ธารปรารถนา
เพราะที่ดินฮวงจุ้ยเยี่ยม (หลังติดเขา หน้ามีน้ำ) ของยายแท้ๆ ที่พาปราณมาพบกับตอง หรือจะจริงอย่างที่ยายบอกว่าที่ดินผืนนี้เป็นมงคล จะนำโชคลาภมาสู่เจ้าของ จึงทำให้ตองได้พบคนดีๆ อย่างปราณ

แต่ทำไมการได้พบและคบหาคนดีๆ สักคนหนึ่งจึงได้ลากพาตองลงไปในกระแสธารแห่งความปรารถนาอันเชี่ยวกรากของใครต่อใครอีกหลายคน เรื่องชุลมุนวุ่นวายที่ไม่เคยประสบพบเจอก็ต้องมาเกิดขึ้นกับตัว

ตกลงที่ดินของยายเป็นมงคลหรืออัปมงคลกันแน่เนี่ย

แล้วตองจะป่ายปีนขึ้นจากธารปรารถนาร้อนร้ายสายนี้ได้ไหม ต้องไปติดตามพร้อมๆ กันค่ะ
Tags: รักอารมณ์ดี

ตอน: ตอนที่ ๖ (ต่อจนจบ)

ปกติปราณเป็นคนขับรถเร็วอยู่แล้ว ไม่ช้าไม่นานเขาก็พาตองมาถึงโรงพยาบาลโดยมีบุรุษพยาบาลนำรถเข็นมารับ ตองเป็นคนอำเภอนี้ก็จริง แต่เธอไม่เคยเจ็บป่วยจนต้องมาใช้บริการของโรงพยาบาลประจำอำเภอแห่งนี้เลยสักครั้ง แม้จะถูกส่งเข้าแผนกฉุกเฉิน ตองก็ต้องเริ่มต้นขั้นตอนแรกด้วยการแจ้งประวัติเหมือนคนไข้รายใหม่อื่นๆ เช่นกัน

เจ้าหน้าที่ตรงเคาน์เตอร์พิมพ์ข้อมูลในบัตรประชาชนลงในคอมพิวเตอร์ และสอบถามรายละเอียดต่างๆ เพิ่มเติม ทั้งประวัติการแพ้ยา โรคประจำตัวอื่นๆ และหมายเลขโทรศัพท์ ช่วงเวลานั้นปราณอยู่กับตองโดยตลอด จึงทำให้เขารู้ว่าตองมีชื่อจริงๆ ว่าบัวตอง ชายหนุ่มกลั้นยิ้ม ถ้าให้เขาหลับตาจินตนาการภาพหญิงสาวสักคนที่ชื่อบัวตอง ภาพที่ชัดเจนในหัวคงเป็นหญิงสาวผมยาวสลวย หน้าตาหมดจดงดงาม กริยาอ่อนหวานเรียบร้อยดุจผ้าพับไว้...ซึ่งนั่นตรงข้ามกับบัวตองคนที่เขารู้จักลิบลับ

หลังกรอกประวัติเสร็จ ตองต้องรอแพทย์มาตรวจอาการ ระยะเวลายาวนานแห่งการรอคอยดูเหมือนจะเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับโรงพยาบาลรัฐบาลทุกแห่งไปแล้ว ปราณดูเวลาแล้วจำเป็นต้องบอกกับตองว่า

“ผมขอตัวไปจัดการเรื่องโทรศัพท์ก่อนนะ น่าจะใช้เวลาไม่นาน” ไม่นานหรอก ชายหนุ่มมั่นใจ แค่กลับไปเอาเครื่องสำรองซึ่งปกติมักพกไปไหนมาไหนด้วย แต่วันนี้ดันลืมทิ้งไว้ที่โรงแรมเพราะมัวแต่แต่งหล่อไปอวดสาวนั่นแหละ “ถ้าตองหาหมอเสร็จก่อนที่ผมจะมาถึงให้นั่งรออยู่ที่หน้าแผนกยา เข้าใจไหม แต่ผมจะรีบไปรีบกลับ”

เพราะแววตาห่วงใย หรือน้ำเสียงเอื้ออาทรสนิทสนมราวคนคุ้นเคยกันมานานก็ไม่รู้ที่ทำให้ตองรู้สึกอุ่นๆ ตรงหัวใจและพยักหน้าตอบไปโดยอัตโนมัติ

