มนตรากระดังงา
นางพริมา กีรติอนันต์ พัฒนภิรมย์ กับ นายภัทร์ พัฒนภิรมย์ คู่สามีภรรยาที่ครองรักกันมากว่า 6 ปี และมีพยานรักเป็นเด็กชายน่ารัก 2 คน ต้องจบชีวิตคู่ที่เริ่มจากรั้วมหาวิทยาลัยลงเพราะฝ่ายชายไปมีเมียน้อยซึ่งกำลังจะมีลูกสาวด้วยกัน หญิงสาวยอมหย่าให้และยอมเป็นแม่หม้ายในวัยเพียง 30 ปี ชีวิตคู่ที่พังทลายกลับสร้างพริมาคนใหม่ให้แกร่งกว่าเดิม เธอเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวขึ้น กระดังงาลนไฟดอกนี้จึงกลายเป็นที่หมายปองของชายหนุ่มทั้งหลาย รวมทั้งภัทร์ พัฒนภิรมย์ ที่เพิ่งสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของอดีตภรรยา จนทำให้ความรักที่เขาคิดว่าได้มอดเชื้อไปแล้วนั้นปะทุขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
รักครั้งใหม่กับคนเดิมจะสมหวังได้หรือไม่ เพราะฝ่ายชายก็มีครอบครัวใหม่แล้ว ส่วนฝ่ายหญิงก็มีชายหนุ่มมากมายมาเข้าแถวให้เลือก อานุภาพของความรักจะประสานรอยร้าวของหัวใจสองดวงให้กลับมาหลอมเป็นหนึ่งเดียวได้อีกครั้งหรือไม่ โปรดติดตาม......อาทิตา

