ภิรมย์รัก
กุลสตรี!

รุจิรดาแอบเบ้ปากด้วยความเบื่อหน่ายปนขุ่นเคือง
หากนับว่าการที่เธอยื่นมือออกไปช่วยเหลือน้องสาวของ หม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์ นั้นไม่เป็นกุลสตรี
หญิงสาวก็ยอมรับตามความจริง
แต่เมื่อคนที่ชี้ความจริงข้อนี้ให้เธอรู้เป็นพี่ชายของคนที่เธอช่วยเอาไว้
หญิงสาวจึงรู้สึกเหมือนตนกำลังทำคุณบูชาโทษ
ต่อแต่นี้ไปก็อย่าได้มาเจอะมาเจอกันอีกเลยเป็นดีที่สุด!

หากภาวนาไปไม่พ้นสามวัน
คนที่เธอไม่อยากพบเจออีกในชาตินี้ กลับมาเป็นอาจารย์ของเธอเอง
คราวนี้คงต้องฟังแลกเชอร์ว่าด้วย “ความเป็นกุลสตรี” เสียจนหูชาแน่ๆ
เธอต้องหาทางหนีสถานเดียว!

แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร...
ยิ่งพยายามหนีให้ไกลจากดวงตาสีดำคูคมนั้นเท่าไหร่
กลับยิ่งเหมือนอีกฝ่ายจะไล่ตามมาไม่ปล่อยเสียอย่างนั้น!

Tags: ย้อนยุค,ศิษย์,อาจารย์,ท่านชาย,ท่านหญิง,ความรัก,พีเรียด

ตอน: บทที่ 5 [2/2]

“กระหม่อมเสียใจจริงๆ นะ...”

เสียงคร่ำครวญพร้อมกับทอดถอนหายใจเป็นครั้งที่เท่าใด ท่านหญิงก็ทรงจำไม่ได้เสียแล้ว หากมนต์ณัฐก็ยังไม่หยุดพูดประโยคถัดไป “เขาเย็นชากับกระหม่อมที่สุดเลย!”

“ไม่เป็นไรนะ รดาเขาคงไม่ได้ตั้งใจ”

...ใช่ รุจิรดาคงไม่ตั้งใจที่จะทำให้คนที่อยู่ตรงหน้าพักตร์นวลเจ็บปวด แต่ชายหนุ่มก็ไม่เคยรู้เลยเช่นกันว่าเขานี่ล่ะ... ที่กำลังทำให้ทรงเจ็บปวดมากขึ้นไปทุกที

“อย่างนี้ต้องเรียกว่าเขาไม่เห็นใจกระหม่อม” ร่างสูงมุ่ยหน้าบึ้งตึง พลิกหนังสือไปมาเหมือนไม่ได้ตั้งใจอ่าน

ท่านหญิงอรกัญญาถอนปัสสาสะ ยาว ไม่รู้จะรับสั่งอย่างไรให้เขารื่นเริงขึ้นมาได้บ้าง สุดท้ายจึงทรงลุกขึ้นก่อนจะรับสั่งถาม

“เดี๋ยวหญิงไปเอาขนมมาให้ดีกว่า เอาช็อกโกแลตไหมณัฐ ทานของหวานๆ จะได้อารมณ์ดีขึ้นนะ”

“ไม่ล่ะ ท่านพี่ของท่านหญิงก็ชอบโกโก้ ช็อกโกแลตใช่ไหม เห็นรดาเขาต้องจัดถวายตลอดเลย... เหอะ! ทีเราทำให้ไม่ได้!”

“เอ่อ... อย่างนั้นหญิงไปเอาอย่างอื่นให้ดีกว่า ไม่เอาช็อกโกแลตก็ได้”

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองพักตร์งามที่ฉายแววลำบากพระทัยเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มอ่อนๆ ให้ “ขอบพระทัยกระหม่อม วันนี้กระหม่อมอารมณ์ไม่ดี คงทำให้ฝ่าบาทลำบากพระทัยสินะ...”

