ภูตคราม
ภูธรา ภูตป่าที่ดำรงเผ่าพันธุ์และยังชีพด้วยการสูบพลังวิญญาณของสิ่งมีชีวิต
มนุษย์ สรรพสัตว์ทั้งหลายหรือแม้แต่พืชพรรณไม้นานา
การปรากฏตัวของพิมมาดา หญิงสาวผู้มีดวงจิตอันบริสุทธิ์
รักแรกพบจึงเกิดขึ้น
ความรักของทั้งสองจะเป็นเช่นไรเมื่อฝ่ายหนึ่งเป็นสิ่งไร้ตัวตน
พวกเขาจะต้องทำอย่างไรจึงจะได้ครองคู่กัน


Tags: ภูต

ตอน: บทที่ 11 หวนคืนสู่ป่า

บทที่ 11 หวนคืนสู่ป่า

แม้จะเป็นอรุณรุ่งที่สดใสแต่พิมมาดากลับรู้สึกหม่นหมองจนแทบไม่อยากขยับตัวไปไหน หญิงสาวนอนลืมตามองเพดานห้องพลางคิดย้อนไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน สีหน้าและแววตาที่โกรธขึ้งของนายองอาจทำให้เธอไม่อยากไม่ทำงานเลย

“มัวทำอะไรอยู่”

เสียงทุ้มน่าฟังของภูธราดังอยู่ข้างหู หญิงสาวหันไปมองจึงพบว่าเขากำลังยืนอยู่ข้างเตียงห่างจากเธอไม่ถึงช่วงแขน ยังไม่ทันจะเอ่ยปากตอบกลิ่นดอกมะลิหอมกรุ่นก็ลอยมากระทบจมูก ตอนแรกหญิงสาวคิดว่ามันมาตามลมแต่เมื่อขยับศีรษะเธอจึงพบดอกไม้สีขาวนวลกองพูนอยู่ข้างหมอนของตัวเอง

“ดอกมะลิจะทำให้เจ้าสดชื่นขึ้น” ภูธราพูด พิมมาดายิ้มอย่างเศร้าสร้อย

“ก็แค่ตอนนี้เท่านั้น” ดวงตาเลื่อนกลับไปมองเพดานอีกครั้ง ภูตหนุ่มมองอย่างเห็นใจและเลื่อยกายเข้ามาใกล้เธออีกนิด

“ข้าจะทำให้กลิ่นดอกไม้นี่ฟุ้งกระจายอยู่ในห้องทำงานของเจ้าทั้งวันก็ได้” เขาพูดเอาใจ หญิงสาวจึงหัวเราะออกมาเบาๆ

“ขืนดมกันทั้งวันมีหวังได้เป็นลมตายกันพอดี” เธอระบายลมหายใจออกมาค่อนข้างยาวก่อนจะเหวี่ยงผ้าห่มไปด้านหนึ่งและลุกขึ้นนั่ง ความคิดที่ว่าจะไปทำงานโดยไม่สนใจคำบริภาษของเจ้านายเริ่มคลอนแคลน ทั้งที่เมื่อวานเธอตั้งใจอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วแท้ๆว่าจะต้องเข้มแข็งแต่พอเอาเข้าจริงกลับหวาดกลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะก้าวขาลงจากเตียง ดูเหมือนภูธราจะเข้าใจความรู้สึกของหญิงสาวเพราะเขาขยับเข้ามาหาเธออีกก้าวพร้อมกับพูด

“ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าตลอดเวลา”

ลมกลุ่มหนึ่งหมุนวนรอบตัวพิมมาดามันทำให้เธอรู้สึกเหมือนอ้อมแขนของใครบางคนกำลังโอบกอดเธออย่างอ่อนโยน ความอบอุ่นของสัมผัสทำให้หญิงสาวเผลอยกมือขึ้นแตะแต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า เธอหันไปมองภูตหนุ่มด้วยความสงสัย อีกฝ่ายส่งยิ้มละมุนกลับมา

“สบายใจขึ้นหรือยัง”

คำพูดนั่นเองที่ทำให้หญิงสาวรู้ว่าอ้อมกอดของสายลมคือการกระทำของภูธรา ใบหน้าของเธอร้อนผ่าวขึ้นมาในทันที แม้จะโกรธแต่ความอายนั้นมีมากกว่า หญิงสาวจึงทำเป็นนิ่งเฉยไม่กล้าพูดต่อว่าอะไรออกมาเลยสักคำ ด้วยความกลัวว่าภูตหนุ่มจะกระทำเช่นนั้นอีกเธอจึงรีบลุกขึ้นเพื่ออาบน้ำแต่งตัว

หลังจากถ่วงเวลาด้วยการแต่งหน้านานกว่าทุกครั้งพิมมาดาจึงเดินลงมาชั้นล่างและพบว่าภูธราได้จัดเตรียมมื้อเช้าไว้ให้ แม้จะมีเพียงกาแฟร้อนและน้ำชาอย่างละหนึ่งถ้วยกับขนมปัง แต่ความสุขใจที่มีใครบางคนคอยให้ความห่วงใยทำให้หญิงสาวรู้สึกอิ่มจนแทบจะกินอะไรไม่ลง เธอนั่งมองอาหารตรงหน้านิ่งไม่ยอมขยับจนภูธราต้องถามด้วยความสงสัย

“ไม่ชอบหรือ”

พิมมาดารีบสั่นศีรษะ

“ชอบสิ มากด้วย ขอบใจมากนะภูธรา”

เธอหันไปส่งยิ้มหวานให้ภูตหนุ่ม เขามีสีหน้าขัดเขินเล็กน้อยและรีบแสร้งทำเป็นเมินหน้าหันไปอีกด้านเหมือนไม่ต้องการให้หญิงสาวรู้ว่าตนเองกำลังรู้สึกเช่นใด

“ก็แค่ทำตามที่เห็น” เสียงพูดอ้อมแอ้มไม่เต็มปากนัก สีหน้าและท่าทางของเขาทำให้หญิงสาวเกิดความรู้สึกบางอย่างในจิตใจ หากเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานเป็นสิ่งแลวร้ายที่สุด ภาพภูตครามที่กำลังยืนเขินอายตรงหน้าก็คือสิ่งที่สร้างความสุขให้กับพิมมาดา เพราะความน่ารักของเขาเหมือนสายลมในฤดูร้อนที่ปัดเป่าความทุกข์ภายในอกให้ปลิดปลิวหายไป หญิงสาวอดคิดไม่ได้ว่าหากวันนี้ไม่มีภูธรา เธอก็คงจะเอาแต่นั่งหมกตัวอยู่ในห้องและจมจ่อมอยู่กับความหมองเศร้า ไม่กล้าที่จะออกไปเผชิญหน้ากับใครอีกเลย ทุกครั้งที่หันไปมองภูตหนุ่มเขาก็จะส่งรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นกลับมาให้เสมอ สิ่งนี้เองที่ช่วยดึงความเข้มแข็งให้กลับคืนมาอีกครั้ง จะมีประโยชน์อะไรถ้าซุกหัวอยู่แต่ในบ้านเหมือนคนพ่ายแพ้ คิดดังนั้นหญิงสาวจึงรีบจัดการอาหารตรงหน้าและคว้ากระเป๋าก้าวออกจากบ้านด้วยความมั่นใจมากกว่าเดิม

