรุ่งนี้ถลึงตามองคนที่กำลังเป็นเด็กขี้ฟ้อง ทั้งที่จริงเธอก็ไม่ได้จะปิดอะไรเจ้าของบ้าน แค่อยากให้ถึงเวลาที่เหมาะสมกว่านี้ก่อนแล้วถึงจะบอกทีเดียว แต่ตาบ้านี่ยังไงนะ ทำอย่างกับเธอมีความสำคัญอะไรมากมายกับที่บ้านเขา ทั้งที่เธอก็เป็นแค่อาจารย์ของน้องสาวเขาเท่านั้น นายต้องการอะไรกันแน่...

“อะไรกันจ๊ะ หนูมลจะกลับพรุ่งนี้แล้วหรือ ทำไมไม่บอกป้า”

“เอ่อ... คือ หนูกะจะบอกคุณป้าเหมือนกันค่ะ แต่คุณซีเขาดันบอกก่อน” ท้ายประโยคหญิงสาวหัวเราะแหะๆ กลบเกลื่อนเล็กน้อย ด้วยกลัวว่าผู้เป็นเจ้าของบ้านจะโกรธเธอเข้า เพียงเพราะไม่ได้บอกวันกลับที่แน่นอน แต่เรื่องกลับกลายเป็นว่าคุณอรทัยยังคะยั้นคะยอให้เธออยู่ต่ออย่างที่เธอไม่สามารถหาเหตุผลได้ว่าเหตุใดเจ้าของบ้านจึงได้เอ็นดูเธอขนาดนี้ “มลคงอยู่ต่อไม่ได้แล้วค่ะคุณป้า ลางานมานานแล้ว นี่คงต้องกลับไปเตรียมตัวทำงานเสียที เดี๋ยวเขาเกิดไล่ออกขึ้นมา มลจะไม่เงินกินข้าวนะคะ”

“ก็มาอยู่ด้วยกันเสียทีนี่เลยสิจ๊ะ” นฤมลชะงัก มองหน้าคุณอรทัยที่พูดอย่างค้นหาความหมายในสายตาว่าผู้อาวุโสหมายถึงอะไร “เอ่อ ป้าหมายความว่า หนูมาทำงานให้ป้าไหมล่ะจ๊ะ ป้ากำลังหาผู้ช่วยให้ตาซีอยู่ คนสมัยนี้ก็ไว้ใจกันลำบาก ถ้าได้หนูมลมาช่วย ป้าคงเบาใจได้เยอะ”

คนถูกชวนปฏิเสธอย่างนุ่มนวล เธอเข้าใจว่าคุณเวศน์และคุณอรทัยหวังดี แต่ตอนนี้เธอยังคงสนุกกับงานที่ทำ การได้สอนให้เด็กนักศึกษาได้รู้เรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิชาของเธอนั้น เป็นความสุขอย่างหนึ่งที่นฤมลไม่อาจปฏิเสธได้ อีกทั้งเด็กนักศึกษาที่เป็นผู้ชายทั้งหลายต่างเข้ากับเธอได้ง่าย ถึงจะปากไวไปบ้างแต่เธอก็เห็นว่าเด็กพวกนี้ไม่ได้ทำตัวเลวร้ายอะไร ก็แค่คึกคะนองตามประสาเด็กผู้ชายที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ซึ่งเธอเคยชินตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตรี

คุณอรทัยจึงไม่ได้เซ้าซี้อะไรมาก เพียงแค่ทำหน้าตาเสียดายเป็นอย่างมาก ซึ่งกรกฎพออ่านออกได้ว่าแม่คงอยากได้เสาสะพานมาเป็นลูกสะใภ้จริงๆ เสียแล้วสิ ชายหนุ่มนึกถึงเสาสะพานที่มักทำหน้าบึ้งใส่เขาอยู่ตลอดเวลาแล้วก็ขำออกมา ก่อนจะเห็นเสาสะพานหน้าแดงแปร๊ดไปถึงใบหู เวลาเขาเข้าไปประชิดตัว ทำราวกับตนเองเป็นสาวน้อยไม่คุ้นเคยกับผู้ชาย ทั้งๆ ที่นิสัยจริงๆ ที่ออกมาเวลาเผลอนั้นเหมือนผู้ชายอย่างกับอะไรดี

