วิวาห์ลวง...ใช้หนี้รัก
เมื่อน้องชายหายตัวไปพร้อมกับข้อกล่าวหายักยอกเงินบริษัทไป 20 ล้านบาท
ทำให้ ‘แพรวรุ้ง’ ในฐานะพี่สาวและผู้ค้ำประกัน ต้องรับผิดชอบอย่างเสียไม่ได้
แต่ลำพังเงินเดือนอาจารย์ไม่กี่หมื่นบาทจะให้ผ่อนชำระหนี้ก็คงต้องแก่ตายกันไปก่อน
‘ต้นกล้า’ เจ้าหนี้ที่แสนใจดี จึงเสนอให้เธอมาแต่งงานเป็นเมียหลอกๆ เป็นเวลา 5 ปี
โดยตลอด 5 ปีนี้ เธอต้องทำหน้าที่ดูแลบุตรชายวัย 6 ขวบ
และช่วยกีดกันบรรดาผู้หญิงหมายจะมาจับเขา
‘แพรวรุ้ง’ ไม่มีทางเลือกอื่นใด อีกทั้งเธอไม่เชื่อว่าน้องชายจะเป็นอย่างที่ถูกกล่าวหา
เธอจึงจำยอมรับข้อเสนอนี้ และพยายามสืบหาความจริงที่เกิดขึ้น
โดยยิ่งใกล้ความจริงเมื่อไหร่ อันตรายก็เพิ่มขึ้นเท่านั้น
ทำให้ ‘ต้นกล้า’ ต้องกระโดดเข้ามาปกป้องลูกหนี้คนนี้ด้วย ‘หัวใจ’
และคราวนี้ ‘แพรวรุ้ง’ ก็เต็มใจจ่ายคืนเขาด้วย ‘หัวใจ’ เช่นกัน

Tags: วิวาห์ลวง...ใช้หนี้รัก, ช่อสุนันท์, ต้นช่อ, วิวาห์ลวง

ตอน: ใช้หนี้(รัก)งวดที่ 4

เช้าวันใหม่...

หลังจากต้นกล้าตื่นนอน เขาก็เข้าไปคุยกับเด็กชายพีรพล ซึ่งกว่าจะทั้งขู่ทั้งปลอบจนเด็กชายพีรพลยอมไปโรงเรียนได้ ก็ทำเอาเกือบเข้าเรียนไม่ทัน

เมื่อจัดการเรื่องบุตรชายเสร็จ ชายหนุ่มก็รีบเดินทางไปที่บริษัท เพื่อจัดการเรื่องงานที่ค้างคาอยู่ต่อ ซึ่งกว่าจะเสร็จเรียบร้อยก็กินเวลาไปช่วงบ่ายแล้ว เขาหยิบแฟ้มเอกสารประวัติของฟ้าฉายกับหลักฐานในการกระทำผิดในการยักยอกเงินจำนวนยี่สิบล้านบาทขึ้นมาเปิดอ่านอีกรอบ จนแน่ใจว่าไม่มีข้อความอะไรตกหล่นหรือผิดพลาด เขาถึงออกจากที่ทำงาน

“ไปบ้านแพรวรุ้ง” เขาสั่งจักรกฤษ

เมื่อรถเบนซ์อีคลาสสีบรอนส์คันหรูของต้นกล้ามาจอดหน้าบ้านหลังเดิมที่เขาเคยมาแล้วสองครั้งก็เป็นเวลาที่ดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว ดวงตาคมมองเข้าไปในบ้านก็เห็นว่ารถฮอนด้าซีวิคสีเทาของหญิงสาวเจ้าของบ้านจอดอยู่ในโรงรถ และภายในบ้านก็เปิดไฟสว่าง

ชายหนุ่มอมยิ้มที่มุมปาก หยิบเอกสารที่เตรียมมาขึ้นมาถือ ก่อนร้องบอกจักรกฤษแล้วลงจากรถ

“คงอีกนานกว่าจะเสร็จธุระ ถ้านายหิว นายก็ไปหาอะไรแถวนี้กินก่อนก็ได้นะ ถ้าฉันเสร็จธุระแล้วจะโทรเรียก”

ต้นกล้ากดกริ่งที่ติดอยู่ตรงเสาข้างประตูรั่ว เพียงครู่เดียวแพรวรุ้งก็เดินออกมา

“คุณต้นกล้า นี่คุณมาทำอะไรที่บ้านฉันอีกคะ เราไม่มีอะไรติดค้างกันอีกแล้วไม่ใช่เหรอ” เธอถามโดยยังไม่ยอมเปิดประตูรั้วให้เขาเข้ามาในบ้าน

“ผมจะมาธุระเรื่องน้องชายของคุณ” ต้นกล้าบอกเสียงเรียบก่อนชูแฟ้มเอกสารในมือ

และคำว่า ‘เรื่องน้องชาย’ ก็เป็นเหมือนกุญแจผีที่สามารถไขผ่านทุกประตูที่ขวางกั้นระหว่างเขากับเธอเอาไว้ได้หมด

