ภิรมย์รัก
กุลสตรี!

รุจิรดาแอบเบ้ปากด้วยความเบื่อหน่ายปนขุ่นเคือง
หากนับว่าการที่เธอยื่นมือออกไปช่วยเหลือน้องสาวของ หม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์ นั้นไม่เป็นกุลสตรี
หญิงสาวก็ยอมรับตามความจริง
แต่เมื่อคนที่ชี้ความจริงข้อนี้ให้เธอรู้เป็นพี่ชายของคนที่เธอช่วยเอาไว้
หญิงสาวจึงรู้สึกเหมือนตนกำลังทำคุณบูชาโทษ
ต่อแต่นี้ไปก็อย่าได้มาเจอะมาเจอกันอีกเลยเป็นดีที่สุด!

หากภาวนาไปไม่พ้นสามวัน
คนที่เธอไม่อยากพบเจออีกในชาตินี้ กลับมาเป็นอาจารย์ของเธอเอง
คราวนี้คงต้องฟังแลกเชอร์ว่าด้วย “ความเป็นกุลสตรี” เสียจนหูชาแน่ๆ
เธอต้องหาทางหนีสถานเดียว!

แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร...
ยิ่งพยายามหนีให้ไกลจากดวงตาสีดำคูคมนั้นเท่าไหร่
กลับยิ่งเหมือนอีกฝ่ายจะไล่ตามมาไม่ปล่อยเสียอย่างนั้น!

Tags: ย้อนยุค,ศิษย์,อาจารย์,ท่านชาย,ท่านหญิง,ความรัก,พีเรียด

ตอน: บทที่ 3 [1/2]


'พ่อ แม่ พี่ดนัย...

จำเรื่องเมื่อวันก่อนที่รดาเขียนเล่าให้ฟังได้ไหมคะ เรื่องของท่านหญิงอรกัญญานั่นล่ะ เชื่อไหมคะว่าตอนนี้เราสามคนกลายเป็นเพื่อนกันแล้ว... สามคนค่ะ รวมมนต์ณัฐด้วย มนต์ณัฐก็คนที่รดาเอ็ดไปเมื่อวันนั้นไงคะ

สำหรับท่านหญิงอรกัญญา ท่านรับสั่งหนักแน่นให้รดาเรียกท่านว่าอรเฉยๆ รดาไม่ขวัญกล้าขนาดนั้นหรอกค่ะ เลยเรียกแค่หญิงอร ถือว่าเป็นการถอยกันคนละก้าวสำหรับเราสองคน ส่วนมนต์ณัฐ... ตอนแรกรดาคิดว่าเขาเป็นคนไม่ดี ก็มีที่ไหนล่ะคะที่ไปโหวกเหวกโวยวายใส่ผู้หญิงกลางที่สาธารณะ แต่เจ้าตัวกลับบอกว่าจริงๆ แล้วเขาทำเพื่อต้องการให้เพื่อนอีกคนของหญิงอรขอโทษที่ทำให้ขวดน้ำหอมเขาแตก อ้อ... น้ำหอมเขาหลายสตางค์เชียวล่ะค่ะ เป็นแบบที่รดาอยากจะซื้อให้แม่ใช้บ้างจัง อ่า... รดาเล่าถึงเรื่องของคนที่ทำน้ำหอมแตกเสียหน่อยดีกว่า เธอเป็นลูกสาวตระกูลขุนนางเก่าค่ะ รดาจำนามสกุลไม่ได้ แต่เมื่อวันก่อนรดาไปที่วังนฤบดินทราทิพย์ของหญิงอรมาก็ได้เจอกับเธอคนนั้นพอดี

รดาต้องขอแก้ตัวก่อนว่า ใช่ว่าเดี๋ยวนี้รดาจะตีตนเสมอเจ้า หาญขึ้นเป็นเพื่อนทัดเทียมท่านนะคะ แต่เป็นท่านหญิงต่างหากที่ดีแสนดี ชักชวนรดาทำอะไรต่างๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ท่านหญิงน่ะเรียบร้อยน่ารักเสียจนรดาไม่กล้าขัดใจท่านเลยเทียว แหม... หากรู้ว่าเสน่ห์ความเป็นกุลสตรีจะทำให้กลายเป็นคนน่ารักแบบท่านหญิงล่ะก็ รดาคงหัดเป็นเสียนานแล้วล่ะค่ะ ไม่ทำให้แม่กับคุณหญิงป้าเก้อไปอย่างนี้แน่ๆ อีกอย่างท่านหญิงเธอเป็นคนดีเหลือเกินค่ะ ดีและน่าสงสารที่ท่านได้แต่อยู่ในกรอบ รดาเลยเป็นเพื่อนท่านดีกว่า อย่างน้อยท่านจะได้หัวเราะได้กับความแผลงของรดา

