Recall...อดีตรักรอยหัวใจ
เพราะอุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้ ‘ปณาลี’ สูญเสียความทรงจำไปบางส่วน

ภายใต้ความฝันที่คอยหลอกหลอนทุกชั่วคืน หล่อนได้พบกับ ‘พี่กฤต’ จิตรกรหนุ่มคู่รัก เจ้าของแววตาสีนิลอ่อนโยนที่ตราตรึงในหัวใจไม่เคยจาง

หากในยามตื่น หล่อนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังเข้าไปพัวพันกับเบื้องหลังการเสียชีวิตของบิดา โดยมี ‘รชานนท์’ หนุ่มนักธุรกิจผู้แสนเย็นชา ที่แม้เขาจะก้าวเข้ามาในชีวิตปณาลีฐานะเจ้าหนี้รายใหญ่ของบริษัท หากทุกครั้งยามที่หล่อนหมดที่พึ่งพิงกลับมีเขาเท่านั้นที่คอยปกป้องดูแล ก่อเกิดสายใยความผูกพันลึกซึ้งขึ้นในหัวใจอย่างน่าประหลาด จนบางครั้งหล่อนเริ่มรู้สึกว่าเขาอาจไม่ใช่นายรชานนท์ที่หล่อนรู้จัก


เมื่อหนึ่งหญิงสาวมีรักที่ผูกพันต่อสองชาย


หนึ่งนั้นคือรักในฝัน ที่อาจไม่มีตัวตน อีกหนึ่งนั้นคือรักเคียงข้าง ที่อาจไม่เป็นจริง แล้วรักใดคือรักแท้ในหัวใจ หรือแท้จริงแล้ว...รักนั้นคือความหลอกลวง

Tags: สรัน ริบบิ้นสีเหลือง อบอุ่น ธุรกิจ จิตรกร ซึ้ง ซ่อนเงื่อน

ตอน: บทที่ 5

บทที่ 5

ปณาลีอยากปฏิเสธความหวังดีของหญิงสาวแปลกหน้าผู้นั้น แต่ไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะเอ่ยคำใดนอกจากรวบรวมกำลังทั้งหมดที่มี เดินตามแรงพยุงของอีกฝ่ายนั่งลงบนเก้าอี้กลมหน้าโต๊ะเก่าๆ ที่คาดว่าน่าจะเป็นโต๊ะทำงานของคนพยุง

การได้นั่งพักทำให้ปณาลีมีโอกาสสูดอากาศเข้าปอดได้เต็มที่ น่าแปลกที่ภาพความฝันในหัวเลือนหายไปแล้ว

ปณาลีหยิบยาแก้ปวดหัวในกระเป๋าสะพายขึ้นมาทานอย่างที่ทำเป็นประจำทุกทีที่อาการกำเริบ

“ค่อยยั่งชั่วรึยังคะคุณ”

เสียงถามของหญิงสาวเป็นเพียงลมพัดผ่านหู เวลานี้ ปณาลีสนใจแต่เสียงเพลงที่เปิดบรรเลงอยู่ในร้านหนังสือ ที่แท้ก็ร้านของหญิงสาวผู้นี้นี่เองที่เปิดเพลงนี้

“นี่ร้านของคุณเหรอคะ”

“ร้านของคุณพ่อฉันค่ะ”

หญิงสาวซึ่งปณาลีคาดว่าน่าจะอายุอ่อนกว่าหล่อนมาก อยู่ในชุดเสื้อยืดสบายตัวกับกางเกงยีนส์สีซีด ลากเก้าอี้จากหลังร้านมาตั้งข้างปณาลี นั่งลงเคียงข้างหล่อน “ท่านชอบอ่านหนังสือค่ะ หนังสือพวกนี้อาจจะดูเก่าไปสักหน่อยนะคะ เพราะส่วนใหญ่เป็นของท่านทั้งนั้น”