ทั้งที่เตรียมใจมาเป็นอย่างดีแต่พอถึงหน้าบริษัทขาของพิมมาดาก็เกิดอาการแข็งเกร็งจนก้าวไม่ออก หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองไปยังชั้นบน คิ้วสวยขมวดเข้าหากันด้วยความกังวลเมื่อเห็นไฟในห้องทำงานของเจ้านายสว่างไสวอันเป็นเครื่องหมายแสดงว่านายองอาจได้มาถึงเรียบร้อยแล้ว ขณะที่กำลังยืนลังเลว่าจะหันหลังกลับหรือเดินต่อไป กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกมะลิก็ลอยมาตามลม หัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อครู่กลับสงบลงได้อย่างง่ายดาย

“ข้าอยู่ข้างกายเจ้าตลอดเวลา”

เสียงทุ้มของภูธรากระซิบข้างหู มันช่วยสร้างความอุ่นใจให้กับหญิงสาวได้อย่างประหลาดล้ำ พิมมาดาสูดลมหายใจเข้าเพื่อรวบรวมความกล้าและก้าวเข้าไปในบริษัทด้วยอาการนิ่งสงบเหมือนเช่นทุกวัน หญิงสาวเดินเข้าห้องทำงานของตนทันทีโดยไม่สนใจสายตาทุกคู่ที่พร้อมใจกันจับจ้อง ยังไม่ทันที่จะหย่อนตัวนั่งประจำที่นิลเนตรก็เปิดประตูก้าวเข้ามาพร้อมกับเอ่ยทัก

“เป็นไงบ้าง เมื่อวานฉันโทร.หาเธอทั้งวันแต่ไม่มีคนรับสาย รู้ไหมว่าพวกเราเป็นห่วงเธอมาก”

“พวกเรา” พิมมาดาทวนคำด้วยความแปลกใจพลางตวัดดวงตามองออกไปนอกห้องและนิ่งไปเล็กน้อยเมื่อเห็นเพื่อนร่วมงานแทบทุกคนกำลังชะเง้อมองด้วยความเป็นห่วง “ฉันนึกว่าพวกเขาเชื่อเรื่องที่นงนภัสพูดเสียอีก”

“ใครจะไปเชื่อยายชะนี ที่พูดไม่ออกเพราะทุกคนตกใจ ส่วนฉันก็มัวแต่หมั่นไส้ความสำออยของยายนงนภัสจนลืมคำพูด แต่ที่พวกเราทำอะไรไม่ถูกเพราะคุณองอาจพลอยหลงเชื่อยายนั่นไปด้วย” นิลเนตรพูดอย่างมีโมโห พิมมาดายิ้มมุมปาก

“ทำไงได้ สภาพแบบนั้นใครเห็นก็ต้องเชื่อว่าฉันเป็นคนทำ”เธอถอนใจออกมาเบาๆพลางชำเลืองไปทางห้องทำงานของเจ้านาย”ความจริงแล้วฉันไม่สนนงนภัสเลยสักนิด แต่เสียใจที่ทำให้คุณองอาจหมดความเชื่อถือ”

“ใครว่าล่ะ”นิลเนตรพูดและขยับเข้าไปใกล้เพื่อน”ยังจำกล้องวงจรปิดอันใหม่ได้หรือเปล่า ที่ติดไว้ตรงทางเข้าบริษัทน่ะ”

“จำได้ทำไมเหรอ”

“วันนี้คุณองอาจมาแต่เช้าคงเป็นห่วงเรื่องคนร้ายขโมยยาน่ะแหละเพราะพอมาถึงก็รีบเปิดเทปของเมื่อคืน เสร็จแล้วก็ดูม้วนที่บันทึกภาพทั่วไป ลองทายสิว่าท่านเจออะไร”

ลงท้ายด้วยประโยคคำถามและยิ้มเมื่อเห็นสีหน้างุนงงของพิมมาดา

“คุณองอาจเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบ ตอนนี้ท่านรู้แล้วว่าเธอไม่ได้เป็นคนทำ และสั่งให้ฉันมาบอกว่าจะแกล้งทำเป็นบึ้งตึงไปอีกสักระยะเพื่อที่ยายนงนภัสจะได้ไม่เข้ามาวุ่นวายกับเธอ”

เหมือนยกภูเขาออกจากอก พิมมาดานั่งอึ้งพูดอะไรไม่ออกด้วยความคาดไม่ถึงอยู่ครู่หนึ่งจึงยิ้มออกมา

“จริงเหรอนิล”

“จริง” นิลเนตรพูดอย่างหนักแน่นและเหลือบตามองออกไปข้างนอกเหมือนต้องการให้แน่ใจว่าคนที่พูดถึงไม่ได้อยู่บริเวณนั้นก่อนจะลดน้ำเสียงลง”คุณองอาจยังเตือนมาด้วยว่าเธอคงจะโดนยายชะนีนั่นแขวะไปอีกสองสามวัน ขอให้อดทนพอมันเบื่อก็จะเลิกไปเอง”

พิมมาดาอมยิ้มและมองหน้าเพื่อน

“ฉันว่าคุณองอาจคงไม่ได้พูดแบบนี้แน่”

นิลเนตรยักคิ้วอย่างเจ้าเล่ห์และทำท่าจะตอบแต่ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงดังมาจากหน้าห้อง

“ยังมีหน้ามาทำงานอีกเหรอยะ”

สองสาวหันไปมองพร้อมกัน พิมมาดาทำหน้าเบื่อหน่ายส่วนนิลเนตรเม้มปากด้วยความโกรธเมื่อเห็นนงนภัสยืนเท้าสะเอวก๋าอยู่หน้าประตู ความที่ไม่อยากต่อปากต่อคำเลขานุการสาวจึงเดินสวนออกไปอย่างเร็วโดยจงใจใช้ไหล่กระแทกฝ่ายที่ยืนขวางไปให้พ้นทาง นงนภัสมองด้วยดวงตาวาว

“มารยาททราม”

พูดจบก็หันกลับไปที่พิมมาดาหมายจะพูดจาถากถางให้หนำใจแต่หญิงสาวกลับปิดประตูใส่หน้าพร้อมกับกดล็อคเอาไว้เหมือนไม่ต้องการได้ยินคำผรุสวาทใดอีก การกระทำของเธอทำให้นงนภัสโกรธจนตัวสั่น หลังจากยืนหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่สักพักเธอจึงก้าวฉับๆเข้าไปหานายองอาจในห้องทำงาน