“ขำอะไรตาซี อยู่ๆ ก็หัวเราะเป็นอะไรหรือเปล่าเรา” คนเป็นแม่เริ่มมองลูกอย่างไม่ไว้ในอาการที่แสดงออก จากที่อยู่ใกล้ๆ เริ่มขยับหนีมาทางที่นฤมลยืนอยู่ราวกับกรกฎไม่ใช่ลูกชายตัวเองและนฤมลกลายเป็นคนที่น่าไว้ใจกว่าแทน

“เปล่าแม่ ขึ้นไปพักผ่อนนะ เดี๋ยวผมพาไป ปล่อยสิคุณผมจะพาแม่สุดที่รักขึ้นไปพักผ่อน” คนกลายเป็นแม่สุดที่รักคันไม้คันมือ เกือบเอื้อมไปหยิกเนื้อลูกชาย โทษฐานทำท่าทางน่าหมั่นไส้จนเกินเหตุ

“พาแม่ขึ้นไปพักทีสิคะไอ้ลูกบังเกิดเกล้า”

นฤมลมองตามสองแม่ลูกที่คุยกันกระหนุงกระหนิงไปตลอดทางจนถึงข้างบนแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ ความน่ารักที่กรกฎมีให้ต่อบุพการีมันทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นที่หัวใจอย่างบอกไม่ถูก รอยยิ้มบางๆ เจืออยู่บนใบหน้าของเธอ จนนฤมลหันมาเจอสายตาของคุณเวศน์ที่กำลังมองเธออย่างจับสังเกต

“มีอะไรหรือเปล่าคะคุณลุง”

“แม่ลูกคู่นี้เค้าน่ารัก ดูสิหยอกกันจนลืมลุงไปเลย หนูมลว่าลุงควรจะตามขึ้นไปหึงซีมันไหม”

หา?

ถ้ามีกระจกอยู่ตรงหน้า นฤมลคงเห็นสภาพตัวเองกำลังยืนหน้าเหวอและอ้าปากหวอ โชว์ลิ้นไก่อันสวยงานในปากตัวเองเป็นแน่ เพราะไม่ทันตั้งตัวรับคำถามที่ถามดูราวกับขอความเห็นอย่างจริงจังของคุณเวศน์ ทำไมเธอชักรู้สึกว่าหลายวันที่อยู่ที่นี่มา เหมือนเธอไม่เคยรู้จักครอบครัวนี้เลยสักนิด พอได้สติหญิงสาวจึงดึงปากที่อ้ากว้างให้หุบลงแล้วมองหน้าคนถามอย่างจริงจังอีกครั้ง

“นี่คุณลุงถามมลจริงๆ หรือถามเล่นๆ กันแน่คะ” คุณเวศน์หัวเราะเสียงดัง ทำเอาทั้งคนถามและนางแจ่มที่ยืนอยู่ตกอกตกใจไปตามๆ กัน

“ลุงล้อเล่น เห็นซีบอกว่าหนูจะกลับพรุ่งนี้หรือลูก”

“ค่ะคุณลุง วันลาหนูหมดแล้วค่ะ คงต้องกลับไปเก็บของที่กรุงเทพฯ ก่อนแล้วค่อยกลับบ้านอีกที”

“อย่างนี้พอหนูกลับ ลูกลุงก็เหงาแย่เลยสิ”

“แหม ไม่หรอกค่ะ คุณลุงคุณป้าก็อยู่ พนักงานก็อยู่กันเยอะแยะ หนูเสียอีกมาถึงก็ทำความวุ่นวายให้คุณลุงคุณป้าตั้งเยอะ” ‘คุณลุง’ ไม่พูดอะไรนอกจากมองหน้าอาจารย์สาวแล้วหัวเราะเบาๆ ในลำคอ รอยยิ้มที่กระจายอยู่บนหน้าขาวนั่นดูน่าเอ็นดูขึ้นอีกเป็นกอง เมื่อคุณเวศน์สังเกตเห็นบนใบหน้าเธอขึ้นรอยสีชมพูเรื่อที่แก้มทั้งสองข้าง

“เอ่อ ไม่มีอะไรแล้ว หนูขอตัวลงไปเดินที่หาดนะคะคุณลุง” คุณเวศน์พยักหน้าน้อยๆ เอ่ยอนุญาตด้วยรอยยิ้ม ปล่อยให้แขกสาวเดินเที่ยวตามหาด ส่วนตัวเองก็ขอตัวนั่งพักผ่อนอยู่ที่ห้องนั่งเล่น ไม่ได้ตามสองแม่ลูกขึ้นไปข้างบนอย่างที่ถามความเห็นของนฤมลเมื่อครู่


