เพียงพบ(ภพ)รัก
ใครหลายคนอาจมองว่าสายฝนคือตัวแทนของความเศร้า แต่จะมีกี่คนรู้บ้างไหม ว่าในมุมหนึ่งของเรื่องราว ยังมีใครบางคนเฝ้ารอสายฝนอยู่
เฝ้ารอ...โดยไม่รู้ว่าฝนจะตกลงมาเมื่อไร
เฝ้ารอ...เพื่อจะได้เห็นสายฝนพรำ
และเฝ้ารอคอยความรักจากใครสักคนที่อยู่ห่างออกไปแสนไกล...

Tags: รักซึ้ง พิมพ์อัปสร เตชน์ ภพรัก พบรัก

ตอน: บทที่ 2/1 คุณมากับฝน

บทที่2

...อดทนเวลาที่ฝนพรำ อย่างน้อยก็ทำให้เราได้เห็นถึงความแตกต่าง

เมื่อวันเวลาที่ฝนจาง ฟ้าก็คงสว่างและทำให้เราได้เข้าใจ

ว่ามันคุ้มค่าแค่ไหนที่เฝ้ารอ...

เสียงเพลงจากโน้ตบุ๊คบนโต๊ะทำงาน ช่างเหมาะกับบรรยากาศมืดครึ้มในค่ำคืนที่ฝนตกกระหน่ำไม่น้อย เตชน์เปิดประตูกลับเข้ามาในห้องทำงานของตนพร้อมกับกาแฟร้อนในมือแก้วใหญ่ ชายหนุ่มวางแก้วลงบนโต๊ะทำงานซึ่งถูกสร้างขึ้นจากล้อแม็กซ์และแผ่นกระจกใส เขาได้ยางรถยนต์หลายสิบเส้นมาโดยบังเอิญจากการซื้อขายเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน ด้วยความเสียดาย เตชน์เลยไปหาซื้อแผ่นกระจกใสมาต่อเติมล้อเหล่านี้จนกลายมาเป็นโต๊ะทำงานทรงทันสมัย เช่นเดียวกับเฟอร์นิเจอร์อีกหลายชิ้นในห้องทำงานของเขาล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นจากของเหลือใช้ หรือที่ใครหลายคนต่างให้คำนิยามว่า ‘ขยะ’ มาดัดแปลง ตกแต่งใหม่ จนกลายเป็นของที่สามารถนำกลับมาใช้งานได้

สายฝนเบื้องนอกหน้าต่างยังกระหน่ำลงมาไม่หยุด ข่าวเมื่อตอนหัวค่ำที่ผ่านมาบอกว่าในช่วงสัปดาห์นี้พายุลูกใหญ่กำลังจะพัดผ่านเข้ามา ทำให้กรุงเทพมหานครและจังหวัดใกล้เคียงมีฝนตกหนาชุก ชายหนุ่มนั่งทำงานอยู่หน้าโน้ตบุ๊คของตนเองกว่าพักใหญ่ เสียงสายฝนดังสลับกับเสียงดนตรี ช่วยชะล้างทั้งความเหงาและอารมณ์ท้อแท้ในใจให้เลือนหายออกไป

เกือบหนึ่งชั่วโมงต่อมา กาแฟในแก้วถ้วยใหญ่ก็พร่องไปมาก เตชน์ลุกขึ้นบิดกายขับไล่อาการเมื่อยขบของการนั่งทำงานมาตลอดหลายชั่วโมง ระหว่างกำลังชั่งใจว่าจะนั่งทำงานต่อหรือเดินลงไปเบื้องล่างดี จู่ๆมือของเขาก็เผลอไปปัดโดนแก้วกาแฟล้มคว่ำลง

“บ้าจริง” ชายหนุ่มสบถออกมา รีบคว้าเอกสารบนโต๊ะทำงานขึ้นมา ก่อนมองหาเศษผ้ามาเช็ด

จากนั้นเขาจึงตัดสินใจเดินลงมาด้านล่างเพื่อซักผ้าและล้างถ้วยกาแฟ เลยออกมาจากบริเวณนอกห้องทำงาน โกดังขนาดใหญ่ยังคงมีสภาพเก่าและค่อนข้างซ่อมซ่อ เนื่องจากการเงินที่มีอยู่อย่างจำกัด ทำให้เตชน์ตัดสินใจปรับปรุงเพียงแค่ห้องเดียวภายในอาคารเพื่อใช้เป็นที่ทำงานและนอนหลับในเวลาเดียวกัน

เลยลงมาจากบันไดด้านในคือลานซีเมนซ์ซึ่งเคยว่างโล่งเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน มาตอนนี้หลายมุมของลานกว้างกลายเป็นที่สุมของกองขยะ บริเวณกลางลานมีพนักงานชายหญิงใช้แรงงานหลายคน ทั้งไทยและพม่า กำลังนั่งจับกลุ่มกันอยู่รอบกองขยะกองใหญ่ ซึ่งถูกบรรจุมาในถุงพลาสติกทั้งใสและดำ วางสุ่มๆกันจนเป็นเนิน

