วิวาห์ลวง...ใช้หนี้รัก
เมื่อน้องชายหายตัวไปพร้อมกับข้อกล่าวหายักยอกเงินบริษัทไป 20 ล้านบาท
ทำให้ ‘แพรวรุ้ง’ ในฐานะพี่สาวและผู้ค้ำประกัน ต้องรับผิดชอบอย่างเสียไม่ได้
แต่ลำพังเงินเดือนอาจารย์ไม่กี่หมื่นบาทจะให้ผ่อนชำระหนี้ก็คงต้องแก่ตายกันไปก่อน
‘ต้นกล้า’ เจ้าหนี้ที่แสนใจดี จึงเสนอให้เธอมาแต่งงานเป็นเมียหลอกๆ เป็นเวลา 5 ปี
โดยตลอด 5 ปีนี้ เธอต้องทำหน้าที่ดูแลบุตรชายวัย 6 ขวบ
และช่วยกีดกันบรรดาผู้หญิงหมายจะมาจับเขา
‘แพรวรุ้ง’ ไม่มีทางเลือกอื่นใด อีกทั้งเธอไม่เชื่อว่าน้องชายจะเป็นอย่างที่ถูกกล่าวหา
เธอจึงจำยอมรับข้อเสนอนี้ และพยายามสืบหาความจริงที่เกิดขึ้น
โดยยิ่งใกล้ความจริงเมื่อไหร่ อันตรายก็เพิ่มขึ้นเท่านั้น
ทำให้ ‘ต้นกล้า’ ต้องกระโดดเข้ามาปกป้องลูกหนี้คนนี้ด้วย ‘หัวใจ’
และคราวนี้ ‘แพรวรุ้ง’ ก็เต็มใจจ่ายคืนเขาด้วย ‘หัวใจ’ เช่นกัน

Tags: วิวาห์ลวง...ใช้หนี้รัก, ช่อสุนันท์, ต้นช่อ, วิวาห์ลวง

ตอน: ใช้หนี้(รัก)งวดที่ 3


เช้าวันรุ่งขึ้น...

เนื่องจากวันนี้แพรวรุ้งไม่มีสอน ประกอบกับเมื่อคืนก่อนนอนได้ทานยาแก้ไข้เอาไว้จึงทำให้เช้านี้เธอตื่นสายกว่าปกติ แต่ก็ยังถือว่าตื่นเช้ากว่าบางคน และเมื่อลงมาชั้นล่างเธอก็เดินตรงไปที่ห้องครัวเพื่อรับประทานอาหารเช้าซึ่งก็เป็นแค่กาแฟร้อนหนึ่งแก้ว จากนั้นก็เตรียมตัวทำขนมเพื่อนำไปให้เป็นของขวัญวันเกิดของพาทิศเพื่อนอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย แต่หลังจากที่เธอนำส่วนผสมต่างๆ มาตั้งบนเคาน์เตอร์กลางห้องครัว เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เธอจึงต้องละความสนใจจากงานตรงหน้า แล้วเดินไปรับโทรศัพท์

“สวัสดีค่ะ”

“สวัสดีครับคุณแพรวรุ้ง ผมจักรกฤษลูกน้องคุณต้นกล้านะครับ” คนปลายสายแนะนำตัวทันทีที่ได้ยินเสียงคนรับสาย ก่อนบอกธุระที่โทรมา “รถของคุณเสร็จแล้วนะครับ เดี๋ยวเที่ยงนี้จะมีคนนำรถของคุณไปส่งให้นะครับ ไม่ทราบจะให้ไปส่งที่ไหนครับ”

“ฉันไปรับเองก็ได้ค่ะ” แพรวรุ้งบอกอย่างเกรงใจ

“ไม่ได้ครับ คุณต้นกล้าสั่งให้ต้องไปส่งให้ถึงมือคุณแพรวรุ้ง”

“วันนี้ฉันไม่มีสอนค่ะ คุณมาส่งที่บ้านฉันละกัน บ้านฉันอยู่แถว...”

