วิวาห์ลวง...ใช้หนี้รัก
เมื่อน้องชายหายตัวไปพร้อมกับข้อกล่าวหายักยอกเงินบริษัทไป 20 ล้านบาท
ทำให้ ‘แพรวรุ้ง’ ในฐานะพี่สาวและผู้ค้ำประกัน ต้องรับผิดชอบอย่างเสียไม่ได้
แต่ลำพังเงินเดือนอาจารย์ไม่กี่หมื่นบาทจะให้ผ่อนชำระหนี้ก็คงต้องแก่ตายกันไปก่อน
‘ต้นกล้า’ เจ้าหนี้ที่แสนใจดี จึงเสนอให้เธอมาแต่งงานเป็นเมียหลอกๆ เป็นเวลา 5 ปี
โดยตลอด 5 ปีนี้ เธอต้องทำหน้าที่ดูแลบุตรชายวัย 6 ขวบ
และช่วยกีดกันบรรดาผู้หญิงหมายจะมาจับเขา
‘แพรวรุ้ง’ ไม่มีทางเลือกอื่นใด อีกทั้งเธอไม่เชื่อว่าน้องชายจะเป็นอย่างที่ถูกกล่าวหา
เธอจึงจำยอมรับข้อเสนอนี้ และพยายามสืบหาความจริงที่เกิดขึ้น
โดยยิ่งใกล้ความจริงเมื่อไหร่ อันตรายก็เพิ่มขึ้นเท่านั้น
ทำให้ ‘ต้นกล้า’ ต้องกระโดดเข้ามาปกป้องลูกหนี้คนนี้ด้วย ‘หัวใจ’
และคราวนี้ ‘แพรวรุ้ง’ ก็เต็มใจจ่ายคืนเขาด้วย ‘หัวใจ’ เช่นกัน
ทำให้ ‘แพรวรุ้ง’ ในฐานะพี่สาวและผู้ค้ำประกัน ต้องรับผิดชอบอย่างเสียไม่ได้
แต่ลำพังเงินเดือนอาจารย์ไม่กี่หมื่นบาทจะให้ผ่อนชำระหนี้ก็คงต้องแก่ตายกันไปก่อน
‘ต้นกล้า’ เจ้าหนี้ที่แสนใจดี จึงเสนอให้เธอมาแต่งงานเป็นเมียหลอกๆ เป็นเวลา 5 ปี
โดยตลอด 5 ปีนี้ เธอต้องทำหน้าที่ดูแลบุตรชายวัย 6 ขวบ
และช่วยกีดกันบรรดาผู้หญิงหมายจะมาจับเขา
‘แพรวรุ้ง’ ไม่มีทางเลือกอื่นใด อีกทั้งเธอไม่เชื่อว่าน้องชายจะเป็นอย่างที่ถูกกล่าวหา
เธอจึงจำยอมรับข้อเสนอนี้ และพยายามสืบหาความจริงที่เกิดขึ้น
โดยยิ่งใกล้ความจริงเมื่อไหร่ อันตรายก็เพิ่มขึ้นเท่านั้น
ทำให้ ‘ต้นกล้า’ ต้องกระโดดเข้ามาปกป้องลูกหนี้คนนี้ด้วย ‘หัวใจ’
และคราวนี้ ‘แพรวรุ้ง’ ก็เต็มใจจ่ายคืนเขาด้วย ‘หัวใจ’ เช่นกัน
Tags: วิวาห์ลวง...ใช้หนี้รัก, ช่อสุนันท์, ต้นช่อ, วิวาห์ลวง
ตอน: ใช้หนี้(รัก)งวดที่ 2
เช้าวันรุ่งขึ้น...
หลังจากไปส่งบุตรชายที่โรงเรียนเรียบร้อยแล้ว ต้นกล้าก็รีบเอ่ยถามจักรกฤษผู้ที่นั่งประจำที่คนขับในเรื่องของ ดร.แพรวรุ้ง ธัญพิสิษฐ์ คนค้ำประกันฟ้าฉายที่เขาสงสัยว่าเป็นใคร และเกี่ยวอะไรกับฟ้าฉายทันที
“ได้ข้อมูลที่เมื่อคืนฉันให้ไปหาหรือยัง”
“ได้แล้วครับ ดร.แพรวรุ้ง ธัญพิสิษฐ์ เป็นพี่สาวต่างบิดาของฟ้าฉายครับ”
“อืม” ต้นกล้าพยักหน้ารับรู้กับข้อมูลที่ได้มา มือหนาเปิดแฟ้มประวัติของฟ้าฉายขึ้นมาดูอีกรอบ ก่อนความคิดบางอย่างผุดขึ้นมา ตอนนี้เขาพอรู้แล้วว่าเขาจะไปตามล่าหาตัวฟ้าฉายได้ที่ไหน “วันนี้ยังไม่ต้องเข้าบริษัท ไปที่มหาวิทยาลัย... ที่ ดร.แพรวรุ้ง ธัญพิสิษฐ์ สอนก่อน” ชายหนุ่มบอกชื่อมหาวิทยาลัยของรัฐในย่านใจกลางเมืองที่ต้องการจะไปให้คนสนิทได้รับรู้
และรถเบนซ์อีคลาสสีบรอนส์คันหรูของต้นกล้าก็ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะฝ่าการจราจรที่ติดขัดของย่านใจกลางเมืองในช่วงเวลาเร่งรีบจนมาถึงที่หมาย แล้วก็ถือว่าโชคดีที่ตัวเขาเองก็จบการศึกษาจากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งนี้มาก่อน ก่อนที่จะไปเรียนต่อ MBA ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา จึงทำให้เขาไม่ต้องเสียเวลาในการเดินหาตึกที่ตั้งของคณะที่เขาต้องการไปอีก
“เดี๋ยวจอดตรงมุมตึกตรงนั้นแหละ”
ทันทีที่ต้นกล้าก้าวลงจากรถพร้อมแฟ้มเอกสารเล่มบาง บรรยากาศสมัยตอนที่เขายังเป็นนิสิตก็หวนกลับมา เมื่อดวงตาคมมองนิสิตชายหญิงรุ่นน้องนั่งจับกลุ่มคุยเล่นกันตรงม้านั่งหินอ่อนใต้ต้นไม้ใหญ่ ชายหนุ่มอมยิ้มเล็กน้อยแล้วเดินตามทางเดินที่ปูด้วยอิฐบล็อคตัวหนอนทอดยาวผ่านด้านหน้าทางเข้าตึกคณะวิทยาศาตร์
เมื่อต้นกล้าเข้าไปในตัวตึก เขาก็แวะถามนิสิตที่เดินผ่านมาถึงห้องพักของคณะอาจารย์ของภาควิชานี้ จากนั้นก็เดินผ่านลิฟต์เพื่อไปยังบันไดที่ตั้งอยู่ข้างๆ โดยเลือกที่จะเดินขึ้นบันไดแทนที่จะใช้ลิฟต์ เพราะชั้นที่เขาจะไปมันแค่ชั้นสาม และที่สำคัญเขาไม่อยากเอาชีวิตของเขามาเสี่ยงกับลิฟต์รุ่นดึกดำบรรพ์ตัวนี้
ด้วยที่ต้นกล้าออกกำลังกายด้วยการว่ายน้ำกับบุตรชายสม่ำเสมอจึงทำให้การเดินขึ้นบันไดสามชั้นนี้ใช้เวลาเพียงครู่เดียว แถมยังไม่ได้ส่งผลให้เขามีอาการเหนื่อยหอบเลยสักนิด
ต้นกล้าเดินหาห้องที่ติดป้ายชื่อ ‘ดร.แพรวรุ้ง ธัญพิสิษฐ์’ จนสุดท้ายก็เจออยู่ที่สุดตรงปลายทางเดิน ชายหนุ่มตรวจสอบจนแน่ใจว่าไม่ได้มาผิดห้องถึงยกมือขึ้นมาเคาะที่บานประตู เขาเคาะอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่มีคนขานรับ เขาจึงคิดว่าเจ้าของห้องคงไม่อยู่ และขณะสมองกำลังคิดหาทางออก อยู่ๆ ก็มีเสียงของผู้หญิงดังขึ้นมาจากทางด้านข้าง
“มาหาใครคะ”
เสียงที่ได้ยินก็ทำให้ต้นกล้าต้องรีบหันไปดู และทันทีที่ชายหนุ่มเห็นผู้หญิงเจ้าของเสียง เขาก็ต้องตกตะลึง เพราะเธอก็คืออาจารย์สาวที่เขาประทับใจตอนที่ไปรับบุตรชายเมื่อวานนั่นเอง โดยวันนี้เธอก็แต่งตัวไม่แตกต่างจากเมื่อวานเลยสักนิด
“ผมมาหา ดร.แพรวรุ้ง ธัญพิสิษฐ์ ครับ”
หญิงสาวตรงหน้าทำหน้าแปลกใจเล็กน้อย ก่อนเอ่ย “ดิฉันนี่แหละค่ะ ดร.แพรวรุ้ง ธัญพิสิษฐ์”
และการแนะนำตัวของเธอก็ทำให้ต้นกล้าต้องตกตะลึงรอบสอง เมื่อรู้ว่าเธอก็คือ ผู้หญิงที่เขาต้องการพบ
“ไม่ทราบว่าคุณมีธุระอะไรกับดิฉันคะ” แพรวรุ้งเห็นชายแปลกหน้ายืนนิ่งจึงถามออกไป
“ผม ต้นกล้า วริทธินันท์ ครับ” ว่าแล้วชายหนุ่มก็หยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาดึงนามบัตรส่งให้เธอ
หญิงสาวรับนามบัตรมา ก็อ่านชื่อและตำแหน่งที่ระบุบนนามบัตรในใจ ก่อนคิ้วเหนือดวงตาใต้กรอบแว่นสายตาขมวดเข้าหากัน
“คุณเป็นประธานบริษัท...” เธอพึมพำชื่อบริษัทที่น้องชายทำงานอยู่ “ถ้างั้นคุณก็เป็นเจ้านายของฟ้าฉายสิคะ”
“ครับ ไม่ทราบว่าคุณแพรวรุ้ง พอมีเวลาคุยกับผมไหมครับ”
แพรวรุ้งมองนาฬิกาข้อมือเพื่อมองเวลา
“ฉันมีเวลาแค่สิบห้านาทีค่ะ เพราะเดี๋ยวตอนสิบโมงฉันจะมีสอนหนึ่งคลาส”
