เพียงพบ(ภพ)รัก
ใครหลายคนอาจมองว่าสายฝนคือตัวแทนของความเศร้า แต่จะมีกี่คนรู้บ้างไหม ว่าในมุมหนึ่งของเรื่องราว ยังมีใครบางคนเฝ้ารอสายฝนอยู่
เฝ้ารอ...โดยไม่รู้ว่าฝนจะตกลงมาเมื่อไร
เฝ้ารอ...เพื่อจะได้เห็นสายฝนพรำ
และเฝ้ารอคอยความรักจากใครสักคนที่อยู่ห่างออกไปแสนไกล...

Tags: รักซึ้ง พิมพ์อัปสร เตชน์ ภพรัก พบรัก

ตอน: บทที่ 1/1 ผู้ชายในสายฝน

ลังเลใจอยู่นาน ทั้งๆที่ขึ้นเรื่องนี้ไว้ก่อน แต่จบตราบนิรันดร์ฯไปแล้ว เรื่องนี้ก็ยังเขยิบไปได้ไม่ถึงไหนเลย
เฮ้อ เอาเป็นว่าเอามาลงต่อแล้วกันเน้อ แต่ไปแบบเรื่อยๆนะคะ ระหว่างรอเรื่องใหม่อีกเรื่อง ต้องบอกว่าเรื่องนี้ยังมองไม่เห็นอนาคตค่า แต่งไปตามอารมณ์คนเขียนละกัน แต่จะพยายามมาลงให้อ่านกันเรื่อยๆเน้อ ฝากติดตามความรักหวานๆของคู่นี้ด้วยนะคะ

บทที่1

เหนือขึ้นไปภายใต้รัตติกาลที่ยังดำมืดของท้องฟ้าก่อนยามรุ่งสางซึ่งพรำไปด้วยพิรุณเม็ดโต ภายใต้เสียงครืนครางของฟ้าร้องยามฝนตก จู่ๆ ณ กึ่งกลางฟากฟ้ากว้างก็ปรากฏแสงสว่างสีเขียวอมน้ำเงินวิ่งผ่านจากมุมฟากฟ้าหนึ่งไปจรดยังอีกมุมหนึ่งแล้วแวบหายไป ราวกับไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้น หลงทิ้งไว้แต่เพียงฟ้ามืดก่อนแสงแรกของอาทิตย์อุทัยจะฉายฉาน

‘สัญญาแล้วนะ ห้ามผิดสัญญาเด็ดขาด’ น้ำเสียงหวานเต็มไปด้วยความคาดหวังและการรอคอยบอกใครคนหนึ่งไว้ในฝัน

ทว่าใครกันล่ะ... ยิ่งคิดเธอก็ยิ่งรู้สึกว่ามันช่างเป็นฝันไร้เลื่อนลอย

ติ๊ดๆ... เสียงเพลงจากโทรศัพท์มือถือดังปลุกคนในภวังค์ให้ปรือตาลืมขึ้น พิมพ์อัปสรผงกศีรษะตัวเองขึ้นจากหมอน เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือบนหัวเตียงขึ้นมาปิดเสียงนาฬิกาปลุก

“ฝันอีกแล้วเหรอเนี่ย” พิมพ์อัปสรครางออกมา

หญิงสาวไม่เข้าใจตัวเองเลยแม้แต่น้อยว่าเหตุใด เธอถึงมักฝันถึงเหตุการณ์เมื่อเจ็ดปีก่อนซ้ำอยู่หลายครั้ง ทั้งๆที่ค่ำคืนนั้นได้ผ่านพ้นมานานเหลือเกิน เหตุใดเธอถึงไม่ยอมลืมมันเสียที

เธอกำลังรอคอยเขาอยู่งั้นหรือ... หญิงสาวถามตัวเองอีกครั้งด้วยความสงสัย

ไม่หรอก ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว เขาคงจำเธอไม่ได้ด้วยซ้ำ... เธอสลัดศีรษะ พยายามขับไล่ความคิดเพ้อฝันของตนเอง สุดท้ายเธอก็สามารถปัดความคิดเหล่านั้นออก ลุกขึ้นจากเตียงนอนเพื่อเริ่มต้นเช้าวันใหม่