พอเห็นนงนภัสหายเข้าไปในห้องของเจ้านาย พิมมาดาจึงเริ่มลงมือทำงาน ตอนแรกเธอตั้งใจว่าจะดูเทปวงจรปิดแต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่านายองอาจจัดการงานส่วนนั้นไปตั้งแต่เช้าหญิงสาวจึงหันไปหยิบใบสั่งซื้อที่กองสุมอยู่บนโต๊ะมาตรวจที่ละใบ ความที่เธอทิ้งงานไปตั้งแต่เมื่อวาน ใบสั่งซื้อและใบเบิกรวมทั้งเอกสารการเงินจึงมีเป็นจำนวนมาก หญิงสาวค่อยๆนั่งทำงานอย่างรอบคอบจนกระทั่งถึงเวลาเที่ยง นายองอาจจึงเดินออกจากบริษัทโดยไม่เหลือบตามามองเธอแม้แต่น้อยต่างจากนงนภัสที่จ้องเธอเขม็งราวกับจะหาเรื่อง นิลเนตรรอจนเจ้านายพ้นไปจากบริษัทแล้วจึงรีบเดินไปหาเพื่อนรักพร้อมกับเอ่ยชวน

“ไปกินข้าวกันเถอะพิม”

“แต่งานฉันยังไม่เสร็จ” พิมมาดาพูดทั้งที่ยังคงสาละวนอยู่กับเครื่องคิดเลข นิลเนตรจึงก้าวเข้าไปคว้ากระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วคว่ำมันลงจากนั้นจึงดึงข้อมือของเพื่อน

“เดี๋ยวค่อยกลับมาทำต่อก็ได้”

“แต่ฉัน...”

“ลุกขึ้น ไปเดี๋ยวนี้ไม่งั้นฉันจะให้เจ้าฤทธิ์เข้ามาลากเธอออกไป”

เจอไม้นี้พิมมาดาจึงจำต้องยอมลุกขึ้นแต่โดยดี ตอนแรกเธอเลือกจะเข้าร้านเย็นตาโฟเพราะอยากจะรีบกลับไปทำงานแต่นิลเนตรกลับลากไปเข้าร้านประจำ หลังจัดการสั่งอาหารเสร็จสรรพเธอจึงถามเพื่อนด้วยความอยากรู้

“เป็นไงบ้าง”

“ก็อย่างที่เธอบอก คุณองอาจทำเป็นไม่สนใจฉัน ส่วนนงนภัสก็จ้องแต่จะหาเรื่องอย่างเดียว”

พิมมาดาตอบเรียบเรื่อย อีกฝ่ายจุ๊ปากเหมือนไม่สบอารมณ์

“ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น” ดวงตากวาดมองซ้ายขวาก่อนจะเอนตัวเข้าไปหาเพื่อนและถามด้วยน้ำเสียงเบาลง “ภูตรูปหล่อนั่นเป็นยังไงบ้าง”

“ก็ดี ตอนนี้เขายืนอยู่ข้างเธอแล้วไง อยากถามอะไรก็ถามเลย” พิมมาดาตอบหน้าตายและอมยิ้มเมื่อเห็นนิลเนตรเหลียวหน้าเหลียวหลังล่อกแล่ก

”ฉันพูดเล่นน่ะ”

เธอพูดอย่างนึกขำ นิลเนตรจึงค้อนปะหลับปะเหลือกพร้อมกับต่อว่า

“ไม่ตลกเลยนะยายพิม เล่นเอาฉันตกใจเกือบตาย”

“ก็เห็นอยากรู้เรื่องของเขานักนี่นา” พิมมาดาพูดทั้งยิ้ม นิลเนตรส่งค้อนให้เพื่อนอีกหนึ่งวงก่อนจะถามต่อ

“ที่ถามเพราะเป็นห่วงเธอต่างหาก แล้วตกลงเป็นยังไง เขาทำอะไรเธอหรือเปล่า”

พิมมาดาสั่นศีรษะ

“ภูธราดีกับฉันมาก เมื่อเช้ายังเตรียมกาแฟไว้ให้ด้วย”

คำบอกเล่าของเพื่อนทำให้นิลเนตรแทบสำลักน้ำส้มที่เพิ่งดื่มเข้าไป เธอรีบวางแก้วและยิงคำถามใส่ทันที

“หา ภูตเนี่ยนะชงกาแฟ เหลือเชื่อเขาทำได้ยังไงน่ะ”

“ฉันไม่ได้ถาม”พิมมาดาตอบพลางตักแกงเขียวหวานราดบนข้าว “แต่เขาบอกเหมือนกันว่าถึงภูตจะไม่มีร่างกาย แต่ก็สามารถหยิบจับสิ่งของได้ ถ้ามีจิตที่กล้าแข็งพอ นอกจากนี้เขาก็ยังทำให้ดอกไม้บานวันละอย่างตามที่ขอ แล้วก็ช่วยให้มังคุดที่ปลูกไว้หลังบ้านออกลูกด้วย ถึงจะเป็นภูตแต่ทุกอย่างที่เขาทำช่วยให้ฉันสบายใจขึ้นตั้งเยอะ”

ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขขณะเล่าทำให้นิลเนตรรู้ได้ในทันทีว่าพิมมาดาเริ่มมีใจให้กับสิ่งที่ถูกเรียกว่า ภูตคราม เพียงแต่จะเป็นในแง่ไหนเท่านั้น หญิงสาวมองเพื่อนอย่างพิจารณาและถอนใจออกมาเบาๆ

“สบายใจมันก็ดี แต่อย่าลืมนะว่าเขาเป็นภูตกินคน”

นิลเนตรเตือนด้วยความหวังดี ช้อนที่กำลังตักข้าวชะงักค้างอยู่กลางอากาศและลดลงกลับไปวางไว้ในจาน

“ถึงภูธราจะเป็นภูต แต่เขามีความจริงใจกว่ามนุษย์บางคนมาก เธอไม่เคยพูดคุยกับเขาคงไม่เข้าใจ แต่ถ้าให้เลือกฉันก็จะขออยู่กับภูตคราม”

กลิ่นกุหลาบฟุ้งกระจายอบห้อง ลูกค้าภายในร้านต่างทำหน้าแปลกใจแต่ก็ไม่มีใครซักถามอะไรมากนักเพราะเข้าใจว่าเป็นกลิ่นของน้ำหอมปรับอากาศแต่นิลเนตรกลับไม่คิดเช่นนั้น เธอมองดอกกุหลาบที่วางประดับไว้บนโต๊ะและถามพิมมาดาด้วยสีหน้าหวาด

“ฝีมือเขาใช่ไหม”

หญิงสาวผงกศีรษะรับและลงมือรับประทานอาหารต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่วนนิลเนตรยังคงมองไปโดยรอบด้วยความกลัวแต่พอเห็นอาการสงบนิ่งของเพื่อนแล้วเธอจึงคิดได้ว่ากลิ่นดอกกุหลาบเมื่อครู่เป็นเพียงการสำแดงเล็กน้อยของภูธรา

“ตกลงแล้วนายเป็นภูตที่น่ารักหรือน่ากลัวกันแน่”

หญิงสาวคิดในใจจากนั้นจึงเริ่มลงมือรับประทานมื้อเที่ยงโดยไม่ซักถามถึงเรื่องของภูตครามอีกเลย

