ทะเลดอกไม้ไฟ
เมื่อเพื่อนรักสมัยเรียนอยู่ต่างประเทศ ซึ่งไม่ใช่บุคคลธรรมดาสามัญทั่วไป ทว่า มีฐานะเป็นถึงประธานองคมนตรี ที่ปรึกษาของมกุฏราชกุมารแห่ง
"นครรัฐออสเตคิน" ประเทศบนเกาะเล็กๆกลางทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ได้เอ่ยปากเชื้อเชิญกึ่งบังคับให้วิศวกรหนุ่มไฟแรงอย่าง "ธรณ์" ให้เข้าร่วมเป็นที่ปรึกษาในโครงการออกแบบรายละเอียดเพื่อก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกแห่งแรกของประเทศ และต้องเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่นั่นจนกว่างานจะเสร็จสิ้น โดยมีค่าตอบแทนมูลค่ามหาศาลกับชีวิตความเป็นอยู่ที่แสนสะดวกสบายมาเป็นข้อเสนอที่ยากปฏิเสธยิ่งนัก หากไม่มีเรื่องของความไม่สงบทางการเมืองภายในประเทศอันเป็นปัญหาเรื้อรังมายาวนานบวกกับกระแสต่อต้านการโครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกที่จำเป็นต้องรุกล้ำเข้าไปในพื้นที่อนุรักษ์ศิลปกรรมในเมืองท่าทางตอนเหนือของประเทศที่ประชาชนในท้องถิ่นนั้นรักและหวงแหนยิ่งชีวิตต่างหากล่ะ ที่ทำให้ ธรณ์ ต้องกุมขมับ เมื่อจินตนาการว่าจะต้องไปพบเจอกับอะไรบ้าง ถ้าจะตัดสินใจรับทำงานใหญ่ระดับอภิมหาโปรเจคระดับประเทศชิ้นนี้ โดยหารู้ไม่ว่า สิ่งที่เขาจินตนาการเองนั้น ไม่อาจเปรียบเทียบกับสถานการณ์ที่แท้จริงของความไม่สงบที่เกิดขึ้น ณ ดินแดนซึ่งได้รับสมญานามจากนานาประเทศว่า ดินแดนแห่ง "ม่านหมอกและดอกไม้ไฟ" ดินแดนที่จะทำให้ชีวิตของเขาต้องเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล...
"นครรัฐออสเตคิน" ประเทศบนเกาะเล็กๆกลางทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ได้เอ่ยปากเชื้อเชิญกึ่งบังคับให้วิศวกรหนุ่มไฟแรงอย่าง "ธรณ์" ให้เข้าร่วมเป็นที่ปรึกษาในโครงการออกแบบรายละเอียดเพื่อก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกแห่งแรกของประเทศ และต้องเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่นั่นจนกว่างานจะเสร็จสิ้น โดยมีค่าตอบแทนมูลค่ามหาศาลกับชีวิตความเป็นอยู่ที่แสนสะดวกสบายมาเป็นข้อเสนอที่ยากปฏิเสธยิ่งนัก หากไม่มีเรื่องของความไม่สงบทางการเมืองภายในประเทศอันเป็นปัญหาเรื้อรังมายาวนานบวกกับกระแสต่อต้านการโครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกที่จำเป็นต้องรุกล้ำเข้าไปในพื้นที่อนุรักษ์ศิลปกรรมในเมืองท่าทางตอนเหนือของประเทศที่ประชาชนในท้องถิ่นนั้นรักและหวงแหนยิ่งชีวิตต่างหากล่ะ ที่ทำให้ ธรณ์ ต้องกุมขมับ เมื่อจินตนาการว่าจะต้องไปพบเจอกับอะไรบ้าง ถ้าจะตัดสินใจรับทำงานใหญ่ระดับอภิมหาโปรเจคระดับประเทศชิ้นนี้ โดยหารู้ไม่ว่า สิ่งที่เขาจินตนาการเองนั้น ไม่อาจเปรียบเทียบกับสถานการณ์ที่แท้จริงของความไม่สงบที่เกิดขึ้น ณ ดินแดนซึ่งได้รับสมญานามจากนานาประเทศว่า ดินแดนแห่ง "ม่านหมอกและดอกไม้ไฟ" ดินแดนที่จะทำให้ชีวิตของเขาต้องเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล...
Tags: ธรณ์ มีมี่ เนเนสต์ มาร์ลิค ทะเล ดอกไม้ไฟ จินตนิยาย
ตอน: ตอนที่ 2 เจ้าชายฟารินอสกับเจ้าหญิงชารีด้า
ตอนที่ 2
เดยันวิ่งตามเด็กหนุ่มวัยรุ่นที่อยู่ดีๆก็เข้าไปแย่งเอาขลุ่ยมาจากหญิงสาวในชุดผ้าคลุมสีดำคนนั้นแล้ววิ่งฝ่าฝูงชนพุ่งมาตรงที่ชายหนุ่มกับน้องสาวยืนอยู่พอดี และเขาก็ไม่รีรอที่จะตามไปเอาสิ่งของซึ่งถูกลักขโมยไปจากผู้เป็นเจ้าของ เดยันวิ่งตามไปสุดแรงจนเกือบถึงตัวเด็กหนุ่มปากก็ร้องตะโกนให้หยุด พร้อมกับยกเท้าข้างหนึ่งยันไปที่กลางหลังเต็มแรง จนเจ้าเด็กหนุ่มล้มหน้าคะมำและรีบโยนขลุ่ยที่ขโมยมาพุ่งใส่ชายหนุ่มก่อนจะลุกวิ่งหนีต่อไปอย่างไม่คิดชีวิต ในขณะที่เดยันก็คว้าเอาขลุ่ยอันนั้นที่ถูกโยนมาไว้ได้ทันแล้วก็ยืนหอบแฮ่กอยู่ตรงนั้น หมดกำลังจะวิ่งตามไปอีก ไม่กี่นาทีต่อมา น้องสาวของเขากับหญิงสาวในชุดผ้าคลุมสีดำก็เดินตามมาถึง
“นี่พี่ปล่อยให้เจ้าเด็กหัวขโมยนั่นหนีไปเหรอ พี่เดยัน ทำไมพี่ไม่ไปตามจับตัวมันส่งให้ตำรวจ เจ้าหัวขโมยนั่นก็แปลกคน ไม่ขโมยเงินแต่อยากได้ขลุ่ยไปทำไม”
“ไม่เป็นไรหรอจ้ะ อย่าไปต่อว่าเขาเลย แค่ได้ขลุ่ยคืนมาฉันก็ดีใจแล้ว เจ้าเด็กหนุ่มนั่นนี่คือขลุ่ยวิเศษจะเอาไปใช้หารายได้ให้ตัวเองเหมือนฉันกระมัง คงไม่รู้หรอกว่ากว่าฉันจะทำแบบนี้ได้ก็ต้องใช้เวลาฝึกฝนนานนับสิบปีเหมือนกัน ต้องขอบพระคุณคุณมากนะคะ ที่ไปเอาคืนมาให้ฉันจนได้ คุณช่างมีน้ำใจเหลือเกิน”
