Recall...อดีตรักรอยหัวใจ
เพราะอุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้ ‘ปณาลี’ สูญเสียความทรงจำไปบางส่วน

ภายใต้ความฝันที่คอยหลอกหลอนทุกชั่วคืน หล่อนได้พบกับ ‘พี่กฤต’ จิตรกรหนุ่มคู่รัก เจ้าของแววตาสีนิลอ่อนโยนที่ตราตรึงในหัวใจไม่เคยจาง

หากในยามตื่น หล่อนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังเข้าไปพัวพันกับเบื้องหลังการเสียชีวิตของบิดา โดยมี ‘รชานนท์’ หนุ่มนักธุรกิจผู้แสนเย็นชา ที่แม้เขาจะก้าวเข้ามาในชีวิตปณาลีฐานะเจ้าหนี้รายใหญ่ของบริษัท หากทุกครั้งยามที่หล่อนหมดที่พึ่งพิงกลับมีเขาเท่านั้นที่คอยปกป้องดูแล ก่อเกิดสายใยความผูกพันลึกซึ้งขึ้นในหัวใจอย่างน่าประหลาด จนบางครั้งหล่อนเริ่มรู้สึกว่าเขาอาจไม่ใช่นายรชานนท์ที่หล่อนรู้จัก


เมื่อหนึ่งหญิงสาวมีรักที่ผูกพันต่อสองชาย


หนึ่งนั้นคือรักในฝัน ที่อาจไม่มีตัวตน อีกหนึ่งนั้นคือรักเคียงข้าง ที่อาจไม่เป็นจริง แล้วรักใดคือรักแท้ในหัวใจ หรือแท้จริงแล้ว...รักนั้นคือความหลอกลวง

Tags: สรัน ริบบิ้นสีเหลือง อบอุ่น ธุรกิจ จิตรกร ซึ้ง ซ่อนเงื่อน

ตอน: บทที่ 4

บทที่ 4

ปณาลีหยุดยืนเพียงด้านหน้าของสวนอาหาร ชำเลืองมองหาเจ้าของร้านผ่านกลุ่มคนทั้งหลายที่นั่งเรียงรายกันอยู่ตามโต๊ะอาหารทั้งในและนอกห้องปรับอากาศ ในช่วงก่อนเที่ยงแบบนี้สวนอาหารของมนต์นภาลูกค้าเริ่มเยอะแล้วเหมือนกัน คงยากถ้าจะเดินหาด้วยตัวเอง

“คุณมนต์มาถึงรึยังจ๊ะ” ปณาลีถามหญิงสาวหนึ่งในบริกรที่เดินมา

รับหน้า

“ยังค่ะ แต่คุณมนต์โทร.มาบอกให้หนูรอต้อนรับคุณลีแล้ว แต่ว่าคุณมนต์ไม่ได้บอกว่าจะมี...” บริกรสาวมองผ่านเพื่อนเจ้าของร้านไปยังชายหนุ่มด้านหลังที่ยืนเท้าสะเอว ดื่มด่ำกับบรรยากาศของสวนอาหารอยู่ด้านหลังหล่อน

ปณาลีพอมองเห็นว่ามีเครื่องหมายคำถามปรากฏเต็มหน้าบริกรสาว จึงยิ้มขัน อธิบายเสียมิได้ว่า “นี่คุณรชานนท์ ผู้บริหารบริษัทเงินทุนที่คุณมนต์กำลังทำเรื่องขอกู้เงินเพื่อมาขยายกิจการร้านอาหารไงจ๊ะ ฉันเป็นคนขอให้เขามาดูร้านของนายเราเอง”

“อ๋อ ค่ะ งั้น...เชิญคุณรชานนท์กับคุณปณาลีนั่งรอคุณมนต์นภาที่บ้านพักดีกว่านะคะ” บริกรสาวผายมือไปยังสวนที่เปิดโล่งรับลมซึ่งอยู่เลยสวนอาหารออกไป