หญิงสาวใช้เวลาสะสางธุระส่วนตัวเพียงไม่นาน จากนั้นเจ้าของร่างอ้อนแอ้นก็มาอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ ถือกาแฟแก้วโตเดินออกมานั่งลงบนเก้าอี้พลาสติกใส มีโต๊ะทำงานสีขาวสะอาดทรงทันสมัยโอบล้อมร่างบางเป็นรูปครึ่งวงกลม และเมื่อพิมพ์อัปสรเลื่อนเก้าอี้เข้ามาจนชิดขอบโต๊ะ มือบางก็วาดเป็นวงกลมขึ้นกลางอากาศ ก่อกำเนิดเป็นหน้าจอโปร่งแสง ฉายไปรอบตัวโต๊ะ

“อรุณสวัสดิ์พิมพ์ สุขสันต์วันเกิดนะจ้ะ” เสียงสัญญาวีดิโอเรียกเข้าจากเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งดังขึ้นบนหน้าจอทางซ้าย

“ขอบใจจ้า ว่าแต่พิ้งค์ตื่นเช้าจริง” เธอหันไปทักเพื่อน สัญญาณวีดิโอฉายให้เห็นหน้าตาของหญิงสาวฝั่งตรงข้าม บอกชัดว่าเจ้าตัวคงกำลังนั่งทำงานจากโน้ตบุ๊คบนเตียงนอนเสียมากกว่า

“ช่วยไม่ได้นี่นา ต้องตื่นมาเตรียมเอกสารการประชุมตอนสิบโมงนี่ พิมพ์เข้าประชุมรึเปล่า” เพื่อนเธอถาม

มือบางจึงเลื่อนมือไปยังจอโปร่งแสงทางมุมขวาล่าง ปฏิทินตารางงานของเธอย้ายมาปรากฏขึ้นกลางจอใหญ่

“อื้อ เข้าสิ พิมพ์แก้บั๊ก เสร็จแล้วล่ะ น่าจะรันโปรแกรมได้แล้ว”

“สุดยอดเลยพิมพ์ บริษัทจ้างเธอคนเดียว แทนโปรแกรมเมอร์ได้หลายคนเลย”

“พิงค์ก็พูดเกินไป พิมพ์ไม่ได้เก่งขนาดนั้นเสียหน่อย แล้วพิ้งค์เตรียมเอกสารเสร็จรึยัง เก้าโมงสี่สิบห้าแล้วนะ” หญิงสาวเตือนเพื่อน

“อืม เหลือแค่ส่งเมล์ให้ทุกคนก็เรียบร้อยแล้ว เจอกันในห้องประชุมนะพิมพ์” อีกฝ่ายบอกกับเธอก่อนตัดสัญญาณไป

หญิงสาวใช้เวลาสิบห้านาทีที่เหลือไล่เช็คจดหมายอิเล็กทรอนิกส์นับสิบฉบับในกล่องข้อความของเธอ เสร็จแล้วเธอจึงต่อสัญญาวีดิโอเข้าไปยังห้องประชุมเพื่อพูดคุยและนำเสนอโปรแกรมตัวใหม่ของทางบริษัท ซึ่งเธอใช้เวลานั่งแก้ไขคำสั่งมานานนับเดือน

เฮ้อ ส่งงานคราวนี้เสร็จ เธอขอพักร้อนยาวสักสัปดาห์เถอะนะ...