ไม่ทันที่ท่านหญิงอรกัญญาจะรับสั่งอะไร อีกฝ่ายก็ลุกขึ้นพลางเอ่ยยิ้มๆ “ไปกันเถอะกระหม่อม”

“ปะ... ไปไหน?” รับสั่งฉงนฉงาย

“ไปเที่ยวกัน หนีรดาดีกว่า ไหนๆ เขาก็ต้องขลุกอยู่ข้างบน เราไปเที่ยวเล่นให้ยายนั่นอิจฉากันเถอะ”

ท่านหญิงอรกัญญาอ้าโอษฐ์ค้าง เบิกเนตรกลมโตอย่างตกพระทัย แม้ว่าจะถูกมนต์ณัฐที่ยังยิ้มเจ้าเล่ห์รุนแผ่นหลังบางให้ออกดำเนินไปก็ตาม เมื่อได้สติก็ทรงเบี่ยงองค์ออกทันควัน “เดี๋ยวณัฐ เดี๋ยว!”

“อะไรฝ่าบาท?” ชายหนุ่มทำหน้าฉงน “ต้องรีบไปนะ จะได้กลับมาทันช่วงอาหารเย็นอย่างไรล่ะ”

“ไม่ใช่อย่างนั้น” ขนงงามขมวดมุ่น “เอ่อ... คือเราว่าทำอย่างนี้มันไม่ดี ท่านพี่จะว่าเอาได้ แล้วไหนยังรดา...”

“เราก็รีบไปรีบกลับสิกระหม่อม ไม่มีใครรู้หรอกว่าเราหายไป ก็ทรงห้ามไม่ให้พวกคนใช้มายุ่มย่ามแถวในสวนแล้วนี่นา ไม่มีใครเห็นว่าเราอยู่หรือไม่อยู่แล้วล่ะ ส่วนเรื่องท่านชาย...” ใบหน้าคมฉายแววเจ้าเล่ห์ ริมฝีปากบางยกยิ้มมุมปากพร้อมกับขยิบตาอย่างขี้เล่น “เราก็อย่าให้ท่านรู้สิ ยายรดาก็เหมือนกัน”

“เอ้อ...”

“ไปเถอะน่า กระหม่อมเบื่ออ่านหนังสือแล้ว ขอไปหาอะไรทำคลายเครียดก่อนเถอะ ทรงรู้ใจกระหม่อมมากที่สุด เพราะฉะนั้นไปกับกระหม่อมเถอะนะ...นะๆ”

มนต์ณัฐยื่นไม้ตายด้วยการทำเสียงโอด ดวงตาพราวระยับกระพริบปริบๆ อย่างน่าสงสาร ทำให้อีกฝ่ายไม่กล้าที่จะปฏิเสธ ทำได้เพียงพยักพักตร์น้อยๆ ก่อนที่จะอุทานเสียงเบาเมื่อชายหนุ่มที่ยิ้มร่าคว้าหัตถ์นุ่มก่อนดึงไปโดยเร็ว

เนตรงามปรายมองมือใหญ่ที่โอบกระชับหัตถ์เล็กบางเอาไว้ด้วยความรู้สึกอันหลากหลายที่ทรงอธิบายไม่ถูก ที่แน่ๆ หทัยดวงน้อยคล้ายจะเต้นระรัว สูบฉีดโลหิตให้เรื่ออยู่บนปรางนวลอยู่อย่างนั้น



รถยนต์คันนั้นดูเหมือนขับไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย

“อยากไปไหนเป็นพิเศษหรือเปล่ากระหม่อม?”