“ถ้างั้นคุณแพรวรุ้ง พอมีที่ให้ผมนั่งรอไหมครับ เพราะเรื่องที่ผมจะคุยมันต้องใช้เวลามากกว่าสิบห้านาที” ต้นกล้าบอกเสียงเรียบ และเมื่อเห็นหญิงสาวตรงหน้าทำหน้าเป็นเครื่องหมายคำถาม เขาจึงรีบขยายความ “เรื่องฟ้าฉายน่ะครับ”
“เรื่องร้ายแรงไหมคะ” แพรวรุ้งรีบร้องถาม
“เรื่องค่อนข้างจะร้ายแรง แต่ไม่ถึงกับชีวิตครับ” ต้นกล้ารีบบอกเมื่อเห็นสีหน้าตกใจของเธอ
แพรวรุ้งเกิดความรู้สึกลังเล ใจหนึ่งก็อยากจะคุยเรื่องน้องชายเธอ แต่อีกใจก็ค้านขึ้นมาถึงความรับผิดชอบที่มีต่ออาชีพที่เธอรัก สุดท้ายเสียงที่ค้านขึ้นมาก็เป็นฝ่ายชนะ
“คุณรอฉันประมาณหนึ่งชั่วโมงได้ไหมคะ”
“ได้สิครับ ผมรอได้”
“ถ้างั้นคุณนั่งรอตรงนี้ก่อนนะคะ” แพรวรุ้งผายมือไปทางโซฟาหนังสีดำที่ตั้งอยู่หน้าห้อง เพราะจะให้คนแปลกหน้าเข้าไปนั่งรอในห้องระหว่างที่เธอไม่อยู่มันก็คงจะไม่เหมาะเท่าไหร่
“ครับ ขอบคุณครับ”
หญิงสาวส่งยิ้มให้ชายหนุ่มแปลกหน้า ก่อนเดินเข้าไปในห้องพัก เพื่อหยิบเอกสารการสอนของเธอ และถึงกลับออกมา
“ประมาณอีกหนึ่งชั่วโมงฉันจะกลับมา ถ้าไงระหว่างนี้คุณไปหาอะไรเย็นๆ ดื่มที่ร้านกาแฟข้างล่างเพื่อฆ่าเวลาก็ได้นะคะ กาแฟปั่นร้านนี้อร่อยสู้ร้านกาแฟแพงๆ ตามห้างได้เลยค่ะ”
ต้นกล้าพยักหน้ารับ ก่อนมองแพรวรุ้งเดินจากไป ทิ้งให้เขาสงสัยว่าเธอจะรู้เรื่องของฟ้าฉายหรือเปล่า แต่จากที่เขาสังเกตอาการเมื่อครู่ก็ดูไม่มีพิรุธอะไร ก็ทำให้มีความเป็นไปได้ที่เธออาจจะไม่รู้เรื่องที่ฟ้าฉายทำเลยก็ได้ แต่เพียงแค่พบและพูดคุยกันแค่ครู่เดียวเท่านั้น มันจึงยังไม่สามารถสรุปหรือตัดสินอะไรได้
ชายหนุ่มนั่งรออยู่หน้าห้องได้สิบนาทีก็ตัดสินใจที่จะไปยังร้านกาแฟที่แพรวรุ้งแนะนำเอาไว้ โดยเขาเลือกซื้อกาแฟปั่นมาสองแก้ว แล้วเดินไปให้จักรกฤษหนึ่งแก้ว ซึ่งกาแฟปั่นร้านนี้อร่อยอย่างที่เธอบอกจริงๆ จนเมื่อกาแฟปั่นหมดแก้ว เขาถึงกลับไปนั่งรอหญิงสาวที่เดิม
และต้นกล้าต้องนั่งรอหญิงสาวเจ้าของห้องตรงหน้าต่อจนเกือบชั่วโมงกว่า เธอถึงเดินมาพร้อมกับนิสิตสาวสองคน โดยเธอเดินเข้าไปห้องก่อนออกมาพร้อมกับเอกสารบางอย่าง แล้วส่งให้สองนิสิตสาวสองคนนั้นที่กำลังส่งสายตาหวานให้ต้นกล้าอยู่
“เอารายงานแล็ปพวกนี้ของเธอไปแก้ และอาทิตย์หน้าค่อยมาส่งให้อาจารย์ใหม่”
“อ้าวทำไมล่ะคะอาจารย์ รายงานของพวกหนูมีปัญหาอะไรคะ” หนึ่งในสองนิสิตร้องถามออกมา
“ก็เพราะรายงานพวกนี้พวกเธอลอกกันน่ะสิ ฉะนั้นอาจารย์เลยไม่ถือว่ามันเป็นรายงาน และถ้าพวกเธอยังลอกกันแล้วเอามาส่งแบบนี้อีก อาจารย์จะให้พวกเธอติดเอฟ และถึงเวลานั้นจะมาหาว่าอาจารย์ใจร้ายไม่ได้นะ”
เพียงเท่านี้สองนิสิตสาวก็ต้องหน้าซีดเผือด ก่อนรีบก้มหน้ายอมรับผิด และรีบขอตัวลาไปทันที
“เฮ้อ! เด็กสมัยนี้” แพรวรุ้งถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะเพิ่งสังเกตเห็นว่าชายแปลกหน้ายังคงนั่งอยู่ที่เดิม และกำลังจ้องมองเธออยู่ “ขอโทษค่ะ ถ้าไงเชิญเข้ามาในห้องก่อนสิคะ”
เมื่อต้นกล้าเข้ามายังห้องที่เขานั่งมองบานประตูห้องเป็นชั่วโมง เขาก็สะดุดกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ฟุ้งกระจายอยู่ในห้อง ก่อนมองไปรอบๆ ห้องที่กว้างประมาณสามคูณสองเมตรอย่างสนใจ ตรงด้านหน้าเขามีโต๊ะทำงานไม้สีเข้ม ด้านบนโต๊ะมีคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค ข้างๆ นั้นก็มีแฟ้มเอกสารวางเรียงเป็นตั้งเล็กๆ ที่มุมโต๊ะด้านในติดกำแพงมีถ้วยดินเผาใส่ปากกาดินสอไม้บรรทัดเอาไว้ ด้านหลังโต๊ะทำงานก็จะเป็นตู้เหล็กที่จัดวางเอกสารไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย โดยบนตู้เหล็กมีรูปถ่ายของเธอที่เธอถ่ายเอาไว้สามกรอบ ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นรูปของเธอกับฟ้าฉายที่กอดคอกันอย่างสนิทสนม มันจึงยิ่งเพิ่มความมั่นใจให้ต้นกล้าว่า ผู้หญิงคนนี้นี่แหละที่จะพาเขาไปหาฟ้าฉายได้
“เชิญนั่งค่ะ” หญิงสาวเจ้าของห้องผายมือไปยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“ขอบคุณครับ”
“คุณบอกฉันว่าคุณอยากจะคุยกับฉันเรื่องฟ้าฉาย มันเรื่องอะไรคะ”
ต้นกล้ามองหน้าหญิงสาวตรงหน้า ประสานตากับเธอ ก่อนพูดเสียงเครียด “มีรายงานว่าฟ้าฉายยักยอกเงินบริษัทไปยี่สิบล้านบาท”
“อะไรนะคะ ฟ้าฉายยักยอกเงินไปยี่สิบล้าน” แพรวรุ้งร้องออกมาทันทีหลังจากได้ยินคำกล่าวหาว่าร้ายน้องชายของเธอจากชายตรงหน้า
“ครับ ฟ้าฉายยักยอกเงินไปยี่สิบล้าน” ต้นกล้าย้ำอีกครั้ง
“ไม่จริง ฉันไม่เชื่อคุณหรอก น้องชายฉันไม่มีวันทำอะไรแบบนั้น”
“แต่ผมมีหลักฐาน” ว่าแล้วต้นกล้าก็ยื่นเอกสารที่ติดตัวมาส่งให้หญิงสาว
แพรวรับเอกสารมาก็กวาดตาอ่านทันที ก่อนพึมพำเมื่ออ่านข้อความบนกระดาษเสร็จแล้ว “เป็นไปไม่ได้ ฉันไม่เชื่อหรอก”
“เชื่อเถอะครับ แล้วนี่ฟ้าฉายติดต่อคุณมาบ้างรึเปล่า”
“ไม่ค่ะ” หญิงสาวส่ายหน้าไปมา ก่อนบอกตามจริง “ฟ้าฉายไม่ได้ติดต่อฉันมาหลายอาทิตย์แล้ว อีกอย่างช่วงนี้ฉันก็ยุ่งมากด้วย”
“แล้วคุณพอรู้ไหมครับว่าผมจะเจอตัวฟ้าฉายได้ที่ไหน”
“ตั้งแต่ที่ฟ้าฉายได้งานที่บริษัทคุณ เขาก็ย้ายออกจากบ้านไปเช่าอพาร์ทเม้นท์อยู่”
“ผมไปที่นั่นมาแล้ว ของใช้ส่วนตัวถูกเก็บไปหมด” ชายหนุ่มบอกเสียงเรียบ
“ถ้างั้นฉันก็ไม่รู้แล้วค่ะ ว่าฟ้าฉายไปไหน”
“คุณไม่รู้จริงๆ เหรอครับ”
“ฉันไม่รู้จริงๆ ค่ะ” แพรวรุ้งยืนยันอีกครั้ง
ต้นกล้ามองหญิงสาวตรงหน้าอย่างจับผิด
“จริงเหรอครับ ระวังข้อหาสมรู้ร่วมคิดนะครับ”
“นี่คุณ ฉันบอกว่าไม่รู้ ก็ไม่รู้สิ” แพรวรุ้งชักสีหน้า ก่อนผายมือไปทางประตู “ถ้าคุณไม่มีธุระอะไรแล้วก็เชิญ”
“ครับ ถ้าคุณพบหรือได้คุยกับฟ้าฉาย คุณช่วยบอกให้เขาเอาเงินมาคืนบริษัทด้วยนะครับ แล้วผมจะไม่เอาเรื่องทางกฎหมาย” ต้นกล้ากล่าวทิ้งท้ายก่อนลุกเดินออกจากห้อง ทิ้งให้แพรวรุ้งนั่งหน้านิ่วด้วยความโมโห
ต้นกล้าเดินกลับมาขึ้นรถเบนซ์อีคลาสสีบรอนส์คันหรูของเขาที่จอดรออยู่ พร้อมวิเคราะห์ท่าทางของแพรวรุ้งไปด้วย ก่อนสรุปในใจว่าแพรวรุ้งต้องรู้ว่าฟ้าฉายอยู่ไหนแน่ๆ
