เสน่ห์ร้าย นายมาเฟีย
ซานโตรใช้ปลายนิ้วเขี่ยเส้นผมที่ยาวระใบหน้า เส้นผมสีน้ำตาลราวกับเส้นไหมหยักศกน้อย ๆ ใบหน้าคมคายใส่แว่น สวมชุดยาวจนถึงกลางหลัง รองเท้าบูทไขว่ห้างราวกับกำลังนั่งอยู่ภายในห้องพักในบ้านของตัวเอง คิ้วหนารับกับจมูกโด่งเป็นสัน กับเรียวปากได้รูปราวกับรูปสลัก...
Tags: นิยาย,ความรัก,หวานละมุน,มาเฟีย

ตอน: ตอนที่ 3 เด็กตัวเล็ก ๆ เธอชื่อดอนนา

บทที่ 3
เด็กตัวเล็ก ๆ เธอชื่อดอนนา


เสียงเด็กร้องไห้โยเย เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดสำหรับลูเซียนา หลังจากที่เธอเปิดประตูคลีนิคแล้วก็ต้องพบกับตะกร้าใส่เด็กอ่อนสวมชุดสีชมพู ร้องไห้โยเย บนที่นอนมีจดหมายและขวดนมชนิดที่ยังไม่ได้เปิดฝากับยังไม่ได้ชงวางอยู่ ลูเซียนาเอาแต่กระพริบตาถี่ ๆ ไม่รู้ว่าจะทำอะไรก่อนนอกจากการมองหาตัวแม่ของเด็ก

“อุแว้...อุแว้”

“เด็กนี่ ใครเอามาทิ้งได้กันล่ะ” ลูเซียนามองไปรอบกาย แต่สุดท้ายก็ยังไม่มีใครเดินเข้ามาเอาตัวเด็กไปเลยสักคน “ทำยังไงดีล่ะ”

“เกิดอะไรขึ้นน่ะ”

เสียงเรียบดังขึ้น ก่อนที่ซานโตรในชุดเสื้อคลุมสีขาวจะเดินออกมาด้านหลังเธอ ครั้งแรกที่เห็นตัวเด็กร้องไห้งอแง ซานโตรก็ถึงกับตัวแข็งไปชั่วขณะ ไม่คิดว่าจู่ ๆ จะมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญแต่เช้าแบบนี้

“ทำยังไงดีล่ะ แม่ของเด็กไปไหนแล้วก็ไม่รู้” เธออุ้มเด็กขึ้นมาโอ๋

“ตอนคุณออกมาแม่ของเด็กหายไปแล้วหรือ”

“ใช่ ตอนออกมาที่ไม่มีใครอยู่ที่นี่แล้ว”

ซานโตรปวดหัวจนต้องยกมือขึ้นกุมขมับ ให้ตายเถอะนี่คนอิตาเลียนมองเห็นหน้าประตูคลินิกเป็นอะไรไปแล้วหรือเนี่ย

“ให้ตายเถอะ...” เขาเอ่ยเสียงเรียบ

“มีอะไรเหรอ”

“ผมว่าแม่ของเด็กคนนี้น่ะ คงเอาลูกมาวางทิ้งไว้ให้เราช่วยเลี้ยงเป็นลูกแล้วล่ะ” เขาเปรยเบา ๆ

“นี่แปลว่าเด็กคนนี้ถูกทิ้งงั้นเหรอ” ลูเซียนาทำตาโต

“ไม่ได้ถูกทิ้ง แต่เอามาฝากให้ช่วยรับเลี้ยงชั่วคราวน่ะ” ซานโตรถอนหายใจยาว วางมือลงบนตะกร้าเสื้อเพื่อหยิบเอาจดหมายออกมาอ่าน

‘เด็กคนนี้ชื่อ ‘ดอนนา’ เป็นเด็กน่ารักเลี้ยงง่ายไม่ค่อยร้องไห้โยเย กรุณาช่วยเมตตาแกด้วยเถอะค่ะ’

ซานโตรเลิกคิ้วสูง พลางชำเลืองมองไปยังเด็กที่กำลังร้องไห้แง ๆ

“ไม่ร้องไห้โยเย...ให้ตายเถอะ ช่วยเอาไปเขียนใหม่ได้ไหม” เขาแค่นเสียง

“ทำยังไงดีล่ะ เด็กร้องไห้ใหญ่แล้วผ้าอ้อมเปียกหรือเปล่าก็ไม่รู้” ลูเซียนาอุ้มทารกร้องไห้ไปมา

“นั่นสินะ ผมว่าเอาเด็กคนนี้ไปให้ตำรวจจะดีกว่า”

ลูเซียนาอุทานอย่างตกใจ หันอุ้มคว้าเอาตัวเด็กไปไว้ที่อื่นหลังจากที่ซานโตรเอื้อมมือคว้าเอาตัวเด็กไปถือไว้

“จะทำอะไรน่ะ” เธอร้อง

“ทำอะไรน่ะหรือ ผมก็จะเอาตัวเด็กคนนี้ไปไว้กับตำรวจให้ช่วยตามหาแม่ของเด็กไงล่ะ”

“ไม่ได้นะ แม่ของเด็กเป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ ขืนเอาตัวไปให้กับตำรวจเขาจะดูแลได้ยังไง” ลูเซียนากอดเด็กเอาไว้ไม่ยอมปล่อย

“นี่แปลว่า คุณจะเลี้ยงเด็กคนนี้หรือ” ซานโตรไม่อยากเชื่อ

ลูเซียนาลังเลที่จะตอบ อย่างน้อยตอนนี้เธอก็มีที่อยู่แล้วต่อให้มีภาระต้องเลี้ยงดูเด็กอีกคน ก็ไม่เห็นจะยากที่ตรงไหน

“ใช่ค่ะ ฉันจะเลี้ยงเอง” เธอตอบ

ซานโตรเอามือแตะคิ้วที่ขมวดเข้าหากันอย่างปลง ๆ

“ให้ตายเถอะ...เชื่อเขาเลย” เขาเอ่ยเสียงเรียบ “เอาล่ะ เอามาให้ผมซิ”

“ไม่นะ”

“ลูเซียนาคุณบอกว่าจะเลี้ยงเด็กคนนี้ ทั้งที่ตอนนี้หน้าประตูคลินิกเป็นของผมงั้นหรือ ขอบอกทีเถอะว่าคลินิกของผมไม่รับเด็กตัวเล็ก ๆ หรือว่าสัตว์เลี้ยงเป็นอันขาด” เขายื่นคำขาด

“ขอร้องละค่ะ ฉันจะคอยดูไม่ให้เขายุ่งเกี่ยวกับกับคุณเลย” ลูเซียนาอ้อนวอนด้วยสายตา “คลินิกของคุณมีหน้าทีรักษาคนป่วยไม่ใช่เหรอ นี่เป็นเด็กนะคุณจะไม่ช่วยเหลือเขาเลยหรือไง”

“นั่นมัน...”

