ภิรมย์รัก
กุลสตรี!

รุจิรดาแอบเบ้ปากด้วยความเบื่อหน่ายปนขุ่นเคือง
หากนับว่าการที่เธอยื่นมือออกไปช่วยเหลือน้องสาวของ หม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์ นั้นไม่เป็นกุลสตรี
หญิงสาวก็ยอมรับตามความจริง
แต่เมื่อคนที่ชี้ความจริงข้อนี้ให้เธอรู้เป็นพี่ชายของคนที่เธอช่วยเอาไว้
หญิงสาวจึงรู้สึกเหมือนตนกำลังทำคุณบูชาโทษ
ต่อแต่นี้ไปก็อย่าได้มาเจอะมาเจอกันอีกเลยเป็นดีที่สุด!

หากภาวนาไปไม่พ้นสามวัน
คนที่เธอไม่อยากพบเจออีกในชาตินี้ กลับมาเป็นอาจารย์ของเธอเอง
คราวนี้คงต้องฟังแลกเชอร์ว่าด้วย “ความเป็นกุลสตรี” เสียจนหูชาแน่ๆ
เธอต้องหาทางหนีสถานเดียว!

แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร...
ยิ่งพยายามหนีให้ไกลจากดวงตาสีดำคูคมนั้นเท่าไหร่
กลับยิ่งเหมือนอีกฝ่ายจะไล่ตามมาไม่ปล่อยเสียอย่างนั้น!

Tags: ย้อนยุค,ศิษย์,อาจารย์,ท่านชาย,ท่านหญิง,ความรัก,พีเรียด

ตอน: บทที่ 6 [1/2]


“เหตุใดจึงทำพักตร์ไม่อยากพบหม่อมฉันอย่างนั้นเล่าหญิงอร?”

คนพูดเสียงระรื่น ขณะเดินเข้ามาหาคนทั้งคู่ “ไปเที่ยวไหนมากันหรือจ๊ะ แล้วนี่ทูลท่านชายกันแล้วหรือ?”

แม้จะเดาได้จากสีหน้าของ ‘คนหนีเที่ยว’ ทั้งสองคน หากแวววรรณก็ยังคงพูดต่อด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง “ท่านหญิงจะ’เด็จไปไหนก็อย่าลืมทูลท่านพี่เสียก่อนสิเพคะ แหม... ช่วงนี้หม่อมฉันไม่ได้มาหา ทรงเหงาถึงกับต้องหนีเที่ยวเลยหรือ?”

ท่านหญิงอรกัญญาไร้สุรเสียงตอบรับ เพราะก็เป็นอย่างที่อีกฝ่ายพูดจริงๆ เว้นแต่ว่าเรื่องคิดถึงแวววรรณเท่านั้นที่ไม่ใช่

ในกระบวนเพื่อนหญิงทั้งหมดที่ทรงมีตั้งแต่เล็กจนโต แวววรรณได้ชื่อว่าเป็นพระสหายคนสนิทมากที่สุด แต่คำว่า ‘สนิท’ นั้นแปลได้เพียง ‘รู้จักกันมากกว่าคนอื่นๆ’ เท่านั้น แวววรรณเป็นคนที่ได้มาที่วังนฤบดินทราทิพย์บ่อยครั้ง เนื่องจากมารดาของหญิงสาวและหม่อมแม่ของพระองค์เป็นเพื่อนเก่ากันมาก่อน และเมื่อหญิงสาวอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่... แม้กระทั่งกับหม่อมเจ้าอดุลยวิทย์ แวววรรณจะเป็นผู้ที่เรียบร้อยอ่อนหวานอย่างยิ่ง เยี่ยงกุลสตรีที่ได้ฝึกปฏิบัติมาดีแล้ว...

