ภิรมย์รัก
กุลสตรี!

รุจิรดาแอบเบ้ปากด้วยความเบื่อหน่ายปนขุ่นเคือง
หากนับว่าการที่เธอยื่นมือออกไปช่วยเหลือน้องสาวของ หม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์ นั้นไม่เป็นกุลสตรี
หญิงสาวก็ยอมรับตามความจริง
แต่เมื่อคนที่ชี้ความจริงข้อนี้ให้เธอรู้เป็นพี่ชายของคนที่เธอช่วยเอาไว้
หญิงสาวจึงรู้สึกเหมือนตนกำลังทำคุณบูชาโทษ
ต่อแต่นี้ไปก็อย่าได้มาเจอะมาเจอกันอีกเลยเป็นดีที่สุด!

หากภาวนาไปไม่พ้นสามวัน
คนที่เธอไม่อยากพบเจออีกในชาตินี้ กลับมาเป็นอาจารย์ของเธอเอง
คราวนี้คงต้องฟังแลกเชอร์ว่าด้วย “ความเป็นกุลสตรี” เสียจนหูชาแน่ๆ
เธอต้องหาทางหนีสถานเดียว!

แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร...
ยิ่งพยายามหนีให้ไกลจากดวงตาสีดำคูคมนั้นเท่าไหร่
กลับยิ่งเหมือนอีกฝ่ายจะไล่ตามมาไม่ปล่อยเสียอย่างนั้น!

Tags: ย้อนยุค,ศิษย์,อาจารย์,ท่านชาย,ท่านหญิง,ความรัก,พีเรียด

ตอน: บทที่ 4 [1/2]

รุจิรดาเก็บข้าวของ ก่อนเดินออกจากห้องเรียนวิชาการคลังและภาษีอากรอย่างรวดเร็ว

หญิงสาวไม่ได้เหลียวมองดูกลุ่มของพิมพรและนงนภิศ ทั้งๆ ที่รู้สึกได้ว่ามีสายตาจ้องมองจากกลุ่มนั้น เธอก้มหน้าก้มตาเดินเพื่อจะไปขึ้นรถสามล้อไปที่วังของท่านหญิง วันนี้พวกเธอมีนัดนั่งอ่านหนังสือเตรียมสอบกลางภาคกันสามคน คือเธอ ท่านหญิง และมนต์ณัฐ

หากก้าวไปได้ไม่เท่าไหร่ ร่างโปร่งบางก็ต้องชะงักเมื่อมองเห็นร่างสูงของใครบางคนยืนขวางทาง และเมื่อเงยหน้าขึ้นมอง รุจิรดาก็พบว่าตนเองสบสายตากับสายเนตรคมกริบของหม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์พอดี

ร่างโปร่งบางเกร็งขึ้นทันควันเมื่อคิดถึงรับสั่งของท่านหญิงที่ทรงเล่าให้ฟังว่าหลังจากที่เธอกลับบ้านไปเมื่อวันที่ไปขี่ม้ากัน ท่านชายทรง ‘ตักเตือน’ ขนิษฐาเสียนานถึงการควรไม่ควร ถึงแม้หญิงอรจะรับสั่งประทานด้วยความขบขันและยืนยันว่าท่านชายนั้นทรงเป็นห่วงว่าจะเกิดบาดเจ็บอันใดขึ้นมาเท่านั้น แต่มันก็ทำให้ ‘ตัวต้นเหตุ’ อย่างเธออดรู้สึกผิดไม่ได้ และความรู้สึกอีกอย่างที่ผุดขึ้นมาคือ สงสัย...