ไม่ทันจะเดินตามไปคอยดูแล เพื่อนของนายสาวก็ร้องค้าน “ไม่เป็นไรจ้ะ ลูกค้าเยอะไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวฉันพาคุณรชานนท์ไปเอง”

ปณาลีเลื่อนประตูกระจกบานใส เชื้อเชิญคนที่นิ่งเงียบมาตลอดทางเข้าไปรอด้านในบ้านพักซึ่งเป็นบ้านชั้นเดียวมีกระจกรอบ มีเพียงเฟอร์นิเจอร์ไม่กี่ชิ้น เห็นจะมีแต่เก้าอี้บุนวมที่พอให้เขานั่งรอได้

ปณาลีนั้นคุ้นชินกับเส้นทางที่นี่ดีเหมือนเป็นบ้านหลังที่สองของตัวเอง ถ้าวันไหนหล่อนเห็นลูกค้าเต็มร้าน ก็จะหลบมานั่งคุยกับมนต์นภาที่บ้านพักส่วนตัวซึ่งปลูกแยกต่างหากอยู่ในสวนหลังร้าน โดยมีกรวดหินโรยเป็นทางเดินเชื่อมต่อจากร้านอาหารเรียงรายด้วยไม้พุ่มไม้ดอก

“เป็นยังไงบ้างคะคุณรชานนท์ ร้านอาหารและก็บรรยากาศของที่นี่ สวยถูกใจคุณมั้ยคะ”

ดวงตาสีนิลคู่สวยละสายตาจากสวนด้านนอกจับจ้องมาที่ดวงหน้าสวยของหญิงสาว “ผมคงต้องเห็นแผนโครงการที่เพื่อนของคุณนำมาเสนอผมก่อน”

น้ำเสียงราบเรียบของชายหนุ่มที่ตอบกลับมาทำให้ปณาลียิ้มเหยเก

หล่อนไม่ชอบเอาเสียเลยที่อ่านความคิดเขาไม่ออกแบบนี้ ชักจะไม่ถูกชะตากับคนเฉยชาตรงหน้าแล้วสิ

ปณาลีปล่อยให้เขาเดินชมบ้านอยู่ครู่ก็ขอตัวออกมาข้างนอกอ้างว่าจะโทรศัพท์ตามมนต์นภามาให้ พอคล้อยหลังเขาไปแล้วหล่อนไม่รีรอที่จะกดโทรศัพท์หาเพื่อนสาวเร็วอย่างใจคิด

“อยู่ไหนแล้วมนต์ เรามาถึงร้านแล้วนะ”

“ใกล้ถึงแล้วจ้ะ รอนานรึเปล่าลี”

“ไม่นานหรอก แต่มนต์มาเร็วๆ ก็แล้วกัน เราชวนคุณรชานนท์มาด้วย”

“คุณรชานนท์ ?” เสียงปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วก็ต้องร้องเสียงหลงตอบกลับมาจนหูปณาลีแทบแตก “ทำไมลีไม่บอกมนต์ก่อนว่าจะชวนเขามา ละ...แล้วลีไปเจอเขาได้ยังไง แล้วทำไมเขาถึงมาได้ล่ะ แล้ว...”

“พอได้แล้วยัยมนต์ ถามเยอะแบบนี้ใครจะไปตอบทัน”

ปณาลีแอบหันไปมองคนที่ถูกขังอยู่ในห้องกระจกสี่เหลี่ยมแล้วต้องยิ้มขันให้กับภาพของคนตัวสูงๆ เดินสำรวจไปทั่วบ้าน ไม่รู้ว่าเขาพยายามหาห้องลับอยู่รึไงถึงได้หน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างนั้น

“เผอิญคุณรชานนท์เขาเจอเรากำลังรอรถแท็กซี่อยู่หน้าห้างเลยอาสามาส่ง พอเรารู้ว่าเขาคือคนเดียวกับคนที่มนต์ต้องการพบก็รีบขอให้เขามาดูร้านมนต์เลย โชคดีที่เขาไม่มีธุระที่ไหน ตอนนี้รออยู่ที่บ้านพักของมนต์นะ...เอ่อ...แค่นี้ก่อนนะมนต์คุณรชานนท์กำลังเดินมา”

