ธารปรารถนา
เพราะที่ดินฮวงจุ้ยเยี่ยม (หลังติดเขา หน้ามีน้ำ) ของยายแท้ๆ ที่พาปราณมาพบกับตอง หรือจะจริงอย่างที่ยายบอกว่าที่ดินผืนนี้เป็นมงคล จะนำโชคลาภมาสู่เจ้าของ จึงทำให้ตองได้พบคนดีๆ อย่างปราณ

แต่ทำไมการได้พบและคบหาคนดีๆ สักคนหนึ่งจึงได้ลากพาตองลงไปในกระแสธารแห่งความปรารถนาอันเชี่ยวกรากของใครต่อใครอีกหลายคน เรื่องชุลมุนวุ่นวายที่ไม่เคยประสบพบเจอก็ต้องมาเกิดขึ้นกับตัว

ตกลงที่ดินของยายเป็นมงคลหรืออัปมงคลกันแน่เนี่ย

แล้วตองจะป่ายปีนขึ้นจากธารปรารถนาร้อนร้ายสายนี้ได้ไหม ต้องไปติดตามพร้อมๆ กันค่ะ
Tags: รักอารมณ์ดี

ตอน: ตอนที่ ๗ (ครึ่งแรก)

ปราณขับรถกลับมาถึงบ้านในตอนเช้ามืดของอีกวัน เพราะเขามีรีโมทสำหรับเปิดประตูรั้ว มีกุญแจสำหรับประตูบ้าน ปราณจึงไม่จำเป็นต้องรบกวนเวลาหลับนอนของใคร นอกจากชิดชัยพนักงานรักษาความปลอดภัยซึ่งนั่งเล่นเฟชบุ๊กไปพร้อมกับดูวีดีโอจากกล้องวงจรปิดอยู่ภายในป้อมยามข้างประตูรั้ว คงไม่มีใครรู้ว่าปราณกลับมาถึงแล้ว

ชายหนุ่มพาแลนด์โรเวอร์คันเก่งเข้ามาจอดนิ่งสนิทในโรงรถ ดูนาฬิกาบนข้อมือแล้วปิดปากหาวหวอด ทั้งง่วงและอ่อนล้า แต่ยังดีที่เขายังมีเวลานอนพักผ่อนได้อีกสองสามชั่วโมงกว่าจะเช้า เขาคว้ากระเป๋าเป้ใบใหญ่บนเบาะข้างๆ มาสะพายไหล่แล้วเปิดประตูลงจากรถ เดินอ้อมตัวบ้านไปยังประตูด้านหลังซึ่งติดกับสวนสวยที่ปทุมวรรณจ้างคนมาดูแลจัดแต่งทุกเดือน ประตูด้านหลังนี้เป็นประตูบานเดียวที่ปทุมวรรณไม่ให้ลงกลอนด้านใน เนื่องจากทั้งปราณและบิดามักติดงานจนกลับบ้านค่ำมืดดึกดื่นเสมอ โชคดีที่เด็กในบ้านอยู่กันมานานจนไว้ใจได้ว่าจะไม่มีใครคาบเรื่องนี้ไปบอกแก่มิจฉาชีพเพื่อชี้ช่องทางให้เข้ามาขนทรัพย์สินอย่างที่เคยเห็นอยู่ในข่าวโครมๆ

เนื่องจากปราณต้องกลับเข้าบ้านในยามวิกาลอยู่เสมอ เขาจึงฝึกตัวเองให้เคลื่อนไหวและทำอะไรแผ่วเบาจนเป็นนิสัยเพื่อจะได้ไม่รบกวนผู้อื่นให้ต้องตื่นขึ้นมากลางดึกด้วยความหวาดระแวง และเพราะฝีเท้าแผ่วเบานี่เองจึงทำให้คนที่ยืนคุยโทรศัพท์อยู่ตรงมุมมืดข้างพุ่มจั๋งไม่รู้ตัวว่าปราณเดินเข้าไปใกล้จนได้เสียงสนทนาชัดเจนแล้ว ซึ่งนั่นช่างผิดวิสัยนายตำรวจฝีมือฉกาจยิ่งนัก หรืออาจเป็นเพราะอยู่ในบ้านตนเองซึ่งมีรั้วรอบขอบชิดสูงใหญ่ มิหนำซ้ำยังมีกล้องวงจรปิดและยามรักษาความปลอดภัยครบครัน จึงทำให้พลตำรวจตรีประวิทย์ เลิศเรืองวิทย์ชะล่าใจได้ขนาดนี้