“ถ้างั้นเชิญค่ะ”

แพรวรุ้งเดินนำต้นกล้ามาที่โซฟาหนังสีครีมในห้องรับแขก ก่อนเดินหายไปในครัวเพื่อรินน้ำดื่มมาให้ชายหนุ่ม

“น้ำค่ะ”

“ขอบคุณครับ”

“คุณว่าคุณมีธุระเรื่องฟ้าฉาย เรื่องอะไรคะ หรือว่าคุณเจอตัวฟ้าฉายแล้ว” หญิงสาวถามอย่างตื่นเต้น

“ไม่ใช่ครับ ที่ผมมาวันนี้เพื่อจะมาแจกแจงและชี้แจงเรื่องจำนวนเงินที่ฟ้าฉายยักยอกไปจากบริษัท” ต้นกล้าส่งแฟ้มสีฟ้าที่เตรียมมาส่งให้เธอ

“เอกสารพวกนี้คุณเคยให้ฉันดูแล้วนี่คะ” แพรวรุ้งเอ่ยหลังจากเปิดอ่านเอกสารไปได้สองหน้า

“ครับ แต่ผมอยากให้คุณอ่านอย่างละเอียดอีกทีว่ามันถูกต้องหรือเปล่า”

แพรวรุ้งมองชายตรงหน้าอย่างสงสัย แต่ก็ยอมอ่านเอกสารในมืออย่างละเอียดอีกครั้ง

จนกระทั่งเวลาผ่านไปประมาณสิบนาที แพรวรุ้งถอนหายใจแล้วปิดเอกสารตรงหน้า ก่อนส่งคืนให้ต้นกล้า

“คุณมีข้อสงสัย หรือข้อแย้งตรงไหนไหมครับ”

“เอกสารพวกนี้มันเป็นหลักฐานมัดตัวฟ้าฉายเอาไว้แน่น จนเหมือนถูกสร้างขึ้นมา” หญิงสาวอดแขวะชายตรงหน้าไม่ได้

“เอกสารพวกนี้ถูกตรวจสอบเบื้องต้นแล้วว่าถูกต้อง และถ้าน้องชายของคุณไม่ได้เป็นคนทำ ก็น่าจะมาอธิบายชี้แจง ไม่ใช่หนีหายไปแบบนี้”

“แต่ยังไงฉันก็เชื่อว่าน้องชายฉันไม่ได้ทำ”

“คุณจะเชื่อหรือไม่มันไม่สำคัญ เพราะยังไงคุณก็ต้องรับผิดชอบเงินยี่สิบล้านที่น้องชายของคุณยักยอกไป”

“อะไรนะ! ฉันต้องรับผิดชอบเงินพวกนี้งั้นเหรอ” แพรวรุ้งร้องออกมาด้วยความตกใจ

“ใช่ครับ” ว่าแล้วต้นกล้าก็หยิบแฟ้มเอกสารอีกแฟ้มส่งให้เธอ “เพราะคุณเป็นคนที่ใช้ตำแหน่งข้าราชการซีห้ามาค้ำประกันให้ฟ้าฉาย ตอนที่เขาเข้ามาทำงานที่บริษัท”

หญิงสาวมองเอกสารตรงหน้าก็แทบลมจับ ก่อนบอกกับเขาตามตรง โดยไม่ต้องคิด “แต่ฉันไม่มีเงินมากขนาดนั้นหรอก”

“ผมรู้”

“คุณรู้?”

“ใช่! ผมรู้” เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ และนั่นก็ทำให้แพรวรุ้งต้องโวยวายขึ้นมา

“คุณรู้แล้วคุณยังจะมารีดเลือดจากปูงั้นเหรอ”

“ใจเย็นสิครับ ผมไม่ใจร้ายขนาดนั้นหรอก เพราะผมมีข้อเสนอมาให้คุณ”

“ข้อเสนออะไร” หญิงสาวถามกลับเสียงหวน ก็ตอนนี้อารมณ์เธอแทบจะปะทุใส่คนตรงหน้าได้ตลอดเวลา

“ผมจะลดหนี้ให้คุณสิบล้านบาท” ต้นกล้าเห็นแพรวรุ้งมองเขาด้วยสายตาจับผิด ไม่ไว้ใจ แต่ไม่ได้พูดหรือถามอะไร เขาจึงพูดต่อ “เพียงแค่คุณแต่งงานกับผม”

“แต่งงาน!” แพรวรุ้งร้องลั่น

“ถ้าคุณแต่งงานกับผม ผมจะยอมลดหนี้ให้คุณทันทีสิบล้านบาท”

“ไม่ คุณบ้าไปแล้ว ฉันไม่ยอมแต่งงานเพื่อล้างหนี้ตามแบบนิยายน้ำเน่าหรอก อีกอย่างน้องชายของฉันไม่ได้ทำผิดแน่ๆ” เธอยังคงยืนยันคำเดิม

“นี่คุณ คุณยอมรับความจริงหน่อยสิ”

