oOo รุ้งฤดูร้อน oOo
...เมื่อความรักเป็นบ่อเกิดทุกๆ สิ่ง สร้างความแค้น ชิงชัง และการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ความรัก...ก็ควรเป็นบทยุติของทุกเรื่องราว...
...อาจจะเจ็บปวด อาจบอบช้ำ แต่สุดท้ายความรักจะโอบกอดทุกดวงใจให้สนิทแนบแน่น...
...อาจจะเจ็บปวด อาจบอบช้ำ แต่สุดท้ายความรักจะโอบกอดทุกดวงใจให้สนิทแนบแน่น...
Tags: รุ้งฤดูร้อน,ปลากัด,รักร้ายๆ
ตอน: oOo รุ้งฤดูร้อน บทที่ 10 oOo
เง้อ ที่จริงจะอัพตั้งแต่เช้า แต่ว่ามีปัญหานิดหน่อย สะเพร่าเอง แหะๆ
เพิ่งมาเห็นว่าตัวเองโก๊ะ เลยอัพตอนนี้ละกันค่ะ ^^"
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์จากหัวใจนะคะ ^________^
เขียนไปแอบกังวลไปว่าเรื่องนี้จะเครียดเกินไปหรือเปล่า แต่พล็อตมาอย่างนี้อ่า แหะๆ
ฝากแนะนำติชมด้วยนะคะ เผยโครงการนิดนึงว่าเรื่องหน้าคอมมิดี้ ขยับต่อมฮา
พักน้ำตาและความเครียดกันค่ะ รวมถึงมีพี่นักเขียนที่พอคุ้นกันในเว็บนี้เขียนร่วมกันค่ะ
คิมหันต์ - แอ๊ เครียดเกินไปหรือเปล่าคะเรื่องนี้ ซุยุฝากมาขอบคุณค่ะ ^^
จิรารัตน์ - อ่านทันหรือยังคะ ^^
roseolar - ซุยุปลื้มมีแต่คนชอบ 555
anOO - พี่เมษกลับมาแล้วจ้า ^^
Pat - สองคู่ค่ะ แต่ใครจะคู่ใครนั้นดูกันต่อไปนะคะ พี่ปรานต์คงดีใจที่มีคนเห็นใจค่ะ
*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*
บทที่ 10
แต่ละวันสำหรับเพลงพรรษช่างผ่านไปเชื่องช้า เวลาทุกวินาทีดุจเดินบนพรมหนาม หนามของกลีบกุหลาบในวันนั้น ยิ่งต้องเหยียบย่างลงบนพื้นของนราวิวัฒน์ร่างบางยิ่งรานร้าว ที่นี่สำหรับเธอคือขุมนรก...เพราะเมื่อไหร่ที่ตัดสินใจลงมือทำตามคำสั่งคุณปภาวี ตายไปคงได้ตกนรกขุมลึกและทรมานสุดๆ
กวาดตามองรอบห้องอันว่างเปล่าผู้คนซึ่งปกติมีแค่สองคนคือเธอกับเจ้านาย หลังจากเมษรักษ์ไปเมื่อสี่วันก่อน หญิงสาวไม่รู้ความเป็นไปของชายหนุ่มเลย เขาคงติดต่อกับลิซ่า ไม่มีความจำเป็นอันใดที่ต้องติดต่อมาหาเธอ งานทุกอย่างผ่านมือลิซ่าทั้งหมด ส่วนไหนเป็นของเธอเลขาฯ สาวก็จะนำมาให้พร้อมคำชี้แจง
วันนี้ชั้นผู้บริหารเงียบ อารดาคงเข้าห้องทำงานอีกฝั่งไปแล้ว ลิซ่าก็ไม่ได้อยู่ตรงโต๊ะหน้าห้อง
หรือนี่จะเป็นเวลาแห่งการ...ลงมือ!
พอคิดดังนั้นหัวใจดวงน้อยสะท้านวูบ กลืนน้ำลายลงคอยากลำบาก…ไม่อยากทำ เธอไม่อยากทำผิด การแข่งขันทางธุรกิจน่าจะเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม ทว่า...เหตุการณ์ในวันนั้นปรานต์คงเจอหนักไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเธอแน่ เพื่อเขาสักครั้ง แลกกันไม่ได้เลยกับสิ่งที่เขาทำให้เธอมากมายนัก
“พรรษจะช่วยพี่ปรานต์ค่ะ” เพลงพรรษพึมพำกับตัวเอง จับสายตาไปยังคอมพิวเตอร์บนโต๊ะเจ้าของนราวิวัฒน์นิ่ง “ขอโทษนะคะพี่เมษ พรรษจำเป็น จำเป็นจริงๆ นะคะ” มือเรียวทั้งสองข้างสอดประสานกันอยู่ตรงหน้าอก บีบแน่นจนข้อนิ้วแดงช้ำ
หญิงสาวก้าวไปยังโต๊ะของเมษรักษ์ช้าๆ เคลื่อนผ่านไปจนอยู่เบื้องหน้าจอคอมพิวเตอร์หลับตาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกสุดลึกอีกครั้ง เมื่อลืมตาพร้อมระบายลมหายใจออกแทบหมดปอด ปฏิบัติการล้วงข้อมูลก็บังเกิดขึ้น!
อาจเพราะชั้นผู้บริหารอยู่ชั้นสูงสุดของตึกจึงทำให้ลมโกรกไม่ขาดระยะ มือสั่นๆ จึงค่อยสงบนิ่งลง เหงื่อเปียกชื้นตามไรผมเริ่มแห้ง อาการหายใจรัวถี่ลดระดับลงเป็นจังหวะปกติ ร่างแบบบางในชุดพอดีตัวยืนทอดสายตามองทัศนียภาพยามสายของเมืองกรุง ความว้าวุ่น เร่งรีบใดๆ ไม่มีความน่าสนใจเท่าการทำผิดของตัวเอง
เวลาเกือบชั่วโมงที่เธอเฝ้าหาไฟล์ประมูลงาน และเธอก็พบมันจนได้ น่าแปลกว่าเมื่อได้มากลับไม่มีความโล่งอกโล่งใจเลยสักนิด มีเพียงความรู้สึกผิดล้นทะลักออกมาทางดวงตาคู่สวยที่กำลังเอ่อรื้น เจียนหยดลงอาบแก้มรอมร่อ
เพลงพรรษถอยหลังมาทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้สีขาวสะอาดตา วันนี้ดอกแก้วดอกใด กลิ่นหอมแค่ไหนก็ไม่ได้รับความสนใจอย่างเก่าก่อน ร่างกายราวกับสิ้นไร้เรี่ยวแรง แขนเรียวยืดพาดลงบนโต๊ะก่อนซบหน้าลงบนท่อนแขนเรียวปล่อยน้ำตาหยาดไหล โสตประสาทที่ได้รับการกระตุ้นนานนับชั่วโมงเริ่มอ่อนล้า เพียงไม่กี่นาทีถัดมา สายลมเย็นที่โชยโอบรอบกาย อุปาทานหรือไรก็สุดรู้ หญิงสาวสัมผัสคล้ายมืออุ่นอันคุ้นเคยมาจับศีรษะนวดเบาๆ แล้วรูดเส้นผมจากโคนจรดปลายซ้ำๆ กันหลายครั้ง รอยยิ้มระบายออกน้อยๆ ยามเมื่อเผลอไผลหลับไปด้วยอาการผ่อนคลาย
แวบแรกที่ก้าวเข้ามาในห้องแล้วไม่เจอคนที่อยากเจอ เมษรักษ์หงุดหงิดจนแนวคิ้วขมวดแน่น สายตาคมกวาดมองรอบห้องจนมาหยุดอยู่กับผ้าม่านสีเข้มด้านหลังโต๊ะผู้ช่วยส่วนตัวซึ่งกำลังสะบัดพลิ้ว
มือข้างหนึ่งดึงออกจากกระเป๋ากางเกงเลื่อนขึ้นปลดแว่นกันแดดสีดำออกจากใบหน้า นำไปวางไว้บนโต๊ะทำงานตัวเอง แล้วก้าวเท้าไปยังทิศทางที่คาดว่าน่าจะได้เจอ ‘เป้าหมาย’
เพียงแหวกม่านออกไปด้านข้างสายตาก็ปะทะกับร่างบางที่ฟุบหลับอยู่กับโต๊ะสีขาวนอกระเบียง ปรากฏรอยยิ้มมุมปากด้านซ้ายบนใบหน้าเมษรักษ์ทันที ขายาวก้าวเบาฝีเท้าเพื่อไม่ให้รบกวนคนแอบพักผ่อน มาหยุดยืนเบื้องหน้าหญิงสาวแล้วชายหนุ่มเพ่งพินิจด้วยแววตาอ่อนแสง ยิ่งมองเธอคนนี้ยิ่งคล้ายใครบางคนจนเกือบเป็นภาพทับซ้อน
...อยากกอด อยากครอบครอง อยากอยู่ใกล้ กักเก็บไว้ไม่แบ่งให้ใคร...บ้า! เขาต้องบ้าแล้วแน่ๆ ที่คิดได้ขนาดนี้
โน้มตัวไปเพียงเพื่อปัดปอยผมออกจากแก้มเนียนเท่านั้น ไม่คิดปลุกให้ตื่นหรือล่วงล้ำ ทว่าพอเข้าใกล้หัวใจก็หวั่น ประหวัดนึกไปถึงค่ำคืนหน้าบ้านพสุธาเทพ กลิ่นแก้มนวลหอมยวนใจแม้ได้สัมผัสแค่เสี้ยววินาที
อีกสักครั้งคงไม่เป็นไรกระมัง...เร็วเท่าความคิดจมูกโด่งฝังลงบนเนื้อแก้มนิ่ม สูดกลิ่นหอมชื่นใจจนแทบไม่อยากถอนคืน
ขยับใบหน้าออกห่างเพื่อมองว่าคนโดน ‘ฉวยโอกาส’ รู้สึกตัวหรือเปล่า เมื่อได้เห็นว่าอีกฝ่ายยังหลับตานิ่ง ชายหนุ่มอมยิ้ม...อะไรหนอทำให้คนหลับยากมานั่งหลับตรงนี้ได้...ที่แน่ๆ นอกจากหลับยากแล้วเธอยังตื่นยากอีกด้วย
เพราะกลัวเธอจะเมื่อยเมษรักษ์จึงตัดสินใจสอดแขนทั้งสองข้างช้อนร่างบางเข้าสู่อ้อมกอด ตั้งใจพาเธอไปนอนให้สบายบนโซฟาตัวยาวภายในห้องทำงาน
“พี่เมษ!” แววตาตื่นตระหนก ไม่อยู่ในความสนใจเท่ากับแขนเรียวที่วาดโอบรอบคอเขาตามสัญชาตญาณแห่งความตกใจ
“ดีใจที่ยังจำกันได้” เขาว่ายิ้มๆ เหล่ตามองเรียวแขนที่ยังค้างที่เดิม
“อุ๊ย! ขอโทษค่ะ พี่เมษปล่อยพรรษลงเถอะนะคะ” บอกพลางค่อยหดแขนลงมาแนบลำตัว ก้มหน้าที่กำลังร้อนจนน่ากลัวว่ามันจะแดงเรื่ออวดสายตาอีกฝ่ายเสียก็เป็นได้ไม่กล้าสบตาวิบวับคู่นั้น
“ไหนๆ ก็อุ้มแล้ว วางรอบเดียวในห้องแล้วกัน” ไม่รอให้คำคัดค้านใดๆ หลุดออกมาอีก เมษรักษ์ก้าวยาวๆ รวดเร็วมาวางเธอลงบนโซฟาตามความตั้งใจ คำว่า ‘ในห้อง’ ของเขาชวนให้หญิงสาวอกสั่นด้วยวาจากำกวม
“พรรษไม่ง่วงแล้ว กลับไปทำงานต่อดีกว่านะคะ” ร่างบางเด้งลุกขึ้นนั่งบนโซฟา หากมือใหญ่เอื้อมมากดไหล่ไว้ไม่ให้ลุกยืนเป็นลำดับต่อมา พอเธออ้าปากจะพูดเขาก็เบิกตาเป็นเชิงห้ามกึ่งออกคำสั่ง คนเป็นลูกจ้างจึงทำได้เพียงนิ่งเฉย
“ไม่ง่วงก็ดี จะได้คุยกันก่อน คุณไม่ขัดข้องใช่ไหม?” เขาว่าง่ายๆ หดมือกลับเพื่อยกขึ้นพาดพนักโซฟา เอียงข้างมาทางเธอ “ทำไมถึงไปนั่งหลับอยู่ตรงนั้น” ท่าทางที่อาจไม่ดุ แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นกันเองเสียทีเดียวทำให้เพลงพรรษอึดอัดเสมอ
“พรรษขอโทษค่ะ พรรษอู้งาน พี่เมษจะหักเงินเดือนหรือไล่พรรษออกก็ได้นะคะ” หญิงสาวรัวคำพูด ยังไม่กล้าเงยสบตาเขา ด้วยบางสิ่งก่อนหน้านี้วนเวียนอยู่ในหัวใจตลอดเวลา
คิ้วหนากระตุก ดวงตายามมองคนตรงหน้าฉายแววสงสัยระคนไม่พอใจ
“ถ้าคิดจะไล่ออกง่ายๆ คงให้ออกไปตั้งแต่วันที่คุณคิดจะออกแล้วล่ะ” น้ำเสียงต่างจากเมื่อครู่ราวปุยเมฆแสนนุ่มเป็นก้อนหินแข็งกระด้าง “ผมไม่ได้ว่าคุณอู้งาน แค่ถามว่าทำไมถึงไปนอนหลับตรงนั้น...ชอบเหรอ?”