“เดี๋ยวมานะ” ปราณบอกแล้วยิ้มอ่อนโยนให้ราวกับเธอเป็นเด็กเล็กๆ ก่อนจะผละจากไป



ปราณคิดว่าจะไปไม่นาน แต่เอาเข้าจริงเขากลับหายไปสามชั่วโมงกว่า เนื่องจากเมื่อกลับไปถึงห้องพักที่โรงแรมก็พบว่ามารดาโทร. เข้ามาหลายสาย เมื่อเขาโทร. กลับมารดาก็ต่อว่าเขาอยู่พักใหญ่เรื่องที่เขาติดต่อไม่ได้จนทำให้มารดาร้อนใจด้วยความเป็นห่วง กว่าจะเข้าเรื่องได้ก็ปาเข้าไปเกือบสิบห้านาที

“พอดีเพื่อนแม่น่ะเขามีสามีเป็นหมอและอยากจะสร้างสถานบำบัดยาเสพติดควบคู่ไปกับสถานปฏิบัติธรรมเพื่อเยียวยาจิตใจผู้ป่วยหลังบำบัดแล้ว แม่ฟังโครงการเขาคร่าวๆ แล้วเห็นดีเห็นงามด้วย เลยตั้งใจว่าจะยกที่ดินสิบห้าไร่ที่โคราชที่เพิ่งซื้อไว้เมื่อปลายปีที่แล้วให้ใช้เป็นสถานที่ก่อสร้าง ทีนี้เขาอยากเห็นที่ผืนนั้นแล้วก็อยากให้ปราณช่วยออกแบบให้ด้วย ไม่รู้ว่างานทางนั้นเรียบร้อยดีแล้วหรือยัง แม่ว่าจะวานปราณพาเขาไปดูที่ด้วยน่ะ”

“ทางนี้หรือครับ...ดูท่าทางคงไม่มีใครได้ที่ดินคุณยายพวงแสดไปง่ายๆ นะครับแม่ คุณยายรักที่ผืนนั้นมากและคงไม่ยอมขายให้ใครแน่นอน” ปราณตอบหนักแน่นมั่นใจหลังจากฟังมารดาร่ายยาว

“แม่เชื่อว่าความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่นจ้ะ น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน แล้วหัวใจอ่อนๆ จะทนทานได้นานแค่ไหนกัน” เสียงอ่อนๆ หวานๆ ของปทุมวรรณแฝงความมั่นใจเช่นกัน ปราณฟังแล้วได้แต่ถอนหายใจเงียบๆ มารดาเขาคงไม่รู้กระมังว่าสิ่งที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าหินผาก็คือใจคนเรานี่แหละ

“ยังไงแม่ก็ยังมีหวัง แต่ถ้าทางนั้นยังใจแข็งอยู่ก็ปล่อยไว้ก่อน ปราณกลับมาพาเพื่อนแม่ไปดูที่แล้วก็คุยเรื่องแบบกับเพื่อนแม่ก่อนแล้วกัน เพราะเขามีธุระต้องเดินทางไปต่างประเทศมะรืนนี้แล้ว”

ฟังเรื่องงานที่มารดาเล่าแล้ว ปราณรู้ว่าตนต้องเดินทางกลับกรุงเทพฯ ภายในค่ำวันนี้อย่างแน่นอน...ชายหนุ่มถอนหายใจหนักๆ หลังจากวางสาย เขามีเวลาอยู่ที่นี่อีกไม่กี่ชั่วโมงแล้วสินะ

ปราณโทรศัพท์เช็คข้อมูลบางอย่างที่เขาอยากรู้ และเมื่อออกจากโรงแรมแทนที่เขาจะตรงดิ่งไปรับตองที่โรงพยาบาลซึ่งอยู่ห่างจากกันไม่ไกล เขากลับขับรถออกนอกเส้นทางเพื่อจัดการเรื่องราวที่เขาตั้งใจให้ลุล่วง กว่าจะกลับมาถึงโรงพยาบาลอีกครั้ง จึงล่วงเลยเวลาเที่ยงวันไปนานโข

เมื่อมาถึงก็พบตองที่สลัดคราบคางคกน้อยออกไปแล้ว เนื้อตัวที่เคยตะปุ่มตะป่ำด้วยผื่นลมพิษเรียบสนิท ทิ้งไว้เพียงรอยเกาแดงๆ เสื้อผ้าหนานุ่มรวมทั้งผ้าโพกหน้าถูกพับวางไว้บนตัก เหลือเพียงเสื้อไหมพรมติดกระดุมหน้าที่สวมทับเสื้อคล้ายๆ คอกระเช้ากับกางเกงทรงโจงกระเบนที่ปราณเห็นจนเริ่มคุ้นตา...และรู้สึกว่าจะคุ้นใจเข้าแล้วด้วยสิ

“หิวข้าวหรือยัง” ปราณถามคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวริมสุดหน้าห้องยา โดยมีผ้ายืดพันรอบข้อเท้าข้างที่บาดเจ็บ และที่เพิ่มเข้ามาคือไม้ค้ำยันเพื่อช่วยพยุงเดินซึ่งพาดอยู่กับเก้าอี้ตัวข้างๆ