“ได้ครับ แล้วผมจะให้คนไปส่งตามที่อยู่นั้น”

“ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ เออ...แล้วรถฉันมันเสียเพราะอะไรคะ”

“แบตเตอรี่หมดน่ะครับ”

“และค่าซ่อมเท่าไหร่คะ ฉันจะได้เตรียมเงินไว้ให้”

“ไม่มีค่าซ่อมครับ แค่นี้นะครับ สวัสดีครับ” ว่าแล้วจักรกฤษก็ตัดบทวางสายทันที ก่อนเดินไปเปิดประตูรถให้เจ้านายหนุ่มเดินกลับออกมาจากประตูรั้วโรงเรียนหลังจากส่งเด็กชายพีรพลเข้าเรียนตามที่ทำเป็นประจำทุกวันแล้ว

“เรื่องของฟ้าฉายมีอะไรคืบหน้าบ้างไหม” ต้นกล้าเอ่ยปากถามคนสนิทเมื่อรถเบนซ์อีคลาสสีบรอนส์คันหรูของเขาเคลื่อนออกไป

“ยังไม่มีเลยครับ”

“และเรื่องรถของคุณแพรวรุ้งล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง”

“เรียบร้อยแล้วครับ ผมสั่งให้เด็กนำรถไปส่งให้คุณแพรวรุ้งตอนเที่ยงครับ”

“อืม” ชายหนุ่มพยักหน้ารับรู้ก่อนดวงตาคมจะเหลือบมองเสื้อสูทที่ยังพับวางอยู่ด้านข้าง หัวใจของเขาก็พองโตขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล มือหนาหยิบสูทตัวนั้นขึ้นมา และกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่โชยมาแตะจมูก ก็ทำให้เขาต้องหยิบโทรศัพท์มือถือมากดตรวจสอบตารางงานของวันนี้

“เดี๋ยวฉันจะเป็นคนนำรถไปคืนคุณแพรวรุ้งเอง” ต้นกล้าเอ่ยขึ้นมาเมื่อตรวจสอบดูแล้วว่าวันนี้ไม่มีประชุมสำคัญอะไร

“ครับ” จักรกฤษรับคำพร้อมรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยกับคำสั่งของเจ้านาย แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรเหมือนเช่นเคย



หลังจากได้รับโทรศัพท์จากจักรกฤษคนสนิทของต้นกล้าว่าจะมีคนนำรถมาส่งให้ตอนเที่ยง แพรวรุ้งที่ดูนาฬิกาแล้วก็เห็นอีกหลายชั่วโมงกว่าจึงถึงเวลานัดหมาย เธอจึงเดินหน้าทำขนมต่อ โดยขนมที่เธอจะเป็น ของขวัญวันเกิดให้พาทิศเพื่อนอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย ก็คือ ขนมเมอร์แรง (Meringue)

หญิงสาวจัดการนำส่วนผสมที่เธอหยิบออกมาตั้งไว้ ได้แก่ ไข่ขาว ครีมออฟทาร์ทาร์ เกลือ กลิ่นวานิลา น้ำตาลทราย และสีผสมอาหาร มาทำการตีผสมจนตั้งยอดแข็ง จากนั้นก็ตักใส่ถุงบีบ ก่อนบีบใส่ถาดอบ

พอหญิงสาวบีบส่วนผสมขนมเมอร์แรงเรียงใส่ถาดและนำใส่เตาเอบเสร็จเรียบร้อย เสียงแตรรถยนต์ก็ดังขึ้น ดวงตาคู่สวยมองไปที่นาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนัง

“ไหนว่าจะมาตอนเที่ยงไง” แพรวรุ้งบ่นอย่างไม่จริงยัง ก่อนสาวเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนที่คาดอยู่ที่เอว แล้วรีบวิ่งออกไปเปิดประตูรั้วให้รถของเธอเคลื่อนมาจอดในโรงจอดรถ และพอเห็นว่าใครลงมาจากที่นั่งฝั่งคนขับ เธอก็ต้องร้องออกมาด้วยความแปลกใจ

“คุณต้นกล้า”

“ครับ ผมเอง ผมนำรถของคุณมาส่งให้ครับ”

“ค่ะ ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวตอบโดยที่ยังมึนงงด้วยคาดไม่ถึงว่าต้นกล้าจะเป็นคนนำรถของเธอมาส่งด้วยตัวเอง เลยทำให้ต้นกล้าอดที่จะพูดหยอกขึ้นมาไม่ได้