ปณาลีเพียงยิ้มๆ กวาดตามองไปรอบร้าน และก็ต้องพบว่าที่หญิงสาวพูดมาถูกต้องทุกประการ

ร้านหนังสือแห่งนี้ถูกซ่อนอยู่ในตรอกซอยของห้างสรรพสินค้า ซึ่งก็ลึกพอสมควร เป็นเพียงห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่ถูกจำแนกอยู่พวกเดียวกับร้านเช่าราคาถูก ตั้งตรงหัวมุมของชั้นใต้ดิน จำนวนหนังสือที่วางเรียงอยู่บนชั้นอัดแน่นและมีคราบสีเหลืองติดอยู่ตามขอบปกหนังสือคล้ายหนังสือโบราณทั้งนั้น

...จะเรียกร้านนี้ว่าเป็นร้านหนังสือเก่าก็ว่าได้

“ส่วนใหญ่ร้านค้าแถวนี้ยังไม่เปิด คุณนึกยังไงคะถึงได้เดินมาคนเดียวในซอยลึกแบบนี้”

“ฉันตามเสียงเพลงของร้านคุณมาน่ะค่ะ คุณพอจะบอกฉันได้มั้ยคะว่าชื่อเพลงอะไร เอ่อ...ฉันเคยได้ยินเพลงนี้มาหลายครั้งแล้วแต่ไม่รู้จักชื่อเพลงสักทีน่ะค่ะ”

ปณาลีอ้อมแอ้มหาเหตุผลไปอย่างนั้น เรียกรอยยิ้มสดใสปรากฏบนดวงหน้าหญิงสาว “คุณชอบเพลงนี้เหมือนคุณพ่อเลย สักครู่นะคะ”

หญิงสาวลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก่อนวิ่งหายเข้าไปหลังร้าน ไม่นานก็ออกมาพร้อมแผ่นซีดีเพลงแผ่นหนึ่ง ส่งให้ปณาลี

“เพลงที่สองค่ะ ชื่อเพลง Tie a Yellow Ribbon 'Round the Old Oak Tree[1]”

ปณาลีอ่านชื่อเพลงลำดับที่สองตามที่หญิงสาวบอก ผูกริบบิ้นสีเหลืองรอบต้นโอ๊คอย่างนั้นเหรอ ?

“ถ้าฉันจะขอซื้อแผ่นนี้ต่อ คุณพ่อของคุณจะว่ามั้ยคะ”

ลูกสาวเจ้าของร้านเงียบไปครู่หนึ่ง หล่อนคงคิดหนักเหมือนกันถ้าต้องตอบแทนบิดาของหล่อน และคำตอบเป็นอย่างที่ปณาลีคิดไว้ไม่มีผิด

“ฉันคงให้คุณไม่ได้หรอกค่ะ เพราะมันเป็นแผ่นโปรดของคุณพ่อฉัน อืม...” คนพูดเอื้อมไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งบนชั้นข้างตัว “คุณลองซื้อหนังสือเล่มนี้ไปอ่านสิคะ ผู้แต่งเขาเขียนถึงเพลงนี้ไว้ คุณน่าจะได้ลองอ่านมันดู”

ปณาลีรับหนังสือจากอีกฝ่าย อ่านชื่อหนังสือนั้นในใจ และก็ต้องขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยเชื่อถือเท่าไหร่ ดูจากชื่อหนังสือแล้วไม่น่าจะมีเนื้อหาเกี่ยวกับเพลงนี้ได้

“ถ้าคุณไม่แน่ใจ จะลองเปิดอ่านมันก่อนก็ได้นะคะ เปิดไปไม่กี่หน้าก็เจอค่ะ”

หล่อนอยากเปิดอยู่แล้วล่ะ แต่พอเห็นอีกฝ่ายจับตามองอยู่กรายๆ เลยเกรงใจ ก่อนพลิกหนังสือขนาดพกพาเล่มนั้นไปมาอยู่สองสามรอบ ลักษณะหนังสือเก่าแบบนี้คงราคาไม่เท่าไหร่ ลูกสาวเจ้าของร้านก็อุตส่าห์ช่วยหล่อนไว้จากอาการปวดหัวเมื่อครู่ ซื้อไปคงไม่เสียหลาย