ปณาลีรีบวางสายจากเพื่อนแทบไม่ทัน เพราะจู่ๆ ผู้บริหารบริษัทเงินทุนเกิดเปลี่ยนใจออกมาจากบ้านพักกะทันหัน ดีนะ ที่เลิกนินทาเขาไปแล้ว

“ผมขอตัวกลับก่อนแล้วกันคุณปณาลี”

“กลับก่อน ? ทำไมละคะ เมื่อกี้ฉันเพิ่งโทร.ไปบอกมนต์เองว่าคุณ...”

“ยังไงเพื่อนของคุณก็ต้องได้เจอผมอยู่แล้ว แต่วันนี้ผมมีธุระด่วนจริงๆ ถ้ามีเวลาผมจะแวะมาดูร้านเพื่อนคุณใหม่ ฝากขอโทษเพื่อนคุณด้วย”

ยังไม่ทันที่ปณาลีจะร้องค้าน อีกฝ่ายอย่างกับนกรู้เดินผละจากไปดื้อๆ เล่นเอาปณาลีมองค้าง




************************





“หาเจอรึยังมนต์”

ปณาลีถามเพื่อนสาวที่ก้มๆ เงยๆ อยู่ตรงโต๊ะเครื่องแป้งเป็นนานสองนาน พอเห็นมนต์นภาส่ายหน้า ปณาลีซึ่งกำลังนั่งคอตกอยู่ท่ามกลางข้าวของที่กระจัดกระจายเกลื่อนพื้นหน้าตู้เสื้อผ้าจึงทอดถอนใจออกมา

หลังจากปรับทุกข์กับมนต์นภาที่ร้านอาหารเรื่องชายในฝัน ปณาลีเป็นฝ่ายลากเพื่อนสาวให้กลับมาที่บ้านด้วยกันเพื่อช่วยกันหากุญแจแกลลอรี่หลังนั้น หากไม่ว่าทั้งสองจะหาในลิ้นชักตามโต๊ะ กล่องใส่เครื่องประดับ หรือแม้แต่ของกระจุกกระจิกที่ปณาลีแยกเก็บไว้ต่างหากในลิ้นชักตู้เสื้อผ้า กลับพบแต่กุญแจตู้เซฟในห้องทำงานของชลาคม และกุญแจดอกอื่นๆ ที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไร จึงไม่แปลกที่เห็นเจ้าของห้องรื้อค้นของใช้ส่วนตัวเสียกระจุยอย่างกับถูกระเบิดลง

“ลีแน่ใจเหรอว่ามีกุญแจดอกนั้นอยู่จริงๆ มันอาจเป็นแค่ความฝันก็ได้”

ปณาลีไม่ฟังเสียงเพื่อน ยังคงสาละวนควานหากุญแจในกองสมบัติมหึมาที่มีทั้งของเก่าเก็บร่วมปีกับเศษขยะที่ถูกฝังลืม แถมด้วยชุดชั้นในอมฝุ่นหลงติดมาตัวหนึ่ง แต่ไม่มีทีท่าว่าจะพบกุญแจดอกที่มีสายไหมพรมสีเขียวอยู่เลย

“ไม่นึกเลยว่ากุญแจแค่ดอกเดียวมันจะหายากขนาดนี้ เมื่อคืนเราก็หาไปหลายรอบแล้วนะ หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ”

“ก็มนต์บอกแล้วว่าลีแค่ฝันไป”

“แต่ภาพมันเหมือนจริงมากเลยนะมนต์ เราว่ามันต้องอยู่ในห้องนี้แหละ”

“โธ่ลีจ๊ะ เรายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าชายในฝันของลีมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้จริงรึเปล่า แล้วนับประสาอะไรกับกุญแจดอกเล็กๆ แค่ดอกเดียว ขนาดเราช่วยกันหาทั่วห้องแล้วยังหาไม่เจอเลย”

