ทะเลหวาน
หนึ่งคน... อยู่ในความทรงจำ ที่ฝังลึกอยู่ข้างในใจไม่ห่างหาย
หากอีกหนึ่งคน... มีตัวตน คอยเตือนเธอให้ลืมคนในอดีตอยู่เสมอ

การตัดสินใจอาจไม่ยากเย็น หากหัวใจเธอไม่ถูกปิดไปพร้อมกับอดีตที่ยังวนเวียนอยู่ไม่ไปไหน
Tags: เรื่องยาว ทะเล

ตอน: ตอนที่ 9

ขอยกยอดมาตอบเม้นท์ตอนนี้เลยแล้วกันนะคะ แฮ่ๆๆๆๆ

คุณ Edelweiss - ฮาาา นั่นสิคะ อายุกับน้ำหนักนี่ไม่ได้เลยเชียว
คุณ mhengjhy - คิดถึงรึเปล่าไม่แน่ใจนะคะ ต้องลองอ่านตอนนี้ดู อิอิ

================================================

“อาจารย์ เที่ยงแล้วไปทานข้าวกันไหมครับ” นฤมลที่นั่งก้มหน้าตรวจงานลูกศิษย์อยู่เงยหน้าขึ้นตามเสียงเรียก เธอเห็นชายหนุ่มหุ่นเจ้าเนื้อคุ้นตายืนยิ้มอยู่หน้าโต๊ะ แม้ว่าเธอจะไม่มาทำงานสองอาทิตย์ แต่พอเธอกลับมาอาจารย์หนุ่มประจำภาควิชาเธอคนนี้ก็ยังคงทำเหมือนเดิม

ช่างเสมอต้นเสมอปลายดีจริงๆ

อาจารย์สาวมองหน้าดอกเตอร์สมศักด์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าแล้วต้องส่งยิ้มแหยให้อย่างเช่นเคย ความจริงแล้วเธอก็ไม่ได้นึกรังเกียจอะไรอาจารย์หนุ่ม เนื่องจากเห็นเป็นเพื่อนอาจารย์ประจำภาควิชาแต่ที่เขาทำอยู่ทุกวันนี้ มันยิ่งทำให้เธอลำบากใจมากขึ้นเรื่อยๆ ในเมื่อเธอไม่ได้คิดอะไรกับคนตรงหน้าเลยสักนิด

มือขาวถือปากกาเคาะโต๊ะราวกับกำลังใช้ความคิดเพื่อตัดสินใจ ก่อนจะตอบตกลงดอกเตอร์ที่เพียรมาชวนเธออยู่หลายครั้ง แต่เธอก็ปฏิเสธเสียทุกครั้ง

“ชมพู่ ไปกินข้าวกันเดี๋ยวค่อยกลับมาทำงานต่อ”

ในเมื่อไม่กล้าปฏิเสธ หญิงสาวจึงหาทางเอาตัวรอดด้วยการส่งสัญญาณให้เพื่อนอาจารย์อีกหนึ่งคนที่ยังคงนั่งทำงานอยู่อย่างขะมักเขม้น คนเป็นเพื่อนก็ช่างดีเหลือใจ พอเห็นว่าเพื่อนส่งสัญญาณมาเพียงเท่านั้น สาวิตรีก็รีบรับคำ เก็บของแล้วเดินตามเพื่อนออกมา โดยไม่ปล่อยให้คนชวนได้อ้าปากแย้งใดๆ

“อาจารย์ไปเที่ยวตั้งสองอาทิตย์ สนุกไหมครับ ไปที่ไหนมาบ้าง” คนเป็นดอกเตอร์ยังคงพยายามหาช่องทางในการคุย โดยไม่สนผู้หญิงอีกคนที่มานั่งอยู่ด้วย เขาพยายามจีบนฤมลมาพักใหญ่แล้วแต่ดูเหมือนหญิงสาวจะคล้ายก้อนหินเข้าไปทุกที เขาคุยอะไรก็นิ่ง เผลอๆ บางทีไร้การตอบสนองด้วยซ้ำ คราวนั้นทำเอาเขาใจแป้วไปพักใหญ่ แต่พอนึกถึงรอยยิ้มที่เธอเคยส่งให้บ้าง เอ่อ แค่บางครั้งบางคราวที่เธออารมณ์ดีจริงๆ ล่ะนะ มันกลับทำให้หัวใจเขาพองโตขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

“ก็สนุกดีนะคะ ทำงานมาทั้งปี ได้ผ่อนคลายแบบนี้บ้างมันก็หายเหนื่อยค่ะ”

นฤมลตอบคนถามด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ทั้งที่สายตาเธอไม่ได้โฟกัสอยู่กับคนถามตรงหน้า แต่กลับคิดไปถึงเรื่องราวที่ผ่านมาระหว่างกรกฎกับเธอ มือที่เขี่ยข้าวในจานก็ยังคงทำหน้าที่ ‘เขี่ย’ ได้เป็นอย่างดี คือเขี่ยอย่างเดียว ไม่มีการตักเข้าปากใดๆ ทั้งสิ้น จนแล้วจนรอดเมื่อเห็นเพื่อนหลุดไปที่อื่นนานเกินไป สาวิตรีจึงต้องรีบสะกิดให้สติของเพื่อนกลับมาอยู่ที่เดิม

“ฮั่นแน่ อยู่ๆ ก็ยิ้มแบบนี้ ไปเจออะไรดีๆ ที่นู่นมาหรือเปล่า” คนไปเจอ ‘อะไรดีๆ’ มาไม่ยอมตอบ มัวแต่อมยิ้มแล้วปล่อยให้เพื่อนแซวอยู่อย่างนั้น ไม่ได้ตอบโต้อะไร จนอาจารย์หนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้ามชักใจคอไม่ดี รู้สึกเหมือนมีคู่แข่งทั้งที่ยังไม่เห็นเป็นตัวเป็นตน

“ไปเจออะไรดีๆ มาหรือครับอาจารย์”

“ก็ไปเจอธรรมชาติดีๆ ผู้คนน่ารักน่ะค่ะ ไม่คิดว่าเดี๋ยวนี้ยังหาน้ำใจกันได้อยู่”

ดอกเตอร์สมศักดิ์เป่าลมออกจากปากเบาๆ ด้วยความโล่งอก เขาได้แต่หวังว่าระยะเวลาเพียงสองอาทิตย์คงไม่ทำให้เธอไปเจอใครแล้วถูกใจเข้า ในเมื่อเขาเพียรพยายามตามเธอมาตั้งนาน หากปล่อยให้คนอื่นฉกไปต่อหน้าต่อตาแล้วล่ะก็

เขาไม่ยอมเด็ดขาด!

“วันนี้กลับบ้านด้วยกันไหมครับอาจารย์” นฤมลกลอกตาขึ้นฟ้าอย่างไม่กลัวคนชวนจะเห็นแล้วเก็บไปเสียใจ ดอกเตอร์สมศักดิ์ยังคงพยายามจะหาเรื่องคุยกับเธอให้ได้ และเรื่องกลับบ้านเรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องที่ห้าหรือหกของวันเข้าไปแล้วที่เขาพยายามจะคุยกับเธอ หากมองในแง่ดีก็คงมองได้ว่าเขาเป็นอาจารย์ที่มีน้ำใจกับเธอมากคนหนึ่ง แต่ตอนนี้เธอคือนางมารร้าย หญิงสาวเห็นความตั้งใจจริงของอาจารย์หนุ่มที่มีมากมาย แต่มันกลับทำให้เธอรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก

อาจต้องหาวิธีหลุดพ้นจากตรงนี้เสียที เธอคิดในใจอย่างหมายมาด ที่หญิงสาวไม่ยอมพูดอะไรให้ชัดเจนออกไปเพราะเกรงว่าจะกลายเป็นคนหลงตัวเองอย่างร้ายกาจ ซึ่งไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วอาจารย์หนุ่มอาจจะต้องการแค่เป็นเพื่อนกับเธอเท่านั้น แต่ตอนนี้เขาผิดเองที่ดันมาทำให้เธอรู้สึกรำคาญไปเสียแล้ว จากที่ต้องคอยรักษาน้ำใจใครหลายๆ คน

“ไม่เป็นไรค่ะอาจารย์ มลเอารถมา ขอตัวก่อนนะคะ” คนชวนทำได้เพียงแค่ยิ้มค้าง เอ่ยอวยพรให้ขับรถดีๆ เบาแล้วเดินจากไปเงียบๆ จนนฤมลต้องถอนหายใจออกมา สงสารรึก็สงสาร แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อเขาไม่ใช่...