แต่ท่านหญิงอรกัญญาไม่เคยบอกให้ใครรู้ ถึงพฤติกรรม ‘ลับหลัง’ ผู้ใหญ่ของพระสหายว่าเป็นอย่างไร เพราะถือว่ามิใช่การของตนที่จะไปเปิดเผยเรื่องของเพื่อน แต่เพราะอย่างนั้น จึงกลายเป็นสิ่งที่ทำให้ทรงอึดอัดพระทัยมาตลอด เนื่องจากทุกคนเข้าใจว่าหญิงสาวทั้งคู่สนิทสนมกัน จึงไว้วางใจแต่เพียงแวววรรณเท่านั้นที่จะสามารถพาท่านหญิงอรกัญญาไปที่ต่างๆ ได้ตามประสงค์

เพียงแค่ช่วงนี้แวววรรณมีปัญหาเรื่องการเรียนบ้าง ทำให้หญิงสาวไม่ค่อยได้มาหาท่านหญิงบ่อยๆ อย่างที่เคยปฏิบัตินับเนื่องตั้งแต่หม่อมเจ้าอดุลยวิทย์เสด็จกลับจากอังกฤษ ถึงแม้จะดูว่าเป็นการผิดต่อเพื่อนที่คบกันมานาน แต่ท่านหญิงอรกัญญาก็สามารถรับสั่งได้เต็มโอษฐ์ว่า... โล่งใจเสียทีที่ไม่ต้องถูก ‘ลาก’ ไปนั่นไปนี่ หรือต้องทนทอดพระเนตร ‘พระสหาย’ ให้ความสนใจกับท่านพี่ของพระองค์จนเกินงาม

แต่วันนี้...

วรองค์บอบบางนิ่งเงียบดุจยอมรับ ทว่ากำลังดำริเร็วรี่เพื่อหาทางมิให้แวววรรณไป ‘ฟ้อง’ ท่านพี่ว่าทรงออกไปกับมนต์ณัฐ เพราะไม่ทรงทราบจริงๆ ว่าเรื่องนี้จะจบลงด้วยดีได้อย่างไร และท่านพี่จะกริ้วชายหนุ่มเพียงไหน

พักตร์งามหันไปทอดพระเนตรคนที่ยืนเคียงข้าง ชั่วครู่หนึ่งที่ทรงสัมผัสถึงความอบอุ่นจากปลายนิ้วเรียวที่แตะโดนหลังหัตถ์น้อยๆ ที่กำแน่นด้วยความเครียดเขม็ง สีหน้าของมนต์ณัฐไม่เปลี่ยนเลยเมื่อเอ่ย

“แหม... คุณแววก็...” ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มพราวระยับอย่างอารมณ์ดี แต่ครู่หนึ่งที่ท่านหญิงอรกัญญาทอดพระเนตรเห็นเงาความไม่พอใจบางอย่างพาดผ่านชั่ววูบ “ถามอะไรอย่างนั้น ท่านชายต้องทรงอนุญาตแล้วสิครับ พวกเราจึงออกไปได้ นี่ยังรับสั่งฝากให้หาสายบัวมาแกงถวายเป็นกระยาหารค่ำนี้เสียด้วย คุณแววอาจจะไม่เห็น แต่พวกเราหอบมาไว้ที่ห้องครัวรอให้ท่านหญิงทรงปรุงแล้วล่ะครับ”

วรองค์แบบบางเงยพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรชายหนุ่มอย่างคาดไม่ถึง ไม่เคยดำริเลยว่าเขาจะสามารถกล่าวเท็จได้ทั้งๆ ที่ยังยิ้มแย้ม ไม่เปลี่ยนสีหน้าแม้แต่น้อย

ไม่คิดว่าจะใจกล้า... ถึงขั้นโกหกในเรื่องที่อีกเพียงอีกฝ่ายทูลถามท่านชาย เขาอาจจะรับผิดชอบผลที่เกิดขึ้นไม่ได้ด้วยซ้ำ

...ทั้งหมดนี่... เพื่อพระองค์อย่างนั้นหรือ?

“จริงหรือคะ...” แวววรรณลากเสียงท้ายประโยคคล้ายไม่เชื่อ “ปกติท่านชายท่าน ‘หวง’ ท่านหญิงมาก ไม่ค่อยให้ไปไหนกับเพื่อนเท่าใด ยิ่งเพื่อนต่างเพศยิ่งทรงเข้มงวดนัก นี่ถ้าเป็นความจริงดิฉันคงแปลกใจทีเดียว เห็นทีคงต้องทูลถามท่านชายเสียแล้วกระมัง”

ร่างสูงเผยยิ้มกว้างมากขึ้น “จะถามก็ได้นะครับ ผมก็ไม่ขวัญกล้าถึงขนาดพาท่านหญิงไปโดยมิได้รับคำอนุญาตหรอก แต่โชคดีที่ท่านชายไว้ใจผมว่าจะดำรงตนเป็นสหายที่ดีของท่านหญิงได้”