เจ้าของร่างระหงในชุดแสคกระโปรงบานกำลังขับรถตัวเองเข้ามาจอดลงยังหน้าต่างบานหนึ่งของร้านอาหารประเภทฟาสฟู๊ดริมถนนใหญ่

“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าจะรับเป็นอะไรดีคะ ขอแนะนำ...” เสียงอินเตอร์คอมฯจากพนักงานภายในร้านบอกเธอด้วยประโยคไม่ผิดเพี้ยนไปจากทุกครั้งยามขับรถผ่านมา

“เอาชุดที่หนึ่งค่ะ” พิมพ์อัปสรตอบกลับไปทันที โดยไม่ฟังอีกฝ่ายพูดจนจบ

หลังจากมองจำนวนเงินบนหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้ว หญิงสาวก็ขับรถตรงไปยังหน้าต่างอีกบานหนึ่งเพื่อชำระเงิน และรับอาหารจากหน้าต่างบานสุดท้าย ถุงพลาสติกสีสันสดใส ภายในบรรจุกล่องพลาสติกสีขาวขุ่นไว้เพียงกล่องเดียวถูกยื่นมาให้เธอ

“จริงๆแค่อาหารกล่องเดียว ไม่ต้องใส่ถุงก็ได้” เสียงหวานบอกคนในหน้าต่างพร้อมกับยื่นถุงพลาสติกคืนให้

แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายกลับยังมีสีหน้างุนงงไม่หาย กล่าวขอบคุณเธอเบาๆพร้อมกับเอื้อมมือมารับ หางตาของพิมพ์อัปสรมองเห็นเด็กสาวแอบหย่อนถุงพลาสติกของเธอลงในถังขยะ หญิงสาวเลยได้แต่ถอนหายใจออกมากับการกระทำของอีกฝ่าย นึกเสียดายทรัพยากรที่เพิ่งถูกนำไปรวมกับขยะ

เอาเถอะ เธอทำได้แค่นี้นี่นา... พิมพ์อัปสรกดกระจกรถยนต์ขึ้น เลี้ยวรถออกจากร้านขับตรงไปตามถนนใหญ่

ไม่นานนัก รถยนต์ของเธอก็แล่นเข้ามาจอดยังบริเวณลานจอดรถหน้าตลาดน้ำแห่งหนึ่ง ตลาดแห่งนี้เพิ่งถูกสร้างขึ้นเมื่อไม่นานตามสมัยนิยมที่กำลังแห่แหนกลับมาสนใจในวิถีชีวิตคนโบราณ ด้วยการจำลองชีวิตของผู้คนในสมัยก่อนที่อาศัยอยู่ริมคลอง ทว่าพิมพ์อัปสรรู้ดีว่าลำคลองใสแจ๋วตรงหน้านั้น แท้จริงแล้วคือคลองประดิษฐ์ซึ่งเพิ่งถูกขุดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมให้กับกรุงเทพมหานคร

ร่างบางก้าวลงจากรถยนต์โดยไม่ลืมหยิบแว่นกันแดดของตัวเองติดลงมาด้วย แสงแดดในทุกวันนี้ร้อนแรงเกินกว่านัยน์ตาเปล่าของเธอจะหาญสู้ได้ พิมพ์อัปสรเดินทอดน่องไปตามร้านรวงต่างๆบริเวณสองฝั่งคลอง มีบ้านหลายหลังสร้างจำลองเรือนไทยในสมัยก่อน หญิงสาวแวะหยุดชมสินค้าตลอดทางเดิน โดยไม่มีทีท่าจะยอมควักเงินจ่ายสิ่งใด จนกระทั่งร่างบางเดินมาหยุดยืนอยู่หน้าร้านค้าแห่งหนึ่ง ตัวร้านถูกสร้างขึ้นให้มีลักษณะคล้ายบ้านไม้ตั้งอยู่ชิดทางเดินริมตลิ่ง ด้วยความสนใจ เธอจึงตัดสินใจถอดรองเท้าวางไว้หน้าบ้าน ก้าวเท้าเปล่าขึ้นมาบนพื้นบ้านซึ่งทำจากแผ่นไม้ บริเวณด้านในมีตู้โชว์ไม้ขนาดใหญ่ตั้งเด่นอยู่ภายในบ้าน ถัดมาคือชุดรับแขกทำจากหวาย และข้าวของหลายชิ้นซึ่งหาดูไม่ได้แล้วในปัจจุบัน