“แล้วนี่คุณจะไม่ชวนผมเข้าไปในบ้านสักหน่อยเหรอครับ”

“อ๋อ เชิญค่ะ เชิญ” ว่าแล้วแพรวรุ้งก็รีบผายมือไปทางประตู พร้อมสติที่กลับมาอีกครั้ง เธอเดินนำและพาเขาเข้าไปนั่งในห้องรับแขก “เชิญนั่งก่อนค่ะ เดี๋ยวฉันไปรินน้ำมาให้นะคะ”

“ครับ” ชายหนุ่มพยักหน้ารับ มือหนาปลดกระดุมเสื้อสูท ก่อนนั่งลงบนโซฟาหนังสีครีม แล้วมองไปรอบๆ บ้านหลังนี้ด้วยความสนใจ

“น้ำค่ะ” หญิงสาวเจ้าของบ้านวางแก้วน้ำตรงหน้าของชายหนุ่ม และเมื่อเห็นว่าเขาสอดส่ายสายตาไปทั่วบ้าน เธอจึงอดพูดจาประชดไม่ได้ “ฟ้าฉายไม่อยู่ที่นี่หรอกค่ะ”

“แล้วนี่คุณทำอะไรอยู่” ต้นกล้าเปลี่ยนเรื่องคุยไม่สนคำประชดของเธอ

“ฉันทำขนมเมอร์แรงอยู่ค่ะ”

“คุณทำขนมเป็นด้วยเหรอ”

“แหมคุณ...พูดแบบนี้เหมือนดูถูกกันเลยนะคะ” แพรวรุ้งมองค้อน

“เปล่า เพียงแต่ผมไม่คิดว่าสมัยนี้จะเจอผู้หญิงทำขนมเป็น” ชายหนุ่มบอกตามความจริง เพราะผู้หญิงส่วนใหญ่ที่เขาเจอมักจะรู้จักแต่ชี้นิ้วสั่งหรือรู้แค่ว่าขนมร้านไหนอร่อยมากกว่าที่จะรู้ว่าขนมพวกนั้นทำอย่างไร

“นอกจากขนม...อาหารฉันก็ทำเป็นนะจะบอกให้”

“จริงเหรอ?”

และการที่ต้นกล้าทำหน้าไม่เชื่อและพูดลงท้ายหางเสียงสูง ก็ทำให้แพรวรุ้งโมโหจี๊ดขึ้นมาทันที

“ถ้าคุณไม่เชื่อ ฉันทำอาหารเลี้ยงคุณก็ได้”

“เอาเป็นว่าผมถือว่าเป็นคำชวนนะครับ”

“ค่ะ ถ้างั้นเชิญคุณต้นกล้านั่งรอสักครู่นะคะ เดี๋ยวฉันจะไปทำอาหารมาให้”

“เดี๋ยวครับคุณแพรวรุ้ง” ต้นกล้าเรียกหญิงสาวเจ้าของบ้านที่กำลังหมุนตัวไปหลังบ้าน

“มีอะไรคะ”

“คือผมอยากจะขอเข้าไปดูคุณทำอาหารได้ไหม”

“คุณกลัวว่าฉันจะเอาอาหารแช่แข็งมาอุ่นให้คุณกินเหรอไงคะ” แพรวรุ้งมองค้อนชายหนุ่มอีกครั้ง

“คงงั้นมั้งครับ” ต้นกล้ายักไหล่ตอบ

“ถ้างั้นก็เชิญค่ะ” ว่าแล้วหญิงสาวก็เดินปั้นปึ่งไปทางห้องครัว

เมื่อเข้ามาในห้องครัว ต้นกล้าก็แทบจะเชื่อทันทีว่าผู้หญิงคนนี้ทำอาหารเป็น เพราะภายในครัวขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ของเธอเต็มไปด้วยเครื่องไม้เครื่องมือในการใช้ทำอาหาร ทั้งหม้อ กระทะขนาดต่างๆ ที่แขวนเอาไว้กับผนัง มีดหลายเล่มเสียบในกล่องไม้ บนชั้นวางก็มีเครื่องปรุงหลากชนิดวางเรียงบนชั้นหน้าเตาอย่างเป็นระเบียบ เมื่อดวงตาคมมองไปที่หญิงสาวเจ้าของบ้านที่กำลังหยิบของออกจากตู้เย็นอย่างคล่องแคล่วเขาก็มั่นใจเต็มร้อยว่าเธอทำอาหารเป็นอย่างแน่นอน เพราะในตู้เย็นแบบสองประตูของเธอนั้นเต็มไปด้วยของสดนานาชนิด