ชายหนุ่มเอ่ยเสียงสดใส หากแววตาฉายประกายท้าทายแกมเย็นชา “เชื่อว่าคุณแวววรรณก็คงไม่เห็นค้านพระวิจารณญาณของท่านชายหรอก จริงไหมครับ”

แวววรรณสบสายตาคมก่อนยิ้มน้อยๆ ท่วงท่าเลิกคิ้วเรียวที่เขียนโค้งสวยขึ้นน้อยๆ แฝงแววรู้เท่าทันและคล้ายจะหยันอยู่ในที “อุ้ย! พูดแปลกนะคะคุณณัฐ ดิฉันหรือจะกล้าตั้งคำถามกับสิ่งที่ท่านชายทรงเห็นควรแล้ว รู้ว่าท่านทรงอนุญาตอย่างนี้ ดิฉันก็ดีใจค่ะ อย่างน้อยดิฉันก็เป็นห่วงทั้งความรู้สึกของท่านชายและหญิงอรด้วยใจจริง”

“อย่างนั้นก็ดีแล้วล่ะครับ...” มนต์ณัฐตอบรับ ก่อนเปลี่ยนเรื่องคุย “อ้อ! คุณแววมาถึงวัง ไม่ทราบว่าได้ขึ้นไปเฝ้าท่านชายหรือยังครับ”

ร่างบอบบางที่วันนี้อยู่ในชุดกระโปรงสีชมพูอ่อนบานพลิ้ว ลายดอกไม้เล็กละเอียดงดงามนั้นส่งให้เรือนร่างน่ามองของผู้สวมใส่ดูอ่อนหวานคล้ายดอกไม้กลีบบางที่ต้องการการปกป้อง ผมดัดเป็นลอนสวยเคลียกรอบหน้าเล็กรูปหัวใจนั้นได้สัดส่วนดูกระจุ๋มกระจิ๋มน่ารัก

น่าเสียดาย... มนต์ณัฐคิดขณะมองดูหญิงสาว ‘สหายสนิท’ อีกคนของท่านหญิงอรกัญญา ...น่าเสียดายที่ใบหน้างดงามน่ารักนั้นต้องถูกกลบด้วยเครื่องสำอางสีเข้มที่ทำให้ดู ‘กร้าน’ เกินควร ถึงแม้ว่าจะรู้จักแต่งตัวให้ดูอ่อนหวาน แต่กิริยาแข็งกระด้างและความต้องการที่แสดงออกอย่างโจ่งแจ้งเกินไปทำให้ความอ่อนหวานของชุดถูกกลบไปเสียหมด

...จะว่าไปแวววรรณก็คล้ายรุจิรดา ตรงที่ทั้งคู่ต่างไม่ใช่ผู้หญิงตามแบบฉบับ... กล้าแสดงออก เป็นตัวของตัวเอง เสียแต่ว่าเขาไม่ชอบการ ‘เป็นตัวของตัวเอง’ ของบุตรสาวรัฐมนตรีคนนี้สักเท่าใด

ดูอย่างตอนนี้ เพียงพูดถึงหม่อมเจ้าอดุลยวิทย์ไม่กี่คำ ใบหน้าที่แต่งแต้มไว้สวยงามก็ยิ้มแย้มกว้างขวาง ลืมเรื่องที่ตัวเองมาหาสหายเสียสนิท คิดถึงแต่เพียง ‘พี่ชาย’ ของเพื่อนเท่านั้น

“แววยังไม่ได้ขึ้นไปเฝ้าเลยค่ะ ก็กะว่าจะรอให้ท่านหญิงพาขึ้นไปเฝ้าท่านอยู่เหมือนกัน มาวังท่านไม่บอกไม่กล่าวท่านเจ้าของคงดูไม่ดีนัก”

ท่าทางขวยเขินนั้นไม่ได้ปกปิดแววตาเจือแววคาดคั้นที่ส่งมาถึงท่านหญิงอรกัญญาเลยแม้แต่น้อย พักตร์งามขมวดขนงก่อนจะเหลียวขึ้นทอดพระเนตรชายหนุ่มที่อยู่เคียงข้างคล้ายปรึกษาว่าจะเอาอย่างไรดี

