ภิรมย์รัก
กุลสตรี!

รุจิรดาแอบเบ้ปากด้วยความเบื่อหน่ายปนขุ่นเคือง
หากนับว่าการที่เธอยื่นมือออกไปช่วยเหลือน้องสาวของ หม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์ นั้นไม่เป็นกุลสตรี
หญิงสาวก็ยอมรับตามความจริง
แต่เมื่อคนที่ชี้ความจริงข้อนี้ให้เธอรู้เป็นพี่ชายของคนที่เธอช่วยเอาไว้
หญิงสาวจึงรู้สึกเหมือนตนกำลังทำคุณบูชาโทษ
ต่อแต่นี้ไปก็อย่าได้มาเจอะมาเจอกันอีกเลยเป็นดีที่สุด!

หากภาวนาไปไม่พ้นสามวัน
คนที่เธอไม่อยากพบเจออีกในชาตินี้ กลับมาเป็นอาจารย์ของเธอเอง
คราวนี้คงต้องฟังแลกเชอร์ว่าด้วย “ความเป็นกุลสตรี” เสียจนหูชาแน่ๆ
เธอต้องหาทางหนีสถานเดียว!

แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร...
ยิ่งพยายามหนีให้ไกลจากดวงตาสีดำคูคมนั้นเท่าไหร่
กลับยิ่งเหมือนอีกฝ่ายจะไล่ตามมาไม่ปล่อยเสียอย่างนั้น!

Tags: ย้อนยุค,ศิษย์,อาจารย์,ท่านชาย,ท่านหญิง,ความรัก,พีเรียด

ตอน: บทที่ 5 [1/2]


ปัง! ปัง! ปัง!

ทุกครั้งที่มีเสียงปืนดังสนั่นมาจากทางด้านหลัง บรรดาสาวใช้ที่นั่งร้อยมาลัยถวายพระใกล้ๆ คุณหญิงลักขณาวดีเป็นต้องสะดุ้งขึ้นเป็นพักๆ ไม่ต่างจากคุณแม่บ้านที่แทบจะผวาเอามือซุกใบหน้าของตนลงกับฝ่ามือเสียทุกครั้งที่รุจิรดายิงปืนแต่ละนัด มีเพียงคุณหญิงเท่านั้นที่ยังเอนตัวลงครึ่งๆ กับตั่งและอ่านหนังสือที่อยู่ในมือได้อย่างปรกติสุขท่ามกลางเสียงหวีดเบาๆ ที่เล็ดลอดออกจากมือที่อุดปากไว้จนแน่นของบรรดาคนในห้องนั่งเล่น

จวบจนต้นตอที่ทำให้เกิดเสียงดังเดินเข้ามาในห้อง ร่างผอมบางของคุณแม่บ้านก็หันไปตวาดแหวเข้าให้

“คุณหนูรดา! อิฉันกับพวกสาวๆ พวกนี้จะหัวใจวายตายอยู่แล้วนะเจ้าคะ นี่ถ้าคุณหนูไม่หยุดยิงเสียก่อน พอกลับเข้าห้องนี้อีกทีคงทันได้มาสวดพวกอิฉันพอดีกระมัง”

“ไม่ถึงอย่างนั้นหรอกแม่สายจ๋า...” แม้จะหงุดหงิดเพียงใด หากคำตัดพ้อของแม่สายทำให้หญิงสาวยิ้มออกมาได้ในที่สุด “...รดาขอโทษนะจ๊ะที่ทำให้ตกใจกัน”

ท้ายประโยคร่างโปร่งบางยกมือกระพุ่มไหว้อีกฝ่ายอย่างน่ารัก ก่อนจะแย้มยิ้มสว่างไสวไปให้ทั่วห้อง “ฉันขอโทษนะจ๊ะที่ทำให้ตกใจ ขอโทษด้วยจริงๆ นะ”

“มะ... ไม่เป็นไรหรอกเจ้าคะคุณหนู” บรรดาสาวๆ ในห้องต่างพากันยิ้มตอบพลางเอ่ยยกโทษให้อย่างง่ายดาย ทั้งๆ ที่เมื่อครู่ก่อนต่างยังนึกขุ่นใจกับเสียงดังที่ทำให้ตนสะดุ้งจนทำงานพลาดอยู่แท้ๆ