ตอนแรกปราณตั้งใจจะเข้าไปทักทายถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง เพราะระยะหลังๆ ในช่วงวัยใกล้เกษียณ พลตำรวจตรีประวิทย์มีอาการเครียดหนักและนอนไม่หลับบ่อยครั้ง ทว่าเมื่อได้ยินเสียงอ่อนหวานผิดหูที่หลุดจากปากบิดา ปราณตัดสินใจในวินาทีนั้นหลบวูบเข้าหาเงามืดอีกด้านของพุ่มจั๋งที่บิดายึดเป็นฐานที่มั่นอยู่ก่อนแล้ว

“มีอะไรกันที่ฉันให้เธอไม่ได้...บอกมาสิว่าเธออยากได้อะไร”

เสียงนายตำรวจเงียบไปอึดใจ ก่อนจะปล่อยเสียงหัวเราะผะแผ่วอย่างครึ้มอกครึ้มใจ

“เธอนี่ช่างออดอ้อนเหมือนเดิมเลยนะ แล้วอย่างนี้ฉันจะไปไหนรอด...ฉันก็คิดถึงเธอจนแทบอดใจไว้ไม่อยู่แล้ว อยากจะไปหาเธอเสียเดี๋ยวนี้ด้วยซ้ำ แต่ฉันมีงานต้องทำ มีครอบครัวต้องดูแล เธอก็รู้ไม่ใช่หรือ...โอ๋...อย่าโกรธฉันเลยน่า เอาเป็นว่า...ถ้าฉันปลีกตัวไปได้เมื่อไหร่ฉันจะไม่รีรอเลย”

น้ำเสียงเนิบนุ่มเอาอกเอาใจของพลตำรวจตรีประวิทย์ทำให้ปราณรู้สึกเหมือนมีอะไรหนักๆ หล่นใส่หัว ทั้งมึน ทั้งอึ้ง เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าจะต้องมารับรู้เรื่องราวทำนองนี้

“อย่าให้รู้แล้วกันว่ามันเกาะแกะเธอ ไม่งั้นอย่ามาหาว่าฉันไม่เตือนนะ”
คำพูดแสดงความหึงหวงแบบนี้ ถ้าปทุมวรรณได้ยินเข้าจะรู้สึกเจ็บปวดแค่ไหนกันหนอ นี่เขาง่วงและเหนื่อย
จนได้ยินอะไรผิดเพี้ยนไปหรือเปล่า ปราณยกมือลูบหน้าราวกับจะปลุกให้ตัวเองตื่นจากความฝัน แต่เปล่าเลย บทสนทนาเยี่ยงคนรักกันฉันชู้สาวยังคงดำเนินต่อไปอย่างเพลิดเพลิน

ปราณค่อยสืบเท้าออกจากตรงนั้นอย่างเงียบกริบ ทิ้งเสียงหัวร่อต่อกระซิกของบิดาไว้เบื้องหลัง ไม่อยากรับรู้รับฟังอะไรอีก...

เขาคงต้องใช้เวลาอีกสักพักกระมังกว่าจะยอมรับได้ว่าเขามีพ่อเป็นคนธรรมดา ไม่ใช่ฮีโร่ที่เก่งและแสนดีไปทุกด้านอย่างภาพที่เขาซึมซับมาตั้งแต่เด็ก และเพราะพ่อเป็นคนธรรมดานี่เองจึงไม่แปลกที่ทำอะไรผิดไปบ้าง สิ่งที่เขาเพิ่งรู้เห็นนี่ก็เป็นอีกเรื่องธรรมดาของผู้ชาย...แน่ละ คนที่ตั้งมั่นอยู่ในความซื่อสัตย์ทั้งต่อตนเองและผู้อื่นอย่างปราณ ถึงจะเข้าใจธรรมชาติของผู้ชาย แต่ก็ยอมรับเรื่องนี้ได้อย่างยากเย็น



ปราณลุกจากเตียงมาอาบน้ำตั้งแต่ยังไม่หกโมง ไม่ใช่ว่าเขาตื่นเช้า แต่เป็นเพราะเขานอนไม่หลับต่างหาก สิ่งที่เขาแอบไปได้ยินจากปากบิดาแท้ๆ ของตนเอง ทำให้เขาห่วงความรู้สึกของปทุมวรรณยิ่งกว่าใครๆ ทั้งหมด เขายังคิดไม่ออกว่าควรจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ดี หรือปล่อยเลยตามเลยอย่างที่บิดาเขาตั้งใจให้เป็น...