รดาลืมเล่าเรื่องของผู้หญิงที่เป็นเพื่อนอีกคนของท่านหญิงเลยค่ะ เธอคนนั้นชื่อแวววรรณ เป็นบุตรีขุนนางเก่าที่สืบเชื้อสายกันมานานเหลือเกิน เห็นว่าเป็นเพื่อนของท่านหญิงตั้งแต่ที่เรียนในคอนแวนต์ แล้วตอนนี้ก็ยังอยู่คณะอักษรฯ คณะเดียวกับท่านหญิงเสียอีก มาดของแวววรรณคนนี้โก้ทีเดียวแหละค่ะ แต่งตัวงามเหลือเกิน ดูเป็นผู้ใหญ่เสียจนหากรดาไปยืนคู่ คงกลายเป็นเด็กกะโปโลเสียทีเดียว เสียอย่างเดียวคือเธอไม่ยอมให้รดาไปยืนคู่ด้วยนี่สิคะ เลยไม่รู้ว่าตกลงรดาจะเป็นเด็กกะโปโลขนาดไหน

เราสามคน... ไม่สิ สี่คนไปเจอกันที่วังของท่านหญิงบ่อยๆ แวววรรณเธอดูท่าจะไม่ค่อยชอบใจนักที่รดาไปหาท่านหญิง กับมนต์ณัฐเธอยังไม่ค่อยแสดงอาการเท่าใดนัก แต่กับรดาแล้วเธอมองตาวาวเชียวแหละค่ะ รดาไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่น่าสังเกตว่าวันหนึ่งตอนที่ท่านหญิงรับสั่งถามถึงรดาว่าได้เรียนกับท่านพี่เธอหรือเปล่า รดาก็บอกว่าเรียน (ท่านหญิงทรงรู้แล้วล่ะค่ะว่ารดาเรียนคณะอะไร) เท่านั้นแหละ นัยน์ตาของแวววรรณนี่ ‘แวววับ’ ขึ้นมาเทียวล่ะค่ะ รดานี่หนาวเยือกเลยเมื่อเหลือบไปเห็น แต่จนกระทั่งบัดนี้รดายังไม่รู้เลยว่าทำไมเธอถึงมองรดาแบบนั้น

พูดถึงท่านพี่ของท่านหญิง ตั้งแต่วันที่รดาได้ ‘พูดคุยทำความเข้าใจ’ กับพระอาจารย์ หรือที่จริงควรจะเรียกว่าอาจารย์นั่นล่ะ พอได้ทำความเข้าใจกันในวันนั้นแล้ว รดากับท่านก็ไม่ได้มีปฏิสันถารกันอีกเลย ด้วยเราเล็งเห็นแล้วว่าเราสองคนคงคุยกันได้เท่านี้ เพียงแต่ทุกครั้งที่ท่านสอนรดาก็ตั้งหน้าตั้งตาเรียนเท่านั้น เพราะรดาตั้งใจไว้แล้วว่าจะทำคะแนนให้ได้สูงสุดในวิชาของท่านเลยทีเดียว อย่างน้อยๆ ท่านก็จะได้รู้ว่าผู้หญิงไม่ได้มีค่าเพียงแค่เรียบร้อยหรือเก็บไว้กับครัวเรือน แต่เราก็ฉลาดสามารถหรือทำประโยชน์อะไรๆ ได้เท่าเทียมกับผู้ชายเช่นเดียวกัน

ในจำนวนไม่กี่ครั้งที่รดาไปที่วังของท่าน รดาได้พบพักตร์ท่านเพียงสองสามครั้งเท่านั้น นอกนั้นก็ได้พบกันแต่เพียงตอนเรียน ท่านเพียงแต่ปรายเนตรมองเมื่อเห็นรดาในวังของท่านเท่านั้น ดีที่ท่านอยู่ไกลเสียจนรดาไม่เห็นว่าทรงทำเนตรแบบไหน แต่คงไม่ได้ทอด’เนตรดีเท่าไหร่หรอกค่ะ เพราะท่านน่ะกลัวรดาเอาเชื้อ ‘อกุลสตรี’ ไปแพร่ให้ท่านน้องของท่านจะตาย

