ภิรมย์รัก
กุลสตรี!
รุจิรดาแอบเบ้ปากด้วยความเบื่อหน่ายปนขุ่นเคือง
หากนับว่าการที่เธอยื่นมือออกไปช่วยเหลือน้องสาวของ หม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์ นั้นไม่เป็นกุลสตรี
หญิงสาวก็ยอมรับตามความจริง
แต่เมื่อคนที่ชี้ความจริงข้อนี้ให้เธอรู้เป็นพี่ชายของคนที่เธอช่วยเอาไว้
หญิงสาวจึงรู้สึกเหมือนตนกำลังทำคุณบูชาโทษ
ต่อแต่นี้ไปก็อย่าได้มาเจอะมาเจอกันอีกเลยเป็นดีที่สุด!
หากภาวนาไปไม่พ้นสามวัน
คนที่เธอไม่อยากพบเจออีกในชาตินี้ กลับมาเป็นอาจารย์ของเธอเอง
คราวนี้คงต้องฟังแลกเชอร์ว่าด้วย “ความเป็นกุลสตรี” เสียจนหูชาแน่ๆ
เธอต้องหาทางหนีสถานเดียว!
แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร...
ยิ่งพยายามหนีให้ไกลจากดวงตาสีดำคูคมนั้นเท่าไหร่
กลับยิ่งเหมือนอีกฝ่ายจะไล่ตามมาไม่ปล่อยเสียอย่างนั้น!
รุจิรดาแอบเบ้ปากด้วยความเบื่อหน่ายปนขุ่นเคือง
หากนับว่าการที่เธอยื่นมือออกไปช่วยเหลือน้องสาวของ หม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์ นั้นไม่เป็นกุลสตรี
หญิงสาวก็ยอมรับตามความจริง
แต่เมื่อคนที่ชี้ความจริงข้อนี้ให้เธอรู้เป็นพี่ชายของคนที่เธอช่วยเอาไว้
หญิงสาวจึงรู้สึกเหมือนตนกำลังทำคุณบูชาโทษ
ต่อแต่นี้ไปก็อย่าได้มาเจอะมาเจอกันอีกเลยเป็นดีที่สุด!
หากภาวนาไปไม่พ้นสามวัน
คนที่เธอไม่อยากพบเจออีกในชาตินี้ กลับมาเป็นอาจารย์ของเธอเอง
คราวนี้คงต้องฟังแลกเชอร์ว่าด้วย “ความเป็นกุลสตรี” เสียจนหูชาแน่ๆ
เธอต้องหาทางหนีสถานเดียว!
แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร...
ยิ่งพยายามหนีให้ไกลจากดวงตาสีดำคูคมนั้นเท่าไหร่
กลับยิ่งเหมือนอีกฝ่ายจะไล่ตามมาไม่ปล่อยเสียอย่างนั้น!
Tags: ย้อนยุค,ศิษย์,อาจารย์,ท่านชาย,ท่านหญิง,ความรัก,พีเรียด
ตอน: บทที่ 1 [2/1]
ปลายฤดูฝน 3 ปีต่อมา
ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงปืนที่ดังก้องไปทั้งตึกไม่ได้ทำให้ใครตื่นตกใจ แม้แต่หม่อมราชวงศ์ลักขณาวดี ที่กำลังเอนกายอ่านหนังสืออยู่บนตั่งก็เพียงแต่เหลียวมองออกไปนอกหน้าต่างที่ติดกับสนามด้านหลัง แล้วเปรยเบาๆ
“เอาอีกแล้วหรือ...”
“คุณหญิงจะให้อิฉันไปบอกคุณหนูให้หยุดซ้อมยิงปืนไหมเจ้าคะ?”