Tags: รักร้าว มีเมียน้อย คืนดี

ตอน: ตอนที่ 12 ครบ 100% ค่ะ

ตอนที่ 12
พริมาเข้าพักที่โรงแรมหรูและขึ้นชื่อของจังหวัดเชียงใหม่ ‘ณ นิมมานรดี’ ซึ่งเจ้าของก็ คือ วิชญ์ นิมมานรดี สามีเพื่อนสนิทของเธอเอง หญิงสาวปฏิเสธที่จะไปพักที่ ‘คุ้มนิมมานรดี’ เพราะอยากได้ความเป็นส่วนตัวมากกว่า และที่สำคัญ คือ เธอไม่อยากเอาเรื่องทุกข์ร้อนของตนเองไปทำลายบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความสุขในการต้อนรับทายาทคนที่ 3 ของครอบครัวเพื่อนรัก หลังจากไปเยี่ยมหลานชายตัวน้อยเมื่อวานแล้ว วันนี้เธอและพิชญธิดาจึงตกลงนัดรับประทานอาหารกันที่ห้องอาหารของโรงแรม เมื่อแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยด้วยชุดลำลองตามสมัยนิยมแล้วพริมาจึงลงไปยังจุดนัดหมาย
“ปริม ๆ ทางนี้จ้ะ” พิชญธิดาคุณแม่ลูก 3 หมาด ๆ กวักมือเรียกพริมา พิชญธิดานั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารซึ่งอยู่ในมุมที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว แต่ก็สามารถชื่นชมทัศนียภาพที่สวยสดงดงามของสวนน้ำตกและสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ของโรงแรมแห่งนี้ได้
“ว่าไงจ๊ะคุณแม่ลูกสาม ไอ้เรานึกว่าจะแค่คุยโม้ ที่ไหนได้กล้าทิ้งลูกทที่ยังแดง ๆ ออกมาข้างนอกจริง ๆ ซะด้วยนะ” พริมาแกล้งแซวพิชญธิดา
“แหม! คนเราก็ต้องพักกันบ้างสิจ๊ะ ยิ่งลูกเล็ก ๆ นี่ยิ่งเหนื่อย จะกินจะนอนยังไม่เป็นเวลาเลย นี่ขนาดครบเดือนไปแล้วนะ โชคดีที่ไม่ขี้งอแงแถมพี่วิชญ์ก็พอมีประสบการณ์จากตาวินมาแล้ว พอมาถึงคนนี้พี่วิชญ์เลยช่วยได้เยอะหน่อย ฉันเลยยังพอมีเวลาให้ยายอินกับตาวินบ้าง ไม่งั้นเดี๋ยวงอนกันอีก เจ้าพวกนี้น่ะไม่รู้ไปเอานิสัยขี้งอนมาจากไหนกัน” พิชญธิดาอธิบายเสียยืดยาวด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุข
“นี่ขนาดบ่นว่าเหนื่อยนะยะ ยังมีตั้ง 3 คน ของฉันแค่ 2 คนก็แทบไม่มีเวลาเหลือแล้ว อัณณ์นะยังโชคดีที่คุณวิชญ์ช่วยเลี้ยง สมัยเจ้าสองลิงของฉันเล็ก ๆ แบบตาวันของอัณณ์นะ พี่โป๊ปน่ะ.........” พริมาหยุดกึกก่อนที่จะรีบพูดต่อในทันทีว่า
“ฉันน่ะไม่ได้ออกมาข้างนอกตั้ง 2 – 3 เดือนเชียวนะ”
“ปริม คนเราน่ะ ยิ่งรักลูกมากเท่าไรก็ต้องยิ่งดูแลตัวเองให้มากขึ้นเท่านั้นนะ” พิชญธิดาหยุดพูดเมื่อเห็นสายตาฉงนของพริมาที่มองมา
“ฉันไม่ได้หมายถึงดูแลตัวเองให้ดูดีอย่างเดียวนะฉันหมายถึงสุขภาพโดยรวมต่างหากล่ะ คนรูปร่างดีไม่ได้แปลว่าสุขภาพดีเสมอไปนะจ๊ะ คนเป็นแม่อย่างเราต้องดูแลตัวเองให้ดี เพราะเราจะได้อยู่กับลูกไปนาน ๆ ไงล่ะ ถ้าเราทุ่มเทให้กับลูกจนละเลยตัวเอง วันหนึ่งเราก็คงต้องล้มป่วยและจะกลายเป็นภาระของลูกเข้าไปอีก ปริมเข้าใจที่ฉันพูดนะ” พิชญธิดาถาม
“อือ เข้าใจสิ” พริมาตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยเพราะกำลังทบทวนสิ่งที่เพื่อนรักพูด และแอบสงสัยว่าพิชญธิดาอาจจะล่วงรู้ปัญหาของเธอเข้าแล้ว
“ที่จริง นอกจากเราจะต้องดูแลตัวเองให้ดูดีและมีสุขภาพดีแล้วนะ เราต้องอย่าลืมดูแลสามีของเราด้วยนะจ๊ะ” พริมาสบตาพิชญธิดาอย่างรวดเร็วเพื่อให้แน่ใจว่าเพื่อนรักไม่ได้แอบแฝงนัยอื่น
“อ้าว! ทำไมมองฉันอย่างนั้นล่ะ หรือปริมจะเถียงฮะ” พิชญธิดาถามเมื่อเห็นเพื่อนรักออกอาการคลางแคลงใจในตัวเธอ
“เปล่าจ้ะ ใครจะไปกล้าเถียงคุณแม่ลูกสามอย่างเธอล่ะจ๊ะ” พริมาล้อเพื่อน
“ปริมอย่าลืมนะว่าในที่สุดคนที่จะอยู่กับเราไปตลอดชีวิตน่ะ คือ สามีของเรานะ ไม่ใช่ลูก ๆ ที่จะมีทางเดินของเขาเอง สักวันหนึ่งพวกเขาก็ต้องเดินจากอกของเราไป ไปมีชีวิตที่พวกเขาต้องการ ปริมอย่าลืมนะว่าเราไม่สามารถรั้งเขาให้อยู่กับเราได้ตลอดไป” พิชญธิดาให้ข้อคิดก่อนที่จะเสริมต่อว่า
“เมื่อเขาคือคนที่เราเลือกแล้วเราก็ต้องดูแลซึ่งกันและกัน เพราะบั้นปลายชีวิตก็จะมีแค่เราสองคนเท่านั้นนะ”
“ไม่เสมอไปหรอกมั้งอัณณ์” พริมาเถียง
“ใช่จ้ะ ไม่เสมอไป ไม่ใช่ทุกคู่ที่จะอยู่ได้อย่างยืดยาวจนวาะระสุดท้ายของชีวิต บางคนอาจไปเจอคู่ชีวิตหลังเลิกจากคนแรกก็มีให้เห็นถมเถไป แต่ถ้าเลือกได้ผู้หญิงเราก็อยากจะมีคู่ชีวิตเพียงคนเดียวไม่ใช่เหรอจ๊ะ เรามาจากต่างพ่อต่างแม่ต้องใช้เวลาปรับตัวเข้าหากันกว่าจะลงตัว แต่ชีวิตของเราไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้นนะ พอเรามีลูกชีวิตเราก็เปลี่ยนไปอีก เราก็ต้องปรับตัวกันอีก พอมีลูกคนที่ 2 คนที่ 3 ชีวิตก็เปลี่ยนอีกแล้ว เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงก็ต้องมีการปรับตัว......ถ้าเธอไม่เห็นด้วยก็ต้องไปโทษคุณชาล์ส ดาร์วิน บิดาแห่งวิชาพันธุศาสตร์โน่นแหนะ” พิชญธิดาแกล้งพูดติดตลกเพื่อปรับบรรยากาศที่เริ่มตึงเครียด ซึ่งก็เรียกรอยยิ้มให้กลับมาบนใบหน้าสวยของพริมาได้อีกครั้ง