“นายมาๆ” ใครคนหนึ่งซึ่งพูดภาษาไทยได้ ต่างสะกิดเพื่อนหลายคนที่ยังยืนล้อมวงกันอยู่

เท่านั้นเอง อาการแตกฮือเหมือนผึ้งแตกรังก็เกิดขึ้น ชายหญิงหลายคนต่างรีบเดินกลับไปประจำที่ของตัวเอง เหลือแค่เพียงหนุ่มวัยรุ่นชาวไทยสองคน

“ทำอะไรกัน”

เพราะน้ำเสียงมีอำนาจและความเป็นนายของเตชน์ ทำให้สองหนุ่มต่างหันมามองหน้ากันเลิกลั่น หนึ่งในนั้นค่อยๆยื่นสิ่งที่อยู่ในมือตัวเองออกมาให้เขาดู

มันคือแหวนสีทองประดับด้วยเพชรเม็ดเล็กรอบตัวแหวนถูกร้อยอยู่ภายในสร้อยสแตนเลส รูปทรงและลักษณะของแหวนดูคล้ายของโบราณมากกว่าแหวนที่เพิ่งทำขึ้นในปัจจุบัน อีกทั้งตัวเรือนของแหวนวงนี้ก็เล็กเสียจนน่าจะเหมาะกับนิ้วของหญิงสาว

“ของจริงรึเปล่านาย” เด็กหนุ่มคนเดิมถามด้วยน้ำเสียงอยากรู้สุดฤทธิ์

“ดูไม่ออก แต่น่าจะเก่ามากอยู่”

“ผมขอนะนาย ผมเป็นคนเจอมันในกองขยะ”

เตชน์ชั่งใจมองอีกฝ่ายพักหนึ่ง ความจริงขยะกองนี้หรือกองไหนๆในโกดังล้วนแล้วแต่ถูกซื้อมาด้วยเงินของเขาทั้งสิ้น ดังนั้นไม่ว่าสิ่งใดที่ค้นเจอในกองขยะล้วนต้องตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเขา ทว่าเตชน์ก็คร้านจะดึงดันเอากับคนได้ชื่อว่าเป็นลูกน้อง

“รีบกลับไปทำงานได้แล้ว” ชายหนุ่มบอกพร้อมกับส่งแหวนคืนให้อีกฝ่าย

เด็กหนุ่มมีสีหน้าดีใจไม่น้อย ตั้งหน้าตั้งตาหันกลับไปทำหน้าที่แยกขยะต่อไป

เตชน์ยืนมองเหล่าคนงานแยกขยะที่เพิ่งได้มาวันนี้ออกเป็นประเภทๆ ขยะส่วนใหญ่ที่ชายหนุ่มกว้านซื้อมาทั้งจากซาเล้งและตามร้านค้า ล้วนแล้วแต่เป็นกล่องกระดาษ ขวดน้ำพลาสติก ขวดแก้ว รวมไปถึงบรรดากระป๋องน้ำอัดลมทั้งหลาย หลังการคัดแยกขยะออกมาได้จำนวนหนึ่ง คนงานของเขาก็จะนำขยะแต่ละประเภทกลับมาบรรจุถุงใหม่เพื่อส่งขายต่อไป

นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น อนาคตของเขาบนถนนสายนี้ยังคงอีกยาวไกลนัก... เตชน์เตือนตัวเองอีกครั้งก่อนจะเดินกลับขึ้นห้องไป



“นายครับ นาย...” เสียงตะโกนโหวกเหวกของเด็กหนุ่มชาวไทยคนหนึ่งเรียกเขาไว้ ขณะชายหนุ่มกำลังเดินสำรวจไปทั่วโรงงาน

“มีอะไรสอง”

“ไอ้เดชครับ มันไม่สบาย ไข้ขึ้น ตัวร้อนจี๋เลย”

ชายหนุ่มนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ภาพเด็กหนุ่มผมเกรียนที่เอ่ยปากขอแหวนทองจากเขาไปเมื่อคืนนี้ก็ผุดขึ้นมาในความทรงจำ

“แล้วทำไมไม่พามันไปหาหมอ”

“รถกระบะออกไปส่งของตั้งแต่เช้าแล้วครับ ยังไม่กลับมาเลย”

เตชน์ถอนหายใจออกมา ทั้งโรงงานของเขาเวลานี้มีเพียงกระบะมือสองคันเดียวที่ชายหนุ่มตัดสินใจดาวน์มาเพื่อใช้ในการขนของ ส่วนตัวเขาเองในแต่ละวันก็แทบไม่ได้ออกไปไหน ยกเว้นแต่ตอนออกไปติดต่อกับบรรดาร้านค้าทั้งหลายเพื่อขอผูกขาด เป็นเจ้าเดียวในการซื้อขยะจากร้านค้าเหล่านั้น

