ภิรมย์รัก
กุลสตรี!
รุจิรดาแอบเบ้ปากด้วยความเบื่อหน่ายปนขุ่นเคือง
หากนับว่าการที่เธอยื่นมือออกไปช่วยเหลือน้องสาวของ หม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์ นั้นไม่เป็นกุลสตรี
หญิงสาวก็ยอมรับตามความจริง
แต่เมื่อคนที่ชี้ความจริงข้อนี้ให้เธอรู้เป็นพี่ชายของคนที่เธอช่วยเอาไว้
หญิงสาวจึงรู้สึกเหมือนตนกำลังทำคุณบูชาโทษ
ต่อแต่นี้ไปก็อย่าได้มาเจอะมาเจอกันอีกเลยเป็นดีที่สุด!
หากภาวนาไปไม่พ้นสามวัน
คนที่เธอไม่อยากพบเจออีกในชาตินี้ กลับมาเป็นอาจารย์ของเธอเอง
คราวนี้คงต้องฟังแลกเชอร์ว่าด้วย “ความเป็นกุลสตรี” เสียจนหูชาแน่ๆ
เธอต้องหาทางหนีสถานเดียว!
แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร...
ยิ่งพยายามหนีให้ไกลจากดวงตาสีดำคูคมนั้นเท่าไหร่
กลับยิ่งเหมือนอีกฝ่ายจะไล่ตามมาไม่ปล่อยเสียอย่างนั้น!
รุจิรดาแอบเบ้ปากด้วยความเบื่อหน่ายปนขุ่นเคือง
หากนับว่าการที่เธอยื่นมือออกไปช่วยเหลือน้องสาวของ หม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์ นั้นไม่เป็นกุลสตรี
หญิงสาวก็ยอมรับตามความจริง
แต่เมื่อคนที่ชี้ความจริงข้อนี้ให้เธอรู้เป็นพี่ชายของคนที่เธอช่วยเอาไว้
หญิงสาวจึงรู้สึกเหมือนตนกำลังทำคุณบูชาโทษ
ต่อแต่นี้ไปก็อย่าได้มาเจอะมาเจอกันอีกเลยเป็นดีที่สุด!
หากภาวนาไปไม่พ้นสามวัน
คนที่เธอไม่อยากพบเจออีกในชาตินี้ กลับมาเป็นอาจารย์ของเธอเอง
คราวนี้คงต้องฟังแลกเชอร์ว่าด้วย “ความเป็นกุลสตรี” เสียจนหูชาแน่ๆ
เธอต้องหาทางหนีสถานเดียว!
แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร...
ยิ่งพยายามหนีให้ไกลจากดวงตาสีดำคูคมนั้นเท่าไหร่
กลับยิ่งเหมือนอีกฝ่ายจะไล่ตามมาไม่ปล่อยเสียอย่างนั้น!
Tags: ย้อนยุค,ศิษย์,อาจารย์,ท่านชาย,ท่านหญิง,ความรัก,พีเรียด
ตอน: บทที่ 5 [1/2]
ปัง! ปัง! ปัง!