“ค่าาา คุณพิชญธิดา” พริมาตอบเพียงแค่นั้นเพราะในหัวสมองเริ่มคิดฟุ้งซ่าน และมีคำถามผุดขึ้นมามากมายเต็มไปหมด เธอตัดใจเก็บคำพูดเตือนสติที่เพื่อนแนะนำเอาไว้ก่อนแล้วค่อยเอาไปทบทวนอีกครั้งในยามที่อยู่คนเดียว พริมาไม่อยากให้เรื่องของเธอมาทำลายบรรยากาศในการนัดพบในวันนี้ จึงเปลี่ยนประเด็นในการสนทนา
“เออ! แล้วคุณชายสายเสมอวรปรัชญ์ละ ไหนว่าจะมากินข้าวด้วยไง” พริมาเอ่ยถามถึงเพื่อนสนิทที่โทรมาบอกว่าจะบินตามมาสมทบทีหลัง
“คุณชายวรปรัชญ์นะเหรอ เสด็จมาถึงแล้วจ้า ท่านกำลังสรงน้ำแต่งองค์อยู่ เดี๋ยวก็คงลงมาน่ะ เมื่อคืนมันก็นอนที่นี่ ไม่ได้ไปพักที่บ้านฉันหรอก เมื่อกี้มันโทรลงมาบอกว่าให้เราสั่งอาหารกันได้เลย พอมันลงมาก็จะได้กินพอดี ไม่ต้องรอให้เสียเวลาไงล่ะ”
“โห! มันเสมอต้นเสมอปลายจริง ๆ เลยนะเรื่องกินนี่น่ะ เมื่อก่อนยังไงเดี๋ยวนี้ก็ยังเหมือนเดิม” พริมาพูดพลางหัวเราะพลาง พิชญธิดาซึ่งก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งจึงหัวเราะตามไปด้วย
เมื่อสั่งอาหารได้แล้วซึ่งเมนูส่วนใหญ่ก็มาจากคำแนะนำของภริยาเจ้าของโรงแรมนั่นเอง พริมาและพิชญธิดาก็นั่งคุยกันต่ออย่างออกรสชาติ ซึ่งคราวนี้เป็นหัวข้อที่สนุกสนานแตกต่างไปจากเดิมอย่าง สิ้นเชิง และเนื่องจากไม่ได้พบหน้ากันเสียหลายเดือน เพราะเมื่อพิชญธิดาและครอบครัวย้ายมาอยู่ที่เชียงใหม่เป็นการถาวรเพื่อที่จะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับคุณลุงคุณป้าของวิชญ์ผู้ใหญ่ที่เหลืออยู่เพียง 2 ท่านซึ่งเปรียบเสมือนบุพการีของวิชญ์ การติดต่อกันในพักหลังก็เป็นเพียงทางโทรศัพท์เสียส่วนใหญ่ เมื่อมีโอกาสแบบนี้คุณแม่ทั้งสองจึง ‘เม้าท์’ กันเป็นที่สนุกสนาน เรื่องราวที่พูดคุยก็หนีไม่พ้นเรื่องชวนปวดเศียรเวียนเกล้าของบรรดาลูก ๆ ทั้งหลาย ซึ่งลูก ๆ ของทั้งสองคนก็มีวัยไล่เลี่ยกันพอดี ด.ญ. อินเลิฟลูกสาวคนโตของพิชญธิดาอายุอ่อนกว่า ด.ช. ป๊อปเพียงไม่กี่เดือน ส่วน ด.ช. วินและด.ช.ปิ๊ปก็รุ่นราวคราวเดียวกัน เพราะคลอดในเดือนเดียวกัน คนหนึ่งคลอดต้นเดือนอีกคนคลอดปลายเดือน ‘วีรกรรม’ ทั้งหลายของเด็ก ๆ จึงใกล้เคียงกันพอสมควร
“แหม! คุณนายโรงแรมกับคุณนายธนาคารพอเจอกันทีเม้าท์แตกซะเสียงดัง หัวเราะไม่เกรงใจพนักงานกันเลยนะยะ นี่ถ้ามีนังปั๊ปเจ้าแม่แฟชั่นมาด้วยอีกคน ก็ครบองค์ประชุมพอดี” วรปรัชญ์ทักทายเพื่อน ๆ ตามแบบฉบับของตน
“ค่ะ ครบองค์ประชุมเพลิงแกพอดีเลยใช่ไหม ฮิๆๆ” พริมาตอกกลับในทันที
“โห! นังปริมนี่แกคงเรียนวิชาจากนังปั๊ปมาเยอะล่ะสิ พี่สะใภ้กับน้องสามีเลยปากคอเราะร้ายพอ ๆ กันแล้วนะยะ” วรปรัชญ์ไม่ยอมลดราวาศอกให้เช่นกัน
“ก็ฉันรู้ว่าต้องมาเจอะกับแกนี่ไงเลยต้องลับฝีปากเอาไว้ล่วงหน้าเสียหน่อย” พริมาชักสนุกที่ได้ต่อปากต่อคำกับเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอะเจอกันมานาน เพราะต่างคนต่างก็มีวิถีชีวิตที่แตกต่างกันไปตามทางของตน
“พอกันที ๆ นาน ๆ จะได้เจอกัน เอาพอหอมปากหอมคอก็พอ อย่าให้เลือดตกยางออกเลยนะยะคุณปรัชญ์และคุณปริม โน่น! พนักงานโรงแรมฉันตกอกตกใจกันหมดแล้ว กินข้าวกันเถอะ จานนี้ต้องทานร้อน ๆ” ภริยาเจ้าของโรงแรมอย่างพิชญธิดารีบห้ามทัพเมื่อเห็นพนักงานโรงแรมเริ่มกระซิบกระซาบกัน นอกจากจะตกใจกับการทักทายของเพื่อนสนิทแล้ว ก็คงจะตกตะลึงกับสีสันอันแสบทรวงของเสื้อผ้าวรปรัชญ์ที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีเขียวอ่อนสว่างไสวซึ่งเป็นผ้าลินินตัวยาวดูกรุยกราย ตัดกับกางเกงผ้าลินินขายาวสีส้มสด ซึ่งเจ้าตัวคงภาคภูมิใจที่สามารถเรียกสายตาของใครต่อใครให้หยุดมองมาได้
“ที่จริงแกจะรีบกินและรีบกลับไปเลี้ยงลูกน่ะสิ ใช่ไหมฮะนังอัณณ์” วรปรัชญ์เปลี่ยนเป้าหมายอย่างฉับพลัน
“ถ้าใช่แล้วจะทำไมฉันยะนังปรัชญ์” พิชญธิดาถามย้อนเพราะตั้งรับได้ทันท่วงที
“ไม่ทำไมหรอกยะ ฉันจะไปทำอะไรคุณนายเจ้าของโรงแรมได้ละยะ เดี๋ยวเกิดพาลไม่ให้ฉันพักฟรีขึ้นมา ฉันก็ต้องควักกระเป๋าจ่ายเองน่ะสิ อุ๊ย! อาหารมาแล้ว ขอพักรบชั่วคราวนะจ๊ะ” ศึกน้ำลายของสามสหายเพื่อนสนิทต้องยุติลงเมื่ออาหารที่สั่งไว้ทยอยออกตามมาเรื่อย ๆ ทั้งสามคนรับประทานอาหารไปพลางพูดคุยกันไปพลาง ไต่ถามสารทุกข์สุขดิบของกันและกันอย่างสุขใจ แม้วันเวลาจะผ่านไปนานขนาดไหน แต่มิตรภาพก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
“ใครจะกินกาแฟบ้าง” วรปรัชญ์เอ่ยถามเพื่อนร่วมวงหลังจากที่พนักงานมาเก็บโต๊ะไปเรียบร้อยแล้ว