“ไม่ต้องหรอกแม่สาย ปล่อยเขาไปเถิด”
“แต่...” เสียงปังสนั่นอีกนัดทำให้แม่สายสะดุ้งจนหยุดคำพูดไปครู่ “...พวกบ่าวผู้หญิงคนอื่นๆ พากันตกใจหมดแล้วน่ะสิเจ้าคะ”
มรว.ลักขณาวดีแย้มริมฝีปากนิดๆ “นี่ตั้งสามปีมาแล้วนะที่รดามาอยู่ที่นี่ ยังไม่ชินกันอีกหรือ”
“คงทำใจให้ชินได้ยากล่ะเจ้าค่ะ” คนพูดตวัดสายตาค้อนนิดๆ ทั้งๆ ที่คนถูกค้อนไม่ได้อยู่ตรงนั้น “คุณหนูเธอ... โลดโผนโจนทะยานเสียจนคนแก่อย่างอิฉันทำใจไม่ได้เสียที เกิดมาไม่เคยพบไม่เคยเห็น” ไม่พูดเปล่า ยังเอามือทาบอกเพื่อแสดงให้เห็นว่าเจ้าตัวนั้น ‘ทำใจไม่ได้’ จริงๆ
ร่างเล็กบางที่ยังคงความงามพริ้มเพราหัวเราะเสียงระเรื่อย “ช่วยไม่ได้นะแม่สาย ผู้หญิงเราเริ่มจะได้ทำอะไรๆ แบบผู้ชายแล้ว อีกหน่อยอย่างยายรดา... เขาคงมุ่งทำราชการนั่นแหละ”
“โอ้ยตายจะเป็นลม! มีอย่างที่ไหนกันเจ้าคะผู้หญิงยิงเรือทำราชการ งานหลวงจะล่มเสียเปล่าๆ”
“อย่าดูถูกความสามารถของผู้หญิงสมัยนี้หน่อยเลยแม่สาย” มรว.ลักขณาวดีพูดเสียงนุ่ม “เขาได้ร่ำได้เรียนเท่าเทียมชาย สมัยฉันสมัยแม่สายน่ะไม่ได้มีโอกาสอย่างเขาหรอก ยุคสมัยมันเปลี่ยนไป เขาก็ต้องพึ่งตัวเองให้มากขึ้น”
“อิฉันไม่เห็นหนทางเลยเจ้าค่ะ” แม่สายยังรำพึงต่อตามความเชื่อของตน “เรื่องร่ำเรียนก็เหมือนกัน ไม่ใช่ไม่อยากให้คุณหนูเรียนนะเจ้าคะ แต่อิฉันไม่เข้าใจว่าเป็นหญิง จะเรียนไปทำไมให้มาก อีกหน่อยก็มีผัว อุ้ย! สามี จะชั่วดีก็สุดแท้แต่ภัสดาทั้งนั้น”
“อ้าว! แม่สายไม่รู้ดอกหรือ” คราวนี้คนที่เอนตัวนอนอยู่หัวเราะออกมาจริงๆ “รดาเขามากระซิบบอกฉันว่า เขาจะไม่แต่งงาน”
“โถ... หากคุณหนูยังทำตัวแก่นกล้าขนาดนี้ ต่อให้อยากแต่งงานก็คงไม่มีใครอยากแต่งด้วยล่ะเจ้าค่ะ”
“แหม! รู้ใจรดาที่สุดเลยแม่สายเนี่ย”
น้ำเสียงสดใสพูดปนกลั้วหัวเราะ เมื่อมองเห็นใบหน้าตูมๆ ของแม่บ้านคนเก่าแก่ที่ตวัดค้อนมาทางตนก่อนจะเทศนาราวกับรอท่าอยู่แล้ว
“คุณหนูรดาควรจะเลิกได้แล้วไอ้เรื่องฝึกยิงปืนผาหน้าไม้เนี่ย เกิดพลาดพลั้งมามันระเบิดใส่หน้าใส่มือจะแย่เอานาเจ้าคะ อีกอย่างเสียงมันดังรบกวนคุณหญิงนะเจ้าคะ”