สงสัยจริงว่าคนที่อบรมจนท่านหญิงกลายเป็นผ้าที่ถูกอัดกลีบ อบร่ำ ก่อนจะพับเก็บไว้ในหีบไม้จันทร์นี่จะใช่ท่านชายหรือเปล่าหนอ ถ้าใช่ก็คงไม่แปลก ที่แปลกก็คือ ท่านเป็นถึงทูต ได้พบเห็นวัฒนธรรมหลากหลาย ทำไมถึงได้มีแก่ใจปิดกั้นสตรีหนึ่งถึงเพียงนี้หนอ ถ้ารดาเป็นน้องของท่านก็คงรู้สึกถึงความอยุติธรรมนี้แน่
คิดๆ ดูแล้วก็ดีที่รดาเป็นแค่ศิษย์ ก็ขนาดเป็นแค่นี้ท่านยังเคยดุรดาเสียขนาดนั้นเลยนี่นา

เอ... รดาบ่นนอกเรื่องมากไปหน่อยวันนี้ รดาสบายดีค่ะ การเรียนก็เป็นไปด้วยดี ช่วงนี้คุณหญิงป้าบ่นปวดหลัง แต่แม่สายสำแดงวิชานวดแผนโบราณเรียบร้อย คุณหญิงป้าถึงกับต้องพึ่งยาตามเลยล่ะค่ะ! รดาจะสงสารแม่สายก็สงสาร แต่พูดตรงๆ ว่ารดาขำมากกว่า

แล้วก็รักพ่อ แม่ และพี่ดนัยสุดหัวใจเหมือนเดิมนะคะ

รดา'


เมื่อปิดสมุดบันทึกของตัวเองลงเรียบร้อยแล้ว รุจิรดาจึงหันไปปิดโคมไฟดวงน้อย ก่อนจะนอนลงบนเตียงพลางหลับตาพริ้ม แต่ในห้วงคำนึงกลับมีใบหน้าของใครบางคนที่ยังคอยกวนไม่ให้เธอเข้าสู่ห้วงนิทรารมย์เร็วนัก ใบหน้าคมคายเคร่งขรึมนั้นปรากฎขึ้นดังจะกวนมิให้หญิงสาวได้หลับไหล

รุจิรดาไม่รู้ว่าทำไมเช่นกัน แต่เมื่อได้ ‘พูดคุย’ กันในห้องเรียนคราวนั้น หญิงสาวก็มักจะหัวเสียกับสายเนตรคมที่มักปรายมองเวลาเธอพูดหรือหัวเราะกับเพื่อน ตอนก่อนจะเริ่มเรียนหรือหลังเลิกเรียน เธอไม่ได้พูดอะไรกับท่านชายอีกเลย เช่นเดียวกับท่านที่ไม่เคยรับสั่งกับเธอเลยเช่นกัน แม้แต่ในวันที่ไปเจอกันที่วังของท่าน วรกายสูงโปร่งก็เพียงแต่ปรายเนตรรับรู้เพียงเท่านั้น แต่รับสั่งกับหญิงอรโดยนึกว่าเธอจะไม่ได้ยินว่า

‘จะทำอะไรก็ระมัดระวังหน่อย เขาโลดโผนเกินไป พี่กลัวหญิงได้รับบาดเจ็บ’

แหม! อย่างกับว่าเธอจะไปเล่นวิ่งไล่จับกับหญิงอรอย่างนั้นแหละ!

ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห หญิงสาวหลับตาลงแน่น เพียรหายใจเข้าออกลึกๆ พลางหมายมั่นปั้นมือไว้เต็มที่...

...พรุ่งนี้ไปที่วัง เธอจะชวนหญิงอรไปขี่ม้าที่สโมสรดู อยากรู้นักว่าจะทรงรับสั่งว่าอย่างไร!