ปราณพยายามสลัดความรู้สึกนึกคิดทั้งหมดออกไปจากหัว ขณะลงไปร่วมรับประทานอาหารเช้ากับบิดามารดาเหมือนเช่นทุกวันที่อยู่กันพร้อมหน้า...ภาพครอบครัวสุขสันต์ที่เขาเพิ่งรู้ว่ามันไม่เหมือนเดิม...

อันที่จริงมันอาจไม่เหมือนเดิมมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่เขาไม่รู้เท่านั้นเอง...ตอนนี้ก็แค่ทำตัวเหมือนตอนไม่รู้ ไม่เห็นจะยากอะไร

คิดได้ดังนั้น ปราณจึงสามารถเข้าไปเผชิญหน้ากับบุพการีด้วยสีหน้าท่าทางปกติได้ เขาเปิดยิ้มให้มารดาเป็นอันดับแรก ทว่าเมื่อสบตากับพลตำรวจตรีประวิทย์ปราณก็รู้ว่ารอยยิ้มของเขาไม่กว้างเท่าเดิม

“เป็นอะไรปราณ หน้าซีดเชียว งานหนักรึ” คนเป็นพ่อถาม น้ำเสียงร่าเริงเหมือนที่ปราณได้ยินมาตลอดชีวิต

“เป็นเพราะนอนน้อยมากกว่าครับ เมื่อคืนก็ขับรถมาตั้งหลายชั่วโมง” ปราณฝืนทำเสียงร่าเริงบ้าง และคงแนบเนียนทีเดียวเพราะนายตำรวจอย่างพ่อเขายังไม่อาจจับพิรุธได้

“เมื่อคืนมาถึงกี่ทุ่มกี่ยามล่ะ แม่หลับเป็นตายเลย ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น” ปทุมวรรณถามพลางเลื่อนจานอาหารเช้ามาตรงหน้าสามี พลตำรวจตรีประวิทย์ยิ้มให้ปทุมวรรณอย่างแสนรัก ยิ้มนั้นทำให้ปราณยิ่งอึดอัดใจและอยากเปิดอกคุยกับคนเป็นพ่อให้รู้เรื่อง

“กลับมาถึงตอนตีสองกว่าครับ ยังเห็นคุณพ่อยืนคุยโทรศัพท์อยู่ในสวนหลังบ้าน...” ปราณเว้นไปนิด สายตาคมเข้มจ้องมองบิดาที่กำลังหยิบขวดซอสมะเขือเทศบีบลงบนที่ว่างในจานข้างไข่ดาวและไส้กรอก หากชายหนุ่มไม่เห็นอาการสะดุ้งตกใจหรืออาการผิดปกติอื่นใดทั้งนั้น เขาจึงปดไปว่า “แต่ผมง่วงเลยไม่ได้หยุดทัก”

พลตำรวจตรีประวิทย์เงยหน้าสบตาบุตรชายพร้อมรอยยิ้ม นัยน์ตาพราวราวกับหนุ่มๆ

“พ่อนอนไม่ค่อยหลับเลยลุกมาโทร. หาสาวๆ ให้หัวจิตหัวใจมันกระชุ่มกระชวย”

ปราณยิ้มไม่ออก ในขณะที่ปทุมวรรณหัวเราะคิกกับอารมณ์ขันของสามี ปราณรู้สึกเหมือนเพิ่งรู้จักพ่อตัวเองจริงๆ วันนี้เอง...การเอาเรื่องจริงมาพูดเล่นคงเป็นการกลบเกลื่อนอันแนบเนียนที่พ่อเขาใช้มาตลอด...ใช่...พลตำรวจตรีประวิทย์ชอบพูดเล่นทำนองนี้ แต่ใครจะเชื่อเล่าว่าเขาจะทำจริง

ปราณระบายลมหายใจแผ่วเบา...เบื้องหลังภาพสวยงามที่เขาพบเห็นมาตลอด ยังมีสิ่งสลัวมัวหม่นใดๆ ซุกซ่อนไว้อีกหรือไม่หนอ...แต่มันก็ธรรมดาไม่ใช่หรือ คนเราย่อมมีมุมมืดซุกซ่อนความลับไว้เสมอ แม้แต่เขาเองก็ใช่ว่าจะสะอาดบริสุทธิ์เหมือนเด็กทารกเสียที่ไหน เคยเฉียดกรายไปใกล้ความผิดชนิดร้ายแรงเหมือนกัน โชคดีที่กลับตัวกลับใจได้ทัน...เพราะเขามีพ่อกับแม่เป็นแบบอย่างที่ดีพร้อมทุกด้านไม่ใช่หรือ...ถึงใจแข็งเอาตัวรอดออกมาได้

