ภิรมย์รัก
กุลสตรี!

รุจิรดาแอบเบ้ปากด้วยความเบื่อหน่ายปนขุ่นเคือง
หากนับว่าการที่เธอยื่นมือออกไปช่วยเหลือน้องสาวของ หม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์ นั้นไม่เป็นกุลสตรี
หญิงสาวก็ยอมรับตามความจริง
แต่เมื่อคนที่ชี้ความจริงข้อนี้ให้เธอรู้เป็นพี่ชายของคนที่เธอช่วยเอาไว้
หญิงสาวจึงรู้สึกเหมือนตนกำลังทำคุณบูชาโทษ
ต่อแต่นี้ไปก็อย่าได้มาเจอะมาเจอกันอีกเลยเป็นดีที่สุด!

หากภาวนาไปไม่พ้นสามวัน
คนที่เธอไม่อยากพบเจออีกในชาตินี้ กลับมาเป็นอาจารย์ของเธอเอง
คราวนี้คงต้องฟังแลกเชอร์ว่าด้วย “ความเป็นกุลสตรี” เสียจนหูชาแน่ๆ
เธอต้องหาทางหนีสถานเดียว!

แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร...
ยิ่งพยายามหนีให้ไกลจากดวงตาสีดำคูคมนั้นเท่าไหร่
กลับยิ่งเหมือนอีกฝ่ายจะไล่ตามมาไม่ปล่อยเสียอย่างนั้น!

Tags: ย้อนยุค,ศิษย์,อาจารย์,ท่านชาย,ท่านหญิง,ความรัก,พีเรียด

ตอน: บทที่ 1 [2/2]


“รดา เรียนเสร็จแล้วจะไปไหนต่อหรือเปล่า?”

มือเรียวสีน้ำผึ้งนวลชะงักค้างจากสมุดจดบันทึกก่อนเงยหน้าขึ้นยิ้มน้อยๆ พลางสั่นศีรษะ “ไม่ไปจ้ะ พอดีเราต้องรีบกลับบ้าน วันนี้มีธุระกับที่บ้านน่ะจ้ะ”

“ว้า เสียดาย ว่าจะชวนไปดูผ้ามาตัดเสื้อสวยๆ รดาก็ปฏิเสธตลอด”
เพื่อนสาวผู้มีนามว่า พิมพร พูดพลางทำหน้าเสียดาย “จะว่าไปนี่ก็ปีสุดท้ายแล้วนะ รดาแทบจะไม่เคยไปไหนกับเพื่อนคนอื่นๆ เลยนะ แปลกดี... หรือว่ารังเกียจเพื่อนๆ”

“ไม่ใช่อย่างนั้นดอกพิม พอดีวันนี้เราต้องไปธุระจริงๆ เอาไว้วันอื่นนะ”

“ช่างเถิด เธอก็ธุระๆ ตลอด ถามจริงๆ เวลาว่างๆ เธอชอบทำอะไร”

ริมฝีปากบางเกือบเอ่ยออกไปแล้วว่า... ก็ยิงปืน ตีเทนนิส หรือขี่ม้า แต่ก็แค่เกือบเพราะหญิงสาวไม่เคยบอกใครว่านิสัยจริงๆ ของตัวเองนั้นเป็นอย่างไร

ใช่ว่าจะอับอายที่มีงานอดิเรกอะไรต่างจากคนอื่น หากเพราะเธอกลัว... ว่าหากบอกคนอื่นไปว่าเธอ ‘ทโมน’ อย่างที่แม่สายว่า แล้วเกิดวันใดวันหนึ่งคนอื่นรู้ขึ้นมาว่าเธอเป็นถึงลูกสาว หลานสาวของใคร ถึงเวลานั้นมันจะไม่ใช่แค่ว่าเธอไม่เรียบร้อยตามแบบฉบับ แต่จะกลายเป็นว่าเธอเป็นผู้ด้อยการอบรมขึ้นมาทันที

...แล้วคนที่จะถูกตำหนิคนต่อไปก็คงไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นแม่และป้าของเธอที่ไม่สามารถทำให้เธอกลายเป็นแบบพิมพ์นิยมได้นั่นเอง...