เสียงจากหญิงสาวในชุดคลุมสีดำที่ได้ยินทำให้สองพี่น้องต้องหันมามองสบตากัน เพราะน้ำเสียงที่หญิงสาวพูดออกมาให้ได้ยินนั้น บ่งบอกชัดเจนว่าภายใต้ผ้าคลุมสีดำผืนนี้คือหญิงสาวในวัยแรกแย้มอย่างแน่นอนแม้ว่าท่าท่างการเดินของเธอจะไม่คล่องแคล่ว หลังก็งองุ้มไม่สง่าผ่าเผยตามวัยก็ตาม ยิ่งดวงตาเพียงข้างเดียวที่สามารถมองเห็นภายนอกผ้าคลุม พอได้มองเห็นใกล้ๆแล้ว ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านัยน์ตายาวรีสีดำสนิทนิ่งของเธอ ช่างดึงดูความสนใจได้อย่างน่าประหลาด ซึ่งอาจเป็นเพราะว่า ทั้งใบหน้ามีเพียงส่วนนี้ส่วนเดียวที่ยังเปิดเผยให้เห็นได้
“เดี๋ยวก่อน นั่นคุณจะไปไหน”
เนเนสต์ส่งเสียงร้องเรียก เมื่อเห็นหญิงสาวในชุดคลุมหมุนตัวทำท่าเตรียมจะเดินจากไป
“ก็จะไปเรื่อยๆตามทางของฉัน คุณสองคนมีอะไรอีกหรือเปล่า”
“ไปเรื่อยๆ งั้นก็หมายความว่า คุณไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งใช่มั้ย ตั้งแต่อยู่เกิดและเติบโตมาในเมืองนี้ เราไม่เคยเห็นคุณมาก่อนเลย คุณเป็นใครมาจากไหนกันแน่”
คราวนี้เป็นเดยันที่พูดและจ้องมองหญิงสาวอย่างเคลือบแคลงไม่ต่างจากน้องสาว สายตาที่จ้องมองมาของสองพี่น้องสร้างความอึดอัดและลำบากใจให้กับอีกฝ่ายไม่น้อย
“ฉันเป็นคนเร่ร่อน ไม่มีบ้านหรือที่อยู่อะไรเหมือนคนอื่นหรอกจ้ะ ฉันเกิดในเมืองหลวง พ่อแม่ฉันตายไปตั้งแต่ฉันยังเป็นเด็ก ฉันอาศัยอยู่กับยายแล้วยายก็เพิ่งตายไปเมื่อ 5 ปีก่อน บ้านก็ถูกไฟใหม้ เลยต้องเดินทางไปเรื่อยๆ แล้วแต่ว่าที่ไหนจะทำให้ฉันมีรายได้เลี้ยงตัว”
หญิงสาวพูดเสียงเศร้า คล้ายกำลังจะร้องไห้
“แต่คุณเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวนะ อายุ ถ้าให้เดาก็คงพอๆกับฉัน จะเดินทางร่อนเรไปเรื่อยได้ไง ไปอยู่กับพวกเราเถอะ นะคะ พี่เดยัน”
เนเนสต์เอ่ยปากชวนด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก่อนจะหันไปขอความเห็นใจจากพี่ชายที่มองตอบมาอย่างไม่สบายใจนัก เขารู้ดีว่าน้องสาวคงสงสารผู้หญิงคนนี้ ทว่าก็ไม่คาดคิดว่าเธอจะกล้าเอ่ยปากชวนอย่างไม่ระมัดระวังขนาดนี้ ทั้งที่หญิงสาวในชุดผ้าคลุม หากจะมองในแง่ความเป็นจริงแล้วก็ค่อนข้างไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย
“ถ้าพี่ช่วยพูดกับพ่อ พ่อต้องฟังพี่อยู่แล้ว เราอุปการะดูแลคนในสมัชชาฯของพวกเราตั้งเยอะแยะ จะให้หญิงสาวอีกสักคนมาอาศัยด้วยเพียงคนเดียวจะเป็นไรไป”
“แต่ว่า...”
เดยันมองหน้าน้องสาวสลับกับมองไปที่หญิงสาวอีกคนอย่างลำบากใจ
“เอาเป็นว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ฉันจะรับผิดชอบเองค่ะ เพียงแค่พี่ช่วยพูดกับพ่อให้เท่านั้นเอง”
เดยันถอนใจยาวก่อนจะพยักหน้ารับปากในที่สุด
“ขอบคุณมากนะคะพี่ ตกลงคุณไปอยู่กับพวกเรานะคะ”
เนเนสต์บอกกับพี่ชายและหันไปพูดกับหญิงสาวที่ยืนนิ่งเงียบรอฟังสถานการณ์ด้วยน้ำเสียงดีใจ
“เป็นพระคุณเหลือเกินจ้ะ ฉันเป็นหนี้บุญคุณ คุณสองคนพี่น้องมากมายเหลือเกิน ฉันจะมีบ้านอยู่แล้วจริงๆเหรอเนี่ย แต่ฉันสัญญานะว่าฉันจะไม่อยู่อย่างไร้ค่าแน่นอน จะช่วยคุณสองคนทำงานทุกอย่างที่ได้รับมอบหมาย ตามแต่คุณจะสั่งมาเลยจ้ะ”
“เธอไม่ต้องห่วงหรอก ในสมัชชา มีงานให้เธอไม่เว้นแต่ละวันเลยล่ะ “
เดยันบอกเสียงเรียบก่อนหันไปพูดกับน้องสาว
“เนเนสต์ เดี๋ยวพี่ต้องไปหาพ่อ ไปช่วยเตรียมงานไฮด์ปาร์กวันพรุ่งนี้ แล้วก็จะบอกเรื่องของผู้หญิงคนนี้ด้วย ยังไงน้องพาเธอไปที่พิพิธภัณฑ์ด้วยแล้วกัน แล้วเจอกันที่บ้านตอนเย็นนะ”
“ขอบคุณมากค่ะ พี่เดยัน”
หลังจากเดยันเดินแยกตัวไปแล้ว เนเนสต์ก็หันไปชวนหญิงสาวในชุดผ้าคลุมให้เดินไปด้วยกัน ระหว่างทางเนเนสต์ก็เริ่มชวนคุยในเรื่องที่อยากรู้
“จริงสิ ฉันยังไม่รู้จักชื่อคุณเลยนะ ส่วนฉันชื่อ เนเนสต์ และพี่ชายของฉันมีชื่อว่าเดยัน ฉันอายุ 22 ส่วนพี่ชาย อายุมากกว่าฉัน 3 ปี”
“ฉันก็อายุเท่าๆกับคุณนั่นแหละค่ะ ฉันชื่อว่า มีมี่ เป็นชื่อที่ยายเรียกมาตลอด แต่ไม่ค่อยมีใครรู้หรอก ทุกคนชอบเรียกฉันว่า นักมายากลตาเดียว บางคนก็เรียก ผีตาเดียว หรือแม่มดตาเดียวก็มี เด็กๆชอบกลัวฉัน เห็นหน้าก็ร้องไห้วิ่งแจ้นไปกันหมด”
เนเนสต์หันมามองสบดวงตาเพียงข้างเดียวของผู้พูดอย่างสนใจอีกครั้ง
“มันก็สมควรจะเป็นเช่นนั้น จะว่าไป ฉันรู้สึกว่าคุณมีดวงตาที่สวยมากนะ ทำไมคุณถึงปิดหน้าปิดตาจนหมดแบบนี้ล่ะ แถมชุดที่ใส่ยังเป็นชุดดำทั้งตัว มันก็ชวนให้น่ากลัวอยู่หรอก เหมือนเป็นแม่มดจริงๆนั่นแหละ”
“ฉันมีเหตุผลจำเป็นจ้ะ ใบหน้าอีกด้านของฉันเป็นรอยแผลน่าเกลียดน่ากลัวจนฉันเองยังไม่อยากเห็นไม่อยากรับรู้เลย ฉันเลยเลือกที่จะปกปิดมันไว้ ไม่ให้ใครต้องมามองด้วยความสมเพชเวทนา”
“เลยยอมให้คนมองแบบกลัวๆ ดีกว่าน่ะเหรอ”