เมื่ออิ่มจากอาหารแสนอร่อยทั้งคู่ก็เดินกลับเข้าที่ทำงาน ระหว่างนั้นนิลเนตรได้แวะร้านผลไม้ข้างทางเพื่อซื้อลองกอง ช่วงที่กำลังเลือกอยู่นั้นเธอสังเกตเห็นแม่ค้าแอบชำเลืองตามองพิมมาดาอยู่หลายครั้ง หลังจากทนนิ่งเฉยอยู่นานในที่สุดเธอก็เอ่ยปากถาม

“มีอะไรหรือคะ”

“คะ อะไรนะคะคุณ” แม่ค้าสะดุ้งพร้อมกับหลุดปากย้อนคำถามกลับ นิลเนตรพยักหน้าไปทางเพื่อนพร้อมกับพูด

“เห็นป้าแอบมองเพื่อนฉันตั้งหลายครั้ง”

“อ...อ๋อไม่มีอะไรหรอกค่ะก็แค่มองโน่นมองนี่ตามประสาคนค้าขายเท่านั้น”พูดพลางหยิบเงินทอนส่งให้นิลเนตร ดวงตาตวัดไปยังพิมมาดาอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจเอนตัวเข้าไปถาม

“ขอโทษนะคะ คือว่า คุณเลี้ยงกุมารทองหรือเปล่า” น้ำเสียงตะกุกตะกักแบบอยากรู้แต่ก็กลัว พิมมาดาทำหน้าประหลาดใจในขณะที่นิลเนตรทำตาโต

“ทำไมถึงถามแบบนี้คะป้า พวกฉันดูเหมือนคนทรงหรือไง”

“ป...เปล่าค่ะ ไม่ใช่อย่างงั้น คือว่า”แม่ค้าผลไม้ทำท่าลังเลก่อนจะพูด”เมื่อวันก่อนตอนกระถางต้นไม้ตกลงมา ฉันเห็นว่ามันกระเด็นออกไปเหมือนโดนปัดเลยคิดว่าคุณคงมีของดีคุ้มครอง”

พอฟังคำอธิบายของแม่ค้าแล้วพิมมาดาได้แต่ยิ้มและเดินออกไป ฝ่ายนิลเนตรกลับหัวเราะ

“คิดมากไปแล้วป้า ดูให้ดีสิตรงนั้นน่ะมีสายไฟเต็มไปหมด ตอนกระถางตกลงมาคงไปโดนเลยกระเด็นออกไป”พูดพลางชี้ไปยังระเบียงที่มีสายไฟฟ้าห้อยระโยงระยางคล้ายใยแมงมุมก่อนจะหันกลับมาที่แม่ค้าผลไม้อีกครั้ง”ไม่ใช่ฝีมือของผีหรือกุมารทองอะไรหรอก”

พูดจบก็เดินออกจากร้านทันทีทิ้งให้ผู้ถามยืนเกาหัวแกรกพร้อมกับบ่นพึมพำ

“ฮี่โธ่ ไอ้เราก็หลงนึกว่าเป็นกุมารทองอยู่ตั้งนาน อุตส่าห์ว่าจะขอเลขเด็ดสักหน่อย เฮอะ น่าเสียดาย”

ถึงจะอยู่ห่างไปพอสมควรแต่นิลเนตรก็ยังได้ยินเสียงบ่นแว่วเข้าหู เธออมยิ้มพลางเร่งเท้าเดินจนทันเพื่อนปากก็พูดไปเรื่อยตามประสาคนช่างคุย

“ภูตของเธอเกือบกลายเป็นกุมารทองไปแล้ว”

พิมมาดายิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไร นิลเนตรจึงคุยต่อ

“จะว่าไปก็แปลกเหมือนกันนะที่เราสองคนชอบมาคุยกันในร้านอาหาร”

“ก็ถ้าขืนคุยกันที่ทำงานมีหวังโดนไล่ออกแหง” พิมมาดาหันไปตอบ นิลเนตรยิ้มกว้าง

“นั่นน่ะสิ แต่ไอ้ครั้นจะโทร.ไปคุย เธอก็ไม่ค่อยรับสาย กลับไปแทนที่จะพักเธอทำอะไรนักหนานะยายพิม” ประโยคสุดท้ายถามด้วยความสงสัย พิมมาดาทำท่านึกก่อนตอบ

“ก็ไม่มีอะไรมาก พอถึงบ้านก็ออกมารดน้ำต้นไม้ ให้อาหารปลา บางทีก็อาจจะพรวนดินใส่ปุ๋ยบ้าง เสร็จแล้วก็ปัดกวาดบ้านนิดหน่อย วันไหนมีงานค้างฉันก็จะนั่งทำจนกว่าจะเสร็จ ถ้าขยันหน่อยก็จะ...”

“ไม่ต้องเล่าแล้วเพื่อน เธอนี่เป็นพวกอยู่นิ่งๆไม่เป็นเลยใช่ไหม”

นิลเนตรพูดอย่างอ่อนใจ พิมมาดายิ้ม

“ก็ทำแล้วมันเพลินดีนี่นา”

แม้น้ำเสียงจะเรียบเรื่อยแต่ก็แฝงความอารมณ์ดีอย่างเห็นได้ชัด ในความคิดของนิลเนตรออกจะเป็นเรื่องแปลกอยู่บ้างที่เพื่อนของเธอยังคงควบคุมสติไดอย่างมั่นคงทั้งที่เพิ่งผ่านเรื่องกระทบจิตใจค่อนข้างแรง แต่อย่างน้อยเธอก็โล่งใจเพราะมันแสดงให้เห็นถึงความสบายใจของเพื่อนรัก เพียงแต่เธอไม่แน่ใจว่ามันมาจากเรื่องที่คุณองอาจรู้ความจริงหรือเพราะภูตครามที่ชื่อ
ภูธรา แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม มันก็เป็นสิ่งดีสำหรับผู้หญิงที่จริงจังกับชีวิตอย่างพิมมาดา

การทำงานในช่วงบ่ายไม่มีอะไรมากนักนอกจากยอดสั่งซื้อที่เข้ามามากกว่าทุกครั้ง แต่เจ้าหน้าที่การตลาดก็สามารถจัดการได้อย่างรวดเร็วและส่งรายงานเอกสารทั้งหมดให้กับพิมมาดา ซึ่งเธอก็สามารถสรุปทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก่อนเลิกงาน แต่แทนที่จะได้กลับบ้าน นิลเนตรกลับลากเธอไปซื้อเครื่องสำอางค์ลดราคาในห้างสรรพสินค้ามีชื่อ ทั้งคู่จึงจัดการกับมื้อเย็นที่นั่นก่อนจะแยกทางกัน ความที่เหน็ดเหนื่อยในการตะลอนไปกับเพื่อน พิมมาดาจึงเปลี่ยนจากรถประจำทางเป็นนั่งแท็กซี่กลับบ้าน