“จะไปไหนต่อครับ” จักรกฤษเอ่ยถามเมื่อเจ้านายขึ้นมานั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว
“ยังไม่ไปไหน ฉันจะรอใครบางคนก่อน”
“ครับ คุณกล้า” คนสนิทพยักหน้ารับรู้ โดยไม่เอ่ยปากถามอะไร
จนเวลาผ่านไปถึงตอนบ่ายสามโมงเย็น ต้นกล้าที่นั่งรออยู่ในรถด้วยความใจเย็นก็เห็นแพรวรุ้งเดินออกมาจากตึก ตรงไปขึ้นรถฮอนด้าซีวิคสีเทารุ่นไดเมนชั่นที่จอดอยู่ริมถนนด้านหน้าตึกแล้วขับออกไป
“ตามรถคันนั้นไป”
รถเบนซ์อีคลาสสีบรอนส์คันหรูขับตามรถฮอนด้าซีวิคสีเทารุ่นไดเมนชั่นไปเรื่อยๆ ท่ามกลางการจราจรที่ปกคลุมด้วยสายฝน จึงทำให้การจราจรที่ปกติติดขัดอยู่แล้วยิ่งติดขัดขึ้นไปอีก จนกระทั่งรถทั้งสองคันเลี้ยวตามกันมายังซุปเปอร์มาเก็ตขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง
“จะเอาไงต่อครับ” จักรกฤษเอ่ยถามหลังจากเคลื่อนรถมาจอดห่างจากรถที่เจ้านายสั่งให้ขับตามไม่ไกลนัก
“เดี๋ยวนายลงไปจับตาดูผู้หญิงคนนั้น ดูว่าเธอมาพบกับฟ้าฉายหรือเปล่า” ต้นกล้าสั่งคนสนิท เพราะว่าตอนนี้แพรวรุ้งเห็นหน้าและรู้จักเขาแล้ว จะให้เขาไปตามเอง เธอก็คงสงสัย นึกๆ แล้ว ก็อดตำหนิตัวเองไม่ได้ที่วู่วามเปิดตัวกับแพรวรุ้งก่อน
เมื่อจักรกฤษลงจากรถ ต้นกล้าก็กดโทรศัพท์ไปหาอรวรรณเลขาหน้าห้องเพื่อสอบถามเรื่องงานของวันนี้ว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า ก่อนโทรศัพท์ไปบอกที่บ้านว่าไม่ต้องรอทานข้าวมื้อเย็น เพราะเขายังไม่รู้ว่าวันนี้เขาจะได้กลับบ้านกี่โมง และทันทีที่เขาวางสาย จักรกฤษก็กลับมาที่รถพอดี
“เป็นไงบ้าง”
“ผู้หญิงคนนั้นมาซื้อของครับ เธอไม่ได้มาพบฟ้าฉาย หรือใครเลยครับ”
“อืม” ต้นกล้าพยักหน้ารับรู้พร้อมจับจ้องไปยังแพรวรุ้ง ที่กำลังนำของที่ซื้อมาจัดวางใส่ท้ายรถ “ถ้างั้นเดี๋ยวนายขับตามไปเรื่อยๆ”
“ครับ” จักรกฤษรับคำ ก่อนออกรถขับรถตามรถฮอนด้าซีวิคสีเทารุ่นไดเมนชั่นคันนั้นไปอีกครั้ง
เมื่อแพรวรุ้งขับรถออกจากซุปเปอร์มาเก็ตเธอก็คิดว่า ถ้าเธอขับไปตามเส้นถนนใหญ่ที่มีรถติดยาวเหยียดแบบนี้ต่อไป กว่าจะถึงบ้านคงต้องเที่ยงคืนแน่ๆ ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าซอยทางลัด
และด้วยที่ซอยนี้เป็นทางวันเวย์แล่นรถทางเดียวและจำนวนรถที่แล่นก็มีไม่มากนัก จึงทำให้จักรกฤษที่ถูกสั่งให้ขับตามมา ต้องรักษาระยะห่างระหว่างรถสองคันให้มากขึ้นกว่าเดิม
แพรวรุ้งขับรถไปเรื่อยๆ ตามทาง จนมาถึงประมาณใกล้ถึงแยกตรงกลางซอย รถเจ้ากรรมก็เกิดเกเรพาลหยุดเคลื่อนขึ้นมาเฉยๆ
“โอ้ย! จะมาเสียอะไรกันตอนนี้เนี่ย” หญิงสาวบ่นออกมา ก่อนก้าวลงจากรถ แล้วตรงไปเปิดฝากระโปรงรถ
และพอดวงตาคู่สวยมองเข้าไปตรงตัวเครื่องยนต์ที่มีสายไฟและกล่องอะไรก็ไม่รู้ที่เธอไม่รู้จัก แพรวรุ้งก็รู้ตัวทันทีว่าเธอไม่มีปัญญาที่จะซ่อมหรือแก้ไขมันได้แน่ๆ ดังนั้นเธอจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาหมายจะโทรเรียกช่างให้มาดู แต่พอระหว่างที่กดไล่หาเบอร์โทรศัพท์ โทรศัพท์ของเธอก็ร้องเตือนว่าแบตเตอรี่อ่อนและใกล้หมดเต็มที จากนั้นหน้าจอที่สว่างก็ดับมืดลงไปเฉยๆ เหมือนรถยนต์ของเธอ
“อะไรกันเนี่ย” หญิงสาวร้องลั่นก่อนมองโทรศัพท์มือถือในมืออย่างกลุ้มใจ
แพรวรุ้งกลับไปที่รถแล้วหยิบเอากระเป๋าสะพายออกมา จากนั้นก็ทำการล็อครถ และขณะที่เธอยืนรอเพื่อจะเรียกรถแท็กซี่กลับบ้านอยู่นั้น ฝนที่กำลังตกปรอยๆ ก็กลับมากระหน่ำเทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา เธอจึงรีบยกเอากระเป๋าสะพายขึ้นมาปิดศีรษะเอาไว้ แล้ววิ่งเข้าไปหลบอยู่ใต้เพิงร้านอาหารที่อยู่แถวนั้นทันที
“เฮ้อ วันนี้มันถึงได้ซวยซ้ำซวยซ้อนซวยซ่อนเงื่อนแบบนี้นะ” หญิงสาวบ่นอุบก่อนหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ามาเช็ดตามเนื้อที่เปียกปอนไปด้วยน้ำฝน พร้อมมองไปรอบๆ อย่างระแวง เพราะรอบๆ กายของเธอตอนนี้มันทั้งเปลี่ยวทั้งมืด แถมฝนยังสาดกระหน่ำจนไม่สามารถมองเห็นอะไรในระยะที่ไกลเกินกว่าสองเมตร จึงทำให้เธอเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมา จนต้องรีบยกมือขึ้นมาประนม
“พ่อขา แม่ขา ขอให้ฝนหยุดตกเร็วๆ หรือไม่ก็ช่วยดลใจให้มีใครสักคนผ่านมาทางนี้ด้วยเถอะค่ะ...อ้อ! ขอคนดีๆ ไม่เอาโจรนะคะ”
และเหมือนว่าคำร้องขอของเธอจะส่งถึงบิดามารดาที่อยู่บนสวรรค์ เพราะเพียงแป๊บเดียวสายฝนที่กำลังตกกระหน่ำอยู่ก็เริ่มซาลง ก่อนมีแสงไฟจากรถสาดส่องมา หญิงสาวจึงรีบฝ่าละอองฝนออกไปโบกมือไปมา หมายจะขอความช่วยเหลือจากคนที่อยู่ในรถคันนั้น แล้วพอเห็นรถคันนั้นจอดไม่ห่างจากตรงหน้าของเธอนัก ดวงใจเธอก็พองโตด้วยความหวัง แต่ทันทีที่เห็นว่าใครลงมาจากรถดวงตาคู่สวยใต้แว่นสายตาก็ต้องเบิกกว้าง
“คุณต้นกล้า” แพรวรุ้งเรียกชื่อชายร่างสูงที่เดินตรงมาที่เธอท่ามกลางสายฝนปรอยๆ ด้วยความแปลกใจ
“นี่รถคุณแพรวรุ้งมีปัญหาเหรอครับ” ต้นกล้าถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วตั้งแต่เห็นหญิงสาวจอดและลงมาเปิดกระโปรงรถ
“ใช่ค่ะ คือรถของฉันเป็นอะไรไม่รู้ อยู่ๆ มันก็ดับขึ้นมาเฉยๆ พอจะโทรเรียกช่างให้มาดูโทรศัพท์มือถือก็ดันแบตหมดซะอีก”
ต้นกล้าเหลือบมองเข้าไปที่ฝากระโปรงรถที่ยกเปิดอ้าอยู่เล็กน้อย
“ตอนนี้ก็ดึกแล้ว ถ้าไงเดี๋ยวผมไปส่งคุณแพรวรุ้งให้ก่อนละกัน ส่วนรถของคุณแพรวรุ้ง ผมจะให้จักรกฤษเอาไปจัดการให้”
ได้ยินแบบนั้นก็ทำให้หญิงสาวลังเลขึ้นมาทันที สมองอันฉับไวรับรู้ถึงสิ่งผิดปกติได้
“นี่คุณมาทำอะไรแถวนี้คะ”
“ผมผ่านมาทำธุระน่ะครับ”
และแม้ต้นกล้าจะบอกด้วยน้ำเสียงปกติ แต่แพรวรุ้งที่สามารถจับอาการชะงักเล็กน้อยก่อนตอบของเขาได้ จึงมั่นใจว่าการที่เจอกับชายหนุ่มตอนนี้มันไม่ใช่เหตุบังเอิญแน่ๆ
“คุณตามฉันมาใช่ไหม”
ต้นกล้านิ่งอึ้งเล็กน้อยที่ถูกจับได้ ก่อนเห็นว่าเปล่าประโยชน์ที่จะโกหกอีก เขาจึงยอมรับออกไป “ใช่ ผมตามคุณมา”
“นี่คุณ! คุณตามฉันมาทำไม” แพรวรุ้งร้องถามด้วยความโมโห ก่อนบอกอย่างรู้ทัน “อ๋อ คุณคิดว่าฉันจะรู้ที่อยู่ฟ้าฉายอย่างงั้นสิ”