“หรือคลินิกของคุณมีหน้าที่แค่ดูแลคน แล้วเอาค่ารักษามาบำรุงคลินิกกันล่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันจะฟ้อง ๆ คุณให้ล้มละลายไปเลย" เธอข่มขู่

ซานโตรยักไหล่ถอนหายใจยาว ที่แน่ ๆ เขาพอจะจัดการได้เรื่องทารกขี้อ้อนคนนี้ แต่สำหรับผู้หญิงที่กำลังกรุ่นโกรธไม่ยอมฟังเหตุผลอะไร ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะเอาชนะ

“ตามใจคุณเถอะ แล้วอย่าให้เสียงร้องของเด็กระรานคนไข้ของผมล่ะ” เขาเปรยเบา ๆ

“จริงเหรอ ขอบคุณมากค่ะ” ลูเซียนาร้องอย่างยินดีพลางยื่นเด็กทารกมายังเขา ซานโตรขมวดคิ้วเมื่อยื่นมือออกไปรับตัวเด็ก

“อะไร” เขาถาม

“ช่วยเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ทีสิ ฉันรู้สึกว่ามันเปียก ๆ ยังไงก็ไม่รู้” เธอเอ่ยเสียงอ่อย

“นี่คุณ คิดจะเลี้ยงเด็กทั้งคน เรื่องเปลี่ยนผ้าอ้อมก็หัดเปลี่ยนเองบ้างสิ” เขาตะโกน ทั้งที่เมื่อกี้ยังทำท่าจะดูแลอยู่แต่พอเรื่องผ้าอ้อมกลับเอามาให้เขาเปลี่ยนซะอย่างนั้น

“ก็คุณเป็นหมอนี่คะ เรื่องผ้าอ้อมก็ต้องเคยเปลี่ยนมาแล้วไม่ใช่เหรอ”

“ไม่เคย แต่กำลังจะเริ่มหากว่ามีคนช่วย” เขาแค่นเสียง

ซานโตรอุ้มทารกที่ร้องไห้งอแงเข้าไปในบ้าน โดยไม่ได้สังเกตเลยว่าที่ซอกมุมมืด ๆ มีผู้หญิงเส้นผมสีทองคลุมด้วยผ้าผืนสีเทากำลังมองดูทารกด้วยความเป็นห่วง ร่างสูงวางทารกร้องไห้งอแงไว้บนโต๊ะข้างเตียงแล้วค่อย ๆ แกะผ้าอ้อมที่กำลังจะเปียกจนเลอะเทอะออกมา ทำเอาลูเซียนาเอามือปิดปากด้วยความเหม็น

“เปียกปอนหมดเลยล่ะ”

“เอาผ้าอ้อมที่เหลืออยู่มาซิ” เขาชี้ไปตรงตะกร้าเสื้อผ้า ลูเซียนารีบคว้าเอาขึ้นมาไว้ให้กับเขาทันที “จับตรงนี้ทีสิ”

“ตรงนี้เหรอ” ลูเซียนาเก้ ๆ กัง ๆ

“เวลาที่คุณฉี่รดที่นอน ใครล่ะจะมาช่วยใส่ให้” เขาประชด

ลูเซียนาหน้าแดงจัดไปถึงใบหู ดูเอาเถอะถ้าไม่ใช่เพราะเห็นเขาเป็นหมอเธอก็คงจะโวยใส่หน้าเขาไปแล้ว

“เลิกประชดประชันกันได้แล้ว”

“ไม่ได้ประชด แต่ขี้รำคาญกันต่างหาก” เขาชำเลืองมองมายังเธอ

“นี่คุณ..”

“อุแว้ อุแว้”

“โอ๋ ไม่ร้องนะใกล้จะเสร็จแล้ว” ลูเซียนาแทบจะอุ้มขึ้นมาโอ๋แต่ติดที่ว่ายังเปลี่ยนไม่เสร็จ โชคดีที่ซานโตรคล่องแคล่วกับผ้าอ้อมจนเหลือเชื่อ เพียงไม่กี่นาทีก็เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยผ้าอ้อมผืนเก่าก็หย่อนลงถังขยะ ซานโตรจัดการถอดแขนเสื้อไปจนจรดข้อศอกถอนหายใจยาว

“คงจะเงียบได้สักระยะหนึ่ง” เขาเปรยเบา ๆ

ทันทีที่เปลี่ยนผ้าอ้อมเสร็จ น้ำตาของเด็กทารกก็พลันเหือดแห้งเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี จนลูเซียนาพลอยโล่งใจไปตาม ๆ กัน เธออุ้มทารกขึ้นหมุนไปมาเหมือนเด็กเล็ก ๆ ไม่สนใจว่าซานโตรจะเหนื่อยหน่ายสักแค่ไหน เด็ก ๆ ตอนอารมณ์ดีก็ดีหรอก แต่พอร้องไห้งอแงขึ้นมาแม้แต่แม่บ้านผู้ดูแลเด็กก็ยังเหนื่อย

“ดอนนา แหมอารมณ์ดีจัง”

“คุณจะตั้งชื่อใหม่ให้เด็กคนนี้ก็ได้ ไม่เห็นต้องใส่ใจเลย” เขาประชด

“ไม่ค่ะ ฉันชอบชื่อนี้จะเรียกเธอว่าดอนนา ดอนนา ไปเรื่อย ๆ อย่างนี้แหละ”