‘แกชอบฉันเหรอวะ’ คำถามสั้นๆ แต่มันก็พอที่จะทำให้เธอชะงักค้างเบิกตาโต

‘ใครบอกแก’

‘ฉันรู้แล้วกันน่า’

‘ฉันถามว่าใครบอกแก ไม่ได้ถามว่าแกรู้หรือไม่รู้ ตอบมา’

‘ฉัน... เคยได้ยินแกพูดกับไอ้เม’

‘นี่แกแอบฟังเหรอ! แกรู้มานานเท่าไหร่แล้ว’

‘ก็ นานแล้ว’ เขาอ้อมแอ้มตอบ หันมองสายฝนภายด้านนอกที่ยังคงตกหนักอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดแต่อย่างใด พยายามหลบสายตาน่ากลัวของเพื่อน

‘แต่แกก็ไม่ยอมบอกฉัน แกรู้แต่แกก็ยังทำตัวเหมือนเดิม’ เธอพูดยิ้มเยาะตัวเองในความมืด ‘อ้อ ความจริงฉันคงผิดเอง ผิดที่ชอบแก ผิดที่ไม่ยอมตัดใจจากแกไม่ว่าแกจะมีใครสักกี่คน ฉันก็ยังเป็นคนโง่ที่อยู่ข้างแก ฉันผิดเองที่คิดเข้าข้างตัวเองมาตลอด คิดว่าคงมีสักวันที่แกจะหันมามองฉัน ฉันผิดเองพีท ฉันผิดเอง’

คนพูดเยาะตัวเองพยายามสะกดเสียงสั่นเครือไว้อย่างมิดชิด ไม่ให้ใครอีกคนได้รู้ว่าตอนนี้ใจของเธอกำลังแหลกสลายมากแค่ไหน ความอ่อนแอที่ไม่ค่อยเปิดเผยให้ใครรู้กำลังจู่โจมเธออย่างหนัก

เธอจำได้ วันนั้นเป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายมากที่สุดในชีวิต เป็นวันที่ทำให้เธอรู้สึกผิดมาตลอดจนกระทั่งตอนนี้ก็ยังรู้สึกแบบนั้นอยู่


จู่ๆ นฤมลก็สะดุ้งสุดตัว เมื่อรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่กำลังปัดผ่านแก้มเธอไป หญิงสาวตื่นจากภวังค์ในอดีตพร้อมกับได้ยินเสียงคลื่นที่พากันพัดเข้าฝั่งตามแรงลม พร้อมๆ กับเงยหน้าดูเจ้าของมือที่ถือวิสาสะเช็ดน้ำตาให้เธอโดยไม่ขออนุญาต หลังมือถูกยกขึ้นปาดน้ำตาที่หน้าออกซ้ำอีกครั้ง พอคิดว่าคราบน้ำตาหมดไปจากใบหน้าแล้วจึงลุกขึ้นยืนเต็มความสูง

“คุณเป็นอะไรรึเปล่า ร้องไห้ทำไม” กรกฎถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างที่ได้ยินค่อนข้างบ่อยในวันสองวันนี้

“เปล่า ฉันไม่เป็นอะไร สบายดี สบายมากด้วย” เธอตอบเสียงอู้อี้ แต่กลับมีรอยยิ้มฉาบไว้บนใบหน้า รอยยิ้มที่กรกฎมองอย่างไรมันก็สิ่งที่ยิ้มออกมาจากใจ เขาจึงทอดสายตาไปให้เธออีกครั้งพร้อมรอยยิ้มอ่อนๆ ที่ตีความหมายได้ว่าเขาเข้าใจเธอ

“ไม่เป็นไร คุณไม่ตอบผมก็ไม่ว่าอะไร แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ทนไม่ไหว จำไว้ว่าผมพร้อมรับฟังเสมอ”

“ขอบคุณค่ะ”

คำขอบคุณที่ส่งออกไปพร้อมกับสายตาของนฤมลแม้จะเบาเท่าเสียงลมพัดผ่านแต่ก็บ่งบอกได้ว่าเธอขอบคุณเขาจริงๆ ทั้งที่กรกฎไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลยสักนิด แต่เขาก็พร้อมจะรับฟัง ผู้ชายคนนี้ทำให้เธอแปลกใจได้หลายครั้งเลยทีเดียว กรกฎมีหลายด้านเหลือเกิน จนตอนนี้เธอชักไม่แน่ใจเสียแล้วว่าคนที่เธอรู้จักมาตลอดเกือบสองอาทิตย์นี้ ใช่ตัวเขาจริงๆ หรือไม่ใช่เลยสักนิดกันแน่