“ก็คงอย่างงั้น”
“คุณเสียเวลาเปล่าแล้วล่ะ เพราะฉันไม่รู้ว่าน้องชายของฉันอยู่ที่ไหน และถึงฉันรู้ฉันก็ไม่มีวันบอกคุณเด็ดขาด ทีนี้คุณจะไปไหนก็ไปได้แล้ว ไม่งั้นฉันจะเรียกตำรวจมาจับคุณข้อหาคุกคาม”
“คุณแน่ใจเหรอว่าอยากจะให้ผมไปจากตรงนี้” ต้นกล้ากล่าวพร้อมหันไปมองรอบๆ กายเพื่อสื่อความหมาย ซึ่งทำให้หญิงสาวต้องมองตาม ก่อนเริ่มรู้สถานะตัวเองตอนนี้
“เออ...คือว่า”
“ถ้างั้นผมไปก่อนล่ะนะ แถวนี้มันอันตราย วันก่อนเห็นมีข่าวลงว่ามีการฆ่าปล้นชิงทรัพย์แถมข่มขืนเหยื่อด้วย” ชายหนุ่มแกล้งพูดขึ้นมาลอยๆ ก่อนจะหมุนตัวเพื่อเดินกลับไปยังรถที่จอดไว้ แต่ก้าวไปได้แค่ก้าวเดียวเขาก็ต้องหยุดเดิน แล้วยิ้มที่มุมปาก
“เดี๋ยวค่ะ ฉันขอติดรถไปด้วยได้ไหม” แพรวรุ้งบอกเสียงอ่อน
“ได้สิครับ” ชายหนุ่มพยายามกลั้นยิ้มก่อนหันไปสั่งลูกน้องที่ยืนรอรับคำสั่งอยู่ไม่ห่างนัก “เดี๋ยวฉันจะขับรถไปเอง ส่วนนายก็เอารถของคุณแพรวรุ้งไปจัดการให้เรียบร้อยด้วย”
“ครับ คุณต้นกล้า” จักรกฤษก้มโค้งรับคำสั่งอย่างว่าง่าย
“เชิญครับ คุณแพรวรุ้ง” ต้นกล้าผายมือไปทางรถของตัวเองที่จอดอยู่
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
แพรวรุ้งเดินไปยังรถยุโรปราคาแพงที่จอดรออยู่ด้วยความจำใจ ก็ถ้ามีทางเลือกอื่น เธอก็คงจะเลือกไปแล้ว เพราะเธอไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณคนที่กล่าวหาน้องชายของเธอ รวมถึงคอยเฝ้าตามจับผิดเธอเท่าไหร่นักหรอก
“ถ้าไงคุณช่วยไปส่งฉันตรงสถานีรถไฟฟ้าหรือป้ายรถเมล์ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันหาทางกลับบ้านต่อเอง” แพรวรุ้งหันไปเอ่ยกับชายหนุ่มหลังจากขึ้นมานั่งบนรถแล้ว
“ไม่ครับ ก่อนหน้านี้ผมจำได้ว่าผมบอกว่าจะไปส่งคุณ มันก็หมายความว่าผมต้องการไปส่งคุณถึงบ้าน” ต้นกล้าบอกเสียงเรียบ
“แต่บ้านฉันอยู่ไกล” แพรวรุ้งบอกอย่างเกรงใจ แต่ชายหนุ่มกลับตีความไปว่าเธอกำลังพยายามบ่ายเบี่ยงไม่อยากให้เขาไปที่บ้าน เพราะกำลังปกปิดอะไรบางอย่าง ซึ่งเขาคิดว่าเป็นเรื่องของฟ้าฉาย
“ถึงไกลแค่ไหน ผมก็มีปัญญาไปส่งคุณละกัน”
“งั้นก็ตามใจ แล้วอย่ามาหาว่าฉันไม่เตือนล่ะ บ้านฉันอยู่...” ว่าแล้วหญิงสาวก็บอกที่ตั้งบ้านของเธอซึ่งตั้งอยู่เขตปริมณฑลให้ชายหนุ่มรับรู้
“ก็ไม่เห็นไกลเท่าไหร่นี่”
ต้นกล้าขับรถไปสักพักก็สังเกตเห็นหญิงสาวที่นั่งเบาะข้างๆ กำลังกอดอกหนาวสั่น เขาจึงเอื้อมมือไปหรี่แอร์ ก่อนพยายามไม่หันไปทางเธอ ก็เสื้อเชิ้ตสีขาวที่เธอสวมอยู่นั้นมันเปียกน้ำจนแนบเนื้อและบางจนเห็นชุดชั้นในสีขาวที่เธอสวมใส่ เลยยิ่งทำให้เนินอกใต้ผ้าลูกไม้สีขาวนั้นปรากฏขึ้นมาอย่างเด่นชัด ซึ่งมันมีผลกระทบกับอวัยวะบางส่วนของร่างกายของเขาให้มันตอบสนองขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้
“ด้านหลังผมมีเสื้อสูทสำรองแขวนอยู่ ถ้าคุณไม่รังเกียจก็เอามาใส่ได้นะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
และคำปฏิเสธของแพรวรุ้ง ก็ทำต้นกล้ารู้สึกขัดใจที่เธอปฏิเสธความปรารถนาดีของเขา เขาจึงหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าไปข้างทางแล้วเหยียบเบรกอย่างแรงจนทำให้หญิงสาวคว้าหาที่ยึดไม่ทัน แต่โชคดีที่เธอคาดเข็มขัดนิรภัยเอาไว้ ไม่งั้นหัวเธอคงกระแทกกับคอนโชลหน้ารถไปแล้ว
“ว้าย!” แพรวรุ้งร้องออกมาอย่างตกใจ ก่อนรีบจับแว่นสายตาที่ร่วงหล่นมาอยู่ตรงปลายจมูกให้กลับไปที่เดิม แล้วหันขวับไปต่อว่าคนขับ “นี่คุณ! ขับรถประสาอะไรเนี่ย”
ต้นกล้าไม่ตอบ แต่เอื้อมมือไปกดปุ่มสัญญาณจอดรถฉุกเฉิน และเอี้ยวตัวไปหยิบเสื้อสูทที่แขวนอยู่เบาะหลัง แต่เนื่องจากเสื้อสูทมันแขวนอยู่ทางด้านของแพรวรุ้ง เขาจึงต้องเอี้ยวตัวไปทางนั้นมากหน่อย เลยทำให้ชายหนุ่มได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากตัวเธออย่างชัดเจน อีกทั้งต้นแขนของเขาก็ยังสัมผัสกับต้นแขนของเธออีกด้วย และผลของมันก็ทำให้ทั้งคู่ต้องต่างพากันชะงักนิดนึงเมื่อรับรู้ถึงสัมผัสนั้น
และเมื่อต้นกล้าตั้งสติได้ เขาก็รีบคว้าเสื้อสูทที่แขวนอยู่ส่งให้หญิงสาวทันที
“ใส่ซะ”
“ก็ฉันบอกแล้วว่าไม่เป็นไร”
“ผมบอกให้ใส่ ก็ใส่สิ คุณไม่รู้หรือไงว่าตอนนี้เสื้อคุณมันบางจนเห็นไปถึงไหนต่อไหนแล้ว” ชายหนุ่มตัดสินใจบอกความจริงกับเธอ
แพรวรุ้งก้มลงมองร่างกายตัวเองก็เห็นว่าจริงดังที่เขาว่า ใบหน้าที่ประดับด้วยแว่นสายตาแดงระเรื่อ มือบางรีบคว้าสูทจากมือเขามาสวมทันที
“แล้วก็ไม่ยอมตั้งแต่แรก” หญิงสาวบ่นงึมงำในลำคอ
ต้นกล้าแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงบ่นนั้น จนเห็นคนที่นั่งอยู่ข้างๆ สวมใส่เสื้อสูทเรียบร้อยแล้ว เขาถึงเคลื่อนรถต่อไป และหลังจากนั้นภายในรถก็ตกอยู่ในความเงียบ ซึ่งทำให้แพรวรุ้งที่ยังรู้สึกอับอายเรื่องเมื่อครู่รู้สึกอึดอัดและเก้อเขินอย่างบอกไม่ถูก
“คุณรู้ไหมคะว่าฝนตกเกิดจากอะไร” อยู่ๆ เธอก็โพล่งถามออกมาทำลายความเงียบ
“เกิดจากน้ำระเหยกลายเป็นไอน้ำ รวมตัวกันเป็นเมฆฝน...แล้วฟ้าแลบล่ะครับเกิดจากอะไร” ต้นกล้าตอบคำถามของหญิงสาวแล้วถามกลับทันที
“ฟ้าแลบเกิดจากการถ่ายเทประจุไฟฟ้าระหว่างก้อนเมฆ ขณะที่ประจุไฟฟ้าจำนวนมากวิ่งผ่านอากาศ จากก้อนเมฆหนึ่งไปสู่อีกก้อนเมฆหนึ่ง ก็จะทำให้เกิดประกายไฟ เรียกว่า ฟ้าแลบค่ะ...แล้วฟ้าผ่าละคะ ฟ้าผ่าเกิดจากอะไร” แพรวรุ้งถามกลับอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน
“ฟ้าผ่าเกิดจากการที่ก้อนเมฆลอยตัวไปแล้วเสียดสีกับบรรยากาศหรือเสียดสีระว่างก้อนเมฆด้วยกันทำให้เกิดการสะสมไฟฟ้าสถิตในตัวก้อนเมฆ” พูดจบเขาก็หันไปยักคิ้วให้หญิงสาวหนึ่งที ก่อนถามกลับ “แล้วฟ้าร้องล่ะ เกิดจากอะไร”
“ฟ้าร้อง ก็เกิดจากลำอากาศรอบๆ สายฟ้า ถูกอัดด้วยแรงกดดันมหาศาลจนฉีกตัวออกกลายเป็นพลาสม่า การขยายตัวอย่างฉับพลันของพลาสม่า ทำให้เกิดช้อคเวฟ ที่เมื่อเดินทางไประยะหนึ่ง จะลดกำลังลงกลายเป็นคลื่นเสียงค่ะ แล้วคุณรู้ไหมว่า...”