ซานโตรนั่งลงบนเก้าอี้สองมือล้วงกระเป๋า ภาพลูเซียนากำลังหัวเราะคิกกับการอุ้มเด็กกลายเป็นภาพที่ดูดีอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เสียงหัวเราะของเธอกับเสียงเอิ้กอากของดอนนา ทำให้กลายเป็นภาพของนางฟ้าที่ลงมาเล่นอยู่กับเด็กทารกตัวน้อย เส้นผมของเธอยาวสลวย ดวงตาสีดำขลับริมฝีปากแดงระเรื่อ ทำให้ดอนนายิ้มละไมเอามือคว้าเส้นผมของเธอมาหยอกล้อ

“อะไรเหรอ” ลูเซียนาสังเกตเห็นสายตาของเขา

ซานโตรหันไปทางอื่น ปลายนิ้วแตะปลายคางแผ่วเบา

“เปล่า แค่กำลังคิดว่าแม่ของดอนนาจะทำยังไงนะ”

“ป่านนี้คงมีชีวิตอยู่ตามลำพัง”

“ไม่ใช่หรอก คงคิดว่าน่าจะอยู่ที่ไหนสักแห่ง...แต่ไม่กล้าออกมา”

“แล้วทำไมไม่กลับมาหาดอนนาล่ะ”

“คงมีหลายเหตุผล ที่เรายังไม่รู้....” ซานโตรเปรยเบา ๆ “เอาล่ะ เชื่อไหมล่ะว่าพอเอสตามา คงมีเรื่องชวนปวดหัวมากมายเลยทีเดียวล่ะ”

“ตายจริง นี่มันเด็กนี่นา”

ทันทีเอสตามาถึงที่ประตูคลินิก เสียงร้องอย่างท่วมท้นก็ดังมาจากนางพยาบาลชุดขาว เธอรีบวิ่งเข้ามากอดดอนนาที่นอนนิ่งลืมตาแป๋ว พาเดินหมุนไปมาด้วยความรัก

“เธอชื่อดอนนาน่ะค่ะ เป็นเด็กที่น่ารักมากใช่ไหมล่ะ”

“น่ารักมากเลย ไม่น่าเชื่อนะว่าคุณหมอซานโตรจะมีลูกได้น่ารักขนาดนี้”

ลูเซียนากระพริบตาถี่ ๆ หันไปมองซานโตรที่ยืนพิงกำแพงอยู่ด้วยสีหน้าอาการบ่งบอกได้เลยว่าไม่ขำ พอเงยหน้าขึ้นมองสายตาของเขาที่กำลังมองลงมา เธอก็ต้องเอ่ยปากถามซ้ำออกไปอีกรอบ

“เอ่อ คุณเอสตาคิดว่าดอนนาเป็นลูกของใครเหรอคะ”

“อ้าว นี่ไม่ใช่ลูกของหมอซานโตรหรอกเหรอ”

“ไม่ใช่ค่ะ” เธออดยิ้มออกมาไม่ได้ “นี่เป็นเด็กที่เขาเอามาฝากเลี้ยงเอาไว้”

“อ้าว แล้วกัน”

“ตามนั้นแหละเอสตา ถ้าเธอไม่ว่าอะไรฉันก็อยากให้ช่วยดูแลดอนนา คอยเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ด้วยล่ะ ฉันไปก่อนข้างในมีคนไข้คอยอยู่”

หลังคนตัวสูงปิดประตูดังปัง ลูเซียนาก็หันไปยิ้มให้กับเอสตาอย่างอดยิ้มขันไม่ได้ เอสตาก้มมองดอนนาที่กำลังยิ้มหัวเราะให้พลางมองไปยังผมบนศีรษะเธอแล้วก็มองตาสีน้ำตาลพลางเอ่ยว่า

“เห็นผมเป็นสีน้ำตาลกับดวงตาสีเดียวกัน ก็นึกว่าจะเป็นลูกสาวของหมอซานโตรเสียอีก”

“จริงด้วยสิ” ลูเซียนามองเด็กตาแป๋วอีกคน “ผมกับสีตาเหมือนกันเลย มิน่าล่ะจึงไม่ค่อยอยากเลี้ยงดอนนาเท่าไหร”

“แหม น่ารักจริงเชียว”

“อา...อ๊า”

“ท่าทางคงจะหิวน่ะ ในตะกร้ามีขวดนมวางอยู่ด้วย” ลูเซียนาทำท่าจะหยิบมันขึ้นมาเปิดให้เด็กกิน

“ไม่ได้นะ นมนั่นคงจะเย็นหมดแล้วเอาไปอุ่นจะดีกว่า”

ลูเซียนาถือขวดนมขึ้นมา มันคงจะเย็นไปจริง ๆ แม่ของเด็กคงจะเอามาวางไว้ตั้งแต่เมื่อไหรก็ไม่รู้

“อุ่นยังไงดีคะ” เธอเอ่ยถาม

“อุ่นไม่เป็นเหรอ งั้นเอามานี่เถอะเดี๋ยวฉันไปชงเอง คอยอุ้มดอนนาไว้นะ” เอสตาอุ้มเด็กให้ลูเซียนาได้ถือไว้ เธอแก้มแดงด้วยความกระดาก ตอนแรกพอทำท่าจะเลี้ยงดูแต่พอเอาเข้าจริงทั้งเรื่องผ้าอ้อมกับเรื่องนมเด็กกลับต้องเป็นฝ่ายขอความช่วยเหลือจากคนอื่น

“ขอบคุณนะคะ” เธอเอ่ย

“ไม่เป็นไรจ้ะ ถือซะว่าช่วย ๆ กัน”

หลังจากที่เอสตาหายเข้าไปภายในห้องครัว ลูเซียนาก็ก้มลงมองเด็กทารกนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนบริสุทธ์กับเส้นผมขอดเป็นก้นหอยสีน้ำตาล ที่ลืมตาโตมองเธอฝ่ามือคว้าจับเอาเส้นผมสีดำขลับของเธอมาเล่นราวกับว่าเป็นแม่คนหนึ่ง อะไรกันนะ...ถึงทำให้แม่ของดอนนาทิ้งลูกสาวไป ถึงกับยอมเอามาฝากเลี้ยงไว้กับคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักมักคุ้นหน้ากัน

พร้อมกับจดหมายที่ตั้งชื่อลูกสาวว่า ‘ดอนนา’

“ดอนนา...ฉันหวังว่าแม่ของเธอจะยังไม่ไปไกลนะ”