คำถามตบท้ายอ่อนลงมานิดเรียกใบหน้าเรียวให้เงยมองเป็นเชิงถาม เมื่อเขายังสบตานิ่งเธอจึงพยักหน้ารับ ตอบตะกุกตะกัก
“ค่ะ...ชอบ” ความจริงครึ่งหนึ่งคือชอบ ความจริงอีกครึ่งคือหลบไปนั่งสงบสติอารมณ์หลังจากทำสิ่งผิดมหันต์กับนราวิวัฒน์...กับเขาผู้นั่งอยู่ตรงหน้าเธอ ณ ขณะนี้
“ดี ถ้าชอบก็ซื่อสัตย์กับนราวิวัฒน์ให้ตลอด จะได้ไปนั่งตรงนั้นบ่อยๆ เท่าที่ใจคุณต้องการ” ใจของเพลงพรรษเต้นระรัวจนน่ากลัวว่าเขาจะได้ยิน หญิงสาวกัดริมฝีปากล่างแน่นเพื่อข่มอารมณ์กลัว
“ทะ...ทำไมพี่เมษกลับมาเร็วจังคะ ไหนบอกว่าจะไปหนึ่งอาทิตย์ไม่ใช่เหรอคะ” การเปลี่ยนเรื่องคุยน่าจะทำให้บทสนทนาพ้นไปจากเรื่องที่อาจวนเวียนมาถึงความผิดของตัวเองได้
“ก็คิดถึง...เป็นห่วง” น้ำเสียงอาจฟังเฉยๆ แต่แววตาไม่บ่งบอกว่าเฉยเลยสักนิด “ห่วงงานทางนี้ เลยรีบกลับมา” จบคำพูดตัวเองเมษรักษ์คงไม่ได้หูฝาดที่ได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ จากคนนั่งข้าง ชายหนุ่มไม่นึกขุ่นใจ กลับนึกขันเสียมากกว่า
“เดี๋ยวพรรษไปหาเครื่องดื่มมาให้พี่เมษดีกว่านะคะ พี่เมษจะรับอะไรดีคะ”
“ไม่ล่ะ ผมอยากรู้มากกว่าว่าตอนผมไม่อยู่งานทางนี้เรียบร้อยดีไหม”
หญิงสาวไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงไม่ไปถามจากลิซ่า คาดว่าทุกเรื่องเลขาฯ คนเก่งน่าจะรายงานได้ดีกว่าเธอหลายเท่า มาถามกันแบบนี้ เธอใจคอไม่ดีเอาเสียเลย...นี่ล่ะนะ ที่เขาว่าคนมีความผิดมักร้อนตัวตลอดเวลา
“ก็...ก็เรียบร้อยดีค่ะ”
“อืม” คนเป็นเจ้านายรับคำง่ายเสียจนเพลงพรรษทั้งงงทั้งสับสน “ผม ‘ไว้ใจ’ คุณถึงยอมให้เป็นผู้ช่วยและให้เข้ามานั่งทำงานในห้องทำงานด้วย ถ้าคุณบอกว่าเรียบร้อยผมก็ไม่มีเหตุผลอะไรต้องไม่เชื่อ คุณว่าจริงไหม” นี่ไง เมษรักษ์ตัวจริงต้องจบด้วยคำถาม และเป็นคำถามที่ไม่มีใครมีสิทธิ์ตอบว่าไม่
“ค่ะ” คำว่า ‘ไว้ใจ’ ถูกเน้นย้ำลึกไปถึงหัวใจดวงน้อยของเพลงพรรษ หญิงสาวอยากร้องไห้ อยากสารภาพความผิดกับเขา อยากบอกเขาไปเลยว่าเธอทำอะไรเลวร้ายลงไปกับนราวิวัฒน์ ยิ่งคิดเธอยิ่งทรมานใจ
ก่อนทุกอย่างจะเลวร้ายไปกว่านั้นประตูห้องก็เปิดผลัวะพร้อมเลขาฯ สาวก้าวเข้ามาราวกับรีบร้อนอะไรนักหนา
“อ้าว พี่เมษมาเมื่อไหร่คะเนี่ย ต้องขอโทษด้วยค่ะ นึกว่าน้องพรรษอยู่คนเดียวเลยไม่ได้เคาะประตู” การกลับมาของเมษรักษ์คราวนี้เลขาฯ ผู้รู้ใจอย่างลิซ่าไม่ได้รู้ล่วงหน้าจริงๆ ทว่าเธอกลับไม่แปลกใจอะไรเลย พอเดาได้หรอกเหตุผลของการกลับมาเร็วกว่ากำหนด ดูเอาจากตำแหน่งที่ทั้งสองคนนั่งกันเวลานี้...สงสัยทนความคิดถึงคนแถวนี้ไม่ไหว
“เสียมารยาทแล้วยังมายืนอมยิ้มอีก คุณนี่เป็นเลขาฯ ผมมาได้ยังไงตั้งนานนะลิซ่า” อาการพยายามดุของเมษรักษ์ไม่อาจทำให้คนถูกดุสะทกสะท้านได้เลย ตรงกันข้ามเธอยิ่งลอยหน้าลอยตายียวนเขา
“เสียมารยาทที่ไม่เคาะ หรือเสียมารยาทที่มาขัดจังหวะคะพี่เมษ”
“ทั้งสองอย่างนั่นล่ะ” พอเขาตอบอย่างนั้น ลิซ่ายิ่งต้องเพิ่มแรงกลั้นยิ้มหนักเข้าไปอีก หันมองอีกคนที่อยู่ภายในห้อง ฝ่ายนั้นเอาแต่ก้มหน้านวลที่ซับสีเรื่ออย่างห้ามไม่อยู่
“โอเคค่ะ งั้นลิซ่าไถ่โทษด้วยการออกไปเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยก็ได้ค่ะ พี่เมษจะได้มีเวลาส่วนตัว” ร่างโปร่งทำท่าจะหมุนตัวเดินออกจากห้อง แต่สองเสียงเรียกรั้งไว้พร้อมกัน ใบหน้าเปื้อนยิ้มของลิซ่าถูกปรับให้เป็นปกติก่อนหันหลังกลับมาถาม “พี่เมษกับน้องพรรษมีอะไรเหรอคะ เรียกพร้อมกันเชียว ใจตรงกันจริงๆ เลย”
เพลงพรรษเงียบ ให้เกียรติคนเป็นเจ้านายได้พูดก่อน แต่เขาก็ผายมือเชื้อเชิญให้เธอพูดก่อน
“เปล่าหรอกค่ะ พรรษแค่จะถามว่าคุณลิซ่ามีงานอะไรจะให้พรรษทำเพิ่มหรือเปล่าถึงเข้ามาน่ะค่ะ” และคนที่ตอบคำถามนี้กลับไม่ใช่คนถูกถาม แต่เป็นคนมีสิทธิ์ทุกอย่างในบริษัทนี้
“ไม่มีหรอก เดี๋ยวคุณกับผมไปคุยกันที่ห้องประชุมก็แล้วกัน” เมษรักบอกพลางลุกยืน “ส่วนคุณนั่งทำงานอยู่ที่นี่ เลิกงานแล้วรอผมด้วย ห้ามกลับก่อนเด็ดขาด”
ร่างสูงเดินออกจากห้องไปหลังสั่งทุกอย่างเสร็จสรรพ ลิซ่าสบตากับเพลงพรรษแล้วยักไหล่ยิ้มๆ
“อย่าคิดมากค่ะ เจ้านายพี่คนนี้เขาจริงจังและจริงใจ น้องพรรษอย่าไปขัดใจเขาแล้วกันนะคะ พี่ไปก่อนค่ะ”
ลิซ่าตามเจ้านายออกไปอีกคน เหลือเพลงพรรษกับความเงียบ หญิงสาวพ่นลมหายใจออกอย่างโล่งอกที่ไม่ต้องเผชิญหน้ากับเขาตอนยังตั้งสติได้ไม่เต็มร้อย โชคยังดีที่เขาไม่กลับมาตอนเธอลงมือ ไม่อย่างนั้นล่ะก็...ไม่อยากคิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
“ถ้ามีโอกาส พรรษจะไถ่โทษให้นะคะพี่เมษ” หญิงสาวพึมพำกับตัวเองเบาๆ
แม้จะพอรู้ว่าการนัดมาทานอาหารมื้อเที่ยงอย่างนี้ไม่ใช่วิสัยของปรานต์ที่จะปฏิบัติต่อเธอ ซุยุก็ไม่ได้นึกแปลกใจอะไรนักหนา เหตุผลของการนัดปัจจุบันทันด่วนในวันนี้เธอรู้เต็มอก และไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจใดๆ กับเขาด้วย หญิงสาวลงจากรถตามปกติ ไม่รีบร้อน ไม่รีบเร่ง ถึงเวลาตอนนี้จะเกือบบ่ายโมงแล้วก็ตาม ทุกก้าวย่างแทบช้ากว่าที่เคยเดิน...อยากร้อนใจนักก็จะแกล้งเสียให้เข็ด กว่าเธอจะเดินถึงจุดที่เขารอ บางทีอาจกระอักเลือดตายเสียก็เป็นได้ หญิงสาวคิดแล้วขำ
พอมาถึงระยะสายตามองเห็น สิ่งที่ซุยุคาดไว้ไม่ผิดเลย ปรานต์ไม่ได้นั่งอยู่บนเก้าอี้ เขาเดินวนไปวนมารอบโต๊ะ จนแขกโต๊ะอื่นหันมองกันเป็นจุดสนใจ กระนั้นคนถูกมองซึ่งปกติวางตัวอยู่ในมาดนักธุรกิจสุขุมก็ไม่ได้สำเหนียกหรือระลึกได้เลย
“ฉันกำลังดีใจมากนะคะ ที่คุณคิดถึงฉันจนนั่งไม่ติดขนาดนี้ ไม่เจอกันสองวันเองนะคะคุณปรานต์” ทุกถ้อยคำเต็มไปด้วยแววขบขันล้อเล่น ปรานต์หยุดกึก จ้องมองสาวลูกครึ่งญี่ปุ่นราวกับไม่เคยพบเคยเห็น ทั้งที่ความจริงการแต่งตัวเธอยังน่ารักเหมือนเดิมทุกประการ แววตาใสซื่อ กับรอยยิ้มชวนมองไม่แผกไปจากทุกครั้งที่เจอกัน
เพียงแต่ตอนนี้ปรานต์รู้ว่าทุกอย่างเหล่านั้นคือการปั้นแต่งมาหลอกตา เธอแสดงอีกอย่าง ทำอีกอย่าง