จากนั้นสองหนุ่มสาวเล่นถามปัญหากันไปมาอย่างไม่มีใครยอมใคร ซึ่งมันก็ช่วยฆ่าเวลารถติดได้เป็นอย่างดี จนกระทั่งรถเบนซ์อีคลาสสีบรอนส์คันหรูของต้นกล้าเคลื่อนมาถึงบ้านของแพรวรุ้งซึ่งเป็นบ้านเดียวตั้งอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในปริมณฑล
“ขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์มาส่งฉันถึงบ้าน” หญิงสาวยิ้มบอกจากใจ ก่อนส่งเสื้อสูทที่เธอใช้สวมสวมใส่ตอนอยู่ในรถคืนให้ชายหนุ่ม
“ไม่เป็นไรครับ” ต้นกล้ารับเสื้อสูทมาถือไว้ “ถ้าไงผมของเบอร์โทรศัพท์มือถือของคุณเอาไว้หน่อยละกัน ผมจะได้ติดต่อคุณเรื่องรถได้”
“081...” และแพรวรุ้งก็บอกเบอร์โทรศัพท์มือถือของเธอให้กับชายหนุ่มที่หยิบโทรศัพท์มือถือมาบันทึกเอาไว้
“และถ้ารถคุณได้เรื่องยังไงผมจะให้คนโทรมาบอกนะครับ”
“ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ”
ต้นกล้าขับรถกลับบ้านด้วยความรู้สึกอารมณ์ดีเป็นพิเศษ แพรวรุ้งเป็นผู้หญิงที่ฉลาดรู้ทันเขาและการที่ได้พูดคุยและเล่นถามตอบกับเธอเป็นอะไรที่สนุกไม่น่าเบื่อเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ ที่เขามักพบเจอ
หลังจากไปส่งบุตรชายที่โรงเรียนเรียบร้อยแล้ว ต้นกล้าก็รีบเอ่ยถามจักรกฤษผู้ที่นั่งประจำที่คนขับในเรื่องของ ดร.แพรวรุ้ง ธัญพิสิษฐ์ คนค้ำประกันฟ้าฉายที่เขาสงสัยว่าเป็นใคร และเกี่ยวอะไรกับฟ้าฉายทันที
“ได้ข้อมูลที่เมื่อคืนฉันให้ไปหาหรือยัง”
“ได้แล้วครับ ดร.แพรวรุ้ง ธัญพิสิษฐ์ เป็นพี่สาวต่างบิดาของฟ้าฉายครับ”
“อืม” ต้นกล้าพยักหน้ารับรู้กับข้อมูลที่ได้มา มือหนาเปิดแฟ้มประวัติของฟ้าฉายขึ้นมาดูอีกรอบ ก่อนความคิดบางอย่างผุดขึ้นมา ตอนนี้เขาพอรู้แล้วว่าเขาจะไปตามล่าหาตัวฟ้าฉายได้ที่ไหน “วันนี้ยังไม่ต้องเข้าบริษัท ไปที่มหาวิทยาลัย... ที่ ดร.แพรวรุ้ง ธัญพิสิษฐ์ สอนก่อน” ชายหนุ่มบอกชื่อมหาวิทยาลัยของรัฐในย่านใจกลางเมืองที่ต้องการจะไปให้คนสนิทได้รับรู้
และรถเบนซ์อีคลาสสีบรอนส์คันหรูของต้นกล้าก็ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะฝ่าการจราจรที่ติดขัดของย่านใจกลางเมืองในช่วงเวลาเร่งรีบจนมาถึงที่หมาย แล้วก็ถือว่าโชคดีที่ตัวเขาเองก็จบการศึกษาจากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งนี้มาก่อน ก่อนที่จะไปเรียนต่อ MBA ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา จึงทำให้เขาไม่ต้องเสียเวลาในการเดินหาตึกที่ตั้งของคณะที่เขาต้องการไปอีก
“เดี๋ยวจอดตรงมุมตึกตรงนั้นแหละ”
ทันทีที่ต้นกล้าก้าวลงจากรถพร้อมแฟ้มเอกสารเล่มบาง บรรยากาศสมัยตอนที่เขายังเป็นนิสิตก็หวนกลับมา เมื่อดวงตาคมมองนิสิตชายหญิงรุ่นน้องนั่งจับกลุ่มคุยเล่นกันตรงม้านั่งหินอ่อนใต้ต้นไม้ใหญ่ ชายหนุ่มอมยิ้มเล็กน้อยแล้วเดินตามทางเดินที่ปูด้วยอิฐบล็อคตัวหนอนทอดยาวผ่านด้านหน้าทางเข้าตึกคณะวิทยาศาตร์
เมื่อต้นกล้าเข้าไปในตัวตึก เขาก็แวะถามนิสิตที่เดินผ่านมาถึงห้องพักของคณะอาจารย์ของภาควิชานี้ จากนั้นก็เดินผ่านลิฟต์เพื่อไปยังบันไดที่ตั้งอยู่ข้างๆ โดยเลือกที่จะเดินขึ้นบันไดแทนที่จะใช้ลิฟต์ เพราะชั้นที่เขาจะไปมันแค่ชั้นสาม และที่สำคัญเขาไม่อยากเอาชีวิตของเขามาเสี่ยงกับลิฟต์รุ่นดึกดำบรรพ์ตัวนี้
ด้วยที่ต้นกล้าออกกำลังกายด้วยการว่ายน้ำกับบุตรชายสม่ำเสมอจึงทำให้การเดินขึ้นบันไดสามชั้นนี้ใช้เวลาเพียงครู่เดียว แถมยังไม่ได้ส่งผลให้เขามีอาการเหนื่อยหอบเลยสักนิด
ต้นกล้าเดินหาห้องที่ติดป้ายชื่อ ‘ดร.แพรวรุ้ง ธัญพิสิษฐ์’ จนสุดท้ายก็เจออยู่ที่สุดตรงปลายทางเดิน ชายหนุ่มตรวจสอบจนแน่ใจว่าไม่ได้มาผิดห้องถึงยกมือขึ้นมาเคาะที่บานประตู เขาเคาะอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่มีคนขานรับ เขาจึงคิดว่าเจ้าของห้องคงไม่อยู่ และขณะสมองกำลังคิดหาทางออก อยู่ๆ ก็มีเสียงของผู้หญิงดังขึ้นมาจากทางด้านข้าง
“มาหาใครคะ”
เสียงที่ได้ยินก็ทำให้ต้นกล้าต้องรีบหันไปดู และทันทีที่ชายหนุ่มเห็นผู้หญิงเจ้าของเสียง เขาก็ต้องตกตะลึง เพราะเธอก็คืออาจารย์สาวที่เขาประทับใจตอนที่ไปรับบุตรชายเมื่อวานนั่นเอง โดยวันนี้เธอก็แต่งตัวไม่แตกต่างจากเมื่อวานเลยสักนิด
“ผมมาหา ดร.แพรวรุ้ง ธัญพิสิษฐ์ ครับ”
หญิงสาวตรงหน้าทำหน้าแปลกใจเล็กน้อย ก่อนเอ่ย “ดิฉันนี่แหละค่ะ ดร.แพรวรุ้ง ธัญพิสิษฐ์”
และการแนะนำตัวของเธอก็ทำให้ต้นกล้าต้องตกตะลึงรอบสอง เมื่อรู้ว่าเธอก็คือ ผู้หญิงที่เขาต้องการพบ
“ไม่ทราบว่าคุณมีธุระอะไรกับดิฉันคะ” แพรวรุ้งเห็นชายแปลกหน้ายืนนิ่งจึงถามออกไป
“ผม ต้นกล้า วริทธินันท์ ครับ” ว่าแล้วชายหนุ่มก็หยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาดึงนามบัตรส่งให้เธอ
หญิงสาวรับนามบัตรมา ก็อ่านชื่อและตำแหน่งที่ระบุบนนามบัตรในใจ ก่อนคิ้วเหนือดวงตาใต้กรอบแว่นสายตาขมวดเข้าหากัน
“คุณเป็นประธานบริษัท...” เธอพึมพำชื่อบริษัทที่น้องชายทำงานอยู่ “ถ้างั้นคุณก็เป็นเจ้านายของฟ้าฉายสิคะ”
“ครับ ไม่ทราบว่าคุณแพรวรุ้ง พอมีเวลาคุยกับผมไหมครับ”
แพรวรุ้งมองนาฬิกาข้อมือเพื่อมองเวลา
“ฉันมีเวลาแค่สิบห้านาทีค่ะ เพราะเดี๋ยวตอนสิบโมงฉันจะมีสอนหนึ่งคลาส”
“ถ้างั้นคุณแพรวรุ้ง พอมีที่ให้ผมนั่งรอไหมครับ เพราะเรื่องที่ผมจะคุยมันต้องใช้เวลามากกว่าสิบห้านาที” ต้นกล้าบอกเสียงเรียบ และเมื่อเห็นหญิงสาวตรงหน้าทำหน้าเป็นเครื่องหมายคำถาม เขาจึงรีบขยายความ “เรื่องฟ้าฉายน่ะครับ”
“เรื่องร้ายแรงไหมคะ” แพรวรุ้งรีบร้องถาม
“เรื่องค่อนข้างจะร้ายแรง แต่ไม่ถึงกับชีวิตครับ” ต้นกล้ารีบบอกเมื่อเห็นสีหน้าตกใจของเธอ
แพรวรุ้งเกิดความรู้สึกลังเล ใจหนึ่งก็อยากจะคุยเรื่องน้องชายเธอ แต่อีกใจก็ค้านขึ้นมาถึงความรับผิดชอบที่มีต่ออาชีพที่เธอรัก สุดท้ายเสียงที่ค้านขึ้นมาก็เป็นฝ่ายชนะ
“คุณรอฉันประมาณหนึ่งชั่วโมงได้ไหมคะ”
“ได้สิครับ ผมรอได้”
“ถ้างั้นคุณนั่งรอตรงนี้ก่อนนะคะ” แพรวรุ้งผายมือไปทางโซฟาหนังสีดำที่ตั้งอยู่หน้าห้อง เพราะจะให้คนแปลกหน้าเข้าไปนั่งรอในห้องระหว่างที่เธอไม่อยู่มันก็คงจะไม่เหมาะเท่าไหร่
“ครับ ขอบคุณครับ”