มีมี่ ไม่ได้ตอบคำถามนี้ และทั้งสองก็เดินเงียบๆจนมาถึงด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ของเมืองไซเบิ้ล
“ฉันทำงานเป็นภัณฑารักษ์อยู่ที่หลังจากเรียนจบ สาขาประวัติศาสตร์ศิลปะจากมหาวิทยาลัยบาตูฮานเมื่อปีที่แล้ว แทนคนเก่าที่เพิ่งเกษียณอายุไปน่ะค่ะ”
เนเนสต์หันไปตอบความสงสัยในดวงตาของมีมี่
“ฉันขอเป็นผู้ช่วยของคุณได้รึเปล่า”
“ได้สิ แต่ฉันไม่มีเงินเดือนให้หรอกนะ”
“แค่คุณให้ที่พักที่เป็นหลักแหล่งกับอาหารครบสามมื้อ ฉันก็พอใจแล้วล่ะ”
มีมี่ตอบพลางกวาดตามองไปรอบๆตัวเมื่อก้าวเข้ามาในห้องโถงของพิพิธภัณฑ์อย่างตื่นเต้นกับความมีมนต์ขลังและเอกลักษณ์ที่โดดเด่นสะดุดตาของสถานที่แห่งนี้ แล้วอยู่ๆเธอก็หันมามองเนเนสต์พร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"ถามจริงๆเถอะ ทำไมคุณถึงอยากช่วยฉัน ทั้งที่เราเพิ่งพบกันเป็นครั้งแรก แล้วภาพลักษณ์ของฉันก็ไม่มีอะไรให้น่าไว้วางใจเลย ตรงกันข้าม กลับดูเหมือนพวกมิจฉาชีพด้วยซ้ำ"
เนเนสต์สบตาคู่นั้นนิ่ง คล้ายกำลังครุ่นคิดหาเหตุผลให้กับตนเองเช่นกันว่าทำไม ภาพที่หญิงสาวในชุดคลุมสีดำหลังค่อม วิ่งตามเด็กหนุ่มหัวขโมยอย่างทุลักทุเล ท่ามกลางผู้คนมากมาย ยังคงเป็นภาพที่ติดตา และส่งผลไปถึงความรู้สึกเมื่อครั้งวันวานของตนเอง
"ไม่รู้สิ อาจเป็นเพราะว่า ครั้งหนึ่งฉันก็เคยเป็นแบบคุณมาก่อน ฉันเป็นเด็กกำพร้าที่พ่อช่วยมาจากพวกเด็กอันธพาลเมื่อสิบห้าปีก่อน ฉันกับพี่เดยัน เราต่างเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกเก็บมาเลี้ยงทั้งคู่ ถ้าไม่มีพ่อ พวกเราก็คงไม่มีวันนี้"
"มิน่าล่ะ คุณกับพี่ชายถึงหน้าตาไม่เหมือนกันเลย ฉันนึกสงสัยอยู่แต่ก็ไม่กล้าถาม"
มีมี่อุทานและมองใบหน้าอ่อนวัยของหญิงสาวตรงหน้าและนึกเปรียบเทียบกับใบหน้าของผู้เป็นพี่ชาย เนเนสต์ดูมีส่วนผสมของคนเชื้อชาติตะวันตกอย่างเห็นได้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นผิวสีขาวเหลืองกับผมหยักศกสีน้ำตาลอ่อนที่ดัดเป็นลอนราวกับตุ๊กตา อีกทั้งนัยต์ตาสีฟ้าอมเขียวที่ดูเจือความเศร้านิดๆ หากก็แฝงไปด้วยความแข็งกร้าวในบางครั้ง สร้อยคอไม้กางเขนกับเสื้อผ้าแบบสากลที่สวมใส่บ่งบอกความแตกต่างทางศาสนาชัดเจน ในขณะที่เดยันผู้เป็นพี่ชาย กลับมีผิวเข้มจนเกือบคล้ำ นัยน์ตาคมลึกก็ดุดันราวกับตาเหยี่ยว สีผมเป็นสีดำสนิทแบบคนเอเชีย และไม่มีส่วนไหนบ่งบอกว่าเป็นพี่น้องคลานตามกันมาแม้แต่ส่วนเดียว
"คุณจะกรุณาบอกฉันได้รึเปล่าว่าพ่อบุญธรรมของคุณคือใคร"
"ถ้าคุณได้ติดตามข่าวสารบ้านเมืองบ้าง คุณก็คงจะเคยได้ยินชื่ออดีตผู้นำฝ่ายค้านที่มีเลือดนักอนุรักษ์เต็มตัว พ่อของฉันชื่อ คาจาร์"
มีมี่หลบสายตาวูบ คล้ายกลัวอีกฝ่ายจะสังเกตเห็นความวูบไหวอย่างไม่ปกติในแววตาของเธอ หัวใจของหญิงสาวเต้นรัวแรง ด้วยความรู้สึกหลากหลาย มือที่กำขลุ่ยไอริชสีเงินไว้แน่นทั้งสองข้างมีอาการสั่นเทาด้วยเล็กน้อยตอนที่พึมพำออกมาว่า
"รู้จักสิ ในประเทศนี้ มีใครไม่รู้จักอดีตผู้นำฝ่ายค้านอย่างคาจาร์บ้าง"
...
ลานกว้างติดริมชายหาดด้านหน้าพระราชวังฤดูร้อนของเจ้าชายฟารินอส ถูกตกแต่งด้วยซุ้มดอกไม้ประดับประดาด้วยดวงไฟหลากสีและเสียงเครื่องดนตรีพื้นเมืองจากวงดนตรีส่วนพระองค์ ตรงกลางคือโต๊ะเสวยสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยอาหารและเครื่องดื่มอันขึ้นชื่อของประเทศ ทั้งหมดเพื่อเป็นการเลี้ยงต้อนรับพระราชอาคันตุกะจากเมืองไทยเป็นพิเศษ
มาร์ลิคพาธรณ์เดินเข้ามาในบริเวณงานและพาเขาไปแนะนำให้รู้จักกับผู้คนที่ถูกเชิญมาร่วมโต๊ะเสวยมื้อนี้ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นกลุ่มบุคคลที่ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับโปรเจคก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกที่เมืองไซเบิ้ลทั้งสิ้น
“อาหารกับเครื่องดื่มเริ่มทยอยมาเรื่อยๆแล้ว อีกประเดี๋ยวเจ้าชายคงเสด็จ”
มาร์ลิคบอกกับธรณ์พร้อมตบไหล่เขาเบาๆ เป็นการให้กำลังใจ เมื่อเห็นแววตาไม่มั่นใจในตัวเองของอีกฝ่าย
“คุณเห็นจอโปรเจคเตอร์ด้านหลังเวทีนั่นมั้ย ผมเดาว่า เจ้าชายคงจะเตรียมบรรยายสรุปเกี่ยวกับโครงการให้ทุกคนได้รับฟังโดยไม่ต้องเสียเวลาเข้าห้องประชุมอีก เราจะได้เปลี่ยนบรรยากาศมาประชุมกันริมทะเลท่ามกลางอากาศเย็นสบายบ้างไงล่ะ ผมว่าดีกว่าอุดอู้อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมตั้งเยอะนะ”
ธรณ์พยักหน้าเหมือนไม่รู้จะแสดงความเห็นอะไร เขายอมรับว่าค่อนข้างตื่นเต้นจนทำตัวไม่ค่อยถูก นึกถึงเรื่องราวที่ศึกษามาเกี่ยวกับเจ้าชายรัชทายาทแห่งราชวงศ์โอซาน ก็ทราบเพียงแค่เรื่องของประวัติการศึกษา งานอดิเรกที่ทรงโปรด และก็ข่าวทั่วไปตามสำนักข่าวต่างประเทศ ก็เพียงเท่านั้น ไม่สามารถจินตนาการหรือคาดเดาได้เลยว่า การเข้าเฝ้าพระองค์อย่างใกล้ชิดจะเป็นเช่นไร