“ใช่ ผมคิดถึงคุณ คิดถึงมากจนรอให้ถึงวันที่เราต้องแต่งงานกันไม่ไหว” น้ำเสียงห้วนกระด้างของปรานต์ ลดความกระจ่างรอยยิ้มบนใบหน้าซุยุไปแวบหนึ่ง แต่เธอรีบปรับมันให้เหมือนเดิม ทิ้งตัวนั่งลงตรงเก้าอี้ข้างชายหนุ่ม ยกมือโบกเรียกบริกรมาสั่งอาหารอย่างใจเย็น
ภายในใจร้อนรุ่มดุจดั่งกองไฟขนาดใหญ่สุมอยู่และมีคนเติมเชื้อเพลิงไม่ขาดสาย ชายหนุ่มเฝ้ารอให้เธอสั่งอาหารเสร็จ รอจนบริกรนำอาหารมาเสิร์ฟและถอยห่างออกไป ท่าทางตักอาหารเข้าปาก เคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยอย่างจงใจของซุยุทำให้ปรานต์หมดความอดทน อ้าปากจะเริ่มเรื่องคาใจ
“อื้อ คุณนี่เลือกร้านเก่งจริง อาหารที่นี่อร่อยมากเลยนะคะเนี่ย อ่ะ ลองชิมไหม สปาเก็ตตี้นี่อร่อยนะ” ไม่พูดเปล่า มือบางผลักจานสปาเก็ตตี้ของตัวเองไปตรงหน้าเขา
“ทำไมคุณถึงรับปากคุณแม่ว่าจะแต่งงานกับผม ทั้งๆ ที่คุณเคยบอกผมว่าจะปฏิเสธ” สีหน้าแววตาปรานต์จริงจัง
“ว้า ลืมสั่งเครื่องดื่ม เดี๋ยวขอสั่งเครื่องดื่มก่อนนะคะ” ว่าแล้วยกมือหมายเรียกบริกรอีกครั้ง ปรานต์สิ้นสุดความอดทน มือหนาคว้าหมับเข้าตรงมือเรียวที่ยกค้าง ด้วยอารมณ์กรุ่นทำให้เขาเผลอบีบมือเล็กแน่น...แน่นจนอีกฝ่ายรู้สึกเจ็บ ทว่าไม่ยอมแสดงออก
“ตอบคำถามผม...เรื่องนี้เราล้อเล่นไม่ได้ มันอาจไม่สำคัญสำหรับคุณ แต่มันสำคัญสำหรับคนมีคนรักแล้วอย่างผม” เหมือนยิ่งพูดเขายิ่งบีบมือซุยุแน่นขึ้นตามแรงอารมณ์ สาวลูกครึ่งญี่ปุ่นกัดริมฝีปากแน่น จ้องลึกลงไปในดวงตาเขา
...คำก็มีคนรัก สองคำก็มีคนรัก...ถึงไม่ย้ำ เธอก็จำมันได้ขึ้นใจหรอกน่า นึกว่าเธออยากรับปากคุณปภาวีนักเหรอ
“เคยมีใครปฏิเสธสิ่งที่คุณแม่คุณต้องการได้บ้างล่ะ”
“สำหรับชายคาพสุธาเทพอาจไม่มี แต่สำหรับคุณผมเชื่อว่าคุณหลีกเลี่ยงได้ แต่คุณไม่เลี่ยง” ปรานต์ยืนยันหนักแน่น ซุยุสะบัดมือออกแรงๆ จนหลุด ดึงกลับมาถูเบาๆ คลายความเจ็บอยู่ใต้โต๊ะ
“แล้วฉันมีเหตุผลอะไรที่จะไม่หลีกเลี่ยง อย่าบอกนะว่าคุณหลงตัวเองจนคิดว่าฉันหลงรักคุณน่ะ” ซุยุแกล้งรวนกลับบ้าง เธอเองโมโหเป็นเหมือนกันเมื่อเขาไม่ยอมรับฟังเหตุผลใดเลย
“แล้วถ้าไม่ใช่เหตุผลนั้น ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าคุณมีเหตุผลอะไรถึงตอบตกลงเรื่องแต่งงานกับคุณแม่ผม” โดนคำถามเจาะประเด็นขนาดนั้น ทำเอาซุยุถึงกับสะอึกเลยทีเดียว หญิงสาวเงียบชั่วครู่ คล้ายชั่งใจในคำตอบมากกว่าไม่มีคำตอบให้เขา
“เอาน่า คุณอย่าซีเรียสหน่อยเลย” ลองถ้าตึงเครียดกันอยู่อย่างนี้วันนี้ทั้งวันคงคุยกันไม่รู้เรื่อง หญิงสาวจึงพยายามปรับอารมณ์ให้รื่นเริงอีกครั้ง “คิดดูดีๆ สิว่า ลองคุณแม่คุณตัดสินใจแล้วว่าต้องการให้ลูกชายอย่างคุณแต่งงาน ต่อให้ฉันปฏิเสธ คุณแม่คุณก็ต้องหาคนอื่นมาทดแทนอยู่ดี ถึงฉันจะไม่ใช่คนดีอะไรนักหนา แต่อย่างน้อย แต่งงานกับฉัน เรายังต่อรองกันได้นะ”
“ต่อรองยังไง” ท่าทางอีกฝ่ายดีขึ้นมานิด ซุยุยิ้มพอใจ
“ฉันลองปฏิเสธแม่คุณแล้ว แต่ท่านยืนยันว่าถ้าฉันไม่แต่งกับคุณท่านจะหาคนอื่นมาแต่งแทนอยู่ดี และนั่นคงไม่ได้หมายถึงคนที่คุณรักแน่ แล้วคุณมั่นใจเหรอว่า คนที่แม่คุณหาให้ใหม่จะยอมคุณได้ขนาดฉันน่ะ” ยิ่งเธอพูดปรานต์ยิ่งคิดตาม “แต่ถ้าแต่งกับฉันเราแต่งกันแค่ในนามก็ได้นี่ ฉันพร้อมจะยืนยันกับคนที่คุณรักว่าระหว่างคุณกับฉันไม่มีอะไรมากกว่าความเป็นเพื่อน ดีไหม”
บังเอิญว่าปรานต์เป็นนักธุรกิจที่วิเคราะห์เป็น ไตร่ตรองรอบคอบก่อนตัดสินใจทุกอย่างเสมอ เมื่อฟังคำพูดสาวลูกครึ่งแล้วมองเห็นทั้งความเป็นไปได้และความยุ่งยากเท่ากัน
“ผมเชื่อว่าคนรักของผมมีเหตุผลพอ เธอจะยอมรับฟังหากเราอธิบาย แต่สายตาของสังคม ยังไงๆ ผมก็กลายเป็นคนมีพันธะอยู่ดี หากวันนึงผมต้องการแต่งงานกับเธอ เธอจะไม่ดูแย่ในสายตาคนอื่นหรือ”
“ถ้าวันนี้คุณแม่คุณไม่ยอมให้แต่งกับคนที่คุณรัก คุณคิดว่าวันหน้าท่านจะยอมเหรอ” หญิงสาวให้สติเขา ปรานต์ขบกรามขึ้นเป็นสันนูน ซุยุพูดถูก แล้วเขาต้องทำอย่างไรต่อไปล่ะคราวนี้
“จะยอมหรือไม่ยอมผมก็ต้องหาทางออกให้ได้ เพียงแค่ตอนนี้หยุดงานแต่งงานระหว่างเราให้ได้เสียก่อนเท่านั้นเอง” ซุยุอยากถอนหายใจให้หมดรากหมดโคนเสียจริง อุตส่าห์กล่อมมาตั้งนาน บทจะดื้อ ผู้ชายสุภาพอย่างปรานต์ก็ดื้อหัวชนฝา
หรือนี่ไม่ใช่การดื้อ...แต่เพราะความรัก ความรักทำให้เขาต้องต่อสู้เพื่อผู้หญิงคนนั้น
“เอาเลย เชิญตามสบาย คุณมีทางออกทางไหนก็ว่ามาเลย”
“คุณต้องบอกยกเลิกงานนี้กับคุณแม่” ปรานต์ยืนกรานเสียงแข็ง คนหมดอารมณ์ทานสปาเก็ตตี้กลอกตาขึ้นบนอย่างระอาใจ
“ทำไมคุณถึงเข้าใจภาษาไทยยากเย็นกว่าฉันขนาดนี้นะ ก็ฉันบอกแล้วไงว่าฉันปฏิเสธแม่คุณไปแล้ว ท่านไม่ยอมรับฟัง”
คราวนี้ชายหนุ่มจ้องมองคนตรงหน้าอย่างใคร่ครวญบางอย่างนิ่งนาน
“ผมลืมเรื่องสำคัญไปได้ยังไง”
“อะไร?” ซุยุแสดงสีหน้าระแวงแคลงใจต่อคำพูดเหมือนละเมอของเขา
“ครอบครัวคุณ...ผมไม่เคยสนใจที่มาที่ไปของครอบครัวคุณเลย แล้วพ่อแม่ของคุณเขายอมเหรอที่จะให้คุณแต่งงานกับผู้ชายที่พวกท่านยังไม่รู้จัก” เขาตั้งข้อสังเกตที่เพิ่งใช้สติระลึกถึง
“พ่อแม่ฉันเลี้ยงลูกแบบอิสระ เรื่องแต่งงานนี้ฉันบอกพวกท่านแล้ว ไม่มีปัญหาอะไร” ซุยุตอบแบบผ่านๆ นั่นทำให้ปรานต์ยังไม่ปักใจกับสิ่งที่หญิงสาวบอก
“ผมไม่ได้สนใจประเด็นนั้น ผมกำลังคิดว่าทำไมคุณไม่ใช้ข้ออ้างว่าพ่อกับแม่คุณไม่ยอมให้คุณแต่งงานกับผมล่ะ ถ้าแบบนั้นคุณแม่ก็บังคับเราไม่ได้”
สาวลูกครึ่งมองใบหน้าคมกับดวงตาฉายแววแห่งความหวังด้วยความจริงจัง สำหรับเขาผู้หญิงคนนั้นคงสำคัญมาก ถึงขนาดไม่สนเลยว่าการแต่งงานครั้งนี้คือผลพวงที่จะส่งหนุนให้ธุรกิจของพสุธาเทพก้าวหน้าไปไกลในระยะเวลาอันรวดเร็ว งานใหญ่ๆ จะถูกป้อนเข้าบริษัทเขาถ้าหากแต่งงานกับเธอ แม้กระนั้นพสุธาเทพกลับไม่อยู่ในหัวอกชายหนุ่มเลยล่ะหรือ
“ทุกอย่างสิ้นสุดแล้วคุณปรานต์ เรื่องการแต่งงานของเราอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าจะถูกจัดขึ้น คุณอย่าคิดเปลี่ยนแปลงอะไรเลย เตรียมตัวยอมรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นดีกว่า” ซุยุกล่าวเนิบช้า ทอดสายตาไปเบื้องหน้าไร้แววล้อเล่นหยอกเย้าเหมือนทุกที
“ทำไม ทำไมคุณถึงตัดใจง่ายดายขนาดนี้ ตกลงว่าเพราะอะไรกันแน่คุณถึงจะแต่งงานกับผม”