ทุกครั้งที่มีเสียงปืนดังสนั่นมาจากทางด้านหลัง บรรดาสาวใช้ที่นั่งร้อยมาลัยถวายพระใกล้ๆ คุณหญิงลักขณาวดีเป็นต้องสะดุ้งขึ้นเป็นพักๆ ไม่ต่างจากคุณแม่บ้านที่แทบจะผวาเอามือซุกใบหน้าของตนลงกับฝ่ามือเสียทุกครั้งที่รุจิรดายิงปืนแต่ละนัด มีเพียงคุณหญิงเท่านั้นที่ยังเอนตัวลงครึ่งๆ กับตั่งและอ่านหนังสือที่อยู่ในมือได้อย่างปรกติสุขท่ามกลางเสียงหวีดเบาๆ ที่เล็ดลอดออกจากมือที่อุดปากไว้จนแน่นของบรรดาคนในห้องนั่งเล่น
จวบจนต้นตอที่ทำให้เกิดเสียงดังเดินเข้ามาในห้อง ร่างผอมบางของคุณแม่บ้านก็หันไปตวาดแหวเข้าให้
“คุณหนูรดา! อิฉันกับพวกสาวๆ พวกนี้จะหัวใจวายตายอยู่แล้วนะเจ้าคะ นี่ถ้าคุณหนูไม่หยุดยิงเสียก่อน พอกลับเข้าห้องนี้อีกทีคงทันได้มาสวดพวกอิฉันพอดีกระมัง”
“ไม่ถึงอย่างนั้นหรอกแม่สายจ๋า...” แม้จะหงุดหงิดเพียงใด หากคำตัดพ้อของแม่สายทำให้หญิงสาวยิ้มออกมาได้ในที่สุด “...รดาขอโทษนะจ๊ะที่ทำให้ตกใจกัน”
ท้ายประโยคร่างโปร่งบางยกมือกระพุ่มไหว้อีกฝ่ายอย่างน่ารัก ก่อนจะแย้มยิ้มสว่างไสวไปให้ทั่วห้อง “ฉันขอโทษนะจ๊ะที่ทำให้ตกใจ ขอโทษด้วยจริงๆ นะ”
“มะ... ไม่เป็นไรหรอกเจ้าคะคุณหนู” บรรดาสาวๆ ในห้องต่างพากันยิ้มตอบพลางเอ่ยยกโทษให้อย่างง่ายดาย ทั้งๆ ที่เมื่อครู่ก่อนต่างยังนึกขุ่นใจกับเสียงดังที่ทำให้ตนสะดุ้งจนทำงานพลาดอยู่แท้ๆ
แม่สายมองสีหน้าของสาวใช้แต่ละคนก่อนจะส่งเสียง “เฮอะ!” อย่างหมั่นไส้ เสียงนั้นทำให้คุณหญิงลักขณาวดีหันไปมองพลางหัวเราะน้อยๆ ด้วยความขบขันในสีหน้าคนสนิท
“อะไรกันแม่สาย... ขัดเคืองอะไรกันรึถึงไม่ยกโทษให้รดาเขาเสียอย่างนั้น”
“อิฉันยกโทษแล้วเป็นอย่างไรล่ะเจ้าคะ ยังไงคุณหนูเธอก็ทำอย่างเดิมอีกอยู่ดี ยกโทษให้บ่อยๆ อิฉันก็เหนื่อยเป็นเหมือนกันนี่เจ้าคะคุณหญิง”
“แหม... แม่สายจ๋า...” รุจิรดาเปลี่ยนท่านั่งจากที่พับเพียบใกล้ๆ เจ้าบ้านฝ่ายหญิงเป็นคลานเข้าไปหาแม่บ้านผู้ที่เธอนับถือประหนึ่งญาติสนิทอย่างนอบน้อม “รดาขอโทษนะจ๊ะ ยกโทษให้รดาเถอะนะ คราวนี้รดาหงุดหงิดนี่นา ไม่มีอะไรให้ทำระบายอารมณ์ รดาเลยต้องไปยิงปืนนี่จ๊ะ อีกอย่างปืนไม่เอามาทำความสะอาด ไม่ยิงบ่อยๆ นี่มันจะขัดลำกล้องได้ง่าย นานๆ เข้าเอามายิงทีหนึ่งมันจะระเบิดใส่เอา รดาเลยต้องเอาไปยิงเสียบ้าง”