“ไม่ทราบว่าคุณต้นกล้ากินเผ็ดได้ไหมคะ” แพรวรุ้งเอ่ยถาม

“ได้ครับ”

“งั้นก็ดีค่ะ เพราะฉันตั้งใจจะทำมาม่าผัดขี้เมาเป็นอาหารมื้อเที่ยงพอดี ถ้าคุณกินเผ็ดได้ ฉันจะได้ไม่ต้องเปลี่ยนเมนู” ว่าแล้วหญิงสาวก็หอบวัตถุดิบที่ต้องใช้ในการทำอาหารมื้อนี้ไปวางบนเคาน์เตอร์ตรงกลางห้องครัว และจัดการล้างหั่นตรียมพร้อมสำหรับไปผัด จากนั้นก็ลงมือลวกเส้น

ต้นกล้ามองทุกการกระทำของแพรวรุ้งอย่างเพลินตา วันนี้เธอแต่งกายด้วยเสื้อยืดแขนสั้นกับกางเกงผ้ายืดสีดำขาสั้นที่ถูกผ้ากันเปื้อนลายสก็อตสีแดงคาดทับไว้แทนเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกระโปรงทรงแคบยาวเหนือเข่าสีเข้มแบบที่เคยเห็นเธอสวมใส่ ผมยาวที่เคยรวบมัดตึงรวบเป็นมวยก็เปลี่ยนมารวบแบบลวกๆ จนเขาไม่สามารถละสายตาจากเธอได้

ตอนนี้ชายหนุ่มรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก

...ความสุขที่ไม่เคยได้พบมาก่อน...

แต่สายตาที่ส่งมานั้นกลับทำให้แพรวรุ้งคิดว่าเขาคงกำลังจับผิดเธออยู่ และด้วยที่เป็นคนไม่ยอมคน และไม่ชอบให้ใครมาดูถูก เธอจึงจงใจใส่พริกกับกระเทียมลงในกระทะให้มากกว่าปกติ หมายจะแกล้งเขา จนกลิ่นของพริกกับกระเทียมฉุนไปทั่วห้องครัว แม้เจ้าของบ้านจะเปิดเครื่องดูดควันแล้วก็ตาม ทำให้แพรวรุ้งต้องเบนหน้าหนีจากกระทะแล้วจามและไอออกมาหลายครั้ง และเผลอแอบคิดว่าจะปิดเตาแล้ววิ่งออกไปข้างก่อนเพื่อรอให้กลิ่นจาง จากนั้นค่อยกลับมาผัดต่อ ผิดกับชายหนุ่มอีกคนที่อยู่ในห้องครัว เพราะต้นกล้าแค่กระแอมเพียงเล็กน้อยและไม่ได้ลุกหนีไปไหน เขายังคงนั่งดูเธอหยิบวัตถุดิบที่เตรียมไว้ใส่ลงกระทะไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายมาม่าผัดขี้เมาสุดเผ็ดร้อนก็เสร็จเรียบร้อย และถูกตักแบ่งใส่จานมาวางตรงหน้า

“นี่ค่ะ มาม่าผัดขี้เมา”

ต้นกล้ามองอาหารมื้อเที่ยงที่หญิงสาวนำมาวางไว้ตรงหน้าก็ต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ มือหนาหยิบช้อนขึ้นมาแต่ยังไม่ยอมตักอาหารเข้าปาก แพรวรุ้งเห็นแบบนั้นก็แอบลอบยิ้ม เพราะคิดว่าเขาคงไม่กล้าทานเป็นแน่

“ทำไมไม่กินล่ะคะ” เธอยิ้มถามเสียงหวาน

“ผมแค่ยังไม่อยากเชื่อสายตาเท่านั้นเอง” ชายหนุ่มตอบยียวน ทั้งๆ ที่ภายในใจกำลังประทับใจในตัวของเธออยู่