“รดาก็อุตส่าห์ไปยิงตั้งไกลแล้วนา ยังได้ยินอยู่อีกหรือคะคุณหญิงป้า” ร่างโปร่งบางทรุดลงนั่งกับพื้นพลางเอาคางมนเกยกับตักของผู้เป็นป้า “รดาขอโทษค่ะ”
มรว.ลักขณาวดียิ้มกว้างให้หลานสาวแท้ๆ ก่อนเอ่ย “ขอโทษป้าเรื่องอะไร ก็คุณลุงเป็นคนบอกว่าจะสอนหลานเองเลยมิใช่หรือ? ตั้งใจฝึกอย่างที่คุณลุงสอนเถิด”
“อะไรนะเจ้าคะ! คุณชายน่ะหรือให้คุณหนูรดาฝึกยิงปืน”
“รดาได้หัดขี่ม้าด้วยนะ บางทีคุณชายก็พาไปขี่ม้าที่สโมสร ตอนนี้ขี่ได้คล่องเทียวล่ะ”
“โอย... คนแก่จะเป็นลม ทำไมถึงอุตริได้ขนาดนี้เจ้าคะคุณหนู คุณชายก็กระไร คุณหนูไม่ได้เป็นผู้ชายเสียหน่อย”
ร่างบางที่กึ่งเอนบนตั่งละความสนใจจากแม่บ้าน หากหันมาซักถามหลานสาว “ว่าแต่วันมะรืนก็เปิดเรียนแล้วนี่ เตรียมตัวพร้อมหรือยัง”
“รดาอยากไปมหาวิทยาลัยแทบแย่แล้วค่ะ เทอมสุดท้ายแล้ว เรียนจบจะได้ทำงานหาเงินเสียที”
“โธ่ วัยขนาดนี้แล้วควรจะมองหาคู่ครองที่สมควรมากกว่า...” แม่สายยังยืนกรานความคิดเห็นของตนเองเต็มที่
“แม่สายจ๋า ฟังรดาซักน้อยหนึ่งเถิด” หญิงสาวหันมาสบตาคุณแม่บ้านก่อนเอ่ย “ที่แม่สายพูดมานั้นเป็นเรื่องที่คนทั่วไปเขาทำกัน แต่ว่านะแม่สาย หากรดาไม่มีความรู้ติดตัว ไม่มีอาชีพไม่มีเงิน พอแต่งงานไป... ซึ่งรดาบอกเลยว่าไม่อยากแต่งหรอกนะ... แต่ถ้าแต่งงานไป อยู่ๆ กันไปแล้วเกิดคนที่เป็นผัว เอ้ย! สามีรดาเขาเกิดเบื่อหน่ายทิ้งขว้าง หรือเอาหญิงอื่นเข้ามาแทนที่ หย่าร้างเราเสีย แล้วเราที่เคยแต่พึ่งผัว เอ้ย! สามีจะอยู่ต่อไปอย่างไรล่ะจ๊ะ”
แม่สายนิ่งฟัง หากแววตาบ่งบอกว่ายังไม่เห็นด้วยนัก
“ไหนจะลูกเต้าอีกล่ะ หากเกิดมีขึ้นมาแล้วเลิกกับสามี เขาไม่รับผิดชอบ ไม่ส่งเสียเลี้ยงดู แม่สายว่าเราจะเอากำลังอะไรมาเลี้ยงดูลูก ลำพังตัวเองน่ะคงไม่เท่าใดดอก แต่ลูกเรา... เราก็อยากให้เขาอยู่ดีมีสุขไม่ใช่หรือ”
“เข้าทำนอง ‘มีวิชาเหมือนมีทรัพย์อยู่นับแสน’ สินะเจ้าคะ”
“นั่นแหละจ้ะ”
“แล้ว...” แม่สายเว้นจังหวะพูดนิดหนึ่ง ก่อนเอ่ยถามกึ่งอยากรู้กึ่งประชด “แล้วไอ้ขี่ม้ายิงปืน โลดโผนโจนทะยานไปวันๆ นี่เกี่ยวอะไรกับอนาคตหรือเปล่าเจ้าคะ หรือแค่เล่นสนุกไปวันหนึ่งๆ”