ปราณพยายามปรับตัวปรับใจให้เป็นปกติ แต่กระนั้น ความสับสนฟุ้งซ่านต่างๆ ก็ยังคงรุกรานเขาไม่หยุด จนในที่สุดเขาก็ไม่อาจทนแบกรับความอึดอัดต่อไปได้ ชายหนุ่มผุดลุกขึ้น ขอตัวออกไปทำงานตามที่รับปากกับปทุมวรรณไว้ นั่นคือพาเพื่อนของนางไปดูที่ดินที่เขาใหญ่และคุยเรื่องการออกแบบก่อสร้างสถานบำบัดยาเสพติด ทว่าเมื่อไปถึงรถแล้วนั่นแหละ ปราณจึงรู้ว่าเขาไม่ได้หยิบกุญแจรถติดมือมาด้วย ทำให้ต้องย้อนกลับเข้าไปในบ้านอีกครั้ง และจำเป็นต้องผ่านห้องรับประทานอาหารอย่างเลี่ยงไม่ได้

“คุณใช้ปราณขึ้นไปทำอะไรที่นั่น ทำไมต้องปิดบังผม”

น้ำเสียงคลางแคลงของบิดาทำให้เท้าที่กำลังจะก้าวผ่านหยุดชะงัก

“ฉันไม่ได้ปิดบังคุณนะคะ แต่เห็นว่าคุณงานยุ่งตลอด ฉันก็ไม่ค่อยว่าง เวลาเจอหน้ากันฉันก็ไม่อยากคุยเรื่องงาน” ปทุมวรรณอธิบายเสียงอ่อน “ว่าแต่คุณไปรู้เรื่องนี้มาจากใครล่ะคะ คงไม่ใช่ปราณ”

ใช่...ไม่ใช่ปราณแน่ๆ เขาเองก็เพิ่งรู้นี่แหละว่าบิดาไม่รู้เรื่องที่เขาขึ้นเหนือ

“ผมต้องขอโทษด้วยที่บอกคุณไม่ได้ ผมต้องปกป้องแหล่งข่าว ไม่งั้นก็ไม่รู้สิว่าคุณมีเรื่องปิดบังผมอยู่” น้ำเสียงนั้นกล่าวหาเต็มที่ ปราณกระตุกมุมปากเป็นรอยยิ้ม แต่ไม่ใช่ยิ้มที่น่ามองเหมือนเคย ออกจะเป็นยิ้มหยันมากกว่า

“แล้วจะบอกผมได้หรือเปล่าว่าใช้ปราณไปทำอะไรที่นั่น” เสียงห้าวนั้นอ่อนโยนลงมาหน่อย

“ไปดูที่ดินค่ะ มีที่ดินผืนหนึ่งสวยมาก ฉันอยากได้”

ฟังคำภรรยาแล้ว พลตำรวจตรีประวิทย์ก็ทิ้งหลังพิงพนักเก้าอี้ และทอดถอนหายใจยาวเหยียดก่อนเอ่ยขึ้นว่า

“เงินทองที่คุณมีอยู่ก็มากมายกินใช้ไม่รู้หมด แล้วที่ผมสร้างสมไว้ก็มากมายไม่รู้เท่าไหร่ จะต้องดิ้นรนทำอะไรให้เหนื่อยอีกทำไม” เสียงนั้นคล้ายห่วงใย แต่ทำไมปราณกลับไม่คิดเช่นนั้นก็ไม่รู้...ปราณตัดสินใจเดินผ่านไปเงียบๆ ได้ยินเสียงมารดาแว่วตามหลังว่า

“ถ้าได้ทำในสิ่งที่มีความสุขแล้วละก็ ยากเย็นแค่ไหนฉันก็ไม่เหนื่อย...ฉันรู้ว่าคุณเป็นห่วง แต่ฉันยังมีเรี่ยวแรงจะให้อยู่เฉยไปวันๆ ได้ยังไงกันคะ ชีวิตไร้ค่าแย่เลย”