“งั้นก็รีบกินซะสิคะ จะได้เชื่อสักที เย็นแล้วเดี๋ยวมันจะไม่อร่อยนะคะ” แพรวรุ้งยิ้มบอก ก่อนหยิบช้อนตักมาม่าผัดขี้เมาสุดเผ็ดร้อนเข้าปากตัวเอง และรสชาติที่เผ็ดร้อนนั้นก็แทบจะทิ้งช้อนลงและคายทิ้งทันที แต่พอเหลือบมองไปทางต้นกล้าที่กำลังตักเส้นมาม่าในจานเข้าปากด้วยท่าทางปกติ เธอจึงจำต้องกลืนกลับเข้าไปในลำคอ

“อืม อร่อยมากเลยครับ”

“มะ...มันไม่...ผะ...เผ็ดไปเหรอ” เธอถามอย่างตะกุกตะกัก

“ไม่นี่ครับ เผ็ดๆ แบบนี้แหละดี ผมไม่ได้กินอะไรเผ็ดๆ แบบนี้มานานแล้ว”

“เหรอคะ” หญิงสาวร้องถามเสียงอ่อยอย่างไม่อยากเชื่อหู

“ครับ และนี่คุณจะไม่ทานด้วยกันเหรอ”

“เออคือ...ค่ะ...ทานค่ะ” แพรวรุ้งอึกอัก และขณะที่เธอกำลังทำใจก้มหน้าตักมาม่าผัดขี้เมาสุดเผ็ดร้อนฝีมือตัวเอง เสียงร้องของเตาอบก็ดังขึ้นช่วยชีวิตเอาไว้พอดี “อุ้ย ขนมเมอร์แรงเสร็จแล้ว เดี๋ยวฉันขอตัวไปเอาขนมเมอร์แรงออกมาก่อนนะ”

หญิงสาวรีบวางช้อนลงบนจานก่อนรีบเดินไปที่เตาอบ โดยมีต้นกล้าเดินตามไปด้วย

“มา...ผมช่วย”

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันทำเองได้ คุณไปกินต่อเถอะค่ะ”

“แต่ผมอยากช่วย” พูดจบชายหนุ่มก็แย่งถุงมือกันความร้อนมาสวมแล้วจัดการดึงถาดขนมออกมาจากเตาอบโดยไม่สนใจคำปฏิเสธของหญิงสาวเจ้าของบ้าน

“คุณนี่ดื้อเหมือนกันนะคะ” แพรวรุ้งต่อว่าอย่างไม่จริงจัง ก่อนหยิบขนมเมอร์แรงสีชมพูอ่อนที่วางเรียงในถาดขึ้นมาหนึ่งชิ้นแล้วส่งเข้าปากตัวเอง

และเมื่อต้นกล้าเห็นหญิงสาวเจ้าของบ้านหลับตาพริ้ม ลิ้นเรียวตวัดเลียริมฝีปาก หัวใจของเขาก็เกิดเต้นระรัวขึ้นมาทันที และอยู่ๆ ความรู้สึกที่ว่าอยากสัมผัสริมฝีปากนั้นด้วยริมฝีปากของเขาก็แวบเข้ามาในหัว

“อืม อร่อย ใช้ได้” แพรวรุ้งพึมพำก่อนลืมตา แล้วหยิบขนมเมอร์แรงสีชมพูอ่อนส่งให้ชายหนุ่ม “คุณลองทานสิคะ”

“คะ...ครับ” ต้นกล้ารับขนมเมอร์แรงมาก็รีบส่งเข้าปากทันที พร้อมสลัดความคิดก่อนหน้าทิ้ง

“เป็นไงคะ หวานไปไหม”

“ไม่ครับ หวานกำลังดี”

“แล้วทีนี้คุณเชื่อหรือยัง ว่าฉันทำเป็นทั้งของหวานของคาว” หญิงสาวยังไม่ลืมเรื่องที่เขาทำท่าเหมือนไม่เชื่อว่าเธอทำอาหารหรือขนมเป็น

“ครับ ผมเชื่อแล้วว่าคุณทำเป็น”

“เออใช่ เรื่องค่าใช่จ่ายเรื่องรถเท่าไหร่คะ ฉันถามคุณจักรกฤษแต่เขาก็บอกว่าไม่มี” แพรวรุ้งนึกขึ้นมาได้ก็รีบเอ่ยถาม