รุจิรดามิได้บอกใครว่าเธอเป็นลูกหลานของใคร โชคดีที่วงศ์ตระกูลทางฝ่ายบิดานั้นมิได้โด่งดังในวงสังคมนัก เพราะผู้เป็นบิดาไม่นิยมออกงานสมาคมใดๆ แต่หากเอ่ยถึงสกุลทางฝ่ายมารดาเธอแล้ว ไม่ว่าใครที่อยู่ในแวดวงสังคมชั้นสูงก็จะรู้จักด้วยกันทั้งนั้น

และเธอก็ไม่อยากเพิ่มชื่อเสียงด้วยการเป็น ‘แกะดำ’ ในประวัติสกุลที่มีแต่กุลสตรีของมารดาเธอด้วยสิ!

“ก็... ช่วยงานที่บ้านน่ะ”

เธอไม่ได้โกหกเสียหน่อย บ่อยไปที่คุณแม่บ้านลากตัวเธอให้ไปฝึกงานบ้านงานครัว พวกเย็บปักถักร้อย โชคดีที่มรว.รวิสุดานั้นเคยหัดให้บุตรีบ้างแล้ว ทำให้คุณแม่บ้านที่เป็นคนเก่าคนแก่ตั้งแต่สมัยท่านตาของเธอจึงไม่มีเรื่องให้ค่อนแคะอีก

“พิมก็พอเถอะ รดาเขาไม่อยากไปก็ไม่ต้องชวนเขาหรอก บางทีบ้านเขาอาจจะมีปัญหามากจนเขาไม่สะดวกใจที่จะไปกับเราก็ได้นะ” นงนภิศ เพื่อนอีกคนในกลุ่มพูดเสียงดัง คุณหนูบุตรีคหบดีใหญ่เดินมาใกล้พิมพรก่อนจะปรายตามองรุจิรดาอย่างไม่ชอบหน้า “เขาไม่ต้องการเพื่อนฝูงอะไรมากมายนักหรอก ไม่อย่างนั้นเขาก็คงไปไหนมาไหนกับพวกเรานานแล้ว ไม่ใช่ทำเหมือนคนไม่อยากคบเพื่อนแบบนี้”

หญิงสาวกอดประมวลฯ กับสมุดแนบอก ไม่แย้ง

“ช่างเถอะนภิศ ไปกันเถอะ...” พิมพรเห็นร่างโปร่งบางมีสีหน้าไม่ค่อยดีจึงรีบเอ่ยพลางดันให้นงนภิศออกเดิน หากยังไม่วายหันกลับมายิ้มให้รุจิรดาที่ยังยืนนิ่งอยู่อีกครั้ง “เอาไว้คราวหน้า รดาก็พยายามหาเวลาไปด้วยกันหน่อยนะ”

“อืม...”

รอจนเพื่อนออกไปจากห้องหมดแล้ว ร่างโปร่งบางจึงเดินออกมาจากห้องเรียน ตั้งใจว่าจะหาสามล้อสักคันแล้วให้ไปส่งที่บ้าน ปกติรุจิรดาจะไม่มีรถมารับส่งแต่อย่างใด เพราะเธอขอเอาไว้ หากบางครั้งมีเหตุจำเป็นที่เป็นการรีบด่วน หญิงสาวจึงค่อยให้ลุงชอบ คนขับรถประจำบ้านขับรถคันเก่ามาส่งเธอที่หน้ามหาวิทยาลัย แล้วจึงค่อยเดินเข้าไปในมหาวิทยาลัย

หญิงสาวเดินคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ดวงตาสีน้ำตาลใสในกรอบตากลมโตเหลือบมองหาสามล้อรับจ้างสักคัน พอเหลือบไปเห็นทางซ้ายร่างโปร่งบางก็เดินเข้าไปหาเจ้าของรถทันที หากก่อนจะไปถึงก็ได้ยินเสียงเอะอะดังแว่วมาจากทางด้านหลัง ลำพังเพียงแต่เสียงเอะอะของเหล่านิสิตชายคงไม่ทำให้เธอสนใจ แต่ในเสียงห้าวๆ นั้นปะปนด้วยน้ำเสียงแหลมเล็กแบบผู้หญิงอยู่ด้วย ใบหน้านวลจึงหันไปมองด้วยความสงสัยใคร่รู้ ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้เมื่อรู้ว่าอะไรเป็นอะไร

“ข้าวของตกแตกหมดแล้ว พวกเธอจะรับผิดชอบกันยังไงนี่!”

ชายหนุ่มคนหนึ่งยืนทำหน้าตาบูดบึ้ง พลางชี้ไปที่เศษแก้วที่กระจายบนพื้น เมื่อมองดีๆ จะพอสังเกตได้ว่าน่าจะเป็นขวดแก้วเล็กๆ ที่แตกไป กลิ่นหอมหวานที่ฟุ้งกระจายทั่วบริเวณบ่งบอกว่านั่นคงเป็นน้ำหอมชั้นดี

“นั่นสิ น้ำหอมขวดนี้ต้องสั่งนำเข้าจากฝรั่งเศสอย่างเดียวนะ”

สองนิสิตหญิงที่ตกอยู่กลางวงล้อมมองหน้ากันไปมา ก่อนที่ร่างเล็กบางกว่าจะเอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงค่อยๆ หากมีรอยสง่าอยู่ในน้ำเสียงสั่นน้อยๆ นั้น

“เราจะชดใช้ค่าน้ำหอมให้คุณ”

“อะไร! จะพูดอะไรก็คิดก่อนนะ พวกเธอจะหาเงินมาชดใช้ของพวกนี้หรือ รู้รึเปล่าว่ามันแพงมากเท่าไหร่!” ชายหนุ่มคนเดิมยังไม่ลดละ ก่อนดวงตายาวเรียวจะวาวขึ้นเมื่อมองเห็นดวงหน้าของเจ้าของน้ำเสียงหวานๆ ได้ถนัดตา

“สวยจัง... คนอะไร”

รุจิรดาถึงกับรำพึงออกมาเบาๆ เมื่อมองดวงหน้านั้นเต็มตา ใบหน้าหวานด้วยดวงตากลมโตสีดำสนิท คลอด้วยหยาดน้ำแวววาว ประดับด้วยขนตางอนที่กระพริบอ่อนไหว เสริมดวงหน้านั้นให้งดงามลึกซึ้ง จมูกโด่งเล็กรับกับริมฝีปากอิ่มรูปกระจับน้อยๆ สีชมพูอมแดงระเรื่อ ดวงหน้ารูปไข่นั้นยิ่งทำให้ร่างเล็กบางตรงหน้าดูน่าทะนุถนอมดังเช่นตุ๊กตาแก้วเจียระไนของคุณหญิงป้าไม่มีผิด

ชะรอยว่าชายหนุ่มผู้เสียหายนั้นคงคิดเหมือนกัน ท่าทีแข็งกระด้างเปลี่ยนเป็นสงบนิ่ง อ่อนโยน พร้อมกับโทนเสียงและคำพูดที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

“เอ่อ... ช่างเถิด อย่างไรของมันก็แตกไปเสียแล้ว จะทำให้มันคืนกลับมาก็คงไม่ได้หรอก แต่ว่าคุณก็ต้องชดใช้อยู่ดี ขอคิดวิธีก่อนนะ... ไปเที่ยวด้วยกันกับผม ดีไหมครับ?”

