หัวใจ...ร้ายรัก
หนึ่งนารี สาววัยเข้าใกล้เลขสาม ที่ใช้ชีวิตอยู่ในแบบที่เรียกว่าปากกัดตีนถีบ เก็บหอมรอมริบเงินที่หามาได้ทั้งหมด เป็นค่าหน่วยกิตเรียนปริญญาโทที่แสนจะแพงหูฉี่ เพื่อเรียนจบเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยสมใจ

แต่ชีวิตเรียบง่ายของเธอต้องสะดุด เมื่อพระพรหมเล่นกล ส่งหนุ่มน้อยตาคม "ไอ้เด็กต่างดาว" มาทำให้ชีวิตของเธอปั่นป่วน

เรื่องราวความหวานซึ้ง และเศร้าเหล่านั้นจึงเริ่มต้นขึ้น...
Tags: หวานซึ้ง เศร้า

ตอน: ชีวิตที่เริ่มเพี้ยน

เมื่อจัดการสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย หนึ่งนารีเดินจ้ำอ้าว ออกจากบ้านหลังโตอย่างเจ็บปวดใจ น้ำใสเอ่อท่วมดวงตาทั้งสองข้าง เธอร้องไห้ ร้องให้กับความซวยครั้งยิ่งใหญ่ที่ย่างกรายเข้ามาในชีวิต แต่เมื่อทบทวนถึงเอฟเฟ็กซ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้น หลังการมีเพศสัมพันธ์ในครั้งแรก อย่างที่ปราริสา เพื่อนสาวของเธอที่เคยเล่าให้ฟังนั้น จากการสำรวจดูร่างกาย ก็มิได้เป็นเหมือนที่เพื่อนสาวบอก เมื่อเป็นเช่นนั้น หญิงสาวก็พอจะคลายความกลุ้มใจลงได้บ้าง

“คงยังไม่ถึงขั้นนั้น….ขอให้เป็นอย่างนั้นทีเถอะ” เธอภาวนาให้เป็นเช่นนั้น
เสียงเพลงเรียกเข้าโทรศัพท์ ดังขึ้นทำลายความคิด เธอรีบหยิบโทรศัพท์เสือฟ้าตกรุ่นที่คนส่วนใหญ่ไม่นิยมใช้ แต่สำหรับเธอมันทนทานต่อการใช้งานมานานมากถึงเกือบสี่ปี

“เจ๊หนึ่ง สายแล้วนะ อาจารย์จะเข้าสอนแล้ว อยู่ไหนเนี่ย รีบมาด่วนเลย” เจ้าเสียงใส ไม่ใช่ใครที่ไหน เธอคือ ปราริสา หรือเปรี้ยว ที่เป็นทั้งน้องสาว และเพื่อนร่วมคลาสเรียนที่หนึ่งนารีสนิทมาก

“จ้า พี่กำลังจะไป เธอจดแลกเชอร์ แทนพี่ก่อนนะ”

“ได้เลยเจ๊….รีบๆนะ”

“ขอบใจมากจ้า น้องสาว” มือเล็กค่อยๆหย่อนโทรศัพท์ ลงในกระเป๋าสะพายใบโต ที่หูกระเป๋าเริ่มเปื่อยยุ่ย แต่ก็ยังต้องทนใช้ เพราะเธอคิดว่าเงินทองเดี๋ยวนี้ก็แสนจะหายาก จะหยิบจะจับอะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปเสียหมด ว่าอย่าแต่จะซื้อกระเป๋าใบใหม่ หรือจะซื้อเสื้อผ้าสวยๆที่ล้ำสมัย ตามเทรนด์ใส่ซักชุดสองชุดเลย เงินที่จะซื้ออาหารแต่เดือน และไหนจะเงินค่าเทอมที่แสนแพงหูฉี่ ที่เป็นด่านปราการอยู่ตรงหน้าที่จะต้องผ่านไปให้ได้แต่ละเทอมๆ นั้นสิ ที่ยากเย็น และยาวนาน เมื่อคิดเช่นนั้น เรื่องกระเป๋าใบใหม่ เสื้อผ้าชุดใหม่ก็ไม่ต้องพูดถึง