ปทุมวรรณยิ้มหวานเอาใจสามี หากเมื่อเขาถอนหายใจอีกคำรบ พยักหน้าคล้ายยอมแพ้ และยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม รอยยิ้มหวานหยดของนางก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มร้ายๆ อย่างที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน



อาการบาดเจ็บของตองดีขึ้นอย่างรวดเร็ว แค่สองสามวันหลังจากปราณกลับไป เธอก็สามารถทำงานได้อย่างปกติแล้ว หญิงสาวรู้สึกเหมือนตัวเองกลับกลายเป็นคนละคน ตองคนเดิมที่ชอบอ้อยอิ่งอยู่บนที่นอนอบอุ่น พิรี้พิไรกว่าจะเริ่มหยิบจับงานบ้านแต่ละอย่าง และออกเที่ยวตะลอนซอกซอนไปทั่วอำเภอกลับบ้านดึกดื่นอยู่เสมอนั้น...ยังไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่ถูกเก็บงำซุกซ่อนไว้อย่างมิดชิดเท่านั้นเอง

ตองไม่อาจใช้ชีวิตสนุกสบายตามใจตัวเองเหมือนเมื่อก่อนได้ เนื่องจากภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ทั้งงานตัดเย็บเสื้อผ้าเพื่อเตรียมเปิดร้านต้นเดือนหน้า ทั้งดูแลทำความสะอาดบ้านช่อง ดูแลยายที่ยังไม่ถึงกำหนดตัดเฝือก อีกทั้งต้องเข้าครัวทำอาหารเช้าและเย็น ซึ่งระยะหลังฝีมือเธอพัฒนาขึ้นมากจนพวงแสดออกปากชม ไม่ใช่เพราะตองได้รับแรงบันดาลใจจนอยากลุกขึ้นมาทำตัวเป็นแม่ศรีเรือนอะไรหรอก แต่เพราะตองไม่อยากให้ยายฝืนกินอาหารรสแย่ที่คนทำอย่างตองยังกินไม่ลง เธอจึงขอให้พวงแสดมาคอยกำกับการปรุงอยู่ใกล้ๆ เหมือนที่นางเคยเคียงบ่าเคียงไหล่กับปราณอยู่หน้ากระทะวันนั้นนั่นแหละ

พูดถึงปราณ ตั้งแต่เขากลับไปก็โทรมาหาตองสองสามครั้งเห็นจะได้ เขาถามไถ่ถึงอาการเจ็บป่วยของเธอและพวงแสด ซึ่งตองสัมผัสกระแสความห่วงใยในน้ำเสียงเขาได้ชัดเจน ทว่าน้ำเสียงห้าวทุ้มที่ฟังหม่นๆ หมองๆ นั้นทำให้ตองรู้สึกเป็นห่วงเขามากกว่า ครั้นถาม เขาก็ตอบหัวเราะกลบเกลื่อนและเฉไฉไปเรื่องอื่นทุกที

ตองถอนหายใจแล้วสลัดเรื่องของปราณออกไปจากหัว เธอทำแบบนี้ทุกครั้งที่รู้สึกว่าเขากำลังรุกล้ำเข้ามาในความคิดเธอมากเกินไป หญิงสาววางเสื้อที่กำลังปักลวดลายในมือลงบนโต๊ะที่บัดนี้ลากออกมาสิงสถิตย์อยู่กลางบ้าน ข้างๆ จักรเย็บผ้านั่นแหละ ร่างบอบบางเดินไปเก็บรวบรวมเสื้อผ้าที่ยังไม่ได้ซักใส่ตะกร้าแล้วแบกขึ้นมอเตอร์ไซค์เพื่อนำไปส่งให้ก้อยน้องสาวของกรซักรีด

ตองเลี้ยวรถเข้ามาจอดใต้ต้นมะยมหน้าบ้านกร และพบชายหนุ่มเดินออกมาพอดี เธอถอดหมวกกันน็อกแล้วตะโกนถาม

“อ้าว พี่กร วันนี้ทำไมอยู่บ้านได้ล่ะ ปกติวันหยุดแบบนี้พี่กรก็ยังไปทำโอทีที่โรงงานไม่ใช่หรือ”

ที่ตองรู้เพราะเธอนำผ้ามาส่งซักทุกอาทิตย์ และเธอไม่พบหน้ากรมาสักพักแล้ว พบกันครั้งสุดท้ายก็วันที่ปราณมากินข้าวเย็นด้วยนั่นแหละ...