....หลังจากที่ซานโตรนั่งตรวจคนไข้อยู่ภายใน เสียงร้องไห้โยเยก็ดังขึ้นมาจนคนตัวสูงต้องเอามือปิดหูเพื่อคลายความรำคาญ ลายมือที่เขียนตัวอักษรจ่ายยาก็พลอยจะหวัดไปด้วยจนเอสตาอ่านไม่ออก เสียงร้องไห้งอแงกับเสียงโอ๋ของลูเซียนากับเสียงโครมครามของข้าวของที่แตกกระจาย ทำเอาซานโตรแทบยกมือวางไว้บนหน้าผากขมวดคิ้ว

“ให้ตายสิ...” เขาเอ่ยเบา ๆ

“เด็กคนนั้นเป็นลูกคุณหมอหรือครับ” ชายสูงวัยผิวคล้ำถาม

“เป็นเด็กที่เขาเอามาฝากเลี้ยงต่างหาก”

“เหรอ ผมเห็นเส้นผมกับสีตาก็นึกว่าลูกคุณหมอซะอีก”

“ในโลกนี้คนทีมีลักษณะเหมือนกัน แต่ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกันก็มีอยู่อีกเยอะ” ซานโตรแค่นเสียง

ดูเอาเถอะ ขนาดมีคนเห็นแค่สองคนยังคิดว่าดอนนาเป็นลูกของซานโตรเสียอีก นี่กระมังเหตุผลที่ทำให้เขาไม่อยากเลี้ยงดูเด็ก ซานโตรคิดไม่ตกว่าจะไปหาแม่ของเด็กมาได้ยังไง

“เชื่อเขาเลย” เขาพ่นลมหายใจออกมาเบา ๆ

“เด็กน่ารักดีนะครับ ถ้าโตมาแล้วว่านอนสอนง่ายก็น่าจะดี”

ซานโตรยิ้มบาง ๆ

“นั่นสินะ”

...เป็นเวลาเกือบบ่ายสี่โมงเย็น ที่เขาต้องทนอยู่กับเสียงร้องไห้และเสียงหัวเราะคิกคักของเด็ก แถมยังต้องคอยปวดหัวกับการตอบคำถามคนป่วยที่เข้าใจผิดคิดว่าเป็นลูกของเขาจนปวดหัวไปหมด เวลานี้ใกล้เวลาที่คลินิกก็ปิดแล้วอีกไม่เกินหนึ่งชั่วโมง ซานโตรยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาก่อนจะเงยหน้าขึ้นถอดแว่นตาวางลงบนโต๊ะ ด้านนอกนั่นดูเหมือนว่าเขาจะได้ยินเสียงเอสตาขอตัวกลับก่อน และตอนนี้ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรนอกจากความเงียบสงัด

“ลูเซียนา”

ตอนที่เขาเปิดประตูออกมา ก็มองเห็นภาพลูเซียนานั่งเอนหลังกับพนักเก้าอี้นอนหลับสนิทในมือยังกอดร่างของเด็กทารกที่ยังคงนอนหลับตาพริ้มหวานหลับสนิททั้งคนเลี้ยงและเด็ก ซานโตรถอนหายใจยาวเดินออกมาปิดประตูเบา ๆ ก้าวเข้ามานั่งคุกเข่าลงบนพื้น มองดูใบหน้าน่ารักเส้นผมยาวสลวย ก่อนชำเลืองมองดูเด็กที่กำลังหลับตานอนหลับฝันถึงใครบางคนที่มาอุ้มกอดเอาไว้

“...หลับง่ายเสียเหลือเกิน” เขายิ้มบาง ๆ

ซานโตรยกปลายนิ้วขึ้นลูบศีรษะของเด็กเบา ๆ

ดอนนาเพียงแค่หมุนตัวไปมา แล้วค่อย ๆ เอนศีรษะลงบนไหล่บางนอนหลับสนิท ซานโตรมองดูภาพทารกกับภาพหยาดน้ำตาที่รินไหล

“ร้องไห้จนตาเปียกขนาดนี้เลยหรือ”

ซานโตรยืนขึ้นเดินตรงไปยังประตูด้านหน้า โดยยืนหลบไปอยู่ตรงมุมด้านข้างกำแพง พลางมองสายตาออกไปยังด้านนอกก่อนไล่สายตาตรงไปยังมุมด้านข้างกับพื้นถนนด้านนอก ก่อนสังเกตเป็นผู้หญิงผมทองคลุมทับด้วยเนื้อผ้าสีเทาหม่นที่เจ้าตัวพยายามใช้มันปิดบังใบหน้า พยายามยืนแอบอยู่ไม่ไกลจากซอกตึก สายตาจับจ้องมายังหน้าประตูคลินิกไม่ยอมออกไปไหน....

“คุณจะพาฉันไปไหนคะ”

ลูเซียนาอุ้มเด็กทารกที่กำลังหัวเราะ ไปตามทางเดินในสวนสาธารณะที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่พากันมาเล่นกันอย่างสนุกสนาน ซานโตรไม่ตอบเพียงแต่ชวนให้เธอเดินออกมาทั้งที่ยังอุ้มดอนนาที่ลืมตาแป๋วส่งเสียงหัวเราะคิกคัก จนเธอพยายามดึงมือออกแต่ก็ไม่สำเร็จ

“นี่ บอกมาสิว่าจะพาฉันที่ไหนกัน” เธอเริ่มฉุน

“สวนสาธารณะตอนเย็น บรรยากาศน่าเดินดีนะ” เขาตอบหน้าตาเฉย

“อะไรนะ ฉันต้องพาเด็กไปอาบน้ำและพาไปกินนมนะ

“ผมก็ว่ายังงั้น”

ซานโตรเดินมาตรงขอบทางเดินริมสวนสาธารณะ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ริมสระน้ำทำท่าเอนหลังสบายใจ เท่านั้นเองยังไม่พอยังจับมือลูเซียนาให้นั่งลงตามไปอีกด้วย เธอเม้มปากแน่นต้องนั่งลงในมือยังกอดดอนนาที่ยังหัวเราะคิก ๆ นัยน์ตาเป็นประกาย