แม่สายปรายตามองเขียวปั๊ด ก่อนค้อนขวับอย่างไม่ไว้หน้า “ทางแก้ที่ดีกว่านั้นคือไม่ต้องยิงเสียเลยสิเจ้าคะ ไม่ต้องเสี่ยงปืนแตกใส่ด้วย”
“ก็รดาหงุดหงิดนี่นา จะให้รดาทำอะไรล่ะ” หญิงสาวยังส่งเสียงออด ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนฉายแววออดอ้อนหวังให้อีกฝ่ายใจอ่อนลง หากแม่สายก็ยังไม่วายเหน็บ
“พวกที่แม่สาวๆ พวกนี้ทำอยู่ล่ะเจ้าคะ ไม่เห็นคุณหนูหยิบจับมาทำสักอย่างเดียว... อ๊ะๆ อย่าเถียงนะเจ้าคะว่าทำได้แล้ว” คุณแม่บ้านดักคอพลางสั่นศีรษะน้อยๆ เมื่อเห็นหญิงสาวขยับจะพูด “ทำได้แล้ว แต่ไม่ทำให้สม่ำเสมอ วิชาความรู้มันก็หายไปได้เหมือนกันนะเจ้าคะ อย่างที่คนโบราณท่านว่า
เจ็ดวันเว้นดีดซ้อม ดนตรี
อักขระห้าวันหนี เนิ่นช้า
สามวันจากนารี เป็นอื่น
วันเดียวเว้นล้างหน้า อับเศร้าหมองศรี
ขนาดซ้อมดนตรีรึเรียนหนังสือท่านก็ยังไม่ให้เว้นแม้ห้าวันเจ็ดวัน แล้วนี่คุณหนูไม่ได้หยิบจับงานพวกนี้กี่เดือนแล้ว ป่านนี้ไม่มือแข็งจับจีบกลีบดอกไม้ไม่ได้แล้วหรือเจ้าคะ?”
“ก็...” เมื่อเถียงไม่ออก ใบหน้านวลจึงได้แต่ยิ้มแป้นพลางหัวเราะน้อยๆ แล้วจึงเฉไฉไปเสีย “ก็เพราะทำไม่ชำนาญเท่าเดิมแล้วอย่างไรจึงไม่ทำอีก เพราะกลัวว่าถ้าทำแล้วจะทำให้กลีบดอกไม้สวยๆ พวกนี้ช้ำไปเสียหมดอย่างไรล่ะจ๊ะแม่สายจ๋า”
“ช่างเถียง อิฉันไม่พูดแล้วก็ได้” คนถูกอ้อนตวัดค้อนใส่ก่อนเชิดหน้าไม่มองอีก รุจิรดาจึงได้แต่หัวเราะดังมากยิ่งขึ้น คุณหญิงลักขณาวดีมองหลานสาวอย่างเอ็นดูก่อนจะเหลือบมองนาฬิกาลูกตุ้มเรือนใหญ่แล้วอุทาน
“ตายแล้วยายรดา ไหนว่าวันนี้บ่ายสามโมงต้องไปที่วังท่านหญิงอรอย่างไร นี่บ่ายโมงกว่าเกือบบ่ายสองแล้วหลานยังไม่เตรียมตัวอีกหรือ มานั่งหน้าตามอมแมมเหม็นดินปืนทำไมเนี่ย ไปๆ ไปอาบน้ำใหม่เดี๋ยวนี้เลย”
“โถคุณหญิงป้าขา ขอรดานั่งอยู่ตรงนี้อีกสักครู่ไม่ได้หรือคะ?”