ดูสิ...ว่าจะไม่แล้ว...แต่ใจยังกระหวัดไปคิดถึงปราณอีกจนได้

“แหม คนเราทำงานก็ต้องมีวันพักบ้างสิ” คนตอบหลุบตามองผ้าในตะกร้าที่ตองถืออยู่ เมื่อก้อยเดินยิ้มออกมารับเอาไปไว้ในบ้าน กรก็สบตาตองอีกครั้งและเปลี่ยนเรื่อง น้ำเสียงมีลับลมคมในชอบกล

“ตองรีบกลับหรือเปล่า พี่มีอะไรจะให้ดู”

“อะไรหรือ” ตองกระตือรือร้นอยากรู้

“ตามมาสิ” ร่างสูงใหญ่กำยำเดินนำตองไปหลังบ้านซึ่งมีโรงเรือนสำหรับเก็บของ นอกจากอิฐมวลเบากองย่อมๆ ที่เรียงไว้เรียบร้อยซึ่งตองเห็นมันอยู่มาได้สักพักแล้ว เธอยังเห็นรถกระบะสี่ประตูซึ่งทั้งยี่ห้อและรุ่นของมันบ่งบอกราคาสุทธิที่เกินครึ่งล้านไปมากโข ป้ายทะเบียนสีแดงแปร๊ดนั่นทำให้ตองต้องหันไปมองหน้ากร

“พี่กรเอารถใครมาขับน่ะ”

“รถพี่เอง” หนุ่มร่างใหญ่ยิ้มกว้าง สีหน้าท่าทางภูมิอกภูมิใจ

คำตอบของกรมีผลให้คิ้วเรียวขมวดฉับเข้าหากัน สมองทำงานเร็วรี่...กรไปร่ำรวยมาจากไหน ทำไมมีเงินถอยรถป้ายแดงมาจอดอวดสายตาเธอเช่นนี้ได้ และปากเธอก็ว่องไวเท่าความคิด

“พี่กรไปเอาเงินมาจากไหน รถคันนี้มันไม่ใช่ถูกๆ นะ เงินดาวน์ก็คงหลายแสน”

น้ำเสียงคาดคั้นของคนตัวเล็กทำเอากรสะดุ้งอยู่ในใจ...คำตอบที่เขาตระเตรียมมามันจะสมเหตุสมผลไหมนะ

“ตองสัญญากับพี่ได้ไหมล่ะว่า ถ้าพี่บอกความจริง แล้วตองจะไม่โกรธพี่”

“ไม่สัญญาค่ะ เพราะถ้าตองยอมรับความจริงนั้นไม่ได้ ตองก็คงห้ามใจไม่ให้โกรธพี่กรไม่ได้หรอก” หญิงสาวตอบเสียงเด็ดเดี่ยว

“คือพี่ถูกหวยน่ะ งวดนี้ถูกเยอะ เลยได้เงินก้อนใหญ่” กรยกเหตุผลที่บอกพ่อและน้องมาบอกตองอีกครั้ง พ่อกับน้องสาวเขาไม่ติดใจอะไร แถมดีอกดีใจกับเขาด้วยซ้ำ แต่ใช่ว่าหญิงสาวที่เขาหมายปองตรงหน้าจะชื่นชมในสิ่งที่เขาทำลงไปเหมือนคนในครอบครัว

“นี่พี่กรยังไม่เลิกเล่นหวยอีกหรือ ไหนรับปากตองแล้วไงว่าจะไม่เล่นอีก” ตองเอ็ดตะโรลั่น เธอเคยขอร้องกรให้เลิกเล่นหวยเพราะส่วนมากมีแต่เสียมากกว่าได้ และกรก็รับปากเธอมั่นเหมาะ

“แต่ครั้งนี้พี่ได้เงินนะ” กรบอกเสียงอ่อย

“ได้เงินแค่หลักแสน แต่ที่เสียไปอาจเข้าหลักล้านแล้วก็ได้ มันคุ้มที่ไหน” ตองบ่นอย่างหัวเสีย ถ้าเธอไม่รักไม่หวังดีกับครอบครัวของกร เธอคงไม่เตือนไม่พูดให้เสียน้ำลายหรอก “แล้วได้เงินก้อนมาทำไมพี่กรไม่เอาเงินไปไถ่โฉนดที่ดินจากคุณเพลินฤดี ลุงแก้ว พี่ก้อย และพี่กรจะได้มีที่ดินทำกิน ไม่ต้องไปรับจ้างเขางกๆ ไปซื้อรถมาให้มันได้อะไรกัน”