มนต์ณัฐถามขึ้นเมื่อเห็นสีพระพักตร์ที่ยังมีรอยกังวลจางๆ ก่อนจะเอ่ยปลอบ “อย่ากังวลเลยกระหม่อม อีกประเดี๋ยวเราก็กลับกันแล้ว”

“เปล่า หญิงไม่ได้กังวลอะไรนะ” พักตร์งามแย้มสรวลอ่อนหวาน นิลเนตรทั้งคู่ส่องประกายสดใสคล้ายนกหลุดจากกรง “แค่กำลังคิดว่าณัฐกำลังจะพาหญิงไปที่ไหนต่างหาก”

“จริงสินะ...” ร่างสูงขมวดคิ้วน้อยๆ นิ้วเรียวเคาะลงบนพวงมาลัยแผ่วเบา “อ้อ! คิดออกแล้ว”

“อยากไปไหนหรือ?”

“ไม่อยากไปไหนเป็นพิเศษเลยซักที่” ชายหนุ่มตอบหน้าตาย ก่อนจะหัวเราะเบาๆ เมื่อวรองค์บางหันขวับมามองอย่างรวดเร็ว “แต่อยากรู้ว่าฝ่าบาทอยากไปไหนมากกว่า”

พักตร์งามก้มงุด รอยแดงที่เรื่อขึ้นสองปรางทำให้คนมองยิ้มมากขึ้นไปอีก

...งามขนาดนี้ คงมีใครมาฝากรักหลายคนแล้วกระมัง

ความคิดที่แวบเข้ามาทำให้ร่างสูงร้อนรุ่มอย่างประหลาด นึกเขม่นชายที่หมายปองดอกฟ้าดอกนี้อยู่ในใจ ทั้งๆ ที่ตนเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายเป็นใคร มีตัวตนหรือไม่...

...รู้แต่ว่าหากใครเข้ามา ‘หมายปอง’ เพื่อนคนนี้ของเขาแล้วล่ะก็ เขาคง... ยอมไม่ได้

ใบหน้าคมเครียดน้อยๆ หากเมื่ออีกฝ่ายเงยพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรก็แย้มยิ้มเป็นปกติ

“หญิงก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอยากไปไหน... หญิงไม่ค่อยได้ไปไหนน่ะค่ะ ณัฐคงอึดอัดแย่ที่หญิงไม่รู้จักที่เที่ยวหรืออะไรเลย”

“โอ้ย ไม่หรอกกระหม่อม อย่าคิดมาก” คราวนี้มนต์ณัฐยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ “กระหม่อมเข้าใจนะ ท่านชายทรงเคร่งครัดออกอย่างนั้น ท่านหญิงคงต้องอดทนมากเลย”

“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกนะ ที่พี่ชายไม่อยากให้หญิงทำอะไรมากก็เพราะว่ามีเหตุจำเป็น”

“เหตุจำเป็นอะไรล่ะ กระหม่อมเห็นว่ามีแต่เหตุผลที่ว่าไม่เหมาะไม่ควรทั้งนั้น... เอ้อ... ขอประทานอภัยกระหม่อม” ต้นประโยคชายหนุ่มพูดขึงขังแสดงความขุ่นเคือง แต่ท้ายประโยคกลับเสียงเบาลงคล้ายคิดได้ว่าคนที่ตนเอ่ยถึงด้วยความขัดเคืองนั้นเป็น ‘ท่านพี่’ ของคนข้างๆ นี่เอง “แล้วตกลงมีเหตุผลอะไรที่ทรงห้ามฝ่าบาทเอาไว้ล่ะ?”

“เอ่อ...” ท่านหญิงอรกัญญาขยับจะรับสั่ง ทว่ากลับทรงเงียบเสีย “ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าวันนี้เราเที่ยวให้สนุกก็แล้วกัน”

มนต์ณัฐยิ้มพราย รู้สึกดีใจที่เห็นอีกฝ่ายแย้มสรวลออกมาเต็มที่ เนตรงามหลับพริ้มด้วยความอิ่มเอมพระทัยเมื่อลมเย็นๆ พัดเข้ามากระทบพักตร์ ปอยเกศาบางเบาปลิวระมาโดนแถวต้นแขนล่ำสันเบาๆ เพียงเท่านั้นก็ทำให้หัวใจเต้นรัวประหลาด