มรว.ลักขณาวดีหัวเราะเบาๆ ขณะมองใบหน้ามุ่ยของหลานสาวที่พยายามคิดหาคำตอบ “ว่าไงแม่คนเจ้าเหตุผล ไม่ตอบคำถามแม่สายเขาล่ะ”
“แหม... คุณหญิงป้าขา...” ‘แม่คนเจ้าเหตุผล’ ครางเสียงอ่อนอ่อย “อย่าเพิ่งรุมรดาเลย เรื่องนี้รดาก็มีเหตุผลนะ คิดดูสิ เวลาเราไปไหนมาไหนคนเดียว เพียงแค่เป็นผู้หญิงก็เป็นเป้าหมายของคนไม่ดีแล้ว เพราะมันคิดว่าเราอ่อนแอ สู้มันไม่ได้ สมมติว่าเกิดวันดีคืนร้าย รดาไปซื้อของ แล้วโดนโจรปล้น ถ้ารดาไม่รู้จักการป้องกันตัวเอาเสียเลย รดาจะทำยังไงได้ ยืนร้องไห้ให้มันปล้นเสียเท่านั้นสิจริงไหม แต่ถ้าเรารู้การป้องกันตัวเองเสียอย่าง...”
คราวนี้คนพูดไม่เพียงแต่พูด หากยังใส่อารมณ์เข้าไปเต็มที่พร้อมออกท่าออกทางเล็กๆ “รดาจะเตะผ่าหมากมันเสียเลย เอาให้จั๋งๆ ให้หน้าเขียวไปเลย พอผู้ชายโดนเตะตรงนั้นแล้วก็หมดแรง ทำอะไรไม่ได้ เราก็จะได้ฉวยโอกาสนี้วิ่งหนีไปได้ ปลอดภัยสบายแฮเลยเห็นไหม”
“ป้าว่าอย่างเราคงไม่วิ่งหนี แต่น่าจะกระทืบซ้ำเลยมากกว่า” มรว.ลักขณาวดีหัวเราะเสียงดัง ขบขันกับท่าทางนักเลงโตเต็มที่ของหลานสาว แต่แม่สายกลับหน้าซีดพลางอุทาน
“อกอีแป้นจะแตก เป็นสาวเป็นนางทำไมพูดอย่างนั้นล่ะเจ้าคะคุณหนู! ใครกันช่างสอน”
ใบหน้านวลสลดลงวูบ ก่อนจะตอบเสียงเบา “คุณพ่อกับพี่ชายรดาเองจ้ะ”
เงียบกันไปหมดทั้งสามคน มรว.ลักขณาวดีปรายตามองไปที่แม่สาย ก่อนที่คนถูกมองจะขยับตัวเล็กน้อยพลางบอกเบาๆ
“เอ่อ... อิฉันเพิ่งนึกได้ว่าจะต้องไปคุมพวกสาวๆ ในครัวทำเครื่องว่าง คุณหญิงจะรับทานอะไรก่อนไหมเจ้าคะ”
“ไม่ล่ะแม่สาย อ้อ... อย่าลืมกล้วยบวชชีตอนค่ำนะ คุณชายเธอบ่นอยากทานมาหลายวันแล้ว”
“เจ้าค่ะ”
ร่างออกท้วมของคุณแม่บ้านประจำตึกขาวค่อยๆ กระถดถอยออกไปจากห้อง จึงเหลือเพียงป้ากับหลานที่นั่งเงียบๆ กันอยู่สองคน ก่อนที่รุจิรดาจะเงยหน้าขึ้นมายิ้มน้อยๆ ให้กับผู้มีศักดิ์เป็นป้าแล้วถาม
“คุณหญิงป้าไม่อยากให้รดาฝึกหัดเรื่องพวกนี้เหมือนกับแม่สายหรือเปล่าคะ”