“ตามฉันมา หายาลดไข้ให้มันทานก่อนแล้วกัน แล้วให้ใครโทร.ไปตามไอ้ชาติด้วย ถ้าส่งของเสร็จแล้วให้รีบกลับมา อย่ามัวโอ้เอ้” เตชน์หันมาบอกคนงาน พร้อมกับจดบันทึกไว้ในใจเรื่องกล่องยาและอุปกรณ์ปฐมพยาบาลที่เขายังหลงลืม ไม่ได้จัดเตรียมไว้ในโรงงาน

หลังจากหายาลดไข้มาได้จากห้องทำงานของตัวเอง เตชน์ก็ตัดสินใจเดินไปดูเด็กหนุ่มในบ้านพัก บ้านพักคนงานเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นอย่างง่ายๆด้วยการให้คนนำแผ่นไม้มาตีขึ้นเป็นห้องๆภายในมุมหนึ่งของตัวอาคาร ร่างของเด็กหนุ่มกำลังขดกายนอนตัวสั่นอยู่บนผืนเสื่อ สร้างความเวทนาให้กับคนเพิ่งก้าวเข้ามาใหม่ไม่น้อย นานๆทีคนบนเสื่อก็ออกอาการกระสับกระส่าย ส่ายหน้าพร้อมกับปากพำพึมออกไป

“ไม่เอาแล้ว ช่วยด้วย ออกไปนะ ออกไป”

“ท่าจะอาการหนัก เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วเหรอ” เตชน์หันมาถามคนด้านหลัง

“ครับนาย แต่เมื่อคืนมันก็แค่ละเมอแล้วก็โวยวายเฉยๆ ผมเลยย้ายไปนอนกับไอ้ชิด เพิ่งมาเห็นว่ามันไม่สบายก็ตอนเช้านี้เอง” สองบอกกับชายหนุ่ม สายตาเหลือบมองเพื่อนด้วยท่าทีหวั่นๆ “นายครับ หรือว่าไอ้เดชมัน...เอ่อ...ถูกผีเข้า”

“เหลวไหล โลกนี้มีผีที่ไหน” คนไม่เคยเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติปรามทันที “แล้วนี่มีใครโทร.ไปตามชาติรึยัง อยู่ไหนแล้ว” เขาตะโกนถามบรรดาเหล่าไทยมุง พม่ามุง ทางด้านหลัง

“โทร.แล้วจ้านาย พี่ชาติบอกว่ากำลังขับเข้าซอยมา” หญิงสาวคนหนึ่งตอบคำถามเขา

“ดี สอง เอ็งสามคนด้วย มาแบบไอ้เดชออกไป แล้วบอกชาติว่าให้พาไปส่งอนามัยหรือไม่ก็โรงพยาบาลในจังหวัด” ชายหนุ่มหันมาสั่งคนงานชายทั้งสี่ตรงหน้าประตู

“แต่นายครับ ไอ้เดชมันไม่มีเงินเลย”

“เออ รู้อยู่” เตชน์บอกอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญนัก ยามนี้เขาเชื่อว่าสุขภาพและความปลอดภัยของลูกน้องคือสิ่งสำคัญกว่า

รถกระบะสำหรับขนของขับกลับมาในช่วงเวลาที่คนงานทั้งสี่กำลังช่วยกันอุ้มตัวผู้ป่วยออกมาจากห้องพัก ชายหนุ่มยืนดูความเรียบร้อยอยู่พักใหญ่ แล้วจึงไล่บรรดาคนงานที่เหลืออยู่ให้กลับไปทำงานต่อ เขาถอนหายใจออกมากับความวุ่นวายเล็กๆที่เกิดขึ้นในทุกวัน



“พิมพ์ เย็นนี้ออกไปทานข้าวกันนะครับ” น้ำเสียงทุ้ม พร้อมกับภาพใบหน้าหนุ่มตี๋ ลูกครึ่งไทยจีนปรากฏขึ้นบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ตนเองกำลังทำงานอยู่ ทันทีเมื่อเธอกดตอบรับสัญญาณอีกฝ่าย

เพราะเธอและอีกฝ่ายหนึ่งทำงานอยู่ในบริษัทเดียว พนักงานอย่างพวกเธอจึงมีโปรแกรมสนทนากันเองภายในบริษัทซึ่งมีไว้ใช้ตั้งแต่คุยงาน นินทา และเม้าสัพเพเหระ

“แต่พิมพ์ยังทำงานไม่เสร็จเลย เย็นนี้พิมพ์ไม่อยากออกไปไหนค่ะ” เธอบอกอย่างฝ่ายอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่คิดอ้อมค้อม

สีหน้าของคนปลายสายหม่นลงทันที หากเจ้าตัวก็พยายามจะส่งยิ้มกลับมา

“ทานข้าวแถวคอนโดฯพิมพ์ก็ได้ เดี๋ยวผมไปหา คุณไม่ได้ออกจากห้องมากี่วันแล้ว” ภูวิศบ่นออกมาด้วยรู้นิสัยอีกฝ่ายดี