รถมินิบัส จากในตัวเมือง ไปยังมหาวิทยาลัยที่อยู่นอกเมืองนั้น หาขึ้นได้ไม่ยาก ดีที่เธอเลือกเรียนปริญญาโทในภาควิชาชีววิทยา สาขาสัตววิทยา ต่อจากปริญญาตรีในหมาวิทยาลัยเดียวกัน แม้จะทิ้งระยะเวลาห่างกันหลายปี แต่บรรดาอาจารย์เก่าๆ หลายๆท่านก็ยังจำเธอได้ มันทำให้ง่ายต่อการใช้ชีวิต ไม่ต้องปรับตัวอะไรมากนัก

“หน้ามอครับ…หน้ามอ ใครลงขอทางด้วยครับ” เด็กกระเป๋ารถ ส่งสัญญาณบอกให้ผู้โดยสารที่จะลง บริเวณหน้ามหาวิทยาลัยเตรียมพร้อมที่จะลง

หนึ่งนารี ลงรถที่หน้ามหาวิทยาลัย เพื่อแวะเข้าหอพักเพื่อเตรียมอุปกรณ์การเรียนและของใช้ที่จำเป็น ร่างบางก้มมองนาฬิกาที่ข้อมือ ก่อนจะรีบเดินให้เร็วมากยิ่งขึ้น เมื่อรู้เวลาเรียนล่วงเลยมามากแล้วหอพักนักศึกษาราคาพันกว่าบาทต่อเดือนซึ่งถือว่าถูกที่สุดแล้วในย่านนี้ หนึ่งนารีเลือกที่จะเช่าหอพักที่นี่ เพราะนอกจากราคาจะถูกแล้ว ข้อดีคือเป็นหอพักหญิง จึงไม่มีความวุ่นวาย และหอพักขนาดเล็ก ไม่เป็นที่สะดุดตา การที่ไม่มีระบบรักษาความปลอดภัยนั้น ก็ไม่ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรมากนัก

เมื่อเลือกหยิบสิ่งของที่จำเป็นไม่กี่ชิ้น พร้อมกับเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เสร็จเรียบร้อย เธอก็รีบมุ่งหน้าเข้าในมหาวิทยาลัยทันที โชคยังดีที่ในเวลานี้ เลยเวลาแปดโมงครึ่ง ซึ่งเป็นเวลาที่เหล่านักศึกษาเร่งรีบเข้าเรียนในรายวิชาแรกกันโกลาหล ไปแล้ว มิฉะนั้น ถนนในมหาวิทยาลัยคงเต็มไปด้วยรถมอเตอร์ไซด์ ที่วิ่งกันเบียดเสียดจนเกิดปัญหาเฉี่ยวชนกันบ่อยครั้ง รถไฟฟ้าฟรี ของทางมหาวิทยาลัยที่มาอำนวยความสะดวกให้กับนิสิตก็เต็มจนล้นเกือบทุกคัน จนต้องยืนรอคันต่อไปจนขาแข็ง

ไม่นานนัก เธอก็มาถึง คณะวิทยาศาสตร์ ภาควิชาชีววิทยา

“มาแล้วหรือเจ๊….โชคยังดีที่อาจารย์โอห์มแกเพิ่งโทรแจ้ง ว่าติดธุระด่วน ให้ทำใบงานรอก่อน ไม่งั้นตายแน่เจ๊ เขายิ่งให้คะแนนเคี่ยวอยู่ด้วย” เสียงเล็กของปราริสาบอกกับเธออย่างดีใจที่เธอมาทันเวลา แม้ว่าที่จริงแล้วเกือบจะไม่เป็นเช่นนั้น

“หนูกลัวพี่มาไม่ทันแทบแย่”นุสิตา เพื่อนของหนึ่งนารีอีกคนที่อายุอ่อนกว่าเธอเกือบห้าปี กล่าวขึ้น