“คุณสนใจชิ้นไหนเป็นพิเศษรึเปล่า เดี๋ยวผมลดให้” เสียงของชายวัยกลางคนเจ้าของร้านตะโกนมาจากทางด้านหลัง

พิมพ์อัปสรพยักหน้ารับ เดินเตร่ชมข้าวของภายในร้านไปเรื่อยเปื่อย จนกลับมาหยุดยืนบริเวณตู้โชว์ไม้อีกครั้ง แล้วเธอจึงเห็นหุ่นกระบอกตัวหนึ่งขนาดสูงประมาณห้าสิบเซนติเมตร ตั้งเด่นอยู่ภายในตู้ จากโครงหน้าและลักษณะการแต่งกายของหุ่น หญิงสาวพอจะมั่นใจว่าหุ่นตัวนี้คงจะเป็นตัวละครในวรรณคดีจากเรื่องพระสุธน-มโนราห์ เนื่องจากหุ่นตัวนางจะสวมมงกุฎบนศีรษะ ห้อยอุบะไว้ทางด้านซ้าย เสื้อผ้าสีแดงประดับด้วยเลื่อมและดิ้นเงิน ดิ้นทองแล้ว บริเวณกึ่งกลางหลังของตัวเสื้อยังมีปีกทำจากผ้า ปักทับด้วยดิ้นทองเป็นลายขนนก เย็บติดจากกลางหลังมายังข้อมือทั้งสอง เช่นเดียวกับบริเวณบั้นเอวมีผ้าปักทับด้วยดิ้นทองตัดแต่งเป็นรูปหาง

“สนใจหุ่นกระบอกตัวนี้เหรอครับ” เสียงของชายเจ้าของร้านถามขึ้น ดึงความสนใจของพิมพ์อัปสรให้ละสายตาจากหุ่นในตู้มา

“ค่ะ เป็นงานฝีมือที่สวยมาก” เธอตอบด้วยความจริงใจ

“ครับ คุณพ่อผมเป็นคนทำขึ้นมาเอง เมื่อก่อนครอบครัวผมเคยทำโรงละครหุ่นกระบอก”

“เหรอคะ แล้วเดี๋ยวนี้ล่ะ”

ดวงตาของคนถูกถามไหววูบลงเล็กน้อยขณะตอบ

“เวลาเปลี่ยนไป สังคมก็เปลี่ยน โรงละครหุ่นกระบอกไม่มีเหลืออยู่แล้วล่ะครับ” เขาบอกขณะเหลือบตาขึ้นมองหุ่นในตู้ “หุ่นตัวนี้เป็นตัวสุดท้ายที่ผมมีแล้ว ถ้าคุณสนใจผมจะลดให้เป็นพิเศษ”

อะไรบางอย่างในดวงตาไหวระริกของคนตรงหน้า ทำให้พิมพ์อัปสรไม่กล้าซักไซ้ต่อ เธอเงยหน้าขึ้นมองหุ่นในตู้โชว์อีกครั้ง โดยปรกติหญิงสาวไม่ใช่นักสะสม แถมเธอเองก็ไม่เคยซื้อของเก่าใดมาเก็บไว้กับตัว แต่ความงามและฝีมืออันประณีตของหุ่นกระบอกในตู้ก็ทำให้เธออดถามราคาออกไปไม่ได้ และเมื่อได้ฟังราคาที่ไม่เหนือบ่ากว่าแรงนัก พิมพ์อัปสรจึงตัดสินใจเป็นเจ้าของหุ่นโดยไม่เสียเวลาคิดให้มากความ