“ไม่ และคุณก็ออกไปจากบ้านของฉันได้แล้ว” ตอนนี้อารมณ์ของแพรวรุ้งปะทุจนถึงขีดสุดแล้ว ทำให้ต้นกล้าจำต้องล่าถอย

“โอเค! แต่ผมจะทิ้งรายละเอียดเอกสารทุกอย่างไว้ที่นี่ และอีกสามวันผมจะมาฟังคำตอบของคุณอีกครั้ง” พูดจบชายหนุ่มก็ลุกขึ้นเต็มความสูง ก่อนเดินออกจากบ้านเพียงคนเดียวโดยไร้เงาของเจ้าของบ้านที่ควรเดินออกมาส่งตามมารยาท



เมื่อต้นกล้ากลับไป แพรวรุ้งก็พยายามตั้งสติ กำหนดลมหายใจเข้าออกตามแบบโยคะที่เธอฝึกฝนเป็นสม่ำเสมอ ก่อนหยิบแฟ้มเอกสารต่างๆ ที่ต้นกล้าทิ้งไว้ขึ้นมาอ่าน โดยคราวนี้เธอไล่อ่านทีละตัวอักษร และอ่านทวนซ้ำหลายรอบ พยายามหาช่องโหว่ของเอกสารตรงหน้า ยังไงเธอก็ไม่มีวันเชื่อว่าน้องชายเธอจะทำเรื่องพวกนี้ ก็ถ้าน้องชายเธอยักยอกเงิน โลกนี้คนไม่มีคนหลงเหลืออยู่แล้ว เพราะคนที่รู้จักกับฟ้าฉายทุกคนจะรู้ดีว่าฟ้าฉายเป็นคนที่ซื่อสัตย์ซื่อตรงเป็นไม้บรรทัดขนาดไหน และก็เพราะนิสัยซื่อสัตย์ซื่อตรงของฟ้าฉายนี่แหละที่ทำให้เธอแนะนำให้เขาเรียนต่อทางด้านบัญชี

และแพรวรุ้งก็ต้องถอดแว่นสายตาที่สวมใส่ออกก่อนยกมือขึ้นมานวดคลึงเบ้าตาและนวดขมับตัวเองไปมา เมื่อเธอไม่สามารถหาช่องโหว่หรือข้อผิดพลาดของเอกสารพวกนี้ได้เลย แต่ยังไงซะเธอก็ไม่เชื่ออยู่ดีว่าน้องชายเธอจะทำเรื่องพวกนี้จริง ดังนั้นเธอจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาลองกดโทรหาน้องชายอีกครั้ง ส่วนจะเป็นครั้งที่เท่าไหร่นั้นเธอก็จำไม่ได้แล้ว

เสียงเพลงรอสายที่ได้ยินยังเป็นเพลงเดิม โดยแพรวรุ้งต้องฟังวนหลายรอบจนสุดท้ายก็เข้าสู่ระบบฝากข้อความแบบเดิมเช่นกัน

“ฉาย ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน เธอหายไปแบบนี้พี่เป็นห่วงรู้ไหม พี่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว แต่พี่เชื่อว่าเธอไม่ได้ทำ ถ้าเธอได้รับข้อความนี้ช่วยติดต่อมาหาพี่ทีนะ เราจะได้ช่วยกันหาทางออก” หญิงสาวกรอกเสียงลงไปก่อนวางสายด้วยความหนักใจ

แม้แพรวรุ้งกับฟ้าฉายจะเป็นพี่น้องต่างบิดากัน แต่เธอก็รักฟ้าชายเหมือนน้องชายแท้ๆ โดยหลังจากบิดาของเธอเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง มารดาของเธอก็แต่งงานใหม่ และด้วยความรักที่ยังมีให้กับสามีคนแรก มารดาเธอจึงให้เธอใช้นามสกุลของบิดาเพื่อเป็นการให้เกียรติและระลึกถึงเขา จากนั้นมารดาของเธอก็ให้กำเนิดน้องชายที่น่ารักกับเธอหนึ่งคน ซึ่งก็คือฟ้าฉาย

โดยแพรวรุ้งกับฟ้าฉายมีอายุห่างกับกันถึงห้าปี แต่ความห่างของอายุก็ไม่ได้ทำให้เธอกับน้องชายห่างกันตามไปด้วย ยกเว้นช่วงหลายเดือนมานี้ คงเป็นเพราะเธอและฟ้าฉายเกิดมาในครอบครัวที่อบอุ่น บิดามารดารักใคร่และที่สำคัญก็คือทั้งคู่ไม่เคยแสดงออกให้เห็นว่ารักใครมากกว่ากัน พวกท่านเลี้ยงลูกด้วยเหตุผลและให้ความรักแก่ลูกๆ เท่าๆ กัน