แม่สายมองสีหน้าของสาวใช้แต่ละคนก่อนจะส่งเสียง “เฮอะ!” อย่างหมั่นไส้ เสียงนั้นทำให้คุณหญิงลักขณาวดีหันไปมองพลางหัวเราะน้อยๆ ด้วยความขบขันในสีหน้าคนสนิท

“อะไรกันแม่สาย... ขัดเคืองอะไรกันรึถึงไม่ยกโทษให้รดาเขาเสียอย่างนั้น”

“อิฉันยกโทษแล้วเป็นอย่างไรล่ะเจ้าคะ ยังไงคุณหนูเธอก็ทำอย่างเดิมอีกอยู่ดี ยกโทษให้บ่อยๆ อิฉันก็เหนื่อยเป็นเหมือนกันนี่เจ้าคะคุณหญิง”

“แหม... แม่สายจ๋า...” รุจิรดาเปลี่ยนท่านั่งจากที่พับเพียบใกล้ๆ เจ้าบ้านฝ่ายหญิงเป็นคลานเข้าไปหาแม่บ้านผู้ที่เธอนับถือประหนึ่งญาติสนิทอย่างนอบน้อม “รดาขอโทษนะจ๊ะ ยกโทษให้รดาเถอะนะ คราวนี้รดาหงุดหงิดนี่นา ไม่มีอะไรให้ทำระบายอารมณ์ รดาเลยต้องไปยิงปืนนี่จ๊ะ อีกอย่างปืนไม่เอามาทำความสะอาด ไม่ยิงบ่อยๆ นี่มันจะขัดลำกล้องได้ง่าย นานๆ เข้าเอามายิงทีหนึ่งมันจะระเบิดใส่เอา รดาเลยต้องเอาไปยิงเสียบ้าง”

แม่สายปรายตามองเขียวปั๊ด ก่อนค้อนขวับอย่างไม่ไว้หน้า “ทางแก้ที่ดีกว่านั้นคือไม่ต้องยิงเสียเลยสิเจ้าคะ ไม่ต้องเสี่ยงปืนแตกใส่ด้วย”

“ก็รดาหงุดหงิดนี่นา จะให้รดาทำอะไรล่ะ” หญิงสาวยังส่งเสียงออด ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนฉายแววออดอ้อนหวังให้อีกฝ่ายใจอ่อนลง หากแม่สายก็ยังไม่วายเหน็บ

“พวกที่แม่สาวๆ พวกนี้ทำอยู่ล่ะเจ้าคะ ไม่เห็นคุณหนูหยิบจับมาทำสักอย่างเดียว... อ๊ะๆ อย่าเถียงนะเจ้าคะว่าทำได้แล้ว” คุณแม่บ้านดักคอพลางสั่นศีรษะน้อยๆ เมื่อเห็นหญิงสาวขยับจะพูด “ทำได้แล้ว แต่ไม่ทำให้สม่ำเสมอ วิชาความรู้มันก็หายไปได้เหมือนกันนะเจ้าคะ อย่างที่คนโบราณท่านว่า

เจ็ดวันเว้นดีดซ้อม ดนตรี
อักขระห้าวันหนี เนิ่นช้า
สามวันจากนารี เป็นอื่น
วันเดียวเว้นล้างหน้า อับเศร้าหมองศรี

ขนาดซ้อมดนตรีรึเรียนหนังสือท่านก็ยังไม่ให้เว้นแม้ห้าวันเจ็ดวัน แล้วนี่คุณหนูไม่ได้หยิบจับงานพวกนี้กี่เดือนแล้ว ป่านนี้ไม่มือแข็งจับจีบกลีบดอกไม้ไม่ได้แล้วหรือเจ้าคะ?”