“ก็พิมพ์งานยุ่ง พี่วิศเถอะ งานของตัวเองทำเสร็จแล้วเหรอ ถึงได้จะมาทานข้าวกับพิมพ์” หญิงสาวได้ทีเลยค่อนเพื่อนรุ่นพี่ออกไป

สีหน้าของชายหนุ่มคล้ายเด็กเพิ่งโดนคนจับผิดได้ เขาหัวเราะแห้งๆออกมาก่อนสารภาพ

“ยังไปไม่ถึงไหน ความจริงพี่มีปัญหานิดหน่อย อยากให้พิมพ์ช่วย”

“ปัญหาอะไรคะ ส่งไฟล์มาให้พิมพ์ดูก็ได้ เดี๋ยวพิมพ์ช่วยแก้ให้”

“เอาไว้คุยกันตอนทานข้าวเย็นนี้ได้ไหม มันคุยไม่ค่อยถนัดน่ะ เวลาคุยกันหน้าจอคอมพิวเตอร์แบบนี้” ภูวิศพยายามหาข้ออ้าง

“ก็ได้ค่ะ งั้นพี่วิศมาหาพิมพ์ตอนเย็น แล้วเดี๋ยวพิมพ์จะช่วยดูงานให้” หญิงสาวตอบกลับไปในที่สุด

เป็นผลให้ดวงหน้าตี๋ๆของคนปลายสายเผยรอยยิ้มกว้างกลับมา ภูวิศพูดคุยต่อกับเธออีกไม่กี่ประโยค เขาก็ขอตัววางสายไปทำงานต่อ พิมพ์อัปสรพยักหน้ารับ เพราะเธอเองก็ต้องการสมาธิในการทำงานไม่น้อยไปกว่ากัน

ทว่าวางสายจากชายหนุ่มไปได้ไม่นาน สัญญาณเรียกเข้าก็ดังขึ้นอีกครั้ง หญิงสาวโคลงศีรษะด้วยความอ่อนใจ เอื้อมมือไปกดรับสัญญาณจากคนปลายสาย

“เป็นไงจ๊ะ รับเดทหนุ่มตี๋แล้วใช่ไหม”

“นี่พิ้งค์แอบแฮ็กมาฟังพิมพ์คุยใช่ไหม” หญิงสาวพยายามปั้นสุ่มเสียงให้แข็งกว่าปรกติ แต่มันก็ทำได้ยากเย็นเหลือเกิน

“เปล๊า ใครจะกล้าทำแบบนั้น แต่พิมพ์อย่าลืมสิว่า พิ้งค์เป็นคนออกแบบโปรแกรมสนทนาของบริษัทเราเองนี่นา บางทีมันก็ต้องมีแอบเห็นบ้างล่ะว่าใครทำอะไร โทร.หาใครเมื่อไหร่” พิชยาบอกด้วยน้ำเสียงและท่าทีไม่เป็นเดือนเป็นร้อนเลยสักนิด “ตกลงพี่วิศมาชวนพิมพ์เดทใช่ไหม” เธอวกกลับมาในเรื่องที่อยากรู้

“ไม่ใช่เดท แค่บอกว่าจะมาทานข้าวแถวคอนโดฯพิมพ์เฉยๆ พี่เขามีปัญหากันงานตัวใหม่เลยอยากให้พิมพ์ช่วย”

“ข้ออ้าง” พิชยาบอกอีกฝ่ายได้แทบจะในทันที

แม้เธอจะค่อนข้างชื่นชมกับความสามารถของเพื่อนร่วมงานที่มีมากกว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่ภูวิศก็เป็นหนึ่งในโปรแกรมเมอร์มือดีของบริษัท แถมยังทำงานอยู่ที่นี่ก่อนพิมพ์อัปสรหลายปี

“ก็เดาได้อยู่” พิมพ์อัปสรก็ไม่ได้คิดต่างไปจากเพื่อนรักเท่าไร

“เล็งไว้เหมือนกันล่ะสิ” คนปลายสายทำเสียงเล็กเสียงน้อยดักคอมา “ความจริงพี่วิศก็เป็นผู้ชายไม่เลวนักหรอก พิมพ์ก็ควรจะรับเขาไว้พิจารณา”

จากคำพูดของพิชยา พิมพ์อัปสรหวนนึกไปถึงหนุ่มตี๋รุ่นพี่อย่างภูวิศ

หญิงสาวพบเขาแบบตัวเป็นๆครั้งแรกในงานเลี้ยงฉลองปีใหม่ของบริษัทเมื่อสองปีก่อน โดยปรกติแล้วพนักงานอย่างพวกเธอแทบไม่มีความจำเป็นใดต้องเดินทางเข้าบริษัทเลย นอกจากวันแรกที่ถูกสัมภาษณ์งาน วันเซ็นสัญญาและได้พบปะเจ้านายในแผนกของตน พิมพ์อัปสรก็สามารถทำงาน ประชุม และส่งงานต่างๆผ่านทางอินทราเน็ต ของบริษัทได้โดยไม่ต้องพบปะเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้างานเลยแม้แต่น้อย เพราะทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นการสนทนากัน การประชุม หรือการแก้ไขไฟล์งานร่วมกัน ทั้งหมดสามารถทำงานผ่านระบบขององค์กรได้ จะมีก็แต่การประชุมพนักงานประจำปี รวมไปถึงการพบปะกันในงานเลี้ยงสังสรรค์ของบริษัทเท่านั้น ที่พนักงานแต่ละคนจะออกจากบ้านของตัวเองมาพบหน้ากัน