“อืม...” ร่างบอบบางของสตรีที่เอนกายบนตั่งขยับตัว ก่อนจะเอื้อมมือมาลูบศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีดำสนิทนุ่มมือเบาๆ ด้วยความเอ็นดู “ในฐานะผู้หญิงเอง... ป้าก็ไม่อยากให้หลานมาทำอะไรโลดโผนแบบนี้หรอกนะรดา แต่ป้าก็เข้าใจเหตุผลของเรา อีกอย่าง...ทั้งพ่อเรา พี่เรา แล้วยังมาคุณชายท่านก็ยังสอนหลานเรื่องนี้ แสดงว่ามันก็ไม่ผิดอะไรที่หลานจะทำ อย่ากังวลไปเลย”
คนนั่งราบกับพื้นยิ้มกว้าง ก่อนจะก้มกราบลงกับตักของผู้สูงวัยกว่าอย่างซาบซึ้ง
“ขอบพระคุณคุณหญิงป้ามากค่ะที่เข้าใจรดา”
“ป้าขออย่างเดียวเท่านั้นล่ะ”
“อะไรคะ”
“เวลาซ้อมยิงปืน ขอให้เข้าไปที่ลึกๆ หน่อยได้ไหม เวลาหลานยิงปืนที... ป้าน่ะไม่เป็นไรดอก แต่แม่สาวๆ พวกนี้ขวัญอ่อนกัน ประเดี๋ยวตอนหยิบจับข้าวของแล้วหลานก็โป้งป้างเข้า พวกนี้จะพาลเป็นนางแหวนแขนอ่อนกันไปเสียหมด อย่างนั้นข้าวของป้าพินาศกันหมดพอดี”
“หลานจะหาที่ฝึกที่ไกลจากตึกนี้หน่อยค่ะคุณหญิงป้า” รุจิรดารับคำน้ำเสียงแข็งขัน “หลานไม่ทราบเลยว่าทำให้คุณหญิงป้าเดือดร้อนถึงเพียงนี้...”
“ป้าก็บอกแล้วอย่างไรเล่าว่าไม่ได้เดือดร้อนดอก เพียงแต่พวกบ่าวทั้งหลายเวลาได้ยินเสียงดังแล้วพาลมือไม้อ่อนเท่านั้นเอง”
มรว.ลักขณาวดีอธิบายเรียบเรื่อย แล้วเอ่ย “ว่าแต่เมื่อไหร่หลานจะเรียกป้าว่าป้าเฉยๆ เสียที บอกแล้วตั้งกี่ครั้งกันว่าให้เรียกว่าป้า ไม่ใช่คุณหญิงป้า”
ใบหน้านวลแอร่มยิ้มเยื้อนหากดวงตาสลดลง “รดาไม่กล้าหรอกค่ะคุณหญิงป้า คุณหญิงป้าเป็นผู้มีพระคุณมากล้น ทั้งยังเป็นผู้มียศศักดิ์ จะให้เรียกเฉยๆ คงไม่ได้ดอกค่ะ”
“อ้าว!” คนมียศศักดิ์แย้งเสียงขัน “แล้วเวลาเราเรียกแม่เราล่ะ เรียกคุณหญิงแม่ด้วยรึเปล่า”
“แหม...ก็แม่บอกให้เรียกว่าแม่เฉยๆ นี่คะ” หญิงสาวลากเสียงยาวพลางอธิบาย หม่อมราชวงศ์รวิสุดานั้นสอนให้หญิงสาวไม่ถือยศศักดิ์ใดๆ ในครอบครัว แต่กลับให้บุตรีเคร่งในมารยาทต่อผู้อื่น แม้แต่ มรว.ลักขณาวดีผู้เป็นพี่สาวแท้ๆ ของมารดา มรว.รวิสุดายังให้ลูกสาวและลูกชายเรียกคุณหญิงป้าจนติดเป็นนิสัย