“โอ๋...นิ่งซะนะ” ลูเซียนาก้มลงโอ๋เด็ก

“นานแล้ว ที่ผมไม่ได้ออกมาอย่างนี้” ซานโตรเอ่ยเสียงเรียบ

ลูเซียนาหันไปมองพร้อมกับเลิกคิ้ว

“แล้วทำไมวันนี้ถึงออกมาคะ” เธอถาม

“มาคอยคนรู้จัก...” เขาเปรยเบา ๆ

“หา”

“ผมว่าคงไม่จำเป็นต้องอธิบาย...ดูโน่นสิ”

ลูเซียนาหันไปมองตาม เธอมองเห็นครอบครัวแม่ลูกที่ล้อเล่นกันอย่างสนุกสนาน มีสุนัขพันธุ์โกลเด้นท์รีทรีฟเวอร์ กำลังคว้าจับลูกบอลที่เด็กชายกำลังขว้างไปที่ไกล ๆ มารดาและเด็กผู้หญิงอายุราว ๆ ห้าขวบกำลังอุ้มใส่พ่อของเด็ก ส่งเสียงหัวเราะสนุกสนาน

ลูเซียนามองดูภาพเหล่านั้น แล้วเจ็บแปลบในใจขึ้นมาทันที ใจหนึ่ง..เธอรู้ดีว่าภาพเหล่านั้นคงเป็นภาพที่มีความสุขที่สุดในชีวิต หากแต่ไม่ใช่เธอเพราะหญิงสาวโตเกินกว่าที่จะคิดเช่นนั้นอีกแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่ยังเป็นภาพที่เธอไม่เคยลืมเลือนก็คือรอยยิ้มของคุณพ่อและคุณแม่...

“เป็นอะไร” ซานโตรชำเลืองมองตามเธอ

“เปล่าค่ะ”

ซานโตรไม่คอยถามว่าอย่างไร ชายหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวนั่งพาดแขนบนไหล่เก้าอี้ พลางชำเลืองมองไปยังกระจกทรงกลมที่อยู่ด้านข้างของเขา ซานโตรมองเห็นผู้หญิงสาวคนหนึ่งพยายามปิดบังใบหน้าด้วยผ้าสีเทา สวมชุดกระโปรงค่อย ๆ เดินตรงเข้ามาหา คอยระมัดระวังเวลาที่เดินตามมาตลอดเวลา

“ในที่สุดก็ยอมมาสินะ...” ซานโตรเหยียดยิ้มบาง ๆ

“อะไรเหรอ”

“เปล่า เอาล่ะมานี่สิ”

“เดี๋ยวก่อน คุณจะพาฉันไปไหนน่ะ”

ลูเซียนาอุทานแผ่ว หลังจากถูกซานโตรหิ้วแขนขึ้นพาให้เดินตามไปทางอื่น ยังไม่ทันที่เธอจะอุ้มดอนนาไว้แนบอก แต่ซานโตรก็ถึงเธอเอาไว้ไม่ให้เอื้อมมือไปแตะ

“มาเถอะ” ซานโตรเอ่ยเสียงเรียบ

“ฉันยังไม่ได้อุ้มดอนนาเลยนะ”

“ช่างเถอะ ไปเดินเล่นทางโน้นกัน”

ซานโตรพาลูเซียนาที่กำลังออกแรงขัดขืนโดยการแกะมือเขาออกไปตลอดทาง เมื่อถึงบริเวณที่ลับตากันแล้วคนตัวสูงก็เอื้อมมือคว้าตัวลูเซียนาให้หลบเข้าไปอยู่หลังต้นไม้ คอยมองไปยังโต๊ะที่วางดอนนา เพื่อมองหาใครสักคนที่แน่ใจแล้วว่าไม่มีคนอยู่ถึงได้ออกมา

“ทำอะไรน่ะ” ลูเซียนาร้อง

“ชู่วส์...เงียบเถอะ”

ลูเซียนาเงียบสนิทลงทันที เมื่อมองเห็นผู้หญิงในชุดกระโปรงขาดวิ่นสวมผ้าคลุมผมสีเทา ค่อย ๆ เดินออกมาจากหลังพุ่มไม้มองไปทางซ้ายขวา ก่อนค่อย ๆ เดินตรงไปยังดอนนา ใบหน้าของเธอคลอไปด้วยน้ำตา มือสั่นเทาขณะอุ้มดอนนาที่กำลังส่งเสียงหัวเราะคิกคักราวกับจะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

“นั่น..แม่ของดอนนา” เธอกระซิบแผ่ว”

“ดูอยู่เฉย ๆ เถอะ”

แม่ของดอนนาหลับตาปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้ม สองมือโอบกอดดอนนาไว้แนบอกราวกับจะถ่ายทอดความรักความห่วงใยให้แก่เธอ ลูเซียนาเม้มเรียวปากแน่น กำมือเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว...เธอวิ่งออกไปโดยที่ซานโตรห้ามเอาไว้ไม่ทัน ตรงเข้าไปยังแม่ของดอนนา ที่กำลังตกใจหน้าซีดเผือดทันที

“ทำไมป่านนี้เพิ่งมาคะ รู้หรือเปล่าว่าเด็กคนนี้ต้องการมารดามากแค่ไหน”

“เอ่อ...ดิฉัน” แม่ของเด็กน้ำตากลบ

“ทำไมคุณถึงทำแบบนี้คะ เพราะอะไร”

“โฮฮฮ”

จู่ ๆ แม่ของเด็กก็ปิดหน้าร้องไห้โฮ เสียงร้องไห้ที่ดังขึ้นส่งผลให้ดอนนาได้ยินเสียงแล้วร้องตามออกมาทันที ลูเซียนามัวแต่ตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก ซานโตรจึงเดินเข้ามาและเป็นฝ่ายวางมือลงบนไหล่ซ้ายของลูเซียนา หญิงสาวได้แต่เงียบงันจนคิดอะไรไม่ออก

“คุณเป็นแม่ของดอนนาสินะ” ซานโตรเอ่ยเสียงเรียบ

“...ใช่ค่ะ ฉันฮึก...” แม่ของดอนนาหลับตาเอามือปิดปาก

“ทำไมถึงเอาลูกไปทิ้งไว้หน้าคลินิกผม ตอนแรกผมคิดว่าคุณไม่อยากเห็นหน้าดอนนาอีกแล้ว แต่แล้วกลับไม่ใช่เพราะผมเห็นคุณแอบดูอยู่ห่าง ๆ คอยตามดูดอนนาตลอด”