“ฉันขอชาร้อนละกัน” พริมาตอบ
“ฉันไม่เอาล่ะ อิ่มจะแย่แล้ว” คุณแม่ลูกสามเอ่ยบอกเพื่อน ๆ ก่อนที่จะหันไปสบตาและพยักหน้ากับวรปรัชญ์เหมือนกับส่งสัญญาณบางอย่างให้กัน วรปรัชญ์วางผ้าเช็ดปากลงบนโต๊ะแล้วหันหน้ามาที่พริมา แล้วเอ่ยถามว่า
“แกไม่มีอะไรจะเล่าพวกฉันบ้างเหรอ”
“เรื่องอะไรยะ” พริมามองหน้าเพื่อนชายใจสาวอย่างงง ๆ
“ก็เรื่องที่ไม่สบายใจอยู่ไง” วรปรัชญ์เข้าประเด็นซึ่งก็ทำให้พริมาถึงกับพูดไม่ออก
“อย่าว่าพวกฉันยุ่งเรื่องส่วนตัวของแกเลยนะปริม เราเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ จะแบ่งปันแค่ความสุขเท่านั้นเหรอแก พวกฉันอาจช่วยอะไรแกไม่ได้ แต่รับฟังได้เสมอนะ ที่สำคัญพวกฉันเป็นส่วนหนึ่งของตำนานความรักของแกด้วยนะ จำไม่ได้เหรอที่พวกฉันน่ะรู้เห็นเป็นใจแถมยังเชียร์พี่โป๊ปกันออกหน้าออกตา จนหนุ่ม ๆ ทั้งหลายตกรอบกันไปหมดน่ะ” วรปรัชญ์พยายามพูดให้เป็นเรื่องสนุกสนานเพราะบรรยากาศบนโต๊ะเริ่มอึมครึม
“ปริม แกมีอะไรก็บอกให้พวกฉันรับรู้บ้างสิ ฉันรู้ว่าเป็นเรื่องส่วนตัว เป็นเรื่องครอบครัวของแกอย่างที่นังปรัชญ์มันบอก แต่เราเป็นเพื่อนกันนะ เป็นเพื่อนแกมาเป็นสิบปีแล้วนะปริม” พิชญธิดากล่าวเสริมอีกคน
“ใช่ เป็นเพื่อนแก และรู้จักแกมานานกว่าพี่โป๊ปอีกนะ” วรปรัชญ์ใส่มุก แต่นอกจากจะไม่เรียกเสียงฮาจากเพื่อนร่วมโต๊ะแล้ว ยังได้รับค้อนวงโต ๆ จากทั้งสองสาวอีกด้วย
“นังปั๊ปสินะที่บอกพวกแก” พริมาเอื้อนเอ่ยออกมาในที่สุด
“ก็ใช่น่ะสิ ถ้าปั๊ปไม่โทรมาเล่า แกคิดจะบอกพวกฉันไหมละ นี่นั่งคุยกันมาตั้งนานสองนานฉันไม่เห็นทีท่าว่าแกจะอ้าปากบอกอะไรเลย” วรปรัชญ์พูด
“ก็อ้าปากกินข้าวอยู่น่ะสิ” พริมาพยายามพูดให้ขำเพื่อกลบเกลื่อนอาการ ‘จี๊ด’ ที่เกิดขึ้น แผลยังใหม่ ๆ อยู่เมื่อโดนสะกิดเข้าอีก อาการบาดเจ็บเลยกำเริบอย่างช่วยไม่ได้
“ค่าาา ตลกตายละ” วรปรัชญ์แซวเพื่อนสาว ก่อนที่จะทำหน้าตาจริงจังแล้วบอกว่า
“ตกลงจะเล่าพวกฉันได้หรือยัง ฮึ ปริม”
“จะให้เล่าอะไรอีก ไหนว่านังปั๊ปมันเล่าหมดแล้วไง”
“เรื่องน่ะรู้แล้วจากนังปั๊ป แต่ที่อยากรู้ คือ ความรู้สึกแกต่างหาก นังปั๊ปมันยังบอกอีกนะว่าแม้แต่กับมัน แกก็ยังไม่ยอมพูดคุยปรับทุกข์ด้วย......ระบายออกมาบ้างเถอะปริม ถึงพวกฉันจะช่วยแก้ไขอะไรให้แกไม่ได้ แต่การได้ปลดปล่อยมันออกมาบ้างจะช่วยให้แกดีขึ้นนะ” วรปรัชญ์ให้ข้อคิด
“ปริม แกไม่รู้ตัวสินะว่าดวงตาแกมันไม่ได้สดชื่นสดใสเหมือนหน้าตาแกเลย เล่ามันออกมาบ้างเถอะ อย่าเก็บไว้คนเดียวเลย นังปั๊ปบอกว่าแกยังไม่ได้บอกที่บ้านแกใช่ไหม เท่ากับว่าตอนนี้แกแบกมันไว้คนเดียวอยู่นะ” พิชญธิดายื่นมือมาบีบมือให้กำลังใจพริมา
“นอกเสียจาก แกจะคิดว่าพวกฉันไม่ใช่เพื่อนแก!” วรปรัชญ์รุก
พริมาถอนหายใจก่อนที่สบตาเพื่อนรักทีละคน แล้วพูดขึ้นว่า
“ที่ไม่ได้เล่าเพราะเห็นว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ควรพูดในขณะนี้ ฉันมานี่เพื่อมารับขวัญหลานนะ มันเป็นเรื่องที่ดี เป็นงานมงคล ทุกคนกำลังมีความสุข แล้วจะให้ฉันเอาเรื่องของฉัน เรื่อง.....อัปมงคล มาเล่าทำไมกัน.......เรื่องที่ฟังแล้วไม่ได้มีความสุขอะไรขึ้นมาเลย” พริมาจบท้ายด้วยสายตาที่เศร้าสร้อย
“แล้วแกคิดจะเล่าตอนไหนล่ะ ตอนมีเรื่องก็ไม่เคยโทรหา ที่สำคัญพวกฉันน่ะไม่ใช่เพื่อนตายหล่อนเหรอยะถึงจะแชร์ได้แต่เรื่องสนุกสนาน เรื่องสุขใจเท่านั้นน่ะ” วรปรัชญ์ถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“พอเถอะปรัชญ์ ปริมอาจจะไม่พร้อมที่จะเล่าพวกเราก็ได้ อย่าไปบีบคั้นเพื่อนนักเลย” พิชญธิดาพยายามแก้สถานการณ์
“ตามใจ! เรารึอุตส่าห์รีบบินตามมาด้วยความเป็นห่วง พร้อมเมื่อไรก็เล่ามาละกัน จะวันนี้วันไหนก็จะรอ แต่ไม่ใช่มาเล่าตอนที่หย่ากันแล้วนะยะ” วรปรัชญ์ยั้งปากตัวเองไว้ไม่ทัน กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่ถูกพิชญธิดาหยิกเข้าให้ที่แขนไปหนึ่งทีเสียแล้ว
“ปริม ฉันขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจ ปากฉันเป็นอย่างนี้แกก็รู้นะ ไม่ได้จะแช่งหรือแดกดันอะไรแกนะ” วรปรัชญ์กล่าวขอโทษพริมา
“เออ! รู้แล้วว่าปากแกเป็นแบบนี้ ฉันไม่ได้โกรธอะไรหรอก และถ้าฉันจะหย่าก็ไม่ใช่เพราะปากแกหรอก คนเราจะหย่ากันมันต้องมีเหตุผล ไม่ใช่สิ มันต้องมีสาเหตุ” พริมาหยุดพูดไปสักพัก ก่อนที่สบตาเพื่อนทั้งสอง