******************



ชนะชลเข้ามาสวมกอดจากด้านหลังเรียกความสนใจจากหญิงสาวที่กำลังเปิดเพลงในเครื่องเล่นซีดีห้องสเตริโอ ยิ้มน้อยๆ ให้เขาอย่างนึกขันในอารมณ์ขี้เล่นนั้น

“ไม่เอาค่ะพี่ชล” ปณาลีบิดกายออกจากอ้อมกอดชายหนุ่มหนีจมูกซุกซนที่เริ่มซุกไซ้ที่ซอกคอเย้าหล่อนเล่นเดินมานั่งที่โซฟากลางห้อง

“พี่ชลมาหาคุณลินเหรอคะ”

“ใครบอกละจ๊ะ พี่เห็นว่าวันนี้วันหยุดเลยตั้งใจจะพาเราไปหาหมอต่างหาก”

ชนะชลตามมานั่งเคียงข้าง โอบไหล่แฟนสาว “ไหนเมื่อคืนตอนคุยโทรศัพท์กันยังโอดครวญกับพี่อยู่เลยว่าอาการปวดหัวกำเริบหนักอีกแล้ว แต่อารมณ์ดีลุกขึ้นมาเปิดเพลงฟังคนเดียวได้แบบนี้สงสัยคงไม่ต้องแล้วมั้ง”

ปณาลีระบายยิ้มสดใสออกมา จะไม่ให้หล่อนอารมณ์ดีกว่าทุกวันได้ไง ในเมื่อเมื่อคืนหล่อนฝันถึงพี่กฤตทั้งคืน แถมเขายังเปิดเพลงที่หล่อนกำลังฟังอยู่นี่แหละ

“พี่ชลเคยได้ยินเพลง Tie a Yellow Ribbon 'Round the Old Oak Tree มั้ยคะ เอ่อ...ลีหมายถึงเพลงที่ลีกำลังเปิดนี้น่ะค่ะ ลีเพิ่งซื้อมาจากร้านซีดีเพลงในห้างฯ ของคุณเพ็ญศิริเขา” ปณาลีรีบอธิบายเมื่อเห็นรอยยับย่นปรากฏที่หัวคิ้วของอีกฝ่าย

“อืม...พี่คุ้นๆ อยู่เหมือนกัน ก็เพราะดีนะ”

“ไม่เพราะอย่างเดียวนะคะพี่ชล เนื้อหาของเพลงดีด้วย เนื้อหาเพลงนี้พูดถึงผู้ชายคนหนึ่งที่เพิ่งพ้นโทษออกมาน่ะค่ะ”

“นักโทษเนี่ยนะเราที่ว่าดี”

“ก็...เป็นนักโทษที่มีรักแท้ไงคะ” ปณาลีหยิบแผ่นเพลงบนตัก ลูบไล้นิ้วมือไปบนชื่อเพลงที่ปกหลังของแผ่นยามจินตนาการตามสิ่งที่เล่า

“ก่อนที่ผู้ชายคนนี้จะติดคุกได้สามปี เขาเคยรักอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่งค่ะ พอเขารู้ว่าจะพ้นโทษ เขาก็ได้เขียนจดหมายไปถึงผู้หญิงคนนั้นประมาณว่า ถ้าเธอยังต้องการเขาอยู่ขอให้ผูกริบบิ้นสีเหลืองไว้บนต้นโอ๊ค ถ้าเขานั่งรถบัสผ่านมาแล้วไม่เห็นมันเขาก็จะไม่ลงจากรถบัสมาหาเธอค่ะ เพราะเขาถือว่าผู้หญิงไม่ต้องการเขาแล้ว และเขาก็จะไม่โทษเธอด้วยถ้าเธอตัดสินใจอย่างนั้น”

“แล้วผู้หญิงคนนั้นว่ายังไงบ้าง” คนฟังนั้นไม่ได้อยากรู้นักหรอก แต่แววตาประกายสุกใสที่ปรากฏบนนัยน์ตาสีดำสนิทของแฟนสาวต่างหากที่ทำให้เขาอดถามไม่ได้