หญิงสาวส่งยิ้มให้ชายหนุ่มแปลกหน้า ก่อนเดินเข้าไปในห้องพัก เพื่อหยิบเอกสารการสอนของเธอ และถึงกลับออกมา
“ประมาณอีกหนึ่งชั่วโมงฉันจะกลับมา ถ้าไงระหว่างนี้คุณไปหาอะไรเย็นๆ ดื่มที่ร้านกาแฟข้างล่างเพื่อฆ่าเวลาก็ได้นะคะ กาแฟปั่นร้านนี้อร่อยสู้ร้านกาแฟแพงๆ ตามห้างได้เลยค่ะ”
ต้นกล้าพยักหน้ารับ ก่อนมองแพรวรุ้งเดินจากไป ทิ้งให้เขาสงสัยว่าเธอจะรู้เรื่องของฟ้าฉายหรือเปล่า แต่จากที่เขาสังเกตอาการเมื่อครู่ก็ดูไม่มีพิรุธอะไร ก็ทำให้มีความเป็นไปได้ที่เธออาจจะไม่รู้เรื่องที่ฟ้าฉายทำเลยก็ได้ แต่เพียงแค่พบและพูดคุยกันแค่ครู่เดียวเท่านั้น มันจึงยังไม่สามารถสรุปหรือตัดสินอะไรได้
ชายหนุ่มนั่งรออยู่หน้าห้องได้สิบนาทีก็ตัดสินใจที่จะไปยังร้านกาแฟที่แพรวรุ้งแนะนำเอาไว้ โดยเขาเลือกซื้อกาแฟปั่นมาสองแก้ว แล้วเดินไปให้จักรกฤษหนึ่งแก้ว ซึ่งกาแฟปั่นร้านนี้อร่อยอย่างที่เธอบอกจริงๆ จนเมื่อกาแฟปั่นหมดแก้ว เขาถึงกลับไปนั่งรอหญิงสาวที่เดิม
และต้นกล้าต้องนั่งรอหญิงสาวเจ้าของห้องตรงหน้าต่อจนเกือบชั่วโมงกว่า เธอถึงเดินมาพร้อมกับนิสิตสาวสองคน โดยเธอเดินเข้าไปห้องก่อนออกมาพร้อมกับเอกสารบางอย่าง แล้วส่งให้สองนิสิตสาวสองคนนั้นที่กำลังส่งสายตาหวานให้ต้นกล้าอยู่
“เอารายงานแล็ปพวกนี้ของเธอไปแก้ และอาทิตย์หน้าค่อยมาส่งให้อาจารย์ใหม่”
“อ้าวทำไมล่ะคะอาจารย์ รายงานของพวกหนูมีปัญหาอะไรคะ” หนึ่งในสองนิสิตร้องถามออกมา
“ก็เพราะรายงานพวกนี้พวกเธอลอกกันน่ะสิ ฉะนั้นอาจารย์เลยไม่ถือว่ามันเป็นรายงาน และถ้าพวกเธอยังลอกกันแล้วเอามาส่งแบบนี้อีก อาจารย์จะให้พวกเธอติดเอฟ และถึงเวลานั้นจะมาหาว่าอาจารย์ใจร้ายไม่ได้นะ”
เพียงเท่านี้สองนิสิตสาวก็ต้องหน้าซีดเผือด ก่อนรีบก้มหน้ายอมรับผิด และรีบขอตัวลาไปทันที
“เฮ้อ! เด็กสมัยนี้” แพรวรุ้งถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะเพิ่งสังเกตเห็นว่าชายแปลกหน้ายังคงนั่งอยู่ที่เดิม และกำลังจ้องมองเธออยู่ “ขอโทษค่ะ ถ้าไงเชิญเข้ามาในห้องก่อนสิคะ”
เมื่อต้นกล้าเข้ามายังห้องที่เขานั่งมองบานประตูห้องเป็นชั่วโมง เขาก็สะดุดกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ฟุ้งกระจายอยู่ในห้อง ก่อนมองไปรอบๆ ห้องที่กว้างประมาณสามคูณสองเมตรอย่างสนใจ ตรงด้านหน้าเขามีโต๊ะทำงานไม้สีเข้ม ด้านบนโต๊ะมีคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค ข้างๆ นั้นก็มีแฟ้มเอกสารวางเรียงเป็นตั้งเล็กๆ ที่มุมโต๊ะด้านในติดกำแพงมีถ้วยดินเผาใส่ปากกาดินสอไม้บรรทัดเอาไว้ ด้านหลังโต๊ะทำงานก็จะเป็นตู้เหล็กที่จัดวางเอกสารไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย โดยบนตู้เหล็กมีรูปถ่ายของเธอที่เธอถ่ายเอาไว้สามกรอบ ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นรูปของเธอกับฟ้าฉายที่กอดคอกันอย่างสนิทสนม มันจึงยิ่งเพิ่มความมั่นใจให้ต้นกล้าว่า ผู้หญิงคนนี้นี่แหละที่จะพาเขาไปหาฟ้าฉายได้
“เชิญนั่งค่ะ” หญิงสาวเจ้าของห้องผายมือไปยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“ขอบคุณครับ”
“คุณบอกฉันว่าคุณอยากจะคุยกับฉันเรื่องฟ้าฉาย มันเรื่องอะไรคะ”
ต้นกล้ามองหน้าหญิงสาวตรงหน้า ประสานตากับเธอ ก่อนพูดเสียงเครียด “มีรายงานว่าฟ้าฉายยักยอกเงินบริษัทไปยี่สิบล้านบาท”
“อะไรนะคะ ฟ้าฉายยักยอกเงินไปยี่สิบล้าน” แพรวรุ้งร้องออกมาทันทีหลังจากได้ยินคำกล่าวหาว่าร้ายน้องชายของเธอจากชายตรงหน้า
“ครับ ฟ้าฉายยักยอกเงินไปยี่สิบล้าน” ต้นกล้าย้ำอีกครั้ง
“ไม่จริง ฉันไม่เชื่อคุณหรอก น้องชายฉันไม่มีวันทำอะไรแบบนั้น”
“แต่ผมมีหลักฐาน” ว่าแล้วต้นกล้าก็ยื่นเอกสารที่ติดตัวมาส่งให้หญิงสาว
แพรวรับเอกสารมาก็กวาดตาอ่านทันที ก่อนพึมพำเมื่ออ่านข้อความบนกระดาษเสร็จแล้ว “เป็นไปไม่ได้ ฉันไม่เชื่อหรอก”
“เชื่อเถอะครับ แล้วนี่ฟ้าฉายติดต่อคุณมาบ้างรึเปล่า”
“ไม่ค่ะ” หญิงสาวส่ายหน้าไปมา ก่อนบอกตามจริง “ฟ้าฉายไม่ได้ติดต่อฉันมาหลายอาทิตย์แล้ว อีกอย่างช่วงนี้ฉันก็ยุ่งมากด้วย”
“แล้วคุณพอรู้ไหมครับว่าผมจะเจอตัวฟ้าฉายได้ที่ไหน”
“ตั้งแต่ที่ฟ้าฉายได้งานที่บริษัทคุณ เขาก็ย้ายออกจากบ้านไปเช่าอพาร์ทเม้นท์อยู่”
“ผมไปที่นั่นมาแล้ว ของใช้ส่วนตัวถูกเก็บไปหมด” ชายหนุ่มบอกเสียงเรียบ
“ถ้างั้นฉันก็ไม่รู้แล้วค่ะ ว่าฟ้าฉายไปไหน”
“คุณไม่รู้จริงๆ เหรอครับ”
“ฉันไม่รู้จริงๆ ค่ะ” แพรวรุ้งยืนยันอีกครั้ง
ต้นกล้ามองหญิงสาวตรงหน้าอย่างจับผิด
“จริงเหรอครับ ระวังข้อหาสมรู้ร่วมคิดนะครับ”
“นี่คุณ ฉันบอกว่าไม่รู้ ก็ไม่รู้สิ” แพรวรุ้งชักสีหน้า ก่อนผายมือไปทางประตู “ถ้าคุณไม่มีธุระอะไรแล้วก็เชิญ”
“ครับ ถ้าคุณพบหรือได้คุยกับฟ้าฉาย คุณช่วยบอกให้เขาเอาเงินมาคืนบริษัทด้วยนะครับ แล้วผมจะไม่เอาเรื่องทางกฎหมาย” ต้นกล้ากล่าวทิ้งท้ายก่อนลุกเดินออกจากห้อง ทิ้งให้แพรวรุ้งนั่งหน้านิ่วด้วยความโมโห
ต้นกล้าเดินกลับมาขึ้นรถเบนซ์อีคลาสสีบรอนส์คันหรูของเขาที่จอดรออยู่ พร้อมวิเคราะห์ท่าทางของแพรวรุ้งไปด้วย ก่อนสรุปในใจว่าแพรวรุ้งต้องรู้ว่าฟ้าฉายอยู่ไหนแน่ๆ
“จะไปไหนต่อครับ” จักรกฤษเอ่ยถามเมื่อเจ้านายขึ้นมานั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว
“ยังไม่ไปไหน ฉันจะรอใครบางคนก่อน”
“ครับ คุณกล้า” คนสนิทพยักหน้ารับรู้ โดยไม่เอ่ยปากถามอะไร
จนเวลาผ่านไปถึงตอนบ่ายสามโมงเย็น ต้นกล้าที่นั่งรออยู่ในรถด้วยความใจเย็นก็เห็นแพรวรุ้งเดินออกมาจากตึก ตรงไปขึ้นรถฮอนด้าซีวิคสีเทารุ่นไดเมนชั่นที่จอดอยู่ริมถนนด้านหน้าตึกแล้วขับออกไป
“ตามรถคันนั้นไป”
รถเบนซ์อีคลาสสีบรอนส์คันหรูขับตามรถฮอนด้าซีวิคสีเทารุ่นไดเมนชั่นไปเรื่อยๆ ท่ามกลางการจราจรที่ปกคลุมด้วยสายฝน จึงทำให้การจราจรที่ปกติติดขัดอยู่แล้วยิ่งติดขัดขึ้นไปอีก จนกระทั่งรถทั้งสองคันเลี้ยวตามกันมายังซุปเปอร์มาเก็ตขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง
“จะเอาไงต่อครับ” จักรกฤษเอ่ยถามหลังจากเคลื่อนรถมาจอดห่างจากรถที่เจ้านายสั่งให้ขับตามไม่ไกลนัก
“เดี๋ยวนายลงไปจับตาดูผู้หญิงคนนั้น ดูว่าเธอมาพบกับฟ้าฉายหรือเปล่า” ต้นกล้าสั่งคนสนิท เพราะว่าตอนนี้แพรวรุ้งเห็นหน้าและรู้จักเขาแล้ว จะให้เขาไปตามเอง เธอก็คงสงสัย นึกๆ แล้ว ก็อดตำหนิตัวเองไม่ได้ที่วู่วามเปิดตัวกับแพรวรุ้งก่อน