“อยากรู้กันนักฉันก็จะเล่าให้ฟัง ดีเหมือนกันจะได้แบ่งเรื่องแย่ ๆ ในชีวิตฉันออกไปบ้าง” พริมาพูดติดตลกแต่ไม่มีใครขำด้วย ในทางกลับกันเพื่อนรักทั้งสองต่างยื่นมือมาบีบและลูบหลังให้กำลังใจเธอ พริมาจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้เพื่อนสนิททั้งสองฟังอย่างหมดสิ้น ในขณะที่เล่านั้นบางช่วงน้ำเสียงของเธอก็สั่นเครือ บางช่วงก็นิ่งไปเหมือนจะพยายามกล้ำกลืนก้อนสะอื้นที่แล่นขึ้นมา พริมาเล่าเรื่องราวทั้งหมดรวมทั้งอารมณ์และความเจ็บปวดของเธออย่างไม่มีปิดบัง จนวรปรัชญ์ที่นั่งฟังอย่างตั้งใจถึงกับลืมดื่มกาแฟที่สั่งมา ส่วนพิชญธิดาที่เกิดอารมณ์ร่วมเพราะเข้าใจความรู้สึกของคนเป็นภรรยาได้เป็นอย่างดี ก็ถึงกับน้ำตาซึมไปกับเจ้าของเรื่องด้วย
“แหม! ไอ้พี่โป๊ปนี่ทุเรศจริง พาผู้หญิงคนนั้นเข้าบ้านด้วย ถ้าฉันอยู่ด้วยล่ะก็ น่าดู” เสียงแหลมของภัทราดังขึ้นในทันทีที่พริมาเล่าเรื่องจบ ซึ่งสร้างความแปลกใจให้กับพริมาและพิชญธิดายิ่งนัก แต่เมื่อเห็นวรปรัชญ์ค่อย ๆ ยกเอาผ้าเช็ดปากขึ้นมาจากโต๊ะด้วยรอยยิ้มแหย ๆ สองสาวจึงได้เห็นโทรศัพท์มือถือของเจ้าตัวที่โชว์รูปภัทราหราบนหน้าจอ ทั้งสองคนก็เข้าใจได้ทันที
“นังปั๊ป! จะแหกปากขึ้นมาหาพระแสงทำไมยะ คนเขาตกใจกันหมดเลย รู้งี้ไม่โทรไปเสียก็ดี” วรปรัชญ์รีบโยนความผิดให้คนปลายสาย
“ช่างฉันเหอะน่า! นี่มันทั้งเรื่องของเพื่อนสนิทและเรื่องในครอบครัวฉันด้วยนะยะ พวกแกไม่ต้องว่านังปรัชญ์มันหรอกฉันสั่งมันไว้เอง อยากฟังจากปากปริมมันเอง ฟังคุณแม่เล่าแล้วแต่ไม่เคลียร์เพราะแม่มัวแต่ว่านังวิอะไรนั่นผิดอยู่คนเดียว ทีลูกชายตัวเองแล้วล่ะก็กลับบอกว่าสงสัยจะโดนเสน่ห์ยาแฝด” ภัทราอธิบายมาตามสายก่อนที่จะตั้งคำถามออกมาว่า
“ปริม แกจะหย่าจริง ๆ เหรอ” คำถามสำคัญที่ทุกคนอยากรู้คำตอบ
“นั่นสิปริม คิดดีแล้วเหรอ” พิชญธิดาถามซ้ำ
“ถ้าเป็นพวกแกสองคน แกจะหย่าไหมละ” พริมาถามเพื่อนทั้งสองกลับ
“ปริม ฉันขอแนะนำแกในฐานะที่ฉันเคยเจอมรสุมชีวิตมาก่อนนะ บางเรื่องมันอาจมีมุมที่เราไม่รู้ และนึกไม่ถึงมาก่อนนะ แกต้องคุยกับพี่โป๊ปให้เคลียร์จะได้ไม่มีอะไรติดค้าง ที่สำคัญอาจมีอะไรที่แกยังไม่รู้ ไม่เข้าใจพี่เขา ถ้าได้รับรู้เผื่อว่าจะปรับความเข้าใจกันได้ มันยังไม่สาย......” พิชญธิดาให้คำแนะนำอย่างผู้มีประสบการณ์
“เรื่องของแกเกิดจากความเข้าใจผิด แต่เรื่องของฉันไม่ใช่นะอัณณ์” พริมาโพล่งขัดจังหวะออกมาด้วยความอัดอั้นตันใจ
“นี่พวกแกยังไม่เคลียร์อีกเหรอว่าพี่โป๊ปเขายอมรับผิดแล้ว ถึงขนาดพาผู้หญิงคนนั้นมากราบคุณพ่อคุณแม่แล้ว เรื่องของฉันมันต่างจากของแกลิบลับเลยนะอัณณ์ มันไม่มีทางกลับตาลปัตรเป็นอย่างเรื่องของแกได้หรอก มันไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้ว เขาบอกฉันแล้วด้วยว่าเพราะฉันมัวแต่เลี้ยงลูก ไม่มีเวลาให้เขา เพราะฉันที่ทำให้เป็นแบบนี้ และถ้าต้องคุยกันอย่างที่แกว่าก็คงคุยกันเรื่องหย่านั่นแหละ” พริมาระบายความรู้สึกที่กักเก็บเอาไว้ออกมาอย่างสุดกลั้นพร้อม ๆ กับน้ำตาที่เริ่มไหลรินออกมาอีกครั้ง พิชญธิดาจึงรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างรวดเร็วและสวมกอดเพื่อนรักเพื่อปลอบประโลมใจ
“เฮ้ออออ! เอาเป็นว่าพวกฉันไม่เข้าไปยุ่งอะไรกับการตัดสินใจของแกก็แล้วกันเพราะพวกฉันไม่มีสิทธิ์ แต่พวกฉันอยากให้แกคิดให้รอบคอบ คิดให้ถี่ถ้วน คิดถึงผลต่าง ๆ ที่จะตามมา ทั้งกับตัวแกเองและกับลูก ๆ ถ้าแกยังยืนยันความคิดเดิมก็ตามใจแก ชีวิตเป็นของแก แกคนเจ็บแกก็ต้องหาวิธีรักษาความเจ็บนั้นเอง พวกฉันเป็นได้แค่คนพยุง คอยประคองไม่ให้แกล้มลง ขอให้แกจำไว้นะว่าแกมีพวกฉันเสมอ ไม่ว่าแกจะเป็นยังไง ก็ขอให้นึกถึงพวกฉันบ้าง ครั้งนี้ฉันให้อภัยที่แกไม่ยอมเล่า เก็บความทุกข์เอาไว้คนเดียวตั้งเดือนสองเดือน แต่ถ้ามีคราวหน้าแล้วล่ะก็ ฉันจะไม่นับแกเป็นเพื่อนอีกแล้ว จำเอาไว้นะ” วรปรัชญ์บอกพริมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ คำพูดซึ้ง ๆ ที่ออกมาจากใจจริงของเพื่อนยิ่งทำให้พริมาร้องไห้มากยิ่งขึ้น
“แกพูดได้ดีมากปรัชญ์ ไม่นึกเลยว่าคนอย่างแกจะพูดได้ซาบซึ้งแบบนี้” เสียงภัทราดังขึ้นมาอีกครั้ง
“อ้าว! ยังอยู่อีกเหรอนังปั๊ป นึกว่าไปเสียแล้ว”
“ไปไหนล่ะยะ นี่มันเพิ่งจะ 9 โมงเช้าเองอะ วันอาทิตย์อีกต่างหาก” ภัทราตกหลุมพรางของวรปรัชญ์อย่างไม่รู้ตัว
“ก็ไปที่ชอบ ๆ ไงล่ะจ๊ะ ฮ่าๆๆ” วรปรัชญ์หัวเราะลั่น
“หน็อยแน่! นังวรปรัชญ์! รอให้ฉันกลับไปก่อนนะยะ แกโดนดีแน่ เล่นบ้าบอไม่รู้จักเวล่ำเวลาเลยนะแก หน้าตาไม่ดีแล้วปากยังเน่าอีกต่างหากนะยะ นังปากสุสานหมา!” เสียงภัทราแหวกลับมาซึ่งก็ช่วยให้บรรยากาศที่กำลังหม่นหมองผ่อนคลายลงไปได้ แม้แต่คนที่ยังมีน้ำตาเต็มหน้าและความทุกข์เต็มหัวใจก็ยังหัวเราะออกมาได้ นี่เป็นครั้งแรกในรอบสองเดือนที่ผ่านมาก็ว่าได้ที่พริมาได้หัวเราะออกมาอย่างสุขใจ