ถ้าให้ขึ้นไปตอนนี้ก็ต้องเจอกับรุจิรดา... หลังจากการเจอกันครั้งหลังๆ ก็ทำให้แม้แต่ท่านหญิงที่ทรงทอดพระเนตรทุกอย่างในแง่ดีเข้าพระทัยในที่สุดว่าหญิงสาวทั้งสองนั้นคล้ายน้ำกับน้ำมัน รุจิรดานั้นไม่เท่าไหร่เพราะหญิงสาวจะพยายามเลี่ยงที่จะไม่พบปะสนทนาด้วย หรือหากต้องพบกันก็เพียงทักทายและตอบรับเพียงสั้นๆ เท่านั้น แต่สำหรับแวววรรณ... ไม่รู้ว่าเหตุใดแวววรรณจึงทำท่าไม่ถูกใจอีกฝ่ายหนักหนา คล้ายเป็นศัตรูกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อนกระนั้น

มนต์ณัฐมองสบสายพระเนตรกังวลของอีกฝ่าย ใบหน้าหล่อเหลาแฝงแววเจ้าสำราญนั้นยังไม่คลายจากอาการยิ้มระรื่นเมื่อเอ่ย “อย่างนั้นก็ขึ้นไปด้วยกันเลยสิครับ ผมว่าจะไปทูลลากลับอยู่เหมือนกัน”

ไม่พูดเปล่า ชายหนุ่มยังผายมือเชื้อเชิญให้วรองค์บอบบางดำเนินนำหน้า ก่อนที่ตนเองและหญิงสาวอีกผู้หนึ่งจะเดินเคียงกันพลางคุยถึงดินฟ้าอากาศอย่างถูกคอ ปล่อยให้คนดำเนินนำหน้าดำริอย่างกังวลพระทัยอยู่องค์เดียว

ริมโอษฐ์บางสีกุหลาบเม้มแน่นจนขาวซีดเป็นเส้นตรง ความรู้สึกบางอย่างคล้ายน้อยพระทัยพลุ่งขึ้นมาจนเจ็บปลาบ

ใช่สิ... ไฉนเขาจะต้องสนใจว่าทำแบบนี้แล้วจะเป็นอย่างไร นี่คงต้องการเอาตัวรดาออกมาพอดีสินะ จึงได้ใช้ให้เราเป็นกันชนแบบนี้!

ท่านหญิงอรกัญญาก้มพักตร์น้อยๆ ก่อนจะสาวบาทเร็วขึ้น ทิ้งห่างอีกสองคนไว้ข้างหลังอย่างต้องการหนีไปให้ไกลสุดขอบโลก...



รุจิรดาเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะหนังสือก่อนจะสบกับสายพระเนตรแหลมคมที่ทอดมาสบพอดี

วรกายสูงสง่าของหม่อมเจ้าอดุลยวิทย์ยืนอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ ในหัตถ์ที่ยื่นมาเกือบชิดหน้าเธอมีหนังสือที่เธอกำลังต้องการหาอยู่เมื่อครู่ แต่ไม่เจอ

“คำอธิบายกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง หรือเพคะ?”

ใบหน้านวลยิ้มกว้าง ก่อนจะพนมมือไหว้คนตรงหน้าแล้วรับหนังสือมาดูอย่างยินดี ลืมความขุ่นเคืองเมื่อครู่ก่อนจนหมดสิ้น

จำไม่ได้แม้กระทั่งว่าห้านาทีก่อนตนเองทำหน้าบูดบึ้งใส่แผ่นปฤษฎางค์ กว้างของอีกฝ่ายที่หันมาให้ ส่วนหัตถ์ใหญ่นั้นก็ยื่นมารอรับหนังสือที่ทรงเรียกหาตามลำดับการจัดวางที่เธอเพียงแต่ประชดประชันเท่านั้น ใครจะรู้ว่าห้องสมุดส่วนพระองค์นี้ก็ยังอุตส่าห์เป็นทางการ จัดเรียงตามระบบดิวอี้เสียอย่างนั้น!

“ตอบแทนที่ช่วยจัดหนังสือเมื่อครู่ ฉันให้ยืมเอากลับไปอ่านที่บ้านได้ เผื่ออยากให้งานเสร็จเร็ว”

“ยืม...” หญิงสาวเอียงคอน้อยๆ พลางทำหน้าฉงน “ไหนเคยรับสั่งว่าหวงหนังสือ ไม่ยอมให้เอาออกไปไหนนี่เพคะ?”