ทันทีที่ก้าวเข้าไปในรั้ว กลิ่นดอกพุทธชาติก็ลอยมากระทบจมูก หญิงสาวอมยิ้มด้วยความสุขใจพร้อมกับเอ่ยทัก

“ภูธรา”

ภูตหนุ่มปรากฏตัวขึ้นภายใต้ซุ้มดอกกระดังงา เขาส่งรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นมาให้เธอ

“กลับมาแล้วเหรอ”

“ยังจะมาถาม ก็ตามไปด้วยกันแท้ๆ”

หญิงสาวพูดพลางไขกุญแจเพื่อเปิดประตูบ้าน หลังจากวางกระเป๋าและถุงอาหารกระป๋องแล้วเธอจึงเดินกลับออกมาหยิบสายยางเพื่อรดน้ำต้นไม้ ภูธรายืนมองหญิงสาวที่ก้มหน้าก้มตารดน้ำพรวนดินอย่างเพลิดเพลินทั้งที่ในใจครุ่นคิดถึงแต่เรื่องหนทางที่จะได้เป็นมนุษย์อยู่ตลอดเวลา และวิธีเดียวที่จะรู้ก็คือเขาต้องกลับไปยังผืนป่าอันเป็นถิ่นกำเนิด แม้การเดินทางของภูตครามจะรวดเร็วปานสายลมแต่เพราะไม่รู้ว่าการสนทนากับหัวหน้าวิษธรจะกินเวลานานแค่ไหนทำให้ภูธราเริ่มเกิดความกังวล เพราะเขาไม่อยากทิ้งให้พิมมาดาต้องอยู่ตามลำพัง หลังจากเงียบไปได้ครู่หนึ่งเขาจึงพูดขึ้น

“ข้าจะกลับป่า”

หญิงสาวชะงักงานที่กำลังทำอยู่ทันทีและเอ่ยปากถามโดยที่ไม่หันหน้ากลับไปมอง

“จะไปเมื่อไหร่”

“พรุ่งนี้หลังจากส่งเจ้าเข้าที่ทำงานแล้ว”

ภูตหนุ่มตอบ พิมมาดานิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะลงมือพรวนดินให้ต้นไม้ต่อ ตอนแรกภูธราคิดว่าหญิงสาวคงดีใจที่เขาพ้นไปจากบ้านเสียที แต่พอได้ยินคำถามต่อมาภูตหนุ่มถึงกับใจเต้น

“แล้วจะกลับมาตอนไหน”

ภูธราแทบจะยิ้มกว้างด้วยความดีใจเพราะปรกติแล้วหญิงสาวมักจะพูดประชดประชันทำนองขับไล่เขาอยู่เสมอ การที่ได้ยินคำถามประหนึ่งต้องการให้ตนกลับมาทำให้หัวใจของภูตหนุ่มพองโตคับอก แต่ความที่ไม่อยากจะแสดงให้อีกฝ่ายเห็นว่าตนเองมีความรู้สึกเช่นใด ภูธราจึงวางท่าเคร่งขรึมและตอบเธอด้วยน้ำเสียงสงบราบเรียบเหมือนที่เคยทำ

“อาจจะหนึ่งวัน หรือมากกว่านั้นนิดหน่อย”

หญิงสาวพยักหน้าและเดินไปเปิดน้ำล้างมือ ระหว่างนั้นเธอก็พูดพอให้ภูตหนุ่มได้ยิน

“ถ้าอยากจะกลับเร็วก็ต้องออกเดินทางกันตั้งแต่เช้า ไม่ต้องไปส่งฉันหรอก แค่เตรียมกาแฟไว้ให้ก่อนไปเท่านั้นก็พอ”

พูดจบก็เดินกลับเข้าบ้าน ภูธรารีบเลื่อนตัวตามแต่พอเข้าไปด้านในกลับพบว่าหญิงสาวเดินขึ้นห้องไปแล้ว ยืนรอสักพักเธอก็กลับลงมาแต่ก็หายเข้าไปในห้องน้ำอีกราวยี่สิบนาทีเสร็จจากอาบน้ำเธอก็ลงมือรื้อกับข้าวออกจากถุงเพื่อจัดเก็บเข้าตู้เย็นจากนั้นจึงปิดประตูหน้าบ้านและกลับขึ้นห้องนอนโดนไม่พูดอะไรสักคำ

“โกรธข้าหรือ”

ภูธราถามเมื่อเห็นพิมมาดานั่งบนเตียง หญิงสาวมองเขาและส่ายหน้า

“เปล่านี่ ทำไมต้องโกรธด้วยล่ะ”

“พอข้าบอกว่าจะกลับป่า เจ้าก็ไม่ยอมพูดอะไรอีกเลย”

ภูตหนุ่มกล่าวด้วยเสียงที่ไม่ดังนักเหมือนกลัวว่าคำที่พูดออกมาจะทำให้หญิงสาวไม่พอใจ แต่พิมมาดากลับสั่นศีรษะ

“ฉันแค่เหนื่อยจนไม่อยากจะพูดอะไรต่างหาก อีกอย่างนายก็บอกแล้วว่าจะไปแค่ประเดี๋ยวเดียว เอาไว้กลับมาแล้วค่อยคุยกัน แต่ต้องรับปากก่อนนะว่าจะเล่าให้ฉันฟังว่ากลับไปที่นั่นอีกทำไม”

พูดออกไปอย่างนั้นทั้งที่ใจจริงก็ไม่ได้อยากจะรู้เรื่องของภูตป่าเท่าใดนัก แต่ถึงกระนั้น
ภูธราก็ยังผงกศีรษะรับ

“ได้”

พิมมาดาหันมาส่งยิ้มให้กับเขาจากนั้นจึงปิดไฟและล้มตัวลงนอน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะจิตใจที่พะวงอยู่กับงานหรือเรื่องที่จะต้องห่างจากภูธรา หญิงสาวรู้สึกหงุดหงิดจนเกินกว่าจะข่มตาให้หลับลง หลังจากนอนพลิกตัวไปมาอยู่ราวครึ่งชั่วโมงเธอจึงลุกขึ้นนั่ง เสียงภูตหนุ่มถามไม่ดังนัก

“เป็นอะไรไปทำไมถึงยังไม่นอน”

“ฉันนอนไม่หลับ” พิมมาดาตอบพลางเสยผมไปข้างหลังและหันไปมองภูตหนุ่มที่กำลังยืนพิงหน้าต่าง แม้จะอยู่ท่ามกลางความมืดแต่แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมากระทบร่างทำให้ผิวกายของเขาเปล่งแสงสว่างเรืองรองออกมาอย่างน่าอัศจรรย์ หญิงสาวนั่งมองอย่างตื่นตะลึงและรีบเบือนหน้าหลบเมื่อรู้ว่ากำลังถูกอีกฝ่ายจ้องมองมาด้วยดวงตาที่ทำให้ใจสั่นรัว