“ถ้าคุณได้เหตุผลคุณจะยุติเรื่องนี้ใช่ไหม” ทั้งสองคนจ้องตากันราวกับเป็นการต่อสู้ เสียงหัวเราะในวันวานถูกทดแทนด้วยความหม่นมัว “โอเค...ฉันยอมแต่งงานง่ายๆ เพราะฉันชอบคุณ เหตุผลเท่านี้น่าจะทำให้คุณยุติทุกอย่างได้ ฉันบอกไว้เลยว่า ต่อให้ตอนนี้คุณแม่คุณเปลี่ยนใจยกเลิกงานแต่งระหว่างเรา แต่ฉันนี่ล่ะที่จะไม่ยอมให้งานนี้ยกเลิก”
แม้คำตอบที่ให้เขาไปจะเป็นคำตอบเพื่อตัดบท แต่ยามเอ่ยทุกคำเหล่านั้นซุยุไม่ได้หลบสายตาแข็งกร้าวของอีกฝ่าย เธอหนักแน่นกับทุกสิ่งที่ตัดสินใจ
“ผมไม่เชื่อว่าคุณจะชอบผมถึงขนาดยอมเอาชีวิตเข้ามาพันธนาการไว้ด้วยกัน เราเพิ่งรู้จักและเจอกันไม่กี่ครั้ง มันง่ายถึงขนาดทำให้คุณสละชีวิตโสดได้เลยเชียวหรือ”
“เรื่องของหัวใจมักมีอะไรเซอร์ไพรส์เสมอแหละคุณ ความรักแบบแผนโบราณ มันใช้ไม่ได้ผลกับยุคปัจจุบันทันด่วนอย่างนี้หรอก”
เมื่อรูปการออกมาอย่างนี้ปรานต์ถึงกับไปไม่เป็น เขาไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป ครั้นจะพาเพลงพรรษหนีเขาคงทำแบบนั้นไม่ได้ นอกจากภาระเรื่องดูแลพสุธาเทพแล้ว อย่างไรเสียคุณปภาวีก็ได้ชื่อว่าแม่ จะให้ทิ้งไปดื้อๆ เขาทำไม่ได้
“เถอะ ผมจะหาทุกวิถีทางที่จะไม่ให้งานแต่งงานอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าเกิดขึ้น ขอบคุณที่คุณชอบผม แต่ผมรับไว้ไม่ได้จริงๆ”
ใบหน้าชาสลับร้อนวูบวาบราวกับโดนน้ำร้อนสาดมาแรงๆ ขนาดเธอบอกว่าชอบ เขายังปฏิเสธมาได้ ไม่แคร์เลยว่าเธอต้องเสียหน้าขนาดไหนจากคำพูดตรงๆ ของเขา
“เอาสิ ถ้าคุณมีวิธีใดเอาชนะคุณแม่คุณได้ ฉันยินดีออกไปจากชีวิตคุณ แต่...ถ้าคุณหาไม่เจอคุณคงต้องทนอยู่ในชีวิตฉันตลอดไปนะ วันนี้ฉันขอตัว”
ร่างบางลุกจากไปในทันที ปรานต์มองตามคนที่เดินลงเท้าหนักๆ จนลับสายตา ใช่ว่าบทสนทนาทั้งหมดจะไม่ส่งผลต่อความรู้สึกเขาเลย แปลกใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมไม่ไปโวยวายเอากับคุณปภาวี แต่กลับหาเหตุผลมาเอาเรื่องกับเธอคนนี้...เพราะเธอผิดสัญญา นั่นล่ะเหตุผลของเขา
รถยุโรปคันหรูจอดหน้าประตูรั้วสูงใหญ่ของบ้านพสุธาเทพ เมษรักษ์หันมองหญิงสาวข้างกายที่ยกมือจับประตูทันที หากเขายังไม่ยอมปลดล็อกเธอจึงหันมามองเขา และต้องหลบตาวูบเมื่อสายตาที่รออยู่นั้นพราวระยับจนใบหน้าร้อนวูบวาบ
เมษรักษ์จ้องใบหน้าสวยเงียบๆ จากวันแรกที่เขาเห็นเธอตอนไปรับอารดาที่มหาวิทยาลัยหญิงสาวคนนี้แทบไม่มีอะไรน่าสนใจแม้แต่น้อย น่าแปลกที่เขากลับมานอนไม่หลับในคืนนั้น ทั้งๆ ที่ไม่เคยสนใจใคร ตลอดชีวิตที่ผ่านมาจ่อมจมกับบางสิ่งที่รอเวลาสะสาง
พออารดาพาเธอเข้ามาที่นราวิวัฒน์และรู้จากประวัติที่เขาให้นักสืบไปสืบมาก่อนหน้านี้ เมษรักษ์ก็รับเธอเข้าทำงานง่ายดาย ซึ่งวันนี้เวลานี้ เขารู้ว่าที่รับเธอเข้าไปอยู่ในห้องทำงานของนราวิวัฒน์ไม่ใช่เพียงเหตุผลที่ว่าเธอมาจากชายคาพสุธาเทพ แต่เพราะความอ่อนโยนของเธอ ความเอื้อเฟื้อ รูปร่างและแววตาของเธอ
ทุกอย่างที่เป็นเธอทำให้เขาทั้งต่อต้านและโหยหา
“พี่...พี่เมษเปิดประตูให้พรรษสิคะ” ยิ่งน้ำเสียงกับท่าทางหวาดๆ ไม่เคยกล้าพูดหยาบหรือทำให้ใครไม่สบายใจ เขายิ่งขัดใจไปพร้อมๆ กับพึงพอใจ ชายหนุ่มหลับตาเพื่อลบลืมบางสิ่งในหัวใจ
“ได้...” เขาตอบด้วยรอยยิ้มกริ่มเลื่อนมือปลดล็อก เพลงพรรษเปิดประตูแทบจะทันที หากยังไม่ทันก้าวลงมือข้างหนึ่งก็ถูกยึดไว้ เพลงพรรษหันขวับกลับมามองพร้อมเกร็งแขนอัตโนมัติ “พรุ่งนี้เจอกัน” พูดจบชายหนุ่มดึงมือที่จับไว้แน่นขึ้นจูบแรงๆ เสียทีหนึ่งก่อนปล่อยให้เป็นอิสระ
ดวงตากลมโตจ้องมองร่างสูงนิ่งอึ้ง เขามาทำกับเธอแบบนี้ทำไม หัวใจดวงน้อยสั่นระรัว
“จูบผิดที่เหรอ งั้นเอาใหม่แล้วกัน” เขาชะโงกหน้าเข้าไปใกล้แต่หญิงสาวตั้งสติได้รีบก้าวลงจากรถปิดประตูรวดเร็ว เมษรักษ์ถึงกับหลุดหัวเราะออกมาอย่างน้อยครั้งที่ในชีวิตนี้เขาจะได้มีความสุขและหัวเราะอย่างนี้
พอคิดดังนั้นชายหนุ่มก็นึกถึงคนในครอบครัว พ่อ แม่ อารดา และลิซ่า สี่คนเท่านั้นที่ทำให้เขามีความสุข ก้าวเดินบนเส้นทางชีวิตสายนี้มาได้ไกลเกินกว่าที่เขาจะคาดถึง
ทุกคนคือกำลังใจ ทุกคนคือความรักแท้จริง
ชายหนุ่มขับรถจากที่นั่นมาด้วยความรวดเร็วเขาอยากกลับให้ถึงบ้านเพื่อไปเจออารดา ความรู้สึกบางอย่างแล่นสู่หัวใจ งานประมูลใกล้เข้ามาทุกที เขากลัว...กลัวอารดาจะตัดสินใจอะไรผิดๆ จนไม่มีทางแก้ไข
โปรดติดตามตอนต่อไป
น้อมรับทุกคำติชมค่ะ^^
เพิ่งมาเห็นว่าตัวเองโก๊ะ เลยอัพตอนนี้ละกันค่ะ ^^"
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์จากหัวใจนะคะ ^________^
เขียนไปแอบกังวลไปว่าเรื่องนี้จะเครียดเกินไปหรือเปล่า แต่พล็อตมาอย่างนี้อ่า แหะๆ
ฝากแนะนำติชมด้วยนะคะ เผยโครงการนิดนึงว่าเรื่องหน้าคอมมิดี้ ขยับต่อมฮา
พักน้ำตาและความเครียดกันค่ะ รวมถึงมีพี่นักเขียนที่พอคุ้นกันในเว็บนี้เขียนร่วมกันค่ะ
คิมหันต์ - แอ๊ เครียดเกินไปหรือเปล่าคะเรื่องนี้ ซุยุฝากมาขอบคุณค่ะ ^^
จิรารัตน์ - อ่านทันหรือยังคะ ^^
roseolar - ซุยุปลื้มมีแต่คนชอบ 555
anOO - พี่เมษกลับมาแล้วจ้า ^^
Pat - สองคู่ค่ะ แต่ใครจะคู่ใครนั้นดูกันต่อไปนะคะ พี่ปรานต์คงดีใจที่มีคนเห็นใจค่ะ
*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*
บทที่ 10
แต่ละวันสำหรับเพลงพรรษช่างผ่านไปเชื่องช้า เวลาทุกวินาทีดุจเดินบนพรมหนาม หนามของกลีบกุหลาบในวันนั้น ยิ่งต้องเหยียบย่างลงบนพื้นของนราวิวัฒน์ร่างบางยิ่งรานร้าว ที่นี่สำหรับเธอคือขุมนรก...เพราะเมื่อไหร่ที่ตัดสินใจลงมือทำตามคำสั่งคุณปภาวี ตายไปคงได้ตกนรกขุมลึกและทรมานสุดๆ
กวาดตามองรอบห้องอันว่างเปล่าผู้คนซึ่งปกติมีแค่สองคนคือเธอกับเจ้านาย หลังจากเมษรักษ์ไปเมื่อสี่วันก่อน หญิงสาวไม่รู้ความเป็นไปของชายหนุ่มเลย เขาคงติดต่อกับลิซ่า ไม่มีความจำเป็นอันใดที่ต้องติดต่อมาหาเธอ งานทุกอย่างผ่านมือลิซ่าทั้งหมด ส่วนไหนเป็นของเธอเลขาฯ สาวก็จะนำมาให้พร้อมคำชี้แจง
วันนี้ชั้นผู้บริหารเงียบ อารดาคงเข้าห้องทำงานอีกฝั่งไปแล้ว ลิซ่าก็ไม่ได้อยู่ตรงโต๊ะหน้าห้อง
หรือนี่จะเป็นเวลาแห่งการ...ลงมือ!