แต่ก่อนจะไปที่วัง เธอต้องไปเรียนเสียก่อน

รุจิรดามองตำราที่ตนเองถืออย่างหน่ายเล็กน้อย จริงอยู่ที่หญิงสาวชอบอ่านหนังสือ แต่กับตำราเรียนแล้วเธอก็เป็นเหมือนคนอื่นๆ ที่มิได้พิสมัยมันมากนัก แต่ที่ต้องอ่านอยู่ติดๆ กันก็เพราะวันนี้ท่านอดุลย์จะมีทดสอบในชั้นเรียน

ทดสอบครั้งที่แล้วซึ่งเป็นครั้งแรกนั้นได้ผลเป็นที่น่าพอใจ หญิงสาวไม่ได้อันดับหนึ่งก็จริง แต่อันดับสามสำหรับคนที่ไม่ได้เตรียมตัวสอบมาก่อนก็ถือว่าใช้ได้แล้ว หากครั้งนี้เธอตั้งใจมั่นว่าจะคว้าเอาอันดับหนึ่งในการทดสอบครั้งนี้มาให้ได้ อย่างน้อยๆ หากวันนี้เมื่อเธอชวนหญิงอรไปขี่ม้า ‘อาจารย์’ ของเธอจะได้ไม่ทรงตำหนิเธอได้ในเรื่องเรียน

ร่างโปร่งบางคิดเรื่อยเปื่อยขณะที่ทรุดกายลงนั่งใกล้ๆ พิมพรตรงที่ประจำของเธอ หญิงสาวสังเกตเห็นตั้งแต่เข้าห้องมาแล้วว่าพิมพรกำลังหันไปกระซิบอะไรบางอย่างในกลุ่มของเธอ ก่อนที่สายตาของคนกลุ่มนั้นจะหันมามอง... และคล้ายจะเจือแววเยาะหยันน้อยๆ ก่อนจะสะบัดหน้าหนี ไม่ได้ต่อความใดๆ อีก

เมื่อนั่งลงเรียบร้อย หญิงสาวก็ยังหยิบเอาตำรามาเปิดดูเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง แต่เสียงแว่วๆ ของพิมพรและผองเพื่อนก็ทำให้เธอต้องเงยหน้าจากหนังสือมามองคนพูดอย่างงุนงง

“ว่าอย่างไรรดา ช่วงนี้มีเวลาว่างหรือเปล่า จะได้ไปเที่ยวกันเสียที”

พิมพรเอ่ยถาม ขณะที่รุจิรดากำลังจะตอบ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นแทรก

“อะไรกันพิมพร เธอจะไปถามรดาเขาทำไม ก็รู้อยู่ว่าเขาไม่ไปกับเราหรอก อย่างรดา... เขาไม่ยุ่งกับเราหรอกจ้ะ” นงนภิศเอ่ยแทรก ก่อนที่จะมีเสียงลูกคู่ดังขึ้นประปราย

“นั่นสิ ยศศักดิ์อะไรก็ไม่มีอย่างเรา รดาจะลดตัวลงมาสนทนาด้วยหรือ”

“ชวนไปกี่ครั้งๆ ก็ไม่ไปด้วยกัน ฉันก็นึกว่าอะไร ที่แท้เป็นเพราะพวกเราไม่คู่ควรที่จะไปเดินเที่ยวด้วยต่างหาก”

นงนภิศพยักหน้ากับผู้พูด ก่อนจะหันมาจ้องหน้าหญิงสาวที่ยังนั่งนิ่งอยู่กับโต๊ะ ดวงตาดำสนิทจดจ้องอย่างหยามหยันเต็มเปี่ยม “จริงสินะ ตอนแรกฉันก็นึกว่าที่บ้านเธอมีปัญหา ก็อุตส่าห์เป็นห่วงตามประสาเพื่อน ที่ไหนได้...”

“อ้อ... ฉันลืมไป ต้องขอโทษด้วยนะรดา” พิมพรยิ้มน้อยๆ “ลืมไปว่าฉันไม่มียศหม่อมเจ้า เธอเลยไม่ลดตัวลงมาเป็นเพื่อนด้วยเสียอย่างนั้น”

“หม่อม... หม่อมเจ้าหรือ?” รุจิรดาเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะเข้าใจสาเหตุที่จู่ๆ เธอก็ถูกครหาขึ้นมาได้รางๆ “พวกเธอเห็นฉันกับหญิงอรหรือ?”