สงสัยว่าทำไมหม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์จึง ‘ถนอม’ ขนิษฐานัก ทรงกำหนดกรอบให้ขนิษฐาว่าจะต้องปฏิบัติประการใดบ้าง และระมัดระวังไปเสียทุกอย่างจนผิดวิสัยของคนที่เห็นโลก เห็นวัฒนธรรมที่แตกต่างมามาก

จริงอยู่ที่ชนมายุของพระองค์นั้นห่างจากขนิษฐามากกว่ารอบหนึ่ง และจากที่หญิงสาวรู้มาว่าพระบิดาและหม่อมมารดานั้นสิ้นพระชนม์ไปแล้ว จึงอาจเป็นเหตุให้ทรงดูแลหญิงอรโดยตั้งองค์เสมือนบิดาแทนก็ได้

...แต่วิสัย ‘หวง’ ของท่านชายนี้ รุจิรดายังคงคิดว่าทรงทำเหมือนหญิงอรประชวรกระนั้น

เมื่อเป็นการเผชิญหน้ากะทันหันและไม่มีทางเลือก หญิงสาวจึงได้แต่กลืนน้ำลาย ก่อนจะยกมือไหว้ “สวัสดีเพคะฝ่าบาท”

อีกฝ่ายเพียงรับไหว้เงียบๆ มิได้รับสั่งสิ่งใดตอบ ท่าทางเหมือนบังเอิญเจอกันทำให้รุจิรดาก้าวเท้าหมายจะเดินเลี่ยงไปอีกทาง

“ฉันมีเรื่องที่จะต้องคุยกับเธอ”

สุรเสียงเรียบรับสั่งขึ้นอย่างไม่คาดฝันทำให้รุจิรดาต้องเงยหน้าขึ้นมองพักตร์คมคายอีกครา คิ้วเรียวเผลอขมวดน้อยๆ อย่างสงสัยแกมหวาด เพราะนอกจากในห้องเรียนที่ต้องมีการตอบคำถามบ้างแล้วนั้น รุจิรดายังไม่เคยสนทนากับท่านชายเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทุกครั้งที่ไปที่วัง แม้จะเห็นกันบ้าง แต่ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่จะทรงทักทาย หรือทรงเข้ามารับสั่ง อาจจะทรงคิดว่าปล่อยให้ ‘เด็กๆ’ อย่างเธอและท่านหญิงได้เล่นตามประสาหรืออย่างไรก็ไม่รู้

เพราะฉะนั้นการที่อยู่ๆ ก็รับสั่งว่าอยากคุยกับเธอ จึงทำให้หญิงสาวอดที่จะตระหนกไม่ได้

...หรือจะทรงตำหนิเรื่องที่เธอพาหญิงอรไปขี่ม้า?

“ธุระที่ฉันจะคุยเธอคงคิดได้อยู่แล้ว” รับสั่งดักคอคล้ายจะอ่านใจเธอออก “ตอนนี้ไปหาที่คุยกันก่อนดีกว่า จริงสิ... หญิงอรบอกว่าวันนี้เธอจะไปที่วังนี่?”

“เพคะ พอดีเรานัดกันอ่านหนังสือเตรียมสอบเพคะ”

พักตร์คมคายพยักน้อยๆ ก่อนรับสั่ง “ถ้าอย่างนั้นก็ขึ้นรถเถอะ ไปคุยกันในรถก็ได้”

ในรถ? หมายความว่าจะทรงให้เธอติดรถไปที่วังด้วยอย่างนั้นหรือ “เอ่อ... ไม่ต้องก็ได้เพคะ หม่อมฉันตั้งใจว่า...”

สุรเสียงเรียบเฉยเพียงรับสั่งย้ำ “ไปขึ้นรถ”

รับสั่งเสร็จแล้วก็ทรงหันหลังให้ ก่อนจะก้าวบาทยาวๆ นำหน้าหญิงสาวไปโดยไม่เหลียงมาทอดพระเนตรสักนิด คล้ายมั่นพระทัยเหลือเกินว่าให้อย่างไรอีกฝ่ายก็ต้องตามมาแน่นอน