“เจ้าอาจจะเครียดเกินไป” ภูธราพูดเสียงนุ่มพลางขยับมือของตนเองอย่างเชื่องช้า กลิ่นหอมกรุ่นของดอกมณฑาลอยเข้ามาในห้องพร้อมสายลมอ่อนละมุน มันหมุนวนลูบไล้ไปทั่วกายของหญิงสาวอย่างนุ่มนวล สัมผัสที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นเปรียบประดุจภูตหนุ่มกำลังปลอบประโลมเธอด้วยมือของเขาเอง

“ภูธรา”

หญิงสาวเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงดุจละเมอ ภูธราเคลื่อนร่างเข้ามาหาพร้อมกับโน้มตัวลง ใบหน้าคมสันอยู่ห่างจากดวงหน้างามไม่ถึงหนึ่งศอก กลิ่นหอมของอากาศอันแสนบริสุทธิ์ที่เธอเคยสูดบนยอดเขาลอยมาปะทะจมูก เสียงซ่าของใบไม้ยามต้องสายลมแว่วเข้ามาในโสต

“นอนเสียเถิดยอดรักของข้า”

ภูธรากระซิบเสียงแผ่ว ดวงตาที่เคยแข็งค้างหรี่ปรือลง พิมมาดามองภูตหนุ่มด้วยความรู้สึกง่วงงุน แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังพึมพำ

“นายต้องกลับมานะ”

“ข้าสัญญา”

หญิงสาวเผยอยิ้มด้วยความยินดีขณะเอนตัวลง ภูธรารีบยื่นมือไปข้างหน้าเพื่อประคองร่างของเธอแต่สิ่งที่สัมผัสกลับเป็นเพียงสายลมอุ่น เมื่อเห็นว่าพิมมาดาหลับสนิทแล้วภูตหนุ่มจึงยืนมองเธอนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงเลื่อนถอยออกไปที่หน้าต่างและเฝ้ามองหญิงสาวอยู่เช่นนั้นด้วยหัวใจที่เปี่ยมสุข

เสียงเอะอะเซ็งแซ่ของนกระจอกที่กำลังทะเลาะกันบนยอดไม้ปลุกพิมมาดาให้ตื่นจากนิทราอัแสนสุข ทันทีที่ลืมตาสิ่งแรกที่เธอทำก็คือมองหาภูตหนุ่มแต่ห้องที่ว่างเปล่าปราศจากเงาหรือแม้แต่กลิ่นดอกไม้ทำให้หญิงสาวรู้ว่าเขาออกจากบ้านไปแล้ว กระนั้นเธอก็ยังอดที่จะหันไปมองบริเวณที่ภูธราชอบยืนอยู่เสมอไม่ได้ กรอบหน้าต่างที่ว่างเปล่ากับกิ่งมณฑาที่กำลังโยกไหวไปตามแรงลมทำให้หญิงสาวต้องถอนใจออกมา

“รีบกลับมานะภูธรา”

เธอพึมพำพลางทอดสายตาเหม่อมองออกไปนอกห้องและนั่งนิ่งเช่นนั้นอยู่ครู่หนึ่งจึงก้าวขาลงจากเตียงเพื่ออาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน เมื่อลงไปยังชั้นล่างกลิ่นหอมกรุ่นของกาแฟทำให้
พิมมาดาต้องชะงัก หญิงสาวยืนมองถ้วยกาแฟที่วางอยู่บนโต๊ะแน่วนิ่ง ควันสีขาวที่ลอยอ้อยอิ่งขึ้นมาจากของแหลวสีดำแสดงให้เห็นว่ามันเพิ่งถูกชงเมื่อไม่นานมานี้เอง

“ดีจัง อุตส่าห์ชงกาแฟไว้ให้ด้วย”

หญิงสาวพูดกับตัวเองด้วยน้ำเสียงเหมือนเป็นเรื่องปรกติธรรมดา หากแต่ในใจนั้นกลับรู้สึกโหวงเหวงพิกลซึ่งเธอเองก็ไม่แน่ใจว่าเกิดจากอะไร หญิงสาวแตะถ้วยกาแฟและทำท่าเหมือนจะยกขึ้นดื่มแต่กลับเปลี่ยนใจเป็นหมุนตัวเดินเข้าห้องน้ำ หลังจากผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าและแต่งหน้าแต่งตาเสร็จเรียบร้อยแล้วเธอจึงเดินมานั่งที่โต๊ะและหยิบถ้วยกาแฟขึ้นมาดื่ม แม้จะเย็นชืดแต่รสชาติของมันนั้นกลับกลมกล่อมกว่าทุกวัน หญิงสาวนั่งนิ่งอยู่เช่นนั้นด้วยหวังว่าจะได้ยินเสียงเสียงทุ้มเอ่ยทัก แต่รอบตัวกลับมีเพียงความเงียบที่เธอคุ้นเคย

คุ้นเคย พิมมาดาคิดอย่างปวดใจ เพราะตั้งแต่คุณตาคุณยายเสียชีวิตเธอก็อยู่บ้านนี้ตามลำพังมาโดยตลอด ความคุ้นกับสถานที่กับนิสัยที่ไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับใครทำให้หญิงสาวรักที่จะอยู่ตัวคนเดียว เป็นครั้งแรกที่เธอบังเกิดความรู้สึกเหงาขึ้นมา

“มัวคิดโน่นคิดนี่อะไรอยู่ได้นะเรา เดี๋ยวก็ไปทำงานสายกันพอดี”

พิมมาดาพูดกับตัวเองและดื่มกาแฟที่เหลือจนหมด เมื่อล้างถ้วยเรียบร้อยแล้วเธอจึงคว้ากระเป๋าก้าวออกจากบ้าน แต่พอออกมายืนด้านนอกเงาหลอนของภูตหนุ่มก็ไหววูบวาบไปตามต้นไม้ หญิงสาวยืนนิ่งไม่ยอมขยับ มีเพียงใบหน้าเท่านั้นที่แหงนขึ้นมองยอดต้นมณฑาที่กำลังโยกตัวอย่างเชื่องช้าไปตามแรงลม หญิงสาวพึมพำเบาๆ

“ภูธรา”
*/*/*/*/*

เสียงลั่นเอี๊ยดของกิ่งไม้ที่เสียดสีกันเพราะแรงลมดึงความสนใจของภูธราให้หันไปมอง ชั่วขณะหนึ่งเขารู้สึกเหมือนเป็นเสียงเรียกจากพิมมาดา แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเวลานี้ตนกำลังยืนอยู่กลางป่าเขาจึงละความสนใจและออกเดินทางต่อโดยมุ่งหน้าตรงไปยังจุดลึกและเร้นลับที่สุดของป่า สถานที่อันแปรียบเสมือนที่พำนักของเหล่าภูตคราม ขณะที่ร่างกำยำกำลังไหววูบผ่านไปตามต้นไม้ เงาสูงใหญ่อีกสายก็วิ่งเข้ามาขวาง คิ้วเข้มของภูตหนุ่มขมวดเข้าหากัน เขามองมฤตที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างไม่พอใจ

“มาขวางข้าทำไม”

“แล้วเจ้าล่ะ กลับมาที่นี่ทำไม”