เมื่อจักรกฤษลงจากรถ ต้นกล้าก็กดโทรศัพท์ไปหาอรวรรณเลขาหน้าห้องเพื่อสอบถามเรื่องงานของวันนี้ว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า ก่อนโทรศัพท์ไปบอกที่บ้านว่าไม่ต้องรอทานข้าวมื้อเย็น เพราะเขายังไม่รู้ว่าวันนี้เขาจะได้กลับบ้านกี่โมง และทันทีที่เขาวางสาย จักรกฤษก็กลับมาที่รถพอดี
“เป็นไงบ้าง”
“ผู้หญิงคนนั้นมาซื้อของครับ เธอไม่ได้มาพบฟ้าฉาย หรือใครเลยครับ”
“อืม” ต้นกล้าพยักหน้ารับรู้พร้อมจับจ้องไปยังแพรวรุ้ง ที่กำลังนำของที่ซื้อมาจัดวางใส่ท้ายรถ “ถ้างั้นเดี๋ยวนายขับตามไปเรื่อยๆ”
“ครับ” จักรกฤษรับคำ ก่อนออกรถขับรถตามรถฮอนด้าซีวิคสีเทารุ่นไดเมนชั่นคันนั้นไปอีกครั้ง
เมื่อแพรวรุ้งขับรถออกจากซุปเปอร์มาเก็ตเธอก็คิดว่า ถ้าเธอขับไปตามเส้นถนนใหญ่ที่มีรถติดยาวเหยียดแบบนี้ต่อไป กว่าจะถึงบ้านคงต้องเที่ยงคืนแน่ๆ ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าซอยทางลัด
และด้วยที่ซอยนี้เป็นทางวันเวย์แล่นรถทางเดียวและจำนวนรถที่แล่นก็มีไม่มากนัก จึงทำให้จักรกฤษที่ถูกสั่งให้ขับตามมา ต้องรักษาระยะห่างระหว่างรถสองคันให้มากขึ้นกว่าเดิม
แพรวรุ้งขับรถไปเรื่อยๆ ตามทาง จนมาถึงประมาณใกล้ถึงแยกตรงกลางซอย รถเจ้ากรรมก็เกิดเกเรพาลหยุดเคลื่อนขึ้นมาเฉยๆ
“โอ้ย! จะมาเสียอะไรกันตอนนี้เนี่ย” หญิงสาวบ่นออกมา ก่อนก้าวลงจากรถ แล้วตรงไปเปิดฝากระโปรงรถ
และพอดวงตาคู่สวยมองเข้าไปตรงตัวเครื่องยนต์ที่มีสายไฟและกล่องอะไรก็ไม่รู้ที่เธอไม่รู้จัก แพรวรุ้งก็รู้ตัวทันทีว่าเธอไม่มีปัญญาที่จะซ่อมหรือแก้ไขมันได้แน่ๆ ดังนั้นเธอจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาหมายจะโทรเรียกช่างให้มาดู แต่พอระหว่างที่กดไล่หาเบอร์โทรศัพท์ โทรศัพท์ของเธอก็ร้องเตือนว่าแบตเตอรี่อ่อนและใกล้หมดเต็มที จากนั้นหน้าจอที่สว่างก็ดับมืดลงไปเฉยๆ เหมือนรถยนต์ของเธอ
“อะไรกันเนี่ย” หญิงสาวร้องลั่นก่อนมองโทรศัพท์มือถือในมืออย่างกลุ้มใจ
แพรวรุ้งกลับไปที่รถแล้วหยิบเอากระเป๋าสะพายออกมา จากนั้นก็ทำการล็อครถ และขณะที่เธอยืนรอเพื่อจะเรียกรถแท็กซี่กลับบ้านอยู่นั้น ฝนที่กำลังตกปรอยๆ ก็กลับมากระหน่ำเทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา เธอจึงรีบยกเอากระเป๋าสะพายขึ้นมาปิดศีรษะเอาไว้ แล้ววิ่งเข้าไปหลบอยู่ใต้เพิงร้านอาหารที่อยู่แถวนั้นทันที
“เฮ้อ วันนี้มันถึงได้ซวยซ้ำซวยซ้อนซวยซ่อนเงื่อนแบบนี้นะ” หญิงสาวบ่นอุบก่อนหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ามาเช็ดตามเนื้อที่เปียกปอนไปด้วยน้ำฝน พร้อมมองไปรอบๆ อย่างระแวง เพราะรอบๆ กายของเธอตอนนี้มันทั้งเปลี่ยวทั้งมืด แถมฝนยังสาดกระหน่ำจนไม่สามารถมองเห็นอะไรในระยะที่ไกลเกินกว่าสองเมตร จึงทำให้เธอเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมา จนต้องรีบยกมือขึ้นมาประนม
“พ่อขา แม่ขา ขอให้ฝนหยุดตกเร็วๆ หรือไม่ก็ช่วยดลใจให้มีใครสักคนผ่านมาทางนี้ด้วยเถอะค่ะ...อ้อ! ขอคนดีๆ ไม่เอาโจรนะคะ”
และเหมือนว่าคำร้องขอของเธอจะส่งถึงบิดามารดาที่อยู่บนสวรรค์ เพราะเพียงแป๊บเดียวสายฝนที่กำลังตกกระหน่ำอยู่ก็เริ่มซาลง ก่อนมีแสงไฟจากรถสาดส่องมา หญิงสาวจึงรีบฝ่าละอองฝนออกไปโบกมือไปมา หมายจะขอความช่วยเหลือจากคนที่อยู่ในรถคันนั้น แล้วพอเห็นรถคันนั้นจอดไม่ห่างจากตรงหน้าของเธอนัก ดวงใจเธอก็พองโตด้วยความหวัง แต่ทันทีที่เห็นว่าใครลงมาจากรถดวงตาคู่สวยใต้แว่นสายตาก็ต้องเบิกกว้าง
“คุณต้นกล้า” แพรวรุ้งเรียกชื่อชายร่างสูงที่เดินตรงมาที่เธอท่ามกลางสายฝนปรอยๆ ด้วยความแปลกใจ
“นี่รถคุณแพรวรุ้งมีปัญหาเหรอครับ” ต้นกล้าถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วตั้งแต่เห็นหญิงสาวจอดและลงมาเปิดกระโปรงรถ
“ใช่ค่ะ คือรถของฉันเป็นอะไรไม่รู้ อยู่ๆ มันก็ดับขึ้นมาเฉยๆ พอจะโทรเรียกช่างให้มาดูโทรศัพท์มือถือก็ดันแบตหมดซะอีก”
ต้นกล้าเหลือบมองเข้าไปที่ฝากระโปรงรถที่ยกเปิดอ้าอยู่เล็กน้อย
“ตอนนี้ก็ดึกแล้ว ถ้าไงเดี๋ยวผมไปส่งคุณแพรวรุ้งให้ก่อนละกัน ส่วนรถของคุณแพรวรุ้ง ผมจะให้จักรกฤษเอาไปจัดการให้”
ได้ยินแบบนั้นก็ทำให้หญิงสาวลังเลขึ้นมาทันที สมองอันฉับไวรับรู้ถึงสิ่งผิดปกติได้
“นี่คุณมาทำอะไรแถวนี้คะ”
“ผมผ่านมาทำธุระน่ะครับ”
และแม้ต้นกล้าจะบอกด้วยน้ำเสียงปกติ แต่แพรวรุ้งที่สามารถจับอาการชะงักเล็กน้อยก่อนตอบของเขาได้ จึงมั่นใจว่าการที่เจอกับชายหนุ่มตอนนี้มันไม่ใช่เหตุบังเอิญแน่ๆ
“คุณตามฉันมาใช่ไหม”
ต้นกล้านิ่งอึ้งเล็กน้อยที่ถูกจับได้ ก่อนเห็นว่าเปล่าประโยชน์ที่จะโกหกอีก เขาจึงยอมรับออกไป “ใช่ ผมตามคุณมา”
“นี่คุณ! คุณตามฉันมาทำไม” แพรวรุ้งร้องถามด้วยความโมโห ก่อนบอกอย่างรู้ทัน “อ๋อ คุณคิดว่าฉันจะรู้ที่อยู่ฟ้าฉายอย่างงั้นสิ”
“ก็คงอย่างงั้น”
“คุณเสียเวลาเปล่าแล้วล่ะ เพราะฉันไม่รู้ว่าน้องชายของฉันอยู่ที่ไหน และถึงฉันรู้ฉันก็ไม่มีวันบอกคุณเด็ดขาด ทีนี้คุณจะไปไหนก็ไปได้แล้ว ไม่งั้นฉันจะเรียกตำรวจมาจับคุณข้อหาคุกคาม”
“คุณแน่ใจเหรอว่าอยากจะให้ผมไปจากตรงนี้” ต้นกล้ากล่าวพร้อมหันไปมองรอบๆ กายเพื่อสื่อความหมาย ซึ่งทำให้หญิงสาวต้องมองตาม ก่อนเริ่มรู้สถานะตัวเองตอนนี้
“เออ...คือว่า”
“ถ้างั้นผมไปก่อนล่ะนะ แถวนี้มันอันตราย วันก่อนเห็นมีข่าวลงว่ามีการฆ่าปล้นชิงทรัพย์แถมข่มขืนเหยื่อด้วย” ชายหนุ่มแกล้งพูดขึ้นมาลอยๆ ก่อนจะหมุนตัวเพื่อเดินกลับไปยังรถที่จอดไว้ แต่ก้าวไปได้แค่ก้าวเดียวเขาก็ต้องหยุดเดิน แล้วยิ้มที่มุมปาก
“เดี๋ยวค่ะ ฉันขอติดรถไปด้วยได้ไหม” แพรวรุ้งบอกเสียงอ่อน
“ได้สิครับ” ชายหนุ่มพยายามกลั้นยิ้มก่อนหันไปสั่งลูกน้องที่ยืนรอรับคำสั่งอยู่ไม่ห่างนัก “เดี๋ยวฉันจะขับรถไปเอง ส่วนนายก็เอารถของคุณแพรวรุ้งไปจัดการให้เรียบร้อยด้วย”
“ครับ คุณต้นกล้า” จักรกฤษก้มโค้งรับคำสั่งอย่างว่าง่าย
“เชิญครับ คุณแพรวรุ้ง” ต้นกล้าผายมือไปทางรถของตัวเองที่จอดอยู่
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