‘การให้เกียรติคนนั้นเราต้องให้เกียรติเขาโดยเสมอภาคเป็นสำคัญ คำเรียกคำจาก็เป็นสิ่งที่ต้องจำให้แม่น เรียกให้ถูก เพราะบางคนถือยศศักดิ์ยิ่งนัก บางคนก็ไม่เคร่งครัดอันใด แต่เราจะไปมัวเดาว่าคนไหนเคร่งคนไหนไม่เคร่งก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นลูกควรเรียกทุกคนอย่างให้เกียรติ’
‘แล้วทำไมพี่ดนัยกับลูกไม่เรียกแม่ว่าคุณหญิงแม่ล่ะจ๊ะ’
มือบางอ่อนนิ่มลูบศีรษะบุตรีอย่างรักใคร่พลางอธิบาย ‘ระหว่างแม่กับลูกนั้นไม่มีคำว่าเกียรติยศ หรือศักดิ์ศรีใดๆ มีเพียงแม่ของลูก และลูกของแม่เท่านั้น ดังนั้นแม่จึงไม่ต้องการเป็นคุณหญิงแม่ แต่ต้องการเป็นแม่ของลูก’
ริมฝีปากบางเม้มน้อยๆ ยามความคิดหวนไปสู่บทสนทนาในเย็นย่ำของวันหนึ่งเมื่อตอนที่ยังมีครอบครัวครบพ่อแม่ พี่ชาย และเธอ...
“คิดอะไรอยู่รดา หน้าเศร้าเชียว”
“รดา... คิดถึงแม่ค่ะคุณหญิงป้า”
ใบหน้าที่ยังคงความงดงามตามวัยของมรว.ลักขณาวดีหม่นลง “ป้าก็คิดถึงแม่ของหลานอยู่เหมือนกัน เขาเป็นคนดี สวย อ่อนหวานเรียบร้อยเสียจน...” คนพูดยิ้มนิดๆ “...ไม่คิดว่าจะเลี้ยงลูกสาวให้ทโมนได้ขนาดนี้”
“แม่ไม่ได้อยากให้รดาเป็นถึงขนาดนี้หรอกค่ะ”
“งั้นก็พ่อกับพี่ชายเราน่ะสิ” มรว.ลักขณาวดีดักคอ รุจิรดาเพียงแต่ยิ้ม “พ่อเรากับพี่ชายเราน่ะดีนะ อะไรๆ ก็ดีทุกอย่าง แต่สอนลูกออกมา ระวังอย่างที่แม่สายว่าก็แล้วกัน ว่าจะกลายเป็นสาวเทื้อ”
“เทื้อก็ดีสิคะคุณหญิงป้า มีสามีแล้วดีตรงไหน สู้อยู่คนเดียวก็ไม่ได้”
“จ้ะ ป้าจะรอดูว่าเราจะปากดีอย่างนี้ไปได้สักกี่น้ำ” มรว.ลักขณาวดีตวัดสายตาหมั่นไส้ในความมั่นใจของหลานสาวเล็กๆ “จะไปทำอะไรก็ไปทำเถอะ ป้าขออ่านหนังสือต่อก็แล้วกัน อย่างน้อยนางเอกนิยายเขาก็เรียบร้อยมากกว่าเรา”
คนเป็นหลานเพียงแต่ยิ้มกว้าง ก่อนจะกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง
หลังจากอาหารเย็นเสร็จสิ้นลง ต่อด้วยการพูดคุยกับ มรว.ลักขณาวดีและ มรว.ภัทรวัติ ผู้มีศักดิ์เป็นลุงเขยเช่นที่เคยทำเป็นประจำแล้ว รุจิรดาก็กลับมายังห้องของตนเองที่อยู่อีกปีกหนึ่งของตึกขาว