ขนงเข้มเลิกสูง “หรือเธออยากมาอ่านหนังสือที่นี่ทุกวัน อย่างนั้นก็ได้นะฉันไม่ว่า”

“หม่อมฉันไม่ได้อยากมาเสียหน่อย”

“ฉันก็คิดไว้แล้วว่าเธอคงรังเกียจที่นี่...”

สุรเสียงที่คล้ายจะหมองลงเล็กน้อยทำให้หญิงสาวใจหายวูบ ก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อน “หม่อมฉันไม่เคยคิดเช่นนั้นเลยเพคะ”

“เมื่อครู่เธอบอกว่าไม่อยากมานี่” พักตร์คมคายเสเบือนทอดพระเนตรผ่านหน้าต่างออกไปยังทิวทัศน์ใกล้ยามเย็นด้านนอก ก่อนจะรับสั่งเสริมทั้งสีพระพักตร์เคร่งขรึม “หญิงอรได้ยินคงเสียใจแย่...”

เอ...เกรงว่าท่านหญิงคงไม่เสียพระทัยหรอกเพคะ หากไม่ทรงไปเล่าให้ฟัง...

รุจิรดาได้แต่คิดในใจ ยังไม่ขวัญกล้าพอที่จะเอ่ยออกมาดังใจคิดตรงๆ ทำได้เพียงยกยิ้มจางๆ เท่านั้น

“หม่อมฉันมิได้รังเกียจที่นี่ หากเป็นประสงค์ของฝ่าบาทหม่อมฉันก็ยินดีที่จะมาช่วยงานต่อนะเพคะ”

ก็เพียงบอกว่าทรงต้องการให้ช่วยเท่านั้นแหละ รุจิรดาคนนี้จะทุ่มเทแรงกายแรงใจช่วยงานเต็มที่เลย

“อย่ามาเพราะต้องมาช่วยงานฉันเลย ช่วงหลังๆ ที่หญิงอรคบกับเธอเขาดูแจ่มใสมีความสุขขึ้น เพราะฉะนั้นเธอควรมาเพื่อให้มิตรของเธอมีความสุขด้วยการมาเยี่ยมเยียนเขาบ่อยๆ เขาจะได้รื่นเริงบ้าง”

หญิงสาวมุ่ยหน้าน้อยๆ คล้ายผิดหวังที่ไม่ได้ยินอะไรบางอย่างที่คาดเอาไว้ หากเพียงครู่ก็เอ่ย “ถ้าทรงอยากให้ท่านหญิงสำราญจริงล่ะก็ หม่อมฉันขอทูลตามตรงว่าควรให้ท่านหญิงออกไปข้างนอกบ้าง เที่ยวเล่น หรือไม่ก็ไปขี่ม้ากับหม่อมฉันก็ได้ ลองเปลี่ยนบรรยากาศเสียบางคงจะสำราญกว่านี้”

คราวนี้พักตร์คมเข้มหันมาสบตาเธอตรงๆ ก่อนรับสั่งช้า... ชัด “ฉันคงอนุญาตไม่ได้”

“ทำไมล่ะเพคะ หากไม่ไว้ใจหม่อมฉัน อย่างน้อยมนต์ณัฐก็อยู่ด้วย”

“ถ้าพวกเธอสองคนไม่ได้เป็นหมอเสียเองก็อย่าพูดให้เสียเวลาเลย”

“รับสั่งเหมือนหม่อมฉันกับมนต์ณัฐจะประมาทเลินเล่อจนทำให้ท่านหญิงทรงบาดเจ็บอย่างนั้น” ร่างโปร่งบางเริ่มแสดงสีหน้าไม่พอใจ น้ำเสียงสดใสเริ่มเปลี่ยนเป็นประชดประชัน “หม่อมฉัน...”

หม่อมเจ้าอดุลยวิทย์เหลือบเนตรมองหญิงสาว สุรเสียงยังราบเรียบคล้ายมิได้กำลังโต้เถียงกันอยู่ “ฉันไม่ได้พูดว่าเธอหรือใครจะประมาท ปัญหาคือหญิงอรทำอะไรโลดโผนไม่ได้ ไม่ดีต่อตัวเขา”

“อ้อ! คงเป็นปัญหาเรื่อง ‘ไม่เป็นกุลสตรี’ อีกกระมังเพคะ?”