พอคิดดังนั้นหัวใจดวงน้อยสะท้านวูบ กลืนน้ำลายลงคอยากลำบาก…ไม่อยากทำ เธอไม่อยากทำผิด การแข่งขันทางธุรกิจน่าจะเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม ทว่า...เหตุการณ์ในวันนั้นปรานต์คงเจอหนักไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเธอแน่ เพื่อเขาสักครั้ง แลกกันไม่ได้เลยกับสิ่งที่เขาทำให้เธอมากมายนัก
“พรรษจะช่วยพี่ปรานต์ค่ะ” เพลงพรรษพึมพำกับตัวเอง จับสายตาไปยังคอมพิวเตอร์บนโต๊ะเจ้าของนราวิวัฒน์นิ่ง “ขอโทษนะคะพี่เมษ พรรษจำเป็น จำเป็นจริงๆ นะคะ” มือเรียวทั้งสองข้างสอดประสานกันอยู่ตรงหน้าอก บีบแน่นจนข้อนิ้วแดงช้ำ
หญิงสาวก้าวไปยังโต๊ะของเมษรักษ์ช้าๆ เคลื่อนผ่านไปจนอยู่เบื้องหน้าจอคอมพิวเตอร์หลับตาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกสุดลึกอีกครั้ง เมื่อลืมตาพร้อมระบายลมหายใจออกแทบหมดปอด ปฏิบัติการล้วงข้อมูลก็บังเกิดขึ้น!
อาจเพราะชั้นผู้บริหารอยู่ชั้นสูงสุดของตึกจึงทำให้ลมโกรกไม่ขาดระยะ มือสั่นๆ จึงค่อยสงบนิ่งลง เหงื่อเปียกชื้นตามไรผมเริ่มแห้ง อาการหายใจรัวถี่ลดระดับลงเป็นจังหวะปกติ ร่างแบบบางในชุดพอดีตัวยืนทอดสายตามองทัศนียภาพยามสายของเมืองกรุง ความว้าวุ่น เร่งรีบใดๆ ไม่มีความน่าสนใจเท่าการทำผิดของตัวเอง
เวลาเกือบชั่วโมงที่เธอเฝ้าหาไฟล์ประมูลงาน และเธอก็พบมันจนได้ น่าแปลกว่าเมื่อได้มากลับไม่มีความโล่งอกโล่งใจเลยสักนิด มีเพียงความรู้สึกผิดล้นทะลักออกมาทางดวงตาคู่สวยที่กำลังเอ่อรื้น เจียนหยดลงอาบแก้มรอมร่อ
เพลงพรรษถอยหลังมาทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้สีขาวสะอาดตา วันนี้ดอกแก้วดอกใด กลิ่นหอมแค่ไหนก็ไม่ได้รับความสนใจอย่างเก่าก่อน ร่างกายราวกับสิ้นไร้เรี่ยวแรง แขนเรียวยืดพาดลงบนโต๊ะก่อนซบหน้าลงบนท่อนแขนเรียวปล่อยน้ำตาหยาดไหล โสตประสาทที่ได้รับการกระตุ้นนานนับชั่วโมงเริ่มอ่อนล้า เพียงไม่กี่นาทีถัดมา สายลมเย็นที่โชยโอบรอบกาย อุปาทานหรือไรก็สุดรู้ หญิงสาวสัมผัสคล้ายมืออุ่นอันคุ้นเคยมาจับศีรษะนวดเบาๆ แล้วรูดเส้นผมจากโคนจรดปลายซ้ำๆ กันหลายครั้ง รอยยิ้มระบายออกน้อยๆ ยามเมื่อเผลอไผลหลับไปด้วยอาการผ่อนคลาย
แวบแรกที่ก้าวเข้ามาในห้องแล้วไม่เจอคนที่อยากเจอ เมษรักษ์หงุดหงิดจนแนวคิ้วขมวดแน่น สายตาคมกวาดมองรอบห้องจนมาหยุดอยู่กับผ้าม่านสีเข้มด้านหลังโต๊ะผู้ช่วยส่วนตัวซึ่งกำลังสะบัดพลิ้ว
มือข้างหนึ่งดึงออกจากกระเป๋ากางเกงเลื่อนขึ้นปลดแว่นกันแดดสีดำออกจากใบหน้า นำไปวางไว้บนโต๊ะทำงานตัวเอง แล้วก้าวเท้าไปยังทิศทางที่คาดว่าน่าจะได้เจอ ‘เป้าหมาย’
เพียงแหวกม่านออกไปด้านข้างสายตาก็ปะทะกับร่างบางที่ฟุบหลับอยู่กับโต๊ะสีขาวนอกระเบียง ปรากฏรอยยิ้มมุมปากด้านซ้ายบนใบหน้าเมษรักษ์ทันที ขายาวก้าวเบาฝีเท้าเพื่อไม่ให้รบกวนคนแอบพักผ่อน มาหยุดยืนเบื้องหน้าหญิงสาวแล้วชายหนุ่มเพ่งพินิจด้วยแววตาอ่อนแสง ยิ่งมองเธอคนนี้ยิ่งคล้ายใครบางคนจนเกือบเป็นภาพทับซ้อน
...อยากกอด อยากครอบครอง อยากอยู่ใกล้ กักเก็บไว้ไม่แบ่งให้ใคร...บ้า! เขาต้องบ้าแล้วแน่ๆ ที่คิดได้ขนาดนี้
โน้มตัวไปเพียงเพื่อปัดปอยผมออกจากแก้มเนียนเท่านั้น ไม่คิดปลุกให้ตื่นหรือล่วงล้ำ ทว่าพอเข้าใกล้หัวใจก็หวั่น ประหวัดนึกไปถึงค่ำคืนหน้าบ้านพสุธาเทพ กลิ่นแก้มนวลหอมยวนใจแม้ได้สัมผัสแค่เสี้ยววินาที
อีกสักครั้งคงไม่เป็นไรกระมัง...เร็วเท่าความคิดจมูกโด่งฝังลงบนเนื้อแก้มนิ่ม สูดกลิ่นหอมชื่นใจจนแทบไม่อยากถอนคืน
ขยับใบหน้าออกห่างเพื่อมองว่าคนโดน ‘ฉวยโอกาส’ รู้สึกตัวหรือเปล่า เมื่อได้เห็นว่าอีกฝ่ายยังหลับตานิ่ง ชายหนุ่มอมยิ้ม...อะไรหนอทำให้คนหลับยากมานั่งหลับตรงนี้ได้...ที่แน่ๆ นอกจากหลับยากแล้วเธอยังตื่นยากอีกด้วย
เพราะกลัวเธอจะเมื่อยเมษรักษ์จึงตัดสินใจสอดแขนทั้งสองข้างช้อนร่างบางเข้าสู่อ้อมกอด ตั้งใจพาเธอไปนอนให้สบายบนโซฟาตัวยาวภายในห้องทำงาน
“พี่เมษ!” แววตาตื่นตระหนก ไม่อยู่ในความสนใจเท่ากับแขนเรียวที่วาดโอบรอบคอเขาตามสัญชาตญาณแห่งความตกใจ
“ดีใจที่ยังจำกันได้” เขาว่ายิ้มๆ เหล่ตามองเรียวแขนที่ยังค้างที่เดิม
“อุ๊ย! ขอโทษค่ะ พี่เมษปล่อยพรรษลงเถอะนะคะ” บอกพลางค่อยหดแขนลงมาแนบลำตัว ก้มหน้าที่กำลังร้อนจนน่ากลัวว่ามันจะแดงเรื่ออวดสายตาอีกฝ่ายเสียก็เป็นได้ไม่กล้าสบตาวิบวับคู่นั้น
“ไหนๆ ก็อุ้มแล้ว วางรอบเดียวในห้องแล้วกัน” ไม่รอให้คำคัดค้านใดๆ หลุดออกมาอีก เมษรักษ์ก้าวยาวๆ รวดเร็วมาวางเธอลงบนโซฟาตามความตั้งใจ คำว่า ‘ในห้อง’ ของเขาชวนให้หญิงสาวอกสั่นด้วยวาจากำกวม
“พรรษไม่ง่วงแล้ว กลับไปทำงานต่อดีกว่านะคะ” ร่างบางเด้งลุกขึ้นนั่งบนโซฟา หากมือใหญ่เอื้อมมากดไหล่ไว้ไม่ให้ลุกยืนเป็นลำดับต่อมา พอเธออ้าปากจะพูดเขาก็เบิกตาเป็นเชิงห้ามกึ่งออกคำสั่ง คนเป็นลูกจ้างจึงทำได้เพียงนิ่งเฉย
“ไม่ง่วงก็ดี จะได้คุยกันก่อน คุณไม่ขัดข้องใช่ไหม?” เขาว่าง่ายๆ หดมือกลับเพื่อยกขึ้นพาดพนักโซฟา เอียงข้างมาทางเธอ “ทำไมถึงไปนั่งหลับอยู่ตรงนั้น” ท่าทางที่อาจไม่ดุ แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นกันเองเสียทีเดียวทำให้เพลงพรรษอึดอัดเสมอ
“พรรษขอโทษค่ะ พรรษอู้งาน พี่เมษจะหักเงินเดือนหรือไล่พรรษออกก็ได้นะคะ” หญิงสาวรัวคำพูด ยังไม่กล้าเงยสบตาเขา ด้วยบางสิ่งก่อนหน้านี้วนเวียนอยู่ในหัวใจตลอดเวลา
คิ้วหนากระตุก ดวงตายามมองคนตรงหน้าฉายแววสงสัยระคนไม่พอใจ
“ถ้าคิดจะไล่ออกง่ายๆ คงให้ออกไปตั้งแต่วันที่คุณคิดจะออกแล้วล่ะ” น้ำเสียงต่างจากเมื่อครู่ราวปุยเมฆแสนนุ่มเป็นก้อนหินแข็งกระด้าง “ผมไม่ได้ว่าคุณอู้งาน แค่ถามว่าทำไมถึงไปนอนหลับตรงนั้น...ชอบเหรอ?”