“พี่ก็มาทันแล้วนี่ไง ขอบใจมากที่เป็นห่วง” หนึ่งนารีพูดไปก็อดที่จะอมยิ้มไปไม่ได้ เมื่อได้ยินแม่สองสาวหน้าตาจิมลิ้ม ที่เป็นทั้งเพื่อนสาว และน้องสาวที่แสนดีเป็นห่วงเธอขนาดนี้ มันทำให้เธอนึกย้อนไปถึงวันแรกที่เข้าเรียนต่อในระดับปริญญาโท ความที่เธออายุมากกว่านิสิตทั้งหมดที่เข้าเรียนในคลาสนี้ เพราะเธอเข้าเรียนช้าไปถึงห้าปี เมื่อเทียบกับคนอื่นที่เรียนจบปริญญาตรีแล้วเรียนต่อเลย เธออายุมากว่าคนอื่น สี่หรือห้าปี การที่จะหาเพื่อนที่คุยถูกคอ สนิทใจนั้นก็ยาก ดีที่ได้น้องสาวสวยทั้งสองคนที่เข้ามาเป็นเพื่อน ทำให้การเรียนไม่ได้โดดเดี่ยวอยู่ลำพังคนเดียวอย่างที่เธอกลัว

“ว่าแต่เจ๊….เมื่อคืนไปหาที่หอไม่เจอ เจ๊ไปอยู่ไหนเนี่ย โทรไปก็ไม่รับ” ปราริสาเอ่ยถามขึ้นอย่างนึกสงสัย

“ก็ไปทำงานแหละ…เปรี้ยวโทรมาหรอ สงสัยพี่จะไม่ได้ยินเสียง”

“โห…โทรศัพท์พี่เสียงเรียกเข้าดังขนาดนั้น ยังไม่ได้ยินเสียงอีกหรอ” นุสิตา เอ่ยสำทับ

“เออใช่ ยายนุ๊กพูดถูก อย่าบอกนะเจ๊…ว่าเมื่อวานทำงานที่บาร์เบียร์” ปราริสา ทำตาโตขณะพูดเมื่อนึกขึ้นได้ว่าพี่สาว คงไปทำงานที่บาร์เบียร์ในคืนวันอาทิตย์

“ทำไงได้ล่ะ….ก็เงินค่าเทอมจะเรียกเก็บสิ้นเดือนหน้า พี่ก็ต้องรีบหาเงิน ตรงไหนได้เงินไว เร็วกว่า พี่ก็ต้องรีบคว้าตรงนั้น” น้ำเสียงในคำสุดท้ายอ่อนลง สองสาวนึกสงสาร หนี่งนารีอยู่ไม่น้อย แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนักเพราะลำพังตัวเธอเองทั้งคู่ก็ยังต้องพึ่งเงินพ่อแม่มาเรียนหนังสืออยู่

“พี่ก็ต้องระวังตัวให้มากๆนะ คนเดี๋ยวนี้รู้หน้าไม่รู้ใจ อย่าเผลอใจถูกใคร หิ้วไปล่ะ” คำว่า ‘หิ้ว’ ของนุสิตาที่พูดเย้าเล่น ทำหัวใจของหนึ่งนารีวูบไหว เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ทีไร น้ำตาเจ้ากรรมก็พาลจะไหลขึ้นมาทุกที

“เจ๊….ปากเจ๊ไปโดนอะไรมา ดูมันเจ่อๆนะ” ริมฝีปากช้ำ ที่เธอพยามยามใช้ลิปสติกกลบเกลื่อนรอย ไม่รอดพ้นสายตาของสองสาว คำถามของปราริสา ทำเอาหนึ่งนารีที่นั่งจมกับความคิดตนเองตกใจเล็กน้อย

“นี่หรอ…อ้อ…สงสัยมดมันจะกัดปากพี่มั้ง ตอนพี่กินขนมปังเมื่อเช้า พี่รีบกินไปหน่อยเลยไปทันได้ดู สงสัย มดมันแอบอยู่ในขนมปัง” มือเล็กลูบปากตัวเองป้อยๆ