บ่ายคล้อย ท้องฟ้าอันเคยสว่างสดใสเริ่มมืดครึ้ม พิมพ์อัปสรจ่ายเงินค่าก๋วยเตี๋ยวเรือให้กับแม่ค้าในเรือบดลำเล็ก แล้วเธอก็สาวเท้าตรงดิ่งกลับมายังบริเวณลานจอดรถด้านหน้า ทว่ายังไม่ทันเดินพ้นจากตลาดมา พิรุณเม็ดหนาก็โปรยปรายกระหน่ำลงมา พาเอาเธอและนักท่องเที่ยวคนอื่นๆต่างเปียกปอนไปตามๆกัน

“ฝนไล่ช้างรึไงนะ ตกมาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย” พิมพ์อัปสรได้ยินหญิงสาวอีกคนหนึ่งซึ่งยืนหลบฝนอยู่ข้างๆบ่นออกมาด้วยความหัวเสีย

เธอเองก็หัวเสียไม่น้อยกับสภาพเปียกปอนราวลูกหมาตกน้ำ แต่พวกเธอก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่ายืนหลบอยู่ใต้กันสาด รอให้ฝนห่าใหญ่ซาลง เกือบสิบนาทีถัดมา ฝนเม็ดหนาก็เริ่มเบาลง พิมพ์อัปสรตัดสินใจวิ่งฝ่าสายฝนกลับไปยังรถยนต์ของตัวเอง แล้วตัดสินใจสตาร์ทเครื่อง เหยียบคันเร่งเพื่อพาตัวเองและรถยนต์แล่นออกจากลานกว้าง

สายฝนที่เพิ่งซาลงกลับมาตกหนักอีกครั้ง ท้องฟ้ามืดครึ้มจนมองไม่เห็นแสงอาทิตย์ เธอเร่งที่ปัดน้ำฝน สายตาเพ่งพิศไปยังถนนเบื้องหน้า ความเย็นช่ำของเครื่องปรับอากาศภายในรถทำให้หญิงสาวหนาวสั่น พิมพ์อัปสรเอื้อมมือไปหมายจะรี่แอร์ลง ทว่าในขณะสายตาของเธอไม่ทันได้มองถนน หางตาก็เหลือบเห็นร่างสูงของใครคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นกลางถนน

ใบหน้าคมคายและนัยน์ตาสีเหล็กกำลังยืนจับจ้องมายังเธอเขม็ง แววตาคมดูคุ้นตาอย่างประหลาด

เอี๊ยด-ด-ด เสียงล้อรถบดลงบนพื้นถนน เรียกสายตาของพ่อค้าแม่ค้าบริเวณสองฝั่งถนน ให้ชะโงกหน้าออกมาดูเหตุการณ์ แม่ค้าคนหนึ่งถือร่มเดินเข้ามาเคาะกระจกรถ

“คุณเป็นอะไรรึเปล่า” เสียงเรียกจากคนด้านนอก ทำให้พิมพ์อัปสรจำต้องลดกระจกลง

“ไม่เป็นไรค่ะ แล้วคนที่ฉันชนเมื่อกี้ล่ะ” เธอถาม หัวใจยังคงเต้นกระหน่ำด้วยความรู้สึกตกใจ

ตรงกันข้ามกับแม่ค้าผู้หวังดี เธอหันกลับไปมองบริเวณหน้ารถอีกครั้ง ก่อนตอบคำถามเธอ

“ป้าไม่เห็นหนูชนใครเลย ตาฝาดรึเปล่า บนถนนไม่มีใครสักคน ป้าเห็นแต่หนูขับรถออกมาจากซอย แล้วจู่ๆก็เบรกกะทันหัน แต่ไม่เป็นไรมากก็ดีแล้วล่ะ” แม่ค้าคนนั้นบอกกับเธอ ก่อนเดินกลับไปยังแผงลอยของตัวเอง

ทิ้งให้พิมพ์อัปสรได้แต่นั่งงง มองออกไปยังสายฝนเบื้องนอกด้วยความสับสน

“หรือเราจะตาฝาดไปจริงๆหว่า” เธอได้แต่ถามตัวเองอย่างไม่เข้าใจนัก



ร่างสูงของชายหนุ่มคนหนึ่งก้าวขาเข้ามาในบ้าน หากยังไม่ทันได้นั่งลงบนโซฟา เสียงแหลมสูงของผู้เป็นภรรยาเขาก็ดังขึ้นเสียก่อน