นฤมลกลับถึงบ้านด้วยความอ่อนล้า วันทั้งวันต้องคอยรบรากับนักศึกษาตัวแสบทั้งหลาย ไหนจะอาจารย์บางท่านที่ความคิดเห็นไม่ตรงกันอีก ความเหนื่อยล้าถึงกับทำให้เธอต้องหลับตานิ่งๆ ในรถครู่หนึ่ง ถึงจะหยิบกระเป๋าเข้าบ้านอย่างที่เคยทำเป็นประจำ

กลิ่นหอมจากอาหารที่ลอยออกมาจากในครัว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นฝีมือใคร ถ้าไม่ใช่คุณนายลำดวนที่คอยทำอาหารให้เธอกินตั้งแต่เล็กจนโต ส่วนหัวหน้าครอบครัวของบ้านเธอคงหนีไม่พ้นสวนกล้วยไม้หลังบ้าน คุณสนองพ่อของเธอนั้นตั้งแต่เกษียณออกมาก็มักขลุกอยู่กับสวนกล้วยไม้ที่ท่านรักนักรักหนา บางครั้งเธอก็แอบน้อยใจอยู่บ้างที่พ่อของเธอโอ๋ต้นไม่พวกนั้นมากกว่าเธอเสียอีก คอยประคับประคองอย่างดีไม่ให้ช้ำ ส่วนเธอน่ะหรือเดี๋ยวก็ไล่ให้ไปขุดดินบ้างล่ะ แบกถุงปุ๋ยบ้างล่ะ ไม่พอใจก็ยกเท้าขึ้นถีบลูกสาวเบาๆ บ้างล่ะ มันไม่ยุติธรรมชัดๆ

“แม่สวัสดีจ้ะ หิวข้าวจัง” อาจารย์สาวรีบเดินเข้าไปอ้อนมารดาในครัว โดยที่ไม่แม้แต่จะคิดย่างก้าวเข้าไปในบ้านเพาะพันธ์กล้วยไม้ของพ่อ

“เอาของไปเก็บแล้วขึ้นไปอาบน้ำสิไป เดี๋ยวค่อยทานพร้อมพ่อ” หญิงสาวรับคำอย่างง่ายดาย ฮัมเพลงเดินขึ้นบ้านไปอย่างอารมณ์ดี


“มลลูก มีคนมาหาแน่ะ” เสียงที่ดังขึ้นมาจากข้างล่างทำเอาคนที่กำลังหวีผมชะงักด้วยความงุนงงเล็กน้อย ก่อนจะนึกไปถึงอาจารย์เจ้าเนื้อที่เพิ่งแยกกันที่ลานจอดรถ หญิงสาวพยายามข่มใจให้นึกไว้ในทางที่ดีว่าคงไม่ใช่ดอกเตอร์หนุ่ม เพราะหากเขาจะมาหาเธอจริงๆ เขาคงมาตั้งนานแล้ว คงไม่ปล่อยเวลาไปนานขนาดนี้

หวีผมเสร็จเรียบร้อย คนมีแขกก็รีบวิ่งลงบันไดมา ด้วยไม่อยากให้แขกรอนาน เผื่อเป็นอาจารย์ผู้ใหญ่ที่รู้จักกัน แต่พอลงมายืนชั้นหนึ่งได้ ตาเล็กก็ต้องเบิกโพลงกับภาพที่เห็นตรงหน้า คนที่ไม่คิดว่าจะเจอกันอีกกลับยืนยิ้มกว้างอยู่ ข้างๆ มีเด็กสาวที่มองอย่างไรก็เป็นลูกศิษย์ของเธอยืนยิ้มแฉ่งอยู่ด้วย

“คุณ! มาได้ยังไง”

“ขับรถมา” คนเป็นแขกชูกุญแจรถในมือให้คนถามดู ทำหน้าตาบอกเป็นนัยว่า ‘เรื่องแค่นี้ก็ไม่รู้’ “ยัยทรายเป็นคนบอกทางน่ะ ผมไม่รู้หรอกว่าบ้านคุณอยู่ส่วนไหนของจังหวัด”

‘ยัยทราย’ หรือธนิตาที่ยืนอยู่ข้างๆ พี่ชายตัวเองยกมือไหว้สวัสดีอาจารย์สาวคนสนิท ก่อนจะหันมาบอกพี่ชายให้เธอได้ยินด้วย

“ทรายไปดูสวนกล้วยไม้กับคุณอานะพี่ซี”

ก้างชิ้นใหญ่เดินจากไปแล้วพร้อมกันเสียงเพลงที่ฮัมอยู่ในลำคอเบาๆ คราวนี้ก็เหลือเพียงแค่เขาและเธอสองคน กรกฎยืนส่งยิ้มให้คนที่ยังคงยืนเบิกตากว้างอยู่อย่างนั้น ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ

“ตาจะหลุดอยู่แล้ว ช็อคอะไรนักหนา” มือที่กำลังจะเอื้อมไปโยกศีรษะเล็กอย่างที่เคยทำต้องชะงักกลางอากาศ เมื่อนึกได้ถึงความเหมาะสม ยิ่งมาอยู่ในบ้านหญิงสาวแบบนี้คงดูไม่เหมาะเท่าไหร่

“ตกลงคุณมาได้ยังไง... ห้าม! ตอบว่านั่งเครื่องมา ขับรถมา หรือนั่งเรือมา เอาสาระที่มันเป็นสาระจริงๆ นะขอล่ะ” คนมาปรากฎตัวแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยกลั้นหัวเราะ นึกสภาพตัวเองว่าถ้านั่งเรือมา ป่านนี้เขาคงวนอยู่ตรงแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่เป็นแน่ ในเมื่อบ้านของเธอไกลขนาดนี้

“มาตามหาเนื้อคู่”

แหวะ... นฤมลทำหน้าปุเลี่ยน ร้องอี๋เบาๆ กับคำพูดที่ออกจากปากชายหนุ่ม ถ้าจะเลี่ยนขนาดนี้ เอากระโถนมาให้เธออ้วกเลยดีกว่า

“สร้อยข้อมือ...” กรกฎพูดเพียงเท่านั้น คนมีชนักติดหลังอยู่รีบซ่อนข้อมือตัวเองที่มีสร้อยข้อมือของเขาติดอยู่ไว้ด้านหลัง ราวกับทำแค่นั้นแล้วเขาจะไม่รู้ว่าเธอใส่มัน...