“มันไม่ได้เป็นเหมือนที่เธอ...”

เสียงเคาะกรอบประตูห้องทรงงานดังขึ้นขัดจังหวะการโต้เถียงของทั้งคู่ ก่อนที่วรองค์บอบบางจะปรากฎขึ้น “พี่ชายขา หญิงเข้าไปนะคะ”

“เข้ามาสิ”

เมื่อได้ยินรับสั่งอนุญาต ท่านหญิงอรกัญญาจึงดำเนินเข้ามา ข้างหลังเป็นร่างสูงของชายหนุ่ม และ...

...แวววรรณ...

รุจิรดารู้สึกคล้ายหัวคิ้วกระตุก หากหญิงสาวยังคงรักษาสีหน้าสงบราบเรียบได้ ในขณะที่อีกฝ่ายจ้องมาด้วยดวงตาขุ่นเคือง

ไม่ทันที่ใครจะได้พูดอย่างไร บุตรสาวรัฐมนตรีก็เอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงไม่เบานัก “ทำไมหล่อนถึงได้มาอยู่ที่นี่ล่ะ?”

“อีกประเดี๋ยวก็ไม่อยู่แล้วครับ” มนต์ณัฐที่ยืนอยู่ด้านหลังสุดรี่มาฉุดร่างโปร่งบางให้ยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว มือทั้งสองข้างรีบเร่งเก็บข้าวของเสร็จอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันมาทางหม่อมเจ้าอดุลยวิทย์ที่ทอดพระเนตรตามด้วยสายพระเนตรคมกริบ... คมจนเขาเริ่มหนาวเยือก...

“นี่ก็ค่ำแล้ว กระหม่อมกับรดาคงต้องขอตัวกลับก่อน หากดึกไปจะขับรถลำบาก ทูลลากระหม่อม”

ชายหนุ่มค้อมศีรษะคำนับเจ้าของวังอย่างรวดเร็ว ก่อนฉุดเพื่อนให้รีบออกไปพร้อมกัน รุจิรดาทำได้เพียงรีบถวายคำนับ ก่อนจะถูกลากออกไปติดๆ พลางโวยวายใส่อีกฝ่ายเสียงค่อย

“ไม่ต้องลากฉันอย่างนั้น ฉันเดินเองได้”

“ไม่ได้หรอก นี่เดี๋ยวจะพาเธอไปดูของที่ไนติงเกล เสียหน่อย เธอต้องเริ่มหาของขวัญวันเกิดให้ฉันได้แล้วนะ”

“ยังอีกนานไม่ใช่หรือ?”

สองเสียงที่แย้งกันไปมาค่อยๆ จางหายไป ทิ้งไว้เพียงความเงียบสงบของบุคคลทั้งสามในห้องทรงงานเท่านั้น

...ทำไมณัฐไม่บอกหญิงเรื่องวันเกิด...

พักตร์งามซีดสลดลงทันควัน ...แม้แต่วันเกิดของเขา ก็ทรงรู้จากการบังเอิญได้ทอดพระเนตรเห็นบัตรประจำตัวของชายหนุ่มเท่านั้น มนต์ณัฐไม่เคยคิดจะบอกอะไรเลยแม้แต่เรื่องสำคัญอย่างนี้...

“ดูทั้งสองคนสนิทสนมกันดีนะเพคะ” ร่างบางในชุดกระโปรงสีชมพูหวานเอ่ยทำลายความเงียบ ริมฝีปากเคลือบสีแดงแย้มออกอย่างพออกพอใจ “ดูสมกั๊น...สมกัน ดูยังไงก็เป็นคู่รักกันชัดๆ”

ท่านหญิงอรกัญญาขยับโอษฐ์รับสั่งแผ่วเบา “ไม่ใช่นะ...”

“รับสั่งว่าอะไรนะเพคะ?”

“หญิงบอกว่าเขาสองคนไม่ใช่คู่รักกัน ณัฐ... ณัฐกับรดาเป็นแค่เพื่อนกัน...”