หญิงสาวกลอกตาขึ้นมองฟ้า ก่อนพ่นลมหายใจออกมาอย่างขุ่นเคืองปนหมั่นไส้

...เธอไม่ใช่คนในวัง ไม่ใช่ขนิษฐา เป็นแค่ลูกศิษย์ที่ไม่จำเป็นจะต้องเดินตามอาจารย์ไปนอกเวลาเรียนเสียหน่อย ก็เพียงแค่คิด... สุดท้ายร่างโปร่งบางก็จำต้องเดินแกมวิ่งเพื่อที่จะตามวรองค์สูงโปร่งที่นำหน้าไปไกลลิบแล้วให้ทันเท่านั้น



เมื่อรถออกเรียบร้อย รุจิรดานก็นั่งเงียบ

เนตรสีดำสนิทเฉกขนิษฐาปรายมองเพียงนิด ก่อนจะรับสั่งทำลายความเงียบ “เธอสนิทกับหญิงอรมากไหม?”

หญิงสาวนิ่งคิดชั่วครู่ “หากนับระยะเวลา คงกล่าวว่าสนิทกันไม่ได้เพคะ หม่อมฉันรู้จักท่านหญิงเพียงเดือนเศษเท่านั้น”

“วันนั้นฉันพูดในห้องเรียนแล้วว่า มิตรภาพไม่ได้ขึ้นอยู่กับระยะเวลา”

“หม่อมฉันไม่อาจเอื้อมถือสนิทกับท่านหญิงได้หรอกเพคะ”

“แล้วเธอคบกับหญิงอรเพื่อผลประโยชน์อะไร หากไม่ใช่เพราะมีมิตรภาพต่อกัน”

“แน่นอนว่ามี! หม่อมฉันกับท่านหญิงคบหากันฉันมิตรที่ดีต่อกัน...”

“ถ้าเป็นมิตรกันจริง ทำไมถึงชวนกันไปเล่นพิเรนทร์อะไรอย่างนั้นล่ะ” สุรเสียงยังคงราบเรียบ หากเนตรสีดำสนิทที่ทรงหันมาสบตากับเธอเพียงชั่วขณะนั้นฉายแววล้ำลึก “หญิงอรไม่เคยทำอะไรโลดโผนแบบนั้น เธอเรียบร้อยน่ารักมาโดยตลอด...”

“จะหาว่าหม่อมฉันพาให้ท่านหญิงเสียผู้เสียคนหรือเพคะ?” รุจิรดาขัดขึ้น ถึงแม้จะรู้ตัวว่าตนเองกำลังทำกิริยาไม่งาม แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ย “ท่านหญิงโตแล้ว มีวินิจฉัยดีพอที่จะรู้ว่าสิ่งใดดีกับองค์เองหรือไม่ สิ่งที่หม่อมฉันทำไม่ใช่เรื่องไม่ดี เพียงแต่ไม่ได้เป็นสิ่งที่สตรีทั่วไปทำกันเท่านั้น”

“รู้ว่าคนอื่นไม่ทำ แล้วทำไปทำไม”

สุรเสียงไม่บ่งบอกอารมณ์นั้นทำให้หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้นสูงพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงยวนอารมณ์ “แล้วทำไมหม่อมฉันต้องทำตามคนอื่นด้วย”

“สิ่งที่คนส่วนใหญ่เชื่อถือและปฏิบัติตามกันเรียกว่าสิ่ง ‘ปกติ’ แล้วสิ่งที่เธอทำตอนนี้เขาเรียกว่า ‘ผิดปกติ’”

“แล้วสิ่ง ‘ปกติ’ นั้นเป็นสิ่งที่ดีเสมอไปหรือเปล่าเพคะ?”