ตั้งแต่ได้มันมาเธอไม่เคยให้มันห่างจากตัวเธอเลย ยกเว้นแค่ตอนอาบน้ำเท่านั้น

เจ้าของสร้อยข้อมือเส้นเล็กยกมุมปากขึ้นอย่างถูกใจ ใครว่านฤมลไม่มีใจให้เขา เขาไม่สนใจแล้ว สิ่งที่เขาเห็นตอนนี้สำคัญที่สุดต่างหาก กรกฎนึกใจชื้นที่อย่างน้อยกำแพงที่เขาต้องทุบต่อก็คงไม่ได้หนามากเท่าไหร่ หากเทียบกับที่ต้องปีนขึ้นไป

“คุณใส่แบบนี้ทุกวันเลยเหรอ” คนถูกถามเลิกคิ้ว ไม่เข้าใจในสิ่งที่คนตรงหน้าถาม “ผมหมายถึงสร้อยข้อมือน่ะ”

“ออกไปเดินเล่นหน้าบ้านกันดีกว่า ในบ้านมันร้อน”

นฤมลกระพือเสื้อยืดตัวเองให้สมจริงยิ่งขึ้น ไม่รู้เหมือนกันว่าร้อนเพราะอากาศหรือร้อนเพราะคำถามจากคนที่ยืนตรงหน้ากันแน่ ในความคิดรีบหาเรื่องเปลี่ยนเพื่อเลี่ยงตอบคำถามของเขา

“กับข้าวเสร็จแล้วนะลูก ไปตามพ่อมาทานข้าวไป” คุณลำดวนตะโกนออกมาทางหน้าบ้าน “ชวนเพื่อนมาทานด้วยนะมล”

นฤมลมองคนที่ยืนฉีกยิ้มอยู่ ตานี่กลายเป็นเพื่อนเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ “เดี๋ยวเขาก็กลับแล้วจ้ะแม่”

“รบกวนด้วยนะครับคุณน้า” กรกฎตะโกนสวนกลับไป แถมยังยักคิ้วให้เธอราวกับเป็นผู้ชนะ ทำเอาคนพยายามจะไล่ยืนเคี้ยวฟันอย่างทำอะไรไม่ได้


ธนิตาลูกศิษย์สุดที่รักของเธอคุยกับท่านประธานของบ้านอย่างออกรสออกชาติ เรื่องที่คุยกันก็คงไม่พ้นเรื่องกล้วยไม้ และดูเหมือนพ่อเธอจะชอบเด็กสาวมากเสียด้วย เสียงเล็กๆ ของธนิตาทำให้ที่บ้านเธอเอ็นดูได้ไม่ยาก อีกทั้งเด็กสาวเป็นคนที่เข้าหาผู้ใหญ่เก่งอยู่แล้ว ทำให้ผู้ใหญ่ในบ้านทั้งสองเอ็นดูยิ่งกว่าลูกตัวเองด้วยซ้ำ นฤมลยิ้มเมื่อเห็นพ่อของเธอหัวเราะเสียงดังอยู่กับธนิตา พ่อเธอไม่ใช่คนหัวเราะยากอะไร แต่ก็ไม่ได้ยิ้มแย้มกับทุกคน

แม้ว่าคุณสนองจะยิ้มกับธนิตามากแค่ไหน แต่กับพี่ชายเด็กสาวที่เธอบอกว่าเป็นเพื่อนเธอ พ่อกลับไม่มีรอยยิ้มให้สักนิด ทั้งที่เวลาเพื่อนเธอมาที่บ้าน พ่อจะเป็นคนต้อนรับขับสู้อย่างดี

แต่กรกฎกลับไม่ได้รับสิทธ์นั้น...

“คุณ มาบ้านคนอื่นนานแล้วนะ ไม่กลับไปพักบ้างหรือไง” คนโดนไล่ยิ้ม หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จกรกฎยังคงเลือกที่จะนั่งมองหน้าคนที่ไม่ได้เจอกันเกือบเดือน กว่าเขาจะเคลียร์งานทั้งหมดเสร็จ แล้วต่อรองพ่อกับแม่ขอขึ้นมาหาน้องสาวหนึ่งเดือนก็แทบหืดขึ้นคอ กว่าท่านบุพการีทั้งสองจะยอมเขาต้องยื่นไม้ตายว่ามาหาลูกสะใภ้ให้ทั้งคู่ เพราะเห็นคุณอรทัยพูดนักพูดหนาว่าอยากได้คนไหนเป็นลูกสะใภ้

เขาตั้งใจไว้แล้วว่าจากนี้ไปจนหนึ่งเดือน เขาต้องทุบกำแพงที่ปิดกั้นเธออยู่ให้แตกละเอียด เขาไม่สนด้วยซ้ำว่าเธอจะมีอดีตอะไรที่ไม่อยากบอก เขาขอแค่เธอพร้อมยอมรับเขาเท่านั้นก็พอ

“กลับก่อนก็ได้” เธอเกือบจะยิ้มกว้างอยู่แล้วเชียว ถ้าไม่ได้ประโยคถัดมา “เดี๋ยวพรุ่งนี้มาใหม่ คุณไปทำงานกี่โมง”

“มันเรื่องของฉัน รีบๆ กลับไปเลย ฉันจะได้ปิดบ้าน”

ว่าเสร็จปากเธอก็โดนห้านิ้วพิฆาตมารจากคุณลำดวน ตีลงที่ปากเธอเต็มๆ นฤมลไม่แม้แต่จะสามารถร้องเสียงแห่งความเจ็บปวดออกมาได้

“พูดดีๆ กับเพื่อนไม่ได้หรือไงมล”

“แม่!” คนโดนตีปากเอ่ยเสียงเขียว หน้างอเป็นจวักอย่างที่บุคคลภายนอกไม่เคยเห็น นี่เป็นอีกหนึ่งนิสัยเสียของเธอที่ทำเฉพาะเวลาอยู่ในครอบครัวเท่านั้น

แล้วทำไมแม่จะต้องเห็นคนอื่นดีกว่าลูกสาวตัวเองแบบนี้ด้วยนะ

“จะคุยอะไรกันก็เชิญ มลขึ้นไปนอนแล้วนะ”

ว่าแล้วคนโดยแม่ตีให้ได้อายก็ถึงคราวงอน เดินเข้าไปหมกตัวอยู่ในห้องตัวเอง แทนที่จะอยู่คุยกับแขก งานนี้คนโดนเต็มๆ คือกรกฎอย่างไม่ต้องสงสัย

“อย่าไปถือสาลูกสาวน้าเลยนะจ๊ะ ลูกสาวคนเล็กน่ะ เลยนิสัยเสียไปหน่อย”

“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณน้า”

“ใช่ค่ะ พี่ซีเขาไม่ถือหรอกค่ะคุณน้า พี่หนูเค้าชอบ” คนเป็นน้องสาวว่าแล้วหัวเราะพี่ชายที่นั่งส่งสายตาอาฆาตอยู่ไกลๆ

“อ้าว นี่จีบลูกสาวน้าหรือจ๊ะ”

“เอ่อ...” ถึงกับติดอ่าง กรกฎเหล่ตามองคนที่นั่งอยู่กับน้องสาว นี่ถ้าเจ้าของบ้านลุกขึ้นหยิบปืนเมื่อไหร่เขาจะวิ่งให้ไวเลย ถึงจะเสียฟอร์มอยู่โขก็เถอะ แต่นับว่ายังโชคดีที่คนเป็นพ่อไม่มีทีท่าจะหวงลูกสาวอย่างที่ชายหนุ่มนึกกว่า เขาถอนหายใจเล็กๆ ก่อนจะกลับมาเผชิญหน้ากับคนตั้งคำถาม “ก็อยากอยู่ครับ ถ้าคุณน้ากับคุณอาจะกรุณา...”