“ต๊าย... เรียกเสียสนิทสนมเชียวนะรดา” นงนภิศเอามือทาบอก ท่าทางตกใจเกินจริง “ไม่มีใครบอกหรือจ๊ะว่าอย่าตีตนเสมอเจ้า อ้อ... ลืมไปว่าพ่อกับแม่เธอเสียไปแล้ว เลยบกพร่องเรื่องมารยาทไปบ้าง”

รุจิรดาสูดลมหายใจลึก โทสะกรุ่นร้อนสายหนึ่งกำลังไหลเข้าท่วมสติช้าๆ “จะพูดอะไรก็พูด อย่ามาลามปามถึงพ่อแม่ฉัน บอกจุดประสงค์มาเสียทีว่าพวกเธอต้องการอะไรกันแน่ ถึงเอาเรื่องที่เห็นฉันอยู่กับหญิง... ท่านหญิงมาพูดแบบนี้ ฉันจะเป็นเพื่อน จะคบหากับใครมันเป็นอย่างไรหรือ หรือว่าพวกเธอหาเพื่อนที่มีศักดิ์ฐานะไม่ได้ ถึงต้องมาแขวะฉันอย่างนี้”

“รดา!” น้ำเสียงพิมพรดังไปทั่วห้อง ทำให้คนอื่นๆ เริ่มมองอย่างสนใจ “ที่พวกฉันพูด ก็เพราะว่าตลอดเวลาสี่ปีที่ผ่านมาเธอไม่เคยที่จะไปไหนมาไหนกับพวกฉันเลย เราเป็นเพื่อนกันมาหลายปี แม้แต่ไปเดินเที่ยวสักครั้งก็ยังไม่เคย ฉันเลยสงสัยว่าเป็นเพราะพวกฉันไม่มียศฐาบรรดาศักดิ์หรือเธอจึงไม่ลดตัวลงมาคบค้าด้วยอย่างนี้”

“ไม่จริงเลย ฉันไม่เคยอยากได้ใคร่มีเรื่องพวกนี้ แต่ที่คบหากับท่านหญิงก็เพราะเป็นความสบายใจของฉัน พิมพร... เธอเป็นเพื่อนที่ดี แต่ที่ฉันไม่เคยไปไหนมาไหนกับเธอเลยก็เพราะพวกพ้องเจ้ายศเจ้าอย่างของเธอนั่นล่ะ!”

คล้ายทำนบพัง หญิงสาวลุกขึ้นยืนก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายที่อึ้งงันไป ก่อนจะพูดต่อด้วยความอัดอั้น “พวกเธอคิดหรือว่าฉันไม่เท่าทัน ไม่รู้หรอกว่าทุกคำที่พวกเธอพูดตลอดเวลาสี่ปีนี่เป็นคำแบบไหนอย่างนั้นหรือ คำก็พ่อแม่ตาย กำพร้า บ้านมีปัญหา คำเหล่านี้ฉันเคยพูดออกจากปากแม้แต่คำเดียวไหม พวกเธอต่างหากที่ขุดคุ้ยกันมาพูดให้สนุกปากเท่านั้น แล้วเธอยังคิดอีกหรือว่าฉันจะคบหากับคนที่เอาความทุกข์ของคนอื่นมาเล่นสนุกได้!”

ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงัน มีแต่นงนภิศที่หน้าแดงก่ำด้วยความโกรธที่ถูกว่าให้ซึ่งหน้าที่ขยับจะโต้ตอบ

“วันนี้นั่งกันเรียบร้อยดีจริง”

ทั้งห้องสะดุ้งขึ้นมาพร้อมๆ กัน รุจิรดาปรายหางตามองอีกฝ่ายเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ของตนเอง ไม่หันไปมองข้างหลังอีก หญิงสาวยังคงหอบหายใจน้อยๆ ใบหน้าแดงก่ำ

วรกายสูงโปร่งของท่านชายดำเนินอย่างนิ่มนวลแต่รวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวก็ทรงยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ก่อนจะยื่นเอกสารในหัตถ์ให้ด้วยสีพระพักตร์เรียบเฉย ต่างจากหญิงสาวที่กระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที

...เมื่อครู่จะทรงได้ยินที่เธอเถียงกับนงนภิศหรือเปล่า แล้วจะดำริเหมือนคนอื่นๆ ไหมที่หาว่าเธอเป็นเพื่อนกับหญิงอรเพียงเพราะอีกฝ่ายมียศศักดิ์เท่านั้น

...เธอไม่เคยมีเพื่อน แต่เล็กจนโตเธอมีพี่ชาย พ่อ และแม่เป็นเสมือนเพื่อน กับโรงเรียนเดิมเธอก็ไม่ได้คบหาหรือสนิทสนมอะไรกับใครมากนัก เพราะเธอคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง

ในขณะที่เด็กสาวคนอื่นๆ สามารถเกาะกลุ่มกัน แล้วพูดถึงเสื้อผ้า ทรงผม นักแสดงที่ชอบ เธอกลับเดียวดายเมื่อไม่สามารถพูดคุยกับใครเรื่องม้าตัวโปรดของเธอ

ในขณะที่เด็กสาวคนอื่นๆ จับกลุ่มกันไปดูหนังชั่วฟ้าดินสลาย พร้อมทั้งร่ำไห้เมื่อดูถึงจุดจบ แต่เนื่องจากบทประพันธ์ล้ำค่าเรื่องนั้นอยู่ในตู้หนังสือของเธออยู่แล้ว เธอจึงไม่ได้ไปดูกับคนอื่น เช่นเดียวกับที่ไม่มีใครพูดถึงหนังเรื่องเล็บครุฑ ที่เธอรบเร้าให้พี่ชายพาไปดูหลายครั้ง แต่ไม่มีใครให้เธอพูดถึงเรื่องนี้เลยนอกจากครอบครัว...

...ใช่ว่าเธอไม่ต้องการเพื่อน แต่เธอเข้ากับใครไม่ได้ต่างหาก

เธอเข้ากับผู้ชายได้ดี แต่กับผู้หญิงแล้วเป็นต้องค่อยๆ ถอยห่างทุกครั้งเมื่อเริ่มรู้จักกันมากขึ้น เหมือนเป็นโลกพิศวงที่เธอไม่เคยเข้าไปด้วยความเข้าใจได้เลยสักครั้งเดียว

และการที่เธอมีเพื่อนผู้ชายแทนที่จะมีเพื่อนเพศเดียวกัน เป็นสาเหตุที่ทำให้เพื่อนร่วมห้องที่เป็นผู้หญิงมองเธอแบบแปลกๆ มาตลอด

สุรเสียงกังวานนุ่มปลุกหญิงสาวให้ตื่นจากห้วงคิดของตนเอง

“เอากระดาษคำถามแจกให้เพื่อนด้วย แล้วทุกคนเมื่อได้กระดาษคำถามก็ขอให้เริ่มทำด้วยความสงบ อ่านคำถามให้ดี ระวังประเด็นทางกฎหมายด้วย”

รุจิรดาแบ่งกระดาษส่งไปทั้งทางฟากซ้ายมือและขวามือของตนเอง ก่อนจะหันกลับมาสบเนตรคมที่กำลังทอดมองอยู่พอดี แววเนตรเรียบเฉยทำให้หญิงสาวคิดสงสัยขึ้นมาเช่นทุกครั้งที่เคยสบเนตรคู่นี้มาแล้ว

...ดำริอะไรอยู่นะตอนนี้

“ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศก็เหมือนการคบหากันระหว่างบุคคล” ระหว่างที่กำลังแจกกระดาษคำตอบ ท่านชายก็รับสั่งขึ้น “การที่เราเป็นพันธมิตรกับใครมานานปี ไม่ได้แปลว่าจะเป็นมิตรแท้ต่อกัน เช่นเดียวกับคนที่คบหากันมานาน ไม่ได้จำเป็นว่าจะต้องเป็นเพื่อนกันเสมอไป ในทางระหว่างประเทศ หากไม่มีผลประโยชน์ร่วมกัน ก็ไม่เกิดข้อตกลงใดๆ ร่วมกัน แต่เพราะเห็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย หรือเพราะร่วมมือกันแล้วดีกว่าตนเองทำอยู่คนเดียว จึงมาตั้งข้อสัญญาร่วมกัน เรื่องเหล่านี้ถือเป็นเรื่องของผลประโยชน์ ไม่ใช่เรื่องของมิตรภาพ”

หญิงสาวชะงักมือจากการหยิบปากกา เงยหน้าขึ้นมองพักตร์คมไม่แสดงพระอารมณ์ใดขณะรับสั่งต่อ “ประเทศมหาอำนาจอาจจับมือเป็นพันธมิตรกับประเทศเกิดใหม่ได้เพียงเพราะต้องการผลประโยชน์ คนเราก็เหมือนกัน คนต่อคนนั้นยอมจับมือเป็นมิตรกันก็เพียงผลประโยชน์บางประการ แต่ความสัมพันธ์ของคนมันซับซ้อนกว่านั้น ยุ่งยากกว่านั้น คนที่เรารู้จักกันเป็นสิบปีอาจเป็นเพียงแค่คนรู้จัก ในขณะที่คนที่เพิ่งรู้จักกันได้สามวันอาจจะเป็นเพื่อนแท้หนึ่งเดียวในชีวิตของเรา สิ่งหนึ่งที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเรียกว่าความจริงใจ”