“ไม่ได้” คุณหญิงลักขณาวดีผู้ซึ่งปกติแล้วจะโอนอ่อนผ่อนตามหลานเสียเป็นส่วนมากทำเสียงดุ “โตแล้วอย่ามาทำตัวเหลวไหล เรานัดท่านหญิงไว้ไม่ใช่หรือ ป่านนี้ท่านคงคอยแล้ว อะไรกัน... ปกติเห็นไปหาท่านหญิงก็ไปแต่โดยดีนี่นา ช่วงสองสามวันนี้เป็นอะไร ไม่กระตือรือร้นไปเสียอย่างนั้น”
“ก็...” รุจิรดาขยับจะเล่า หากชะงักเสียก่อน
ก็ตั้งแต่วันที่เธอ ‘ตกหลุมพราง’ ของท่านชายที่ทรงขุดล่อไว้ด้วยหนังสือที่เธอจำเป็นต้องใช้ ตั้งแต่วันนั้นก็เป็นเวลาเกือบสามอาทิตย์แล้วที่เธอจะต้องไปที่วังนฤบดินทราทิพย์เพื่อไปทำรายงานและ ‘ชงโกโก้’ ถวาย บางครั้งก็ถูกอาจารย์ของตนเองทรงใช้ให้เธอจัดหนังสือ เรียบเรียงงานแปลที่ทรงแปลหนังสือต่างประเทศมารวบรวม เพื่อจัดทำเป็นรูปเล่มสมบูรณ์เอาไว้ใช้ศึกษาหรืออ้างอิงในฉบับภาษาไทย ซึ่งช่วงหลังๆ มานี่รายงานเธอแทบจะไม่ก้าวหน้า เพราะมัวแต่ช่วยท่านชายเรียบเรียงงานเสียเป็นส่วนมาก
แต่ก็ยังดีที่ทรงรับสั่งเรื่องกำหนดส่งงานไว้ตั้งแต่แรกคือตอนปลายเทอม อย่างน้อยเธอก็มีเวลาทำงานอีกประมาณสองเดือนกว่า ซึ่งหญิงสาวคิดว่ามากพอที่จะทำงานจนสำเร็จเรียบร้อยไปได้
ทั้งหมดทั้งมวลนี้เธอไม่กล้าจะบอกกับคุณหญิงป้าว่าช่วงหลังๆ ที่ไปวังนฤบดินทราทิพย์นั้นไม่ได้ไปอ่านหนังสือกับท่านหญิง แต่ถูกใช้เป็น ‘ผู้ช่วย’ ของท่านพี่ของท่านหญิง โดยที่ท่านหญิงก็พยายามพาเธอออกมาอ่านหนังสือบ้าง หรือบางทีท่านชายก็ทรงอนุญาตให้เธอพาท่านหญิงไปตีเทนนิสบ้างเป็นครั้งคราว... ไม่บ่อย แค่สองครั้งเท่านั้น
ก็ขืนบอกคุณหญิงป้าสิ ท่านคงเอ็ดเอาว่าไปรบกวนท่านชาย แล้วจะพาลไม่ให้เธอไปทำรายงานเอา
...แหม... รุจิรดาก็ยังอยากจบพร้อมๆ กับเพื่อนอยู่นะ
“ช่างเถอะค่ะ รดาไปอาบน้ำก่อนดีกว่า” สุดท้ายหญิงสาวก็เอ่ยตัดบทเสียดื้อๆ ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้คุณหญิงลักขณวดีและแม่สายหันมาสบตากันอย่างสงสัย
“อิฉันว่า...” แม่สายทำเสียงไม่แน่ใจ “คุณหนูรดาเธอต้องมีอะไรมากไปกว่าการไปอ่านหนังสือที่วังของท่านหญิงแน่ๆ เจ้าค่ะ”
แม้จะคิดเหมือนกัน ทว่าผู้เป็นนายกลับมีรอยยิ้มน้อยๆ บนใบหน้าพลางถาม “ ‘อะไร’ ของแม่สายนี่มันคืออะไรล่ะ”
“อิฉันจะไปรู้ได้อย่างไรเจ้าคะคุณหญิง” คุณแม่บ้านพาลตวัดค้อน น้ำเสียงแง่งอน “แต่ช่วงก่อนคุณหนูรดาเธอก็ไปๆ มาๆ ที่วังจนอิฉันเริ่มโล่งใจแล้วว่าเธอมีเริ่มมีเพื่อนแล้ว ยิ่งรู้ว่าเป็นท่านหญิงอรกัญญาที่คนเฒ่าคนแก่เล่าลือกันว่างามรูปงามกิริยา อิฉันก็ยิ่งดีใจว่าบางทีคนของเราก็จะได้ ‘งาม’ อย่างท่านบ้าง แต่หลังๆ อิฉันดูเหมือนคุณหนูเธอจะไม่ค่อยกระตือรือร้นไปเท่าไหร่ หน้าตาเหมือนถูกบังคับไปเสียอย่างนั้น”
คุณหญิงลักขณานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยช้าๆ “ฉันก็สังเกตเหมือนกันนะ แต่จะทำอย่างไรล่ะ หากเด็กเขาจะคบกัน เป็นเพื่อนกัน มันก็เป็นเรื่องดีแล้วที่จะมีมิตรจิตมิตรใจต่อกันนี่นะ ถ้ารดาจะเจอปัญหาอะไรบ้าง ก็ต้องให้เขาแก้เองล่ะ”
“อ้าว! แล้วถ้าปัญหานั้นคือคุณหนูรดาไปพาท่านหญิงวังนั้นกระโดกกระเดกตามเสียล่ะเจ้าคะ อิฉันล่ะกลัวท่านชายท่านเสียเหลือเกิน คนของเราจะไปทำอะไรต่อหน้าท่านอิฉันยังไม่กังวลเท่ากับจะไปพาคนของท่านเป็นไปกับตัวด้วยน่ะสิเจ้าคะ”
“ก็ช่างเขา ถ้าเขาสร้างปัญหาเขาก็ต้องรับผิดชอบปัญหานั้นเอง” คุณหญิงเอ่ยยิ้มๆ หากแม่สายรู้ว่าทุกคำพูด หม่อมราชวงศ์ลักขณาวดีหมายความเช่นนั้นจริง “ส่วนเรื่องที่คนของเราจะไปพาคนของท่านเป็นไปด้วย ฉันคิดว่าท่านชายซึ่งเป็นอาจารย์ของยายรดาด้วยคงรู้วิธีกำราบคนของเราแน่นอน แม่สายไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก”
เมื่อลงจากรถที่ลุงชอบ คนขับรถประจำบ้านขับมาส่งถึงที่หน้าปากซอยแล้ว รุจิรดาก็ได้แต่ยืนรอสามล้อต่อไป
นอกจากมหาวิทยาลัย และสโมสรที่เธอชอบไปเล่นเทนนิส ขี่ม้า หรือยิงปืนแล้ว หญิงสาวก็ไม่เคยให้ลุงชอบขับไปส่งที่ไหนอีก มากที่สุดเธอก็ขอให้มาส่งที่หน้าปากซอย แล้วเธอจะต่อสามล้อหรือแท็กซี่ไปเอง
ไม่ใช่อะไร เพียงแต่รุจิรดาไม่อยากให้ใครรู้ว่าเธออยู่ที่ไหน ดังนั้นเพื่อตัดปัญหา ทุกครั้งที่มนต์ณัฐมาส่งที่บ้าน เธอจะอ้างว่าบ้านอยู่ที่ปากซอย เมื่อชายหนุ่มขับรถไปไกลแล้วนั่นล่ะเธอจึงค่อยเดินกลับบ้าน
หญิงสาวเหลือบมองนาฬิกาข้อมือก่อนจะเหลียวมองด้านซ้าย... นั่นอย่างไร... มาแล้ว
เสียงรถเบรกเอี๊ยดทำให้รุจิรดาเกือบจะยกมือขึ้นปิดหู เมื่อเข้าไปนั่งในรถแล้วคนขับจึงส่งเสียงทักทายอย่างรื่นเริง
“ทานกลางวันหรือยังรดา”
“นี่มันบ่ายสองโมงกว่าแล้ว ฉันไม่แขวนท้องรอทานพร้อมเธอหรอกย่ะ”
“อะไรกัน คนเขาอุตส่าห์เป็นห่วง กลัวจะหิวถึงถาม รู้อย่างนี้นะ...” ท้ายประโยคชายหนุ่มเพียงงึมงำในลำคอ เรียกสายตาขบขันของหญิงสาวให้ปรายตามองได้ครู่หนึ่ง
“งั้นเอาอย่างนี้ ตอนขากลับเราไปหาอะไรทานกันดีไหม ข้างบ้านฉันมีร้านอาหารเปิดใหม่ อร่อยมากเลยนะ”
“บ้านเธออยู่คนละทางกับบ้านฉันเลยไม่ใช่หรือ มีแต่วังของท่านหญิงที่อยู่ตรงกลาง ขนาดเวลาเธอจะมารับฉันยังต้องอ้อมเมืองมาเลย แล้วเราจะเสียเวลาอ้อมไปอ้อมมาอีกทำไม ไม่เอาล่ะ”
“อะไรจะตอบไร้เยื่อใยขนาดนั้นหนอ” มนต์ณัฐแกล้งโอด หากอีกฝ่ายกลับพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“เป็นเพื่อนกัน จำเป็นต้องตอบมีเยื่อใยด้วยหรือ?”