“โอ๊ย น้าสองคนจะว่าอะไรล่ะจ๊ะ จีบเถอะจ้ะ น้าล่ะกลัวมันจะขึ้นคาน”

อ้าว?... คราวนี้หน้าของกรกฎเหวอเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะออกมาเมื่อรู้เหตุผล ก็สมควรอยู่หรอกที่แม่ของหญิงสาวจะกลัว ในเมื่อนิสัยเหมือนผู้ชายซะขนาดนั้น

“แม่ก็พูดไปเรื่อย ลูกสาวพ่อขึ้นคานที่ไหน ถึงขึ้นคานพ่อก็เลี้ยงได้ ไม่เห็นต้องให้ไอ้หน้าไหนมันมาจีบ”

“หรือพี่ไม่กลัวเหมือนฉัน บอกมาตรงๆ” พ่อสนองกระแอมเล็กน้อย เหล่ตามองคนที่กล้าบุกมาจีบลูกสาวเขาถึงในบ้านต่อหน้าต่อตา แถมยังร่วมโต๊ะกินข้าวเย็นกันอย่างที่นึกว่าเป็นแค่เพื่อนลูกสาวอีกต่างหาก

“ก็บอกแล้วไงว่าเลี้ยงได้”

“เอ่อ...ผมว่าผมกลับก่อนดีกว่าครับ”

ก่อนสงครามจะลุกลามใหญ่โตไปมากกว่านี้ กรกฎรีบหาทาง ‘ชิ่ง’ เพื่อความปลอดภัยของตนเองก่อน ในเมื่ออยากมาที่บ้านหลังนี้อีก เขาจึงต้องรู้สึกสัมมาคารวะและอ่อนน้อมกว่าปกติ คุณลำดวน คุณนายของบ้านก็ดีใจหาย รีบเดินออกมาส่งชายหนุ่มจนเกือบถึงรถโดยมีธนิตาน้องสาวเขาเดินตามหลังมากับคุณสนอง

“ขับรถกลับดีๆ นะลูก น้าได้ยินว่าพรุ่งนี้จะมารับมลหรือจ๊ะ”

“ครับ เอ่อ... ผมหมายถึงว่าผมมารับได้ไหมครับ” สายตาของเขาไม่เพียงแต่ส่งให้คนเป็นแม่ของหญิงสาว แต่กลับส่งให้คนเป็นพ่อของเธอราวกับจะขอความเห็นด้วย แต่คำตอบที่ได้กลับเป็นคุณนายของบ้านตอบเสียเอง อย่างละเอียดถี่ถ้วน


นฤมลตื่นแต่เช้าด้วยเสียงนาฬิกาปลุดที่แผดร้องอยู่ข้างเตียง ขอบตาคล้ำนั้นบอกได้ดี ว่ามีเรื่องเกิดขึ้นเมื่อคืนคอยทำให้นอนพลิกไปพลิกมาไม่ยอมหลับเสียที หญิงสาวไม่อยากกล่าวโทษใคร แต่คงเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อหลับตาเมื่อไหร่ภาพใบหน้าของคนที่มาเซอร์ไพรส์เธอก็ลอยมาทุกที ทำให้กว่าจะหลับได้ก็ปาเข้าไปตีสาม

หญิงสาวชะงักเท้าที่กำลังจะเดินเข้าไปในครัวอย่างเช่นทุกวัน เธอได้ยินเสียงหัวเราะแปลกหูดังลอยมา และต้องขมวดคิ้วมากขึ้นเมื่อเสียงที่ได้ยินเริ่มคุ้นหูมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนเสียงที่เธอเพิ่งได้ยินเมื่อวาน

คำตอบที่เธอได้นั้นไม่คลาดเคลื่อนเลยแม้แต่น้อย นฤมลยืนกอดอกสะโพกเท้าโต๊ะตัวเล็กกลางห้องครัว เห็นคนที่ทำให้เธอนอนไม่หลับเมื่อคืนแล้วถึงกลับต้องชักสีหน้าเอาเรื่องอย่างที่คนอื่นไม่มีทางทราบสาเหตุ

“มาทำไม” เสียงห้าวของลูกสาวเจ้าของบ้านถาม ทำเอาคนเป็นแม่นึกอยากเดินเข้าไปตีปากอย่างที่เคยทำ เวลาลูกสาวทำตัวไม่น่ารัก แต่ติดอยู่ที่ตอนนี้กำลังถือตะหลิวทอดหมูในกระทะอยู่ เลยไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากส่งเสียงปรามเข้มๆ

“มล ไม่น่ารักเลย พี่เขามีน้ำใจมารับลูกไปทำงาน ทำไมพูดจาแบบนั้น” นฤมลเลิกคิ้วมองหน้าแม่ แปลกใจที่จู่ๆ สรรพนามของกรกฎเปลี่ยนไปจากเดิม อยู่ๆ เธอก็มีพี่ชายเพิ่มมาอีกคน อย่างไม่ยินยอมเสียด้วย คราวนี้หญิงสาวชักเริ่มเหวี่ยงสะเปะสะปะไปทั่ว แล้วมาหยุดอยู่ตรงที่คนที่กลายเป็นพี่เธอ แถมยังเป็นต้นเรื่องให้แม่ดุเธอด้วย

“ก็มลไม่ได้ขอนี่แม่ รถมลก็มีขับไปเองอยู่ทุกวัน จะมารับทำไม”

“พ่อแกเอารถออกไปตั้งแต่เช้า จะกลับมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ให้พี่เค้าไปส่งน่ะดีแล้ว ไม่อย่างนั้นจะไปทำงานสายเอานะ”

คนที่อยู่ๆ ถูกยึดรถพยายามอย่างเต็มความสามารถที่จะไม่อ้าปากค้างกับความมัดมือชกของทั้งบ้านเธอ นี่ถือว่าทำกันเป็นกระบวนการเลยนะ ทำไมถึงไม่มีใครเข้าข้างเธอเลยสักคน

“พ่อก็รู้ว่ามลต้องใช้รถ ทำไมถึงเอาไปไม่บอกมลแบบนี้ล่ะแม่” คนเป็นแม่ปล่อยให้คำถามลูกสาวลอยอยู่ในความเงียบ หันมาสนใจสิ่งที่อยู่ในกระทะต่อ ถือโอกาสให้สองหนุ่มสาวยืนมองหน้ากัน แต่สิ่งที่คุณลำดวนไม่รู้ก็คือคนที่มองราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ส่วนอีกคนก็เอาแต่ยิ้ม ส่งสายตาพราวระยิบมาให้หญิงสาวที่ยืนอยู่ไม่ยอมนั่ง

“มลไปทำงานก่อนนะแม่ เดี๋ยวเอามอ’ไซด์ไปแทนก็ได้”

“ไม่กินข้าวก่อนหรือมล”

“ไม่ค่ะ กินไม่ลง” สามคำสุดท้ายที่หญิงสาวเน้นพร้อมกับหันมาถลึงตาใส่กรกฎที่นั่งหัวเราะอยู่ แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อคนเป็นแม่รั้งไว้

“เดี๋ยวมล เอามอ’ไซด์ไปไม่ได้นะ เดี๋ยวแม่ต้องไปบ้านคุณนายสมร” คนถูกรั้งกลอกตาขึ้นมองเพดาน นี่พยายามจะให้เธอไปกับอีตานี่ให้ได้เลยสินะ

สองแม่ลูกเถียงกันอยู่เกือบสิบนาที แค่เรื่องที่ว่านฤมลต้องให้พี่คนละสายเลือดไปส่ง เพื่อที่คนเป็นแม่จะได้ขี่มอเตอร์ไซด์ไปหาเพื่อนได้ เพราะนัดกันคุยเรื่องแชร์ไว้ ส่วนคนเป็นลูกก็ยืนยันหัวชนฝาลูกเดียวว่าให้แม่รอพ่อกับมาแล้วค่อยให้พ่อไปส่งก็ยังได้ ในเมื่อทั้งคู่ต่างก็เกษียณอายุกันมาพักหนึ่งแล้ว

ในที่สุดเธอก็แพ้... นฤมลนั่งอยู่ในรถกรกฎหน้ามุ่ย วางกระเป๋าตัวเองไว้บนตักพร้อมกับนั่งกอดอกนิ่งไม่ขยับเขยื้อน จนเจ้าของรถที่มองอยู่ต้องหัวเราะเบาๆ ในลำคอ นึกขำเธอที่ทำไว้ท่าเหมือนกับตอนเจอกันครั้งแรก แต่เขารู้... ข้างในของเธอไม่เหมือนเดิมแล้วแน่นอน สายตาคมเหลือบมองข้อมือขาวอีกครั้งแล้วลอบยิ้มมุมปาก ถึงจะปากร้าย ปากแข็งยังไง แต่อย่างน้อยเธอก็ยังไม่ยอมทิ้งสร้อยข้อมือที่เขาให้อยู่ดี

แบบนี้มันน่ารักน้อยซะที่ไหนล่ะ!