แพรวรุ้งเดินไปยังรถยุโรปราคาแพงที่จอดรออยู่ด้วยความจำใจ ก็ถ้ามีทางเลือกอื่น เธอก็คงจะเลือกไปแล้ว เพราะเธอไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณคนที่กล่าวหาน้องชายของเธอ รวมถึงคอยเฝ้าตามจับผิดเธอเท่าไหร่นักหรอก
“ถ้าไงคุณช่วยไปส่งฉันตรงสถานีรถไฟฟ้าหรือป้ายรถเมล์ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันหาทางกลับบ้านต่อเอง” แพรวรุ้งหันไปเอ่ยกับชายหนุ่มหลังจากขึ้นมานั่งบนรถแล้ว
“ไม่ครับ ก่อนหน้านี้ผมจำได้ว่าผมบอกว่าจะไปส่งคุณ มันก็หมายความว่าผมต้องการไปส่งคุณถึงบ้าน” ต้นกล้าบอกเสียงเรียบ
“แต่บ้านฉันอยู่ไกล” แพรวรุ้งบอกอย่างเกรงใจ แต่ชายหนุ่มกลับตีความไปว่าเธอกำลังพยายามบ่ายเบี่ยงไม่อยากให้เขาไปที่บ้าน เพราะกำลังปกปิดอะไรบางอย่าง ซึ่งเขาคิดว่าเป็นเรื่องของฟ้าฉาย
“ถึงไกลแค่ไหน ผมก็มีปัญญาไปส่งคุณละกัน”
“งั้นก็ตามใจ แล้วอย่ามาหาว่าฉันไม่เตือนล่ะ บ้านฉันอยู่...” ว่าแล้วหญิงสาวก็บอกที่ตั้งบ้านของเธอซึ่งตั้งอยู่เขตปริมณฑลให้ชายหนุ่มรับรู้
“ก็ไม่เห็นไกลเท่าไหร่นี่”
ต้นกล้าขับรถไปสักพักก็สังเกตเห็นหญิงสาวที่นั่งเบาะข้างๆ กำลังกอดอกหนาวสั่น เขาจึงเอื้อมมือไปหรี่แอร์ ก่อนพยายามไม่หันไปทางเธอ ก็เสื้อเชิ้ตสีขาวที่เธอสวมอยู่นั้นมันเปียกน้ำจนแนบเนื้อและบางจนเห็นชุดชั้นในสีขาวที่เธอสวมใส่ เลยยิ่งทำให้เนินอกใต้ผ้าลูกไม้สีขาวนั้นปรากฏขึ้นมาอย่างเด่นชัด ซึ่งมันมีผลกระทบกับอวัยวะบางส่วนของร่างกายของเขาให้มันตอบสนองขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้
“ด้านหลังผมมีเสื้อสูทสำรองแขวนอยู่ ถ้าคุณไม่รังเกียจก็เอามาใส่ได้นะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
และคำปฏิเสธของแพรวรุ้ง ก็ทำต้นกล้ารู้สึกขัดใจที่เธอปฏิเสธความปรารถนาดีของเขา เขาจึงหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าไปข้างทางแล้วเหยียบเบรกอย่างแรงจนทำให้หญิงสาวคว้าหาที่ยึดไม่ทัน แต่โชคดีที่เธอคาดเข็มขัดนิรภัยเอาไว้ ไม่งั้นหัวเธอคงกระแทกกับคอนโชลหน้ารถไปแล้ว
“ว้าย!” แพรวรุ้งร้องออกมาอย่างตกใจ ก่อนรีบจับแว่นสายตาที่ร่วงหล่นมาอยู่ตรงปลายจมูกให้กลับไปที่เดิม แล้วหันขวับไปต่อว่าคนขับ “นี่คุณ! ขับรถประสาอะไรเนี่ย”
ต้นกล้าไม่ตอบ แต่เอื้อมมือไปกดปุ่มสัญญาณจอดรถฉุกเฉิน และเอี้ยวตัวไปหยิบเสื้อสูทที่แขวนอยู่เบาะหลัง แต่เนื่องจากเสื้อสูทมันแขวนอยู่ทางด้านของแพรวรุ้ง เขาจึงต้องเอี้ยวตัวไปทางนั้นมากหน่อย เลยทำให้ชายหนุ่มได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากตัวเธออย่างชัดเจน อีกทั้งต้นแขนของเขาก็ยังสัมผัสกับต้นแขนของเธออีกด้วย และผลของมันก็ทำให้ทั้งคู่ต้องต่างพากันชะงักนิดนึงเมื่อรับรู้ถึงสัมผัสนั้น
และเมื่อต้นกล้าตั้งสติได้ เขาก็รีบคว้าเสื้อสูทที่แขวนอยู่ส่งให้หญิงสาวทันที
“ใส่ซะ”
“ก็ฉันบอกแล้วว่าไม่เป็นไร”
“ผมบอกให้ใส่ ก็ใส่สิ คุณไม่รู้หรือไงว่าตอนนี้เสื้อคุณมันบางจนเห็นไปถึงไหนต่อไหนแล้ว” ชายหนุ่มตัดสินใจบอกความจริงกับเธอ
แพรวรุ้งก้มลงมองร่างกายตัวเองก็เห็นว่าจริงดังที่เขาว่า ใบหน้าที่ประดับด้วยแว่นสายตาแดงระเรื่อ มือบางรีบคว้าสูทจากมือเขามาสวมทันที
“แล้วก็ไม่ยอมตั้งแต่แรก” หญิงสาวบ่นงึมงำในลำคอ
ต้นกล้าแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงบ่นนั้น จนเห็นคนที่นั่งอยู่ข้างๆ สวมใส่เสื้อสูทเรียบร้อยแล้ว เขาถึงเคลื่อนรถต่อไป และหลังจากนั้นภายในรถก็ตกอยู่ในความเงียบ ซึ่งทำให้แพรวรุ้งที่ยังรู้สึกอับอายเรื่องเมื่อครู่รู้สึกอึดอัดและเก้อเขินอย่างบอกไม่ถูก
“คุณรู้ไหมคะว่าฝนตกเกิดจากอะไร” อยู่ๆ เธอก็โพล่งถามออกมาทำลายความเงียบ
“เกิดจากน้ำระเหยกลายเป็นไอน้ำ รวมตัวกันเป็นเมฆฝน...แล้วฟ้าแลบล่ะครับเกิดจากอะไร” ต้นกล้าตอบคำถามของหญิงสาวแล้วถามกลับทันที
“ฟ้าแลบเกิดจากการถ่ายเทประจุไฟฟ้าระหว่างก้อนเมฆ ขณะที่ประจุไฟฟ้าจำนวนมากวิ่งผ่านอากาศ จากก้อนเมฆหนึ่งไปสู่อีกก้อนเมฆหนึ่ง ก็จะทำให้เกิดประกายไฟ เรียกว่า ฟ้าแลบค่ะ...แล้วฟ้าผ่าละคะ ฟ้าผ่าเกิดจากอะไร” แพรวรุ้งถามกลับอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน
“ฟ้าผ่าเกิดจากการที่ก้อนเมฆลอยตัวไปแล้วเสียดสีกับบรรยากาศหรือเสียดสีระว่างก้อนเมฆด้วยกันทำให้เกิดการสะสมไฟฟ้าสถิตในตัวก้อนเมฆ” พูดจบเขาก็หันไปยักคิ้วให้หญิงสาวหนึ่งที ก่อนถามกลับ “แล้วฟ้าร้องล่ะ เกิดจากอะไร”
“ฟ้าร้อง ก็เกิดจากลำอากาศรอบๆ สายฟ้า ถูกอัดด้วยแรงกดดันมหาศาลจนฉีกตัวออกกลายเป็นพลาสม่า การขยายตัวอย่างฉับพลันของพลาสม่า ทำให้เกิดช้อคเวฟ ที่เมื่อเดินทางไประยะหนึ่ง จะลดกำลังลงกลายเป็นคลื่นเสียงค่ะ แล้วคุณรู้ไหมว่า...”
จากนั้นสองหนุ่มสาวเล่นถามปัญหากันไปมาอย่างไม่มีใครยอมใคร ซึ่งมันก็ช่วยฆ่าเวลารถติดได้เป็นอย่างดี จนกระทั่งรถเบนซ์อีคลาสสีบรอนส์คันหรูของต้นกล้าเคลื่อนมาถึงบ้านของแพรวรุ้งซึ่งเป็นบ้านเดียวตั้งอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในปริมณฑล
“ขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์มาส่งฉันถึงบ้าน” หญิงสาวยิ้มบอกจากใจ ก่อนส่งเสื้อสูทที่เธอใช้สวมสวมใส่ตอนอยู่ในรถคืนให้ชายหนุ่ม
“ไม่เป็นไรครับ” ต้นกล้ารับเสื้อสูทมาถือไว้ “ถ้าไงผมของเบอร์โทรศัพท์มือถือของคุณเอาไว้หน่อยละกัน ผมจะได้ติดต่อคุณเรื่องรถได้”
“081...” และแพรวรุ้งก็บอกเบอร์โทรศัพท์มือถือของเธอให้กับชายหนุ่มที่หยิบโทรศัพท์มือถือมาบันทึกเอาไว้
“และถ้ารถคุณได้เรื่องยังไงผมจะให้คนโทรมาบอกนะครับ”
“ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ”
ต้นกล้าขับรถกลับบ้านด้วยความรู้สึกอารมณ์ดีเป็นพิเศษ แพรวรุ้งเป็นผู้หญิงที่ฉลาดรู้ทันเขาและการที่ได้พูดคุยและเล่นถามตอบกับเธอเป็นอะไรที่สนุกไม่น่าเบื่อเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ ที่เขามักพบเจอ
TonChor
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ต.ค. 2555, 11:39:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ต.ค. 2555, 11:39:33 น.
จำนวนการเข้าชม : 1817
<< ใช้หนี้(รัก)งวดที่ 1 (รีไรท์) | ใช้หนี้(รัก)งวดที่ 3 >> |