...รอยอบอุ่นบางอย่างแผ่ซ่านเข้าจับหัวใจช้าๆ

เมื่อรู้สึกตัว ใบหน้าคมก็เปลี่ยนเป็นจริงจังเล็กน้อย ก่อนพยักหน้าเห็นชอบกับรับสั่ง “จริงของฝ่าบาท”

ชายหนุ่มขับรถผ่านสวนสาธารณะเขียวชอุ่ม อากาศในฤดูหนาวทำให้ดอกไม้ยังบานไสวคล้ายแย้มยิ้มกับแสงอาทิตย์สายันต์อ่อนละมุน รถยุโรปคันงามค่อยๆ แล่นไปเทียบบาทวิถีแล้วจอดนิ่งสนิท

“ลงไปเดินเล่นหน่อยไหมฝ่าบาท”

“ดีเหมือนกัน” ท่านหญิงอรกัญญาพยักพักตร์น้อยๆ พลางทำท่าจะลงจากรถเอง หากร่างสูงเอ่ยห้ามจริงจัง “อ๊ะๆ วันนี้ขอกระหม่อมเป็นสุภาพบุรุษสักวันหนึ่งก็แล้วกัน”

พูดจบก็กระวีกระวาดเปิดประตูออกจากรถ ทิ้งให้วรองค์งามประทับนั่งรอรับการปรนนิบัติจาก ‘สุภาพบุรุษ’ หากนิลเนตรคู่งามกลับทอดพระเนตรไปเจอกระเป๋าหนังใส่เงินสีดำสนิทเปิดอ้าอยู่ แลเห็นบัตรประจำตัวประชาชน ที่แลบออกมาจากกระเป๋า หัตถ์เรียวหยิบขึ้นมาอย่างไม่คิดอะไร

“เชิญเสด็จกระหม่อม”

น้ำเสียงร่าเริงพร้อมกับใบหน้ายิ้มแย้มของเจ้าของกระเป๋าทำให้ท่านหญิงอรกัญญาแย้มสรวลตอบ ก่อนจะลงจากรถมายืนข้างๆ ชายหนุ่มแล้วยื่นกระเป๋าให้

“ระวังหน่อยสิคะ กระเป๋าเงินหากเก็บไม่ดีจะหายได้นะคะ”

ชายหนุ่มทำตาโต เอื้อมมือมารับกระเป๋าอย่างยินดี “ขอบพระทัย เกือบหายเสียแล้วสิ... ไปกันเถอะฝ่าบาท ทางนั้นมีสระบัวด้วยล่ะ ทรงอยากได้ดอกบัวไหมกระหม่อม?”

“ทำไมหรือ หญิงอยากได้แล้วณัฐจะเก็บให้หรือเปล่าล่ะ?” วรองค์บางสรวลสุรเสียงหวานคล้ายระฆังแก้ว เนตรงามหลิ่วล้อเลียนเพื่อนชายอย่างที่นานๆ จะได้เห็นเป็นบุญตาเสียที

“แหม... มีหรือมนต์ณัฐคนนี้จะกล้าขัดพระทัย หากไม่ใช่ดาวหรือเดือน กระหม่อมก็จะพยายามหามาถวายให้สมพระประสงค์จงได้นั่นแหละ”

ชายหนุ่มพูดพลางใช้มือตบหน้าอกตนเอง ใบหน้ายกยิ้มมาดมั่นคล้ายจะบอกว่า ‘เชื่อมือได้แน่นอน’

ท่านหญิงอรกัญญาแย้มสรวลอ่อนหวานให้อีกฝ่าย พร้อมรับสั่ง ‘ใช้’ อย่างรวดเร็ว “อย่างนั้นไปกันเถอะ หญิงอยากได้สายบัวไปแกงให้ท่านพี่เหวย”

“รับบัญชากระหม่อม!”