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มสลดลง หากยังไม่วายทำเสียงหยอกเย้า “โอ้ย! ปวดที่ตรงนี้ขึ้นมาเลยนะเนี่ย!”
คนว่าชี้มือไปที่หน้าอกด้านซ้ายของตนเองพลางทำสีหน้าเจ็บปวดสมจริง ทำให้คนมองหัวเราะเสียงใส
มนต์ณัฐหัวเราะประสานไปด้วย แม้ความเจ็บปวดที่แสดงออกไป... จะเป็นความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจริงๆ ก็ตาม
ร่างโปร่งบางขมวดคิ้วพลางเริ่มเคาะปากกาเบาๆ กับฝ่ามือตัวเอง ขณะที่ตาทั้งสองข้างยังจับอยู่ที่หนังสือตรงหน้าอย่างตั้งใจ
พักตร์คมเข้มเงยขึ้นจากหนังสือที่ทรงอยู่ ก่อนเนตรคมจะทอดปรายไปที่ใบหน้านวลที่ยังมุ่ยหน้า พลางเริ่มท่องทวนอะไรบางอย่างขมุบขมิบกับตนเองคล้ายไม่เข้าใจเสียที
สุดท้ายรุจิรดาจึงฟุบหน้าลงกับโต๊ะเล็กที่ท่านชายโปรดให้นำมาวางใกล้ๆ กับชั้นหนังสือเสียอย่างนั้น สุรเสียงทุ้มนุ่มจึงลอยมาให้ได้ยิน
“เลื้อยอย่างนั้น ชาติหน้าระวังเป็นงู”
คน ‘เลื้อย’ ผงกหัวขึ้นมองอีกฝ่ายก่อนพึมพำ “เคยได้ยินแค่นอนทานข้าวแล้วจะเป็นงู ไม่เห็นได้ยินแบบนี้มาก่อนเลย”
สุรเสียงนุ่มเข้มขึ้นเล็กน้อย “พึมพำอะไร?”
“เปล่าเพคะ” หญิงสาวตอบยานคางหน่อยๆ ก่อนอุบอิบเสียงเบากับตัวเองอย่างไม่ยอมเข็ด “กรรณดีชะมัด”
“เป็นหญิง ก็ต้องรู้จักรักษากิริยาให้งาม” รับสั่งเนิบๆ คล้ายท่องกับองค์เอง
“เมื่อจะจรนอนเดินดำเนินนั่ง จงระวังในจิตขนิษฐา
อย่าเหม่อเมินเดินให้ดีมีอัชฌา แม้นพลั้งพลาดบาทาจะอายคน
เห็นผู้ใหญ่หรือใครเขานั่งแน่น อย่าไกวแขนปัดเช่นไม่เห็นหน
ค่อยวอนว่าข้าขอจรดล นั่นแหละคนจึงจะมีปรานีนาง ”
รุจิรดาเหลือบมองเสี้ยวพักตร์คมเข้ม ก่อนจะเงยหน้านวลขึ้นทูลตรงๆ “ถึงว่า ฝ่าบาททรงไม่ ‘มีปรานีนาง’ เสียเลย คงเพราะหม่อมฉันไม่ได้ถูกลักษณะอย่างที่ทรงอยากทอด’เนตรกระมัง”
“รู้อย่างนั้นแล้วทำไมไม่ทำให้มันดีล่ะ มันจะเป็นการดีแก่ตัวเธอมากกว่า หากปฏิบัติตัวให้ดีกว่านี้” หม่อมเจ้าอดุลยวิทย์ยังรับสั่งเนิบๆ หากเนตรนิลส่องประกายล้ำลึก “ทำตัวเหมือนที่ฉัน ‘อยากทอด’เนตร’ ไม่ได้หรือ?”