หากปณาลีไม่สนใจหรอกว่าคนถามจะสนใจหรือไม่ หล่อนแค่อยากเล่าให้ใครสักคนได้ประจักษ์ในรักแท้ของหนุ่มสาวในเพลงนี้ก็เท่านั้น “เธอก็ยังรักผู้ชายคนนั้นอยู่สิคะ เพราะพอรถบัสคันนั้นขับผ่าน สิ่งที่ชายนักโทษคนนั้นเห็นรู้มั้ยคะว่าคืออะไร”

“ถ้าผู้หญิงคนนั้นยังรักเขาอยู่ ก็ต้องเห็นริบบิ้นสีเหลือง”

“ค่ะ ริบบิ้นสีเหลือง แต่ไม่ใช่เส้นเดียวนะคะ เพราะบนต้นโอ๊คนั้นมีริบบิ้นสีเหลืองผูกอยู่นับร้อยเส้นเลยละค่ะ เหลืองอร่ามทอประกายจนเขาเองก็คาดไม่ถึงว่าหญิงสาวจะยังมีความรักให้เขามากมายถึงเพียงนี้”

“โห ผูกไว้ซะเยอะขนาดนั้น ไม่อยากนึกถึงตอนเก็บเลย”

“พี่ชลนี่ คนเขากำลังโรแมนติกอยู่ทำเสียบรรยากาศหมด” ปณาลีแหว ก่อนวางแผ่นเพลงไว้บนตักเหมือนเดิม “เฮ้อ...นี่มั้งคะ ที่เขาเรียกว่ารักแท้ไม่แพ้กาลเวลา”

“ก็พี่ไม่อยากให้เราเก็บเอาไปคิดเป็นตุเป็นตะ สำหรับพี่แค่ริบบิ้นเส้นเดียวก็เหลือหลายแล้ว”

“แล้วแน่ใจเหรอคะว่าจะได้สักเส้น”

“อ้าว ! ก็จากเราไง”

“ขี้ตู่” หญิงสาวย่นจมูกใส่เขาอย่างเช่นทุกครั้งที่หล่อนชอบทำเวลาหมั่นไส้คนข้างๆ “ไม่พูดกับพี่ชลแล้ว ลีจะฟังเพลง”

ชนะชลยิ้มขันรับจมูกย่นๆ ของหญิงสาว ก่อนที่รอยยิ้มนั้นจะค่อยๆ เลือนหายเมื่อแฟนสาวไม่สนใจเขาอีก ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไม...คำปฏิเสธของหญิงสาวเมื่อครู่...ทำให้เขาใจหายอย่างบอกไม่ถูก



*****************




เช้านี้ปณาลีมีชนะชลอาสาเป็นสารถีขับรถมาส่งที่บริษัท แต่แล้วมาถึงหน้าห้องทำงานต้องแปลกใจเมื่อไม่เห็นเลขาสาวนั่งอยู่ที่โต๊ะหน้าห้องเหมือนเช่นทุกวัน พอเปิดประตูเข้าไป คำตอบถึงผุดขึ้นมาทันทีที่เห็นเสกสรรนั่งอยู่ในห้องของหล่อน โดยมีเพลินตาทำหน้าที่เสิร์ฟน้ำและของว่างลงโต๊ะ

“มาพอดีเลยเรา” เสกสรรเป็นฝ่ายเอ่ยทักขึ้นก่อน

ปณาลียกมือไหว้ทำความเคารพผู้เป็นลุง คนเรานั้นมีเหตุผลของการไหว้อยู่สองประการ คือ ไหว้เพราะคุณวุฒิหรือไหว้เพราะวัยวุฒิของเขา แต่สำหรับปณาลีแล้วหล่อนไหว้ชายมีอายุตรงหน้าเพียงเพราะเหตุผลหลัง อย่างน้อยเสกสรรก็ผ่านโลกมามากกว่า และหวังว่าความนอบน้อมที่หล่อนมีให้คงทำให้เขารู้สึกกรุณาหลานคนนี้ขึ้นมาบ้าง

“เพลินกลับไปทำงานเถอะจ้ะ เดี๋ยวฉันดูแลคุณลุงเอง”