ถ้านับระยะเวลาตลอดสองปีที่ผ่านมา พิมพ์อัปสรมีโอกาสพบหน้าพิชยา เพื่อนรักและเพื่อนร่วมงานของเธอมากกว่าใครๆ เพราะสองสาวมักหาเวลาว่างไปเที่ยวด้วยกันเสมอ รองลงมาก็เห็นจะเป็นภูวิศ เธอเคยพบหน้าชายหนุ่มคนนี้อยู่ประมาณแปดครั้งได้ ภูวิศเป็นผู้ชายรูปร่างไม่สูงนัก ผิวขาว ออกจะผอมและเก้งก้างอยู่บ้าง สมกับลักษณะของคนทำงานอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอดวัน หากท่าทีสุภาพ ให้เกียรติฝ่ายหญิงเสมอ ก็ทำให้เธอและพิชยาประทับใจในบุคลิกของรุ่นพี่คนนี้ไม่น้อย ทว่า...

“ไม่รู้สิพิ้งค์ พิมพ์ยังไม่มั่นใจ พี่วิศมีดีทุกอย่างเลยนะ เสียอยู่แค่เพียงข้อเดียว”

“อะไรเหรอพิมพ์”

หญิงสาวชั่งใจอยู่นิดหนึ่ง ก่อนยอมเอ่ยปากออกไป

“ห้ามหัวเราะนะ” เธอดักคอเพื่อน เมื่อเห็นคนปลายสายพยักหน้า จึงยอมเล่า “มันแค่ความรู้สึกน่ะ เหมือนยังไม่ใช่ พิมพ์คุยกับเขาแล้วก็สนุกดี อบอุ่น แต่ไม่รู้สิ มันยังไม่โดนล่ะมั้ง” หญิงสาวโคลงศีรษะอย่างคนไม่เข้าใจความรู้สึกตัวเองมากนัก

“เพราะพิมพ์กับเขายังเจอกันน้อยเกินไปรึเปล่า ถึงสมัยนี้จะคุยโทรศัพท์แล้วเห็นหน้ากัน แต่พิ้งค์ว่ามันก็ยังวัดอะไรไม่ได้มากเท่ากับการพบกัน ไปไหนมาไหนด้วยกันหรอก” พิชยาตั้งข้อสังเกต

“มันก็ใช่ แต่พิมพ์ก็ไม่อยากตั้งความหวังให้พี่เขามากนี่นา กลัวเขาผิดหวังเพราะพิมพ์ก็ยังไม่รู้หัวใจตัวเองเลย” หญิงสาวสารภาพ

“ก็อย่าไปให้ความหวังสิ แค่เจอกันมากขึ้นอีกหน่อย จะได้เรียนรู้นิสัยใจคอของกันและกัน”

“อืม แล้วพิมพ์จะลองดู” พิมพ์อัปสรรับปากเพื่อนออกไป แม้ในใจจะยังมีคำถามมากมาย

ผู้ชายคนนี้คือคนที่เธอเฝ้ารอคอยมาทั้งชีวิตแน่เหรอ...



ภูวิศไม่ได้มีส่วนด้อยหรือข้อตำหนิใดเลยในสายตาของพิมพ์อัปสรและพิชยา ชายหนุ่มเป็นต้นแบบของสุภาพบุรุษที่เรียกได้ว่าหายากเย็นนักในยุคสมัยที่ความเจริญกำลังรุดหน้าไปไกล เวลาห้าโมงเย็นไม่ขาดไม่เกิน โทรศัพท์มือถือของหญิงสาวก็ดังขึ้น

“พี่รอพิมพ์อยู่ที่ร้านกาแฟข้างล่างนะ”

“ค่ะ เดี๋ยวพิมพ์เซฟงานแล้วจะลงไปเลย” หญิงสาวรับคำ นึกชื่นชมคนปลายสายไม่น้อยเมื่อเขาไม่ถือวิสาสะเดินขึ้นมาเคาะห้องพักของเธอทั้งๆที่สามารถทำได้

ห้านาทีต่อมา หญิงสาวในชุดเสื้อยืดแขนกุดกับกระโปรงบานสีโอรสก็เดินลงมาหาเขายังบริเวณชั้นล่างของคอนโดมิเนียม

“พี่วิศอยากทานอะไรเป็นพิเศษรึเปล่าคะ” พิมพ์อัปสรถาม

สองหนุ่มสาวเดินออกจากร้านกาแฟภายในตัวตึกมายังซอยหน้าคอนโดมิเนียม หญิงสาวรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีรถยนต์ขับ เช่นเดียวกับคนกรุงเทพทั้งหลายในปัจจุบัน ดังนั้นเธอและเขาจึงเตร่เดินออกมาจนถึงบริเวณถนนใหญ่