“ประเทศต่อประเทศหากใช้ความจริงใจเข้าหากัน ความร่วมมือระหว่างกันก็มั่นคงยิ่งขึ้น มีโอกาสที่จะเป็นพันธมิตรกันในด้านอื่นๆ มากขึ้น แต่ไม่แปลกที่เราจะได้เห็นคนรู้จักกันมาเป็นปีๆ แล้วก็เป็นได้แค่คนรู้จัก และไม่แปลกอีกหากจะได้เห็นคนที่เจอกันสามวันแล้วกลายเป็นมิตรแท้ เพราะมันอยู่ที่ความจริงใจที่ทั้งสองฝ่ายยื่นให้แก่กันมากกว่า และความจริงใจมันก็หาได้ยากด้วยสิ ไม่ว่าจะเป็นการคบคนหรือเป็นเรื่องทางระหว่างประเทศ”

ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เธอตั้งใจฟังรับสั่งนั้นอย่างเต็มที่ คล้ายสุรเสียงทุ้มนั้นจะปลอบประโลมเธออย่างประหลาด และประกาศความรู้สึกที่เธอค้นหาคำนิยามอยู่เป็นนานออกมาในวันนี้

ที่เธอไม่อยากคบหากับพวกของนงนภิศ ก็เป็นเพราะเธอรู้ว่าเธอจะไม่ได้รับความจริงใจตอบแทนมานั่นเอง

รู้จักกันมาหลายปี แต่ถ้อยคำบางอย่างเมื่อแรกพบกลับทำให้รุจิรดาพยายามอยู่ห่างจากอีกฝ่ายหนึ่ง เป็นเพราะเธอไม่สามารถสัมผัสความจริงใจของอีกฝ่ายได้

มีเพียงคำพูดถากถาง เยาะหยัน เสียดสีเท่านั้นกระมังที่เธอสัมผัสได้ชัดเจนเหลือกัน

“รับสั่งได้ประจวบเหมาะเสียจริง” ร่างโปร่งบางพึมพำเบาๆ ขณะที่พลิกเปิดอ่านแบบทดสอบ ท่านชายหยุดรับสั่งแล้วบอกให้ทำแบบทดสอบได้ หญิงสาวใช้มือปัดผมที่หลุดออกจากมวยลงมาให้กลับขึ้นไปใหม่อีกครั้ง ก่อนจะเผลอสบสายพระเนตรคมอีกคราอย่างไม่ตั้งใจ

แววเนตรที่ทอดมองกลับมานั้นเรียบเฉยดุจเคย แต่อะไรบางอย่าง... กลับพาดผ่านเข้ามาคล้ายประกายไฟไหววับแล้วดับวูบ

บางอย่าง... ที่ทำให้เธอสงสัยอยู่ครามครัน

หรือว่าจะทรงได้ยินที่เธอพูดกับคนพวกนั้นกันนะ?


คิ้วเรียวขมวดน้อยๆ หากรอยอบอุ่นบางอย่างกลับแผ่ซ่านเข้าไปในจิตใจ... น้อยเสียจนเธอเองไม่รู้สึกตัว



ปณัชญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 ต.ค. 2555, 04:55:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 ต.ค. 2555, 04:55:43 น.

จำนวนการเข้าชม : 2546





<< บทที่ 2 [2/2]   บทที่ 3 [2/2] >>
บัวขาว 25 ต.ค. 2555, 08:55:38 น.
=^_^=


mhengjhy 25 ต.ค. 2555, 09:47:51 น.
สงสัยจะเริ่มพึงใจ 5555


ukkanirut 25 ต.ค. 2555, 10:12:08 น.
... สอนต่อได้เนียนๆค่ะท่านชาย


ม่านฟ้า 25 ต.ค. 2555, 10:51:19 น.
ช้อบ ชอบ


ปรางขวัญ 25 ต.ค. 2555, 12:29:26 น.
สอนไปด้วยปลอบไปด้วยรึเปล่าคะท่านชาย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account