“งั้นมนต์ก็บอกมาสิว่าพี่กฤตอยู่ที่ไหน เราจะได้ไม่ต้องหากุญแจให้เหนื่อยไง”

ปณาลีหรี่ตามองมาที่เพื่อน “หรือว่ามนต์กลัวเราจะจับได้ว่าโกหก ทั้งเรื่องกุญแจ ทั้งเรื่องพี่กฤต”

“ปะ...ไปกันใหญ่แล้วลี” พอถูกเพ่งมองจับพิรุธมนต์นภาเลยหนีไปนั่งบนเก้าอี้ตรงปลายเตียงเพื่อนสาว ไม่กล้าสบตาด้วย ปณาลีคาดคั้นหล่อนเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนปรับทุกข์ที่ร้านอาหารแล้ว

“ถ้าลีคิดว่ามนต์โกหกแล้วมนต์จะมาช่วยลีหากุญแจทำไม เอิ่ม...หรือว่ากุญแจดอกนั้นไม่ได้อยู่ในห้องนอนของลี อย่าลืมสิว่าช่วงที่ลีนอนป่วยอยู่โรงพยาบาล อาจจะมีใครในบ้านเข้ามาหยิบอะไรออกไปก็ได้”

“บ้าน่ะมนต์ เขาจะเอาของของเราออกไปทำไม บ้านเราไม่ได้มีใครส่อแววว่าจะเป็นหัวขโมยนะ”

“มนต์ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เพียงแต่คิดว่าเขาอาจหวังดีเข้ามาจัดห้องให้ลีแล้วเก็บของของลีไปทิ้งหรือไม่ก็เอาไปซุกไว้ในห้องเก็บของก็ได้ เพราะคิดว่าลีคงไม่ใช้แล้วไง”

คำสันนิษฐานนั้นทำให้ปณาลีชะงัก จากงมหากุญแจในกองขยะอยู่ดีๆ ฉุกคิดขึ้นมาได้ “ใช่แล้ว ห้องเก็บของมนต์ กุญแจดอกนั้นต้องอยู่ในห้องเก็บของแน่ๆ เพราะในฝันเราบอกว่าเราเก็บกุญแจนั้นไว้ในกล่อง ปิดล็อคอย่างดี ยังไงก็ต้องเจอ”

“งั้นแสดงว่ากล่องๆ นั้นคงต้องดูเก่ามาก คนในบ้านลีถึงเอาไปหมกไว้ในห้องเก็บของได้...หาอะไรอีกลี” ประโยคท้ายมนต์นภาร้องถามเพราะเห็นเพื่อนกลับไปงมหาอะไรบางอย่างในกองสมบัติ

ปณาลีหยิบกุญแจสามดอกขึ้นมา ชูให้อีกฝ่ายเห็น “เราว่าหนึ่งในสามดอกนี้แหละต้องเป็นกุญแจดอกที่ไขกล่องนั้น”

หลังจากช่วยกันเก็บกวาดข้าวของทำให้ห้องนอนกลับมาอยู่ในสภาพเดิมเรียบร้อย ปณาลีและมนต์นภาก็มาหยุดยืนอยู่หน้าห้องใต้บันได ซึ่งเป็นห้องเก็บของของบ้านธรรมนิตย์

“ประตูล็อคแหละมนต์” ปณาลีบอกเพื่อนพลางบิดลูกบิดประตูไปมา แล้วต้องมีสีหน้าเหยเกเมื่อมีฝุ่นติดมือมาเป็นของแถม บ่งบอกชัดเจนว่าห้องเก็บของคงไม่มีใครในบ้านย่างกรายเข้าไปเป็นชาติแล้ว

“ลีบอกป้าบัวมั้ย แกน่าจะมีกุญแจ”