และเมื่อบิดามารดาของเธอเสียชีวิตมันก็ยิ่งทำให้เธอกับฟ้าฉายรักกันมากขึ้น เพราะเหลือกันอยู่แค่สองคนพี่น้อง จนมาเมื่อฟ้าฉายได้ทำงานที่บริษัทของต้นกล้านั่นแหละ ฟ้าฉายก็ขอไปเช่าอพาทเม้นท์ใกล้บริษัท เพื่อจะได้สะดวกในการเดินทาง โดยตลอดช่วงที่อยู่ห่างกันเธอก็ใช้โทรศัพท์หรืออินเตอร์เนตติดต่อมาโดยตลอด

แพรวรุ้งนั่งจมอยู่ในความคิดสักพักเธอก็รีบสวมแว่นตาที่ถอดไว้แล้ววิ่งไปหยิบสมุดบัญชีธนาคารรวมถึงทรัพย์สินเครื่องประดับที่มีออกมาวางรวมบนโต๊ะ มือบางไล่เปิดสมุดบัญชีทีละบัญชี

“เงินสดทั้งหมดมีอยู่ห้าหมื่น” ว่าแล้วเธอก็จดยอดเงินทั้งหมดที่มีลงบนกระดาษ ก่อนหยิบแหวนหนึ่งวงกับสร้อยคอทองคำเส้นเล็กๆ สองเส้นที่มีมาคำนวณราคาคร่าวๆ “ถ้าเอาไปขายน่าจะได้อีกสักห้าหมื่น ถ้ารวมรถด้วยก็น่าจะประมาณสามแสนกว่า”

สุดท้ายเมื่อแพรวรุ้งก็สามารถรวบรวมเงินได้ประมาณสี่แสนบาท

“เฮ้อ ขาดอีกตั้งสิบเก้าล้านหกแสน แล้วนี่จะไปหาเงินจากไหนเนี่ย” หญิงสาวบอกอย่างกลุ้มใจ พยายามหาทางออกของปัญหาที่กำลังพบเจอ

‘เอ๊ะ หรือว่าจะไปขอผ่อนกับอีตานั่นดี’

พอคิดขึ้นมาแบบนี้เธอก็รู้สึกท้อแท้ขึ้นมาทันที ก็ถ้าเขายอมให้เธอผ่อนจ่ายซึ่งมันคงจะเป็นเรื่องยาก และถ้าสมมุติว่าเขายอมจริงๆ เธอคงต้องผ่อนกันจนแก่ เผลอๆ อาจตายก่อนผ่อนหมดแน่ๆ ก็จากที่คำนวณคร่าวๆ เมื่อกี้ เงินเดือนอาจารย์มหาวิทยาลัยบวกกับเป็นอาจารย์พิเศษโรงเรียนมัธยมรวมกันโดยที่ยังไม่ได้หักภาษียังต้องใช้เวลาเป็นสิบๆ ปีกว่าจะถึงจะใช้หนี้หมด

แพรวรุ้งเหลือบมองแฟ้มอีกแฟ้มที่วางอยู่บนโต๊ะ ก่อนความโกรธที่ดับลงไปแล้วคุกรุ่นขึ้นมาอีกครั้ง

“แต่งงานงั้นเหรอ? อีตานั่นต้องบ้าแล้วแน่ๆ” หญิงสาวเบ้ปากบ่นพึมพำถึงชายหนุ่มที่ยื่นข้อเสนอนี้ แล้วเบนหน้าหนีแฟ้มนั้นดุจมันเป็นเชื้อโรคน่าขยะแขยง แต่เบนหน้าไปได้ครู่เดียว เธอก็หันกลับมามองมันอีกครั้ง สุดหน้าเธอก็ต้องหยิบมันขึ้นมาเปิดอ่านเอกสารข้างในด้วยความอยากรู้ว่าสิ่งที่ต้นกล้าเสนอให้เธอมันจะบ้าบอขนาดไหน

“การแต่งงานครั้งนี้เป็นการแต่งงานทางนิตินัย โดยฝ่ายลูกหนี้จะได้รับการปลดหนี้ทันทีสิบล้านบาท และเมื่อแต่งงานครบห้าปี หนี้สินที่เหลืออยู่อีกสิบล้านบาทก็จะถูกยกเลิกทันที ทั้งนี้ระหว่างที่อยู่ในการแต่งงานลูกหนี้จะต้องดูแลบุตรชายของเจ้าหนี้ และกีดกันผู้หญิงทุกคนที่เข้ามาชีวิตของเจ้าหนี้...”

เมื่ออ่านข้อเสนอของต้นกล้าจบ จิตใจของแพรวรุ้งก็เริ่มสับสน กำแพงที่ตั้งขึ้นมาในตอนแรกเริ่มสั่นคลอน เพราะข้อเสนอของเขามันน่าสนใจไม่เบา แต่พอนึกถึงศักดิ์ศรีและความฝันของผู้หญิงทุกคนที่อยากจะแต่งงานกับคนที่รักมันก็ทำให้เธอเกิดทางแยกสองทางในใจ

ทางแรก...รับข้อเสนอ ทุกอย่างจะได้จบ

ทางที่สอง...ไม่ยอมรับข้อเสนอ สู้ให้ถึงที่สุด

สุดท้ายเธอควรจะเดินไปทางไหนดี...