“ก็มันไม่มีนี่ครับ”

“เอ๊ะ! จะไม่มีได้ไงกัน ก็คุณจักรกฤษบอกว่าแบตเตอรี่เสียนี่คะ”

“ก็ผมบอกว่าไม่มีไง”

“มันต้องมีสิ บอกมานะว่าเท่าไหร่” หญิงสาวเจ้าของบ้านเท้าสะเอวถามด้วยความโมโห เธอไม่ชอบติดหนี้ใคร

“เอาเป็นว่าผมขอขนมพวกนี้ กับอาหารที่คุณทำให้ผมกินเมื่อกี้เป็นค่าซ่อมรถละกัน” ต้นกล้าเสนอออกมาเมื่อเห็นว่าเธอคงไม่ยอมง่ายๆ แน่ๆ

แพรวรุ้งมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างจับผิด ก่อนทวนถามออกมาว่าเธอไม่ได้ได้ยินผิด “ขนมเมอร์แรง กับ มาม่าผัดขี้เมาเนี่ยนะคะ”

“ใช่! ตกลงตามนี้ละ” ชายหนุ่มตัดบทก่อนเดินไปที่โต๊ะอาหาร นั่งลงรับประทานมาม่าผัดขี้เมาต่อทันที ทิ้งให้หญิงสาวเจ้าของบ้านมองเขาอย่างไม่เข้าใจ



ต้นกล้านั่งรถกลับบ้านอย่างอารมณ์ดีดังเช่นเมื่อวาน ดวงตาคมไม่ยอมละสายตาจากขนมเมอร์แรงที่บรรจุใส่ขวดแก้วอย่างสวยงาม ทำให้จักรกฤษที่ขับรถมารับต้องแอบลอบมองผ่านกระจกมองหลังอย่างแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากถามเหมือนเคย จนเมื่อกลับถึงบ้าน ชายหนุ่มก็เห็นคุณหญิงสุภัสสรมารดากำลังนั่งทำแผลบนใบหน้าให้เด็กชายพีรพลบุตรชายของเขา โดยมีนุ่มสาวรับใช้ช่วยจับไม่ให้บุตรชายของเขาดิ้นหนี

“เกิดอะไรขึ้นครับคุณแม่” ต้นกล้าร้องถามก่อนเดินเข้าไปหา

“ก็ตาพีพีน่ะสิ ไปชกต่อยกับเพื่อนที่โรงเรียน” คุณหญิงสุภัสสรตอบบุตรชาย พร้อมแปะพลาสเตอร์ยาลงบนหน้าผากของเด็กน้อยที่ดิ้นไปดิ้นมาไม่ยอมให้ทำแผลง่ายๆ ไปด้วย ก่อนพยักหน้าให้สาวรับใช้เป็นสัญญาณว่าให้ปล่อยเด็กชายพีรพลได้แล้ว “อ่ะ เสร็จแล้ว”

และเมื่อเป็นอิสระเด็กชายพีรพลก็วิ่งหนีขึ้นห้องตัวเองทันที โดยมีนุ่มรีบวิ่งตามไปอย่างรู้หน้าที่

“ตาพีพี ชกต่อยกับเพื่อนเรื่องอะไรครับ” ชายหนุ่มนั่งลงบนโซฟาแล้ววางขนมเมอร์แรงไว้บนโต๊ะตรงหน้า ใบหน้าคมเข้มแสดงสีหน้าเคร่งเครียด

“ก็เรื่องแม่ของเขาน่ะสิ เฮ้อ!” คุณหญิงสุภัสสรถอนหายใจ

“ติน่ามาเกี่ยวอะไรด้วยครับ”

“ก็คุณครูให้ตาพีพีวาดรูปแม่เป็นการบ้าน แล้วทีนี้ตาพีพีก็วาดเป็นรูปผู้หญิงผมสีเหลือง พอเพื่อนๆ เห็นก็บอกว่าตาพีพีโกหก ตาพีพีเป็นเด็กไม่มีแม่ เพราะเพื่อนๆ ที่โรงเรียนไม่มีใครเคยเห็นแม่ของตาพีพีเลย ตาพีพีก็เถียงว่าไม่ใช่ เถียงไปเถียงมาก็ตะลุมบอนกัน พอแล้วเมื่อกี้แม่ดุแม่สอน ก็งอนแม่ บอกว่าจะไปหาแม่เขาที่อเมริกา”