“โธ่มนต์ ป้าบัวน่ะมีกุญแจอยู่แล้ว แต่ถ้าเราบอก แกก็ต้องรู้สิว่าเรากำลังทำอะไร” ปณาลีค้านกลับมาเสียงขุ่น คนออกความเห็นเลยเงียบกริบ เพราะลืมไปเสียสนิทว่าเพื่อนไม่ต้องการให้ใครรู้เรื่องความฝันนั้น

ปณาลีเคยเล่าให้ฟังว่า ตั้งแต่ฝันร้ายเข้ามาหลอกหลอน ทุกคนในบ้านธรรมนิตย์ต่างลงความเห็นกันว่ามันเป็นเพียงสิ่งที่ปณาลีคิดขึ้นมาเอง เป็นความฝันที่หล่อนควรลืมๆ ไปเสีย แต่หารู้ไม่ว่ายิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ ปณาลีเชื่อใครง่ายๆ เสียที่ไหน ซึ่งมนต์นภารู้จักนิสัยข้อนี้ของเพื่อนดี

“ถ้าไม่เจอกุญแจในห้องนี้ล่ะมนต์”

พอจะต้องเข้าไปพิสูจน์จริงๆ ปณาลีเองก็เริ่มลังเล ไม่แน่ใจในตัวเองขึ้นมาเหมือนกัน ถ้ากุญแจไม่อยู่ในห้องเก็บของ หรือถ้าหล่อนหาไม่เจอล่ะ มันก็หมายความว่าที่ผ่านมาภาพที่หล่อนเห็น...เป็นเพียงความฝันเพ้อเจ้อจริงๆ อย่างนั้นเหรอ

“ทำอะไรกันอยู่คะคุณปณาลี คุณมนต์นภา”

ปณาลีหันขวับไปทางต้นเสียง “ปะ...ป้าบัว !”

มนต์นภาดึงแขนเสื้อเพื่อนยิก ร้อนถึงปณาลีต้องกระทุ้งเตือน รีบซ่อนกุญแจสามดอกนั้นไว้ข้างหลัง “เอ่อ...ป้าบัวมาได้เวลาพอดีเลยค่ะ คือ...ลี...เอ่อ...ลีกับมนต์หากระเป๋าสตางค์ใบที่ลียืมของมนต์มาไม่เจอน่ะค่ะ เราก็เลยคิดกันว่าอาจมีคนเอามาเก็บไว้ในห้องเก็บของ”

“โธ่คุณลี” หัวหน้าแม่บ้านโบกปัดเหมือนกับสิ่งที่นายสาวพูดนั้นไร้สาระสิ้นดี “ไม่มีใครเอาของของคุณลีไปเก็บไว้ในห้องเก็บของหรอกค่ะ”

“ไม่-มี-เลยเหรอคะ” ปณาลีเน้นชัดทุกคำเผื่อจะช่วยเตือนสติหญิงมีอายุตรงหน้าได้บ้าง

“ค่ะ ตั้งแต่คุณเข้าโรงพยาบาลก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปแตะของของคุณในห้องนอนเลย เอ...เดี๋ยวดิฉันไปถามเด็กของดิฉันให้ค่ะ เผื่อมีใครจะเห็นกระเป๋าของคุณมนต์บ้าง”

“มะ...ไม่ต้องหรอกค่ะป้าบัว” คราวนี้เป็นมนต์นภาที่ค้าน “มันไม่ได้สำคัญอะไรมาก มนต์กับลีหากันเองได้ค่ะ ขอบคุณมากนะคะป้าบัว”

เมื่อได้ยินเพื่อนของนายสาวปฏิเสธมาแบบนี้ บัวผันจึงไม่อยากขัดใจ “งั้นดิฉันขอตัวไปดูเด็กๆ ทำความสะอาดบ้านชั้นบนก่อนนะคะ ถ้ามีอะไรก็เรียกดิฉันได้เลยนะคะคุณลี”

“ค่ะป้าบัว”