สามวันผ่านไป...

ต้นกล้าตื่นแต่เช้าเตรียมตัวไปทำงานตามปกติ โดยระหว่างนั่งรถไปทำงานเขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือมาเปิดดูตารางงาน ซึ่งก็พบว่าวันนี้เป็นวันที่เขาต้องไปฟังคำตอบของแพรวรุ้ง อันที่จริงเขาไม่ต้องดูเขาก็จำได้ว่าวันนี้เป็นวันครบกำหนดที่แพรวรุ้งต้องให้คำตอบว่าเธอจะยอมแต่งงานกับเขาหรือเปล่า

ชายหนุ่มมั่นใจว่าแพรวรุ้งต้องตอบ ‘ตกลง’ แน่ๆ หรือถ้าเธอเกิดตอบ ‘ไม่ตกลง’ เขาก็จะทำให้เธอตอบ ‘ตกลง’ อยู่ดี เพราะเขาจะไม่ยอมเสียเวลาไปหาผู้หญิงคนใหม่ และอีกอย่างแพรวรุ้งก็เป็นผู้หญิงที่เหมาะที่จะมาเป็นเมียจำเป็นของเขามากที่สุดในตอนนี้

ด้านแพรวรุ้ง...ตลอดเวลาสามวันที่ผ่านมานั้น ในหัวมีแต่ครุ่นคิดถึงแต่ข้อเสนอของต้นกล้า และพยายามหาทางออกของเรื่องนี้ แต่จนถึง ณ. ตอนนี้จิตใจเธอก็ยังคงลังเล ไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าเธอจะเลือกทางไหนดีเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ลึกๆ แล้วใจเธอก็เริ่มเอียงไปทาง

ทางเลือกแรก...รับข้อเสนอ ทุกอย่างจะได้จบ

เพราะจากวันที่เธอรู้เรื่องฟ้าฉายจากต้นกล้า เธอก็ยังไม่สามารถติดต่อฟ้าฉายได้เลย อีกอย่างเธอก็ไม่มีปัญญาไปหาเงินยี่สิบล้านมาคืนให้เขา หรือถ้าต่อสู้ทางกฎหมาย เธออาจจะต้องเสียค่าขึ้นศาล เสียค่าทนายจนเผลอๆ อาจต้องเป็นหนี้มากขึ้นด้วยซ้ำ ก็เอกสารที่เขาให้เธอดูนั้นมันเป็นหลักฐานที่ใช้มัดตัวฟ้าฉายได้เป็นอย่างดี จนยากที่เธอจะเป็นฝ่ายชนะคดี

ตกเย็น...ต้นกล้าก็ให้จักรกฤษขับรถไปยังบ้านของแพรวรุ้ง โดยเขาติดสัญญาที่ระบุข้อตกลงต่างๆ เรียบร้อยเตรียมพร้อมให้หญิงสาวเซ็นชื่อลงในนั้นได้ทันทีที่เธอพูดออกมาว่า ‘ตกลง’

และรถเบนซ์อีคลาสสีบรอนส์คันหรูของต้นกล้า ก็เคลื่อนมาจอดหน้าบ้านหลังเดิมในเวลาใกล้เคียงกับสามวันก่อน แต่ต่างกันที่วันนี้แพรวรุ้งเดินออกมาเปิดประตูให้ชายหนุ่มเข้ามาในบ้านโดยที่เขาไม่ต้องกดกริ่งเรียก ซึ่งการกระทำของเธอนั้นก็ทำให้ต้นกล้าต้องอมยิ้ม เพราะดูแล้วเขาคงไม่ต้องเหนื่อยที่จะทำให้เธอยอมรับข้อตกลงของเขา

“สวัสดีครับ คุณแพรวรุ้ง”

“สวัสดีค่ะ คุณต้นกล้า” เธอทักกลับเสียงแข็งก่อนเดินกระแทกกระทั้นเดินนำเข้าไปบ้าน

ต้นกล้าเดินตามหญิงสาวเจ้าของบ้านเข้าไปในบ้าน ชายหนุ่มนั่งบนโซฟาหนังสีครีมโดยไม่รอให้เธอเอ่ยปากอนุญาต

“เรื่องนั้น คุณตัดสินใจว่ายังไง”

“และคุณคิดว่าฉันจะตอบคุณว่าอย่างไร” แพรวรุ้งไม่ตอบแต่ย้อนถามกลับไป

“คุณก็ต้องตอบตกลงอยู่แล้วสิ”

“ถ้าฉันไม่ตกลงล่ะ”

“อืม” ต้นกล้าแกล้งทำท่าครุ่นคิด ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมคงต้องแจ้งตำรวจ และส่งเรื่องฟ้องศาลเรียกร้องค่าเสียหาย จากนั้นผมก็จะส่งเรื่องพวกนี้ไปให้บริษัทต่างๆ แล้วทีนี้คนที่จบด็อกเตอร์อย่างคุณก็น่าจะรู้นะว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป”