มฤตย้อนกลับด้วยคำถาม ภูธราไม่ตอบแต่กลับขยับตัวเพื่อจะเดินทางต่อ อีกฝ่ายรีบเคลื่อนตัวไปขวางราวกับรู้ทัน

“เจ้ายังไม่ได้ตอบข้าเลยภูธรา”

น้ำเสียงของมฤตแฝงความขุ่นเคืองอย่างชัดเจน ภูธราชำเลืองมองเขาด้วยหางตาก่อนจะเอ่ยปากตอบอย่างไม่ใส่ใจ

“ไม่ใช่กงการอะไรของเจ้า” เขาเตรียมจะไปต่อแต่ต้องหยุดเมื่ออีกฝ่ายกางแขนขึ้นขวาง

“ภูตครามที่ทิ้งป่า ย่อมไม่สมควรหวนกลับมาอีก”

น้ำเสียงกระด้างจนเกือบจะกลายเป็นกรรโชก ภูธรามองเขาด้วยดวงตาเฉยชา

“เจ้าไม่พอใจเพราะการกระทำของข้า หรือการกลับมาที่นี่อีกครั้งกันแน่” ภูตหนุ่มถามเสียงเรียบ”หากเป็นกังวลเรื่องตำแหน่งก็ขอให้สบายใจ เพราะข้าไม่สนใจเรื่องนี้เลยสักนิด อีกอย่างสิ่งที่เจ้ากล่าวมาเมื่อครู่ ข้าจำไม่ได้ว่ามีบัญญัติเอาไว้”

“ไม่ใช่บัญญัติ หากแต่เป็นสามัญสำนึกและข้าเองก็ไม่ได้สนใจเรื่องตำแหน่ง ที่พูดมาทั้งหมดเพราะไม่ชอบที่เจ้าหันหลังให้วิถีแห่งภูตเพื่อมนุษย์ สมควรแล้วหรือที่จะกลับมายังป่านี้อีกครั้ง”

มฤตพูดอย่างมีอารมณ์ ภูธรานิ่งไปเล็กน้อยและถอนใจ

“เจ้าเข้าใจผิดแล้วมฤต ข้าไม่เคยคิดที่จะละทิ้งความเป็นภูต เพียงแต่ทำในสิ่งที่ตัวเองปรารถนาเท่านั้น”

“ทำในสิ่งที่ตัวเองปรารถนา” มฤตกล่าวเสียงเยาะ “เจ้าคงหมายถึงการไปใช้ชีวิตร่วมกับมนุษย์ ไร้สาระน่าภูธรา เจ้าก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจดีว่าภูตครามไม่มีวันใช้ลมหายใจร่วมกับใครได้”

น้ำเสียงเต็มไปด้วยความสมเพช ภูธรากำหมัดแน่นก่อนตัดสินใจพูด

“ข้ารู้ดี ด้วยเหตุนี้ถึงต้องมาขอพบท่านวิษธร”

มฤตอ้าปากเตรียมจะแย้งแต่ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงทรงอำนาจดังสะท้อนก้องไปทั่วป่า หากเป็นมนุษย์มันเป็นเพียงเสียงซู่ซ่าของใบไม้ยามกระทบสายลม แต่ในโสตของภูตครามแล้ว นั่นคือเสียงของหัวหน้าภูตคราม

“จงหลีกทางให้ภูธรา”

แม้จะไม่พอใจแต่มฤตจำต้องยอมหลีกทางให้แต่โดยดี เมื่อปราศจากผู้ขวางแล้วภูธราจึงเลื่อนกายผ่านต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ขึ้นอย่างหนาแน่น ไปจนถึงลานดินกว้างแห่งหนึ่งซึ่งมีต้นสนอายุไม่ต่ำกว่าห้าร้อยปีงอกสูงตระหง่านอยู่กลางลาน ภายใต้เงาอันรกครึ้มคือร่างอันสง่างามของวิษธร

“ข้ารอเจ้าอยู่ภูธรา”

น้ำเสียงเนิบอย่างผู้ดำรงอำนาจมาเนิ่นนาน ภูตหนุ่มก้มศีรษะลงเล็กน้อยพร้อมกับพูดด้วยความแปลกใจ

“ท่านรู้”

ผู้นำภูตครามพยักหน้ารับ

“และยังรู้ด้วยว่า เจ้ามาด้วยเหตุใด” ดวงตาคมปลาบจ้องผู้ที่อยู่ตรงหน้าแน่วนิ่งจากนั้นจึงกล่าวถามเสียงเรียบ

”หญิงผู้นั้นมีค่ามากแค่ไหน”

“มากกว่าทุกสิ่ง” ภูธราพูดเสียงหนัก วิษธรจึงถามต่อ

“รวมถึงจิตวิญญาณของเจ้าด้วยอย่างนั้นหรือ”

ภูตหนุ่มไม่ตอบแต่กลับผงกศีรษะรับ ผู้นำชนภูตครามนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะหมุนตัวเดินตรงไปยังต้นสนยักษ์และวางมือลงบนเปลือกที่หยาบกระด้างดุจผิวของมนุษย์ยามชรา

“เจ้าเป็นภูตคราม ต้องดูดกลืนวิญญาณของสิ่งมีชีวิตอื่นเพื่อดำรงชีวิต คิดหรือว่ามนุษย์จะยอมรับความจริงในเรื่องนี้”

“พิมกำลังรอการกลับไปของข้า” ภูธราพูด คิ้วของวิษธรเลิกสูงด้วยความแปลกใจ

“นี่เจ้าสนิทกับนางจนถึงขนาดเรียกขานชื่อกันแล้วหรือ” เขาหันกลับไปทางภูธรา “แล้วหมายความว่าอย่างไรที่ว่ารอการกลับ”

“นางกล่าวกับข้าเช่นนั้น”

ภูตหนุ่มตอบ สีหน้าของวิษธรฉายความคาดไม่ถึงออกมาและถูกปรับให้ราบเรียบปราศจากอารมณ์เหมือนดังเดิม

“นางยอมรับเจ้า”น้ำเสียงที่พูดแฝงความอัศจรรย์ใจเอาไว้อย่างเจือจาง “แต่นั่นก็ยังไม่พอสำหรับการเป็นมนุษย์”

ภูธรายืนนิ่ง ภาพใบหน้านองน้ำตาที่เขาไม่อาจซับให้แห้งเหือดได้หวนกลับเข้ามาในความทรงจำ ภูตหนุ่มกำมือแน่น

“ข้าอยากปกป้องนางด้วยมือคู่นี้” เขาพูดพลางยื่นมือไปข้างหน้า “ไม่ใช่มือภูตครามแต่เป็นมือของมนุษย์”

“คิดดีแล้วหรือที่พูดเช่นนั้น” วิษธรกล่าวเสียงเรียบและถอนใจออกมาค่อนข้างหนักเมื่อเห็นภูธราพยักหน้ารับ

“ความรัก” ผู้นำชนภูตครามกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เบาราวกระซิบก่อนจะแหงนหน้าขึ้น ดวงตาที่เคยดุดันฉายความเศร้าสร้อยออกมาจนภูธรานึกเอะใจ