ลูเซียนากระพริบตาถี่ ๆ เธอไม่เห็นรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย

“ฉันเป็นห่วงดอนนา...เกรงว่าแกจะไม่ได้รับการดูแลที่ดี”

“ทำไม”

“พ่อของแกเกิดอุบัติเหตุรถชนเมื่อสองเดือนก่อน ฉันไม่มีอะไรจะให้แกกิน...ก็เลย” มารดาของดอนนาพยายามกลั้นน้ำตา ดอนนาร้องไห้งอแงเธอจึงยอมอุ้มแต่โดยดีเธอจึงเบาเสียงลง

“เกิดอุบัติเหตุงั้นเหรอ” ลูเซียนากระซิบแผ่ว

“ใช่ค่ะ ลำพังเราสองคนที่ยังหาเลี้ยงชีพไม่ได้ แต่ตอนนี้ดันมาต้องเสียพ่อของแกไปอีก...ฉันไม่รู้จะทำยังไงดีก็เลยเอาไปฝากเลี้ยงเอาไว้”

ลูเซียนาเจ็บแปลบไปอก ภายในใจแม่ของดอนนาก็คงเหมือนกับมารดาของเด็กทั้งหลาย ไม่มีใครหรอกที่อยากจะทิ้งลูกตัวเอง ให้อยู่กับคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อนิสัยเป็นอย่างไร

“ดอนนาเป็นของคุณ ชีวิตจะดีหรือว่าเลวร้ายเขาก็ย่อมภูมิใจที่เกิดมาเป็นลูกคุณไม่ใช่หรือ” ซานโตรเอ่ยเสียงเรียบ

แม่ของดอนนาหลับตาลงจนน้ำตาไหลอาบแก้ม

“ค่ะ..”

“ให้เขาอยู่กับคุณเถอะ ถึงแม้ว่าคุณจะเอาลูกมาฝากคนอื่นแต่ถ้าชีวิตเต็มไปด้วยความทุกข์ที่จะต้องคอยเป็นห่วงลูกเหมือนอย่างวันนี้ มันก็คงไม่คุ้มค่าสำหรับคุณ”

“ค่ะ...ฉันจะดูแลดอนนาให้ดีทีสุด” เธอพูดเสียงสั่นเครือ

ลูเซียนาน้ำตาไหลกลบตา เธอไม่รู้ว่าความรักที่มารดามีต่อลูกนั้นมากมายสักเพียงไหน แต่ถ้าหากว่าให้เธอเลือกที่จะทิ้งแม่แล้วไปอยู่กับคนที่ฐานะรวยกว่า เธอเองก็ไม่เอาเหมือนกัน ช่วงจังหวะที่แม่ของดอนนากำลังจะอุ้มลูกเดินออกไปช้า ๆ เธอถอดแหวนข้างหนึ่งที่นิ้วขวาแล้วยื่นส่งใส่ไว้ในมือของเธอ ทำเอาอีกฝ่ายลืมตาโต

“ไม่ได้นะคะ นี่ของคุณ”

“เก็บไว้เถอะค่ะ เอาไว้เป็นค่านมลูกหรือไม่ค่าผ้าอ้อมยังไงล่ะ” เธอยิ้มก่อนมองดูดอนนาที่ลืมตาโตหัวเราะคิกราวกับรู้ว่าแม่ของตัวเองมารับแล้ว “โชคดีนะดอนนา”

ซานโตรมองเธอพลางยิ้มบาง ๆ

“โชคดีนะ”

“ขอบคุณค่ะ บุญคุณนี้ฉันจะไม่ลืมไปชั่วชีวิต” มารดาของดอนนาค้อมศีรษะให้ก่อนจะอุ้มดอนนาเดินไปจากบริเวณนั้น

ลูเซียนาถอนหายใจยาว รู้สึกโล่งใจขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก

“ตอนแรกฉันคิดว่าคุณใจไม้ไส้ระกำซะอีก”

ซานโตรยิ้มเล็กน้อย “งั้นหรือ”

“ก็เห็นมีทีท่าว่ารังเกียจเด็กน้อย แถมยังพาฉันเดินออกมาจากดอนนาซะอีก...” ลูเซียนายิ้มละไม “แต่สุดท้ายคุณก็ยังไม่ยอมบอกฉันเรื่องแม่ของเด็กอยู่ดี”

“อย่างน้อย ๆ ตอนนี้คุณก็รู้เรื่องทั้งหมดดีแล้วนี่”

ซานโตรก็เดินไปจากบริเวณสวนสาธารณะกลับไปทางคลินิก ลูเซียนายิ้มบาง ๆ อย่างน้อยถึงเธอจะไม่รู้เกี่ยวกับหมอคนนี้ แต่ถึงอย่างไรเขาก็มีส่วนที่ดีและพึ่งพาได้จริง ๆ

“ร้ายที่สุดเลย...” ลูเซียนาบ่นอมยิ้ม..

หลังปิดคลินิก ซานโตรพาลูเซียนาไปเดินซื้อท่องเที่ยวบริเวณ Guilo Giannini e Figlio เป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องการผลิตกระดาษสวย ๆ สำหรับคนที่ชอบวาดเขียน ที่นี่ผลิตและขายกระดาษลายหินอ่อน ที่เป็นงานขึ้นชื่อของฟลอเรนซ์มากว่า 600 ปี ขายเครื่องเขียนและกระดาษสวย ๆ ลูเซียนามองดูเนื้อกระดาษและอุปกรณ์วาดเขียน กับภาพวาดเมืองฟรอเรนท์หลากสีสัน

“สวยจัง คุณพาฉันมาที่นี่ทำไมคะ”

“ผมมาหารูปภาพ” เขาตอบสั้น ๆ “ที่นี่มีภาพที่ผมต้องการใช้อยู่”

“รูปภาพ จะเอาไปติดบนผนังคลินิกเหรอคะ”

“ห้องของผม”

ลูเซียนาเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยสายตาเหมือนไม่เชื่อ

“ห้องของคุณ”

“มีอะไรหรือ”