นฤมลสะดุ้งเฮือก พยายามถอยหลังหลบชายหนุ่มที่เอี้ยวตัวมาราวกับกำลังคร่อมเธอไว้ คนที่หลังพิงเบาะอยู่แล้วเลยต้องดันตัวเองให้ติดเบาะเข้าไปอีก แม้รู้ว่ามันถอยมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้วก็ตาม ใบหน้าเข้มของเจ้าของรถยังคงก้มลงมองที่ตาเธอราวกับสะกดจิตจนเธอต้องกลั้นลมหายใจเอาไว้ ไหนจะใจที่เต้นไม่เป็นระส่ำที่เธอกลัวเหลือเกินว่าเขาจะได้ยินเสียงเต้นของมัน แต่ทุกอย่างกลับหยุดอยู่แค่นั้น กรกฎเอื้อมมือผ่านหน้าเธอไปจนเธอต้องหลับตาปี๋ ก่อนจะรู้สึกตัวอีกทีเมื่อได้ยินเสียงกริ๊กดังขึ้นท่ามกลางความเงียบภายในรถ

“อย่าลืมคาดเข็มขัดสิ มันอันตรายรู้ไหม” ว่าเสร็จชายหนุ่มก็กลับไปนั่งที่เดิน ทำหน้าที่ขับรถด้วยรอยยิ้มกว้าง นึกสนุกที่ได้ปั่นหัวคนที่นั่งข้างๆ ต่างกับอีกคนที่โดนแกล้ง นฤมลกักเสียงกรี๊ดตัวเองไว้ให้อยู่แต่ในลำคอ นึกอยากตะโกนใส่หูคนขับรถพาเธอไปมหาวิทยาลัยอยู่เหมือนกัน แต่ก็ต้องอดทนไปก่อนเพราะตอนนี้รถที่เธอนั่งอยู่ออกตัวมุ่งหน้าสู่มหาวิทยาลัยแล้ว เธอเกรงว่าหากทำอย่างนั้นเธอ เธอกับเขาคงได้ไปโรงพยาบาลก่อนถึงมหาวิทยาลัยเป็นแน่

“สบายดีไหม” กรกฎเป็นคนเปิดปากพูดก่อน เมื่อเห็นว่าคนนั่งข้างๆ นิ่งเสียจนเขานึกว่ากลายเป็นหินไปเสียแล้ว

“ตกลงคุณมาทำอะไรที่นี่ ต้องการอะไร”

แทนที่นฤมลจะตอบคำถามที่ชายหนุ่มถาม แต่หญิงสาวกลับถามคำถามกลับอย่างคนที่ต้องการรู้จริงๆ สายตาของเธอถึงแม้ยังจ้องอยู่ที่บนถนนข้างหน้าราวกับไม่ได้สนใจอะไรในตัวเขามากนัก แต่เขารู้ รู้ดีว่าเขามีอิทธิพลกับเธอไม่มากก็น้อย อย่างที่เห็นเมื่อครู่ตอนเขาคาดเข็มขัดนิรภัยให้เธอ

“ผมบอกคุณไปตั้งแต่ตอนที่อยู่บนเกาะแล้วนะ ว่าผมอยากรู้จักคุณมากขึ้นและมากขึ้น”

“แต่...”

“ถึงคุณจะพูดยังไงก็ช่าง ผมรู้ว่าตอนนี้ใจคุณมีใครบางคนอยู่ข้างใน แต่อย่างน้อยให้ผมได้พิสูจน์ ขอเวลาผมพิสูจน์สักหน่อยได้ไหม ผมบอกได้เลยว่าผมไม่เคยทำแบบนี้กับใครที่ไหน คุณเพียงแค่ทำตัวปกติคอยดูผมก็พอ”

นฤมลพูดไม่ออก... หญิงสาวบีบมือตัวเองแน่น ทำไมผู้ชายคนนี้ต้องทำถึงขนาดนี้ด้วย ทั้งที่เธอเคยบอกเขาไปแล้วว่าไม่พร้อม แต่ดูเหมือนคำนั้นจะไม่ทำให้เขาพยายามน้อยลง แต่มันกลับมากขึ้นทุกที มากขึ้นจนเธอเองก็กลัว

หญิงสาวไม่ได้พูดอะไรออกไปอีกเลยจนกระทั่งรถของกรกฎจอดที่ลานจอดรถของคณะที่เธอเป็นอาจารย์ประจำอยู่ เธอบอกขอบคุณเขาเบาๆ ก่อนจะรีบเปิดประตูลงจากรถ ก่อนที่ความรู้สึกของเธอจะหวั่นไหวไปมากกว่านี้... เอาเถอะ ถ้าเพื่อนเธออยู่ตรงนี้ ไอ้สามตัวนั่นคงถามเธอเป็นเสียงเดียวกันว่านี่ยังไม่เรียกว่าหวั่นไหวอีกเหรอ


ดอกเตอร์หนุ่มขมวดคิ้วเมื่อเห็นร่างของคนที่ตนพึงใจลงมาจากรถคันหนึ่งที่ไม่คุ้นตา ฟิล์มที่ติดกระจกรถไม่ทึบมากนักทำให้เขามองเห็นคนขับ ถึงแม้เห็นหน้าไม่ชัดเจน แต่เขาก็รู้ได้ทันทีว่าคนที่ขับมาส่งเธอ... เป็นผู้ชาย! สมศักดิ์กัดกรามดังกรอด นึกเจ็บใจตัวเองนัก เพราะถึงแม้ว่าเขาจะรู้จักนฤมลมานานแค่ไหน แต่หญิงสาวก็ยังคงไว้ท่าไม่ยอมไปไหนมาไหนกับเขาหากออกนอกพื้นที่มหาวิทยาลัย แต่กับผู้ชายคนนี้ที่เขาไม่รู้ว่ามันเป็นใครมาจากไหน เธอกลับยอมให้มันมาส่ง คราวนี้เขาต้องรู้ให้ได้

ไอ้หมอนั่นมันเป็นใคร!