“สรุปฉันไม่มีทางเลือกอื่นเลยงั้นสิ”

ชายหนุ่มยักไหล่ จึงทำให้แพรวรุ้งมองด้วยสายตาหมั่นไส้

“ผมคิดว่าคงเป็นแบบนั้น แล้วนี่คุณตอบตกลงใช่ไหม”

แพรวรุ้งพยักหน้าแทนคำตอบ

“เอาล่ะถ้าคุณตกลง ก็เซ็นชื่อลงในใบสัญญานี้ซะ” ว่าแล้วต้นกล้าก็ยื่นแฟ้มเอกสารที่เตรียมมาส่งให้หญิงสาวเจ้าของบ้าน

แพรวรุ้งรับแฟ้มเอกสารมาก็ทำการอ่านข้อความในนั้น ก่อนอ่านออกเสียงตรงข้อความสำคัญเพื่อความชัดเจนว่าเธอกับเขาเข้าใจตรงกัน

“การแต่งงานครั้งนี้เป็นการแต่งงานทางนิตินัย ก็คือเราแต่งงานกันในนามใช่ไหมคะ”

“ใช่ครับ”

“โดยฝ่ายลูกหนี้จะได้รับการปลดหนี้ทันทีสิบล้านบาท และเมื่อแต่งงานครบห้าปี หนี้สินที่เหลืออยู่อีกสิบล้านบาทก็จะถูกยกเลิกทันที สรุปก็คือ ถ้าฉันแต่งงานกับคุณครบห้าปีหนี้สินยี่สิบล้านบาทนี้จะหมดสิ้น”

“ใช่ครับ”

“และน้องชายฉันล่ะคะ จะไม่ถูกดำเนินคดีทางกฎหมายด้วยใช่ไหมคะ”

คำถามของหญิงสาว ทำให้ชายหนุ่มต้องนิ่งอึ้ง เพราะเขาไม่เคยคิดจะปล่อยให้คนทำผิดซึ่งก็คือน้องชายของเธอลอยนวลง่ายๆ แต่ถ้าเขาบอกความคิดของเขากับเธอตอนนี้ เธอต้องปฏิเสธการแต่งงานกับเขาแน่ ซึ่งเขาจะไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้นเด็ดขาด ดังนั้นเขาจึงจำต้องพยักหน้ารับ

แพรวรุ้งเห็นแบบนั้นก็ยิ้มกว้างทันที ก่อนพูดต่อ “ทั้งนี้ระหว่างที่อยู่ในการแต่งงาน ลูกหนี้จะต้องดูแลบุตรชายของเจ้าหนี้...ดูแลลูกชายคุณ ฉันต้องดูแลเรื่องอะไรบ้างคะ”

“ก็ทุกอย่างที่พวกคนเป็นแม่เขาทำกัน”

“แล้วที่คนเป็นแม่เขาทำกันน่ะ เขาทำอะไรกันบ้างล่ะคะ”

“อะไรกันคุณ เป็นถึงด็อกเตอร์ทำไมไม่รู้เรื่องพวกนี้”

และคำพูดของชายหนุ่มก็ทำให้หญิงสาวต้องมองค้อน

“นี่คุณ ฉันจบด้านวิทยาศาสตร์นะ ไม่ได้จบครุศาสตร์ และที่สำคัญฉันก็ไม่เคยเป็นแม่...ว่าแต่ตอนนี้ลูกชายคุณอายุเท่าไหร่แล้ว”

“หกขวบ”

“ค่ะ” แพรวรุ้งพยักหน้ารับรู้ก่อนเอ่ยถามข้อที่เธอข้องใจมากที่สุด “แล้วที่กีดกันผู้หญิงทุกคนที่เข้ามาชีวิตของเจ้าหนี้ มันหมายความว่าอย่างไรคะ”

“ก็หมายความว่า คุณต้องคอยไล่พวกผู้หญิงที่มาเกาะแกะผมไง”

“ดูท่าคุณคงเป็นพ่อม่ายเรือพ่วงที่เนื้อหอมมากล่ะสิ” หญิงสาวบอกอย่างหมั่นไส้ที่ชายหนุ่มตรงหน้าพูดออกมาโดยไร้ความเขินอาย

“เอาล่ะ คุณเซ็นชื่อได้แล้ว” ต้นกล้าตัดบทแล้วยื่นปากกาให้เธอ

แพรวรุ้งมองกระดาษตรงหน้าก็นั่งนิ่ง และเริ่มรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก

“ขอฉันทำใจอีกหน่อยได้ไหม”

“เซ็นๆ ไปเถอะคุณ ทุกอย่างจะได้ง่ายขึ้น คิดซะว่านี่เป็นการซ้อมจดทะเบียนก่อนวันจริงละกัน” ต้นกล้าบอกติดตลก หมายจะผ่อนคลายความตึงเครียดของเธอ แต่ผลที่ได้กลับตรงข้าม