แทนที่เธอจะนอนตั้งแต่เช้าเพราะพรุ่งนี้เป็นวันเปิดภาคเรียนวันแรก แต่ร่างโปร่งบางนั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือ มือเรียวกำลังตวัดปากกาเขียนไดอารี่อย่างตั้งอกตั้งใจ
‘พ่อ แม่ พี่ดนัย
พรุ่งนี้เปิดเทอมแล้วล่ะค่ะ รดาตื่นเต้นจัง เพราะว่านี่เป็นเทอมสุดท้ายในมหาวิทยาลัยแล้ว อีกไม่ถึงสี่เดือนรดาก็จะกลายเป็นบัณฑิตแล้วนะคะ หางานหาเงินเองได้แล้ว
รดาว่าจะเรียนต่อเนติบัณฑิต แต่คุณหญิงป้าท่านคัดค้าน... ไม่เชิงว่าคัดค้าน แต่ท่านตั้งคำถามกับรดาว่ารดาจะเรียนไปทำไม เพราะผู้หญิงเราไม่มีสิทธิ์ได้เป็นอัยการหรือผู้พิพากษา แต่รดาไม่ได้อยากจะเป็นตำแหน่งพวกนั้น รดาอยากจะเป็นทนายความมากกว่า ที่ต้องเรียนเนติบัณฑิตด้วยเพราะรดาอยากเป็นทนายชั้นหนึ่ง ... จะได้ไปเที่ยวหลายๆ ที่ด้วยอย่างไรล่ะคะ พ่อแม่กับพี่ดนัยเห็นว่าอย่างไร ความคิดรดาดีไหม?
แต่ความจริงแล้วพ่อกับแม่ก็รู้ ว่าที่รดาอยากเรียนกฎหมายเสียเหลือเกิน เป็นเพราะพ่อปลูกฝังรดามาตลอด ว่าอยากให้รดาเป็นคนเก่ง ฉลาดทันคน ไม่ถูกใครเอาเปรียบได้ง่ายๆ แต่เมื่อถึงวันที่รดาจะได้รับความสำเร็จในสิ่งที่พ่อหวังมานาน พ่อกับแม่และพี่ดนัยกลับไม่อยู่ชื่นชมความสำเร็จกับรดาเสียแล้ว
รดาไม่ได้บ่นว่าคุณหญิงป้ากับคุณชายเธอดูแลรดาไม่ดีนะคะ ทั้งสองท่านเป็นผู้มีพระคุณกับรดามากเหลือเกิน ท่านเอ็นดูรดาเสมือนลูกของท่านเลยทีเดียว อาจจะเป็นเพราะว่าท่านสองคนไม่มีลูกก็ได้ แต่รดาจะไม่บอกหรอกนะคะว่ารดานั้นเข้ามาทำให้ท่านสองคนมีความสุข เป็นท่านสองคนต่างหากที่ยื่นมืออันเปี่ยมไปด้วยความกรุณามาให้เด็กอย่างรดา นับตั้งแต่วันที่รดาสูญเสียร่มโพธิ์ที่ร่มเย็นที่สุดของตัวเองไปเมื่อสามปีก่อน ส่งเสริมให้รดาได้ทำตามความฝันของตนเอง ที่เป็นความฝันของพ่อกับแม่ด้วย
เฮ้อ... รดาอยากให้พ่อกับแม่ และพี่ดนัยอยู่ใกล้ๆ รดาตอนนี้จังเลยค่ะ
คิดถึงพ่อ แม่ และพี่ดนัยเสมอ
รดา’
หญิงสาวปิดสมุดบันทึก ก่อนจะที่จะแตะเบาๆ ลงบนกรอบรูปใหญ่ที่มีรูปครอบครัวของตนเองพร้อมหน้าในนั้น ทุกคนต่างส่งยิ้มสดใสมาให้เธอ...