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเบิกกว้างเมื่อได้ยินท้ายรับสั่ง ใบหน้าส่อแววตะลึงงันของหญิงสาวทำให้วรองค์สูงรีบแก้คำโดยเร็ว “เพราะฉันเห็นว่าเธอเป็นลูกศิษย์ และเห็นว่าเป็นเพื่อนของหญิงอรหรอกนะ จึงเตือนด้วยความหวังดี”
พักตร์ที่มักเรียบเฉยอยู่เสมอนั้นยังคงความเฉยเมยดุจเดิม หากเนตรที่เหล่มองไปเสียอีกทางหนึ่ง ไม่สบหญิงสาวตรงๆ นั้นทำให้รุจิรดาต้องอมยิ้มด้วยความขบขัน
หลังจากที่ต้องมาอยู่ในห้องทรงงาน และกลายเป็น ‘ผู้ช่วย’ กลายๆ ของอาจารย์ ทำให้รุจิรดาได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับวรองค์สูงที่กำลังลุกขึ้นดำเนินไปทางชั้นวางหนังสือมากมาย
...ทรงติดกาแฟเสียจนบางทีเธอต้องปรามเอาหลายครั้ง และหากไม่เสวยกาแฟก็ทรงให้เธอชงโกโก้ให้ ด้วยทรงบอกว่าโกโก้ที่เธอชงนั้น ‘พอใช้ได้’
...โปรดที่จะทรงงานเสียจนลืมเสวย บางครั้งเธอที่ช่วยงานด้วยก็ต้องทูลเตือนบ้าง และก็ร้อนถึงเธอทุกทีที่ต้องเป็นคนยกเครื่องเสวยขึ้นมาถวายถึงที่
...บางครั้งท่านหญิงอรกัญญาก็รับสั่งเปรยๆ ว่าท่านพี่ของท่านทรงงานจนดึกดื่นเที่ยงคืน บรรทมดึกและตื่นเช้าไปสอน ดังนั้นรุจิรดาจึงไม่แปลกใจเลยที่บางครั้งพักตร์หล่อเหลาคมเข้มนั้นก็ซีดเซียวลงไปบ้าง
ที่แท้ก็ทรง ‘ปล่อยปละละเลย’ องค์เองเหมือนกัน ถึงแม้จะไม่ได้เป็นในเรื่องกิริยา แต่เธอก็ถือว่าการละเลยสุขภาพของตนเองนั้นร้ายแรงเท่ากับหรือมากกว่าการวางตัว ‘ไม่เป็นกุลสตรี’ อย่างเธอด้วยซ้ำไป
วรองค์สูงดำเนินกลายหน้าโต๊ะเธอไปยังชั้นหนังสือ ค้นกุกกักอยู่ครู่หนึ่งจึงทรงหยิบหนังสือเล่มหนาออกมา ก่อนจะดำเนินผ่านหน้าเธอไปอีกหน รุจิรดาฉุกคิดอะไรได้บางอย่าง หญิงสาวเหลียวมองนาฬิกาตั้งพื้นเรือนใหญ่ก่อนเอ่ย
“ฝ่าบาท เสวยเครื่องเที่ยงหรือยังเพคะ?”