สิ้นประโยคที่รุจิรดาคิดว่าไม่มีความเป็นเหตุเป็นผลใดๆ เลยนั้น เสียงหัวเราะเกรียวกราวของเหล่าชายหนุ่มก็ดังขึ้น ราวกับถูกใจในคำพูดแบบนั้นเสียเหลือเกิน คนที่เหลือก็เริ่มล้อมวงเข้ามาใกล้ก่อนเอ่ย

“นั่นสิ ไปเที่ยวชดใช้เลยสิ”

“ทำของเสียหายต้องชดใช้นะ”

“แค่ไปเที่ยว ดีกว่าเสียเงินอีก”

“ไปตามที่เขาชวนสิ...“

หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่น มองดูร่างเล็กบางในชุดนิสิตที่ดวงตาหวานฉายแววหวาดหวั่น และอีกคนหนึ่งที่แม้จะไม่งดงามเท่ากับคนแรก แต่ก็หน้าตาหมดจดยืนเกาะแขนเพื่อนแน่นด้วยความกลัว ทั้งร่างสั่นระริก

“ไปสิ...”

“พอที!”

สิ้นเสียงตวาดก้อง ทั้งกลุ่มชายหนุ่มและหญิงสาวต่างก็หันมามองไปทางเดียวกัน รุจิรดายืนนิ่ง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนวาววับ น้ำเสียงอ่อนหวานนั้นยามเจ้าตัวโมโหก็เปลี่ยนเป็นกราดเกรี้ยวได้ทันควัน “เห็นๆ อยู่ว่าผู้หญิงเขาจะร้องไห้อยู่แล้ว นี่พวกคุณเป็นสุภาพบุรุษกันรึเปล่า!”

“แล้วเธอเป็นใคร คิดว่าตัวเองเป็นวีรสตรีอยู่หรืออย่างไร ถึงเข้ามายุ่งกับเรื่องของคนอื่นแบบนี้!”

ชายหนุ่มที่เป็นเจ้าของขวดน้ำหอมไม่ลดละ “เธอรู้หรือเปล่าว่าน้ำหอมนั่นราคากี่บาท ฉันตั้งใจซื้อเอาไว้เป็นของขวัญให้กับคนพิเศษของฉัน แล้วผู้หญิงคนนี้” นิ้วเรียวแข็งแรงชี้ไปที่ผู้หญิง... คนที่กำลังยืนเกาะแขน ‘คนงาม’ ของรุจิรดาไว้แน่น “ก็ไม่มองตาม้าตาเรือ มาชนฉัน ทำให้ข้าวของฉันตกหมด ยังไม่นับขวดน้ำหอมนั่นอีก!”

“แต่การที่ข้าวของคุณเสียหายไป ไม่ใช่สาเหตุที่จะเอามาอ้างได้ว่าคุณมีสิทธิที่จะละเมิดเธอคนนั้นแบบนั้นนะ! อีกอย่างเธอไม่ใช่คนที่ทำให้ของคุณเสียหายด้วยซ้ำ”

“ก็เธออยากออกมารับแทนเองทำไมล่ะ” ชายหนุ่มพูดเสียงเย้ย ปรายตามองดวงหน้าหวานที่ฉายแววตื่นตระหนกไม่หาย “เห็นแก่เขาน่ารัก ฉันก็ยังไม่คิดค่าน้ำหอมเลย ขอแค่ไปเที่ยวด้วยกันเท่านั้นเอง”

“นี่แหละที่เขาเรียกว่าคนพาล! บังคับจิตใจผู้หญิง ผู้ชายแบบคุณไม่ควรค่าที่จะเรียกว่าสุภาพบุรุษหรอก!”

“เธอ!”