************************

หลังจากส่งพิชญธิดากลับบ้านไปแล้ว วรปรัชญ์ก็ชวนพริมาออกไปเที่ยวชมเมืองเชียงใหม่กันสองคน ทั้งสองคนเริ่มต้นด้วยการไปแวะสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดเชียงใหม่อย่างพระธาตุดอยสุเทพและครูบาศรีวิชัย ก่อนที่จะกลับมาเดินเล่นยังใจกลางเมืองที่ “ถนนคนเดิน” เพื่อกราบไหว้พระพุทธรูปประจำวัดต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่รายล้อมถนนเส้นนั้น และเมื่อเดินเข้าออกวัดต่าง ๆ จนครบและเริ่มออกอาการเมื่อยขา ทั้งสองก็ชวนกันเข้าไปนั่งพักดื่มกาแฟในร้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่ตกแต่งอย่างน่ารักกระจุ๋มกระจิ๋ม และเน้น ‘ความเขียว’ ของธรรมชาติเป็นพิเศษ
“เมื่อยขาไปหมดแล้วเนี่ย ขนาดว่าฉันเดินออกกำลังกายบนเครื่องวิ่งทุกวันนะเนี่ย” วรปรัชญ์พูดพลางนวดขาตัวเองไปพลางระหว่างที่รอกาแฟที่เพิ่งสั่งไป
“อย่าบ่นเลยน่า ได้บุญเยอะอยู่นะวันนี้” พริมาพูดพร้อมทั้งเอาหมวกสานใบโตมาพัดให้คลายร้อน เพราะทั้งสองเลือกมานั่งโต๊ะที่อยู่ด้านหลังของร้านกาแฟแทนที่จะเลือกนั่งในห้องแอร์เย็นฉ่ำ ณ มุมนี้มีป้ายไม้สีขาวผูกโซ่แขวนห้อยลงมาจากเพดานเห็นได้อย่างสะดุดตา บนป้ายมีตัวหนังสือเขียนว่า ‘มุมโอโซน’ เจ้าของร้านคงตั้งชื่อนี้เพราะด้านหลังของร้านมีต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงาอย่างร่มรื่นอยู่หลายต้น
“ย่ะ ฉันก็ขอให้บุญที่ทำในวันนี้ได้พาฉันไปพบเจอเนื้อคู่หนุ่ม ๆ หล่อ ๆ สักทีเถอะ” วรปรัชญ์บ่นพร่ำเพรื่อ
“อ้าว! แล้วไอ้ที่คบกันอยู่ยังไม่ใช่เนื้อคู่อีกเหรอยะ” พริมากระเซ้าเย้าแหย่เพื่อนชายใจสาวเล่น
“ของแบบนี้มันไม่แน่นอนหรอกย่ะ เราต้องหาสำรองเอาไว้ เผื่อเหลือเผื่อขาดไงล่ะย่ะ” วรปรัชญ์ตอบ
“ใช่ ของแบบนี้มันไม่แน่นอนอย่างที่แกว่า” พริมาพูดเพียงเบา ๆ เพราะเป็นอีกครั้งที่คำพูดของวรปรัชญ์ไปสะกิดใจเธอเข้า
“ปริม ฉันขอโทษ ไม่ได้เจตนาจะให้กระทบกับเรื่องของแก” วรปรัชญ์รีบกล่าวขอโทษเมื่อรู้ตัวว่าปากพาจนอีกครั้ง
“รู้ล่ะน่า แต่โดนสะกิดแบบนี้บ่อย ๆ ก็ดีเหมือนกันนะ เจ็บ ๆ ชา ๆ บ่อย ๆ เดี๋ยวมันก็ชินและด้านไปเอง” พริมาพูดอย่างคนที่เริ่มปลงได้
“ว่าจะไม่พูดแล้วนะ แต่ไหน ๆ แกก็เริ่มขึ้นมาแล้ว ขอต่อสักหน่อยแล้วกัน สรุปว่าแกจะย้ายไปอยู่คอนโดแน่แล้วเหรอ” วรปรัชญ์ถามด้วยสีหน้าที่เป็นห่วงเป็นใย
“สงสารตาป๊อปกับตาปิ๊ป”
“ทำไมไม่สงสารฉันบ้างละฮะ เด็ก ๆ น่ะ แป๊ปเดียวเขาก็ปรับตัวกันได้แล้ว ยังไงเสาร์อาทิตย์เขาก็กลับมานอนกับพี่โป๊ปอยู่แล้ว ไม่ได้ห่างหายจากกันไปไหนสักหน่อย” พริมาอธิบาย
“แล้วตอนที่ลูกคนใหม่เขาคลอดล่ะ แกแน่ใจแล้วเหรอว่าพี่เขาจะมีเวลาให้ 2 หนุ่มน้อยของฉันน่ะ .....และถึงจะมีเวลาให้นะ แกไม่คิดถึงหัวอกเด็ก ๆ บ้างเหรอ.....แม่ครับน้องเป็นลูกของใครครับ ทำไมเป็นลูกคุณพ่อแต่ไม่ใช่ลูกคุณแม่ ทำไมคุณพ่อมีแฟนใหม่ แล้วเขาเป็นน้องของผมเหมือนกับน้องปิ๊ปไหมครับ” วรปรัชญ์ตั้งข้อสงสัยที่ทำให้พริมาถึงกับคิดหนัก
“ฉันไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน ไม่ได้คิดว่ามันจะยุ่งยากขนาดนั้น.....” พริมานิ่งงัน
“นี่ไงล่ะโทษของการไม่รู้จักแบ่งปันความทุกข์มาให้เพื่อน ๆ บ้าง” คำพูดของวรปรัชญ์ซึ่งก็สามารถสร้างรอยยิ้มให้กับพริมาได้อีกครั้ง
“โอเคจ้า ต่อไปนี้จะเล่ามันทุกเรื่องเลย ดึกดื่นค่อนคืนถ้าเครียดและต้องการที่ระบายขึ้นมา จะรีบโทรหาแกเป็นคนแรกเลยนะ โอเคไหมยะ” พริมายิ้มสดใสให้กับเพื่อนรักที่มีความหวังดีให้เธอตลอดมา
“ถ้าตอนนั้นฉันไม่ติด ‘ภารกิจสำคัญ’ แล้วล่ะก็ ฉันก็จะรับสายแก แต่ถ้าฉันมัวแต่ง่วนอยู่ ก็อย่าว่ากันนะยะ” วรปรัชญ์ตอบด้วยคำพูดสองแง่สองง่าม
“ทุเรศจริงแกนี่!” พริมาต่อว่า แต่วรปรัชญ์ไม่ทันได้โต้ตอบกลับก็มีอีกเสียงแทรกขึ้นมาขัดจังหวะ
“สวัสดีครับคุณปรัชญ์ บังเอิญจริง ๆ ที่ได้มาพบกันถึงเชียงใหม่” ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่คงมีอายุประมาณเลข 3 กลาง ๆ อยู่ในชุดลำลองเสื้อโปโลสีขาว กางเกงขาสั้นความยาวประมาณหัวเข่าสีส้มอ่อน ๆ สวมหมวกสานมีปีกรอบและแว่นตาดำที่ส่งให้ใบหน้าดูลึกลับขึ้น ชายหนุ่มส่งเสียงทักทายวรปรัชญ์ทันทีที่เหยียบย่างเข้ามาใน ‘มุมโอโซน’ ชายหนุ่มผู้มีผิวพรรณสะอาดตาเดินอย่างสง่าแต่รวดเร็วเข้ามาถึงโต๊ะของวรปรัชญ์ บุคลิกที่ดู ‘เท่และโก้’ บวกกับหน้าตาที่หล่อเหลาของชายหนุ่มช่วยส่งเสริมให้เขาเป็นคนมีเสน่ห์ และน่าสนใจแก่ผู้ที่พบเห็นได้ไม่ยากเลย