“หม่อมฉันก็ไม่ได้บอกว่าเขาเป็นคนรักกันเสียหน่อย” คนพูดยังจีบปากจีบคอ ไม่ได้สังเกตถึงสีพักตร์ของพระสหายที่ซีดเผือดลงอย่างน่ากลัวแม้แต่น้อย “แค่บอกว่าเหมือนเท่านั้น อีกหน่อยก็คงไม่พ้นจากนี้หรอกเพคะ”

วรองค์สูงที่เบือนพักตร์จากหน้าต่างด้านที่ทอดมองลงไปเห็นลานหน้าวังกลับมามองหญิงสาวทั้งสอง เมื่อเห็นพักตร์ของขนิษฐาไร้สีเลือดก็เอ่ยเรียบๆ “นี่ก็ค่ำแล้ว คุณแวววรรณกลับบ้านก่อนเถิด ป่านนี้คุณพ่อคุณแม่คงรอทานอาหารเย็นอยู่เป็นแน่ อย่าให้ท่านรอนานเลย”

อีกฝ่ายขยับจะเถียง หากเมื่อมองพักตร์คมคายที่หันตรงมาทางตนเอง เห็นแววเนตรคมที่จ้องมาด้วยสายเนตรเย็นชา หญิงสาวก็กัดริมฝีปากแน่นก่อนถอนสายบัว

“อย่างนั้นหม่อมฉันขอตัวก่อนเพคะ ท่านหญิงเพคะเอาไว้วันอื่นหม่อมฉันจะมาหาใหม่นะเพคะ”

จวบจนลับร่างบางไปแล้ว วรองค์สูงสง่าก็สาวบาทมายืนเคียงข้างขนิษฐา ก่อนจะโอบรั้งเบาๆ เพียงครั้งเดียว วรองค์แบบบางก็ซุกซบเข้ากับอ้อมกอดอบอุ่นที่เป็นแหล่งพักพิงของท่านหญิงอรกัญญามาโดยตลอด...

หม่อมเจ้าอดุลยวิทย์ถอนปัสสาสะยาว... ลึก ก่อนรับสั่งแผ่วเบาคล้ายปลอบประโลม

“ไม่เป็นไรนะหญิงอร... ไม่เป็นไร”

ไร้สุรเสียงตอบกลับ มีเพียงความอุ่นชื้นที่ทรงสัมผัสผ่านผ้าบางๆ มาถูกอ้อมอกแข็งแรงของผู้เป็นเชษฐาเท่านั้น

ดวงเนตรยาวรีสีดำสนิทฉายประกายกล้า คล้ายมาดหมายไปถึงใครอีกคนที่ยังไม่รู้ตัว...

..................................................
คุณ mhengjhy อาหารแบบนี้ส้มเรียกว่าอาหารที่ไม่ได้กินก็ไม่ตาย แต่อาจทำให้หัวใจทำงานไม่ดี 555+
คุณ ม่านฟ้า แวววรรณเธอไม่ได้เป็นตัวมารขนาดนั้นหรอกค่ะ 555+
คุณ lovemuay อีตานี่เข้าข่าย 'รู้ตัวช้า' ค่ะ
คุณ ukkanirut โดนแกล้งซะบ้างก็ดีนะคะ รดาน่ะ 555+



ปณัชญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 พ.ย. 2555, 03:50:21 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 พ.ย. 2555, 03:50:21 น.

จำนวนการเข้าชม : 2457





<< บทที่ 5 [2/2]   บทที่ 6 [2/2] >>
mhengjhy 12 พ.ย. 2555, 08:01:54 น.
ง่า เศร้าเลย


ม่านฟ้า 12 พ.ย. 2555, 08:25:39 น.
อิตาณัฐนี่ ทำร้ายจิตใจท่านหญิงมาก
น่าตบกะโหลกนัก


ukkanirut 12 พ.ย. 2555, 09:26:01 น.
โรคแรกที่ขอเดาคือ หัวใจ (ไม่ใช่โรคอกหัก หัวใจช้ำรักนะ >< )
ท่านพี่ดูเข้าใจท่านน้องดีจัง ได้อารมณ์พี่ชายที่แสนดีจริงๆ


lovemuay 12 พ.ย. 2555, 10:47:41 น.
ท่าทางรดาจะถูกหมายหัวซะแล้วมั้งคะ อิอิ


wind 12 พ.ย. 2555, 10:53:32 น.
ชอบนางเอกจริง หรือแค่จะช่วยน้องเนี่ย



ใบบัวน่ารัก 12 พ.ย. 2555, 19:07:24 น.
อ่อนไหว
บอกใครไม่ได้


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account