“แล้วแต่พิมพ์สิ พี่ยังไงก็ได้ จะทานแถวนี้หรือจะนั่งรถไฟฟ้าไปทานที่อื่นกัน”

“แถวนี้ดีกว่าค่ะ พิมพ์ขี้เกียจขึ้นรถ”

ใบหน้าตี๋สลดลงเล็กน้อย แต่ก็เพียงวูบเดียวเท่านั้น เขาก็หันมาส่งยิ้มให้กับเธอต่อ

“งั้นทานก๋วยเตี๋ยวกันไหม พี่เคยทานเจ้านี้ที่สาขาอื่น รสชาติใช้ได้อยู่” ภูวิศชี้นิ้วไปยังร้านอาหารติดกระจกใสริมฟุตปาธร้านหนึ่ง ตั้งห่างออกไปไม่ไกลนัก

“ค่ะ ก๋วยเตี๋ยวก็ดี”

จากนั้นสองหนุ่มสาวจึงเดินตรงเข้ามาในร้าน พิมพ์อัปสรปล่อยให้ชายหนุ่มทำหน้าที่สั่งอาหารให้เธอ นัยน์ตาหวานลอบมองคนฝั่งตรงข้ามพร้อมกับจินตนาการเริ่มเตลิดไปไกล

ถ้าวันหนึ่งเธอแต่งงานกับภูวิศ พิมพ์อัปสรแทบจะเดาอนาคตของตัวเองได้ราวกับตาเห็นเลยทีเดียว เธอกับภูวิศมีอะไรคล้ายกันหลายอย่าง จบการศึกษามาในระดับเดียวกัน สาขาวิชาชีพเดียวกัน แถมยังทำงานอยู่ในองค์กรเดียวกันอีก เมื่อเธอกับเขาแต่งงานกัน ชีวิตทั้งวันของทั้งคู่ ถ้าไม่หมกมุ่นอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ ทั้งสองก็คงใช้ชีวิตไม่ต่างจากหนุ่มสาวชาวกรุงทั่วไป ออกมาทานข้าวนอกบ้าน ดูหนัง เดินเล่นในห้างสรรพสินค้า หรือถ้าวันหนึ่งมีลูกขึ้นมา บางทีพวกเธอก็อาจจะย้ายออกไปอยู่นอกเมือง มีบ้านสักหลังใกล้โรงเรียน ให้เด็กๆเดินทางไปเรียนหนังสือได้สะดวกมากขึ้น...

“พิมพ์ครับ... พิมพ์” เสียงของชายหนุ่มตรงหน้าฉุดคนกำลังคิดอะไรเพลินๆให้รู้สึกตัว

“คะ เมื่อกี้พี่วิศว่าอะไรนะคะ”

“พี่จะให้พิมพ์ช่วยดูงานนะครับ เอ่อ ขอขยับเข้าไปนั่งข้างพิมพ์ได้ไหม” น้ำเสียงของอีกฝ่ายมีทั้งแววเกรงใจและคาดหวังอยู่ในที

เมื่อหญิงสาวพยักหน้า ภูวิศเลยเก็บอาการยิ้มกว้างไว้ไม่อยู่ เลื่อนเก้าอี้ตัวเองมาทางฝั่งเธอ แต่ก็ไม่ใกล้จนให้อีกฝ่ายรู้สึกอึดอัด ชายหนุ่มยื่นแท็บเล็ตของตัวเองมาตรงหน้าเธอ

“พี่แก้บั๊กตัวนี้ไม่สำเร็จสักที พิมพ์ช่วยดูให้พี่หน่อยนะครับ” ภูวิศบอกพลางขยับกายเข้ามาใกล้



สองหนุ่มสาวใช้เวลาทานอาหารและพูดคุยถึงโปรแกรมตัวใหม่ที่ภูวิศรับผิดชอบอยู่นานกว่าสามชั่วโมง กว่าพิมพ์อัปสรจะรู้ตัวอีกที ท้องฟ้าเบื้องนอกมืดลงเสียแล้ว

“จ่ายเงินดีกว่าค่ะพี่วิศ ทุ่มกว่าแล้ว” หญิงสาวบอกขณะควักกระเป๋าสตางค์ตัวเองขึ้นมา

หากคนข้างกายเธอกลับเป็นฝ่ายไวกว่า เขาหยิบบัตรเครดิตของตัวเองออกมาแนบลงบนมุมหนึ่งของโต๊ะ ซึ่งเป็นหน้าจอสัมผัส แสดงรายการอาหารและยอดชำระทั้งหมด

“มื้อนี้พี่เลี้ยงเอง พิมพ์อุตส่าห์สละเวลามาช่วย” ภูวิศหันมาบอกเธอ ก่อนจะใช้นิ้วชี้วาดลงบนหน้าจอสัมผัสเป็นลายเซ็นของตัวเอง