“แหม! โลกเรานี่กลมดิ๊กจริง ๆ นะฮะ” วรปรัชญ์ลุกขึ้นทักทายผู้มาใหม่ ก่อนที่จะเชื้อเชิญให้นั่งร่วมโต๊ะ
“มาคนเดียวเหรอฮะท่านเลขา” วรปรัชญ์ถามชายหนุ่มที่กำลังวางหมวกลงบนโต๊ะพร้อม ๆ กับถอดแว่นตาดำ
“เปล่าครับ มีเพื่อนมาด้วย พอดีเขาจะไปเยี่ยมญาติ ผมก็เลยให้แวะส่งผมแถวนี้ เดี๋ยวผมจะหารถกลับโรงแรมเอง”
“แล้วท่านเลขามาทำอะไรที่เชียงใหม่ฮะ” วรปรัชญ์ซักถามต่อย่างเป็นกันเอง ซึ่งจากการสังเกตคำลงท้ายของวรปรัชญ์ที่ใช้กับชายแปลกหน้าคนนี้ พริมาก็พอจะเดาได้ว่าคงรู้จักและสนิทสนมกันเป็นอย่างดี รวมทั้งคงรู้ว่าวรปรัชญ์เป็นพวกเพศทางเลือก เพราะเห็นกริยาท่าทางของวรปรัชญ์ที่สะดีดสะดิ้งแบบไม่ต้องเก็บกริยา แตกต่างกับเวลาที่เจอคนอื่น ๆ ในสายงานเดียวกัน
“พอดีผมกับเพื่อนมาประชุมกันที่เชียงรายเมื่อวาน ก็เรื่องอาเซียนนั่นแหละครับ พอประชุมเสร็จเลยขับรถมาเที่ยวเชียงใหม่สักวัน พรุ่งนี้ถึงจะบินกลับ แล้วคุณปรัชญ์ละครับ มาเที่ยวเชียงใหม่เหรอครับ”
“รู้ได้ไงฮะว่าผมมาเที่ยว” วรปรัชญ์ถามซื่อ ๆ
“สีสันขนาดนี้ คงไม่ได้มาประชุมหรอกมั้งครับ” ชายหนุ่มชี้นิ้วไปที่เสื้อผ้าสีจัดจ้านของวรปรัชญ์
“แหม! ก็นิดหนึ่งนะฮะ” วรปรัชญ์ตอบอย่างอาย ๆ ก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่าลืมแนะนำเพื่อนร่วมโต๊ะที่กำลังนั่งอมยิ้มเพราะแอบขำที่นาน ๆ ครั้งจะได้เห็นเพื่อนชายใจสาวอายเป็นกับเขาบ้าง
“อ้อ! ตายจริง ลืมแนะนำให้รู้จักกัน ปริม นี่คุณราเมศวร หัสดิน เป็นเลขาท่านทูตอังกฤษ ผู้มีแววว่าจะได้เป็นท่านทูตในไม่ช้านี้ ใช่ไหมฮะ ถ้าได้เป็นเมื่อไรอย่าลืมให้ปรัชญ์ไปเป็นเลขาบ้างนะฮะ” วรปรัชญ์รีบฝากเนื้อฝากตัวก่อนที่จะหันไปบอกรายละเอียดของราเมศวรให้แก่พริมาต่อว่า
“คุณราเมศวรกับฉันน่ะ เราเคยทำงานด้วยกันที่สถานทูตไทยในสิงคโปร์เมื่อหลายปีก่อนน่ะปริม” พริมาจึงยกมือไหว้และสวัสดีชายหนุ่มอย่างเป็นทางการทั้ง ๆ ที่แน่ใจว่าอายุคงไม่ต่างจากเธอมากนัก แต่อย่างน้อยหน้าที่การงานระดับนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เธอจะเคารพเขาก่อน
“พริมา พัฒนภิรมย์ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
“เช่นกันครับคุณพริมา” ราเมศวรกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้มที่เคยทำให้สาวหลายต่อหลายคนใจละลายมาแล้ว
“คุณราเมศวรสั่งเครื่องดื่มหรือยังคะ ถ้ายัง จะรับอะไรดีคะ พอดีปริมจะลุกไปสั่งขนมเพิ่มน่ะค่ะ จะได้สั่งให้เลย” พริมาถามอย่างมีน้ำใจ
“ผมสั่งแล้วล่ะครับ ขอบคุณครับ อ้อ! คุณพริมา เรียกผมสั้น ๆ ว่าเมศก็ได้นะครับ” ราเมศวรบอก
“อ้าว! ทำไมไม่บอกชื่อเล่นจริง ๆ ออกมาล่ะฮะ ไม่เห็นจะน่าอายเลย ปรัชญ์ล่ะช้อบ ชอบ มันเท่ดีออก” วรปรัชญ์ทักท้วงขึ้นมาและเมื่อเห็นสีหน้าใคร่รู้ของเพื่อนสาว วรปรัชญ์ก็รีบเฉลยออกไปว่า
“คุณราเมศวร เขามีชื่อเล่นกิ๊บเก๋ยูเรก้าว่า พระราม น่ะ ชื่อเดิ้นเนอะปริม ไม่เคยได้ยินใครชื่อนี้มาก่อนเลย” วรปรัชญ์ออกอาการปลื้มอย่างเห็นได้ชัด พริมายิ้มรับแสดงความเห็นด้วยแต่ไม่แสดงความเห็นอะไร
“ท่านยายของผมตั้งให้น่ะครับ ท่านจะให้เป็นชื่อจริงเสียด้วยซ้ำ แต่คุณย่าไม่ยอม ท่านบอกว่าเดี๋ยวโดนเพื่อนล้อ” ราเมศวรบอกที่มาที่ไปของชื่อเล่นตนเอง
“ล้อยังไงฮะ” วรปรัชญ์ซัก
“ก็ล้อเป็น พระราม 1 2 3 4 พวกชื่อถนนยังไงล่ะครับ” ราเมศวรเล่าอย่างไม่ปิดบัง วรปรัชญ์และพริมาจึงอดขำไม่ได้
“ถูกของคุณย่าแล้วล่ะฮะ” วรปรัชญ์พูดเสร็จพริมาก็ขอตัวลุกไปสั่งขนมมาเพิ่มโดยมีสายตาคู่หนึ่งมองตามมาด้วยมิตรไมตรี.......ที่อยากสานต่อให้มากยิ่งขึ้น
ทั้งสามคนนั่งจิบกาแฟและพูดคุยกันเกือบสองชั่วโมง ซึ่งส่วนใหญ่คนที่พูดคุยก็คือชายหนุ่มทั้งสอง ราเมศวรและวรปรัชญ์ต่างผลัดกันเล่าเรื่องขำขันและประสบการณ์ชีวิตแปลก ๆ ที่แต่ละคนต่างเคยประสพพบมาทั้งในประเทศและต่างแดนกันอย่างสนุกสนาน พริมาที่นั่งเป็นผู้ฟังที่ดีได้แต่อมยิ้มและร่วมหัวเราะไปด้วย โดยไม่รู้ตัวว่ารอยยิ้มและเสียงหัวเราะของตนเองนั้นได้สร้างความประทับใจให้กับเพื่อนใหม่เข้าอย่างจังแล้ว……เพื่อนใหม่ที่พยายามมองข้ามและไม่ใส่ใจแหวนเพชรเม็ดงามบนนิ้วนางข้างซ้ายของเธอ