“ฉันไปกินมาแล้ว พี่พรีมพาไป แล้วก็ได้คุยเรื่องเช่าที่เรียบร้อยแล้วด้วยละ” น้ำเสียงเธอร่าเริง คำเรียกขานอภิสราเป็นไปอย่างสนิทสนม ปราณมองไปทางห้องยาโดยอัตโนมัติ แต่ตรงนั้นปราศจากเจ้าหน้าที่เพราะยังไม่หมดเวลาพักกลางวัน

“แล้วตกลงกันว่ายังไง”

“พี่พรีมให้ฉันไปเปิดร้านได้ทันทีที่ฉันพร้อม...แต่ขายังไม่หายคงทำอะไรได้ไม่ถนัด” ดวงตากลมโตหลังกรอบแว่นหลุบมองขาตัวเองแล้วถอนหายใจ

“งั้นเราก็กลับบ้านกันได้แล้วสิ ไปกันเถอะ เดี๋ยวคุณยายเป็นห่วงแย่” ปราณเอ่ยชักชวนราวกับเขาเป็นสมาชิกคนหนึ่งของบ้านอย่างนั้นแหละ แถมยังฉวยเสื้อผ้าบนตักมาใส่กระเป๋าผ้าหลากสีหน้าตาคล้ายย่ามของตองแล้วถือไว้เองอีกต่างหาก ส่วนอีกมือก็ยึดถุงใส่ยาจากมือคนเจ็บมาครอบครองไว้ด้วย ชายหนุ่มชะลอฝีเท้าเดินไปพร้อมๆ กับคนเจ็บ โดยไม่สนใจสายตาหลายคู่ของผู้คนในโรงพยาบาลที่มองตามพร้อมรอยยิ้มชื่นชมเอ็นดู ผิดกับตองซึ่งมีท่าทางขัดเขินอย่างไรพิกล



เย็นวันนั้น ปราณรับหน้าที่พ่อครัวโดยมีพวงแสดคอยให้คำแนะนำช่วยเหลืออยู่ใกล้ๆ แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากมายเพราะรสมือของปราณดีอยู่แล้ว ส่วนแม่ครัวจำเป็นแบบตองซึ่งตอนนี้เข้าเท้ายังอักเสบอยู่นั่งใช้กระเป๋าน้ำร้อนประคบบริเวณที่บาดเจ็บตามที่หมอสั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร ดูท่าทางสบายกว่าเพื่อน

คนสบายกว่าเพื่อนนั่งเท้าคางมองร่างสูงที่เคลื่อนไหวคล่องแคล่วทะมัดทะแมงอยู่หน้าเตาแก๊ส นิ้วเรียวยาวขาวสะอาดหยิบจับขวดเครื่องปรุงอย่างมั่นใจโดยไม่ต้องหยุดอ่านฉลากเป็นระยะอย่างที่ตองทำทุกครั้งเมื่อต้องเข้าครัว เขาสะบัดตะหลิวไม่กี่ครั้งก็ได้ผัดผักจานใหญ่หอมฉุยมาวางตรงหน้าตอง เดินกลับไปง่วนอยู่ที่เดิมอีกไม่นาน ต้มยำกุ้งใส่มะพร้าวน้ำหอมหน้าตาน่ากินก็ถูกยกมาวางยั่วน้ำลายอีก

ปราณเป็นคนทำอะไรมีระเบียบเรียบร้อย ไม่ทิ้งขว้างเลอะเทอะ จาน ชาม ช้อน กระทะ ที่ใช้แล้วเขาเก็บล้างคว่ำให้เสร็จสรรพ ช่างผิดกับตองลิบลับอะไรเช่นนี้

ผู้ชายแบบนี้ ใครได้ไปร่วมบ้านคงกินดีอยู่สบายไปทั้งชีวิตแน่เลย ตองอดชื่นชมไม่ได้

“ตกลงมีความสุขใช่ไหมที่ข้อเท้าแพลง ถึงได้นั่งเท้าคางทำตาเยิ้มยิ้มแก้มตุ่ยแบบนี้น่ะ” พวงแสดเย้าหลานสาวขณะยกข้าวสวยร้อนๆ มาวางบนโต๊ะ

ตองรีบลดมือที่เท้าคาง ดึงกายขึ้นนั่งหลังตรง ตีหน้าเรียบเฉย...ดวงตากลมโตหลังแว่นหลุบมองจานอาหารตรงหน้า เพราะนั่นยังดีกว่าการสบตาคมเข้มของปราณเป็นไหนๆ ตาคมเข้มที่มองเหมือนจะหาร่องรอยหยาดเยิ้มที่ยายพูดถึง