“คุณมาร์ลิค เชิญทางนี้สักครู่ได้หรือไม่”
เสียงผู้เป็นพ่อบ้านวัยกลางคนดังคล้ายเสียงกระซิบใกล้ๆกับมาร์ลิค เขาหันมามองธรณ์ที่พยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง แล้วจึงเดินตามพ่อบ้านผู้นั้นเข้าไปด้านในพระราชวัง ธรณ์กวาดสายตามองไปรอบๆตัว และเริ่มรู้สึกว่าตนเองกำลังกระหายน้ำ จึงตัดสินใจเดินไปตรงซุ้มเครื่องดื่มเพื่อขอเครื่องดื่มจากพนักงานสาวที่กำลังง่วนอยู่กับการผสมเครื่องดื่มราวกับเป็นเรื่องน่าสนุกเหลือเกิน แม้จะมองเห็นเพียงดวงตาที่เปิดเผยอยู่ภายใต้ผ้าคลุมศีรษะก็ตาม ธรณ์อดคิดไปถึงภาพดวงตาข้างเดียวที่ยังคงติดอยู่ในความรู้สึกของเขาตั้งแต่เมื่อวานไม่ได้ หากเมื่อเทียบกับหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้านี้แล้ว ช่างให้ความรู้สึกต่างกันลิบลับ อย่างน้อยที่สุด ดวงตาของหญิงสาวที่เขากำลังยืนมองอยู่ตรงนี้ก็มีความเป็นมิตรและมีความซุกซนแฝงอยู่อย่างชัดเจน เขาพอทราบมาบ้างว่า ประชาชนในประเทศนี้ นับถือทั้งศาสนาอิสลามและศาสนาคริสต์ในอัตราส่วนครึ่งต่อครึ่งเลยทีเดียว แต่ในเมืองไซเบิ้ลแห่งนี้ จะมีชาวมุสลิมในอัตราส่วนที่มากกว่าพอสมควร ชายหนุ่มคิดในใจเล่นๆเรื่อยเปื่อยว่า หากหญิงสาวเกือบทุกคนแต่งกายมิดชิดขนาดนี้ การจดจำใครสักคนคงต้องจำที่นัยน์ตาเท่านั้นหรืออาจจะเป็นความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละคนยามที่ได้มองสบตา
“จะรับชาหรือกาแฟดีคะ “
น้ำเสียงสุภาพอ่อนหวานที่เอ่ยขึ้นของหญิงสาวหลังซุ้มเครื่องดื่ม ทำให้ธรณ์ต้องหยุดความคิดของตนเองไว้เพียงแค่นั้นและเดินเข้าไปใกล้พร้อมกับยิ้มตอบนัยน์ตาที่อ่อนโยนและเป็นมิตรของหญิงสาว
“ชาแล้วกันครับ ผมชอบกลิ่นหอมของใบชา”
เขาตอบและมองไปยังโถใส่เครื่องดื่มทั้งร้อนและเย็นหลากชนิดบนโต๊ะตรงหน้า
“แล้วจะรับชาอะไรดีคะ มีทั้งชาดำ ชาเขียว ชาเอิร์ลเกรย์ ชาจัสมิน …”
“เอ่อ เดี๋ยวครับเดี๋ยว ผมว่าพอก่อนดีกว่าครับ”
ธรณ์รีบยกมือห้ามอย่างนึกขันกับท่าทางกระตือรือล้นในการแนะนำชาชนิดต่างๆของหญิงสาว
“คือ ผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องชาเท่าไหร่นะครับ เคยดื่มอยู่ไม่กี่ชนิด เอาเป็นว่าผมขอชาจีนร้อนแบบหอมๆสักถ้วยแล้วกัน”
“ถ้าอย่างนั้น ก็เป็นชาจัสมินแล้วกันนะคะ”
ระหว่างนั้นเอง เสียงวงดนตรีก็บรรเลงเพลงสำหรับใช้ต้อนรับการเสด็จมาถึงของเจ้าชายฟารินอส และมาร์ลิคก็วิ่งมาดึงแขนธรณ์ให้เดินตามเขาไปหลังจากชายหนุ่มเอื้อมมือไปรับถ้วยชาพอดี เขาเหลียวหลังไปมองหญิงสาวคล้ายอยากจะกล่าวขอบคุณ แต่ก็ทำได้แค่เพียงขอบคุณผ่านทางสายตาเท่านั้น
มาร์ลิคพาเขามายังที่นั่งที่โต๊ะเสวยซึ่งแต่ละคนที่มาในคืนนี้ก็จะมีที่นั่งเป็นของตนเองอยู่แล้ว และเมื่อเจ้าชายฟารินอสเสด็จมาถึงที่ประทับตรงหัวโต๊ะ ทุกคนก็พร้อมใจกันถวายความเคารพอย่างนอบน้อม ธรณ์ชำเลืองมองพระพักตร์แบบไม่เต็มสายตานัก แม้จะฉลองพระองค์ด้วยชุดผ้าพื้นเมืองแบบเรียบง่าย แต่ก็ไม่สามารถบดบังรัศมีที่เปล่งออกจากพระวรกายได้เลย
“ฝ่าบาท กระหม่อมขอแนะนำให้รู้จักกับคุณธรณ์ วิศวกรชาวไทยที่จะมาร่วมงานกับพวกเราพะยะค่ะ”
มาร์ลิคพูดจบ ธรณ์ก็ลุกขึ้นยืนและก้มศีรษะถวายความเคารพและนั่งลงตามเดิม เจ้าชายฟารินอสทอดพระเนตรอาคันตุกะคนสำคัญในค่ำคืนนี้อย่างยินดี
“หวังว่าอาหารและงานเลี้ยงต้อนรับในวันนี้คงถูกใจคุณไม่มากก็น้อย”
“ไม่เป็นไรมิได้กระหม่อม ขอขอบพระทัยในพระกรุณาของฝ่าบาทเป็นอย่างยิ่ง นับเป็นเกียรติและความภาคภูมิใจสูงสุดในชีวิตของกระหม่อมที่ได้ร่วมโต๊ะเสวยกับพระองค์ พะยะค่ะ”
ธรณ์ตอบกลับอย่างสุภาพ
“ถ้าเช่นนั้น ก็เชิญรับประทานอาหารให้อร่อยนะทุกๆคน หลังจากนั้น เราจะมาดูความคืบหน้าของโครงการกัน”
“ไม่รู้ว่าอาหารพื้นเมืองของเราจะถูกปากคุณรึเปล่า ผมเลยสั่งให้ในครัวทำอาหารไทยมาเผื่อด้วย เป็นยำทะเล แต่ผมไม่รู้ว่าจะอร่อยสู้ที่เมืองไทยได้รึเปล่า พอดีแถวนี้มีแต่อาหารทะเลเป็นจำนวนมาก อาหารส่วนใหญ่ก็จะเป็นปลา กุ้ง ปู ปลาหมึก มากกว่าเนื้อสัตว์ชนิดอื่น”
มาร์ลิคกระซิบบอกธรณ์ และเลื่อนจานยำทะเลมาตรงหน้าเขา
“ขอบคุณมากมาร์ลิค แต่ผมไม่เรื่องมากเรื่องอาหารการกินหรอก ผมถือคติว่ากินเพื่ออยู่น่ะ อีกอย่างอาหารพื้นเมืองที่เห็นอยู่ตอนนี้ ก็ดูน่าอร่อยทั้งนั้นเลย”
ธรณ์บอกด้วยความรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ
“งั้นผมขอแนะนำเมนูนี้ ข้าวห่อใบองุ่น เป็นข้าวพันธุ์พื้นเมืองที่นึ่งในเตาถ่านโดยการห่อด้วยใบองุ่น ในข้าวจะมีใส้คือ กุ้งและปูสับละเอียดกับเครื่องเทศต่างๆ ที่เมืองไทยก็รับประทานข้าวเป็นอาหารหลักใช่หรือไม่”
“ใช่สิ แล้วเมนูนี้ก็คล้ายกับอาหารไทยอย่างหนึ่งเหมือนกันนะ ถ้าคุณมีโอกาสไปเที่ยวบ้านผมเมื่อไหร่ ผมจะพาคุณไปทานข้าวห่อใบบัว อ้อ ใบตองก็มีนะ”
มาร์ลิคดูมีท่าทางสนอกสนใจกับอาหารที่ธรณ์พูดถึงมาก
“ผมอยากไปเที่ยวเมืองไทยในสักวันเหมือนกัน ถ้ามีโอกาส ผมจะต้องไปเยือนบ้านเกิดของคุณให้ได้”
เวลาต่อมา หลังจากมื้ออาหารผ่านไปด้วยความอิ่มหนำสำราญเรียบร้อยแล้ว เสียงดนตรีก็เงียบลงและจอโปรเจคเตอร์ด้านหลังที่เตรียมไว้ก็ฉายภาพถ่ายดาวเทียม เป็นลักษณะภูมิประเทศของออสเตคินโดยมีเจ้าชายฟารินอสเป็นผู้บรรยายให้กับผู้ร่วมโต๊ะเสวยด้วยพระองค์เอง
“ภาพที่ทุกท่านเห็นอยู่ในขณะนี้ เป็นภาพถ่ายดาวเทียม แสดงลักษณะภูมิประเทศของออสเตดิน ซึ่งจะเห็นได้ว่า ประเทศของเรามีรูปทรงคล้ายฝักถั่วเหลือง และก็เคยมีนักภูมิศาสตร์ตั้งสมญานามให้ว่า เดอะ บีนส์ ด้วย ประเทศเล็กๆแห่งนี้ มีประชากรราวสองล้านคนเศษ และมีเมืองหลวงคือบาตูฮาน กับเมืองท่าที่สำคัญคือไซเบิ้ลและไทลาน ลักษณะภูมิประเทศที่เกาะและรายล้อมไปด้วยทะเล ทำให้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ในแง่ของการเดินทางกับเส้นทางคมนาคม และอย่างที่ทุกคนรู้กันดี จากทำเลที่ตั้งและความเหมาะสม ของไซเบิ้ล ทำให้เราและคณะรัฐบาลได้คิดโปรเจคการสร้างท่าเรือน้ำลึกขึ้นมา เพื่อขยายโอกาสทางเศรษฐกิจครั้งสำคัญของประเทศ และนี่คือพื้นที่ที่จะใช้ก่อสร้าง”
ภาพบนจอโปรเจคเตอร์เปลี่ยนไปเป็นโมเดลสามมิติจำลองภาพท่าเรือน้ำลึกซึ่งกินพื้นที่ตามแนวหาดทรายด้านทิศใต้ห่างจากที่ตั้งพระราชวังประมาณ 15 กิโลเมตร
“แต่เราจะไม่ได้เริ่มต้นที่จุดนี้ จุดเริ่มต้นเฟสแรกของเราคือ การสร้างถนนซุปเปอร์ไฮเวย์จากเมืองหลวงคือบาตูฮานมายังเมืองไซเบิ้ล โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 1 ปี และในช่วงระยะเวลา 1 ปี นี้ สิ่งที่เราต้องทำให้สำเร็จก็คือ การทำความเข้าใจกับประชาชนเรื่องความจำเป็นในการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึก เนื่องจากว่าในช่วงต้นปีที่ผ่านมา รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยาการธรรมชาติและศิลปะวัฒนธรรม ได้อนุมัติงบประมาณให้กับกลุ่มนักวิชาการ นักอนุรักษ์ กับนักผังเมืองกลุ่มหนึ่ง ให้ดำเนินการตามขั้นตอนเรื่องที่จะเสนอโครงการให้รัฐบาลขอขึ้นทะเบียนกับยูเนสโก้ให้เมืองนี้เป็นเมืองมรดกโลก พวกเขาย่อมไม่พอใจและต้องต่อต้านโครงการของเราอย่างถึงที่สุดแน่นอน ถ้าใครสนใจประเด็นนี้ พรุ่งนี้ ผู้นำสมัชชาประชาชนแห่งเมืองไซเบิ้ล จะทำการเปิดปราศัยที่สวนสาธาณะกลางเมือง ซึ่งการรับฟังข้อมูลอีกด้านหนึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี ไม่ใช่เรื่องเสียหายแต่อย่างใด”
ธรณ์นิ่งฟังเจ้าชายฟารินอสและมองพระองค์ด้วยสายตาทึ่งจัด ในความเยาว์วัยและอ่อนพระชันษาในความรู้สึกของใครหลายๆคน กับพระจริยวัตรที่ดูอ่อนโยน นุ่มนวล แท้จริงคือความฉลาด เฉียบแหลม และเฉียบคม มากกว่าที่เขาคาดคิดไว้ก่อนหน้าที่จะเดินทางมาที่นี่ พระเนตรสีเขียวเข้มนั้นแม้ดูอ่อนหวานหากก็มีความหนักแน่นมั่นคงในความคิดของพระองค์เองยิ่งนัก
“ไม่ใช่ว่าเราไม่เห็นความสำคัญของการทุ่มเทเพิ่อจะเป็นเมืองมรดกโลก ของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคน เรารู้ดีว่า ทุกคนรักและหวงแหนดินแดนประวัติศาสตร์แห่งนี้ ทุกคนอยากให้ประเทศของเรามีชื่อเสียงทัดเทียมนานาอารยะประเทศทั่วโลก แต่การเปิดประตูบานใหม่เพื่อความก้าวหน้าของประเทศในอนาคตระยะยาว ก็ถือเป็นโอกาสอันดีที่เราจะแสดงให้ทั่วโลกได้เห็นว่าประเทศเล็กๆของเราก็มีศักยภาพในการเป็นโลจิสติกส์ฮับระหว่างภูมิภาคเอเชียและยุโรปได้ด้วยความสามารถของพวกเราเองเช่นกัน อย่างที่เราได้บอกและย้ำไปหลายครั้งแล้วว่าเราไม่ได้ละเลยหรือไม่เห็นความสำคัญของการเป็นเมืองมรดกโลก ถ้าเพียงแต่ ผลตอบแทนที่ได้รับ จะส่งผลดีกับการพัฒนาประเทศได้มากกว่าการเปิดประตูเศรษฐกิจ ซึ่งนอกจากในแง่ของการส่งเสริมการท่องเที่ยวแล้ว เราก็ยังมองไม่เห็นมูลค่าของผลตอบแทนด้านอื่นเลย ถ้าจะบอกว่าเป็นเรื่องของจิตใจ บางที เลือดนักอนุรักษ์นิยมของเราคงน้อยเต็มที เพราะเราเลือกที่จะมองไปข้างหน้า มากกว่ามองย้อนกลับหลัง ที่สำคัญในบริเวณพื้นที่หรืออาคารที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ เราก็ให้ความเคารพและทุกพื้นที่ยังอยู่ภายใต้ความคุ้มครองของกฏหมายอนุรักษ์ศิลปกรรมตามพระราชบัญญัติการผังเมืองตามเดิม ไม่คิดจะให้มีการเปลี่ยนแปลงจนสูญเสียความเป็นเอกลักษณ์ใดๆอยู่แล้ว”