ทั้งคู่ออกเดินเคียงกันอย่างร่าเริง ท่ามกลางกลิ่นหอมรื่นของดอกโมกข์ขาวละมุน ที่ร่วงพราวคล้ายโปรยปรายเพื่ออวยพรคนสองคนที่อยู่เคียงข้างกัน

หทัยดวงน้อยของท่านหญิงอรกัญญาคล้ายถูกรัดรึงไปด้วยความอ่อนหวานจากคนข้างกายเสียแล้ว...



รุจิรดาเขย่งเท้า มือเรียวพยายามเอื้อมให้ถึงหนังสือเล่มหนึ่งที่อยู่สูงขึ้นไปบนชั้นวางหนังสือ

หม่อมเจ้าอดุลยวิทย์รับสั่งให้หญิงสาวเตรียมหนังสือที่จะทรงใช้ประกอบการอ้างอิง ก่อนที่จะไปเสวยกระยาหารที่ห้องนั่งเล่นซึ่งอยู่ถัดจากห้องทรงงาน... ก็กระยาหารที่เธอเตรียมให้อย่างง่ายๆ นั่นล่ะ

ก็ช่วยไม่ได้... หญิงสาวถอนหายใจแล้ววางหนังสือในมือลงบนโต๊ะของตนเอง ก่อนจะหันไปพยายามคว้าหนังสือให้ได้อีกครั้ง... หลังๆ มานี่ท่านชายเสวยเวลานี้ตลอด ทรงงานจนถึงเวลาบ่ายแก่ๆ จนถ้าเธอไม่เตือนเอาก็คงจะเลยไปเสวยเย็นเสียทีเดียว เห็นท่าเธอคงต้องถามแม่แผ้ว คนสนิทของท่านหญิงและแม่ครัวเอกของที่นี่บ้างเสียแล้ว ว่าทำไมถึงเวลาเที่ยงจึงไม่มาเตือนให้เจ้านายเสวยเสียบ้าง

จะว่าไปสองสามวันมานี่ก็เป็นเธออีกที่ปรุงกระยาหารอย่างง่ายๆ ถวาย อย่างวันก่อนก็ไข่ดาวธรรมดาๆ สองฟอง เมื่อวานก็เหมือนจะเป็นผัดผักง่ายๆ วันนี้ยิ่งแล้วใหญ่ เธอถึงกลับกล้าผัดข้าวให้อีกฝ่ายเสวย!

แต่ก็เป็นเพราะท่านชายเองนั่นล่ะที่บอกเธอแค่ว่าหากไม่เจอแม่แผ้วก็ไม่ต้อง ‘หา’ อะไรมาให้เสวยก็ได้ รุจิรดาเลยไม่ ‘หา’ แต่ลงมือทำเอง โดยที่มีรับสั่งอนุญาตแค่

‘ทำมาก็ได้ อย่างน้อยก็กินกันตายได้’

ก็คงจะ ‘กินกันตาย’ ได้อยู่ ถึงทรงมีพระชนม์ถึงทุกวันนี้อย่างไรล่ะ!

ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนจะทรงพึ่งฝีมือเธอ ‘กันตาย’ มาหลายวันแล้วด้วย

ช่างเถอะ หยิบหนังสือเล่มนี้ให้ได้ดีกว่า...

เมื่อเขย่งแล้วยังไม่ได้ หญิงสาวก็หันไปมองรอบๆ แต่เก้าอี้ในห้องนั้นล้วนแต่มีน้ำหนักมาก หากจะลากมาตรงนี้คงจะเกิดรอยที่พรมเป็นแน่ ร่างสูงโปร่งนิ่งคิดสักพัก ก่อนจะหันไปรอบๆ อีกครั้ง แล้วเริ่ม... กระโดด

...คว้าได้เสียทีเถอะน่า...

รุจิรดาคิดพลางกระโดดอีกครั้ง มือบางเอื้อมออกไปแตะสันหนังสือได้... พร้อมๆ กับที่อุ้งหัตถ์หนาของใครบางคนวางทาบทับปลายนิ้วเรียวสนิทแน่น

ร่างโปร่งสะดุ้งเฮือก ปลายนิ้วสะบัดออกจากการเกาะกุมที่แสนบังเอิญนั้น แรงเสียจนทำให้หนังสือหนาหนักที่อยู่บนชั้นร่วงกราวลงมาดุจสายฝน

“ระวัง!”