คำถามตบท้ายอ่อนลงมานิดเรียกใบหน้าเรียวให้เงยมองเป็นเชิงถาม เมื่อเขายังสบตานิ่งเธอจึงพยักหน้ารับ ตอบตะกุกตะกัก
“ค่ะ...ชอบ” ความจริงครึ่งหนึ่งคือชอบ ความจริงอีกครึ่งคือหลบไปนั่งสงบสติอารมณ์หลังจากทำสิ่งผิดมหันต์กับนราวิวัฒน์...กับเขาผู้นั่งอยู่ตรงหน้าเธอ ณ ขณะนี้
“ดี ถ้าชอบก็ซื่อสัตย์กับนราวิวัฒน์ให้ตลอด จะได้ไปนั่งตรงนั้นบ่อยๆ เท่าที่ใจคุณต้องการ” ใจของเพลงพรรษเต้นระรัวจนน่ากลัวว่าเขาจะได้ยิน หญิงสาวกัดริมฝีปากล่างแน่นเพื่อข่มอารมณ์กลัว
“ทะ...ทำไมพี่เมษกลับมาเร็วจังคะ ไหนบอกว่าจะไปหนึ่งอาทิตย์ไม่ใช่เหรอคะ” การเปลี่ยนเรื่องคุยน่าจะทำให้บทสนทนาพ้นไปจากเรื่องที่อาจวนเวียนมาถึงความผิดของตัวเองได้
“ก็คิดถึง...เป็นห่วง” น้ำเสียงอาจฟังเฉยๆ แต่แววตาไม่บ่งบอกว่าเฉยเลยสักนิด “ห่วงงานทางนี้ เลยรีบกลับมา” จบคำพูดตัวเองเมษรักษ์คงไม่ได้หูฝาดที่ได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ จากคนนั่งข้าง ชายหนุ่มไม่นึกขุ่นใจ กลับนึกขันเสียมากกว่า
“เดี๋ยวพรรษไปหาเครื่องดื่มมาให้พี่เมษดีกว่านะคะ พี่เมษจะรับอะไรดีคะ”
“ไม่ล่ะ ผมอยากรู้มากกว่าว่าตอนผมไม่อยู่งานทางนี้เรียบร้อยดีไหม”
หญิงสาวไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงไม่ไปถามจากลิซ่า คาดว่าทุกเรื่องเลขาฯ คนเก่งน่าจะรายงานได้ดีกว่าเธอหลายเท่า มาถามกันแบบนี้ เธอใจคอไม่ดีเอาเสียเลย...นี่ล่ะนะ ที่เขาว่าคนมีความผิดมักร้อนตัวตลอดเวลา
“ก็...ก็เรียบร้อยดีค่ะ”
“อืม” คนเป็นเจ้านายรับคำง่ายเสียจนเพลงพรรษทั้งงงทั้งสับสน “ผม ‘ไว้ใจ’ คุณถึงยอมให้เป็นผู้ช่วยและให้เข้ามานั่งทำงานในห้องทำงานด้วย ถ้าคุณบอกว่าเรียบร้อยผมก็ไม่มีเหตุผลอะไรต้องไม่เชื่อ คุณว่าจริงไหม” นี่ไง เมษรักษ์ตัวจริงต้องจบด้วยคำถาม และเป็นคำถามที่ไม่มีใครมีสิทธิ์ตอบว่าไม่
“ค่ะ” คำว่า ‘ไว้ใจ’ ถูกเน้นย้ำลึกไปถึงหัวใจดวงน้อยของเพลงพรรษ หญิงสาวอยากร้องไห้ อยากสารภาพความผิดกับเขา อยากบอกเขาไปเลยว่าเธอทำอะไรเลวร้ายลงไปกับนราวิวัฒน์ ยิ่งคิดเธอยิ่งทรมานใจ
ก่อนทุกอย่างจะเลวร้ายไปกว่านั้นประตูห้องก็เปิดผลัวะพร้อมเลขาฯ สาวก้าวเข้ามาราวกับรีบร้อนอะไรนักหนา
“อ้าว พี่เมษมาเมื่อไหร่คะเนี่ย ต้องขอโทษด้วยค่ะ นึกว่าน้องพรรษอยู่คนเดียวเลยไม่ได้เคาะประตู” การกลับมาของเมษรักษ์คราวนี้เลขาฯ ผู้รู้ใจอย่างลิซ่าไม่ได้รู้ล่วงหน้าจริงๆ ทว่าเธอกลับไม่แปลกใจอะไรเลย พอเดาได้หรอกเหตุผลของการกลับมาเร็วกว่ากำหนด ดูเอาจากตำแหน่งที่ทั้งสองคนนั่งกันเวลานี้...สงสัยทนความคิดถึงคนแถวนี้ไม่ไหว
“เสียมารยาทแล้วยังมายืนอมยิ้มอีก คุณนี่เป็นเลขาฯ ผมมาได้ยังไงตั้งนานนะลิซ่า” อาการพยายามดุของเมษรักษ์ไม่อาจทำให้คนถูกดุสะทกสะท้านได้เลย ตรงกันข้ามเธอยิ่งลอยหน้าลอยตายียวนเขา
“เสียมารยาทที่ไม่เคาะ หรือเสียมารยาทที่มาขัดจังหวะคะพี่เมษ”
“ทั้งสองอย่างนั่นล่ะ” พอเขาตอบอย่างนั้น ลิซ่ายิ่งต้องเพิ่มแรงกลั้นยิ้มหนักเข้าไปอีก หันมองอีกคนที่อยู่ภายในห้อง ฝ่ายนั้นเอาแต่ก้มหน้านวลที่ซับสีเรื่ออย่างห้ามไม่อยู่
“โอเคค่ะ งั้นลิซ่าไถ่โทษด้วยการออกไปเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยก็ได้ค่ะ พี่เมษจะได้มีเวลาส่วนตัว” ร่างโปร่งทำท่าจะหมุนตัวเดินออกจากห้อง แต่สองเสียงเรียกรั้งไว้พร้อมกัน ใบหน้าเปื้อนยิ้มของลิซ่าถูกปรับให้เป็นปกติก่อนหันหลังกลับมาถาม “พี่เมษกับน้องพรรษมีอะไรเหรอคะ เรียกพร้อมกันเชียว ใจตรงกันจริงๆ เลย”
เพลงพรรษเงียบ ให้เกียรติคนเป็นเจ้านายได้พูดก่อน แต่เขาก็ผายมือเชื้อเชิญให้เธอพูดก่อน
“เปล่าหรอกค่ะ พรรษแค่จะถามว่าคุณลิซ่ามีงานอะไรจะให้พรรษทำเพิ่มหรือเปล่าถึงเข้ามาน่ะค่ะ” และคนที่ตอบคำถามนี้กลับไม่ใช่คนถูกถาม แต่เป็นคนมีสิทธิ์ทุกอย่างในบริษัทนี้
“ไม่มีหรอก เดี๋ยวคุณกับผมไปคุยกันที่ห้องประชุมก็แล้วกัน” เมษรักบอกพลางลุกยืน “ส่วนคุณนั่งทำงานอยู่ที่นี่ เลิกงานแล้วรอผมด้วย ห้ามกลับก่อนเด็ดขาด”
ร่างสูงเดินออกจากห้องไปหลังสั่งทุกอย่างเสร็จสรรพ ลิซ่าสบตากับเพลงพรรษแล้วยักไหล่ยิ้มๆ
“อย่าคิดมากค่ะ เจ้านายพี่คนนี้เขาจริงจังและจริงใจ น้องพรรษอย่าไปขัดใจเขาแล้วกันนะคะ พี่ไปก่อนค่ะ”
ลิซ่าตามเจ้านายออกไปอีกคน เหลือเพลงพรรษกับความเงียบ หญิงสาวพ่นลมหายใจออกอย่างโล่งอกที่ไม่ต้องเผชิญหน้ากับเขาตอนยังตั้งสติได้ไม่เต็มร้อย โชคยังดีที่เขาไม่กลับมาตอนเธอลงมือ ไม่อย่างนั้นล่ะก็...ไม่อยากคิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
“ถ้ามีโอกาส พรรษจะไถ่โทษให้นะคะพี่เมษ” หญิงสาวพึมพำกับตัวเองเบาๆ
แม้จะพอรู้ว่าการนัดมาทานอาหารมื้อเที่ยงอย่างนี้ไม่ใช่วิสัยของปรานต์ที่จะปฏิบัติต่อเธอ ซุยุก็ไม่ได้นึกแปลกใจอะไรนักหนา เหตุผลของการนัดปัจจุบันทันด่วนในวันนี้เธอรู้เต็มอก และไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจใดๆ กับเขาด้วย หญิงสาวลงจากรถตามปกติ ไม่รีบร้อน ไม่รีบเร่ง ถึงเวลาตอนนี้จะเกือบบ่ายโมงแล้วก็ตาม ทุกก้าวย่างแทบช้ากว่าที่เคยเดิน...อยากร้อนใจนักก็จะแกล้งเสียให้เข็ด กว่าเธอจะเดินถึงจุดที่เขารอ บางทีอาจกระอักเลือดตายเสียก็เป็นได้ หญิงสาวคิดแล้วขำ
พอมาถึงระยะสายตามองเห็น สิ่งที่ซุยุคาดไว้ไม่ผิดเลย ปรานต์ไม่ได้นั่งอยู่บนเก้าอี้ เขาเดินวนไปวนมารอบโต๊ะ จนแขกโต๊ะอื่นหันมองกันเป็นจุดสนใจ กระนั้นคนถูกมองซึ่งปกติวางตัวอยู่ในมาดนักธุรกิจสุขุมก็ไม่ได้สำเหนียกหรือระลึกได้เลย
“ฉันกำลังดีใจมากนะคะ ที่คุณคิดถึงฉันจนนั่งไม่ติดขนาดนี้ ไม่เจอกันสองวันเองนะคะคุณปรานต์” ทุกถ้อยคำเต็มไปด้วยแววขบขันล้อเล่น ปรานต์หยุดกึก จ้องมองสาวลูกครึ่งญี่ปุ่นราวกับไม่เคยพบเคยเห็น ทั้งที่ความจริงการแต่งตัวเธอยังน่ารักเหมือนเดิมทุกประการ แววตาใสซื่อ กับรอยยิ้มชวนมองไม่แผกไปจากทุกครั้งที่เจอกัน
เพียงแต่ตอนนี้ปรานต์รู้ว่าทุกอย่างเหล่านั้นคือการปั้นแต่งมาหลอกตา เธอแสดงอีกอย่าง ทำอีกอย่าง