“ก็...” เมื่อเถียงไม่ออก ใบหน้านวลจึงได้แต่ยิ้มแป้นพลางหัวเราะน้อยๆ แล้วจึงเฉไฉไปเสีย “ก็เพราะทำไม่ชำนาญเท่าเดิมแล้วอย่างไรจึงไม่ทำอีก เพราะกลัวว่าถ้าทำแล้วจะทำให้กลีบดอกไม้สวยๆ พวกนี้ช้ำไปเสียหมดอย่างไรล่ะจ๊ะแม่สายจ๋า”

“ช่างเถียง อิฉันไม่พูดแล้วก็ได้” คนถูกอ้อนตวัดค้อนใส่ก่อนเชิดหน้าไม่มองอีก รุจิรดาจึงได้แต่หัวเราะดังมากยิ่งขึ้น คุณหญิงลักขณาวดีมองหลานสาวอย่างเอ็นดูก่อนจะเหลือบมองนาฬิกาลูกตุ้มเรือนใหญ่แล้วอุทาน

“ตายแล้วยายรดา ไหนว่าวันนี้บ่ายสามโมงต้องไปที่วังท่านหญิงอรอย่างไร นี่บ่ายโมงกว่าเกือบบ่ายสองแล้วหลานยังไม่เตรียมตัวอีกหรือ มานั่งหน้าตามอมแมมเหม็นดินปืนทำไมเนี่ย ไปๆ ไปอาบน้ำใหม่เดี๋ยวนี้เลย”

“โถคุณหญิงป้าขา ขอรดานั่งอยู่ตรงนี้อีกสักครู่ไม่ได้หรือคะ?”

“ไม่ได้” คุณหญิงลักขณาวดีผู้ซึ่งปกติแล้วจะโอนอ่อนผ่อนตามหลานเสียเป็นส่วนมากทำเสียงดุ “โตแล้วอย่ามาทำตัวเหลวไหล เรานัดท่านหญิงไว้ไม่ใช่หรือ ป่านนี้ท่านคงคอยแล้ว อะไรกัน... ปกติเห็นไปหาท่านหญิงก็ไปแต่โดยดีนี่นา ช่วงสองสามวันนี้เป็นอะไร ไม่กระตือรือร้นไปเสียอย่างนั้น”

“ก็...” รุจิรดาขยับจะเล่า หากชะงักเสียก่อน

ก็ตั้งแต่วันที่เธอ ‘ตกหลุมพราง’ ของท่านชายที่ทรงขุดล่อไว้ด้วยหนังสือที่เธอจำเป็นต้องใช้ ตั้งแต่วันนั้นก็เป็นเวลาเกือบสามอาทิตย์แล้วที่เธอจะต้องไปที่วังนฤบดินทราทิพย์เพื่อไปทำรายงานและ ‘ชงโกโก้’ ถวาย บางครั้งก็ถูกอาจารย์ของตนเองทรงใช้ให้เธอจัดหนังสือ เรียบเรียงงานแปลที่ทรงแปลหนังสือต่างประเทศมารวบรวม เพื่อจัดทำเป็นรูปเล่มสมบูรณ์เอาไว้ใช้ศึกษาหรืออ้างอิงในฉบับภาษาไทย ซึ่งช่วงหลังๆ มานี่รายงานเธอแทบจะไม่ก้าวหน้า เพราะมัวแต่ช่วยท่านชายเรียบเรียงงานเสียเป็นส่วนมาก

แต่ก็ยังดีที่ทรงรับสั่งเรื่องกำหนดส่งงานไว้ตั้งแต่แรกคือตอนปลายเทอม อย่างน้อยเธอก็มีเวลาทำงานอีกประมาณสองเดือนกว่า ซึ่งหญิงสาวคิดว่ามากพอที่จะทำงานจนสำเร็จเรียบร้อยไปได้

ทั้งหมดทั้งมวลนี้เธอไม่กล้าจะบอกกับคุณหญิงป้าว่าช่วงหลังๆ ที่ไปวังนฤบดินทราทิพย์นั้นไม่ได้ไปอ่านหนังสือกับท่านหญิง แต่ถูกใช้เป็น ‘ผู้ช่วย’ ของท่านพี่ของท่านหญิง โดยที่ท่านหญิงก็พยายามพาเธอออกมาอ่านหนังสือบ้าง หรือบางทีท่านชายก็ทรงอนุญาตให้เธอพาท่านหญิงไปตีเทนนิสบ้างเป็นครั้งคราว... ไม่บ่อย แค่สองครั้งเท่านั้น

ก็ขืนบอกคุณหญิงป้าสิ ท่านคงเอ็ดเอาว่าไปรบกวนท่านชาย แล้วจะพาลไม่ให้เธอไปทำรายงานเอา