“ทำไมคุณถึง... ยอมฟังเรื่องของคนแปลกหน้าล่ะ”

“คุณไม่ใช่คนแปลกหน้า ผมบอกแล้วไงว่าอยากรู้จักคุณให้มากขึ้น”

นฤมลพูดไม่ออกอีกครั้ง ความรู้สึกร้อนที่แก้มตอนนี้มันกลับเห่อไปทั้งหน้า สงสัยจะเป็นเพราะอยู่กลางแดดนานไป เธอให้เหตุผลกับตัวเอง ทั้งที่รู้ๆ กันอยู่ว่าแดดแรงแค่ไหนก็ไม่เคยทำอะไรเธอได้ มือขาวถูกยกขึ้นมาพัดให้ลมเข้าหน้าราวกับว่ามันสามารถคลายความร้อนที่หน้าลงได้ แต่กลับไม่ได้ผลเลยสักนิด ยิ่งเห็นสายตาของกรกฎที่มองเธอแล้วคราวนี้เธอคิดว่าหน้าเธอมันต้องกลายเป็นสีแดงลามไปถึงใบหูแล้วแน่นอน

“คุณ” ชายหนุ่มเอ่ยเรียกเบาๆ พอให้คนข้างตัวหันมอง “ร้อนมากเลยหรือไง หน้าคุณมันแดงมากเลยนะ”

“ปะ เปล่า ฉันไม่เป็นอะไร” เท้าที่กำลังจะเดินเลี่ยงไปอีกทางต้องหยุดลง ไม่สามารถเดินต่อได้เมื่อคนถามชายหนุ่มยังคงรุกต่อ อย่างที่ไม่มีช่องให้เธอได้สวนกลับ เขาดึงรั้งแขนเธอไว้เบาๆ แต่กลับมากพอที่จะทำให้เธอหยุดนิ่งอยู่กับที่ หากแต่ใบหน้ายังคงเบือนหลบเขาอยู่เช่นเดิม

“เขินผมก็บอกมาเถอะน่า ไม่ว่าอะไรหรอก”

คราวนี้คนเขินอยู่หันหน้ากลับ ส่งสายตาจิกคนหลงตัวเองแทน ถ้าสายตาเธอเป็นปืนกรกฎคิดว่าตัวเขาคงพรุนไม่มีชิ้นดีไปแล้ว

“โธ่คุณ ผมล้อเล่นน่า ไม่เห็นต้องทำตาดุขนาดนั้นเลย เสียขวัญนะเนี่ย เสียขวัญมากด้วย” คนตาดุเบ้ปากน้อยๆ ทั้งที่ตายังคงจิกอยู่ที่เดิม แม้รู้จักกันไม่นานแต่เธอพอจะเดาออกว่าคนอย่างเขาไม่มีทางเสียขวัญกับอะไรง่ายๆ เช่นนี้ คนที่บอกว่าตัวเองเสียขวัญปาวๆ ก็ไม่มีทีท่าจะเป็นอะไรเลยสักนิด กรกฎหยุดเดินแล้วหันมามองคนที่อยู่ข้างๆ เต็มๆ ตา ชายหนุ่มขมวดคิ้วขัดใจเล็กน้อย เมื่อเห็นหญิงสาวยังไม่ยอมหยุดส่งสายตาแบบนั้นให้เขา

“อ่ะๆๆ อยากมองนักก็มองเลยครับคุณผู้หญิง มองให้เต็มตาอย่าหลบนะ” จบประโยคคนถูกมองยื่นหน้าตัวเองให้เข้าไปใกล้คนถลึงตามองอีกนิด จมูกเกือบชนจมูก จนนฤมลต้องรีบผงะถอยหลัง

“อะไรของคุณเนี่ย ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ ทำไม ฉันตกใจหมดเลย”

“ก็เห็นคุณมองผมอยู่นั่นแหละ นึกว่ามองกันไม่ชัดเลยจะให้เห็นเต็มๆ ตาไง” คนถูกหาว่ามองไม่ชัดร้องยี้เบาๆ กับคำกล่าวหานั้น ถึงเธอจะสายตาสั้นแต่ก็คงไม่ลงทุนใช้สายตาเพ่งมองเขาเพื่อจะได้เห็นชัดๆ หรอกนะ