************************
ปล. อาทิตาไม่กล้าไปอ่านนิยายเรื่องอื่น ๆ ที่แนะนำกันมา เพราะกลัวว่าจุดยืนของตัวเองจะหายไป (แค่คอมเม้นต์ทั้งหลายก็เกือบทำเอาออกนอกแถวไปหลายครั้งแล้วอะค่ะ 5555) และที่สำคัญ กลัวว่าอ่านแล้วอาจจะฝังใจไปเอาพล็อตเรื่อง / สำนวนการเขียนของเขามาปนในนิยายของตัวเองด้วยค่ะ ซึ่งไม่ดีเลย เพราะเคยโดนลอกนิยายมาแล้ว---เจ็บใจ๊ เจ็บใจมาก ๆ ค่ะ อันที่จริงก็เป็นแฟนคลับของนักเขียนท่านนั้นด้วย เคยอ่านนิยายของเขาหลายเรื่อง เขาเขียนดีจริง ๆ และคงเป็นนักเขียนมืออาชีพด้วย จึงมีเวลาอัพได้บ่อย อาทิตาจะพยายามมาอัพให้บ่อยขึ้นนะคะ (ถ้าไม่เผลอหลับยาวตอนพาลูกเข้านอนไปเสียก่อน 5555) ขอบคุณจากหัวใจค่ะที่ติดตามกันมาตลอด....
ไม่เคยสนใจจำนวนตัวเลขของผู้เข้าอ่าน เพราะมัวแต่รอคอย ‘คอมเม้นต์’ ของทุกท่านอยู่นะคะ---อิๆๆ



อาทิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 ต.ค. 2555, 08:35:37 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 ส.ค. 2556, 11:09:57 น.

จำนวนการเข้าชม : 1899





<< ตอนที่ 12 (70%)   ตอนที่ 13 มา 20 % ก่อนนะคะ >>
poy 1 ต.ค. 2555, 09:40:45 น.
มีตัวแปรเพิ่มมาอีกหนึ่งแล้วแต่ก็นะอยากให้ครอบครัวกลับมาเหมือนเดิมมันจะเป็นไปได้ป่าวเนี่ย


poy 1 ต.ค. 2555, 09:41:01 น.
มาอัพบ่อยๆๆนะค่ะ


อาทิตา 1 ต.ค. 2555, 10:00:44 น.
เย่ ๆๆ นานจะมีคนคิดเหมือนเรา ฮิๆๆ


Gingfara 1 ต.ค. 2555, 11:38:35 น.
อ๊ายยยยยยยยย ศัตรูมาหนึ่งแล้วนะพี่โป๊ป


pretty 1 ต.ค. 2555, 14:57:30 น.
เฮ้อออ มีของดีอยู่ในมือไม่เห็นค่า ต้องรอให้มีคนอื่นมาสนใจก่อนถึงจะรู้สึก


violette 1 ต.ค. 2555, 15:09:37 น.
นายพระรามนี่น่าให้เป็นพระเอกมากเลยค่ะ
แต่ก็เข้าใจจุดยืนนิยายเรื่องนี้ เฮ้อ ไม่เป็นไร รอตอนต่อไปค่า


พนาศิลป์ 1 ต.ค. 2555, 18:49:46 น.
พระราม... ชื่อนายแน่มากกก
คนนี้เหรอจะมาเป็นคู่แข่่งนายโป๊ป คิดว่าจะเป็นคุณหมอเพื่อนพี่ชายที่เคยกล่าวถึงซะอีก
จะว่าไปนายโป๊ปก็มีดีที่ถึงตอนนี้ยังรักนางเอกอยู่ แต่ไม่อยากให้ปริมคืนดีง่ายๆ อยากให้นายโป๊ปได้เจอความเจ็บปวดมากๆ จะได้รู้ว่าปริมเองเจ็บแค่ไหน


konhin 1 ต.ค. 2555, 20:06:07 น.
สำหรับเรา one time is TOO many ค่ะ ถ้านอกใจเพียงครั้งก็จบเถอะ ยอมเป็นคนที่ทุกข์ดีกว่าสุขแบบขงหนองค่ะ


tity 1 ต.ค. 2555, 21:14:14 น.
เชอะ ให้พี่โป๊ปรู้สึกบ้างละ


pumkin 1 ต.ค. 2555, 22:13:15 น.
โอ้ว... พระรามชื่อน่ารักดี
แล้หาเวลามาอัพบ่อยๆนะค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account