...แหม... รุจิรดาก็ยังอยากจบพร้อมๆ กับเพื่อนอยู่นะ

“ช่างเถอะค่ะ รดาไปอาบน้ำก่อนดีกว่า” สุดท้ายหญิงสาวก็เอ่ยตัดบทเสียดื้อๆ ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้คุณหญิงลักขณวดีและแม่สายหันมาสบตากันอย่างสงสัย

“อิฉันว่า...” แม่สายทำเสียงไม่แน่ใจ “คุณหนูรดาเธอต้องมีอะไรมากไปกว่าการไปอ่านหนังสือที่วังของท่านหญิงแน่ๆ เจ้าค่ะ”

แม้จะคิดเหมือนกัน ทว่าผู้เป็นนายกลับมีรอยยิ้มน้อยๆ บนใบหน้าพลางถาม “ ‘อะไร’ ของแม่สายนี่มันคืออะไรล่ะ”

“อิฉันจะไปรู้ได้อย่างไรเจ้าคะคุณหญิง” คุณแม่บ้านพาลตวัดค้อน น้ำเสียงแง่งอน “แต่ช่วงก่อนคุณหนูรดาเธอก็ไปๆ มาๆ ที่วังจนอิฉันเริ่มโล่งใจแล้วว่าเธอมีเริ่มมีเพื่อนแล้ว ยิ่งรู้ว่าเป็นท่านหญิงอรกัญญาที่คนเฒ่าคนแก่เล่าลือกันว่างามรูปงามกิริยา อิฉันก็ยิ่งดีใจว่าบางทีคนของเราก็จะได้ ‘งาม’ อย่างท่านบ้าง แต่หลังๆ อิฉันดูเหมือนคุณหนูเธอจะไม่ค่อยกระตือรือร้นไปเท่าไหร่ หน้าตาเหมือนถูกบังคับไปเสียอย่างนั้น”

คุณหญิงลักขณานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยช้าๆ “ฉันก็สังเกตเหมือนกันนะ แต่จะทำอย่างไรล่ะ หากเด็กเขาจะคบกัน เป็นเพื่อนกัน มันก็เป็นเรื่องดีแล้วที่จะมีมิตรจิตมิตรใจต่อกันนี่นะ ถ้ารดาจะเจอปัญหาอะไรบ้าง ก็ต้องให้เขาแก้เองล่ะ”

“อ้าว! แล้วถ้าปัญหานั้นคือคุณหนูรดาไปพาท่านหญิงวังนั้นกระโดกกระเดกตามเสียล่ะเจ้าคะ อิฉันล่ะกลัวท่านชายท่านเสียเหลือเกิน คนของเราจะไปทำอะไรต่อหน้าท่านอิฉันยังไม่กังวลเท่ากับจะไปพาคนของท่านเป็นไปกับตัวด้วยน่ะสิเจ้าคะ”

“ก็ช่างเขา ถ้าเขาสร้างปัญหาเขาก็ต้องรับผิดชอบปัญหานั้นเอง” คุณหญิงเอ่ยยิ้มๆ หากแม่สายรู้ว่าทุกคำพูด หม่อมราชวงศ์ลักขณาวดีหมายความเช่นนั้นจริง “ส่วนเรื่องที่คนของเราจะไปพาคนของท่านเป็นไปด้วย ฉันคิดว่าท่านชายซึ่งเป็นอาจารย์ของยายรดาด้วยคงรู้วิธีกำราบคนของเราแน่นอน แม่สายไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก”


เมื่อลงจากรถที่ลุงชอบ คนขับรถประจำบ้านขับมาส่งถึงที่หน้าปากซอยแล้ว รุจิรดาก็ได้แต่ยืนรอสามล้อต่อไป

นอกจากมหาวิทยาลัย และสโมสรที่เธอชอบไปเล่นเทนนิส ขี่ม้า หรือยิงปืนแล้ว หญิงสาวก็ไม่เคยให้ลุงชอบขับไปส่งที่ไหนอีก มากที่สุดเธอก็ขอให้มาส่งที่หน้าปากซอย แล้วเธอจะต่อสามล้อหรือแท็กซี่ไปเอง