“ใช่ ผมคิดถึงคุณ คิดถึงมากจนรอให้ถึงวันที่เราต้องแต่งงานกันไม่ไหว” น้ำเสียงห้วนกระด้างของปรานต์ ลดความกระจ่างรอยยิ้มบนใบหน้าซุยุไปแวบหนึ่ง แต่เธอรีบปรับมันให้เหมือนเดิม ทิ้งตัวนั่งลงตรงเก้าอี้ข้างชายหนุ่ม ยกมือโบกเรียกบริกรมาสั่งอาหารอย่างใจเย็น
ภายในใจร้อนรุ่มดุจดั่งกองไฟขนาดใหญ่สุมอยู่และมีคนเติมเชื้อเพลิงไม่ขาดสาย ชายหนุ่มเฝ้ารอให้เธอสั่งอาหารเสร็จ รอจนบริกรนำอาหารมาเสิร์ฟและถอยห่างออกไป ท่าทางตักอาหารเข้าปาก เคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยอย่างจงใจของซุยุทำให้ปรานต์หมดความอดทน อ้าปากจะเริ่มเรื่องคาใจ
“อื้อ คุณนี่เลือกร้านเก่งจริง อาหารที่นี่อร่อยมากเลยนะคะเนี่ย อ่ะ ลองชิมไหม สปาเก็ตตี้นี่อร่อยนะ” ไม่พูดเปล่า มือบางผลักจานสปาเก็ตตี้ของตัวเองไปตรงหน้าเขา
“ทำไมคุณถึงรับปากคุณแม่ว่าจะแต่งงานกับผม ทั้งๆ ที่คุณเคยบอกผมว่าจะปฏิเสธ” สีหน้าแววตาปรานต์จริงจัง
“ว้า ลืมสั่งเครื่องดื่ม เดี๋ยวขอสั่งเครื่องดื่มก่อนนะคะ” ว่าแล้วยกมือหมายเรียกบริกรอีกครั้ง ปรานต์สิ้นสุดความอดทน มือหนาคว้าหมับเข้าตรงมือเรียวที่ยกค้าง ด้วยอารมณ์กรุ่นทำให้เขาเผลอบีบมือเล็กแน่น...แน่นจนอีกฝ่ายรู้สึกเจ็บ ทว่าไม่ยอมแสดงออก
“ตอบคำถามผม...เรื่องนี้เราล้อเล่นไม่ได้ มันอาจไม่สำคัญสำหรับคุณ แต่มันสำคัญสำหรับคนมีคนรักแล้วอย่างผม” เหมือนยิ่งพูดเขายิ่งบีบมือซุยุแน่นขึ้นตามแรงอารมณ์ สาวลูกครึ่งญี่ปุ่นกัดริมฝีปากแน่น จ้องลึกลงไปในดวงตาเขา
...คำก็มีคนรัก สองคำก็มีคนรัก...ถึงไม่ย้ำ เธอก็จำมันได้ขึ้นใจหรอกน่า นึกว่าเธออยากรับปากคุณปภาวีนักเหรอ
“เคยมีใครปฏิเสธสิ่งที่คุณแม่คุณต้องการได้บ้างล่ะ”
“สำหรับชายคาพสุธาเทพอาจไม่มี แต่สำหรับคุณผมเชื่อว่าคุณหลีกเลี่ยงได้ แต่คุณไม่เลี่ยง” ปรานต์ยืนยันหนักแน่น ซุยุสะบัดมือออกแรงๆ จนหลุด ดึงกลับมาถูเบาๆ คลายความเจ็บอยู่ใต้โต๊ะ
“แล้วฉันมีเหตุผลอะไรที่จะไม่หลีกเลี่ยง อย่าบอกนะว่าคุณหลงตัวเองจนคิดว่าฉันหลงรักคุณน่ะ” ซุยุแกล้งรวนกลับบ้าง เธอเองโมโหเป็นเหมือนกันเมื่อเขาไม่ยอมรับฟังเหตุผลใดเลย
“แล้วถ้าไม่ใช่เหตุผลนั้น ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าคุณมีเหตุผลอะไรถึงตอบตกลงเรื่องแต่งงานกับคุณแม่ผม” โดนคำถามเจาะประเด็นขนาดนั้น ทำเอาซุยุถึงกับสะอึกเลยทีเดียว หญิงสาวเงียบชั่วครู่ คล้ายชั่งใจในคำตอบมากกว่าไม่มีคำตอบให้เขา
“เอาน่า คุณอย่าซีเรียสหน่อยเลย” ลองถ้าตึงเครียดกันอยู่อย่างนี้วันนี้ทั้งวันคงคุยกันไม่รู้เรื่อง หญิงสาวจึงพยายามปรับอารมณ์ให้รื่นเริงอีกครั้ง “คิดดูดีๆ สิว่า ลองคุณแม่คุณตัดสินใจแล้วว่าต้องการให้ลูกชายอย่างคุณแต่งงาน ต่อให้ฉันปฏิเสธ คุณแม่คุณก็ต้องหาคนอื่นมาทดแทนอยู่ดี ถึงฉันจะไม่ใช่คนดีอะไรนักหนา แต่อย่างน้อย แต่งงานกับฉัน เรายังต่อรองกันได้นะ”
“ต่อรองยังไง” ท่าทางอีกฝ่ายดีขึ้นมานิด ซุยุยิ้มพอใจ
“ฉันลองปฏิเสธแม่คุณแล้ว แต่ท่านยืนยันว่าถ้าฉันไม่แต่งกับคุณท่านจะหาคนอื่นมาแต่งแทนอยู่ดี และนั่นคงไม่ได้หมายถึงคนที่คุณรักแน่ แล้วคุณมั่นใจเหรอว่า คนที่แม่คุณหาให้ใหม่จะยอมคุณได้ขนาดฉันน่ะ” ยิ่งเธอพูดปรานต์ยิ่งคิดตาม “แต่ถ้าแต่งกับฉันเราแต่งกันแค่ในนามก็ได้นี่ ฉันพร้อมจะยืนยันกับคนที่คุณรักว่าระหว่างคุณกับฉันไม่มีอะไรมากกว่าความเป็นเพื่อน ดีไหม”
บังเอิญว่าปรานต์เป็นนักธุรกิจที่วิเคราะห์เป็น ไตร่ตรองรอบคอบก่อนตัดสินใจทุกอย่างเสมอ เมื่อฟังคำพูดสาวลูกครึ่งแล้วมองเห็นทั้งความเป็นไปได้และความยุ่งยากเท่ากัน
“ผมเชื่อว่าคนรักของผมมีเหตุผลพอ เธอจะยอมรับฟังหากเราอธิบาย แต่สายตาของสังคม ยังไงๆ ผมก็กลายเป็นคนมีพันธะอยู่ดี หากวันนึงผมต้องการแต่งงานกับเธอ เธอจะไม่ดูแย่ในสายตาคนอื่นหรือ”
“ถ้าวันนี้คุณแม่คุณไม่ยอมให้แต่งกับคนที่คุณรัก คุณคิดว่าวันหน้าท่านจะยอมเหรอ” หญิงสาวให้สติเขา ปรานต์ขบกรามขึ้นเป็นสันนูน ซุยุพูดถูก แล้วเขาต้องทำอย่างไรต่อไปล่ะคราวนี้
“จะยอมหรือไม่ยอมผมก็ต้องหาทางออกให้ได้ เพียงแค่ตอนนี้หยุดงานแต่งงานระหว่างเราให้ได้เสียก่อนเท่านั้นเอง” ซุยุอยากถอนหายใจให้หมดรากหมดโคนเสียจริง อุตส่าห์กล่อมมาตั้งนาน บทจะดื้อ ผู้ชายสุภาพอย่างปรานต์ก็ดื้อหัวชนฝา
หรือนี่ไม่ใช่การดื้อ...แต่เพราะความรัก ความรักทำให้เขาต้องต่อสู้เพื่อผู้หญิงคนนั้น
“เอาเลย เชิญตามสบาย คุณมีทางออกทางไหนก็ว่ามาเลย”
“คุณต้องบอกยกเลิกงานนี้กับคุณแม่” ปรานต์ยืนกรานเสียงแข็ง คนหมดอารมณ์ทานสปาเก็ตตี้กลอกตาขึ้นบนอย่างระอาใจ
“ทำไมคุณถึงเข้าใจภาษาไทยยากเย็นกว่าฉันขนาดนี้นะ ก็ฉันบอกแล้วไงว่าฉันปฏิเสธแม่คุณไปแล้ว ท่านไม่ยอมรับฟัง”
คราวนี้ชายหนุ่มจ้องมองคนตรงหน้าอย่างใคร่ครวญบางอย่างนิ่งนาน
“ผมลืมเรื่องสำคัญไปได้ยังไง”
“อะไร?” ซุยุแสดงสีหน้าระแวงแคลงใจต่อคำพูดเหมือนละเมอของเขา
“ครอบครัวคุณ...ผมไม่เคยสนใจที่มาที่ไปของครอบครัวคุณเลย แล้วพ่อแม่ของคุณเขายอมเหรอที่จะให้คุณแต่งงานกับผู้ชายที่พวกท่านยังไม่รู้จัก” เขาตั้งข้อสังเกตที่เพิ่งใช้สติระลึกถึง
“พ่อแม่ฉันเลี้ยงลูกแบบอิสระ เรื่องแต่งงานนี้ฉันบอกพวกท่านแล้ว ไม่มีปัญหาอะไร” ซุยุตอบแบบผ่านๆ นั่นทำให้ปรานต์ยังไม่ปักใจกับสิ่งที่หญิงสาวบอก
“ผมไม่ได้สนใจประเด็นนั้น ผมกำลังคิดว่าทำไมคุณไม่ใช้ข้ออ้างว่าพ่อกับแม่คุณไม่ยอมให้คุณแต่งงานกับผมล่ะ ถ้าแบบนั้นคุณแม่ก็บังคับเราไม่ได้”
สาวลูกครึ่งมองใบหน้าคมกับดวงตาฉายแววแห่งความหวังด้วยความจริงจัง สำหรับเขาผู้หญิงคนนั้นคงสำคัญมาก ถึงขนาดไม่สนเลยว่าการแต่งงานครั้งนี้คือผลพวงที่จะส่งหนุนให้ธุรกิจของพสุธาเทพก้าวหน้าไปไกลในระยะเวลาอันรวดเร็ว งานใหญ่ๆ จะถูกป้อนเข้าบริษัทเขาถ้าหากแต่งงานกับเธอ แม้กระนั้นพสุธาเทพกลับไม่อยู่ในหัวอกชายหนุ่มเลยล่ะหรือ
“ทุกอย่างสิ้นสุดแล้วคุณปรานต์ เรื่องการแต่งงานของเราอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าจะถูกจัดขึ้น คุณอย่าคิดเปลี่ยนแปลงอะไรเลย เตรียมตัวยอมรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นดีกว่า” ซุยุกล่าวเนิบช้า ทอดสายตาไปเบื้องหน้าไร้แววล้อเล่นหยอกเย้าเหมือนทุกที