“คนขี้เกียจอย่างตอง จะมีอะไรสุขไปกว่าการมีคนคอยดูแลทำโน่นทำนี่ให้ล่ะยาย ถ้าตอนขาดีๆ มีคนทำให้แบบนี้ก็แจ๋วเลยเนอะ”

ฟังคำพูดของคนขาเจ็บแล้ว ปราณก็อยากอาสาเป็นคนคอยดูแลทำโน่นทำนี่ให้เธอตลอดไปเสียเอง เขาไม่ได้ทำเพื่อความสุขของเธอหรอกนะ แต่เขาทำเพื่อความสุขใจของตัวเขาเองต่างหาก...เขามีความสุขที่ได้ดูแลเธอ เป็นความรู้สึกแปลกใหม่ที่เขาเพิ่งค้นพบเหมือนกันนั่นแหละ และเมื่อค้นพบแล้ว เขาก็ชัดเจน ตรงไปตรงมา ไม่ยอมเสียเวลารีรออะไรอีก

หากปราณก็ไม่สามารถพูดออกไปตามที่สมองคิดและใจรู้สึกได้ เพราะเกรงใจพวงแสดที่นั่งอยู่ด้วยทั้งคน

อาหารมื้อเย็นที่มีปราณร่วมโต๊ะครึกครื้นเป็นพิเศษ หลังจากพวงแสดเปิดใจรับปราณมากขึ้นนางก็ต้องอัธยาศัยเขาจนสามารถหาเรื่องมาพูดคุยกันได้ไม่รู้จบ ตั้งแต่เรื่องโลกร้อน โรคระบาด ปัญหาสังคม แม้แต่ข่าวบันเทิงที่ยายชอบดูเขาก็สามารถคุยกับยายได้รู้เรื่อง...จนตองเริ่มอิจฉานิดๆ ดูเถอะ เธอเป็นหลานแท้ๆ อยู่กับยายทุกวี่ทุกวันยายยังไม่เคยหัวร่อต่อกระซิกกับเธอแบบนี้มาก่อนเลย

แต่ยายมีความสุขก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ...ตองย้อนถามตัวเองเร็วพลัน...ใช่...แค่ยายมีความสุขก็พอแล้วจะคิดมากอะไรนักหนา...เมื่อคิดได้แบบนี้ตองก็สบายใจขึ้น ยิ้มและหัวเราะไปกับเรื่องเล่าสนุกๆ สารพัดสารเพของปราณได้เต็มที่

ทว่าแววหวานระยับในดวงตาของเขายามมองเธอนั่นแหละ ที่ทำให้ตองวางหน้าไม่ถูกและจำเป็นต้องใช้ความเงียบสงบสยบความรู้สึกแปลกๆ ในใจโดยทันที

บรรยากาศดีๆ ที่ดำเนินเรื่อยมาตั้งแต่เย็นยังคงอยู่แม้กระทั่งอาหารมื้อนั้นจบลง พวงแสดยังชวนปราณมานั่งจิบชาอุ่นๆ ตากลมหนาวเย็นๆ บนเก้าอี้สนามหน้าบ้านตบท้ายรายการ

“หอมดีนะครับ” ชายหนุ่มเอ่ยทั้งที่ปลายจมูกยังจดจ่ออยู่เหนือปากถ้วยชา

“ชากุหลาบน่ะ เกสรดอกกุหลาบ ตองนั่นแหละ เขาสรรหามาให้ยาย บอกว่ามีสรรพคุณบำรุงหัวใจ”

ปราณอมยิ้ม...และค่อยจิบชาทีละนิด ละเลียดรสหอมละมุนที่อุ่นไปถึงหัวใจ เขารู้ ความรู้สึกอบอุ่นที่ซ่านซึมอยู่ในใจนี้ไม่ใช่เพราะชาในถ้วยเซรามิกที่เขากอบกุมอยู่หรอก แต่เป็นเพราะคนตัวเล็กผมเปียยาวซึ่งกำลังนั่งทายาที่ข้อเท้าอยู่ใกล้ๆ พวงแสดนั่นต่างหาก เธอมีสรรพคุณบำรุงหัวใจทำให้เลือดสูบฉีดดียิ่งกว่าชาขนานไหนๆ ซะอีก

“ขอบคุณนะครับคุณยายสำหรับข้าวเย็นแล้วก็ชาหอมๆ”

“เราสองคนยายหลานต่างหากที่ต้องขอบคุณ คุณปราณทำข้าวปลาอาหารให้เรากินยังไม่พอ ยังช่วยเก็บล้างอีก เอาไว้ให้ยายหายดีก่อนนะ เดี๋ยวยายจะเลี้ยงตอบแทน” พวงแสดตอบอารมณ์ดี

“แล้วผมจะกลับมากินอาหารฝีมือคุณยายครับ”