หญิงสาวกระทู้ถาม ก่อนเอ่ยต่อโดยไม่รอคำตอบ “สิ่งที่คนส่วนมากทำอาจจะกลายเป็นสิ่งปกติ แล้วมีใครรับรองว่าสิ่งที่ทุกคนเห็นว่าเป็นปกติจะต้องเป็นสิ่งที่ดีไปด้วย แล้วมีใครที่จะกล้ายืนยันว่าสิ่ง ‘ผิดปกติ’ นั้นเป็นสิ่งที่ผิด เพียงเพราะมันไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นยอมรับกันเท่านั้น”

พักตร์คมคายละสายเนตรจากถนนมาทอดพระเนตรเธอชั่วครู่ ก่อนจะแย้มโอษฐ์น้อยๆ พลางรับสั่ง

“ถ้าอย่างนั้นเธอก็คงเข้าใจแล้วสินะ ว่าทำไมเพื่อนคนอื่นๆ ของเธอจึงไม่คบหาเธอด้วยความสนิทใจ” รับสั่งเรียบเฉยนั้นทำให้หญิงสาวใจกระตุก เมื่อรับรู้ได้ว่าทรงกำลังเอ่ยถึงเรื่องอะไร

เรื่องในวันนั้นที่เธอกับกลุ่มของพิมพรทะเลาะกันนั้นเอง...

“ตราบใดที่เธอยังต้องอยู่ในกลุ่ม ในสังคม เธอก็ต้องยอมรับหลักเกณฑ์ของสังคมด้วย สิ่งใดไม่ดีเธอไม่จำเป็นที่จะต้องทำตามก็ได้ แต่ไม่ใช่ว่าทำตัวเป็นคนแปลกหลีกหนีมันเสียทุกอย่าง ถ้าเธอทำอย่างนั้นมันก็ไม่ต่างอะไรจากคนที่ไม่สามารถหาเพื่อนได้ แล้วก็ใช้ข้ออ้างว่าตนเองมีจุดยืนที่ต่างจากคนอื่นถึงหาคนคบด้วยไม่ได้หรอก”

รุจิรดาเม้มริมฝีปากน้อยๆ เมื่อตระหนักว่าเธอไม่สามารถหาเหตุผลใดมาเถียงวรองค์สูงสง่าที่นั่งอยู่ข้างๆ ได้เลย

“เธออยากทำตัวโลดโผนโจนทะยานอย่างไรก็แล้วแต่เธอ แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องอยู่ร่วมกับคนอื่น เธอก็ต้องยอมรับธรรมเนียมของคนอื่นด้วย อย่าเรียกร้องเพียงให้คนอื่นเข้าใจตัวเธอเอง มิเช่นนั้นเธอก็ไม่ต่างจากเด็กเอาแต่ใจหรอกนะ”

ร่างโปร่งบางนิ่งเงียบ ฟังรับสั่งที่ออกมาเรื่อยๆ

“เรื่องหญิงอร ฉันไม่ว่าหากเธอจะไปมาหาสู่น้องสาวฉัน เพราะตั้งแต่คบเธอหญิงอรดูจะสดใสร่าเริงขึ้น ซึ่งเป็นไปในทางดี แต่ฉันไม่อยากให้เธอพาหญิงอรไปทำอะไรเกินสิ่งที่กุลสตรีพึงกระทำเท่านั้น เข้าใจนะ”

ประโยคท้ายนั้นไม่ใช่คำถาม หากเป็นรับสั่งที่เป็น ‘คำสั่ง’ กลายๆ ไม่รอให้ตอบรับหรือปฏิเสธ ท่านชายอดุลย์วิทย์ก็เลี้ยวรถเข้าไปในวัง

รถเก๋งคันยาวแล่นเข้าไปในอาณาบริเวณโอ่อ่าของวังนฤบดิทราทิพย์ ก่อนที่จะเข้าเทียบตรงบันใดวังพอดิบพอดี หญิงสาวสังเกตเห็นวรองค์แบบบางของท่านหญิงอรกัญญาที่ยืนรอรับเสด็จที่บันได รุจิรดาจึงเอี้ยวตัวจะเปิดประตูรถ หากสุรเสียงทุ้มกลับดังขึ้นอีกครั้ง

“นั่งอยู่เฉยๆ”