...ตึกขาวที่เธออยู่ตอนนี้กว้างขวางกว่าบ้านหลังเก่าของเธอมากนัก ผู้คนมากมายที่อาศัยอยู่ใต้ร่มเงาชายคาบ้านหลังนี้ แต่ความหรูหราโอ่อ่านั้นยังเทียบไม่ได้กับความอบอุ่นที่หญิงสาวเคยได้รับมาตลอดในบ้านหลังน้อยของเธอ
ถึงแม้ว่าพลโทดิษพงศ์นั้นจะยิ่งยศมากเท่าใด แต่ชีวิตส่วนตัวของบิดาเธอนั้นมัธยัสถ์ยิ่ง ท่านเป็นนายทหารที่เข้มงวดในหน้าที่ แต่ไม่ถือตัวกับผู้ใต้บังคับบัญชา ทรัพย์สมบัติรวมทั้งชาติตระกูลของท่านอาจจะไม่เท่ากับมารดาของเธอ แต่มรว.รวิสุดาก็เคยบอกกับบุตรสาวด้วยน้ำเสียงภูมิใจในตัวสามีเสมอ
‘พ่อเขาเป็นคนดี แค่นี้ก็มีค่าสำหรับแม่มากเกินกว่าสมบัติหรือยศศักดิ์ใดๆ แล้วล่ะ’
แต่บิดาเธอนั่นแหละที่ชอบแย้งคู่ชีวิตตนเองอยู่บ่อยๆ ‘แม่เขามีเยอะแล้ว เขาเลยไม่อยากได้ของพ่ออีกอย่างไรล่ะ’
ก็จริงอย่างที่พลโทดิษพงศ์พูดเอาไว้ ด้วยความงาม ชาติตระกูล แล้วทรัพย์สมบัติแล้ว มรว.รวิสุดาผู้เป็นมารดาของเธอย่อมสามารถที่จะเลือกคู่ครองที่สูงด้วยชาติตระกูล ยิ่งยศศักดิ์ มากทรัพย์ศฤงคารได้ไม่ยาก หากท่านกลับเลือกคู่ชีวิตด้วยความสูงของจิตใจ อาจจะเป็นเพราะการอบรมที่ท่านได้รับมาจากท่านตาและหม่อมยายของเธอ ที่ทำให้หม่อมราชวงศ์ผู้งดงามอ่อนหวาน เป็นกุลสตรีทุกกระเบียดนิ้วนั้นเลือกที่จะประคับประคองครอบครัวน้อยๆ ที่แสนอบอุ่นนี้ให้มีความสุข พร้อมหน้าด้วยบุตรชายหญิงที่ต่างก็ประพฤติตัวดี พี่ดนัยของเธอก็กลายเป็นนายตำรวจผู้รักความยุติธรรมพอๆ กับเป็นที่รักของเหล่าลูกน้อง เป็นพี่ชายที่คอยเอื้อเอ็นดู ปกป้อง และสอนให้น้องสาวรู้จักกับโลกแห่งความเป็นจริง
แล้วตอนนี้ทุกอย่างก็สิ้นสุดลง...
“มันจะไม่หายไปไหนค่ะแม่... ถึงแม้เราจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมาก็ยังคงอยู่ในใจลูกเสมอ ความสุขในตอนนั้นมันทำให้ลูกรู้ว่าเรารักกันมากแค่ไหน และมันทำให้ลูกเข้มแข็ง... เพราะฉะนั้นพ่อ แม่ พี่ดนัย... ไม่ต้องห่วงรดานะคะ”
หญิงสาวเอ่ยคำสัญญากับภาพความทรงจำของครอบครัวแผ่วเบาด้วยรอยยิ้ม

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 ต.ค. 2555, 03:00:28 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 ต.ค. 2555, 03:14:03 น.
จำนวนการเข้าชม : 4826
<< บทนำ | บทที่ 1 [2/2] >> |