“ท่านวิษธร”

ผู้ถูกเรียกเลื่อนสายตากลับมาที่เขา ประกายแห่งความปวดร้าวเต้นระริกอยู่ภายใน

“แม้ภูตครามจะปราศจากความรู้สึกแต่ก็ใช่ว่าจะไร้ซึ่งจิตใจ ภูตครามบางตนได้พบรักกับมนุษย์แต่สุดท้ายก็ต้องลงเอยด้วยการจากพราก การได้เฝ้ามองสตรีอันเป็นที่รักอาจจะทำให้เจ้ามีความสุข แต่พอเนิ่นนานไปสิ่งเหล่านั้นจะกลายเป็นความเจ็บปวดที่คอยกัดกร่อนให้หัวใจผุสลาย สุดท้ายเจ้าก็จะต้องจมจ่อมอยู่กับความระทมทุกข์เพียงลำพังไม่มีวันได้พบกับแสงสว่างได้อีกเลย”

ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดทำให้ภูธราบังเกิดความสงสัยขึ้นมาในทันที

“หรือว่าท่าน”

พูดได้เพียงเท่านั้นก็ต้องหยุดเมื่อได้ยินเสียงระบายลมหายใจค่อนข้างหนักมาจากผู้นำของภูตคราม

“เคยสงสัยหรือเปล่าว่าทำไมคนที่ชื่อแคล้วจึงรู้เรื่องของภูตคราม” วิษธรถาม ภูตหนุ่มพยักหน้า

“เขาเป็นพราน”

“ป่าแห่งนี้มีพรานอยู่ไม่น้อย แต่เหตุใดจึงมีเพียงเขาเท่านั้น”หัวหน้าภูตครามกล่าวสวนขึ้นมาและมองภูธราที่กำลังยืนขมวดคิ้ว

“ช่วงที่เจ้าเริ่มถือกำเนิด ข้าเพิ่งได้รับตำแหน่งหัวหน้าภูตคราม ยามนั้นความคิดของข้ายังแรงนัก อาจจะไม่แพ้มฤตในเวลานี้” วิษธรอมยิ้มน้อยๆเหมือนภาคภูมิใจในสิ่งที่ตนกำลังเล่า มันคลายลงเมื่อเขากล่าวประโยคต่อไป

“ข้าตระเวนไปทั่วจนกระทั่งได้พบกับสตรีนางหนึ่ง ชบาบุตรสาวคนเดียวของพรานคง”

น้ำเสียงเต็มตื้นขณะที่เอ่ยชื่อของหญิงผู้นั้น ดวงตาเศร้าเมื่อครู่ทอประกายวาววับด้วยความยินดีแต่ชั่วประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นก็ดับวูบไป

“ตอนนั้นนางกำลังช่วยลูกกวางติดหล่ม เพียงแรกเห็นความคิดที่จะกลืนพลังชีวิตของนางก็มลายหายไป ข้าเองก็ไม่เข้าในว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นรู้แค่ว่าเพียงแค่อยู่ใกล้ ใจของข้าก็จะสุขสงบ ครั้งแรกข้าทำได้แต่เพียงเฝ้ามองจนที่สุดก็ยอมปรากฏกายให้เห็น แน่นอนว่านางหวาดกลัวแต่พอเนิ่นนานไปหัวใจของเราทั้งคู่ก็พันผูกกัน”

“แล้วเหตุใดท่านจึงไม่หาวิธีเป็นมนุษย์เพื่อร่วมชีวิตกับนาง”

ภูธราถามแทรกขึ้น วิษธรยืนนิ่งเหมือนกำลังกลืนกินความเจ็บปวดเข้าไปในลำคอก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงปวดร้าว

“ข้าหาวิธีนั้นจนพบ แต่กลับไม่สามารถทำได้”

“ทำไม”

วิษธรแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีส้มแดงและมองนิ่งอยู่นานก่อนจะพูดอย่างแผ่วเบา

“เพราะมันไม่ใช่หนทางแห่งการอยู่ร่วม”

“ข้าไม่เข้าใจ”

ผู้นำภูตครามลดสายตาลงและเลื่อนกลับมาทางภูธรา

“พรานคงและข้าสามารถค้นหาวิธีการทำให้ภูตครามเป็นมนุษย์ได้ก็จริง แต่การกระทำเช่นนั้นจะทำให้พวกเราต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวไปจนตลอดกาล”

คำพูดของวิษธรสร้างความกังขาต่อภูตหนุ่มเป็นอย่างยิ่ง เขาขยับเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างลืมตัว

“โปรดอย่าพูดวกวนอยู่เลย รีบบอกมาเถิดว่าจะต้องทำยังไง”

ใบหน้าของวิษธรเต็มไปด้วยความหมองหม่นอย่างที่ภูธราไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นความรู้สึกเช่นนี้จากเผ่าพันธุ์ภูตคราม

“ภูตครามจะเป็นมนุษย์ได้ก็ต่อเมื่อ กลืนกินลมหายใจเฮือกสุดท้ายของคนที่ตนรัก” เขามองสีหน้าตระหนกของภูตหนุ่มและกระตุกรอยยิ้มเศร้า

“เมื่อรู้เช่นนี้แล้วยังอยากเป็นมนุษย์อยู่อีกเหรือเปล่า ภูธรา”

*/*/*/*/*/*


คุณ pat – คำตอบมาแล้วนะคะ และคุณองอาจก็รู้ความจริงแล้ว
คุณ wii – ตอนแรกเขาโกรธจริงค่ะ แต่พอรู้ว่าเรื่องราวเป็นยังไงเขาก็พยายามแยกให้สองคนห่างกัน
คุณ ดารานิล – ภูธราพยายามหาทางให้เป็นมนุษย์ค่ะ แต่ทว่า...... = =

ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามผลงานของมูนนี่นะคะ ตอนนี้ตัวอย่างปกนิยายเรื่องภูตครามมาแล้ว คาดว่าคงสามารถนำมาให้ทุกท่านได้ชมเร็วๆนี้ ^^




มุนีรัตน์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 ต.ค. 2555, 08:25:28 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 ต.ค. 2555, 08:25:28 น.

จำนวนการเข้าชม : 1313





<< บทที่ 10 น้ำตานาง   บทที่ 12 หัวใจที่โหยหา >>
ดารานิล 2 ต.ค. 2555, 12:10:08 น.
แอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย พี่มูนนี่อ่ะ!!!! ไม่เอา!!! ให้ไปกินอย่างอื่นสิ ทำไมต้องกินอย่างนีด้วย แล้วจะทำยังไงล่ะทีนี้ ไม่อาววววววววววววววววววววววววว TT


ใบบัวน่ารัก 2 ต.ค. 2555, 21:19:24 น.
ทำไม่ได้หรอก
เสี่ยงมาก


Pat 4 ต.ค. 2555, 00:32:53 น.
เป็นมนุษย์โดยไม่มีคนที่รักอยู่เนี่ยนะ แล้วจะเป็นไปเพื่ออะไรกัน


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account