คำพูดของเขาทำให้ตองต้องเหลือบตาขึ้นมอง และสบเข้ากับดวงตาคมเข้มที่ประดับด้วยขนตาดกหนาเหยียดตรงซึ่งมองเธออยู่ก่อนแล้ว “คืนนี้ผมต้องเดินทางกลับกรุงเทพฯ แล้วครับ พรุ่งนี้เช้ามีงานด่วน แต่ยังไง ผมคงกลับมาอีกแน่”

“อ้อ อย่างนั้นรึ ถ้าอย่างนั้นก็เดินทางปลอดภัยแล้วกัน ขับรถอย่าประมาท” พวงแสดเตือนด้วยน้ำเสียงบ่งถึงความปรารถนาดี

“ครับ” เขารับคำพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น และรอยยิ้มนั้นเผื่อแผ่ไปให้ตองด้วย ซึ่งพักหลังเธอดูเงียบไป...ตั้งแต่ที่โต๊ะอาหารแล้วละ

เรื่องคุยยังไม่ทันหมด ชาเลิศรสยังพร่องไปไม่มาก บรรยากาศแสนสบายที่ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกปลอดโปร่งก็ต้องมลายสิ้นไปเพียงแค่ร่างสูงใหญ่กำยำของกรปรากฏขึ้นพร้อมมอเตอร์ไซค์คันเก่งของตองที่ซ่อมเสร็จเรียบร้อยแล้ว

“รถตองซ่อมเสร็จแล้ว พี่เลยเอามาส่งให้ ไม่รู้ว่ามีแขก” ดวงตาสีนิลที่มองปราณแสดงความไม่เป็นมิตรอย่างเปิดเผย ยิ่งเห็นปราณอยู่ในชุดที่พวงแสดนำมาให้ผลัดเปลี่ยนตั้งแต่เช้า ดวงตาฉายแววไม่พอใจชัดเจน

“ตองขาเจ็บน่ะพี่กร คุณปราณช่วยพาไปหาหมอ พอกลับมายายเลยชวนกินข้าวเย็นด้วยกัน” ตองอธิบายเสียงเรียบ ไม่พอใจที่กรเสียมารยาทกับ ‘แขก’ ของเธอ

กรตวัดสายตามองข้อเท้าเล็กๆ ที่บัดนี้พันผ้ายืดไว้เรียบร้อยแล้ว เขาก้าวสองทีก็ไปทรุดลงนั่งยองๆ บนส้นเท้าข้างเก้าอี้ที่ตองพาดเท้าไว้

“ไปทำอะไรมาขาถึงเจ็บ เป็นอะไรมากหรือเปล่า” ความไม่พอใจในดวงตาสีนิลแปรเปลี่ยนเป็นห่วงใยแทนยามมองหญิงสาวที่ตนใฝ่ปอง

“ขาแพลง กินยา ทายาเดี๋ยวก็หาย” ตองจงใจเลี่ยงคำถามแรก และรอยยิ้มของเธอก็ทำให้กรพลอยลืมมันไปด้วย เมื่อกรเป็นพี่ชายอบอุ่นคนเดิม ตองก็กลายเป็นน้องสาวที่น่ารักคนเดิมด้วยเช่นกัน “ขอบคุณพี่กรมากค่ะเรื่องรถ”

“ไม่เป็นไร พี่ยินดีช่วยเหลือตองทุกอย่าง”

เสียงห้าวทุ้มและรอยยิ้มรวมถึงฝ่ามือใหญ่ๆ ที่วางลงบนศีรษะได้รูปสวยของแม่สาวผมเปียยาว ทำให้ความขุ่นมัวแปลกๆ เคลื่อนที่เข้ามาบดบังความชื่นบานที่ปราณเกี่ยวเก็บไว้ในใจมาตลอดทั้งวันเสียสิ้น ความรู้สึกเป็นส่วนเกินผลักดันให้ปราณต้องขอตัวกลับ

“จะกลับแล้วหรือ เดี๋ยวยายเดินไปส่ง” พวงแสดบอกพลางลุกขึ้นยืน แต่ช้ากว่ากร

“เดี๋ยวผมไปส่งคุณปราณเองดีกว่าครับ ยายนั่งพักเถอะ”

“อย่าลำบากเลยครับ รถจอดอยู่แค่นี้เอง” ปราณพยักเพยิดไปทางรั้วที่ถูกปกคลุมด้วยเถาพวงแสดดอกดกพราว

“ไม่ได้หรอกครับ เสียมารยาทแย่เลย” กรทำราวกับเป็นคนในครอบครัว เขาเข้าไปยืนข้างปราณยิ้มและผายมือไปทางประตูรั้ว ปราณยิ้มเย็นใส่กร แล้วเลยมองสบตาตองและเอ่ยเสียงเนิบนุ่ม จงใจยั่วหนุ่มผิวคร้ามกล้ามโตโดยเฉพาะ