“เตชน์คะ นี่มันอะไรกัน ไหนคุณบอกว่าปัญหาเรื่องหนี้สินที่บริษัทคุณจะไม่มีผลกระทบถึงเราไง” เสียงของจิรัสยาดังมาก่อนการปรากฏตัวของร่างระหงในชุดเดรสสีดำ

ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าของหญิงสาวล้วนเป็นสินค้าแบรนด์เนมชั้นนำ เตชน์มองหน้าภรรยาของเขาอีกครั้งก่อนจะถอนหายใจออกมา

เขาเหนื่อย เหนื่อยเหลือเกินกับสภาพที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้...

“ใจเย็นน่าจีจี้ ถึงไม่มีบ้านหลังนี้ พวกเราก็ยังอยู่กันได้ไม่ใช่เหรอ” แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่มาจนถึงขั้นนี้แล้ว เขาก็คงต้องรับสภาพความเป็นจริง

เพราะปัญหาหนี้สินรุมเร้ามาตั้งแต่เมื่อปีก่อน ทำให้ในวันนี้ชายหนุ่มตัดสินใจจัดการขั้นเด็ดขาด

“บ้าเหรอ คุณไม่ได้หมายความอย่างนั้นจริงๆใช่ไหม บ้านหลังนี้เป็นมรดกที่คุณพ่อคุณแม่ยกให้คุณในวันแต่งงานของเรานะคะ คุณจะขายมันไปได้ยังไง” จิรัสยาครางออกมาอย่างไม่เชื่อหู

เธอพอจะรู้ดีว่าตนเองไม่มีอำนาจในการตัดสินใจเกี่ยวกับสินทรัพย์ชิ้นนี้ แต่หญิงสาวก็แทบไม่อยากเชื่อเลยว่าท้ายสุดสามีของเธอจะตัดสินใจขายบ้าน อันเรียกได้ว่าเป็นทรัพย์สินใหญ่เพียงชิ้นเดียวของตัวเองไปเพื่อชำระหนี้ธนาคาร

“ไม่ได้ก็ต้องได้ล่ะจีจี้ ไม่งั้นผมก็ไม่มีเงินไปใช้หนี้เขา” เตชน์บอกด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเหนื่อยอ่อน

“มันต้องไม่เป็นแบบนี้สิ บ้า! บ้าชะมัด ทำไมฉันถึงได้โง่แต่งงานกับคุณนะ” จิรัสยาพูดขึ้นด้วยอารมณ์หงุดหงิด

เมื่อปีก่อน หญิงสาวไม่เคยคิดเลยว่าการตกลงปลงใจแต่งงานกับชายหนุ่มหน้าตาดี ฐานะมั่นคงอย่างเตชน์จะกลายเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิต ตลอดชีวิตสมรสที่ผ่านมาของทั้งคู่ แม้เธอกับเตชน์จะไม่ได้เป็นสามีภรรยาที่รักใคร่กันมากนัก แต่ทั้งสองก็ยังประคองชีวิตสมรสให้ผ่านพ้นมาได้หนึ่งปีเต็ม โดยไม่มีบุตรเป็นโซ่ทองคล้องหัวใจทั้งสองดวงไว้

แต่ก็นั่นแหละ บางครั้งความอดทนของคนก็มีจุดสิ้นสุดได้เช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อมีปัญหาเกี่ยวกับเงินทองเข้ามาเป็นปัจจัยหลัก จิรัสยายอมรับว่าการที่เธออดทนประคับประคองชีวิตสมรสของตัวเองกับสามีมาได้ตลอดรอดฝั่ง ตัวแปรสำคัญอย่างหนึ่งก็คือเงิน เตชน์ไม่เคยขี้เหนียวกับเธอ สิ่งใดที่เธอร้องขอมักได้มาโดยง่ายเสมอ แต่นั่นไม่ใช่สถานการณ์ในทุกวันนี้ วันที่สามีของเธอกลายเป็นคนมีหนี้สินล้นตัว