ไม่ใช่อะไร เพียงแต่รุจิรดาไม่อยากให้ใครรู้ว่าเธออยู่ที่ไหน ดังนั้นเพื่อตัดปัญหา ทุกครั้งที่มนต์ณัฐมาส่งที่บ้าน เธอจะอ้างว่าบ้านอยู่ที่ปากซอย เมื่อชายหนุ่มขับรถไปไกลแล้วนั่นล่ะเธอจึงค่อยเดินกลับบ้าน

หญิงสาวเหลือบมองนาฬิกาข้อมือก่อนจะเหลียวมองด้านซ้าย... นั่นอย่างไร... มาแล้ว

เสียงรถเบรกเอี๊ยดทำให้รุจิรดาเกือบจะยกมือขึ้นปิดหู เมื่อเข้าไปนั่งในรถแล้วคนขับจึงส่งเสียงทักทายอย่างรื่นเริง

“ทานกลางวันหรือยังรดา”

“นี่มันบ่ายสองโมงกว่าแล้ว ฉันไม่แขวนท้องรอทานพร้อมเธอหรอกย่ะ”

“อะไรกัน คนเขาอุตส่าห์เป็นห่วง กลัวจะหิวถึงถาม รู้อย่างนี้นะ...” ท้ายประโยคชายหนุ่มเพียงงึมงำในลำคอ เรียกสายตาขบขันของหญิงสาวให้ปรายตามองได้ครู่หนึ่ง

“งั้นเอาอย่างนี้ ตอนขากลับเราไปหาอะไรทานกันดีไหม ข้างบ้านฉันมีร้านอาหารเปิดใหม่ อร่อยมากเลยนะ”

“บ้านเธออยู่คนละทางกับบ้านฉันเลยไม่ใช่หรือ มีแต่วังของท่านหญิงที่อยู่ตรงกลาง ขนาดเวลาเธอจะมารับฉันยังต้องอ้อมเมืองมาเลย แล้วเราจะเสียเวลาอ้อมไปอ้อมมาอีกทำไม ไม่เอาล่ะ”

“อะไรจะตอบไร้เยื่อใยขนาดนั้นหนอ” มนต์ณัฐแกล้งโอด หากอีกฝ่ายกลับพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

“เป็นเพื่อนกัน จำเป็นต้องตอบมีเยื่อใยด้วยหรือ?”

ดวงตาสีน้ำตาลเข้มสลดลง หากยังไม่วายทำเสียงหยอกเย้า “โอ้ย! ปวดที่ตรงนี้ขึ้นมาเลยนะเนี่ย!”

คนว่าชี้มือไปที่หน้าอกด้านซ้ายของตนเองพลางทำสีหน้าเจ็บปวดสมจริง ทำให้คนมองหัวเราะเสียงใส

มนต์ณัฐหัวเราะประสานไปด้วย แม้ความเจ็บปวดที่แสดงออกไป... จะเป็นความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจริงๆ ก็ตาม


ร่างโปร่งบางขมวดคิ้วพลางเริ่มเคาะปากกาเบาๆ กับฝ่ามือตัวเอง ขณะที่ตาทั้งสองข้างยังจับอยู่ที่หนังสือตรงหน้าอย่างตั้งใจ

พักตร์คมเข้มเงยขึ้นจากหนังสือที่ทรงอยู่ ก่อนเนตรคมจะทอดปรายไปที่ใบหน้านวลที่ยังมุ่ยหน้า พลางเริ่มท่องทวนอะไรบางอย่างขมุบขมิบกับตนเองคล้ายไม่เข้าใจเสียที

สุดท้ายรุจิรดาจึงฟุบหน้าลงกับโต๊ะเล็กที่ท่านชายโปรดให้นำมาวางใกล้ๆ กับชั้นหนังสือเสียอย่างนั้น สุรเสียงทุ้มนุ่มจึงลอยมาให้ได้ยิน

“เลื้อยอย่างนั้น ชาติหน้าระวังเป็นงู”

คน ‘เลื้อย’ ผงกหัวขึ้นมองอีกฝ่ายก่อนพึมพำ “เคยได้ยินแค่นอนทานข้าวแล้วจะเป็นงู ไม่เห็นได้ยินแบบนี้มาก่อนเลย”

สุรเสียงนุ่มเข้มขึ้นเล็กน้อย “พึมพำอะไร?”