“อ้าว ดอกเตอร์ สวัสดีค่ะ” เสียงทักของนฤมลทำให้คนเป็นดอกเตอร์หลุดออกจากความคิดที่พุ่งไปยังชายหนุ่มที่เพิ่งขับรถออกไป “มานานหรือยังคะ”

“พึ่งมาถึงไม่นานนี่เองครับ วันนี้ดูอาจารย์มาสายกว่าปกตินะครับ”

นฤมลยิ้มแหยกับคำทักของคนตรงหน้า ซ้ำยังนึกคาดโทษไปยังคนที่ทำให้เธอมาเกือบไม่ทัน การขับรถด้วยความเร็วที่รถจักรยานปั่นเร็วๆ สามารถแซงได้นั้น ทำเอาหญิงสาวนึกฉุน อยากจะโวยวายในรถให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็กลัวจะมีเหตุการณ์เหมือนตอนออกจากบ้านอีก

“พอดีรถที่บ้านพ่อเอาไปใช้น่ะค่ะ เลยต้องให้เพื่อนมาส่ง”

คำว่าเพื่อนยังพอทำให้สมศักดิ์พอใจขึ้นมาได้บ้าง นฤมลคงยังไม่มีใครจับจองจริงๆ อย่างนั้นแล้วเขาก็ยังพอมีหวังขึ้นมาบ้าง ดอกเตอร์หนุ่มมองไปข้างหน้าอย่างหมายมาด ความมั่นใจเริ่มกลับมาอีกครั้ง

“เที่ยงนี้อาจารย์ทานข้าวกลางวันด้วยกันไหมครับ” หญิงสาวนิ่งคิดก่อนจะตอบแบ่งรับแบ่งสู้ไว้ก่อน ด้วยไม่อยากนั่งกินข้าวกับสมศักดิ์เพียงสองคน หากมีเพื่อนเธอไปด้วยคงจะดีกว่า คำตอบนั้นทำให้ดอกเตอร์หนุ่มต้องก้มหน้ายอมรับแต่ปากก็ยังคงบอกเธอว่าตอนเที่ยงเขาจะไปหาเธอที่ห้องพักอาจารย์อีกหน


ใครจะนึกว่ากรกฎจะขยันขับรถขนาดนี้ นฤมลนั่งมองคนที่เพิ่งเดินเข้ามาให้ห้องพักอาจารย์ตาถลน สายตาอยากรู้อยากเห็นของอาจารย์คนอื่นเริ่มเมียงมองมาที่เธออย่างเงียบๆ เมื่อเห็นว่าเขาเดินมุ่งตรงมาที่เธอ ชายหนุ่มขยับยิ้มมุมปากก่อนจะหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะ

“ไปกินข้าวเที่ยงกัน” คำถามที่คนฟังนึกรู้ หญิงสาวถอนหายใจเบาๆ กับประโยคที่ฟังดูเหมือนจะเป็นคำถามนั้น ทั้งที่ความจริงเป็นคำสั่งของคนตรงหน้าอย่างร้ายกาจ นฤมลเงยมองหน้าคนออกคำสั่งด้วยแววตารั้น นึกอยากหาเรื่องปฏิเสธให้เขาเสียหน้าดูบ้าง หากก็ทำไม่ได้ เมื่อหญิงสาวเหลือบเห็นที่หน้าประตูว่ามีดอกเตอร์หนุ่มเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม สาวิตรีก็ไม่อยู่เสียด้วยสิ

นฤมลทำหน้านึกอีกนิด ก่อนจะส่งรอยยิ้มให้กรกฎที่ยืนอยู่ ทำเอาชายหนุ่มเสียวขนลุกวูบ “ไปสิคะ ทานที่ไหนดี”

ยิ่งเสียงอ่อนหวานที่ส่งออกจากริมฝีปากบางด้วยแล้ว ทำเอากรกฎชักทำหน้าไม่ถูก ชายหนุ่มขยับเข้าไปใกล้หญิงสาวอีกนิด ทั้งๆ ที่ยังมีโต๊ะตัวใหญ่กั้นเขาและเธออยู่ “มีอะไรหรือเปล่าคุณ พูดแบบนี้ผมขนลุก”

“ไม่มีอะไรหรอกน่า คุณเฉยๆ ไว้นะ” เธอกระซิบบอกแค่นั้น หากก็ยังไม่ทำให้ข้อสงสัยของกรกฎกระจ่างเลยสักนิด นฤมล ‘กวาด’ ของใช้จำเป็นที่ต้องพกลงกระเป๋า ก่อนจะรีบออกไปยืนอยู่ข้างชายหนุ่มที่ยังคงยืนขมวดคิ้วมองอยู่

“อ้าวดอกเตอร์” เสียงทักอย่างที่กรกฎไม่เคยได้รับจากเธอคนนี้ยิ่งทำให้คิ้วเขาขมวดมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว และเมื่อเห็น ‘ดอกเตอร์’ ที่นฤมลทักทายแล้ว ทำเอาเขาต้องหรี่ตามองคนทื่ยืนอยู่ข้างๆ

ยัยอาจารย์นี่ร้ายชะมัด นึกอยากให้เขาเป็นไม้กันหมาล่ะสิ ชายหนุ่มก้มลงกระซิบข้างหูนฤมลด้วยเสียงที่ได้ยินเพียงแค่สองคน “คุณจะทำอะไร”

แต่ใครจะรู้ว่าภาพนั้นทำให้คนทั้งห้องคิดไปไกลแล้วว่าสองคนมีอะไรพิเศษต่อกัน โดยเฉพาะสมศักดิ์ที่ยืนอ้าปากค้าง เบิกตากว้าง... อาการนั้นทำให้นฤมลแอบก้มหน้าอมยิ้มถูกใจกับอาการนั้นยิ่งนัก

“อะ อาจารย์” สมศักดิ์พูดติดๆ ขัดๆ ช็อคกับภาพตรงหน้าอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งที่มั่นใจเต็มร้อยว่าหญิงสาวยังไม่มีใคร แต่ชายหนุ่มหน้าตาคมเข้ม ร่างสูง ตรงหน้ากลับบอกได้ดี “ผะ ผมจะมาชวนอาจารย์ไปทานข้าวเที่ยง”

“โอ๊ยตายแล้ว ต้องขอโทษด้วยนะคะดอกเตอร์ พอดีมลมีธุระน่ะค่ะ คงไปทานกับดอกเตอร์ไม่ได้แล้ว” คนมีธุระขึ้นมากระทันหันยังคงยิ้มเยื้อนให้กับดอกเตอร์หนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างจริงใจ ก่อนจะขอตัวกับสมศักดิ์พร้อมลากคนตัวใหญ่ที่ยืนข้างๆ ตามมาด้วย

เธอไม่รู้ว่าหลังจากเธอออกมาจากห้องพักอาจารย์แล้ว อาจารย์ที่เหลือและดอกเตอร์อีกหนึ่งคนจะมีอาการอย่างไรบ้างกับชายหนุ่มที่จู่ๆ ก็โผล่มาอย่างที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน นฤมลเดินหัวเราะเบาๆ คิดภาพตามแล้วรู้สึกสนุกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

“ผมกับคุณมีธุระตั้งแต่เมื่อไหร่”

คำถามของชายหนุ่มทำให้เธอต้องหยุดเดินก่อนจะถึงตัวรถของเขาเพียงไม่กี่เมตร นฤมลหยุดเดินมองหน้าคนถามเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยปาก “ปลดล็อครถสิ”

แต่กลับตรงกันข้ามกับที่ชายหนุ่มต้องการ

คำตอบเฉไฉนั้น ทำเอากรกฎหลุดหัวเราะพรืดออกมาอย่างห้ามไม่ได้ หน้าตาที่ดูไม่สนใจอะไร อีกทั้งการเลี่ยงตอบคำถามด้วยเรื่องอื่นนี่มันช่างน่าหมั่นไส้จริงๆ ชายหนุ่มมองหน้าหญิงสาวสายตายิ้มๆ แล้วยื่นมือออกไปบิดแก้มเธอเบาๆ ด้วยความเอ็นดู

“อีกแล้วนะ ตอบไม่ตรงคำถามแบบนี้ เดี๋ยวจับกินเลยดีไหม”

คนกำลังจะโดนจับกินไม่มีท่าทีเกรงกลัวเลยสักนิด เธอยกไหล่ขึ้นเป็นท่าทีที่กรกฎลงความเห็นได้เลยว่ามันกวนสุดๆ นี่ถ้าเธอเป็นน้องสาวเขา นฤมลคงโดนมะเหงกลูกใหญ่แน่นอน