ร่างระหงในชุดเดรสสีดำจ้องมองคนนั่งหมดแรงอยู่บนโซฟาด้วยความรู้สึกคล้ายคนใกล้หมดความอดทน หญิงสาวตัดสินใจหันหลังกลับ กระแทกส้นเท้ากลับขึ้นไปยังห้องนอนของตัวเอง

เตชน์ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง รู้สึกล้าไปทั้งกายและใจกับสภาพที่กำลังเผชิญหน้าอยู่ในขณะนี้ ชายหนุ่มนั่งพักอยู่บนโซฟาครู่ใหญ่ จึงตัดสินใจเดินตามภรรยาขึ้นไปยังห้องนอน เห็นจิรัสยากำลังลงมือเก็บข้าวของใส่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่

“นั่นคุณจะไปไหน”

ร่างระหงชะงักไปเล็กน้อย แต่เพียงครู่เดียวเธอก็เดินกลับมายังโต๊ะเครื่องแป้ง ดึงกล่องกำมะหยี่สีแดงใบใหญ่ซึ่งบรรจุทองและเครื่องเพชรหลายชิ้นมาใส่กระเป๋าเดินทาง

“จีจี้จะกลับไปอยู่บ้านแม่ค่ะ ในเมื่อคุณตัดสินใจจะขายบ้านหลังนี้แล้ว จะอยู่ต่อไปทำไม”

“ถึงไม่มีบ้านหลังนี้ เราก็ยังอยู่กันได้ไม่ใช่เหรอ คุณก็รู้ว่าผมยังมีบ้านอีกหลังหนึ่งอยู่นอกเมือง”

สีหน้าของจิรัสยาเบ้ลงทันที บ่งบอกถึงความดูถูกชัดเจน

“คุณเรียกโกดังเก่าซ่อมซ่อกลางทุ่งแบบนั้นว่าบ้านเหรอคะ ที่ดินแถวนั้นอันตรายจะตายไป ไม่มีใครย้ายไปอยู่หรอก จำไม่ได้รึไงเมื่อหลายเดือนก่อนมีข่าวเรื่องอุกกาบาต ตกลงมาบนทุ่งนาแถวนั้น ไม่เอาหรอกจีจี้ไม่อยากไปอยู่ในที่ที่ทั้งร้าง ทั้งอันตรายแบบนั้น”

เตชน์ถอยหายใจออกมากับข้ออ้างของภรรยา

“มันไม่ได้แย่ขนาดนั้นสักหน่อย ข่าวนั้นก็แค่โคมลอย ไม่มีใครออกมารายงานสักหน่อยว่าเรื่องอุกกาบาตตกเป็นเรื่องจริง หรือถึงจะจริงมันก็ไม่เห็นจะอันตรายตรงไหน ใช่ว่ามันจะตกลงมาทุกวันเสียหน่อย แล้วที่ดินแถวนั้นถ้าปรับปรุงดูแลดีๆมันก็เป็นบ้านของเราได้เหมือนกัน มันกว้างอยู่หลายไร่ เหมาะจะเริ่มต้นทำอะไรสักอย่าง”

คราวนี้เตชน์เห็นชัดเลยว่าสีหน้าของคนฟังมองเขากลับมาหาด้วยสายตาดูถูกชัดเจน

“ทำธุรกิจจนเจ๊งขนาดนี้แล้ว คุณยังกล้าลงทุนอีกเหรอคะ ไม่ล่ะ จีจี้ไม่อยากเอาชีวิตตัวเองมาเสี่ยงกับคุณอีกแล้ว ตลอดปีที่ผ่านมานี้ก็มากเกินทน” หญิงสาวบอกด้วยความเหลืออด สองมือบางปิดกระเป๋าเดินทางลง คว้ากระเป๋าถือตัวเองขึ้นมาสะพาย ก่อนลากกระเป๋าเดินทางตรงมายังประตูห้องนอน