“เปล่าเพคะ” หญิงสาวตอบยานคางหน่อยๆ ก่อนอุบอิบเสียงเบากับตัวเองอย่างไม่ยอมเข็ด “กรรณดีชะมัด”

“เป็นหญิง ก็ต้องรู้จักรักษากิริยาให้งาม” รับสั่งเนิบๆ คล้ายท่องกับองค์เอง

“เมื่อจะจรนอนเดินดำเนินนั่ง จงระวังในจิตขนิษฐา
อย่าเหม่อเมินเดินให้ดีมีอัชฌา แม้นพลั้งพลาดบาทาจะอายคน
เห็นผู้ใหญ่หรือใครเขานั่งแน่น อย่าไกวแขนปัดเช่นไม่เห็นหน
ค่อยวอนว่าข้าขอจรดล นั่นแหละคนจึงจะมีปรานีนาง ”

รุจิรดาเหลือบมองเสี้ยวพักตร์คมเข้ม ก่อนจะเงยหน้านวลขึ้นทูลตรงๆ “ถึงว่า ฝ่าบาททรงไม่ ‘มีปรานีนาง’ เสียเลย คงเพราะหม่อมฉันไม่ได้ถูกลักษณะอย่างที่ทรงอยากทอด’เนตรกระมัง”

“รู้อย่างนั้นแล้วทำไมไม่ทำให้มันดีล่ะ มันจะเป็นการดีแก่ตัวเธอมากกว่า หากปฏิบัติตัวให้ดีกว่านี้” หม่อมเจ้าอดุลยวิทย์ยังรับสั่งเนิบๆ หากเนตรนิลส่องประกายล้ำลึก “ทำตัวเหมือนที่ฉัน ‘อยากทอด’เนตร’ ไม่ได้หรือ?”

ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเบิกกว้างเมื่อได้ยินท้ายรับสั่ง ใบหน้าส่อแววตะลึงงันของหญิงสาวทำให้วรองค์สูงรีบแก้คำโดยเร็ว “เพราะฉันเห็นว่าเธอเป็นลูกศิษย์ และเห็นว่าเป็นเพื่อนของหญิงอรหรอกนะ จึงเตือนด้วยความหวังดี”

พักตร์ที่มักเรียบเฉยอยู่เสมอนั้นยังคงความเฉยเมยดุจเดิม หากเนตรที่เหล่มองไปเสียอีกทางหนึ่ง ไม่สบหญิงสาวตรงๆ นั้นทำให้รุจิรดาต้องอมยิ้มด้วยความขบขัน

หลังจากที่ต้องมาอยู่ในห้องทรงงาน และกลายเป็น ‘ผู้ช่วย’ กลายๆ ของอาจารย์ ทำให้รุจิรดาได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับวรองค์สูงที่กำลังลุกขึ้นดำเนินไปทางชั้นวางหนังสือมากมาย

...ทรงติดกาแฟเสียจนบางทีเธอต้องปรามเอาหลายครั้ง และหากไม่เสวยกาแฟก็ทรงให้เธอชงโกโก้ให้ ด้วยทรงบอกว่าโกโก้ที่เธอชงนั้น ‘พอใช้ได้’

...โปรดที่จะทรงงานเสียจนลืมเสวย บางครั้งเธอที่ช่วยงานด้วยก็ต้องทูลเตือนบ้าง และก็ร้อนถึงเธอทุกทีที่ต้องเป็นคนยกเครื่องเสวยขึ้นมาถวายถึงที่

...บางครั้งท่านหญิงอรกัญญาก็รับสั่งเปรยๆ ว่าท่านพี่ของท่านทรงงานจนดึกดื่นเที่ยงคืน บรรทมดึกและตื่นเช้าไปสอน ดังนั้นรุจิรดาจึงไม่แปลกใจเลยที่บางครั้งพักตร์หล่อเหลาคมเข้มนั้นก็ซีดเซียวลงไปบ้าง

ที่แท้ก็ทรง ‘ปล่อยปละละเลย’ องค์เองเหมือนกัน ถึงแม้จะไม่ได้เป็นในเรื่องกิริยา แต่เธอก็ถือว่าการละเลยสุขภาพของตนเองนั้นร้ายแรงเท่ากับหรือมากกว่าการวางตัว ‘ไม่เป็นกุลสตรี’ อย่างเธอด้วยซ้ำไป

วรองค์สูงดำเนินกลายหน้าโต๊ะเธอไปยังชั้นหนังสือ ค้นกุกกักอยู่ครู่หนึ่งจึงทรงหยิบหนังสือเล่มหนาออกมา ก่อนจะดำเนินผ่านหน้าเธอไปอีกหน รุจิรดาฉุกคิดอะไรได้บางอย่าง หญิงสาวเหลียวมองนาฬิกาตั้งพื้นเรือนใหญ่ก่อนเอ่ย

“ฝ่าบาท เสวยเครื่องเที่ยงหรือยังเพคะ?”