ชายหนุ่มตาลุกวาว ก้าวเท้าเข้ามาใกล้ร่างโปร่งบางของรุจิรดาที่ก้าวมายืนขวางหน้าสองสาวเอาไว้เช่นเดียวกัน หญิงสาวเชิดใบหน้าขึ้น ก่อนเอ่ยเสียงดัง “ที่ฉันพูดมันแทงเข้ากระดูกดำคุณล่ะสิ ถึงมาทำหน้าถมึงถึงหาเรื่องฉันอยู่ตอนนี้ คิดว่าฉันจะกลัวหน้าตาแบบนี้หรือ ก็ลองเข้ามา... เอ๊ะ! หัวเราะทำไม มีอะไรน่าหัวเราะ!”
ก่อนที่หญิงสาวจะได้รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ ผู้ชายคนนั้นก็หัวเราะน้อยๆ ขึ้นมาเสียเฉยๆ ก็มีเสียงแทรกขึ้น

“มีเรื่องอะไรกันหรือ?”

น้ำเสียงทุ้มดังขึ้นด้านหลังของรุจิรดา ก่อนที่เจ้าของเสียงจะเดินเข้ามาใกล้ หญิงสาวได้ยินร่างเล็กที่อยู่ข้างหลังอุทานแผ่วเบา

“พี่ชาย...”

“ท่านชายเพคะ!” รุจิรดาเซเล็กน้อยเมื่อถูกเบียดจากหญิงสาวที่เกาะแขนอีกคนตลอดเวลา ก่อนจะตวัดค้อนไปทางกลุ่มนิสิตชายที่ตีสีหน้านิ่งเฉยกันทุกคน “ผู้ชายพวกนี้กำลังหาเรื่องแววกับท่านหญิงอยู่ค่ะ หาว่าแวว... เอ่อ เราสองคนเดินไปชนเขาจนของเขาตกแตกเสียหาย”

“อ้าว! คุณเดินมาชนผมจนขวดน้ำหอมตกแตกจริงๆ นี่” ชายหนุ่มต้นเหตุโวยวาย ก่อนจะหันไปจ้องชายในชุดสูทสีเทาเกือบดำเขม็ง หากในแววตาชั่วแวบหนึ่ง... รุจิรดาแน่ใจว่าเขากำลังกริ่งเกรงชายหนุ่มที่มาใหม่คนนี้ “หลักฐานก็ตกอยู่ตรงนี้ ผมคงไม่อุตริขว้างทิ้งขวดน้ำหอมตัวเองที่สั่งซื้อมาตั้งแพงหรอกนะ ผมต้องการการรับผิดชอบ”

มือขาวปล่อยจากการเกาะเกี่ยวแขนแข็งแรงของร่างสูง ก่อนจะตอบโต้รุนแรง “นี่แกยังกล้าต่อว่าฉันต่อหน้าท่านชายอีกหรือ บังอาจ! รู้หรือไม่ว่าท่านนี้เป็นใคร!?”

...ไม่รู้... รุจิรดาตอบแทนนิสิตหนุ่มคนนั้นในใจ ...ใครจะไปรู้เล่า เพิ่งเคยเห็นครั้งแรกก็เมื่อห้านาทีก่อนถึงหรือเปล่าก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ

แล้วเมื่อผู้หญิงคนที่กำลังแผดเสียงอยู่ตอนนี้เป็นคนเดียวกับผู้หญิงที่เกาะแขน แอบหลังเพื่อนตัวสั่นระริกเมื่อครู่ก่อนหรือเปล่าหนอ ความกล้าเพิ่มพรวดพราดไปไหมนั่น...

“ไม่รู้” ร่างสูงโปร่งในชุดนิสิตชายตอบห้วนๆ “แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร หากทำผิดก็ต้องรับผิดชอบสิ!”

“เอ๊ะ!”

“หยุดที” ชายหนุ่มผู้มาใหม่ปรายดวงตาสีดำสนิทราวรัตติกาลมาทางคนที่กำลังจะตวาดอีกรอบ ก่อนจะยื่นมือไปทางผู้หญิงคนแรกที่รุจิรดาชื่นชอบในความงดงาม... และตอนนี้ต้องเพิ่มความดีให้เธอด้วย

...ทั้งๆ ที่เพื่อนเป็นคนทำเรื่องแท้ๆ แต่เธอคนนั้นก็ยังยอมที่จะเผชิญหน้ากับผู้ชายหลายๆ คน ทั้งๆ ที่ตนเองนั้นก็ไม่ใช่คนกล้าหาญชาญชัยอะไร... เรื่องนี้รุจิรดาบอกได้แน่นอน ...หน้าซีดเซียวออกอย่างนั้น...