“ก็ได้ค่ะ พิมพ์ยอมให้พี่วิศหนึ่งมื้อ” หญิงสาวบอก ไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญนัก เนื่องจากค่าอาหารมื้อนี้ไม่ได้แพงเสียจนเธอต้องยื้อแย่งการเป็นเจ้ามือหรือหารจ่ายกัน

พิมพ์อัปสรคว้ากระเป๋าสตางค์ตัวเองขึ้น เดินออกมายังบริเวณด้านหน้าของร้าน หญิงสาวเพิ่งมาสังเกตเห็นสายฝนพร่ำๆบริเวณด้านนอกร้าน

“ฝนตกนี่คะ แย่จัง ไม่ได้พกร่มมาด้วย”

“อาทิตย์ก่อนกรมอุตุบอกว่าจะมีพายุเข้าสัปดาห์นี้ พี่เองก็ไม่ได้ออกจากบ้านหลายวัน ลืมเรื่องร่มไปเลย” ภูวิศพึมพำบ่นกับตัวเอง “เดี๋ยวจะลองไปขอยืมร่มจากร้านดูแล้วกัน”

“อ้าว แล้วจะเอามาคืนยังไง”

“ก็ตอนเดินกลับรถไฟฟ้าไง พิมพ์รอพี่อยู่ตรงนี้แป๊บนึงก่อนนะ” ภูวิศกำชับกับเธอแล้วจึงย้อนกลับเข้าไปในตัวร้านอีกครั้ง

สายลมเย็นพัดผ่านมาพร้อมละอองฝน ทำให้กันสาดกว้างไม่อาจบังฝนได้มิด หญิงสาวตัดสินใจจะกลับเข้าไปยืนในร้าน ทว่าระหว่างเธอกำลังจะหันหลังกลับ พิมพ์อัปสรมองเห็นร่างสูงกำยำของชายคนหนึ่งเดินถือร่มอยู่ท่ามกลางสายฝนผ่านหน้าเธอไป ความจริงชายคนนั้นก็ไม่ต่างจากชายแปลกหน้าทั่วไปที่เธอควรมองผ่าน ถ้าไม่เพราะดวงหน้าคมคายและนัยน์ตาสีเหล็กคู่นั้นยังคงติดตรึงอยู่ในใจเธอมาตลอด

“คุณ... คุณ!” พิมพ์อัปสรตะโกนเรียกคนตรงหน้าสุดเสียง

ร่างสูงในเสื้อเชิ้ตกายเกงสแล็คชะงักเท้าหยุดยืนอยู่กลางสายฝน หากยามเขาหันมาเผชิญหน้ากับเธอตรงๆพิมพ์อัปสรกลับมองเห็นแต่เพียงความว่างเปล่าในดวงตาคู่นั้น แล้วนัยน์ตาหวานก็ต้องเบิกกว้างขึ้นเมื่อคนตรงหน้าไม่ยอมมองหรือสนทนากับเธอเลย ชายหนุ่มหันไปมองรอบกายคล้ายสงสัยอะไรบางอย่าง และเขาก็ค่อยๆก้าวขาเดินจากไป

“เดี๋ยวสิคุณ อย่าเพิ่งไป” พิมพ์อัปสรสาวเท้าตามหลังอีกฝ่ายไปหมายจะรั้งแขนเขาไว้

ทว่า พิมพ์อัปสรกลับสัมผัสได้เพียงความเย็นของละอองน้ำ พลัน แผ่นหลังของร่างสูงกำยำก็ค่อยๆเลือนหายไปจากสายตา ทิ้งให้เจ้าของร่างบอบบางยืนตะลึงงันอยู่ท่ามกลางสายฝน!

__________________________________________________________________

อ่านแล้วขอกำลังใจเป็น like หรือคอมเม้น หรือทั้งสองอย่าง(งกอีกล่ะ^^)ให้คนเขียนหน่อยนะคะ เรื่องนี้(ไม่แอบล่ะ)ยากอ่ะ ร่ำๆจะทิ้งไปหลายทีแล้ว ต่อไม่จบสักที ครั้งนี้ก็หยิบมาต่อเรื่องใหม่ ปีกว่าแล้วค่ะตั้งแต่เริ่มเรื่องมา เคยเขียนแนวนี้เมื่อนานมากๆๆๆแล้วครั้งนึง แต่ก็ไม่ค่อยรุ่ง สุดท้ายก็ทิ้งไป คราวนี้ก็ยังไม่เข็ด ลองเขียนแบบนี้อีก
ยังไงฝากอ่าน ฝากแนะนำติชมด้วยน้า แต่จะบอกว่าเรื่องนี้ยังยืนยันว่าหวานเหมือนเดิมนะคะ เพียงแต่ความหวานอาจสื่อออกมาในอีกรูปแบบหนึ่งมากกว่า (เค้ากลัวไม่มีคนอ่านจัง T_T)



ริญจน์ธร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 ต.ค. 2555, 13:33:09 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 ต.ค. 2555, 13:38:01 น.