“เอาผมมาเป็นไม้กันหมาแบบนี้ ผมคิดค่าจ้างนะคุณ” กรกฎท้วงเบาๆ กลั้วหัวเราะ หากแต่ก็กดปลดล็อคให้หญิงสาวเข้าไปนั่งรอในรถ เมื่อเห็นว่าถามไปก็คงไม่ได้คำตอบอะไรกลับมา ชายหนุ่มจึงได้แต่ส่ายศีรษะระอาเดินไปเปิดประตูด้านคนขับ ตำแหน่งประจำของเขา


“อ้าว ซีลูก มาแล้วหรือ มากินข้าวเช้าด้วยกันก่อนมา” กรกฎเดินเข้าไปตัวบ้านของนฤมลอย่างคุ้นเคย มีคุณลำดวนต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี ส่วนคุณสนองแม้จะนิ่งเหมือนเคย แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรที่เขาเดินเข้าเดินออกบ้านหลังนี้เป็นว่าเล่น พอที่จะทำให้ใจชื้นได้บ้างว่าผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวบ้านนี้อนุญาตแล้ว... แม้ว่าจะอย่างเงียบๆ ล่ะนะ

“สวัสดีครับ คุณอา คุณน้า มลล่ะครับ”

“ยังไม่ลงมาเลยลูก ไม่รู้ว่าตื่นหรือยังด้วยสิ ซีลองขึ้นไป...” ยังไม่ทันที่คุณลำดวนจะพูดให้จบประโยค เสียงกระแอมจากคนที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่เงียบๆ เมื่อครู่ก็ดังขึ้นเป็นเชิงปรามเสียก่อน

คุณสนองเหล่ตามองดูภรรยาที่ดูจะสนับสนุนลูกชายคนอื่นจนออกนอกหน้าจนเกินงาม นี่ถ้าเขาฟังไม่ผิดเมียเขาต้องให้ไอ้หนุ่มนั่นขึ้นไปดูลูกสาวเป็นแน่

“เดี๋ยวพ่อขึ้นไปดูเอง แม่ไปทำข้าวเช้าต่อเถอะ” ว่าแล้วคนเป็นพ่อก็วางหนังสือพิมพ์ลงข้างตัวแล้ว ลุกขึ้นจะไปปลุกลูกสาวแต่ยังไม่ทันก้าวไปไหน เขาก็เห็นร่างของลูกสาวเดินลงมาเสียก่อน

วันนี้ลูกสาวเขาลงมาพร้อมกับชุดเดรสกระโปรงสั้นสีหวานเหมาะสำหรับไปทำงาน พร้อมกับสูทคลุมทับเพื่อให้ดูเรียบร้อย คุณสนองกระแอมอยู่สองสามที เรียกสติชายหนุ่มที่กำลังยืนนิ่ง มองคนที่เดินมาตาค้าง

“พ่อกับแม่ก็นึกว่ายังไม่ตื่นนะมล ตื่นสายหรือลูก” คนเป็นพ่อเดินไปโอบไหล่ลูกสาว “แล้ววันนี้มีอะไรพิเศษหรือเปล่า แต่งตัวซะสวยเชียว ผีเข้าหรือไง”

“โธ่ หมดกัน พ่อก็” คนแต่งตัวสวยไม่บ่อยนักอุทรณ์คนเป็นพ่อเสียงหมดแรง อุตส่าห์ลงทุนตื่นเช้าลุกขึ้นมานั่งแต่หน้า แต่พอคนเป็นพ่อพูดทีทำเอาถึงกับหมดกำลังใจกันไปเลย “ชุดนี้มลซื้อไว้นานแล้วแต่ไม่ได้ใส่ซักที เลยเอามาใส่ก่อนมันเก่า” ปากก็ตอบคนเป็นพ่อ แต่หากตาของนฤมลกลับกำลังเหล่มองอีกคนที่ยืนอยู่ กรกฎยังคงยืนนิ่งเป็นหินอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน จนหญิงสาวต้องหัวเราะออก “ไง ตะลึงเลยเหรอคุณ ฉันสวยใช่ไหมล่ะ”

เจอคำถามนี้ไป กรกฎเลยต้องขยับตัวเล็กน้อยมองคนตรงหน้า ครั้นจะตอบว่าสวยตามที่เห็นก็กลัวว่าหญิงสาวจะได้ใจ ชายหนุ่มเลยปรับสีหน้าเล็กน้อยให้ดูผ่อนคลาย แล้วพูดอย่างที่รู้ว่าคนฟังต้องโมโห “ถามผมนี่ปรึกษาใครหรือยัง”

ปากกกกกกกกก... นฤมลถลึงตามองคนแขวะ จนกรกฎนึกกลัวว่าตาเล็กๆ นั้นจะหลุดออกมา หญิงสาววางกระเป๋าลงบนโซฟา กอดเอวพ่อไปที่โต๊ะกินข้าว พร้อมๆ กับที่ผู้เป็นแม่ยกอาหารมาวางไว้ที่โต๊ะครบเรียบร้อย

“กินข้าวกันดีกว่าลูก จะได้ไปทำงาน ซีก็มากินด้วยกันนะ”

“คุณซีเค้ากินมาแล้วหรือเปล่าแม่ อย่าชวนให้เสียเวลาเลย”

“หิวพอดีเลยครับคุณน้า นี่ผมหิ้วท้องรอกับข้าวคุณน้าตั้งแต่เมื่อคืนเลยนะครับเนี่ย” คนเป็นแขกทำท่าลูบท้องแสดงถึงความหิว ทำเอาคนเป็นลูกสาวหน้าเบ้ หมั่นไส้คนเล่นละครเก่ง

“มาๆ กินข้าวกัน มลตักข้าวให้พี่เขาสิ” นฤมลเหล่ตามองแม่ตัวเองอย่างนึกงอนอย่างพาลๆ ที่เห็นแม่ตัวเองดันเห็นลูกคนอื่นดีกว่า

“เค้าอยากกินก็ให้เค้าตักเองสิแม่ เดี๋ยวมลไปทำงานสาย” คนเป็นแม่เอื้อมมือมาบิดแขนสั่งสอนลูกสาวหมับใหญ่ นึกอยากบิดให้เนื้อเขียวไปเลย แต่ลูกสาวตัวดีกลับร้องโอดวิ่งไปหาพ่อเสียก่อนเลยทำได้แค่บิดเล็กๆ แล้วนั่งกินข้าวกันปกติ

กรกฎลอบยิ้ม นึกดีใจทุกครั้งที่มองไปที่ข้อมือของหญิงสาวเมื่อไหร่ก็เห็นสร้อยข้อมือที่เขาให้เธอไปทุกครั้ง ถ้าพูดแบบน้ำเน่าหน่อยก็ต้องบอกว่าเหมือนอยู่ใกล้เธอตลอดเวลา

แต่ดูจะเลี่ยนไป... นึกถึงตอนเจอกันครั้งแรกๆ ก็อดนึกขำขึ้นมาไม่ได้ ผู้หญิงอะไร ห้าวหาญอย่างกับผู้ชาย ขอให้ดื้อ ขอให้ได้รวนเถอะ ใครจะว่าอะไรก็ช่าง แค่ทำตามใจตัวเองก็พอ คงเป็นนิสัยลูกคนเล็กที่โดนพะเน้าพะนอมาตั้งแต่เด็ก แต่หากหลังจากนั้น กำแพงของเขาที่เคยตั้งไว้กับหญิงสาวก็ค่อยๆ ลดลงเรื่อยมาโดยที่เขาไม่รู้ตัว จนกลายเป็นเขาเองที่กำลังพยายามจะทุบกำแพงของเธอให้ทลายลงมาบ้าง และตอนนี้เขารู้สึกได้ว่า ความพยายามของเขากำลังจะประสบความสำเร็จ

รึเปล่านะ...