‘ตุ๊กตาแก้วเจียระไน’ ของหญิงสาวเดินมาจับมือผู้ชายในชุดสูทเรียบกริบไว้มั่น ก่อนที่จะนิ่งฟังคำถามที่ออกมาจากปากของผู้มาใหม่

“หญิงอร บอกพี่หน่อย เรื่องมันเป็นอย่างไร”

ร่างสูงโปร่ง หากลาดไหล่นั้นกว้างขวางเอ่ยเสียงนุ่มกับ ‘หญิงอร’ ก่อนที่เธอคนนั้นจะเริ่มเล่า

“คือ... หญิงกับแววก็เดินมาทางนี้ จะไปรอที่ๆ คนรถจะเอารถมาจอดรับหญิงอยู่เสมอนั่นแหละเพคะ ทีนี้หญิงกับแววล้อเล่นอะไรกันบางอย่างระหว่างเดินมาทางนี้ แววเขาเลยไปชนหลังของคุณคนนั้น แล้วขวดน้ำหอมที่คุณคนนั้นถืออยู่ก็ตกแตกเพคะ”

โอ้! นอกจากงามหน้าแล้วยังงามจริตกิริยาอีกหรือนี่!

ร่างโปร่งบางคิดพลางปลงสังเวชตนเอง อย่าง ‘หญิงอร’ ที่แม้แต่จะว่าให้คนอื่นก็ยังสุภาพ เห็นทีชาตินี้เธอคงทำไม่ได้แบบหญิงอรอะไรนั่นได้แน่ แต่เพื่อความสบายใจของคุณหญิงป้า และความโล่งอกของคุณแม่บ้าน เธอก็คงต้องภาวนาให้ตัวเองได้สักครึ่งหนึ่งของร่างเล็กนั่นก็ยังดี

“ว่าอย่างไรแวววรรณ คุณ... เรื่องเป็นอย่างที่หญิงอรเล่ามาไหม?”

“เป็นอย่างที่ท่านหญิงรับสั่งนั่นแหละเพคะท่านชาย/ก็อย่างที่เขาเล่านั่นล่ะครับ”

“ถ้าอย่างนั้น” ร่างสูงเว้นช่วงจังหวะ ดวงตาสีรัตติกาลที่แสนดึงดูดคู่นั้นหันมามองเธอแวบหนึ่ง “ผมจะชดใช้ค่าเสียหายเรื่องน้ำหอมนี้ให้เอง พรุ่งนี้คุณไปหาผมได้ที่นี่ แล้วผมจะชดใช้ให้”

มือใหญ่หยิบเอากระดาษแผ่นเล็กๆ มาจากที่เก็บ ก่อนจะยื่นให้ชายหนุ่มเจ้าของขวดน้ำหอม อีกฝ่ายรับมากวาดสายตาดู ก่อนดวงตาเรียวจะเบิกกว้างขึ้นน้อยๆ พลางอ่านชื่อที่เขียนอยู่บนนามบัตรด้วยน้ำเสียงแผ่ว

“หม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์ พิพัฒนศักดิ์”

“ส่วนสถานที่ก็ตามที่เห็นนั่นล่ะ” น้ำเสียงทุ้มเอ่ย “แล้วคราวหน้าคราวหลัง ผมหวังว่าพวกคุณจะไม่นำคนมาล้อมหน้าล้อมหลัง เอ่ยปากขู่เข็ญใครอีก อย่าให้ผมได้เห็นการกระทำที่ไม่เป็น ‘สุภาพบุรุษ’ ของพวกคุณอีก” ดวงเนตรคมกริบของท่านชายปรายมาที่รุจิรดาพริบตาหนึ่ง นัยที่ท่านรับสั่งออกมานั้นทำให้หญิงสาวเม้มปากน้อยๆ

...สงสัยได้ยินที่เราตะโกนเมื่อครู่แน่เลย...