“ซ้อม! คุณพูดว่าซ้อมงั้นเหรอ ไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากซ้อมจดทะเบียนหรอก ทุกคนอยากจรดปากกาลงบนทะเบียนสมรสครั้งเดียวเท่านั้น คุณไม่รู้หรือไงว่าเรื่องที่เกี่ยวกับการแต่งงานมันเป็นเรื่องสำคัญของลูกผู้หญิงมากแค่ไหนน่ะ แล้วดูฉันสิ แค่การถูกขอแต่งงานอย่างคนอื่นก็ยังไม่มี” แพรวรุ้งแว้ดสั่นที

“เฮ้อ ผู้หญิงนี่ล่ะนะ ทะเบียนสมรสมันก็กระดาษแผ่นหนึ่งที่มีผลทางกฎหมายเท่านั้น ส่วนการแต่งงานมันก็เป็นเพียงแค่การป่าวประกาศให้ชาวบ้านรับรู้นั่นแหละ แต่ทั้งสองอย่างนี้มันไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันเลยว่าชีวิตคู่ต่อไปจะมีความสุข หรือจะรักแล้วอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า”

“คุณนี่ ไม่โรแมนติดเอาซะเลย...มา เอามา ฉันจะเซ็นแล้ว”

และเมื่อแพรวรุ้งเซ็นชื่อในสัญญา เสร็จเรียบร้อย ต้นกล้าก็เซ็นในส่วนของเขา ก่อนพูดขึ้นมา “เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะมารับคุณไปกินข้าวที่บ้านผมนะ คุณจะได้ไปรู้จักคนในครอบครัวผม”

“อะไรนะคะ กินข้าวที่บ้านคุณ” หญิงสาวร้องขึ้นมาอย่างตกใจ

“ใช่สิ เราจะแต่งงานกัน ผมก็ต้องพาคุณไปทำความรู้จักกับครอบครัวผม”

“แล้วครอบครัวคุณจะไม่ตกใจเหรอคะ ที่อยู่ๆ คุณพาฉันไปน่ะ”

“ก็คงแปลกใจนิดหน่อย ว่าแต่ตอนนี้คุณมีอะไรให้ผมกินบ้างไหม ตั้งแต่เที่ยงผมยังไม่ได้กินอะไรเลย” ต้นกล้าพูดขึ้นมาหลังจากทนฟังเสียงท้องตัวเองร้องมานานหลายชั่วโมง

แพรวรุ้งมองหน้าชายหนุ่มเล็กก่อนอมยิ้ม ที่อยู่ๆ เขายอมเสียฟอร์มเอ่ยปากมาขอข้าวเธอกิน

“เดี๋ยวฉันไปทำข้าวผัดให้ละกัน”

“ขอบคุณครับ” ว่าแล้วชายหนุ่มก็เดินตามหญิงสาวเข้าไปในครัวอย่างมีความสุข



ตอนบ่ายของวันต่อมา...

แพรวรุ้งนั่งอยู่ในรถเบนซ์อีคลาสสีบรอนส์คันหรูของต้นกล้าด้วยความกังวลและตื่นเต้นที่มีมาตั้งแต่เช้า อันที่จริงต้องเรียกว่ามีมาตั้งแต่รู้ว่าต้องมาพบครอบครัวของต้นกล้าต่างหาก จึงทำให้ตลอดเช้าเธอไม่ค่อยมีสมาธิในการสอนนิสิตเท่าที่ควร ถึงแม้วันนี้เธอจะมีสอนแค่คลาสเดียวก็ตาม ซึ่งพลอยทำให้เธอรู้สึกผิดต่อจรรยาบรรณอาจารย์ไปด้วย

“แม่คุณดุไหมคะ” หญิงสาวตัดสินใจหันไปถามชายหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านข้างที่กำลังสนใจโทรศัพท์มือถือของตัวเองอยู่

“ไม่ดุ”

“ลูกชายคุณดื้อไหมคะ”

“ไม่ดื้อ”

“น้องชายคุณใจดีไหมคะ”

“ใจดี”

“แล้วน้องสะใภ้คุณ...” แพรวรุ้งพูดไม่ทันจบ ต้นกล้าก็พูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“แพรวรุ้ง...คุณไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น ครอบครัวของผมเป็นคนดี อัธยาศัยดี ผมรับรองว่าพวกเขาจะไม่สร้างความอึดอัดให้กับคุณแน่นอน”

แม้คำพูดของชายหนุ่มจะทำให้หญิงสาวรู้สึกดีขึ้น แต่ภายในใจมันก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้อยู่ดี ก็ตั้งแต่เกิดมาเธอเคยต้องไปแนะนำตัวกับญาติผู้ใหญ่ของใครกันซะที่ไหนล่ะ แถมการไปแนะนำตัวครั้งนี้ยังไปในนามว่าที่ภรรยาหลอกๆ ซะอีก

“และถ้าพวกครอบครัวคุณถามเรื่องของเราล่ะคะ แล้วฉันจะตอบอย่างไรดี”