“ตาพีพียิ่งโตยิ่งดื้อนะครับ”

“ใช่ แม่ว่าเราน่าจะหาแม่ใหม่ให้ตาพีพีได้แล้วนะ ตอนนี้จะให้หนูฟ้าช่วยดูแลก็คงไม่ได้ เพราะอีกไม่กี่เดือนหนูฟ้าก็จะคลอดลูกแล้ว”

“แหมคุณแม่พูดอย่างหาได้ง่ายๆ นักแหละ”

“งั้นให้แม่หาให้เอาไหม” คุณสุภัสสสรเสนอ ทำให้ต้นกล้ารีบโบกมือปฏิเสธพัลวัน

“ไม่เป็นไรครับ อันที่จริงผมก็มีคนที่ดูดูอยู่เหมือนกัน” ชายหนุ่มรีบอ้างทันทีเพราะเขารู้ว่ามารดาของเขากำลังหมายตาให้กัญญารัตน์หรือนกยูง ลูกสาวของวศินหนึ่งในผู้บริหารซึ่งเป็นเพื่อนของบิดาเขามาเป็นแม่ใหม่ให้เด็กชายพีรพล แต่เขาคิดกับกัญญารัตน์แค่น้องสาวเท่านั้น และเขาก็มั่นใจว่ากัญญารัตน์คิดกับเขาแค่พี่ชายเช่นกัน

“จริงเหรอ” หญิงสูงวัยมองบุตรชายคนโตอย่างจับผิด

“จริงสิครับ ผมตั้งใจเอาไว้ว่าจะพามาพบคุณแม่เร็วๆ นี้เหมือนกัน”

“งั้นก็รีบพามาที่บ้านซะสิ แม่จะได้ช่วยดูให้” คุณหญิงสุภัสสรยิ้มบอก ก่อนทิ้งท้ายให้ต้นกล้าต้องหวาดหวั่น “ถ้าช้า แม่จะเป็นคนจัดการเรื่องนี้เอง”

“ครับ ถ้าไงผมขอตัวขึ้นไปดูพีพีหน่อยนะครับ” ว่าแล้วชายหนุ่มก็ตัดบทรีบลุกเดินขึ้นข้างบนทันที



ต้นกล้าเดินตรงไปที่ห้องบุตรชาย เขาเคาะประตูห้อง และถึงเปิดเข้าไปโดยไม่รอเสียงขานรับของคนที่อยู่ในห้อง

“ว่าไงครับคนเก่ง” ชายหนุ่มร้องเรียกก่อนเดินเข้าไปนั่งข้างๆ เด็กชายเจ้าของห้องที่นอนก้มหน้าซุกตัวกับหมอนและกองผ้าห่มบนเตียง

เด็กชายพีรพลเงยใบหน้าที่มีพลาสเตอร์ยาติดตรงหน้าผากจากหมอนแล้วลุกขึ้นมานั่ง ดวงตาเล็กๆ ยังมีรอยแดงๆ ที่แสดงถึงการผ่านการร้องไห้มา เด็กน้อยจ้องตาบิดา

“คุณพ่อครับ ทำไมมามี้ไม่มาหาพีพีบ้างล่ะครับ”

“มามี้ไม่ว่างครับ” ต้นกล้าตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด เพราะมันเป็นคำตอบที่เขาใช้ตอบบุตรชายทุกครั้งเวลาที่ถูกถามถึงผู้ให้กำเนิด

“งั้นเราก็ไปหามามี้กันสิครับ”

“แต่พีพีต้องเรียนหนังสือ แล้วเราจะไปกันได้อย่างไร เอาไว้ปิดเทอมก่อนสิครับ”

“ไม่เอาพีพีจะไปเดี๋ยวนี้ พีพีจะไม่ไปโรงเรียนแล้ว” ว่าแล้วเด็กชายพีรพลก็มุดตัวเข้าไปในใต้ผ้าห่มอีกรอบ

“พีพีลุกมาคุยกับพ่อให้รู้เรื่องก่อน” ต้นกล้าพยายามดึงตัวบุตรชายขึ้นมา แต่ก็ทำได้ยากเพราะบุตรชายม้วนตัวเข้ากับผ้าห่มก่อนตะโกนออกมา