“มดที่ไหน มันจะแอบอยู่ในขนมปังละครับคุณหนึ่งนารี” เสียงทุ้มต่ำดังมาจากด้านหลัง ทำเอาสามสาวหยุดการสนทนานั้นลง เจ้าของเสียงเมื่อครู่ แสดงตัวหน้าหลังจากยืนฟังการสนทนาทั้งหมดอยู่นาน

ภควัต หรืออาจารย์โอห์ม ที่นิสิตทั้งหลายเรียกกันติดปาก และกล่าวขวัญถึงความโหดในเรื่องการให้คะแนน ความเจ้าระเบียบ ลีลาการสอนที่สอนได้เข้าใจลึกซึ้ง รวมถึงหน้าตาที่เข้าข่าย ‘หล่อขั้นเทพ’ อย่างที่เขาใช้ชื่นชมดาราบางคนในยุค
สมัยนี้

“อาจารย์โอห์ม….อาจารย์มาแล้วหรือค่ะ มาเงียบเชียว ตกใจหมดเลยค่ะ” นุสิตาพูดเสียงอ่อย

“ผมก็ไม่ได้มาเงียบนะ….ผมมานานแล้ว มาทันได้ยินพวกคุณพูดกันเสียงดังพอดี”

“หนึ่งนารี….ไม่เห็นตอบผมเลย ว่ามดที่ไหนแอบอยู่ในขนมปัง” คนพูดยังย้ำคำถามเดิม ด้วยน้ำเสียงคล้ายกับกำลังหยอกเธอเล่น

“ไม่มีอะไรค่ะอาจารย์….แค่ฉันกำลังคุยกันกับน้องสองคน ว่าถูกมดกัดปาก”

“งั้นหรือ….อืม…..มดที่ว่า อยู่สปชีส์ไหนกันนะ สงสัยจริงๆ เดี๋ยววันหลังจะได้จับมาศึกษาดูซักหน่อยแล้ว” ภควัตพูดโดยไม่ได้รอฟังคำตอบ ปล่อยสองสาวนั่งอ้าปากค้าง หนึ่งนารีนั่งนิ่ง แปลกใจกับคำพูด และมาดกวนของอาจารย์หนุ่ม ที่น้อยครั้งจะเป็นเช่นนี้

และในคลาสเรียนปริญญาโท สาชาสัตววิทยาในวันนี้ ก็ว่าด้วยเรื่อง สปีชีส์ และเอเลี่ยนสปีชีส์ จนกระทั่งเลิกคลาส “นี่สงสัยเป็นการนำเข้าสู่บทเรียนของอาจารย์ละมั้ง” หนึ่งนารี คิดพลางนึกขำ

“คุณหนึ่งนารี ครับ….เชิญที่ห้องผมหน่อยครับ ผมมีเรื่องจะคุยด้วย” ภควัต บอกเธอก่อนที่เธอจะก้าวออกจากห้องเรียน

“อาจารย์มีอะไรหรือเปล่าคะ”

“ไม่มีอะไรมากหรอก….แค่เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ผมไปสัมมนาที่กรุงเทพพอดี เจออาจารย์ภูศิลป์ เขาถามถึงคุณ ฝากของมาให้คุณด้วย….แต่พอดีผมลืมเอามา”

“งั้นก็ได้ค่ะ”

“เจ๊….ให้พวกหนูไปด้วยไหม”

“ไม่ต้องหรอกจ้า….พี่จะรีบไปรีบมานะ รออยู่ตรงนี้ก่อนนะ”

หนึ่งนารี เดินตามร่างสูง มาจนถึงห้องพักอาจารย์ชั้นสาม ห้องพักอาจารย์แต่ละท่านนั้น แบ่งแยกเป็นห้องส่วนตัวห้องสี่เหลี่ยมขนาดเล็กดูสะอาดตาเป็นระเบียบเรียบร้อย

“นั่งก่อนสิครับ”