“ทำไม ทำไมคุณถึงตัดใจง่ายดายขนาดนี้ ตกลงว่าเพราะอะไรกันแน่คุณถึงจะแต่งงานกับผม”
“ถ้าคุณได้เหตุผลคุณจะยุติเรื่องนี้ใช่ไหม” ทั้งสองคนจ้องตากันราวกับเป็นการต่อสู้ เสียงหัวเราะในวันวานถูกทดแทนด้วยความหม่นมัว “โอเค...ฉันยอมแต่งงานง่ายๆ เพราะฉันชอบคุณ เหตุผลเท่านี้น่าจะทำให้คุณยุติทุกอย่างได้ ฉันบอกไว้เลยว่า ต่อให้ตอนนี้คุณแม่คุณเปลี่ยนใจยกเลิกงานแต่งระหว่างเรา แต่ฉันนี่ล่ะที่จะไม่ยอมให้งานนี้ยกเลิก”
แม้คำตอบที่ให้เขาไปจะเป็นคำตอบเพื่อตัดบท แต่ยามเอ่ยทุกคำเหล่านั้นซุยุไม่ได้หลบสายตาแข็งกร้าวของอีกฝ่าย เธอหนักแน่นกับทุกสิ่งที่ตัดสินใจ
“ผมไม่เชื่อว่าคุณจะชอบผมถึงขนาดยอมเอาชีวิตเข้ามาพันธนาการไว้ด้วยกัน เราเพิ่งรู้จักและเจอกันไม่กี่ครั้ง มันง่ายถึงขนาดทำให้คุณสละชีวิตโสดได้เลยเชียวหรือ”
“เรื่องของหัวใจมักมีอะไรเซอร์ไพรส์เสมอแหละคุณ ความรักแบบแผนโบราณ มันใช้ไม่ได้ผลกับยุคปัจจุบันทันด่วนอย่างนี้หรอก”
เมื่อรูปการออกมาอย่างนี้ปรานต์ถึงกับไปไม่เป็น เขาไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป ครั้นจะพาเพลงพรรษหนีเขาคงทำแบบนั้นไม่ได้ นอกจากภาระเรื่องดูแลพสุธาเทพแล้ว อย่างไรเสียคุณปภาวีก็ได้ชื่อว่าแม่ จะให้ทิ้งไปดื้อๆ เขาทำไม่ได้
“เถอะ ผมจะหาทุกวิถีทางที่จะไม่ให้งานแต่งงานอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าเกิดขึ้น ขอบคุณที่คุณชอบผม แต่ผมรับไว้ไม่ได้จริงๆ”
ใบหน้าชาสลับร้อนวูบวาบราวกับโดนน้ำร้อนสาดมาแรงๆ ขนาดเธอบอกว่าชอบ เขายังปฏิเสธมาได้ ไม่แคร์เลยว่าเธอต้องเสียหน้าขนาดไหนจากคำพูดตรงๆ ของเขา
“เอาสิ ถ้าคุณมีวิธีใดเอาชนะคุณแม่คุณได้ ฉันยินดีออกไปจากชีวิตคุณ แต่...ถ้าคุณหาไม่เจอคุณคงต้องทนอยู่ในชีวิตฉันตลอดไปนะ วันนี้ฉันขอตัว”
ร่างบางลุกจากไปในทันที ปรานต์มองตามคนที่เดินลงเท้าหนักๆ จนลับสายตา ใช่ว่าบทสนทนาทั้งหมดจะไม่ส่งผลต่อความรู้สึกเขาเลย แปลกใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมไม่ไปโวยวายเอากับคุณปภาวี แต่กลับหาเหตุผลมาเอาเรื่องกับเธอคนนี้...เพราะเธอผิดสัญญา นั่นล่ะเหตุผลของเขา
รถยุโรปคันหรูจอดหน้าประตูรั้วสูงใหญ่ของบ้านพสุธาเทพ เมษรักษ์หันมองหญิงสาวข้างกายที่ยกมือจับประตูทันที หากเขายังไม่ยอมปลดล็อกเธอจึงหันมามองเขา และต้องหลบตาวูบเมื่อสายตาที่รออยู่นั้นพราวระยับจนใบหน้าร้อนวูบวาบ
เมษรักษ์จ้องใบหน้าสวยเงียบๆ จากวันแรกที่เขาเห็นเธอตอนไปรับอารดาที่มหาวิทยาลัยหญิงสาวคนนี้แทบไม่มีอะไรน่าสนใจแม้แต่น้อย น่าแปลกที่เขากลับมานอนไม่หลับในคืนนั้น ทั้งๆ ที่ไม่เคยสนใจใคร ตลอดชีวิตที่ผ่านมาจ่อมจมกับบางสิ่งที่รอเวลาสะสาง
พออารดาพาเธอเข้ามาที่นราวิวัฒน์และรู้จากประวัติที่เขาให้นักสืบไปสืบมาก่อนหน้านี้ เมษรักษ์ก็รับเธอเข้าทำงานง่ายดาย ซึ่งวันนี้เวลานี้ เขารู้ว่าที่รับเธอเข้าไปอยู่ในห้องทำงานของนราวิวัฒน์ไม่ใช่เพียงเหตุผลที่ว่าเธอมาจากชายคาพสุธาเทพ แต่เพราะความอ่อนโยนของเธอ ความเอื้อเฟื้อ รูปร่างและแววตาของเธอ
ทุกอย่างที่เป็นเธอทำให้เขาทั้งต่อต้านและโหยหา
“พี่...พี่เมษเปิดประตูให้พรรษสิคะ” ยิ่งน้ำเสียงกับท่าทางหวาดๆ ไม่เคยกล้าพูดหยาบหรือทำให้ใครไม่สบายใจ เขายิ่งขัดใจไปพร้อมๆ กับพึงพอใจ ชายหนุ่มหลับตาเพื่อลบลืมบางสิ่งในหัวใจ
“ได้...” เขาตอบด้วยรอยยิ้มกริ่มเลื่อนมือปลดล็อก เพลงพรรษเปิดประตูแทบจะทันที หากยังไม่ทันก้าวลงมือข้างหนึ่งก็ถูกยึดไว้ เพลงพรรษหันขวับกลับมามองพร้อมเกร็งแขนอัตโนมัติ “พรุ่งนี้เจอกัน” พูดจบชายหนุ่มดึงมือที่จับไว้แน่นขึ้นจูบแรงๆ เสียทีหนึ่งก่อนปล่อยให้เป็นอิสระ
ดวงตากลมโตจ้องมองร่างสูงนิ่งอึ้ง เขามาทำกับเธอแบบนี้ทำไม หัวใจดวงน้อยสั่นระรัว
“จูบผิดที่เหรอ งั้นเอาใหม่แล้วกัน” เขาชะโงกหน้าเข้าไปใกล้แต่หญิงสาวตั้งสติได้รีบก้าวลงจากรถปิดประตูรวดเร็ว เมษรักษ์ถึงกับหลุดหัวเราะออกมาอย่างน้อยครั้งที่ในชีวิตนี้เขาจะได้มีความสุขและหัวเราะอย่างนี้
พอคิดดังนั้นชายหนุ่มก็นึกถึงคนในครอบครัว พ่อ แม่ อารดา และลิซ่า สี่คนเท่านั้นที่ทำให้เขามีความสุข ก้าวเดินบนเส้นทางชีวิตสายนี้มาได้ไกลเกินกว่าที่เขาจะคาดถึง
ทุกคนคือกำลังใจ ทุกคนคือความรักแท้จริง
ชายหนุ่มขับรถจากที่นั่นมาด้วยความรวดเร็วเขาอยากกลับให้ถึงบ้านเพื่อไปเจออารดา ความรู้สึกบางอย่างแล่นสู่หัวใจ งานประมูลใกล้เข้ามาทุกที เขากลัว...กลัวอารดาจะตัดสินใจอะไรผิดๆ จนไม่มีทางแก้ไข
โปรดติดตามตอนต่อไป
น้อมรับทุกคำติชมค่ะ^^
ปลากัด
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 พ.ค. 2554, 14:30:01 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 พ.ค. 2554, 14:30:01 น.
จำนวนการเข้าชม : 1976
<< oOo บทที่ 9 oOo | oOo รุ้งฤดูร้อน - บทที่ 11 oOo >> |
saralun 18 พ.ค. 2554, 15:08:27 น.
ตอนต่อไปจะเป็นยังไงน้าาาา!!! รีบมาต่อไว ๆ นะคะ
ตอนต่อไปจะเป็นยังไงน้าาาา!!! รีบมาต่อไว ๆ นะคะ
ปลากัด 18 พ.ค. 2554, 15:41:46 น.
แอบมาหยอดนิดนึงก่อนค่ะ คุณsaralun ว่าตอนหน้ามีเฉลยบางอย่างค่ะ
ขอกำลังใจให้คนเขียนที่ต้องการพัฒนาฝีมือเยอะๆ นะคะ ^^ (แอบอ้อน)
แอบมาหยอดนิดนึงก่อนค่ะ คุณsaralun ว่าตอนหน้ามีเฉลยบางอย่างค่ะ
ขอกำลังใจให้คนเขียนที่ต้องการพัฒนาฝีมือเยอะๆ นะคะ ^^ (แอบอ้อน)
Pat 18 พ.ค. 2554, 17:58:32 น.
จะเฉลยเรื่องอะไรคะ อยากรู้จังเลย ทำไมกลัวอารดาตัดสินใจอะไรผิดๆน้อ
จะเฉลยเรื่องอะไรคะ อยากรู้จังเลย ทำไมกลัวอารดาตัดสินใจอะไรผิดๆน้อ
จิรารัตน์ 18 พ.ค. 2554, 21:45:23 น.
วันนี้ใช่วันเกิดปลากัดหรือเปล่าค่ะ สุขสันต์วันเกิดนะคะ มีความสุขมากๆนะจ๊ะ ^__^
วันนี้ใช่วันเกิดปลากัดหรือเปล่าค่ะ สุขสันต์วันเกิดนะคะ มีความสุขมากๆนะจ๊ะ ^__^
anOO 18 พ.ค. 2554, 22:47:40 น.
นั่นสิอารดาทำอะไรอยู่เหรอ อยากรู้เร็วๆ จังเลย
นั่นสิอารดาทำอะไรอยู่เหรอ อยากรู้เร็วๆ จังเลย
ปัณณรี 18 พ.ค. 2554, 23:37:17 น.
น้องสาวเราเริ่มขยันขึ้นแล้ว ดีใจ อิอิ
น้องสาวเราเริ่มขยันขึ้นแล้ว ดีใจ อิอิ
dee_jung 18 พ.ค. 2554, 23:39:38 น.
รอลุ้นต่อ
รอลุ้นต่อ