หญิงสาวได้แต่นั่งตัวแข็ง มองดูอาจารย์ของตนเองเปิดประตูรถออกไป ก่อนจะดำเนินอ้อมมาทางที่เธอนั่งอยู่แล้วเปิดประตูรถให้เธอได้ออกมาจากรถ

“พี่ชายกลับมาแล้ว... อ้าวรดา มาด้วยกันหรือคะ”

ท่านหญิงอรกัญญาแย้มโอษฐ์น้อยๆ พลางเข้ามาเกาะแขนหญิงสาวอย่างสนิทสนม “ไปที่ศาลากลางสวนกันเถอะ ประเดี๋ยวณัฐก็คงตามมา”

“หญิงอร อย่าลืมบอกใครไว้หน่อยว่าอีกสักสิบนาที ช่วยเอากาแฟไปไว้ในห้องทำงานพี่ด้วยนะ”

“ค่ะพี่ชาย... ไปจ้ะรดา”

วรองค์แบบบางดำเนินนำไปอย่างร่าเริง รุจิรดาตั้งท่าจะตามไป หากก็เหลียวกลับมามองท่านชายที่กำลังจะดำเนินไปอีกทางหนึ่ง

“ฝ่าบาทเพคะ”

หม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์ประทับนิ่ง หากมิได้เหลียวพักตร์มาทอดพระเนตรคนเรียก “มีอะไร?”

“เอ่อ... หม่อมฉัน” รุจิรดากลั้นใจรวบรวมคำพูดที่เธอเองก็ไม่แน่ใจนักว่าจะทำให้คนตรงหน้ากริ้วหรือเปล่า “หม่อมฉันขอบพระทัยที่ทรงกรุณาตักเตือนและสั่งสอน แต่... หม่อมฉันยังคงมีเหตุผลอีกหลายประการที่ยังไม่ได้ทูล แต่หม่อมฉันยังเรียบเรียงไม่ถูกจึงไม่อาจกล่าวได้ในวันนี้”

สุรเสียงราบเรียบรับสั่งขึ้นช้าๆ “ถ้าอย่างนั้น ไว้เมื่อไหร่เธอเรียบเรียงเหตุผลได้ดีพอ ฉันยินดีที่จะได้อภิปรายกับเธออีกครั้งหนึ่ง”

รับสั่งจบแล้วก็ดำเนินไปทางห้องทรงงานอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้หญิงสาวมองตามแผ่นปฤษฎางค์ กว้างไปจนลับตา

รุจิรดายืนอยู่ตรงนั้นอีกครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเดินไปอีกทาง...



“รดาไม่โดนพี่ชายดุใช่ไหม”

วรองค์แบบบางรับสั่งถามเมื่อทั้งสามสหายหยุดพักทานอาหารว่างที่แม่แผ้วจัดมาให้ “เห็นมากับรถพี่ชาย คงไม่ได้ฟังเทศน์มหาชาติมาตลอดทางหรอกนะ”

รุจิรดาวางตะโก้เผือกก่อนหัวเราะเสียงไม่ค่อยนัก “ช่างเปรียบจริงหญิงอร แต่ก็โดนจริงนั่นแหละค่ะ ไม่เป็นไรหรอก ถือว่าแลกเปลี่ยนความคิดเห็น”

“อะไรกัน อย่างนั้นเราก็ต้องระวังตัวแล้วสิ” ชายหนุ่มคนเดียวในกลุ่มทำสีหน้าตื่นตระหนกแบบปลอมๆ ก่อนจะยิ้มกว้างออกมาเมื่อเอ่ย “ท่านชายทรงเป็นห่วงหญิงอรอย่างนี้ เห็นทีหนุ่มๆ คงต้องคิดหนักแน่หากจะมาจีบท่านหญิง เพราะต้องฝ่าด่านอรหันต์ของท่านชายไปให้ได้เสียก่อน”