“ค่ะคุณลี” เพลินตารับคำ ก่อนโน้มตัวต่ำเดินผ่านนายทั้งสองออกไป

ปณาลีวางกระเป๋าสะพายและแฟ้มเอกสารที่หอบมาจากบ้านลงบนโต๊ะทำงาน “มีธุระอะไรกับลีเหรอคะคุณลุง”

“มีสิ ไม่งั้นลุงคงไม่มารอเราแต่เช้าหรอก” ไม่รู้เป็นไง พอจะคุยกับหลานคนนี้ต้องอารมณ์เสียทุกที “อีกไม่กี่นาทีคุณรชานนท์เขาก็จะมาถึงบริษัทเราแล้ว เขาบอกว่ากำลังมองหาทำเลทำธุรกิจใหม่ที่ห้างสรรพสินค้าของเรา ลุงก็เลยรับปากกับเขาไว้ว่าจะให้เราพาเดินชมเอง”

“ลีเหรอคะ”

“แล้วเราคิดว่าลุงหมายถึงใครล่ะ ชื่อก็บอกอยู่ทนโท่”

“แต่ลี...ยังมีงานต้องทำ” ประโยคท้ายเสียงแผ่วพิกล งานนั้นมีจริง แต่คงไม่เยอะพอที่จะปฏิเสธเสกสรรได้หรอก ก็หล่อนไม่อยากไปกับตาเฉยชาอย่างนายรชานนท์นี่

“คนอื่นไม่ได้เหรอคะคุณลุง พนักงานของเราก็มีตั้งเยอะแยะ”

“ไม่ได้ ลุงบอกเราแล้วไม่ใช่เหรอว่าคุณรชานนท์เป็นแขกคนสำคัญของเรา เราต้องดูแลเขาให้ดี ให้สมกับ...”

“น้ำใจที่เขามีให้กับเรา” ปณาลีเสริมให้สรรพเสร็จ

และดูเหมือนจะสร้างความพอใจให้เสกสรรไม่น้อย เขาทำเสียงบางอย่างในลำคออย่างพอใจ “รู้แล้วก็รีบเคลียร์งานให้เสร็จเสีย ถ้าคุณรชานนท์มาเมื่อไหร่ลุงจะเป็นคนบอกเขาเองว่าให้รอเราอยู่ข้างนอกจะได้ไม่รบกวนเวลาทำงานอันมีค่าของเรา แล้วเราอย่าให้เขาต้องรอนานล่ะ”

ปณาลีรับปากเสียงอ่อย ก่อนทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดลงบนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานอย่างเซ็งๆ ทันทีที่เสกสรรออกจากห้อง

“บ้าจริง ทำไมต้องเป็นเราด้วยก็ไม่รู้” ปณาลีบ่นอย่างคนหัวเสีย อดค่อนแคะในการกระทำของชายมีอายุที่เพิ่งเดินออกจากห้องไปไม่ได้ อยากดูแลนายรชานนท์นั่นมากนัก ทำไมไม่ดูแล เอาอกเอาใจกันเองก็สิ้นเรื่อง

เสียงเคาะประตูดังขึ้น และนั่นทำให้คนที่กำลังตกอยู่ในความขุ่นเคืองในใจสะดุ้งโหยง ก่อนคว้าเอกสารใกล้มือ พลิกเปิดอ่านให้ดูยุ่งไปอย่างนั้น

“ชะ...เชิญจ้ะ”

เพลินตานั่นเองที่เป็นคนเคาะประตู “คุณเสกสรรให้มาเรียนคุณว่าคุณรชานนท์มาถึงแล้วค่ะ ตอนนี้รอคุณอยู่ในห้องรับรองของบริษัท”

“ขอบใจจ้ะ งั้นช่วยไปบอกเขาทีนะว่าฉันขอเคลียร์งานตรงนี้เสร็จก่อน ถ้าเขารอไม่ไหวก็กลับไป”

“คะ?” เพลินตาคงนึกว่าตัวเองหูแว่ว

เสียงหลงๆ ของเลขาสาวช่วยเตือนสติปณาลี หล่อนไม่น่าคิดดังเลยแฮะ “เอ่อ...บอกเขาแล้วกันว่าถ้าฉันทำงานเสร็จเมื่อไหร่จะออกไป”

เพลินตายิ้มรับ แต่แค่หันหลังจะออกจากห้องเลขาสาวก็ต้องยืนค้าง

คนที่กำลังก้มหน้าก้มตาสนใจอยู่แต่ตัวหนังสือในแฟ้มเอกสารนั้น ไม่รู้หรอกว่าที่พูดมาทั้งหมดมีใครบางคนได้ยินเต็มสองหู !