“ไปห่างๆ เลย คุณมันตัวอันตราย”

“ผมอันตรายที่ไหน ออกจะเหมือนตุ๊กตาหมีขนาดนี้” ตุ๊กตาหมีควายน่ะสิ หญิงสาวตวัดค้อนใส่คนคิดว่าตัวเองเป็นตุ๊กตาหมีโครมเบ้อเริ่ม ก่อนจะก้าวเท้าเดินเปล่าเดินบนทรายนุ่มต่อ “คุณยังติดให้คำตอบผมอยู่นะ เรื่องที่ผมถามเมื่อตอนสาย”

“คำตอบอะไร คุณไม่ได้ถามอะไรฉันสักหน่อย” เธอสวนกลับอ้อมแอ้ม เถียงได้ไม่เต็มเสียงนัก เมื่อนึกถึงภาพเมื่อเช้า ถ้าหากเด็กพนักงานคนนั้นไม่เข้ามา เธอยังไม่รู้เลยว่าจะหาวิธีหลบเลี่ยงเขาได้อย่างไร

“สงสัยจะต้องถามอีกที”

“โอเคๆ หยุดอยู่ตรงนั้น ไม่ต้องเดินเข้ามาใกล้ ถ้าคุณเดินเข้ามาอีกฉันจะวิ่งหนี” นฤมลยกมือขึ้นกางห้านิ้วเป็นเชิงปรามให้เจ้าของคำถามหยุดอยู่ที่เดิม ไม่ควรย่นระยะเข้ามาทำให้เธอใจเต้นแรงอีก

คราวนี้ความเงียบโรยตัวลงมาอย่างช้าๆ ระหว่างทั้งคู่ มีเพียงเสียงลมพัดและคลื่นทะเลที่ซัดเข้ากับโขดหินเท่านั้นที่ยังคงบอกให้รู้ว่าเธอและเขาอยู่กันที่ไหน อาจเพราะบริเวณนั้นมีหินและห่างไกลจุดเล่นน้ำ ทำให้นักท่องเที่ยวไม่ค่อยเดินมานัก ส่วนใหญ่จะรวมกันอยู่ที่หาดบริเวณหน้ารีสอร์ตเสียมากกว่า

นฤมลบิดนิ้วตัวเองไปมา เพื่อคลายความตื่นเต้นและความหนักใจที่มีอยู่ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเธอยังลืมเพื่อนรักของเธอไม่ได้ และนั่นเป็นสิ่งที่เธอไม่ยอมเปิดหัวใจให้ใคร แต่ถึงอย่างไรเธอก็ยังรู้สึกกับคนตรงหน้ามากกว่าคนก่อนๆ ที่ผ่านมา กรกฎมีส่วนคล้ายปีเตอร์อยู่มาก และเธอไม่อยากให้ความเหมือนนั้นทำร้ายทั้งเธอและเขา กรกฎไม่ควรเป็นตัวแทนที่เธอจะใช้ลืมใครอีกคน

“ฉันขอโทษ...” น้ำเสียงแผ่วเบานั้นดูไม่มั่นคงเอาเสียเลย หญิงสาวเงยหน้ามองคนตัวสูงกว่าด้วยสีหน้าลำบากใจ พร้อมกับสายตาที่รู้สึกผิด เมื่อสีหน้าของกรกฎหมองลง รอยยิ้มที่ฉาบทั่วหน้าเมื่อครู่หายไปอีกทั้งแสงวิบวับที่อยู่ในตาของเขาที่ใช้สื่อความหมาย “คือฉัน... ยังไม่พร้อม”

“เอาเถอะ แต่คุณจะไม่บอกผมจริงๆ หรือว่าคุณร้องไห้ทำไม”

ถึงจะถามอีกครั้งอย่างไร หญิงสาวก็ทำเพียงแค่กัดริมฝีปากตัวเองเบาๆ ไม่มีคำพูดใดๆ หลุดออกจากปากอีก กรกฎยืนรอนิ่งจนต้องถอนหายใจออกมากับความใจแข็งของคนตรงหน้า ระยะเวลาไม่นานที่เจอกันแต่เขาพอดูออกอยู่บ้างว่าหญิงสาวหัวดื้อไม่แพ้ใคร แถมนิสัยชอบกวนโมโหนั่นก็เป็นอีกอย่างที่ไม่มีใครเกินเลยจริงๆ

“พรุ่งนี้คุณกลับแล้วใช่ไหม วันนี้อยากไปไหนหรือเปล่า ผมจะพาไป”