“เดี๋ยวสิจีจี้ คุณจะไปจริงๆเหรอ” เตชน์ถามด้วยความตกใจ มือหนาคว้าแขนอีกฝ่ายไว้มั่น สายตาคมหมองลง แฝงไว้ด้วยความเจ็บปวดชัดเจน

แต่กระนั้น ความเจ็บปวดในแววตาของเขากลับส่งไปไม่ถึงผู้เป็นภรรยา จิรัสยาแกะมือชายหนุ่มออกจากแขนตัวเอง จ้องมองอีกฝ่ายโดยไม่มีแววเห็นใจเลยแม้แต่น้อย

“ลาก่อนนะคะเตชน์ จีจี้ดีใจที่เมื่อปีก่อนไม่ได้คิดจะจดทะเบียนกับคุณ”


--------------------------------------------------------------------
Note1: อุกกาบาตในประเทศไทย มีการรายงานไว้ว่ามีการค้นพบก้อนอุกกาบาตของจิรงไว้สี่ครั้งคือที่ นครปฐม(2466) เลย(2524) เพชรบูรณ์(2536) และพิษณุโลก(2552) – ที่มาจากสมาคมดาราศาสตร์ไทย



ริญจน์ธร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 ต.ค. 2555, 13:54:09 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 ต.ค. 2555, 13:54:09 น.

จำนวนการเข้าชม : 2260





<< บทนำ เหตุเกิดในวันฝนตก   บทที่ 1/2 ผู้ชายในสายฝน (จบตอน) >>
lovemuay 18 ต.ค. 2555, 14:01:08 น.
หวังว่าไปแล้วไปลับไม่กลับมานะ เหอะๆ


ameerahTaec 18 ต.ค. 2555, 15:16:18 น.
ผญ แบบจีจี้ - - เหอะๆๆๆๆๆ สนุกดีค่า เทคโนโลยีทันสมัยมาก อ่านแล้วเหมือนดูหนังเลยคะ จอโปร่งแสง ชอบๆๆๆๆ คะ


goldensun 18 ต.ค. 2555, 20:37:55 น.
ลืมตอนเก่าไปแล้ว ย้อนกลับไปดูอีกที คราวนี้ล้ำไปอนาคตซีนะคะ
จีจี้สุดๆ ไปเลย พอเตชน์ตกยาก ก็โดนทิ้ง แล้วเตชน์ก็ถูกยิงนี่คะ
เปิดตัวตอนนี้ มีพิมพ์ออกมา เป็นนางเอกแน่ แล้วจะยังไงต่อ


หมูอ้วน 19 ต.ค. 2555, 05:52:47 น.
รอตอนต่อไปค่ะ


Zephyr 21 ต.ค. 2555, 00:37:09 น.
ขอให้เธอไปดีนะ จีจี้ ไปแล้วไปลับล่ะ
เตชน์นี่ พระเอกเรารึป่าวน้า
เปิดเรื่องอนาคตเลยเน้อ อ่านแรกๆ งงนิดหน่อย แต่รู้เรื่องแล้วค่ะ


patok 25 ต.ค. 2555, 16:01:16 น.
เอิ่มความจริง เหลือหุ่นตัวสุดท้ายที่ครอบครัวสร้างขึ้นมา ไม่ได้ขายเลยเนอะ น่าจะเก็บไว้เองอ่ะ เสียดายจัง--

เอาซะแล้ว ผู้หญิงใจร้าย เห็นแก่เงิน--ขอให้พระเอกได้เจอนางเอกเร็วๆด้วยเถิด


KeeRa 2 ก.พ. 2556, 13:17:03 น.
เอิ่ม...แสดงว่าเตชน์ของเรายังพอมีบุญ ทำให้ยัยจีจี้หลุดจากวงโคจรไปได้


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account