ประตูห้องปิดลง เจ้าของห้องถึงกับผ่อนลมหายใจยาวอย่างโล่งอก แต่แล้วเสียงถอนใจต้องกลืนหายลงคอ เบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าจะพบ...

“คุณรชานนท์ !”

อีกฝ่ายก้าวเข้ามาในห้องทำงานของประธานสาว ไม่พูดไม่จาเพียงแต่ทรุดตัวลงนั่งเงียบๆ บนโซฟาส่วนรับรองแขก สีหน้าของรชานนท์ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดให้ปณาลีจับได้

“ผมขอเข้ามารอในห้องนี้แทนคุณคงไม่ว่าอะไรใช่มั้ย”

ความเย็นชาที่แฝงอยู่ภายใต้น้ำเสียงราบเรียบนั้น ทำให้หล่อนรู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันใด

“เอ่อ...แน่ใจนะคะว่าคุณจะรอฉัน”

“วันนี้ผมไม่มีธุระที่ไหน รอจนคุณเคลียร์งานเสร็จก่อนแล้วเราค่อยไปกันก็ได้”

“แต่เผอิญฉันมีธุระด่วนพอดีสิคะ” แกล้งกวนเขาเล่นไปอย่างนั้น อย่าให้เห็นว่านั่งๆ อยู่แล้วมีธุระด่วนหนีกลับไปอีกก็แล้วกัน

หากรชานนท์ไม่ได้แสดงอาการหรือสีหน้าใดให้หล่อนเห็นตามเคย ปณาลีจึงกลับไปสนใจงานตรงหน้า

ภายในห้องทำงานยามนี้มีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศสลับกับเสียงปณาลีพลิกหน้าเอกสาร ขณะที่รชานนท์นั้นฆ่าเวลารอเจ้าของห้องด้วยการนั่งอ่านหนังสือพิมพ์และนิตยสารที่วางอยู่บนโต๊ะรับแขก หนังสือส่วนมากที่เขาเลือกอ่านไม่พ้นเรื่องธุรกิจการเงินและการลงทุนประเภทต่างๆ ไม่ได้รู้ตัวหรอกว่ามีสายตาของหญิงสาวบนโต๊ะทำงานลอบมองมาเป็นระยะสังเกตอากัปกิริยาของเขาอยู่เนืองๆ

ปณาลีลอบอมยิ้มให้กับภาพคนตัวโตตรงหน้าที่ขยับกายอยู่บนโซฟาทุกสองนาที ดูเขาคงไม่สบายตัวนักหรอกที่ต้องมาทนนั่งอยู่บนโซฟาตัวเล็กกว่าขนาดตัวเขามาก แต่จะว่าไปหน้านิ่งๆ ของเขาก็น่าแหย่เหมือนกันแฮะ

อยากรู้จริงว่าจะทำนิ่งเป็นเจ้าชายน้ำแข็งได้นานแค่ไหนกันเชียว

จู่ๆ คนบนโซฟาก็กระแอมไอในลำคออย่างกับรู้ตัวว่ากำลังถูกนินทา ก่อนลุกขึ้นเปลี่ยนอิริยาบถเป็นชื่นชมวิวทิวทัศน์นอกหน้าต่าง สาวที่ลอบมองเขาอยู่นั้นเลยรีบก้มหน้าก้มตาสนใจงานตรงหน้า

“ดูแล้ว ผมอยู่ด้วยคุณไม่ค่อยมีสมาธิทำงานเท่าไหร่ ถ้าอย่างนั้นผมออกไปรอคุณข้างนอกเหมือนเดิมแล้วกัน”