“ไม่เห็นจะต้องกังวล ไม่มีใครจีบดีเสียอีก สบายใจสบายตัวออก” รุจิรดาออกรับแทนหญิงอรที่เอาแต่แย้มสรวลน้อยๆ ไม่ยอมต่อปากต่อคำกับชายหนุ่มให้เสียกิริยา “หญิงอรเพียบพร้อมเสียขนาดนี้ ชายคนไหนไม่ต้องการนั่นแหละเรียกว่ามีตาหามีแววไม่”

“ต่อให้มีแวววิบๆ แต่พอเจอท่านพี่ของหญิงอรใช้เนตรจ้องเงียบๆ เท่านั้นก็ดับวูบแล้ว” มนต์ณัฐยังยืนยัน “รู้ๆ กันอยู่ว่าเนตรท่านชายน่ะคมกริบ มองทีไอ้เรานึกว่าตัวเองเป็นกระดาษตลอด ทรงมองเหมือนกับจะให้ทะลุไปเสียอย่างนั้น”

“เพราะเธอไม่น่าไว้ใจน่ะสิ” รุจิรดายักคิ้วพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหนือกว่า

ชายหนุ่มทำเสียงจุ๊ๆ พลางส่ายศีรษะ “กล้าพูดนะ เธอก็เหมือนกันนั่นแหละ”

รุจิรดาย่นจมูกใส่เพื่อน หากยังไม่ทันได้ว่าอะไรกลับ สุรเสียงหวานก็รับสั่งขึ้นกลั้วเสียงสรวลน้อยๆ “จะว่าไป พี่ชายก็ไม่ไว้ใจทั้งคู่เลยนะคะ”

สองสหายมองหน้ากันอย่างไม่ได้นัดหมาย ก่อนที่มนต์ณัฐจะเอ่ยเบาๆ “พี่น้อง... คารมคมกริบเหมือนกันเลย”

“หวังว่าคงจะไม่ได้รับสั่งแบบนี้หลังจากที่คบกับเราสองคนหรอกนะ” รุจิรดาเอ่ยตอบ ก่อนจะหัวเราะน้อยๆ โดยมีเพื่อนอีกสองคนหัวเราะประสานเสียงสดใส

“พอๆ หัวเราะจนคอแห้งหมดแล้ว” มือเรียวจะคว้าเหยือกน้ำ หากต้องชะงักเมื่อเหยือกนั้นว่างเปล่า “อ้าว! น้ำหมดเสียแล้ว”

“ประเดี๋ยวหญิงให้แม่แผ้วยกน้ำออกมาให้ แม่...” ท่านหญิงทำท่าจะรับสั่งเสียงดัง ทว่ารุจิรดากลับโบกมือเป็นเชิงห้าม

“อย่าเรียกเลย คอยิ่งแห้งๆ อยู่ เดี๋ยวรดาไปบอกแม่แผ้วเองก็ได้”

หญิงสาวขยับลุกรวดเร็ว จัดเสื้อผ้าชุดนักศึกษาที่สวมอยู่ให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินตามทางจากศาลากลางสวนที่ร่มรื่นและเย็นสบายเข้าไปในห้องครัวจากทางเข้าด้านหลังที่เธอรู้จักทาง

เพล้ง!

เสียงของตกแตกทำให้หญิงสาวที่เพิ่งก้าวเข้าไปในห้องครัวสะดุ้งโหยง ดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนมองตามต้นเสียงอย่างรวดเร็ว

แม่แผ้วยืนหน้าเซียวอยู่ตรงกลางห้องครัว มีร่างของเด็กรับใช้ที่ดูท่าว่าน่าจะรับเข้ามาใหม่ยืนเก้ๆ กังๆ เคียงข้าง ปลายเท้าของทั้งคู่มีเศษแก้วและน้ำสีน้ำตาลเกือบดำหกกระจายเป็นวงกว้าง

“เกิดอะไรขึ้นหรือแม่แผ้ว”

รุจิรดาเอ่ยถาม ร่างอวบหันมาบอกด้วยท่าทางร้อนรน “ข้าวแฝ่ ของท่านชายเจ้าค่ะ แผ้วสั่งแม่สาลี่เอาไว้ว่าแผ้วชงเสร็จแล้ว ให้ยกเข้าไปให้ท่านชายได้ แต่แม่คนนี้กลับ...” น้ำเสียงแม่แผ้วหงุดหงิดมากพอดู

ร่างผอมบางของเด็กใหม่สั่นระริก น้ำเสียงเครือจัด “ฉันขอโทษจ้ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ...”