นฤมลมองหน้าคนที่ขมวดคิ้วกับพวงมาลัยแล้วนึกสงสัย ดีนะที่ตอนนี้รถกำลังติดไฟแดง เธอชักไม่แน่ใจแล้วในชีวิตของตนเองเสียแล้วว่าวันนี้จะถึงมหาวิทยาลัยอย่างปลอดภัยอย่างเช่นทุกวัน หากคนขับยังคงเอาสติไปไว้ที่อื่น มือขาวยกขึ้นสะกิดไปที่ไหล่คนขับป้าบใหญ่ ทำเอากรกฎหน้าคะมำ

“ขับรถไม่มีสติแบบนี้เดี๋ยวฉันก็ไปไม่ถึงมหา’ลัยหรอก” คนโดนตีซี้ดปากกับความมือหนักของคนนั่งข้างๆ ยกมือขวาขึ้นลูบป้อยๆ หวังจะบรรเทาอาการแสบได้บ้าง

“เรียกดีๆ ก็ได้ ทำไมต้องตีกันด้วย”

น้ำเสียงคล้ายตัดพ้อนั้นทำเอาคนตีพูดไม่ออก นฤมลอึกอักนึกกลัวว่ารอยที่เธอตีนั้นจะแดงมากไหม แต่ก็ต้องแกล้งทำใจแข็งเชิดหน้าขึ้น “ก็เล่นนั่งเหม่อแบบนั้น ดีนะที่รถติดไฟแดง ฉันก็เลยช่วยเรียกสติให้ก่อน ฉันยังไม่อยากตาย”

พอดีกับที่สัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว มือใหญ่ขยับเกียร์ไปที่ตัวดีแล้วมองไปข้างหน้า เลิกสนใจคนนั่งข้างสักพัก จนมาถึงที่หมาย แต่นฤมลกลับยังคงออกจากรถไม่ได้ เมื่อมีมือใหญ่มาคว้าแขนรั้งเธอไว้ก่อน หญิงสาวมองมือนั้นไล่ขึ้นไปจนเห็นหน้าของคนจับ เธอไม่อาจปฏิเสธได้ว่าความจริงใจที่ชายหนุ่มส่งผ่านสายตามานั้นทำให้เธอหวั่นไหวได้ไม่ยาก

“มะ มีอะไรคุณ”

“ถึงผมจะปากเสียไปบ้าง นิสัยไม่ดีอยู่หน่อยๆ แต่ขอให้รู้ไว้ ผมไม่ปล่อยให้คุณเป็นอันตรายหรอก และจะดูแลคุณให้ดีที่สุดด้วย ผมสัญญา”

“เฮ้ย ผีเข้าหรือไงคุณ หรือว่าไม่สบาย ตัวร้อนหรือเปล่า” คนถูกบอกรักอ้อมๆ ยกมือขึ้นแตะหน้าผากคนให้คำสัญญาแก้เขิน ไม่อยากยอมรับกับตัวเองเลยว่าใจของเธอชักจะโน้มไปที่ผู้ชายคนนี้มากกว่าครึ่งแล้ว

อยากชักมือที่ทำท่าวัดไข้ราวกับตนเองเป็นหมอนั้นกลับจะแย่ แต่คนแก้มแดงกลับทำไม่ได้อย่างใจคิด เมื่อมือที่ว่างอยู่อีกข้างของกรกฎเอื้อมจับไว้แน่นและไม่ยอมปล่อยแม้ว่าเธอจะดึงแรงแค่ไหน

“จริงจังแป๊บนึงได้ไหม หนูมล” คำวอนที่เรียกเธอว่า ‘หนูมล’ ดูเหมือนจะทำให้เธอหยุดนิ่งทุกอย่าง เธอรู้สึกได้ว่าเลือดที่ไหลเวียนอยู่รอบกายตอนนี้กำลังพร้อมใจกันไหลมารวมอยู่ที่หน้า “แน่ะ เขินล่ะสิ”

นั่นไง บอกให้เธอจริงจัง มันน่าเอานิ้วจิ้มตาให้มองไม่เห็นไปเลย! นฤมลหลบสายตาพราว ก้มลงมองข้างล่างแทนที่จะสู้สายตาของชายหนุ่ม พูดอ้อมแอ้มแทบไม่ได้ยินเสียง “จะพูดอะไรก็พูดสิ”

กรกฎขยับยิ้ม นึกเอ็นดูคนตรงหน้าเต็มขั้น ชายหนุ่มขยับเข้าใกล้นฤมลอีกนิดจนหญิงสาวรู้สึกถึงลมหายใจที่เป่ารดอยู่ริมหู เสียงกระซิบแผ่วเบานั้นทำเอาใจเธอหลุดลอยไปไกล รู้สึกตัวอีกทีเธอก็ลงมายืนอยู่ข้างรถเขาแล้ว

“เย็นนี้ผมมารับนะหนูมล รอผมด้วย”

หลังจากนั้นสติเธอก็หลุดอีกครั้งจนไม่เป็นอันสอนนักศึกษา เด็กในความรับผิดชอบของเธอถึงกลับเอ่ยปากแซวกันไปต่างๆ นานาจนเธอทำหน้าไม่ถูก กรกฎมารับมาส่งเธอเกือบหนึ่งเดือนที่ผ่านมา คงมีบ้างที่เด็กพวกนี้จะเห็น แหม... แต่แซวอาจารย์แบบนี้มันน่าตัดคะแนนทั้งคลาสไปเลย ให้ตายสิ ในใจนึกพาลโกรธคนที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้ด้วยอีกคน แต่ทำไมไม่รู้ ยิ่งนึกโกรธ ทำไมเธอถึงกลับยิ่งยิ้มกว้างออกมาแบบนี้

ช่วงบ่ายเธอจึงต้องให้นักศึกษานั่งอ่านหนังสือและหาข้อมูลกันเอง ด้วยว่าไม่สามารถตั้งตัวเองให้อยู่ในสมาธิเพื่อจดจ่ออยู่กับความรู้ที่เธอตั้งใจถ่ายทอดได้ คำกระซิบแผ่วเบานั้นแทรกเข้ามาในความคิดเธออีกครั้ง

‘ไม่รู้เพราะอะไร แต่ตอนนี้ผมรักคุณนะหนูมล’

สร้อยข้อมือที่ใส่ติดกายอยู่เป็นประจำถูกยกขึ้นมาดูครั้งแล้วครั้งเล่าพร้อมรอยยิ้ม นานแค่ไหนกันที่เธอไม่เคยมีความสุขแบบนี้ นานแค่ไหนกันที่ไม่ได้ยิ้มกว้างกับเรื่องแบบนี้

เรื่องราวของปีเตอร์ที่ติดอยู่ในใจเธอมานานชักลางเลือนลงไปเต็มที และเธอรู้สาเหตุนั้นดี การได้มีตัวตนอยู่เคียงข้างใครสักคนหนึ่ง ทำให้ปีเตอร์ของเธอกลายเป็นความทรงจำมากขึ้นเรื่อยๆ ... นฤมลขมวดคิ้ว

ไม่สิ เธอจะลืมปีเตอร์ได้อย่างไร ไม่มีทาง!

================================================




มิณทิมา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 ก.ย. 2555, 12:07:05 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 ก.ย. 2555, 12:07:05 น.

จำนวนการเข้าชม : 1492





<< ตอนที่ 8   ตอนที่ 10 >>
mhengjhy 26 ก.ย. 2555, 13:51:50 น.
ไม่ต้องลืมปีเตอร์ก็ได้หนูมล คิดมาก เดี๋ยงสงสารกรกฎ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account