“ชุดนี้ผมยืมก่อนนะตอง คราวหน้าผมจะซักมาคืน”

“ไม่ต้องคืนก็ได้ ที่นี่ไม่มีใครใช้หรอก” ตองยกให้เขาหน้าตาเฉย ปราณยิ้มกว้างเหมือนเด็กได้ของถูกใจ รอยยิ้มแบบนั้น สายตาแบบนั้นทำให้กรแทบเต้น

“งั้นผมจะถือว่าเป็นของที่ระลึกแล้วกันนะ ผมกลับก่อนนะตอง แล้วจะมาใหม่”

“จะล่ำลากันอีกนานไหม” กรกระซิบถามเสียงขุ่น ปราณยังคงคงยิ้ม แม้กระทั่งตอนที่ยกมือไหว้ลาพวงแสด ก่อนจะเดินเรื่อยๆ ออกไปขึ้นรถ เจตนาให้ขวางหูขวางตากรนั่นแหละ

เมื่อสองหนุ่มออกมาพ้นสายตาเจ้าบ้าน กรก็กระชากเสียงถามดังพอให้ได้ยินกันแค่สองคน

“คุณมาที่นี่...ต้องการอะไรกันแน่”

ปราณสบตาคมดุของกรซึ่งแวววาวอยู่ในแสงจันทร์สลัว ไม่รู้สึกสะทกสะท้านแต่อย่างใด

“ผมก็ต้องการสิ่งเดียวกับคุณนั่นแหละ”

กรจ้องตาปราณราวกับต้องการค้นหาความจริงในคำพูดของเขาเมื่อครู่...ผู้ชายเหมือนกัน แค่มองตากันทำไมจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไร...ปราณต้องการสิ่งเดียวกับกรจริงๆ นั่นละ ไม่ใช่ที่ดินผืนงาม แต่เป็น...หัวใจตอง

“ไม่มีทาง ฉันไม่มีทางยอม” กรเน้นเสียงลอดไรฟัน

“มีทางหรือไม่ ยอมหรือเปล่า...ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณ...ไม่ใช่หรือ” ปราณตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย คิ้วเข้มเลิกขึ้นนิดๆ เป็นท่าทางยียวนที่เขาไม่เคยทำมาก่อน ทว่าช่างขัดกับแววตาที่บ่งชัดจริงจัง...เขาไม่ยอมแพ้เช่นกัน



เมื่อเท้ายังอักเสบ ปวด และบวมอยู่ ตองจึงต้องพักจากการเย็บผ้าก่อน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ค่ำคืนนี้ตองว่างงานและนอนหลับอุตุหลบอากาศหนาวอยู่ใต้โปงผ้าห่มอย่างที่ก่อนหน้านี้เคยทำอยู่เสมอ ตองหอบเอางานเข้ามาทำในห้องนอน เพราะไม่อยากให้ยายเป็นห่วงและมานั่งถ่างตาอยู่เป็นเพื่อน เธอนำเสื้อที่เย็บเสร็จแล้วมาปักลวดลายแปลกตาลงไป พร้อมกันนั้นก็คิดลวดลายใหม่ๆ ไปด้วย เมื่อคิดได้ก็ร่างลงบนสมุดที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้าเพื่อป้องกันการหลงลืม

เมื่อได้ลงมือทำงานตองก็ลืมอาการเจ็บป่วย มีบ้างหรอกที่หน้าของใครบางคนลอยเข้ามารบกวนความรู้สึกอยู่เนืองๆ แต่เธอก็แข็งใจปัดออกไปทุกครั้ง...ปัดออกไปโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิดว่า...เพราะเหตุใดกันเธอจึงเปิดทางให้น้ำเสียงทุ้มน่าฟัง รอยยิ้มที่ชวนให้ยิ้มตามอยู่เสมอ ลมหายใจอุ่นๆ และอ้อมแขนแข็งแรงที่เธอได้สัมผัสคอยแวะเวียนเข้ามาในความรู้สึกนึกคิดครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นนี้

ขณะกำลังเพลิดเพลินกับการทำงาน โดยมีเรื่องราวของชายหนุ่มชื่อปราณเป็นแบ็คราวด์ทางความคิดอยู่นั้นเอง ร่างบางก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อเสียงๆ หนึ่งดังแหวกความสงัดเงียบภายในอาณาจักรส่วนตัวของเธอขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

มีดวงใจหนึ่งดวงจะมอบให้เธอไว้ครอง *
เมื่อยามสองเราต้องจากไกล
พาดวงใจเลื่อนลอย ฝากบทเพลงบรรเลงให้ไว้
เธอโปรดเก็บใจไว้เพื่อรอ
ฝากคำว่าคิดถึงให้เธออยู่เสมอ
แม้ไม่ได้เจอฉันก็สุขใจ
หากชีวิตไม่สิ้น...ฉันจะกลับเอารักมาให้
เธอโปรดจำไว้...วันที่ฉันรอ