ภาพบนจอโปรเจคเตอร์เปลี่ยนไปอีกครั้ง กลายเป็นภาพจำลองในเฟสที่สาม ซึ่งเป็นระยะสุดท้ายของโครงการหลังจากการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกสำเร็จแล้ว ภายใน 5 ปีข้างหน้า นั่นก็คือการสร้างนิคมอุตสาหกรรมบนพื้นที่ราวหนึ่งแสนไร่ โดยแบ่งเป็นโซนต่างๆ ตามศักยภาพและทรัพยากรของประเทศ มาถึงตรงนี้แล้ว ธรณ์ก็ถอนใจยาวออกมา เริ่มรู้สึกสองจิตสองใจว่าอยากให้เมืองเล็กๆที่เต็มไปด้วยเสน่ห์แห่งสถาปัตยกรรมเมืองนี้ เป็นเมืองมรดกโลก หรือ เมืองที่เศรษฐกิจก้าวหน้าถึงขีดสุดในอนาคตดี ภาพจำลองความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ชวนให้เสียดายและใจหายไม่น้อย ทั้งที่เขาก็เพิ่งมาเยือนเมืองนี้ได้เพียงวันเดียว แล้วประชาชนชาวเมืองที่มีความผูกพันกับเมืองนี้มาตั้งแต่เกิดล่ะ จะรู้สึกอย่างไร เท่าที่พอรู้มาบ้าง การขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลกไม่ใช่เรื่องง่ายก็จริง แต่อย่างน้อยก็ก่อให้เกิดกระแสการอนุรักษ์ในพื้นที่นั้นๆได้เป็นอย่างดี
การบรรยายสรุปจากเจ้าชายฟารินอสจบลงไปในอีกไม่กี่นาทีถัดมา จากนั้นพระองค์ก็ทรงเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนร่วมซักถามข้อสงสัยต่างๆ อยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะเสด็จกลับเข้าไปด้านในพระที่นั่ง
“เป็นยังไงบ้าง นั่งฟังเงียบเชียว ไม่มีข้อสงสัยอยากซักถามองค์ชายเหมือนคนอื่นๆบ้างหรือ”
มาร์ลิคเอ่ยถามระหว่างเดินออกมาด้านนอกตรงที่จอดรถเพื่อเตรียมตัวกลับ ธรณ์ไม่ตอบคำถามนี้ เพราะในใจกำลังคิดถึงอีกเรื่องหนึ่ง
“มาร์ลิค ผมอยากไปฟังปราศัยในวันพรุ่งนี้”
มาร์ลิคมองหน้าเขาด้วยสายตาอึ้งๆ และพอจะคาดเดาความคิดของเพื่อนชาวไทยได้ไม่ยากนัก
“เอาสิ ผมจะสั่งคนขับรถไว้ให้แล้วกัน การปราศัยน่าจะเริ่มราวๆหกโมงเย็น ถ้าจำไม่ผิด มีทั้งการปราศัยเป็นภาษาอังกฤษและภาษาอารบิก แต่ผมคงไม่ไปด้วยหรอกนะ ผมฟังจนเบื่อแล้ว แล้วมันก็ไม่มีประโยนช์อะไรเลย จะว่าไป ก็ดีเหมือนกัน เพราะผมก็อยากรู้ว่าพวกนั้นจะพูดล้างสมองคุณได้รึเปล่า”
มาร์ลิคพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ด้วยอารมณ์ที่ธรณ์ไม่อาจรู้ว่าเขากำลังคิดอะไร สายตาที่เอาแต่จับจ้องคู่สนทนาระหว่างกำลังก้าวเดินอย่างเร่งรีบทำให้เขาไม่ทันได้ระวังว่ามีหญิงสาวผู้หนึ่งที่ถือถ้วยชาเดินมุ่งหน้ามาทางนี้ และกว่าจะรู้ตัวก็เป็นตอนที่ธรณ์ร้องเตือนว่า ระวัง ! มาร์ลิคจึงหยุดและหันไปมองหญิงสาวที่หยุดตัวเองก่อนจะชนกับเดินชนกับเขาเช่นกัน และในวินาทีนั้นเอง มาร์ลิคก็ก้มศีรษะลงตรงหน้าหญิงสาวพร้อมกับเอ่ยว่า
“ขอประทานอภัย ฝ่าบาท”
เพียงแค่ประโยคนี้ที่ได้ยิน ธรณ์ก็รับรู้ได้โดยไม่ต้องมีใครบอก ว่าหญิงสาวนัยน์ตาซุกซน เป็นประกายชวนฝัน ที่ชงชาจัสมินให้กับเขาตอนก่อนรับประทานอาหารค่ำ ก็คือ องค์หญิงชารีด้า รัชทายาทลำดับที่สองแห่งราชวงศ์โอซานนั่นเอง
……………………………………………………………………………………………………
จบตอนที่ 2
** จากตอนที่แล้ว ขอบคุณ คุณอนัญชนินทร์มากนะคะ ที่แวะเข้ามา
และก็ขอบคุณทุกๆคนที่คลิกเข้ามาอ่านเช่นกันค่ะ พบกันใหม่ตอนต่อไปนะคะ
เดยันวิ่งตามเด็กหนุ่มวัยรุ่นที่อยู่ดีๆก็เข้าไปแย่งเอาขลุ่ยมาจากหญิงสาวในชุดผ้าคลุมสีดำคนนั้นแล้ววิ่งฝ่าฝูงชนพุ่งมาตรงที่ชายหนุ่มกับน้องสาวยืนอยู่พอดี และเขาก็ไม่รีรอที่จะตามไปเอาสิ่งของซึ่งถูกลักขโมยไปจากผู้เป็นเจ้าของ เดยันวิ่งตามไปสุดแรงจนเกือบถึงตัวเด็กหนุ่มปากก็ร้องตะโกนให้หยุด พร้อมกับยกเท้าข้างหนึ่งยันไปที่กลางหลังเต็มแรง จนเจ้าเด็กหนุ่มล้มหน้าคะมำและรีบโยนขลุ่ยที่ขโมยมาพุ่งใส่ชายหนุ่มก่อนจะลุกวิ่งหนีต่อไปอย่างไม่คิดชีวิต ในขณะที่เดยันก็คว้าเอาขลุ่ยอันนั้นที่ถูกโยนมาไว้ได้ทันแล้วก็ยืนหอบแฮ่กอยู่ตรงนั้น หมดกำลังจะวิ่งตามไปอีก ไม่กี่นาทีต่อมา น้องสาวของเขากับหญิงสาวในชุดผ้าคลุมสีดำก็เดินตามมาถึง
“นี่พี่ปล่อยให้เจ้าเด็กหัวขโมยนั่นหนีไปเหรอ พี่เดยัน ทำไมพี่ไม่ไปตามจับตัวมันส่งให้ตำรวจ เจ้าหัวขโมยนั่นก็แปลกคน ไม่ขโมยเงินแต่อยากได้ขลุ่ยไปทำไม”
“ไม่เป็นไรหรอจ้ะ อย่าไปต่อว่าเขาเลย แค่ได้ขลุ่ยคืนมาฉันก็ดีใจแล้ว เจ้าเด็กหนุ่มนั่นนี่คือขลุ่ยวิเศษจะเอาไปใช้หารายได้ให้ตัวเองเหมือนฉันกระมัง คงไม่รู้หรอกว่ากว่าฉันจะทำแบบนี้ได้ก็ต้องใช้เวลาฝึกฝนนานนับสิบปีเหมือนกัน ต้องขอบพระคุณคุณมากนะคะ ที่ไปเอาคืนมาให้ฉันจนได้ คุณช่างมีน้ำใจเหลือเกิน”