“แปลกจัง ฉันคิดว่าพวกแพทย์เป็นพวกเคร่งตำราหรือไม่ก็ชอบทำงานอดิเรกเป็นพวกอ่านหนังสือเสียอีก ไม่คิดเลยว่าจะเป็นชอบศิลปะด้วย”

“เป็นบางคน แต่ไม่ใช่กับทุกคน” ซานโตรเหยีดยิ้ม พลางหยิบกระดาษวาดภาพสีน้ำมันขึ้นมาดู หญิงสาวมองตามภาพวาดที่เป็นเมืองวินเซนต์มีภาพผู้คนนั่งอยู่ตามเมืองใหญ่อย่างสนใจ กระดาษพวกนี้เป็นภาพสีน้ำมันดูสดใสและมีเอกลักษณ์

“สวยจัง ภาพที่มองเห็นนี่เป็นภาพยามพระอาทิตย์ตก ไม่ใช่ยามเช้า”

ซานโตรชำเลืองมองหญิงสาวหน้าตาน่ารักผมพลิ้วสลวย วันนี้ลูเซียนาสวมเสื้อคลุมบาง ๆ ตัวที่ยืมเอสตามาใส่รองเท้าหนังสีน้ำตาลแลดูน่ารักเกินกว่าจะอยู่บนตัวเธอ

“คุณรู้ได้ยังไง”

“ก็...ดูจากเงาตรงนี้ไงคะ” ลูเซียนาชี้ให้ดู “ถ้าหากว่าเป็นยามเย็นเงาตรงนี้ก็จะเป็นแสงสลัว ๆ อีกอย่างคนวินเซนต์ก็จะสั่งเครื่องดื่มไวน์มากินกันยามเช้าหรอกเหรอ”

“นั่นสินะ”

ซานโตรมองตามภาพในมือ กรอบของมันค่อนข้างหนาดูเหมือนกรอบรูปอันใหญ่อยู่ด้านข้าง สายตาไล่ลงตามสีที่เธอว่าและเห็นถึงความแตกต่างอย่างที่เห็น

“คุณท่าจะชอบการวาดภาพด้วยสินะ คนธรรมดาทั่วไปเขามองไม่เห็นหรอก”

“ก็นิดหน่อยค่ะ” ลูเซียนาอมยิ้ม

อันที่จริงเธอก็ชอบใช้เวลาว่างอยู่กับดินสอและกระดาษขาวอยู่แล้ว ทุกครั้งที่มีเวลาว่างเธอมักจะอยู่คนเดียวแล้วหาวิวทิวทัศน์ที่ชอบ วาดเส้นลายริ้วต่าง ๆ ที่ชอบเป็นพิเศษ

“ผมเอาภาพนี้” ซานโตรส่งให้คนขาย “ส่วนอีกคนพาเธอไปเดินชมให้ทั่ว หยิบจับอะไรก็มาคิดเงินที่ผม”

“เชิญทางนี้ค่ะ”

“เดี๋ยวก่อน” ลูเซียนาหันไปมองเขา “คุณจะทำอะไร”

“ก็ในเมื่อคุณอยากลงเส้นวาดเขียน ผมเองก็ชอบมันด้วย มาที่นี่ทั้งทีคุณไม่อยากจะได้พู่กันกับกระดาษวาดภาพจะได้วาดเขียนเมืองฟรอเรนซ์หรอกหรือ”

“เอ่อ...”

“ตามสบาย”

ลูเซียนาเลยเดินผ่านเข้าไปในร้าน เธอหันไปมองซานโตรที่ยืนยิ้มอยู่ทางด้านหน้านิดหนึ่งอย่างอ่อนใจ เธอเดินเลือกเนื้อผ้ากับกระดาษวาดรูป เธอเลือกเอาสีสันละเอียดและได้เหมาะกับภาพวาดสีน้ำมัน และเลือกพู่กันและดินสอสีมาวาดภาพเนื้อละเอียด หญิงสาวมีภาพผู้คนในเมืองฟรอเรนซ์ยามเดินเคียงคู่กัน และมีภาพพระอาทิตย์ตกดินเบื้องหลังวิวทิวทัศน์อยู่เบื้องหลัง

สีของพู่กันและวาดลงสีของในผ้าใบ มันช่างสวยงามและเป็นลายเส้นที่เหมาะเจาะ เธอชอบดูศิลปินที่ใช้เวลาวาดภาพริมแม่น้ำ สีสันของมันและแสงแดดของพระอาทิตย์ในยามเช้า แลดูสว่างไสวและงดงามเกินกว่าที่คนธรรมดาอย่างเธอจะมองเห็นได้ว่าสายตาของเขามองเห็นแสงแดดยามเช้าสดใสแค่ไหน

“อันนี้เป็นสีที่มียี่ห้อ มันทนทานและมีสีสันสดใสมากค่ะ”

“ราคาเท่าไหร่คะ”

คนขายบอกราคาที่ค่อยข้างแพง ลูเซียนาจึงวางมันลงอย่างเสียดาย ความจริงแล้วเธอชอบยี่ห้อนี้สีของมันเนื้อสีละเอียดและดูท่าจะเกาะเนื้อผ้าได้ดี หญิงสาวกำลังจะเอื้อมมือกลับมา หากแต่มือใหญ่ของใครบางคนก็เอื้อมมือไปจับมือเธอเอาไว้ไปแตะมันอีกครั้ง

“ผมเอาอันนี้แหละ”

“ซานโตร” ลูเซียนาหันไปมอง

ซานโตรมองลอดแว่นตาดูสีถี่ถ้วน สีของตาขาเป็นสีน้ำตาลอ่อน ๆ จนลูเซียนาเองก็อดคิดไม่ได้เหมือนกันว่าแว่นตามันทำให้บดบังสายตาชวนมองของคนที่ถูกจ้อง

“อะไรหรือ”

“เปล่าค่ะ แค่กำลังคิดว่ามันแพงไปหรือเปล่า” เธอเปลี่ยนเรื่อง

“ถ้าผมได้มีโอกาสที่จะวาดภาพสักครั้ง ก็น่าจะทำให้ดีที่สุดไม่ใช่หรือ”

ดวงหน้าน่ารักเส้นผมยาวสลวยลอบยิ้มบาง ๆ ก่อนที่ซานโตรจะเก็บแล้วรวบรวมให้เจ้าของร้านใส่ถุงและคิดเงินให้ เธอมองเห็นใบหน้าด้านข้างของนายแพทย์หนุ่ม เส้นผมสลวยระต้นคอและรอยโกนจาง ๆ ที่หนวด กลับทำให้เขาดูมี เสน่ห์และน่าค้นหาอย่างบอกไม่ถูก