ตองเหลียวหาต้นเสียงว่ามาจากทางไหน แล้วดวงตากลมโตก็หยุดนิ่งตรงกระเป๋าสะพายหน้าตาคล้ายย่ามที่เธอวางแหมะไว้บนเตียงตั้งแต่กลับมาจากโรงพยาบาล ร่างบางเดินกะเผลกไปค้นดู เมื่อพบต้นเหตุของเสียงเพลงรุ่นคุณพ่อหนุ่มๆ เท่านั้นแหละ คิ้วเรียวเหนือกรอบแว่นก็ขมวดมุ่น

โทรศัพท์มือถือ...ยี่ห้อเดียว รุ่นเดียว สีเดียวกับที่เธอทำหลุดมือจมน้ำไปเมื่อเช้าไม่มีผิด ทว่าตอนนี้มันกลับมาอยู่ในกระเป๋าเธอ และมันกำลังส่งเสียงเรียกเข้าเป็นท่วงทำนองเพลงออดอ้อนอ่อนหวาน...ถึงจะเหมือน แต่นี่ไม่ใช่โทรศัพท์ของเธอเด็ดขาด ของเธอไม่ใหม่เอี่ยมแบบนี้และมีร่องรอยขีดข่วนจากการตกหล่นเต็มไปหมด เสียงเพลงเรียกเข้านี่ก็ไม่ใช่...แล้วนี่มันของใครกันล่ะ แล้วมาอยู่ในกระเป๋าเธอตั้งแต่เมื่อไรกัน

คนที่บอกได้ก็คงเป็นเจ้าของหมายเลขแปลกตาที่กำลังรอให้เธอรับสายอยู่นี่กระมัง หญิงสาวตัดสินใจกดรับสายและกรอกเสียงลงไป

“สวัสดีค่ะ”

“ยังไม่นอนอีกหรือ” เสียงทุ้มที่วนเวียนอยู่ในหัวตองหลายครั้งหลายหน เมื่อดังขึ้นจริงๆ ชัดๆ กลับทำให้ตองใจเต้นแรง

“ทำงานอยู่” ตองตอบสั้นๆ ตามจริง

“ขยันจัง” เสียงนั้นชื่นชม ตองไม่คิดจะแก้ความข้องใจ ว่าเธอไม่ได้ขยันเพียงแต่กลัวผลิตสินค้าไม่ทันเปิดร้านต่างหาก เธอไม่พิรี้พิไรให้เสียเวลา กลับถามเข้าเรื่องตรงประเด็นว่า

“โทรศัพท์เครื่องนี้มาอยู่ในกระเป๋าฉันได้ยังไง”

“ก็นั่นโทรศัพท์ตอง ไม่เชื่อเช็คเบอร์ดูสิ” ปราณตอบเสียงร่าเริง

ปราณจำหมายเลขโทรศัพท์ตองได้แม่นยำตั้งแต่ตอนที่เธอแจ้งประวัติแก่โรงพยาบาลแล้ว เขาก็แปลกใจตนเองเหมือนกันที่สามารถจดจำเลขสิบหลักซึ่งไม่ได้เรียงลำดับสวยงามและแทบไม่ซ้ำกันได้ในเวลาอันรวดเร็ว ดังนั้น เขาจึงไม่รีรอที่จะโทร. เช็คว่าเป็นหมายเลขโทรศัพท์ของเครือข่ายใด หลังจากนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะขอซิมใหม่ในเบอร์เดิม...ที่เขากลับไปรับเธอที่โรงพยาบาลช้ากว่าเวลาที่บอกไว้ก็เพราะเหตุนี้แหละ

ทำไงได้ล่ะ...เขากลัวทนคิดถึงเธอไม่ไหวนี่นา

“คุณปราณ...” ตองเรียกเสียงเข้ม “ฉันรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ มันมากเกินไป”

“ไม่รับก็ไม่เป็นไร” ปราณไม่ตื๊อ แต่เอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายๆ ว่า “ฝากไว้ก่อนแล้วกัน ระหว่างที่ยังไม่มีเทวดาอารักษ์องค์ใดงมโทรศัพท์ตองขึ้นจากน้ำ ตองก็ใช้เครื่องนี้ไปก่อนก็ได้ อีกอย่าง ตอนนี้ผมกำลังขับรถกลับกรุงเทพฯ ออกมาไกลแล้วด้วย คงย้อนไปรับคืนตอนนี้ไม่ได้แล้วละ”