หญิงสาวอึ้งงัน ไม่ทันได้ขยับตัวหนีก็รู้สึกถึงแรงรัดรึงบริเวณเอวบาง แผ่นหลังจะเข้าไปซุกกับอกกว้าง เจ้าของอ้อมกอดอบอุ่นเบี่ยงร่างในอ้อมกอดให้ห่างจากหนังสือที่ร่วงหล่น ก่อนที่สุรเสียงนุ่มที่ฟังดูห้วนห้าวต่างไปจากเคยจะดังอยู่ชิดขมับ

ใกล้เสียจนร่างโปร่งรู้สึกได้ถึงลมหายพระทัยร้อนผ่าวที่กระชั้นถี่ขึ้นด้วยความตกพระทัย กระทบกับขมับและใบหูของเธอแผ่วเบา...

“ทำอะไรของเธอ! เกือบบาดเจ็บแล้วรู้หรือไม่! แล้วนี่โดนอะไรบ้างไหม” แม้จะไม่ได้ตวาด หากท้ายประโยคกลับลงเสียงหนักให้รู้ว่ากำลังไม่พอพระทัยเป็นอย่างมาก และยังมีร่องรอยบางอย่าง... คล้ายๆ ความห่วงใยที่เธอสัมผัสได้บางเบา

อารามตกใจทำให้หญิงสาวได้แต่เงียบ นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนคล้ายลูกแก้วเบิกกว้างเมื่อเหลือบไปเห็นหนังสือที่ตกลงมากองกับพื้น

...ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าโดนจังๆ ที่ศีรษะสักเล่มหนึ่งจะเป็นอย่างไร...

“เป็นอะไร ฉันถามทำไมไม่ตอบ?” หม่อมเจ้าอดุลยวิทย์รับสั่งขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับใช้หัตถ์จับไหล่หญิงสาวหมุนให้มาเผชิญหน้ากับพระองค์โดยตรง “นี่... รุจิรดา?”

ดวงตาสีน้ำตาลใสค่อยๆ ถูกแววตระหนกเข้าครอบคลุม สติที่ลอยหายไปเมื่อครู่กลับมาพร้อมกับความอบอุ่นที่โอบกระชับรอบตัวเมื่อครู่หายไป หญิงสาวก้มหน้างุดด้วยความละอายใจ พร้อมกับซ่อนรอยแดงก่ำไร้ที่มาบนใบหน้า

“หม่อม... หม่อมฉันขอประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันแค่ต้องการหยิบหนังสือที่ทรงสั่งให้หม่อมฉันหาให้ก่อน ก็เลย...”

“ก็เลยกระโดดแหยงๆ จนหนังสือมันตกมาใส่สินะ” วรองค์สูงปล่อยหัตถ์ออกจากไหล่บางเมื่อเห็นว่าสติของอีกฝ่ายกลับมาแล้ว ก่อนจะหันพักตร์ไปทางหนังสือที่ตกลงมาอย่างจะสำรวจ

รุจิรดาเหลือบมองเสี้ยวพักตร์คมคายก่อนขมุบขมิบเอ่ยกับตนเอง “คนเขาตกใจต่างหาก อยู่ๆ เอามือมาจับกันได้ ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องกระโดดเสียหน่อย”

“เธอว่าอะไรนะ?”

“เปล่าเพคะ” ร่างโปร่งกลอกตาอย่างหน่ายกับกรรณ ที่ดีเกินไปของอีกฝ่าย “เอ่อ... ส่วนเรื่องหนังสือ...”

“เล่มไหนที่เธอบอกว่ากระโดดหา?”