คล้อยหลังหัวหน้าแม่บ้าน สองสาวก็ถึงกับพ่นลมหายใจออกมาดังพรืดไม่ต่างจากยกภูเขาออกจากอก

“เกือบไปแล้วนะมนต์”

มนต์นภาครางรับ หล่อนเองก็ตกใจไม่แพ้กันจึงหน้าถอดสีพอๆ กับเพื่อน



****************************



ปณาลี กุศลิน และเพลินตามาถึงห้างสรรพสินค้าเปิดใหม่ในช่วงหัวค่ำ บริเวณด้านหน้าห้างสรรพสินค้ามีเวทีขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางลาน พร้อมนักดนตรีและศิลปินที่มีชื่อเสียงมากหน้าหลายตาร่วมขับเพลงอยู่บนเวที

แสงไฟวิบวับซึ่งถูกประดับบนต้นไม้สูงเท่าตึก กับตึกสูงระฟ้าที่สว่างไสวด้วยแสงไฟที่ส่องสว่างผ่านบานหน้าต่างรอบตึก แข่งสีสันในเมืองยามค่ำ ชวนให้หญิงสาวมองค้าง

“นั่นไงคะคุณเพ็ญศิริ” เลขาสาวหมายถึงเจ้าของห้างสรรพสินค้าเปิดใหม่แห่งนี้

กุศลินดุนหลังลูกสาวให้เดินนำตรงไปยังหญิงวัยกลางคนที่กำลังยิ้มแย้ม ทักแขกในงานไปทั่ว ปณาลีเองเกือบตั้งตัวไม่ทันเมื่ออีกฝ่ายหันมาทักแต่ไกล

“คุณกุศลิน”

“สวัสดีค่ะคุณเพ็ญศิริ” กุศลินเอ่ยทักหญิงมีอายุตรงหน้าเช่นกัน ก่อนแนะนำให้อีกฝ่ายรู้จักคนข้างกาย “นี่คุณปณาลี ลูกสาวของคุณชลาคมค่ะ”

ปณาลียกมือไหว้ทำวามเคารพเพ็ญศิริอย่างนอบน้อม เป็นคนรับช่อดอกไม้จากเลขาส่งให้อีกฝ่าย

เพ็ญศิริยิ้มรับไหว้หญิงสาวก่อนรับช่อดอกไม้จากมือปณาลีส่งต่อให้ผู้ช่วยของตัวเอง “ได้ยินชื่อหนูมานาน ตัวจริงหน้าตาละม้ายคุณชลาคมไม่มีผิดเพี้ยน คุณพ่อก็หล่อ คุณลูกก็สวยนะคะ”

ปณาลีเพียงยิ้มๆ ชมกันตรงๆ หล่อนเลยทำอะไรไม่ถูกไปเหมือนกัน

เป็นกุศลินที่เอ่ยต่อ “ยินดีด้วยนะคะคุณเพ็ญที่ทำสำเร็จ”

“โธ่คุณลิน เพิ่งแค่เริ่มต้น ฉันไม่ได้หวังจะให้กลายเป็นห้างสรรพสินค้าใหญ่โตเหมือนครอบครัวของคุณหรอกค่ะ จริงสิ สงสัยคงรถติดกันใช่มั้ยคะ ทีแรกฉันนึกว่าทางคุณจะมีแค่คุณเสกสรรมาแสดงความยินดีกับห้างสรรพสินค้าของฉันเสียแล้ว”

“คุณเสกสรรเหรอคะ ?” กุศลินทวนคำหญิงมีอายุด้วยความแปลกใจ

“ค่ะ เอ...ฉันนึกว่าคุณเสกสรรกับพวกคุณ...”