“เรื่องเรียนไปไงบ้างครับ มีปัญหาอะไรไหม”

“ก็ดีค่ะ…ไม่มีปัญหาอะไร”

“ก็ดีแล้วครับ” อาจารย์หนุ่มพูดเพียงเท่านั้น ในเวลานี้เธอยิ่งรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก เมื่อต้องอยู่ในห้องกับอาจารย์สองต่อสอง และอาจารย์ภัควัตร ก็ไม่ได้มีทีท่าที่จะรีบนำของฝาก ที่พูดถึงในตอนแรกออกมา เพื่อเธอจะได้รีบออกจากห้อง

“อาจารย์ค่ะ…” ไม่ทันที่เธอจะได้พูดต่อ เสียงของอาจารย์ก็ดังแทรกขึ้นมา

“เมื่อคืน…ที่ร้านบาร์เบียร์ คุณอยู่ที่นั่นใช่ไหม ทำงานที่นั่นหรอ” ภควัต จ้องมองหญิงสาวอายุรุ่นเดียวกับเขาที่อยู่ในฐานะลูกศิษย์ รอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ

“ค่ะ” หนึ่งนารี ตอบคำถามสั้นๆ เสียงเธอสั่นเล็กน้อย ด้วยอาการตกใจ เธอไม่คิดว่าที่เธอทำงานที่ร้านบาร์เบียร์จะมีคนรู้ และคนที่ไม่อยากให้รู้มากที่สุด ยิ่งเป็นบรรดาพวกอาจารย์แล้ว อนาคตต่อไป เธอก็ไม่อยากจะนึกถึง

“ทำงานดึกนะ อันตรายแบบนั้น ไม่กลัวบ้างหรือ” ภัควัตเค้นคำถาม ถามเข้าอีก เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้ายังนั่งนิ่งไม่ได้ตอบอะไรมากนัก

หนึ่งนารีแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง เมื่อดวงตาคมเข้มคู่นั้นของอาจารย์ยามเมื่อมองเธอ ดูเป็นห่วงเป็นใยเธอเหลือเกิน

“ไม่ค่ะ” แต่คำตอบนั้นก็ตอบออกไปอย่างไม่ใส่ใจ ทิ้งให้คนรอฟังนิ่งเงียบ แววตาเฉยชา ผิดกับเมื่อครู่

“งั้น….ผมก็ไม่กวนคุณแล้ว เชิญคุณตามสบายครับ ผมขอตัวทำงานต่อ” พูดจบชายหนุ่มก็หันหน้าเข้าหาจอคอมพิวเตอร์ พิมพ์งานต่อโดยไม่หันมามองเธออีกเลย

“ค่ะ”

มือเล็กเปิดประตูออกจากห้องเงียบๆ ในใจคิดถึงแต่แววตา และคำพูดของอาจารย์หนุ่ม และความกังวลในใจก็เริ่มมาเยือน “ตายล่ะยายหนึ่ง….อาจารย์รู้ อย่าบอกนะว่าเขาก็เห็นเรากับไอ้เด็กบ้านั่นด้วย… โอ๊ยปวดหัว ไม่อยากจะคิด”

เมื่อนึกถึงตรงนี้ ใบหน้าขาวจัดของเด็กหนุ่มก็โผล่ขึ้นมากวนใจของเธออีกครั้ง….

“ไอ้เด็กบ้า….เพราะนายจริงๆ ต่อไปชีวิตฉันจะเพี้ยนขนาดไหนเนี่ย”



ธารารินทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 ต.ค. 2555, 20:11:06 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 ต.ค. 2555, 20:11:06 น.

จำนวนการเข้าชม : 1462





<< บทนำ   ผู้ชายร้ายกาจ >>
ปิศาจสัญจร 30 ต.ค. 2555, 21:17:59 น.
ไผน้อ เป็นพระเอก


mhengjhy 31 ต.ค. 2555, 09:01:36 น.
ชีวิตเพี้ยนๆ เป็นรสชาติชีวิตนะ 5555


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account