“ไม่! พีพีไม่คุยกับคุณพ่อแล้ว”

“ลุกมาคุยกับพ่อเดี๋ยวนี้นะ”

“ไม่! พีพีไม่คุย”

และหลังจากสองพ่อลูกพยายามยื้อกันอยู่สักพัก คนเป็นพ่อก็ต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้ยกธงขาว

“ก็ได้ ไม่คุยก็ไม่คุย เอาไว้พรุ่งนี้เช้า พีพีอารมณ์ดี เราค่อยคุยกันด้วยเหตุผล”

เมื่อออกจากห้องบุตรชาย ต้นกล้าก็เดินกลับห้องตัวเองด้วยสีหน้าเคร่งเครียดทันที สองมือดึงเนคไทออกจากปกเสื้อ แล้วปลดกระดุมสองเม็ดบนออก เพื่อหวังว่ามันจะช่วยคลายความเครียดที่มีได้บ้าง ชายหนุ่มทิ้งกายลงบนเตียงนุ่ม แขนยาวประสานไว้ที่ท้ายทอย ดวงตาคมมองไปยังเพดานที่ประดับด้วยโคมไฟราคาแพงครุ่นคิดปัญหาที่เพิ่งเกิดขึ้นมา

ที่ผ่านมาเด็กชายพีรพลบุตรชายของเขาเป็นเด็กดีว่านอนสอนง่ายไม่เคยทำตัวมีปัญหา แต่พักหลังมานี้ดูเหมือนว่าบุตรชายของเขาจะเริ่มออกฤทธิ์ถี่และมากขึ้นตามอายุ แล้วถ้าเขาปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปมันก็คงไม่ดีแน่ แต่จะให้เขาทิ้งงานหันมาดูแลอย่างใกล้ชิด เขาก็ยังไม่สามารถทำได้เต็มที่ ยิ่งในตอนนี้มีเรื่องการยักยอกเงินเข้ามาอีก เห็นทีเขาควรจะต้องหาผู้หญิงมาช่วยดูแลบุตรชายอย่างที่มารดาบอกแล้วสิ เมื่อคิดถึงตรงนี้ภาพของผู้หญิงคนหนึ่งก็ผุดขึ้นมาทันที

...ดร.แพรวรุ้ง ธัญพิสิษฐ์...

ใช่แล้ว! แพรวรุ้งนี่แหละ เป็นผู้หญิงที่เหมาะจะมาดูแลบุตรชายของเขา และยังช่วยให้เขาไม่ต้องถูกมารดาจับคลุมถุงชนเหมือนน้องชายของเขา ถึงแม้ผลการจับคลุมถุงชนครั้งนั้นจะเป็นผลดีก็เถอะ แต่เขาก็ยังไม่อยากเสี่ยงอยู่ดี เพราะบอกตามตรงเขายังรู้สึกเข็ดขยาดกับชีวิตคู่ที่ผ่านมาไม่หาย

ว่าแต่เขาจะทำอย่างไรเพื่อให้เธอยอมตกลงมาทำหน้าที่พวกนี้ดีล่ะ เพราะดูจากสองวันที่เจอกัน เธอเป็นผู้หญิงที่ฉลาดและไม่ยอมคนหรือเชื่ออะไรง่ายๆ ขนาดเอาหลักฐานเรื่องน้องชายให้ดู เธอยังไม่เชื่อเลย

เดี๋ยวนะ! น้องชายเธอ

ต้นกล้าผุดลุกขึ้นมานั่ง หัวใจพองโตที่คิดหาทางออกของเรื่องนี้ได้แล้ว เขาจะใช้เรื่องฟ้าฉายนี่แหละในการบีบบังคับให้หญิงสาวยอมมาทำหน้าที่พวกนี้



TonChor
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ต.ค. 2555, 15:59:14 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 ต.ค. 2555, 15:59:14 น.

จำนวนการเข้าชม : 1672





<< ใช้หนี้(รัก)งวดที่ 2   ใช้หนี้(รัก)งวดที่ 4 >>
violette 29 ต.ค. 2555, 15:59:15 น.
แม่น้องพีพีหายไปไหนละเนี่ย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account