“คุณไม่ต้องทำงานหรือไง ไม่เป็นไรหรอกฉันเดินเล่นแถวนี้ก็ได้ เกรงใจ”

“ถามจริง นี่ตกลงคุณเกรงใจเป็นกับเขาด้วยเหรอ”

มันจะไม่เกรงใจก็ตอนโดนถามนี่แหละ นฤมลเท้าเอวมองคนถามอย่างเอาจริงเอาจังด้วยใบหน้าแปลกใจ ยิ่งกว่าเห็นปลากระโดดอยู่บนหาดทรายเสียอีก

“ถ้า” คนขี้เกรงใจตะโกนลากเสียงออกมาจนดังไปทั่วบริเวณ ราวกับจะเน้นให้คนตรงหน้าตั้งใจฟัง “ถ้าไม่ติดว่าคุณเป็นพี่ยัยทราย ฉันจะจับคุณกดทะเลตรงนี้แหละ ดีมั้ย ให้เฝ้าทะเลไปเลย ปากเสียดีนัก”


คนโดนว่ากลับไม่ทำอะไรนอกจากหัวเราะเสียงดัง แล้วคว้าข้อมือขาวของคนที่ยืนวางแผนฆาตรกรรมเขาได้เป็นฉากๆ ให้เดินตามไปจนหน้าเกือบคะมำเพราะไม่ทันตั้งตัว

“เฮ้ยคุณ จะพาฉันไปไหน ฉันล้อเล่น ฉันไม่ได้จะฆ่าคุณจริงๆ หรอกน่า”

“ตามมาก่อนเถอะน่า ไม่พาไปขายหรอก” เขาพูดกลั้วหัวเราะ “แบบนี้ขายยังไงก็คงขายไม่ออก”

ถ้าฆ่าคนแล้วไม่ติดคุกล่ะก็... ตานี่เป็นศพแรกของเธอแน่นอน!

กรกฎพาเธอมาที่ตลาด ตลาดในตัวเมืองผู้คนพลุกพล่านประมาณหนึ่ง เนื่องจากที่นี่เป็นศูนย์กลางสำหรับการเดินหาซื้อของฝาก ส่วนอีกฝั่งของตลาดก็ยังเป็นอาหารสดที่ขายกันในราคาถูก เพื่อนักท่องเที่ยวได้หาซื้อกันไปทำอาหาร นฤมลลงจากรถยกมือป้องแดดตอนเกือบเที่ยงแล้วต้องหันมองคนที่กำลังลงจากรถฝั่งคนขับ บนหน้าเธอมีเครื่องหมายคำถามเต็มไปหมด

“พรุ่งนี้คุณจะกลับ เลยพามาหาของฝาก เผื่อคุณอยากได้อะไรกลับไปฝากที่บ้าน” เท่านั้นนฤมลก็ร้องอ๋อออกมา ไม่นึกว่าเขาจะห่วงไปถึงคนที่อยู่ที่บ้านของเธอ ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

“ขอบคุณนะ ถ้าคุณไม่พามาฉันก็คงไม่ซื้ออะไรกลับไป แม่ฉันน่ะขี้บ่น” ท้ายประโยคเธอกระซิบเสียงเบาราวกับกลัวมารดาที่อยู่ที่บ้านได้ยิน ทำเอาชายหนุ่มหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ กับความทะเล้นนั้น

นฤมลยังคงทำตัวเหมือนเดิม ราวกับไม่รับรู้ในสิ่งที่เขาพยายามแสดงออกให้เธอรู้ กำแพงของเธอยังคงก่อตัวขึ้นสูงจนเขาแทบปีนข้ามไปไม่ไหว สิ่งที่เขากลัวที่สุดเพียงอย่างเดียวคือหากเขาปีนขึ้นไปจนพอจะข้ามได้ เขากลัวว่ากำแพงนั้นจะถูกก่อสูงขึ้นไปอีก

เขาอาจต้องหาอะไรสักอย่างมาทุบกำแพงนั้น

ชายหนุ่มครุ่นคิดทั้งๆ ที่กำลังเดินตามคนชอบสร้างกำแพง หันไปตอบรับแม่ค้าที่รู้จักคุ้นเคยกันบ้างเป็นครั้งคราว จะทำเป็นไม่สนใจไปเลยก็ไม่ได้ ในเมื่อคนที่เดินนำหน้าเขาหันมามองเขาทุกครั้งที่ถูกแม่ค้าเรียกอย่างสนิทสนม