“ใช่สิ ไม่ได้ตั้งใจ... แก้วที่แกทำแตกน่ะรู้ไหมใบละเท่าไหร่ เงินเดือนแกครึ่งปีก็ยังไม่พอค่าแก้วด้วยซ้ำ” แม่แผ้วยังตอกย้ำ “แล้วยังเป็นแก้วใบโปรดของท่านชายอีก”

“พอเถอะแม่แผ้ว ตอนนี้ไม่ใช่เวลาดุเขาหรอก” หญิงสาวอดไม่ได้เมื่อเห็นตาแดงๆ ของคนถูกดุ เลยยื่นมือเข้าช่วย “ตอนนี้ก็ทำความสะอาดเสีย ระวังเศษแก้วด้วย แล้วแม่แผ้วก็ชงกาแฟใหม่... ไม่ใช่สิ... ท่านหญิงต้องการน้ำเหยือกใหม่ แม่แผ้วช่วยยกไปให้ท่านหน่อยสิ แล้วนั่นอะไรในเตาอบ... อย่าบอกนะว่าเป็นของว่างอีก”

“ต๊าย! เกือบไปแล้วสิ” แม่แผ้วกระวีกระวาดเดินอ้อมร่างเด็กสาวที่ก้มลงทำความสะอาดพื้น ก่อนจะเปิดเตาเอาขนมออกมาได้ทัน “เฮ้อ! เกือบไหม้เสียแล้ว ขอบคุณคุณรดามากเจ้าค่ะ”

“ไม่เป็นไร ตอนนี้แผ้วชงกาแฟก่อนเร็ว จะได้ยกไปให้ท่านชาย”

สีหน้าของแม่แผ้วดูลำบากใจ “เอ่อ... คือผงข้าวแฝ่หมดพอดีเจ้าค่ะ แผ้วสั่งนายหมายให้ไปซื้อเมื่อครู่นี้เอง”

“อ้าว! แล้วจะทำอย่างไรล่ะ” หญิงสาวอุทาน สีหน้าพลอยกังวลไปด้วย “เอาอย่างนี้ ปกตินอกจากกาแฟแล้ว ท่านชายรับอะไรอีกบ้าง”

“ก็มีชา แล้วก็ไอ้นั่นเท่านั้นล่ะเจ้าค่ะ...โอย ไม่น่าเลยนางสาลี่ ข้าวแฝ่แก้วสุดท้ายแล้วแท้ๆ”

‘ไอ้นั่น’ ของแม่แผ้วอยู่ในกระป๋องดีบุกสีฟ้ามีตราภาษาอังกฤษติดอยู่ รุจิรดามองปราดเดียวก็รู้ว่าคือผงโกโก้นั่นเอง

เมื่อตอนที่มาถึงวัง ก็ทรงรับกาแฟไปตั้งถ้วยหนึ่งแล้ว นี่ไม่ถึงสองชั่วโมงดี เพราะฉะนั้นจะรับชาอีกทีคงไม่ดีกับพระวรกายแน่

“แม่แผ้ว... ใจเย็นๆ แม่แผ้วชงโกโก้ให้ท่านชายก็ได้นี่จ๊ะ”

คราวนี้แม่แผ้วหันมาทำตาปริบๆ “แผ้วชงไม่เป็นเจ้าค่ะคุณรดา ปกติ ‘ไอ้นั่น’ ท่านหญิงกับท่านชายจะทรงเอง ประเดี๋ยวแผ้วเอาชาไปให้ท่านดีกว่า”