“หือ?” ดำเนินไปถึงโต๊ะทรงงานแล้วจึงค่อยหันพักตร์กลับมาถาม “เที่ยงแล้วหรือ?”

นั่นปะไร...

“บ่ายสี่โมงกว่าๆ แล้วล่ะเพคะ” เธอบอกอย่างอ่อนอกอ่อนใจ พลางลุกขึ้นยืน “ประเดี๋ยวหม่อมฉันจะลงไปบอกให้แม่แผ้วเตรียมเครื่องเสวยนะเพคะ”

“อย่าลืมกาแฟด้วย” พักตร์เรียบเฉยดุจเดิมเมื่อรับสั่งขอกาแฟแก้วที่สองนับจากที่เธอมา เมื่อรับรู้ถึงสายตาขุ่นเคืองของหญิงสาว ก็ทรงเงยพักตร์ขึ้นมารับสั่งเรียบๆ “ถ้าอย่างนั้นก็โกโก้ก็ได้”

“เอาเป็นโกโก้ก็แล้วกันนะเพคะ”

รุจิรดาถอนหายใจน้อยๆ ก่อนเดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้เจ้าของห้องทอดพระเนตรตามด้วยแววเนตรล้ำลึก...

.....................
สวัสดีค่ะ

ไม่ได้มาลงนิยายเสียนาน พอดีส้มป่วย 555+ ต้องขอโทษด้วยนะคะ
คุยกันก่อนดีกว่าเนาะ

คุณ lovemuay อันนี้ส้มไม่แน่ใจนะคะ (อ้าว!) แต่ถามว่าชอบมั้ย คนงามทั้งนอกทั้งในขนาดนั้น ใครอยู่ใกล้ก็คงอดรู้สึกดีด้วยไม่ได้ล่ะค่ะ ^^

คุณ mhengihy ต่อไป...ไม่รู้ค่ะ (เล่นอย่างนี้เลยทีเดียว) 555+

คุณ ม่านฟ้า เขินเถอะค่ะ หวานสุดของส้ม ได้เท่านี้แหละ (เศร้าตัวเอง T^T)

คุณ ukkanirut พูดถึงนังเล็กๆ นี่ส้มพาลนึกถึงอารมณ์พวก 'นังเล็กๆ' ที่เอาใช้เรียกบรรดาภริยาน้อยทั้งหลายเลยนะคะนั่น 555+

คุณ หนอนฮับ นั่นแหละค่ะ เขินเถอะ หวานได้เท่านี้แล้วแหละ ^^

ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ ส้มอยากได้คอมเม้นท์ติชมด้วยน้า

รักคนอ่านทุกคนค่ะ

ปณัชญา



ปณัชญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 พ.ย. 2555, 01:34:03 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 พ.ย. 2555, 01:34:03 น.

จำนวนการเข้าชม : 3134





<< บทที่ 4 [2/2]   บทที่ 5 [2/2] >>
ukkanirut 5 พ.ย. 2555, 09:57:21 น.
แหมมม มีบอกใบ้ แบบที่อยากทอดเนตร


mhengjhy 5 พ.ย. 2555, 18:58:44 น.
55555

หลงรสมือนั้นไซร์ ยากจะถอนตัว


pattisa 6 พ.ย. 2555, 16:20:31 น.
ดูเเลอย่างดีเลยนะรุจิรดา อิอิ


ม่านฟ้า 7 พ.ย. 2555, 08:32:10 น.
พระอาจารย์เจ้าค่ะ ช่างหยิกช่างหยอดจริงๆ


lovemuay 7 พ.ย. 2555, 18:48:30 น.
แน่ะ ท่านอาจารย์ชักจะยังไงๆซะแล้ว


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account