“สุดหล่อ วันนี้มาซื้ออะไรจ๊ะ” แม่ค้าขายปลาหมึกแห้งคนสวยทักเสียงหวานแถมยังส่งสายตาให้ ‘สุดหล่อ’ อย่างยั่วยวน เสื้อกล้ามสีแดงที่แม่ค้าคนสวยใส่อยู่ไม่มีความมิดชิดเลยแม้แต่น้อย หากเธอก้มลงเล็กน้อยคงได้เห็นกันไปถึงไหนต่อไหน

ถึงแม้ว่าแม่ค้าสาวจะเชิญชวนแค่ไหน ‘สุดหล่อ’ ก็ทำได้เพียงส่งยิ้มแหยให้ก่อนจะรีบเดินตามนฤมลไป เกรงว่าหญิงสาวจะเดินคลาดสายตาหายไปกับกลุ่มคนที่เดินกันขวักไขว่อยู่ในตลาด แต่ก็ยังไม่วายได้ยินเสียงไล่หลังมาเสียงดัง

“โธ่เอ๊ย มีเมียแล้วก็ไม่บอก อารมณ์เสีย!”

เดินอยู่ไม่นานนฤมลก็ได้ของฝากชาวบ้านเต็มไม้เต็มมือ แม้ว่าจะแบ่งให้กรกฎช่วยถือไปแล้วบางส่วนก็ตาม แต่ดูเหมือนเธอจะญาติเยอะไปหน่อย ทั้งกะปิที่ตั้งใจซื้อไปฝากแม่ที่บ้าน อีกทั้งของแห้งที่พี่ชายโปรดปรานอีกถุงเบ้อเริ่ม ไหนจะลูกน้องที่ร้านอาหารของพี่ชายเธออีก

“เสน่ห์แรงนะคุณเนี่ย แม่ค้าแซวทั้งตลาด” นฤมลพูดกลั้วหัวเราะ มองคนมีเสน่ห์ยิ้มๆ

“นั่นน่ะสิ ผมหล่อขนาดนี้ทำไมคุณยังไม่หลงเสน่ห์อีกล่ะ”

คนโดนสวนกลับใบ้กินทันควัน รีบเปิดประตูรถที่ชายหนุ่มปลดล็อคเรียบร้อยแล้วเข้าไปนั่งเงียบๆ ไม่คิดโต้เถียงใดๆ กับเขาอีก ทำเอาคนพูดประโยคเกี้ยวเมื่อครู่แอบหมายมาดในใจ

ในเมื่อปีนกำแพงขึ้นไปมันยากนัก เขาจะหาค้อนมาทุบให้กำแพงเป็นรูแล้วมุดเข้าไปแทน!


นฤมลผับเสื้อผ้าและของใช้ที่นำติดตัวมาด้วยลงกระเป๋าจนครบเหลือก็แต่ชุดที่ต้องใส่พรุ่งนี้ที่แขวนอยู่ในตู้ เธอถอนหายใจออกมาเบาๆ กับคำพูดของกรกฎเมื่อตอนอยู่ริมทะเล แม้ว่าชายหนุ่มจะไม่แสดงออกถึงความเสียใจมากมาย แต่เธอรู้สึกได้ถึงระยะห่างที่เขากำลังสร้างขึ้น การโต้ตอบพูดคุยกันราวกับจิตใจปกตินั้นยิ่งทำให้เธอลำบากใจถึงสองเท่า เหตุการณ์หนักกว่านี้เธอก็เคยเจอมาแล้ว ทำไมจะไม่รู้ว่าการที่ต้องฝืนมันเจ็บมากกว่าเดิมสักแค่ไหน

มือเอื้อมหยิบกล้องของเจ้าของบ้านที่เธอครองไว้เสียนาน มองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจเบาๆ ถึงเวลาเธอต้องเอาไปคืนเขาเสียที นฤมลจับกล้องมาหมุนๆ ถอดเมมโมรี่การ์ดตัวเองออกเก็บไว้ในกล่องอย่างดี แล้วรีบลุกเดินออกไปนอกห้อง เพราะเกรงว่าเจ้าของจะหลับไปเสียก่อน

“ฉันเอามาคืน ขอบคุณนะที่ให้ยึดไปใช้ตั้งนาน” หญิงสาวยื่นกล้องให้เจ้าของห้องด้วยรอยยิ้ม