“ไม่ดีหรอกแม่แผ้ว ทรงรับกาแฟไปถ้วยหนึ่งแล้ว รับชาเพิ่มอีกไม่ได้หรอก ประเดี๋ยวกลางคืนก็ไม่ต้องหลับต้องนอนกันพอดี” หญิงสาวเอ่ยห้ามโดยเร็ว

“แล้วแผ้วจะทำอย่างไรดีล่ะคะคุณรดา”

สีหน้ากลัดกลุ้มกังวลแถมพกมากับสีหน้าสำนึกผิดและหวาดกลัวของเด็กรับใช้คนใหม่ ทำให้รุจิรดาตัดสินใจทันที

“อย่างนั้นเอาแบบนี้ แม่... สาลี่ก็เก็บกวาดทำความสะอาดตรงนี้ไป ระวังเศษแก้วด้วยอย่าให้เหลือ ส่วนแม่แผ้วก็ยกน้ำกับของว่างออกไปให้ท่านหญิง ทางนี้ฉันจะจัดการเอง บอกทางไปห้องทรงงานก็พอแล้ว”

“ขึ้นไปชั้นสองแล้วก็เลี้ยวซ้ายนะเจ้าคะ ห้องทรงงานจะอยู่ที่ตรงหัวมุมพอดี...” สำนึกในหน้าที่ทำให้แม่แผ้วชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจ “ทำอย่างนี้จะดีหรือเจ้าคะ ถ้าท่านชายกริ้วขึ้นมา...”

“ไม่เป็นไรหรอก แม่แผ้วอย่ากังวลเลย รีบไปเถอะท่านหญิงรอนานแล้ว”

รุจิรดาปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน หากนึกในใจ

...กลัวโดนกริ้วใส่เหมือนกัน!



..........................
คุยกันหน่อยนะคะ ^^

คุณ ukkanirut ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ ส่วนรักจะมีกี่เส้า...ก็ติดตามไปนะคะ 555+

คุณ ม่านฟ้า ขอบคุณค่า บางทีเรื่องรักระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ก็เกิดขึ้นได้อ่ะเนาะ ^^

คุณ lovemuay ขอบคุณค่า ยังไงก็ขอให้ตามอ่านต่อไปนะคะ ^^

ส้มลงนิยายตอนกลางดึก เขียนก็เขียนกลางดึกนี่แหละ เพราะฉะนั้นถ้าเขียนไม่รู้เรื่อง วกวนอะไรไปบ้างก็บอกนะคะ ส้มอยากได้คำติชมเยอะๆ จะได้เอาไปพัฒนาตัวเองด้วย ^^

ขอบคุณที่ตามอ่านกันนะคะ ^^

ปณัชญา



ปณัชญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 ต.ค. 2555, 04:54:08 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 ต.ค. 2555, 04:54:23 น.

จำนวนการเข้าชม : 2479





<< บทที่ 3 [2/2]   บทที่ 4 [2/2] >>
wind 29 ต.ค. 2555, 05:59:56 น.
ตอนแรกสงสัยว่าข้าวแฝ่คืออะไร กาแฟนี่เอง


lovemuay 29 ต.ค. 2555, 06:17:58 น.
งานนี้จะมีอะไรเด็ดๆเกิดขึ้นมั๊ยน้า


mhengjhy 29 ต.ค. 2555, 09:42:20 น.
หวังให้คดีพลิก อาจจะไม่โดนกริ้ววววว ก็ได้ 555


ม่านฟ้า 29 ต.ค. 2555, 10:13:05 น.
หุหุหุ จะโดนอะไรหนอ


ukkanirut 29 ต.ค. 2555, 10:45:55 น.
แววจะได้เป็นผู้จัดการวังท่านชายเริ่มมาละ ^^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account