ปณาลีรู้สึกเหมือนมีเลือดสูบฉีดขึ้นมาที่ใบหน้าจนร้อนผ่าวยามถูกเขามองกลับมา รชานนท์คงรู้ตัว หญิงสาวจึงพูดอะไรไม่ออกนอกจากยิ้มเหยเกให้เขาแทนคำเชิญ





********************


“คุณลุงสรรบอกว่าคุณกำลังมองหาทำเลทำธุรกิจใหม่”

ปณาลีถามรชานนท์ในที่สุดหลังจากที่พาเขาเดินชมห้างสรรพสินค้ามาร่วมชั่วโมง ไล่มาตั้งแต่ชั้นใต้ดินที่มีซุปเปอร์มาเก็ตและร้านเช่าราคาถูกจนมาถึงชั้นเครื่องใช้ไฟฟ้า แต่ไม่ว่าหล่อนจะพาเขาไปชั้นไหนก็ดูเหมือนจะไม่ถูกใจเขาสักที กำลังคิดทำอะไรก็ไม่ถามไม่บอกหล่อนสักคำ คิดว่าหล่อนเป็นเจน ญาณทิพย์มีจิตพิเศษสัมผัสความคิดเขาได้รึไง

“ร้านอาหารอยู่ชั้นบนสุดใช่มั้ย”

“เกือบชั้นบนสุดค่ะ” หล่อนอธิบายเมื่อก้าวพ้นบันไดเลื่อนมาได้หน่อยคาดว่า ‘ร้านอาหาร’ คงเป็นคำตอบของเขา ก่อนเดินนำขึ้นบันไดเลื่อนต่อไปยังชั้นที่ว่า

ด้วยความที่รชานนท์ตัวสูงกว่าหล่อนมาก คนที่สูงเพียงระดับไหล่เขาจึงเหนื่อยไม่น้อยเมื่อต้องเดินไล่ตามก้าวยาวๆ ของคนตรงหน้าให้ทัน

ดูแล้วเขาก็ชินกับเส้นทางในห้างฯ ดี ไม่รู้ว่าจะให้หล่อนมาเป็นไกด์นำทางทำไม

“ลี !”

เสียงเรียกจากที่ไกลๆ ทำให้ปณาลีชะงักฝีเท้า กวาดตามองหาเจ้าของเสียงผ่านเหล่าบรรดาลูกค้าที่จับกลุ่มเดินผ่านหน้าหล่อนกับรชานนท์ไป

รอยยิ้มสดใสระบายออกมาโดยไม่รู้ตัวเมื่อเห็นมนต์นภาสาวเท้าตามมา การที่หญิงสาวข้างกายผละออกห่าง หันไปสนใจคนด้านหลังพลอยทำให้รชานนท์หยุดเดินไปด้วย

“ยัยมนต์ หนีงานออกมาช้อปปิ้งรึไงจ๊ะ”

“ลีก็...คุณนนท์มากับลีเหรอคะ” ประโยคท้ายมนต์นภาเอ่ยถามคนที่ตามหลังปณาลีมา

“ผมมาดูทำเลตั้งร้านอาหารครับ ไม่นึกเลยว่าจะมาเจอคุณมนต์ที่นี่”

“มนต์ก็มาหาทำเลเหมือนกันค่ะ หวังว่าห้างสรรพสินค้าของลีจะเหลือที่ว่างพอให้เราเปิดร้านนะคะ”

“ของเรา ?” ปณาลีทวนคำอย่างงงๆ คิ้วเรียวสวยขมวดเป็นปมยุ่งยามถามต่อว่า “อย่าบอกนะว่ามนต์กับคุณรชานนท์เซ็นสัญญากันแล้ว”

มนต์นภาพยักหน้า “ก็วันที่มนต์กลับมาจากบ้านลีนั่นแหละจ้ะ คุณนนท์เขานัดมนต์ไปเจอที่บริษัทเลยตกลงกันแล้วเรียบร้อย”