จำนวนการเข้าชม : 2036





<< บทที่ 1/2 ผู้ชายในสายฝน (จบตอน)   บทที่ 2/2 คุณมากับฝน (จบตอน) >>
ริญจน์ธร 26 ต.ค. 2555, 13:45:34 น.
ตอบคอมเม้นค่า
คุณ goldensun ขอเดินเรื่องอีกหน่อยนะคะ น่าจะบทที่3เป็นต้นไปที่เริ่มเชื่อมทุกอย่างเข้ากัน จบฉากนี้แล้วพอเดาไรได้ไหมน้า

คุณ patok ออกลึกลับเล็กๆ แต่...ง่า เรื่องนี้อดผีค่ะ ใช้ไปเยอะละ กลัวคนเบื่อค่า

คุณ lovemuay อิอิ พอเดาได้แล้วเนอะว่าไม่ได้อยู่ด้วยกัน เรื่องนี้เลยสลับฉากเยอะหน่อย งงไหมคะเนี่ย (แอบหวั่นเหมือนกัน)

คุณ Zephyr คุณเฟอร์ถามถูกจุดมากอ่ะ เพราะงั้น...ไม่ตอบค่า^^ ให้เดากันต่อไปว่าสองคนนี้จะยังไง จะมาเจอกันได้ไหมเน้อ

คุณ หมูอ้วน ตายละ ทุกคนนึกว่าผีหมดเลย เดี๋ยวมีเฉลยค่ะ น่าจะบทหน้ามั้ง(รึเปล่าหว่า จำไม่ได้เหมือนกันว่าเขียนไว้บทไหน)

คุณ ameerahTaec แอบงงค่ะ เด็กในเรื่องคือฝาแฝด หลานของพิมพ์นะคะ ส่วนเสียงร้องไห้ ไม่ใช่เด็กค่ะ แต่เป็นเสียงใคร เดากันต่อปายยย^^

ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นนะคะ เรื่องนี้แหวกไปจากที่เคยเขียนมาอยู่ ไม่ใช่แฟนตาซี แต่ออกแนวพารานอมอล(เหนือจริง)ที่มีกลิ่นไซไฟเล็กๆ (เล็กน้อยจริงๆ) ยังไงก็แนะนำติชมกันได้นะคะ


lovemuay 26 ต.ค. 2555, 14:25:21 น.
เอ๊ะ เหมือนพระเอกจะมองไม่เห็นนางเอกใช่มั๊ยคะ? บางทีอาจเป็นคนละมิติ หรือคนละช่วงเวลากัน
แหวนร้อยสร้อยคออันนั้นน่าจะเป็นจุดเชื่อมของปัญหา


หมูอ้วน 26 ต.ค. 2555, 15:02:22 น.
ตามติดค่ะ เริ่มงงง & สงสัยแระ ถ้าไม่ใช่ผี แล้วคืออะไรเอ๋ย


ameerahTaec 26 ต.ค. 2555, 15:52:52 น.
ขอโทษค่า T^T คนอ่านงงๆเบลอๆเอง // ผช คนที่พิมเห็นเป็นใครกันหนอ


goldensun 26 ต.ค. 2555, 19:21:38 น.
บัวเห็นเตชน์แล้ว แต่เตชน์ยังไม่เห็นบัวเลยสินะคะ อะไรจะเป็นตัวทำให้พบกันได้นะ
แหวนก็ดูโบราณ จะสื่ออะไรรึเปล่า น่าจะเกี่ยวกับที่เดชไม่สบาย


Pat 28 ต.ค. 2555, 10:32:49 น.
อยู่กันคนละมิติเหรอคะ


ZodiacMoon 29 ต.ค. 2555, 03:45:40 น.


Zephyr 30 ต.ค. 2555, 12:36:25 น.
มาแนวนี้ พี่เตชน์ข้ามมาแน่เลย หุหุ
อดีตข้ามมาอนาคต จะลำบากกว่า อนาคตข้ามกลับอดีตป่าวนะ


Lychee 29 พ.ย. 2555, 18:08:08 น.
ชอบแนวนี้ต่ะ ลึกลับ ย้อนยุคนิดๆ ใช่มั้ยคะ
เคยดูเรือง El mare ไรเงี้ย ของเกาหลี นานละ เจ๋งอ่ะ คิดพล็อตได้ไง


แกงส้ม 21 ธ.ค. 2555, 08:14:21 น.
น่าติดตามค่ะ น่าติดตาม อย่าทิ้งเน้อ


KeeRa 2 ก.พ. 2556, 14:13:32 น.
บรรยายคุณเตชน์ได้ดี จนคีร่าชักจะเคลิ้มแล้วสิ +.,+
ปอลิง.เจอคำผิดจ้า >< ประโยคว่า...
"ดี สอง เอ็งสามคนด้วย มาแบบไอ้เดชออกไป..." แบบ น่าจะเป็น แบกนะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account