“อ๋อ เราติดธุระกันนิดหน่อยน่ะค่ะคุณลุงเลยขอล่วงหน้ามาก่อน” พอเห็นกุศลินยังทำหน้างงๆ ปณาลีเลยช่วยแก้ต่างให้

“แล้วตอนนี้คุณลุงสรรอยู่ไหนเหรอคะ”

เพ็ญศิริชี้ไปยังชายมีอายุที่กำลังสนทนาอยู่กับชายในชุดสูทรุ่นราวคราวเดียวกันมุมหนึ่งของเวทีการแสดง ราวกับตั้งใจไว้แล้วว่าจะต้องบอกให้พวกหล่อนทราบ ปณาลีจึงเอ่ยขอบคุณเพ็ญศิริ เหลือบมองกุศลินเป็นเชิงขออนุญาต รายนั้นคงเห็นด้วยจึงยอมปล่อยปณาลีไปหาเป้าหมาย ส่วนตัวหล่อนกับเพลินตาอยู่คุยกับหญิงมีอายุตรงหน้าต่อ

เวลานี้ปณาลีไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นแสงสีที่รายล้อมอยู่รอบตัว การแสดงบนเวที หรือดาราหล่อๆ สวยๆ ที่หยอกล้อต่อกระซิกกันห่างจากหล่อนแค่เอื้อมก็ตาม คนที่หล่อนสนใจ คือ เสกสรร !

“สวัสดีค่ะคุณลุง”

การที่จู่ๆ ปณาลีก็โผล่มาตรงหน้า ทำเอาอีกฝ่ายเบิกตาโพลงราวเห็นผี “ยัยลี...!”

“ไม่ยักรู้นะคะว่าคุณลุงก็มาร่วมแสดงความยินดีกับคุณเพ็ญศิริด้วย ทำไมไม่บอกลีกับคุณลินละคะ จะได้นั่งรถตู้มาพร้อมกัน”

เสกสรรหันไปกระซิบอะไรบางอย่างกับคู่สนทนา ก่อนลากปณาลีออกมาให้ห่างจากตรงนั้น “ลุงเคยบอกเรากี่ครั้งกี่หนแล้วว่าให้รู้จักรักษามารยาทบ้าง ไม่เห็นรึไงว่าลุงกำลังคุยกับเพื่อน”

“ก็แล้วคุณลุงมาทำอะไรที่นี่ละคะ ถ้าจะมา ทำไมไม่มาพร้อมกัน”

“ลุง...” ชายมีอายุกรอกตาขึ้นฟ้า พอหาคำแก้ตัวไม่ได้ก็ใช้เสียงข่มตามเคย “เราจะมาซักไซ้ลุงให้ได้อะไรขึ้นมา เห็นๆ อยู่ว่าลุงมาแล้ว หรือถ้าเราคิดว่าที่ลุงทำไปเป็นการหักหน้าเรากับคุณลิน ลุงขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่าลุงไม่เคยคิดอย่างนั้น”

แน่ใจเหรอคะ ปณาลีแค่ค้านในใจ หล่อนก็ไม่อยากคิดหรอกว่าเสกสรรเป็นคนอย่างนั้น แต่การกระทำของเขามันทำให้หล่อนอดคิดไม่ได้ !

“ถ้าเราไม่มีเรื่องที่มันมีสาระมากกว่านี้มาพูดกับลุงก็เชิญกลับไปหาคุณลินคนดีของเราได้แล้ว ลุงไม่อยากให้เพื่อนของลุงต้องรอนาน ยังมีธุระสำคัญต้องคุยกันอีกยาว”

“แต่ลี...” ไม่ทันพูดจบ เสกสรรก็จ้ำพรวดออกไปแล้ว

ตกลงหล่อนเป็นคนผิดใช่มั้ยเนี่ยที่ไปขัดจังหวะธุรกิจพันล้านของเขา

ปณาลีเห็นว่ามีช่างภาพกำลังถ่ายรูปกุศลินคู่กับเจ้าของห้างอยู่ลิบๆ ตั้งใจจะกลับไปที่เดิม แต่สงสัยตัวหล่อนคงเล็กเกินไปที่จะแทรกกลุ่มคนจำนวนมากที่ยืนเบียดเสียดกันอยู่กลางงานถึงได้ถูกเบียดกระเด็นออกมานอกวง ทำเอาปณาลีตาลาย ได้แต่ยืนมองผู้คนบนลานหน้าห้างสรรพสินค้าที่ไม่ว่าจะเป็นสื่อมวลชน ตัวแทนผู้บริหารจากบริษัทต่างๆ ที่เพ็ญศิริรู้จัก รวมถึงดาราที่มาร่วมงาน