ฟังคำพูดฉุนเฉียวของตองแล้วความผิดหวังผ่านวูบเข้ามาในอก กรอยากบอกตองเหลือเกินว่าถ้าเขามีรถ มีเงิน เขาก็สามารถดูแลคนในครอบครัวรวมถึงคนที่เขารักให้สะดวกสบายได้...กรยังจดจำภาพชายหนุ่มแปลกหน้าพาตองขึ้นรถไปต่อหน้าต่อตาในวันที่เกิดอุบัติเหตุได้แม่นยำ กรเจ็บใจ ถ้าเขามีรถ เขาไม่มีทางปล่อยให้ตองไปกับมันง่ายๆ แน่

“พี่ไม่ไถ่โฉนด เพราะพี่ไม่อยากเป็นชาวสวนชาวไร่แล้ว ทำงานแบบนั้นเมื่อไหร่จะรวย และที่พี่ซื้อรถมาก็เพื่อความสะดวกสบายไง พี่เป็นคนธรรมดานะตอง พี่ก็อยากมีรถ อยากมีบ้าน อยากมีฐานะร่ำรวยเหมือนคนอีกหลายล้านคนทั่วประเทศนั่นแหละ พี่ผิดตรงไหนที่คิดแบบนี้ ทำไมตองต้องโกรธพี่ด้วย...ถ้าตองจะโกรธพี่เพราะพี่คิดไม่เหมือนตองละก็...ตองก็ต้องโกรธคนทั้งโลกด้วยนั่นแหละ...พี่ไม่ได้เกิดมาร่ำรวยเหมือนใครบางคนนี่ จะได้เอาแต่ขับรถโฉบเฉี่ยวมาเกี้ยวสาวได้เป็นวันๆ งานการงานไม่ต้องทำ ไม่ต้องดิ้นรนไขว่คว้าหาอะไร” กรโต้กลับด้วยน้ำเสียงเข้มข้นจริงจัง ท้ายประโยคประชดประชันถึงปราณด้วยความชิงชัง เพราะเขาทนไม่ได้ที่ถูกตองตำหนิแถมมองด้วยสายตาโกรธเคือง

“ตองเตือนพี่กรเพราะตองเป็นห่วงนะ พี่กรมีสิทธิ์ที่จะอยากได้อยากมีอะไรต่างๆ นานา แต่ถ้าเราได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราอยาก ทั้งชีวิตเราจะเอาของไปกองที่ไหน แล้วรถคันนี้น่ะ มันจะดึงเงินออกจากกระเป๋าพี่กรอีกเท่าไหร่ ทั้งเงินผ่อนส่ง ค่าน้ำมัน ค่าภาษี ต่อทะเบียน พ.ร.บ. ค่าประกัน...คิดบ้างไหมว่าพี่ต้องเสียเงินอีกเท่าไหร่ พี่กรจะถูกหวยทุกงวดหรือไงถึงใจใหญ่ขนาดนี้ ทำไมไม่รู้จักใจเย็นๆ รอช่วงที่พร้อมจริงๆ” ตองหยุดหอบหายใจแรงๆ กรอยากบอกเหลือเกินว่าสิ่งที่เขาได้มาไม่ทำให้เขาลำบากอย่างที่ตองคิด ตอนนี้เขาไม่เหมือนเดิมแล้ว เขามีเงินมากพอที่จะจับจ่ายได้ตามใจชอบ แต่เขาก็ไม่สามารถพูดออกไปได้

“ถ้าพี่กรมองไม่เห็นความหวังดีของตอง ตองก็คงไม่มีอะไรจะพูดกับพี่กรแล้ว เชิญพี่กรคิดใหญ่ใจโตไปคนเดียวเถอะ...แล้วก็มีแต่ผู้ชายขี้อิจฉาเท่านั้นแหละที่กล้าประชดประชันคนอื่น”

พูดจบแล้วตองก็สะบัดหน้าพรืดเดินกลับด้วยความโกรธ กรซึ่งไม่เคยถูกตองทำกิริยาไม่น่ารักแบบนี้ใส่ถึงกับหมดความอดทน เขาทำเพื่อเธอแท้ๆ แทนที่จะเป็นกำลังใจให้กลับมาต่อว่ากันฉอดๆ แถมด่าว่าเขาเป็นผู้ชายขี้อิจฉาอีกด้วย มันมากเกินไปแล้ว