“The republic เพคะ” รุจิรดาก้มลงหยิบหนังสือมายื่นให้อีกฝ่าย พร้อมกับหนังสือเล่มอื่นที่ได้มาก่อนหน้านี้ “แล้วรวมทั้งหมดนี่ก็ครบแล้วนะเพคะ”

หม่อมเจ้าอดุลยวิทย์พยักพักตร์น้อยๆ พลางเหลือบเนตรไปทางโต๊ะทรงงานเป็นสัญญาณบอกให้เธอเอาของทั้งหมดไปวางไว้ที่นั่น

รุจิรดาเดินเอาหนังสือไปวาง ก่อนจะเอ่ยถามอย่างกังวล “เอ่อ... หนังสือพวกนั้น หม่อมฉันเป็นคนทำให้มันตกลงมา ประเดี๋ยวหม่อมฉันเก็บเองเพคะ”

พักตร์คมคายหันมาสบตากับเธอนิ่ง ก่อนจะรับสั่งชัดเจน

“ฉันจะช่วยด้วย”

ร่างโปร่งบางทำตาโตพร้อมกับรีบร้องห้ามโดยพลัน “ไม่เป็นไรหรอกเพคะ หม่อมฉันทำเอง เพราะฉะนั้น...”

“เธอรู้วิธีจัดหนังสือพวกนี้หรือ รู้หรือไม่ว่าฉันจัดหนังสือเอาไว้แบบไหน”

สุรเสียงเรียบนั้นฟังเคืองหูพิกล หญิงสาวมุ่ยหน้าก่อนจะตอบ “คงไม่ใช่ระบบทศนิยมดิวอี้ กระมังเพคะ?”

แม้จะฟังออกว่าอีกฝ่ายประชด หากหม่อมเจ้าอดุลยวิทย์ยังรับสั่งตอบด้วยสุรเสียงราบเรียบ แต่กลับทำให้อีกฝ่ายเบิกตากว้างขึ้นไปอีกด้วยความทึ่ง

“รู้ก็ดี จะได้ไม่ต้องอธิบายมาก เริ่มจัดเลยก็แล้วกัน”

วรองค์สูงในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าอ่อนจางจนเกือบขาว ทับด้วยกั๊กสูทสีเทาเกือบดำ กางเกงสีเดียวกันและรองเท้าหนังเงาวับถอยห่างออกมาจากกองหนังสือ ก่อนจะหันพักตร์ที่ขนงเข้มเลิกสูงขึ้นเป็นเชิงถามมาหาอีกฝ่าย

“อ้าว... ยืนทำอะไรอยู่ ไหนว่าจะทำไม่ใช่หรือ?”

รุจิรดาเม้มริมฝีปาก ก่อนจะข่มใจตอบ “หม่อมฉัน... จัดหนังสือแบบนั้นไม่เป็นเพคะ”

โอษฐ์หยักงามแย้มออกน้อยๆ จนเกือบมองไม่เห็น “นึกว่าจะเก่งไปได้ตลอด อย่างนั้นเธอเก็บหนังสือส่งมาให้ฉันทีละเล่มก็แล้วกัน ฉันจะเป็นคนเรียงใส่ชั้นเอง”

...ไม่ได้เก่งอย่างฝ่าบาทนี่เพคะ จะได้ทำอะไรๆ ได้ดีไปเสียหมด แม้แต่เป็นบรรณารักษ์จำเป็น!

หญิงสาวมุ่ยหน้า ไม่เอ่ยปากเถียงอีก ร่างโปร่งบางขยับเข้าใกล้วรองค์สูงที่ยืนเกือบชิดชั้นหนังสือ ก่อนจะก้มลงเก็บหนังสือส่งให้ตามคำสั่ง ไม่ได้สังเกตเห็นรอยแย้มสรวลของอีกฝ่ายที่ยกแย้มจางๆ ตลอดเวลาที่เนตรคู่คมนั้นทอดพระเนตรดูเธอ...