หญิงสาวค่อยๆ เดินถอยหลังออกมาจากกลุ่มผู้คนที่มองอยู่ห่างๆ ด้วยความใคร่รู้ ก่อนจะมองนาฬิกาพกเรือนเล็กที่เธอใส่ติดคอเอาไว้ เมื่อเห็นว่าใกล้เวลานัดของทางบ้านเข้าไปทุกขณะ รุจิรดาจึงเลือกที่จะเดินออกมาจากสถานที่นั้นเงียบๆ ก่อนจะไปหาสามล้อรับจ้างอย่างที่ตั้งใจไว้ต่อไป



“ไม่เป็นไรแล้วนะหญิงอร”

ท่านชายรับสั่งสุรเสียงปลอบประโลม เมื่อเห็นว่าหม่อมเจ้าอรกัญญา ผู้เป็นขนิษฐายังคงพักตร์ซีดเซียวด้วยความตกพระทัยอยู่ ดวงเนตรงามปรายไปยังเงาร่างของชายหนุ่มที่เมื่อครู่ยังคงยืนตะเบ็งเสียงใส่กรรณเสียเต็มที่ แต่ตอนนี้ก็แยกย้ายกันไปเรียบร้อยแล้ว

“ท่านชายน่าจะจับพวกมันส่งตำรวจนะเพคะ มีอย่างที่ไหน ข่มขู่กันกลางวันแสกๆ” แวววรรณเอ่ยอย่างเจ็บใจ

“ทาง ‘เรา’ ก็เป็นฝ่ายผิดมิใช่หรือ ที่ไปทำข้าวของเขาเสียหายก่อน” ท่านชายตรัสเรียบๆ ก่อนเหลือบทอดพระเนตรซ้ายทีขวาทีอย่างนึกขึ้นได้ “จริงสิ เมื่อครู่มีนิสิตหญิงคนหนึ่งมาช่วยขวางไว้ก่อนนี่หญิงอร”

เนตรงามเบิกกว้างเมื่อรำลึกขึ้นได้เช่นเดียวกัน “ใช่เพคะ เขากล้าหาญมาก ไปไหนเสียแล้วล่ะ หญิงอยากขอบใจเขา ที่อุตส่าห์ก้าวเข้ามาช่วยหญิงทั้งๆ ที่ผู้ชายคนเมื่อครู่น่ากลัวเสียขนาดนั้น”

“เอาไว้คราวหน้า หากเจอกันอีกครั้งหนึ่งค่อยขอบคุณเขาก็แล้วกัน” ท่านชายรับสั่ง หากดำริในพระทัยเงียบๆ


..."""...นอกจากขอบคุณแล้ว ยังคงต้องขอเตือนเสียหน่อย เป็นผู้หญิงยิงเรือก็ยิงเรือไป มิใช่หันปืนมายิงผู้ชายเสียอย่างนั้น กล้าหาญชาญชัยเกินไปอย่างนี้ อีกหน่อยจะเป็นโทษมากกว่าคุณเสียกระมัง...









ปณัชญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 ต.ค. 2555, 03:13:46 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 ต.ค. 2555, 03:13:46 น.

จำนวนการเข้าชม : 2804





<< บทที่ 1 [2/1]   บทที่ 2 [2/1] >>
ukkanirut 17 ต.ค. 2555, 10:32:29 น.
ได้อารมณ์บรรยากาศประมาณยุคสะใภ้จ้าวมากๆค่ะ ^^


ม่านฟ้า 17 ต.ค. 2555, 14:05:13 น.
สนุกดีค่ะ มาอัพอีกบ่อย ๆนะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account