กรก้าวตามไปกระชากแขนดึงร่างบางเข้ามาปะทะอก หวังกักไว้ในอ้อมแขนแกร่งเพื่อฟังคำรักที่อัดแน่นอยู่ในใจมาหลายปี ทว่าตองตกใจกับการกระทำอันอุกอาจและกลไกการป้องกันตัวก็กระทำการรวดเร็วจนกรตั้งตัวไม่ทัน รู้ตัวอีกทีหมัดเล็กๆ ของตองก็กระแทกเปรี้ยงเข้าเบ้าตาซ้ายอย่างถนัดถนี่ กรปล่อยมือจากแขนตองทันควันไปกุมเบ้าตาข้างนั้นไว้ หวังทุเลาความปวดหนึบและแสงหลากสีที่ระยิบระยับอยู่หลังเปลือกตาที่บัดนี้ปิดสนิท

ตองเองก็ตกใจกับสิ่งที่ตนทำลงไปเหมือนกัน เธอละล้าละลังว่าจะดูอาการของกรก่อนดี หรือรีบไปจากตรงนี้ แต่เพราะสีหน้าแววตาคล้ายคนหื่นกามของกรเมื่อนาทีก่อน ทำให้ตองตัดสินใจจ้ำอ้าวไปขึ้นมอเตอร์ไซค์โดยไม่สนใจเสียงห้าวที่ร้องเรียกอยู่เบื้องหลัง

ตองมั่นใจว่าต่อจากนี้ไป...เธอต้องระวังตัวเมื่ออยู่ใกล้ผู้ชายคนนี้


(โปรดติดตามตอนต่อไป แล้วเจอกันสัปดาห์หน้าค่ะ)



ภาวิน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 ก.ย. 2555, 19:17:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 ก.ย. 2555, 19:17:29 น.

จำนวนการเข้าชม : 1532





<< ตอนที่ ๖ (ต่อจนจบ)   
ภาวิน 26 ก.ย. 2555, 19:24:09 น.
สวัสดีค่ะมิตรรักแฟนนิยายทุกท่าน (สำนวนลูกทุ่ง เชยสนิท)
วันนี้มาอัพตอนใหม่กันอีกแล้ว เข้ามาอ่านกันไวๆ คนเขียนกระโดดเหย็งๆ โบกมือเรียกหย็อยๆ

พิรี้พิไรอยูไย ตอบคอมเม้นท์กันเลยดีกว่า ตอนที่แล้วมีคนคอมเม้นท์น้อยนิดกระจุ๋มกระจิ๋ม น่ารักน่าเอ็นดู ขอบคุณนะคะสำหรับทุกตัวอักษรที่ฝากไว้ ทุกๆ ไลค์ที่คลิกเข้ามา เอิ่ม จะเชยไปไหน

คุณ Barby คิดถึงกันไปคิดถึงกันมาก็ถึงเวลาที่จะเจอเรื่องแย่ๆ กันแล้วนะ...ชีวิตคนจริงๆ น่ะ บางทียังราบรื่นกว่าชีวิตตัวละครในนิยายอีกนะ

คุณอสิตา พระเอกเราใจง่ายไปใช่ไหม งั้นเดี๋ยวตอนรีไรท์เราจะทอนความเยอะของตัวละครออกบ้างในบางจุดนะจ๊ะ ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์ค่ะ

ไว้เจอกันใหม่โอกาสหน้า รักคนอ่านนะ จ๊วบ จ๊วบ ม๊วฟ ม๊วฟ


อสิตา 27 ก.ย. 2555, 01:09:23 น.
ส่งจูบให้คนอ่านรุนแรงมากเลยนะคะ นางเอกก็รุนแรง อร๊ายยยย แววตาหื่นกามของกร


ภาวิน 27 ก.ย. 2555, 04:40:16 น.
แค่คล้ายคนหื่นกามเท่านั้นค่ะ สิ่งที่คุณอสิตาท้วงติงมากลังไมค์ เดี๋ยวจะรีบแก้ไขนะคะ ขอบคุณมากๆ ม๊วฟๆ^_^


nunoi 27 ก.ย. 2555, 10:21:09 น.
โอ๊ยย กลัวจังเลยว่ากิ๊กคุณพ่อนายปราณ จะเป็นหนูพรีม หรือเปล่า


Barby 28 ก.ย. 2555, 19:02:12 น.
รอต่อไปค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account