“รีบไปกันเถอะฝ่าบาท”

ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่บัดนี้มีสายบัวหอบอยู่เต็มสองแขนเอ่ยขึ้นพลางเหลียวมองรอบด้าน เมื่อเห็นว่าปลอดคนแล้วจึงพยักหน้าให้สัญญาณกับท่านหญิงอรกัญญาที่ประทับยืนนิ่งอยู่ข้างรถยนต์

โชคดีที่มนต์ณัฐนั้นมีเสื้อผ้าสำรองไว้ในรถยนต์ ดังนั้นเมื่อลงไปเอาสายบัวให้กับท่านหญิงเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนชุดสะอาดที่สีคล้ายชุดเดิม ก่อนจะขับรถกลับอย่างรวดเร็วเมื่อตะวันคล้อยต่ำลงมากแล้ว

ทั้งสองเดินแกมวิ่งลัดเลาะเข้าไปในห้องครัว เมื่อวางสายบัวเอาไว้เรียบร้อยแล้วมนต์ณัฐก็หันมาถาม

“จะทรงปรุงเลยหรือเปล่าฝ่าบาท?”

“ไม่ล่ะ หญิงจะเอาไว้ก่อน รอแม่แผ้วมาค่อยลงมือ ตอนนี้รีบออกไปข้างนอกกันเถอะ เผื่อมีคนเดินผ่านมาแล้วไม่เห็นเราจะยุ่งกันใหญ่”

ตกลงกันได้ดังนั้นแล้วจึงพากันเดินไปที่ศาลากลางสวนที่วางตำราเรียนไว้เหมือนเดิม ที่ต่างไปจากเดิมมีเพียงแค่ร่างสมส่วนที่อยู่ในชุดกระโปรงสีแดงสดใสยืนรออยู่ตรงนั้น

คนรอขยับยืนตรงเมื่อเห็นวรองค์แบบบางของเจ้าของบ้านกับ ‘เพื่อน’ ที่ดูเหมือนว่าพักนี้จะมาที่วังบ่อยๆ พลางเอ่ยทักเสียงหวาน

“อ้าว... หญิงอร คุณณัฐ ไปไหนกันมาคะ?”

มนต์ณัฐชะงักนิ่ง ไม่ต่างจากท่านหญิงอรกัญญาที่พักตร์ซีดเผือดลงทันควัน ก่อนจะรับสั่งออกมาคล้ายครางแผ่ว...


“แวววรรณ...”


.................
คุณ ukkanirut แหม...มันก็ต้องมีบ้างไรบ้างอ่ะเนาะ เค้าเขียนฉากหวานได้เท่านี้แหละ อย่าแซวเค้า 555+
คุณ mhengihy โคลงวรรคนี้บาดดีนะคะ 555+
คุณ pattisa ก็นั่นแหละ...ต้องดูแลดีๆ เดี๋ยวปล่อยให้หิวแล้วจะโดนกินเอา 555+
คุณ ม่านฟ้า ขอบคุณค่า เขียนสุดฝีมือแล้วได้เท่านั้นแหละ 555
คุณ lovemuay ชักจะยังไงๆ นี่คือชักจะยังไงๆ เหรอคะ 555+



ปณัชญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 พ.ย. 2555, 06:23:11 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 พ.ย. 2555, 06:23:11 น.

จำนวนการเข้าชม : 2464





<< บทที่ 5 [1/2]   บทที่ 6 [1/2] >>
mhengjhy 8 พ.ย. 2555, 07:45:27 น.
อาหารกันตาย แต่ทีคุณค่าทางใจสู้ง สูง


ม่านฟ้า 8 พ.ย. 2555, 08:10:56 น.
ตัวมารมาแย้ววววววว


lovemuay 8 พ.ย. 2555, 08:47:35 น.
แม้แต่นายณัฐเองที่จริงน่าจะชอบคุณหญิงมากกว่าม้าง แค่ถูกคอกับรักมันไม่เหมือนกันหรอกนะ


ukkanirut 8 พ.ย. 2555, 11:38:27 น.
ละมุนมาทั้งตอน เมฆฝนเพิ่งจะโผล่เอาก่อนจบตอนนี่เอง
ท่านชายแอบแกล้งรดา ... เหอเหอเหอ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account