ปณาลีหันไปมองชายหนุ่มข้างกายอย่างไม่เชื่อหู วันที่เพื่อนสาวกลับจากบ้านหล่อน ก็วันเดียวกับที่หล่อนพารชานนท์ไปที่ร้านอาหารของมนต์นภานี่ ไหนเขาบอกว่ามีธุระด่วนไง

“พอจะเจอทำเลถูกใจบ้างรึยังคะคุณนนท์”

“เจอแล้วครับ ผมว่าถ้าเราเปิดร้านอาหารที่ชั้นใต้ดินน่าจะหาลูกค้าได้มาก”

คำตอบของชายหนุ่มสร้างความประหลาดใจแก่ปณาลียิ่งกว่าเดิม สีหน้าเขาตอนเดินอยู่ชั้นใต้ดินไม่ได้แสดงออกสักนิดว่าสนใจ

“ถ้าเป็นตามที่คุณปณาลีบอก ส่วนใหญ่ชั้นล่างลูกค้าจะเป็นเด็กนักเรียนและกลุ่มวัยรุ่นเสียส่วนมาก ส่วนอาหารของคุณเองก็มีหลายแบบ ถ้าเรานำอาหารที่เหมาะกับกลุ่มวัยรุ่นมาเปิดชั้นนั้นน่าจะทำรายได้ให้กับเราได้สูง หรือถ้าจะให้ดี คุณนำอาหารแบบอื่นมาลองใส่ในเมนูสักสองสามอย่างก็น่าจะทำให้ร้านของคุณดูน่าสนใจขึ้น”

“จริงด้วยสิคะ มนต์ได้แต่เดินดูชั้นอาหารไม่ได้สนใจชั้นอื่นเลย ว่าไงลี เห็นด้วยกับคุณนนท์รึเปล่า”

คนที่กำลังนึกตามสิ่งที่ชายหนุ่มพูดเพียงยิ้มแห้งให้เพื่อนสาว ไอเดียของเขาก็ดีอยู่หรอก แต่หล่อนรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกินยังไงก็ไม่รู้

“นี่ก็ใกล้เที่ยงแล้ว ลีไปทานข้าวร้านมนต์นะ”

“ไม่ได้หรอกมนต์ เรายังมีงานต้องทำ”

“โธ่ลี ลีเป็นประธานบริษัทนะ พนักงานบริษัทก็มีตั้งเยอะยังมีงานเหลือให้ลีจัดการอีกเหรอ...คุณนนท์คะ ไปทานข้าวด้วยกันนะคะ ไหนๆ คุณก็เป็นเจ้าของร้านอาหารร่วมกับมนต์แล้ว น่าจะได้ลองทานอาหารร้านมนต์ดูบ้าง”

ได้ยินเพื่อนชวนคนข้างกายแล้วปณาลีอยากจะหัวเราะให้ลั่นห้างฯ มนต์นภาคิดยังไงถึงได้ชวนพ่อธุระยุ่งไปด้วย คงไปหรอกนะ

“ได้สิครับ”

“แค่ก แค่ก...” ปณาลีถึงกับสำลักความคิดตัวเอง หล่อนคิดมากไปรึเปล่าว่านายรชานนท์นี่กำลังเล่นสงครามประสาทกับหล่อนอยู่ !

"ผมก็ว่าจะขออนุญาตคุณมนต์อยู่พอดี ผมเองอยากจะเรียนรู้อะไรอีกหลายอย่างจากร้านอาหารของคุณเหมือนกัน"

มนต์นภายิ้มรับในมิตรภาพใหม่ที่รชานนท์หยิบยื่นให้ แต่รอยยิ้มกว้างนั้นแปรเปลี่ยนเป็นความขันพลันเมื่อหันมาเห็นสีหน้าของเพื่อนสาวที่บูดสนิทอย่างกับเหม็นขี้หน้าชายหนุ่มข้างกายมาสักร้อยชาติยังไงยังงั้น





--------------------------------------------------------------------------------



[1] เพลงของ Tony Orlando and Dawn



สรัน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 ต.ค. 2555, 13:52:57 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 31 ต.ค. 2555, 13:52:57 น.

จำนวนการเข้าชม : 1152





<< บทที่ 4   บทที่ 6 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account