เสียงจากหญิงสาวในชุดคลุมสีดำที่ได้ยินทำให้สองพี่น้องต้องหันมามองสบตากัน เพราะน้ำเสียงที่หญิงสาวพูดออกมาให้ได้ยินนั้น บ่งบอกชัดเจนว่าภายใต้ผ้าคลุมสีดำผืนนี้คือหญิงสาวในวัยแรกแย้มอย่างแน่นอนแม้ว่าท่าท่างการเดินของเธอจะไม่คล่องแคล่ว หลังก็งองุ้มไม่สง่าผ่าเผยตามวัยก็ตาม ยิ่งดวงตาเพียงข้างเดียวที่สามารถมองเห็นภายนอกผ้าคลุม พอได้มองเห็นใกล้ๆแล้ว ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านัยน์ตายาวรีสีดำสนิทนิ่งของเธอ ช่างดึงดูความสนใจได้อย่างน่าประหลาด ซึ่งอาจเป็นเพราะว่า ทั้งใบหน้ามีเพียงส่วนนี้ส่วนเดียวที่ยังเปิดเผยให้เห็นได้
“เดี๋ยวก่อน นั่นคุณจะไปไหน”
เนเนสต์ส่งเสียงร้องเรียก เมื่อเห็นหญิงสาวในชุดคลุมหมุนตัวทำท่าเตรียมจะเดินจากไป
“ก็จะไปเรื่อยๆตามทางของฉัน คุณสองคนมีอะไรอีกหรือเปล่า”
“ไปเรื่อยๆ งั้นก็หมายความว่า คุณไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งใช่มั้ย ตั้งแต่อยู่เกิดและเติบโตมาในเมืองนี้ เราไม่เคยเห็นคุณมาก่อนเลย คุณเป็นใครมาจากไหนกันแน่”
คราวนี้เป็นเดยันที่พูดและจ้องมองหญิงสาวอย่างเคลือบแคลงไม่ต่างจากน้องสาว สายตาที่จ้องมองมาของสองพี่น้องสร้างความอึดอัดและลำบากใจให้กับอีกฝ่ายไม่น้อย
“ฉันเป็นคนเร่ร่อน ไม่มีบ้านหรือที่อยู่อะไรเหมือนคนอื่นหรอกจ้ะ ฉันเกิดในเมืองหลวง พ่อแม่ฉันตายไปตั้งแต่ฉันยังเป็นเด็ก ฉันอาศัยอยู่กับยายแล้วยายก็เพิ่งตายไปเมื่อ 5 ปีก่อน บ้านก็ถูกไฟใหม้ เลยต้องเดินทางไปเรื่อยๆ แล้วแต่ว่าที่ไหนจะทำให้ฉันมีรายได้เลี้ยงตัว”
หญิงสาวพูดเสียงเศร้า คล้ายกำลังจะร้องไห้
“แต่คุณเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวนะ อายุ ถ้าให้เดาก็คงพอๆกับฉัน จะเดินทางร่อนเรไปเรื่อยได้ไง ไปอยู่กับพวกเราเถอะ นะคะ พี่เดยัน”
เนเนสต์เอ่ยปากชวนด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก่อนจะหันไปขอความเห็นใจจากพี่ชายที่มองตอบมาอย่างไม่สบายใจนัก เขารู้ดีว่าน้องสาวคงสงสารผู้หญิงคนนี้ ทว่าก็ไม่คาดคิดว่าเธอจะกล้าเอ่ยปากชวนอย่างไม่ระมัดระวังขนาดนี้ ทั้งที่หญิงสาวในชุดผ้าคลุม หากจะมองในแง่ความเป็นจริงแล้วก็ค่อนข้างไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย
“ถ้าพี่ช่วยพูดกับพ่อ พ่อต้องฟังพี่อยู่แล้ว เราอุปการะดูแลคนในสมัชชาฯของพวกเราตั้งเยอะแยะ จะให้หญิงสาวอีกสักคนมาอาศัยด้วยเพียงคนเดียวจะเป็นไรไป”
“แต่ว่า...”
เดยันมองหน้าน้องสาวสลับกับมองไปที่หญิงสาวอีกคนอย่างลำบากใจ
“เอาเป็นว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ฉันจะรับผิดชอบเองค่ะ เพียงแค่พี่ช่วยพูดกับพ่อให้เท่านั้นเอง”
เดยันถอนใจยาวก่อนจะพยักหน้ารับปากในที่สุด
“ขอบคุณมากนะคะพี่ ตกลงคุณไปอยู่กับพวกเรานะคะ”
เนเนสต์บอกกับพี่ชายและหันไปพูดกับหญิงสาวที่ยืนนิ่งเงียบรอฟังสถานการณ์ด้วยน้ำเสียงดีใจ
“เป็นพระคุณเหลือเกินจ้ะ ฉันเป็นหนี้บุญคุณ คุณสองคนพี่น้องมากมายเหลือเกิน ฉันจะมีบ้านอยู่แล้วจริงๆเหรอเนี่ย แต่ฉันสัญญานะว่าฉันจะไม่อยู่อย่างไร้ค่าแน่นอน จะช่วยคุณสองคนทำงานทุกอย่างที่ได้รับมอบหมาย ตามแต่คุณจะสั่งมาเลยจ้ะ”
“เธอไม่ต้องห่วงหรอก ในสมัชชา มีงานให้เธอไม่เว้นแต่ละวันเลยล่ะ “
เดยันบอกเสียงเรียบก่อนหันไปพูดกับน้องสาว
“เนเนสต์ เดี๋ยวพี่ต้องไปหาพ่อ ไปช่วยเตรียมงานไฮด์ปาร์กวันพรุ่งนี้ แล้วก็จะบอกเรื่องของผู้หญิงคนนี้ด้วย ยังไงน้องพาเธอไปที่พิพิธภัณฑ์ด้วยแล้วกัน แล้วเจอกันที่บ้านตอนเย็นนะ”
“ขอบคุณมากค่ะ พี่เดยัน”
หลังจากเดยันเดินแยกตัวไปแล้ว เนเนสต์ก็หันไปชวนหญิงสาวในชุดผ้าคลุมให้เดินไปด้วยกัน ระหว่างทางเนเนสต์ก็เริ่มชวนคุยในเรื่องที่อยากรู้
“จริงสิ ฉันยังไม่รู้จักชื่อคุณเลยนะ ส่วนฉันชื่อ เนเนสต์ และพี่ชายของฉันมีชื่อว่าเดยัน ฉันอายุ 22 ส่วนพี่ชาย อายุมากกว่าฉัน 3 ปี”
“ฉันก็อายุเท่าๆกับคุณนั่นแหละค่ะ ฉันชื่อว่า มีมี่ เป็นชื่อที่ยายเรียกมาตลอด แต่ไม่ค่อยมีใครรู้หรอก ทุกคนชอบเรียกฉันว่า นักมายากลตาเดียว บางคนก็เรียก ผีตาเดียว หรือแม่มดตาเดียวก็มี เด็กๆชอบกลัวฉัน เห็นหน้าก็ร้องไห้วิ่งแจ้นไปกันหมด”
เนเนสต์หันมามองสบดวงตาเพียงข้างเดียวของผู้พูดอย่างสนใจอีกครั้ง
“มันก็สมควรจะเป็นเช่นนั้น จะว่าไป ฉันรู้สึกว่าคุณมีดวงตาที่สวยมากนะ ทำไมคุณถึงปิดหน้าปิดตาจนหมดแบบนี้ล่ะ แถมชุดที่ใส่ยังเป็นชุดดำทั้งตัว มันก็ชวนให้น่ากลัวอยู่หรอก เหมือนเป็นแม่มดจริงๆนั่นแหละ”
“ฉันมีเหตุผลจำเป็นจ้ะ ใบหน้าอีกด้านของฉันเป็นรอยแผลน่าเกลียดน่ากลัวจนฉันเองยังไม่อยากเห็นไม่อยากรับรู้เลย ฉันเลยเลือกที่จะปกปิดมันไว้ ไม่ให้ใครต้องมามองด้วยความสมเพชเวทนา”