“หือ?” ดำเนินไปถึงโต๊ะทรงงานแล้วจึงค่อยหันพักตร์กลับมาถาม “เที่ยงแล้วหรือ?”
นั่นปะไร...
“บ่ายสี่โมงกว่าๆ แล้วล่ะเพคะ” เธอบอกอย่างอ่อนอกอ่อนใจ พลางลุกขึ้นยืน “ประเดี๋ยวหม่อมฉันจะลงไปบอกให้แม่แผ้วเตรียมเครื่องเสวยนะเพคะ”
“อย่าลืมกาแฟด้วย” พักตร์เรียบเฉยดุจเดิมเมื่อรับสั่งขอกาแฟแก้วที่สองนับจากที่เธอมา เมื่อรับรู้ถึงสายตาขุ่นเคืองของหญิงสาว ก็ทรงเงยพักตร์ขึ้นมารับสั่งเรียบๆ “ถ้าอย่างนั้นก็โกโก้ก็ได้”
“เอาเป็นโกโก้ก็แล้วกันนะเพคะ”
รุจิรดาถอนหายใจน้อยๆ ก่อนเดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้เจ้าของห้องทอดพระเนตรตามด้วยแววเนตรล้ำลึก...
.....................
สวัสดีค่ะ
ไม่ได้มาลงนิยายเสียนาน พอดีส้มป่วย 555+ ต้องขอโทษด้วยนะคะ
คุยกันก่อนดีกว่าเนาะ
คุณ lovemuay อันนี้ส้มไม่แน่ใจนะคะ (อ้าว!) แต่ถามว่าชอบมั้ย คนงามทั้งนอกทั้งในขนาดนั้น ใครอยู่ใกล้ก็คงอดรู้สึกดีด้วยไม่ได้ล่ะค่ะ ^^
คุณ mhengihy ต่อไป...ไม่รู้ค่ะ (เล่นอย่างนี้เลยทีเดียว) 555+
คุณ ม่านฟ้า เขินเถอะค่ะ หวานสุดของส้ม ได้เท่านี้แหละ (เศร้าตัวเอง T^T)
คุณ ukkanirut พูดถึงนังเล็กๆ นี่ส้มพาลนึกถึงอารมณ์พวก 'นังเล็กๆ' ที่เอาใช้เรียกบรรดาภริยาน้อยทั้งหลายเลยนะคะนั่น 555+
คุณ หนอนฮับ นั่นแหละค่ะ เขินเถอะ หวานได้เท่านี้แล้วแหละ ^^
ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ ส้มอยากได้คอมเม้นท์ติชมด้วยน้า
รักคนอ่านทุกคนค่ะ
ปณัชญา
ปณัชญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 พ.ย. 2555, 01:34:03 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 พ.ย. 2555, 01:34:03 น.
จำนวนการเข้าชม : 3134
<< บทที่ 4 [2/2] | บทที่ 5 [2/2] >> |
ukkanirut 5 พ.ย. 2555, 09:57:21 น.
แหมมม มีบอกใบ้ แบบที่อยากทอดเนตร
แหมมม มีบอกใบ้ แบบที่อยากทอดเนตร
pattisa 6 พ.ย. 2555, 16:20:31 น.
ดูเเลอย่างดีเลยนะรุจิรดา อิอิ
ดูเเลอย่างดีเลยนะรุจิรดา อิอิ
ม่านฟ้า 7 พ.ย. 2555, 08:32:10 น.
พระอาจารย์เจ้าค่ะ ช่างหยิกช่างหยอดจริงๆ
พระอาจารย์เจ้าค่ะ ช่างหยิกช่างหยอดจริงๆ
lovemuay 7 พ.ย. 2555, 18:48:30 น.
แน่ะ ท่านอาจารย์ชักจะยังไงๆซะแล้ว
แน่ะ ท่านอาจารย์ชักจะยังไงๆซะแล้ว