“ง่ายๆ อย่างนี้เลยเหรอ” ตองพึมพำ หากในใจลึกๆ กลับรู้สึกยินดีอย่างไรบอกไม่ถูก ไม่ได้ยินดีกับของฟรีราคาแพง แต่ยินดีกับความใส่ใจเล็กน้อยที่ได้รับมาโดยที่ตนเองก็ไม่เคยคาดหวัง

“งั้นคืนนี้ผมไม่รบกวนตองแล้วละ ดูแลตัวเองดีๆ นะ จะได้หายไวๆ”

“ฮื่อ” ตองทำเสียงในลำคอ และวางสายจากปราณโดยไม่ได้กล่าวลา

แต่ให้ตายเถอะ...ไหนเขาบอกว่าคืนนี้เขาจะไม่รบกวนเธอแล้วไง แล้วทำไมในความคิด ในจิตใจตองจึงมีทั้งภาพและเสียงของผู้ชายชื่อปราณเพ่นพ่านเต็มไปหมด...ชัดเจนแจ่มแจ๋วยิ่งกว่าเดิมเสียด้วยสิ

ปราณจะรู้ไหมว่าแผนการเอาคืนของเขาสำเร็จแล้ว...ยามนี้...ตองคิดถึงเขาเหมือนที่เขาคิดถึงเธอไม่มีผิด


* เพลงรอวันฉันรักเธอ ศิลปิน คีรีบูน


สวัสดีค่ะ วันนี้ฤกษืดีขัดเกลาต้นฉบับที่เขียนได้น้อยนิดให้สละสลวยพอที่จะอวดสายตาชาวบ้านได้แล้ว ผู้เขียนก็ไม่รีรอ รอรี รีบเอามาอัพให้อ่านกันทันทีเลยค่ะ ลืมกันไปแล้วหรือยังคะ หวังว่าจะยังน้า...ถ้าคิดถึง อยากคุย แวะไปทักทายกันได้นะคะ ที่แฟนเพจตามลิงค์นี้เลยค่ะ http://www.facebook.com/fasai.suphiphak#!/fasai.phawin



ภาวิน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 ก.ย. 2555, 19:11:51 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 ก.ย. 2555, 19:17:44 น.

จำนวนการเข้าชม : 1478





<< ตอนที่ ๖   ตอนที่ ๗ (ครึ่งแรก) >>
ภาวิน 21 ก.ย. 2555, 19:26:26 น.
คุยกันดีกว่าเนอะ
คุณปีศาจสัญจรคะ ต้องขอโทษด้วยค่ะที่ผู้เขียนไม่อาจอัพไวๆ ได้ทันใจ พอดีช่วงที่ผ่านมา สมองผู้เขียนเกิดขลุกขลักนิดหน่อยเพราะมีเรื่องให้คิดหลายเรื่อง แต่วันนี้มาแล้วค่ะ

คุณอสิตา ไม่ต้องเสียดายโทรศัพท์ค่ะ ตอนนี้หาเครื่องใหม่มาให้ใช้แล้วนะคะ

คุณบุลินทร อิฉันเบ่งมาได้แค่นี้แหละค่ะ รู้สึกอึดอัดเหมือนคนท้องผูก อยากระบาย แต่มันไม่ยอมออกจริงๆ

คุณnunoi มาต่อแล้วนะคะ เร็วของคนเขียน แต่สงสัยจะช้าสำหรับคนอ่านนะเนี่ย ลืมตอนเก่าไปหมดแล้วหรือยังเอ่ย

คุณ Barby มาอัพให้แล้วค่า มาอ่านไวๆ ฉุดลาก

สุดท้าย ขอบคุณทุกสายตาที่แวะผ่านมาทักทายเยี่ยมชม ทุกไลค์ ทุกตัวหนังสือที่พิมพ์ลงมาคอมเม้นท์ บอกกล่าวความรู้สึกหลังอ่านจบ เป็นกำลังใจที่ดีเยี่ยมให้กับคนเขียนค่ะ ทำให้คนเขียนที่ขี้เกียจพอกับนางเอกเรื่องนี้ลุกขึ้นมาตั้งอกตั้งใจเขียนต่อไปอย่างมีความสุข ขอบคุณมากๆ ค่ะ


Barby 21 ก.ย. 2555, 20:41:10 น.
อันแน่คิดถึงกันไปคิดถึงกันมา เรื่องจะเป็นยังไงต่อไปนะ แต่มันจะราบเรียบอย่างนี้ได้นานมั้ยอ่ะ


อสิตา 22 ก.ย. 2555, 08:37:03 น.
ชอบมุกโทรศัพท์มากค่ะ แต่แหมพระเอกใจง่ายจริง เจอกันไม่กี่วันก็อยากอยู่ด้วยกันตลอดไปแล้ว


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account