“ขอบคุณนะที่ซื้อให้” เธอเอ่ย “หวังว่างานอดิเรกของฉัน คงไม่ไปรบกวนคุณนะคะ”

“ไม่หรอก เพราะผมเองก็ชอบงานนี้อยู่แล้ว”

“ขากลับไปแวะพิพิธภัณฑ์ของเมืองฟลอเรนซ์กันหน่อยไหม ที่นั่นมีภาพของศิลปินเองกันมากมาย”

“จะดีเหรอคะ”

“ตอนนี้เกือบเที่ยงแล้วเราไปหาอะไรทาน แล้วค่อยแวะไปตอนขากลับกันดีกว่า”

ซานโตรก้าวยาว ๆ เดินนำลูเซียนาเดินหิ้วถุงพะรุงพะรังตามไปด้วย เมืองฟรอเรนซ์เป็นเมืองที่มีตึกรามเรียงเป็นแถว ๆ ด้านหน้าจะมีร้านกาแฟและมีร้านขายกระเป๋าแบรนเนมด์ และเครื่องหนังให้เดินอยู่มากมาย ลูเซียนาแหงนหน้าไปดูรอบ ๆ จนซานโตรหันมาเห็นเข้าจึงคว้าจับข้อมือของเธอพาเดินข้ามถนนไป หญิงสาวมองตามมือที่จับมั่นมือบางแล้วก็ต้องชำเลืองมองคนตัวสูงที่เดินนำไปติด ๆ

ผู้ชายนี่ เป็นเหมือนกันหรือเปล่านะ

ลูเซียนาสลัดความคิดนั้นออกจากหัว ซานโตรจึงปล่อยมือเธอยามเมื่อเดินมาถึงฝั่งตรงกันข้าม ทั้งคู่เดินมาถึงร้านกาแฟแห่งหนึ่งที่ร้านมีโต๊ะอาหารและนักท่องเที่ยวที่มาแวะชิมอย่างเป็นกันเอง ท่าทางสบาย ๆ ไม่ซีเรียสเหมือนกับห้องอาหารหรู ๆ ลูเซียนามองดูแขกที่มาเยือนส่วนใหญ่เป็นบุคคลที่มีระดับต้องการความเป็นกันเองเป็นส่วนใหญ่ ซานโตรเดินไปแถวโต๊ะอาหาร โดยไม่ลืมที่จะเลื่อนเก้าอี้ออกให้ลูเซียนาเข้าไปนั่ง

“เชิญนั่ง”

ลูเซียนาเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ที่ซานโตรเลื่อนให้ช้า ๆ พร้อมกับเอ่ยถามเขา

“คุณมานั่งกินแถวนี้บ่อยเหรอ”

“อืม ผมชอบบรรยากาศสบาย ๆ มีพื้นที่ส่วนตัวเยอะ” ซานโตรนั่งวางมือในเสื้อคลุม “หรือคุณไม่ชอบล่ะ”

“เปล่าค่ะ ฉันแค่ไม่ชินกับการนั่งรับประทานอาหารแบบนี้”

ซานโตรเลิกคิ้วสูง เหยียดยิ้ม

“เพราะไม่ชินหรือไม่คุ้นเคยกันแน่ การที่ให้คุณหนูอย่างคุณมานั่งทานข้าวชมทิวทัศน์อย่างนี้ คงไม่ดีเท่าไหร่” น้ำเสียงของเขาอ่อนลง

ลูเซียนาตวัดสายตามองเขา ดูท่าว่าคน ๆ นี้จะหาเรื่องเก่งจริง ๆ

“ก็ไม่เชิงนัก ขึ้นอยู่กับว่ามาทานกับใครต่างหาก”

“เช่นใครบ้าง” เขาดูนึกสนุก

“ก็อย่างเช่นพวกชอบแกล้งชาวบ้านไงละคะ” ลูเซียนาปรายสายตาดูเขาบ่อย ๆ “พวกชอบแกล้งให้คนอื่นเป็นฝ่ายผิด ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ไม่รู้อะไรเลยด้วยซ้ำ”

“แปลว่าถ้าอีกฝ่ายยอมพูดออกมา คนผิดก็ย่อมหมายถึงคนถูกใช่ไหม”

ซานโตรนั่งเอามือล้วงกระเป๋าเหยียดยิ้มออกมา ลูเซียนาขบริมฝีปากเนื่องจากถูกหลอกให้ติดกับดักที่เขาเป็นคนวางไว้ แม้ว่าจะอยู่กับซานโตรแต่เธอก็ไม่เคยปริปากบอกอะไร รวมไปถึงสาเหตุที่ทำให้เธอต้องกระโดดน้ำ แต่ดูเหมือนว่าชายคนนี้จะเป็นคนฉลาด เขาไม่ยอมถามอะไร รอให้เธอเป็นฝ่ายพูดออกมาทีละน้อย

“ไม่มีค่ะ แล้วก็ไม่มีวันด้วย”

*********************






เบลินญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ต.ค. 2555, 15:32:27 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 ต.ค. 2555, 15:32:27 น.

จำนวนการเข้าชม : 2785





<< ตอนที่ 2 นายแพทย์หนุ่มดีกรีความร้อนแรง   ตอนที่ 4 ชายปริศนา >>
เบลินญา 15 ต.ค. 2555, 15:37:42 น.
ตอบเม้นท์ค่า

คุณพิณพลอย >>> ได้ใจคนเขียนด้วยคนค่ะ อิอิ
คุณ ameerahtaec >>> เห็นด้วย เดายากจริง ๆ ^_^

ขอบคุณมากนะคะ


ใบบัวน่ารัก 16 ต.ค. 2555, 07:39:28 น.
ชอบนะเป็นคุณหมอที่ใจดี


เบลินญา 16 ต.ค. 2555, 10:30:42 น.
เป็นคุณหมอที่น่าร้ากกค่ะ


Zephyr 24 ต.ค. 2555, 22:18:57 น.
เดาใจคุณหมอไม่ถูกเลย น่ารักจริงๆค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account