“ไม่เป็นไร เก็บไว้เฉยๆ ก็ไม่ได้ใช้ คุณเอาไปใช้ก็ดีแล้ว แล้วนี่ทำไม่ยังไม่นอนอีก เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ตื่นสายไม่ทันเรือหรอก”

“โธ่ เรื่องแค่นี้สบายมาก” คนตื่นสายเป็นประจำพูดด้วยน้ำเสียงสดใส แต่ก็ต้องยิ้มค้างเมื่อเห็นสายตาคนตรงหน้าที่ทอดมา แก้มสองข้างร้อนขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ จนเธอต้องก้มหน้ามองพื้นแทนที่จะมองหน้าคนสนทนาเหมือนเช่นทุกครั้ง “เอ่อ ฉันว่า... ฉะ ฉันไปนอนดีกว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นสาย”

คนที่อยู่ๆ ก็กลัวจะตื่นสายขึ้นรีบหันหลังกลับกำลังจะก้าวไปยังห้องของตน แต่ทำไม่ได้อย่างใจคิดเพราะมือใหญ่ยื่นมารั้งไว้เสียก่อน

“เดี๋ยว” เธอเอียงคอมองหน้าคนเรียกอย่างไม่เข้าใจ “ยื่นแขนออกมาหน่อย เร็วสิ ยื่นออกมา”

แม้ไม่เข้าใจอะไรมาก แต่นฤมลก็ยอมยื่นแขนออกไปทั้งงงๆ จากนั้นก็พยายามจะดึงแขนมาไว้กับตัวเมื่อกรกฎดึงของบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อชุดนอน

สร้อยเส้นเล็กที่ประดับไปด้วยกลุ่มดาวเล็กๆ และพระจันทร์เสี้ยว กำลังสะท้อนแสงไฟระยิบ ถูกวางลงบนข้อมืออย่างเบามือแล้วล็อคไว้ไม่ให้เลื่อนหลุด นฤมลเงยหน้ามองคนใส่ให้เธออย่างไม่เข้าใจ

“ทีแรกว่าจะหารูปต้นมะพร้าวให้เหมือนกัน” ชายหนุ่มหัวเราะ “แต่คิดว่ารูปดาวพวกนี้คงเหมาะมากกว่า ถ้าจะให้ดีใส่ไว้ให้ผมชื่นใจ พอกลับบ้านค่อยถอดเถอะนะ”

แล้วใครจะไปทนสายตาแบบนั้นได้กันล่ะ นฤมลมองหน้าคนให้ก่อนจะเลื่อนลงมามองสร้อยข้อมือที่แขน วันนี้ที่ตลาดเธอไม่เห็นเขาแวะแผงไหนเลยด้วยซ้ำ แต่เขากลับได้สร้อยเส้นนี้มา โดยที่เธอไม่รู้ตัวว่าเขาหายไปตอนไหน

“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวเอ่ยเสียงแผ่ว แทบไม่ได้ยินหากไม่ตั้งใจฟังจริงๆ “ฉันไปนอนแล้วดีกว่า กู๊ดไนท์นะคะ”

“คุณ ห้องคุณอยู่ทางนี้” กรกฎหัวเราะอีกครั้งเมื่อเห็นคนที่บอกจะกลับห้องกำลังจะเดินไปอีกทางที่เป็นทิศตรงข้ามกับห้องตัวเอง “ฝันดีนะหนูมล”

‘หนูมล’ แอบยิ้มตาหยีเมื่อเห็นว่าหันหลังให้คนบอกฝันดีเรียบร้อยแล้ว ใจเต้นรัวจนแทบหลุดออกมาจากอกทำให้หญิงสาวต้องรีบเดินให้ห่างจากจุดที่กรกฎยืนอยู่ ด้วยเกรงว่าชายหนุ่มจะได้ยินเสียงเต้นของหัวใจเธอที่ตอนนี้ดังเหมือนมีกลองตีรัวและเร็วอยู่ข้างใน

คืนนั้นนฤมลหลับไปพร้อมกับสร้อยข้อมือเส้นนั้นอย่างรวดเร็วและไม่มีสิ่งอื่นใดมารบกวนในใจได้อีก

================================================



มิณทิมา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 ก.ย. 2555, 19:28:46 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 ก.ย. 2555, 19:28:46 น.

จำนวนการเข้าชม : 1653





<< ตอนที่ 7   ตอนที่ 9 >>
mhengjhy 25 ก.ย. 2555, 19:53:27 น.
ขอให้กลับไปแล้วคิดถึงแต่กรกฎ 5555555


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account