ต้นกล้าเก็บโทรศัพท์มือถือลงไปในเสื้อสูท แล้วหันไปมองคนถามที่ตอนนี้ใบหน้านวลที่ประดับด้วยแว่นสายตาของเธอซีดจนเห็นได้ชัด สองมือของเธอที่วางอยู่บนตักก็กุมบีบกันแน่นจนเห็นเส้นเลือดที่หลังมือ ชายหนุ่มอดรู้สึกเห็นใจหญิงสาวไม่ได้ แต่เขาก็ไม่รู้จะแสดงออกอย่างไรนอกจากหาคำพูดพูดให้เธอสบายใจมากขึ้น

“ถ้าเป็นเรื่องนั้นคุณไม่ต้องห่วง หรือเป็นกังวล คุณแค่เออออไปตามผมก็พอ ที่เหลือผมจะจัดการเอง”

“ค่ะ” แพรวรุ้งรับคำก่อนรู้สึกสบายใจขึ้นมาอีกสิบเปอร์เซ็นต์ แต่พอบวกลบคูณหารความรู้สึกทั้งหมดแล้ว เธอก็มีความสบายใจเพียงแค่แปดสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น อีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์ที่เหลือมันก็ยังคงปะปนไปด้วยความกลัวความกังวลที่วิ่งวนเหมือนอิเล็กตรอนที่วิ่งรอบนิวเคลียสอะตอม

“คุณรู้ไหมคะว่า ทางหลวงสายแรกของไทยสร้างสมัยใครเป็นนายกรัฐมนตรี” หญิงสาวถามออกมาหมายจะเล่นถามตอบปัญหากับต้นกล้าเพื่อเบี่ยงเบนความกลัว ความกังวลที่มีอยู่ในใจ

“สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ครับ...แล้วถนนสายแรกในเมืองไทย คือ ถนนอะไรคุณรู้รึเปล่า” ต้นกล้าถามกลับเหมือนเคย

“ถนนเจริญกรุง ค่ะ สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4...แล้วรถล่ะคะ รถยนต์คันแรกที่ประกอบโดยคนไทย คือ รถยนต์คันใด”

“รถเลื่อนคาร์ ออกแบบและประดิษฐ์โดยนายเลื่อน พงษ์โสภน ครับ งั้น...ทางหลวงแผ่นดิน สายประธานที่ยาวที่สุดในประเทศไทย คือสายใดครับ”

“สายใต้ ถนนเพชรเกษม ค่ะ...และทางรถไฟสายที่ยาวที่สุดของประเทศไทยล่ะคะ”

“ก็สายใต้เช่นกันครับ แล้วคุณรู้ไหมว่า...”

จากนั้นสองหนุ่มสาวก็ผลัดกันถามตอบปัญหา ไปตลอดเส้นทางที่เหลือ จนเวลาผ่านไปประมาณสิบห้านาที...รถเบนซ์อีคลาสสีบรอนส์คันหรูของต้นกล้าก็จอดนิ่งด้านหน้าประตูอัลลอยด์ ซึ่งนั่นก็เป็นสัญญาณส่งให้แพรวรุ้งรู้ว่าเธอถูกพามาถึงที่หมายแล้ว ความกลัว ความกังวลที่ถูกเบี่ยงเบนไปก็กรูกลับเข้ามาประจำที่ตามเดิม

และเมื่อรถเคลื่อนผ่านประตูรั้ว และคฤหาสน์ทรงยุโรปหลังงามปรากฏแก่สายตา แพรวรุ้งก็แทบอยากจะเป็นลมทันที

ใช่...เธอรู้ว่าเขารวย แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะรวยขนาดมีบ้านหลังใหญ่โตแบบนี้

“นี่บ้านของคุณเหรอคะ” หญิงสาวถามออกไปอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

“ครับ” ต้นกล้ายิ้มตอบก่อนลงจากรถแล้วเดินอ้อมไปเปิดประตูรถฝั่งแพรวรุ้งที่เหมือนตอนนี้ยังตกตะลึงกับความใหญ่โตของบ้านของเขาอยู่ “ยินดีต้อนรับสู่บ้านของผมครับ”

แพรวรุ้งสูดหายใจเข้าเต็มปอด แล้วถึงยอมลงจากรถ จัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ จากนั้นก็พยักหน้าให้ต้นกล้า

“คุณพร้อมแล้วนะ” ชายหนุ่มเอ่ยถาม

“ค่ะ ฉันพร้อมแล้ว”

และเมื่อต้นกล้าพาแพรวรุ้งเข้ามาในตัวคฤหาสน์ที่ต้นกล้าเรียกว่า ‘บ้าน’ แพรวรุ้งก็รู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กลีบลงทันที เพราะเธอกำลังถูกกลบด้วยความหรูหราและใหญ่โตของคฤหาสน์หลังนี้



TonChor
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 ต.ค. 2555, 16:58:10 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 ต.ค. 2555, 16:58:10 น.

จำนวนการเข้าชม : 3029





<< ใช้หนี้(รัก)งวดที่ 3   ใช้หนี้(รัก)งวดที่ 5 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account