ยิ่งดึกผู้คนยิ่งมีแนวโน้มเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ปณาลีเลยพาลปวดหัวขึ้นมาดื้อๆ ตัดสินใจหลบเข้ามาในห้างสรรรพสินค้า เมื่อนั้นเองหล่อนสัมผัสได้ถึงไอเย็นของเครื่องปรับอากาศภายในห้างฯ

ด้วยความที่คนส่วนมากสนใจยืนคุยกันอยู่ด้านนอกมากกว่าที่จะจับจ่ายซื้อของ ภายในห้างฯ จึงค่อนข้างโล่ง ไม่มีผู้คนมาเดินขวักไขว่ไปมาให้ปวดหัว

มีหลายร้านด้วยกันที่ยังไม่เปิดให้บริการ ที่มีอยู่ตอนนี้ส่วนมากจะเป็นร้านหนังสือ ธนาคาร และร้านอาหารชื่อดังทั้งหลาย ปณาลีถือโอกาสนี้เดินชมบรรยากาศห้างสรรพสินค้าของเพ็ญศิริ หาที่หลบมุมนั่งพักกายเผื่ออาการปวดหัวจะทุเลาลงบ้าง

แต่เพียงปณาลีเดินผ่านบริเวณบันไดเลื่อนที่ลงสู่ชั้นใต้ดิน มีเสียงเพลงจากด้านล่างลอยเข้ามาในโสตประสาทของหล่อน

ปณาลีหันมองตามเสียงเพลงนั้น แม้เบาเกินจับความได้ แต่มันกลับดังก้องในหัวหล่อนไม่ต่างจากระฆังดังกังวาน สะท้านไปทั้งร่าง สะดุดหูหล่อนจนไม่อาจต้านทาน

อยู่ดีๆ ภาพความฝันเมื่อหลายวันก่อน ภาพของบ้านสีหม่นที่เลือนรางและชัดเจนเพียงสวนสีเขียวสลับเหลืองกลับเข้ามาในห้วงคำนึงอีกครั้ง ขณะที่ฝีเท้าของหล่อนเร่งเร็วขึ้นพอๆ กับหัวใจของหญิงสาวที่เต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ยิ่งเสียงเพลงชัดขึ้น ภาพในหัวของปณาลีก็ยิ่งชัดเจน ราวกับว่า...เสียงเพลงบรรเลงสไตล์คันทรี่ที่เปิดดังมาจากร้านค้าร้านใดร้านหนึ่ง เป็นเสียงเพลงที่เปิดคลอบรรยากาศความสุขระหว่างหล่อนกับเขาในวันนั้น

“เป็นอะไรไปคะคุณ”

หญิงสาวแปลกหน้าผู้หนึ่งเข้ามาประคอง ครานั้นเองปณาลีถึงเพิ่งรู้สึกตัว

ใบหน้าขาวซีดผินมองมาทางหญิงสาวแปลกหน้าผู้นั้น ไม่รู้ว่าตัวเองลงบันไดเลื่อนมายังชั้นใต้ดินตั้งแต่เมื่อไหร่ ต้องยึดไหล่สาวข้างกายไว้พลัน ไม่อย่างนั้นร่างทั้งร่างของหล่อนคงต้องทิ้งตัวลงกับพื้นเป็นแน่

“ค่อยๆ นะคะคุณ นั่งที่ร้านฉันก่อนแล้วกันค่ะ”



สรัน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 ต.ค. 2555, 13:52:04 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 31 ต.ค. 2555, 13:52:04 น.

จำนวนการเข้าชม : 1233





<< บทที่ 3   บทที่ 5 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account