“เลยยอมให้คนมองแบบกลัวๆ ดีกว่าน่ะเหรอ”
มีมี่ ไม่ได้ตอบคำถามนี้ และทั้งสองก็เดินเงียบๆจนมาถึงด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ของเมืองไซเบิ้ล
“ฉันทำงานเป็นภัณฑารักษ์อยู่ที่หลังจากเรียนจบ สาขาประวัติศาสตร์ศิลปะจากมหาวิทยาลัยบาตูฮานเมื่อปีที่แล้ว แทนคนเก่าที่เพิ่งเกษียณอายุไปน่ะค่ะ”
เนเนสต์หันไปตอบความสงสัยในดวงตาของมีมี่
“ฉันขอเป็นผู้ช่วยของคุณได้รึเปล่า”
“ได้สิ แต่ฉันไม่มีเงินเดือนให้หรอกนะ”
“แค่คุณให้ที่พักที่เป็นหลักแหล่งกับอาหารครบสามมื้อ ฉันก็พอใจแล้วล่ะ”
มีมี่ตอบพลางกวาดตามองไปรอบๆตัวเมื่อก้าวเข้ามาในห้องโถงของพิพิธภัณฑ์อย่างตื่นเต้นกับความมีมนต์ขลังและเอกลักษณ์ที่โดดเด่นสะดุดตาของสถานที่แห่งนี้ แล้วอยู่ๆเธอก็หันมามองเนเนสต์พร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"ถามจริงๆเถอะ ทำไมคุณถึงอยากช่วยฉัน ทั้งที่เราเพิ่งพบกันเป็นครั้งแรก แล้วภาพลักษณ์ของฉันก็ไม่มีอะไรให้น่าไว้วางใจเลย ตรงกันข้าม กลับดูเหมือนพวกมิจฉาชีพด้วยซ้ำ"
เนเนสต์สบตาคู่นั้นนิ่ง คล้ายกำลังครุ่นคิดหาเหตุผลให้กับตนเองเช่นกันว่าทำไม ภาพที่หญิงสาวในชุดคลุมสีดำหลังค่อม วิ่งตามเด็กหนุ่มหัวขโมยอย่างทุลักทุเล ท่ามกลางผู้คนมากมาย ยังคงเป็นภาพที่ติดตา และส่งผลไปถึงความรู้สึกเมื่อครั้งวันวานของตนเอง
"ไม่รู้สิ อาจเป็นเพราะว่า ครั้งหนึ่งฉันก็เคยเป็นแบบคุณมาก่อน ฉันเป็นเด็กกำพร้าที่พ่อช่วยมาจากพวกเด็กอันธพาลเมื่อสิบห้าปีก่อน ฉันกับพี่เดยัน เราต่างเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกเก็บมาเลี้ยงทั้งคู่ ถ้าไม่มีพ่อ พวกเราก็คงไม่มีวันนี้"
"มิน่าล่ะ คุณกับพี่ชายถึงหน้าตาไม่เหมือนกันเลย ฉันนึกสงสัยอยู่แต่ก็ไม่กล้าถาม"
มีมี่อุทานและมองใบหน้าอ่อนวัยของหญิงสาวตรงหน้าและนึกเปรียบเทียบกับใบหน้าของผู้เป็นพี่ชาย เนเนสต์ดูมีส่วนผสมของคนเชื้อชาติตะวันตกอย่างเห็นได้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นผิวสีขาวเหลืองกับผมหยักศกสีน้ำตาลอ่อนที่ดัดเป็นลอนราวกับตุ๊กตา อีกทั้งนัยต์ตาสีฟ้าอมเขียวที่ดูเจือความเศร้านิดๆ หากก็แฝงไปด้วยความแข็งกร้าวในบางครั้ง สร้อยคอไม้กางเขนกับเสื้อผ้าแบบสากลที่สวมใส่บ่งบอกความแตกต่างทางศาสนาชัดเจน ในขณะที่เดยันผู้เป็นพี่ชาย กลับมีผิวเข้มจนเกือบคล้ำ นัยน์ตาคมลึกก็ดุดันราวกับตาเหยี่ยว สีผมเป็นสีดำสนิทแบบคนเอเชีย และไม่มีส่วนไหนบ่งบอกว่าเป็นพี่น้องคลานตามกันมาแม้แต่ส่วนเดียว
"คุณจะกรุณาบอกฉันได้รึเปล่าว่าพ่อบุญธรรมของคุณคือใคร"
"ถ้าคุณได้ติดตามข่าวสารบ้านเมืองบ้าง คุณก็คงจะเคยได้ยินชื่ออดีตผู้นำฝ่ายค้านที่มีเลือดนักอนุรักษ์เต็มตัว พ่อของฉันชื่อ คาจาร์"
มีมี่หลบสายตาวูบ คล้ายกลัวอีกฝ่ายจะสังเกตเห็นความวูบไหวอย่างไม่ปกติในแววตาของเธอ หัวใจของหญิงสาวเต้นรัวแรง ด้วยความรู้สึกหลากหลาย มือที่กำขลุ่ยไอริชสีเงินไว้แน่นทั้งสองข้างมีอาการสั่นเทาด้วยเล็กน้อยตอนที่พึมพำออกมาว่า
"รู้จักสิ ในประเทศนี้ มีใครไม่รู้จักอดีตผู้นำฝ่ายค้านอย่างคาจาร์บ้าง"
...
ลานกว้างติดริมชายหาดด้านหน้าพระราชวังฤดูร้อนของเจ้าชายฟารินอส ถูกตกแต่งด้วยซุ้มดอกไม้ประดับประดาด้วยดวงไฟหลากสีและเสียงเครื่องดนตรีพื้นเมืองจากวงดนตรีส่วนพระองค์ ตรงกลางคือโต๊ะเสวยสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยอาหารและเครื่องดื่มอันขึ้นชื่อของประเทศ ทั้งหมดเพื่อเป็นการเลี้ยงต้อนรับพระราชอาคันตุกะจากเมืองไทยเป็นพิเศษ
มาร์ลิคพาธรณ์เดินเข้ามาในบริเวณงานและพาเขาไปแนะนำให้รู้จักกับผู้คนที่ถูกเชิญมาร่วมโต๊ะเสวยมื้อนี้ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นกลุ่มบุคคลที่ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับโปรเจคก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกที่เมืองไซเบิ้ลทั้งสิ้น
“อาหารกับเครื่องดื่มเริ่มทยอยมาเรื่อยๆแล้ว อีกประเดี๋ยวเจ้าชายคงเสด็จ”
มาร์ลิคบอกกับธรณ์พร้อมตบไหล่เขาเบาๆ เป็นการให้กำลังใจ เมื่อเห็นแววตาไม่มั่นใจในตัวเองของอีกฝ่าย
“คุณเห็นจอโปรเจคเตอร์ด้านหลังเวทีนั่นมั้ย ผมเดาว่า เจ้าชายคงจะเตรียมบรรยายสรุปเกี่ยวกับโครงการให้ทุกคนได้รับฟังโดยไม่ต้องเสียเวลาเข้าห้องประชุมอีก เราจะได้เปลี่ยนบรรยากาศมาประชุมกันริมทะเลท่ามกลางอากาศเย็นสบายบ้างไงล่ะ ผมว่าดีกว่าอุดอู้อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมตั้งเยอะนะ”
ธรณ์พยักหน้าเหมือนไม่รู้จะแสดงความเห็นอะไร เขายอมรับว่าค่อนข้างตื่นเต้นจนทำตัวไม่ค่อยถูก นึกถึงเรื่องราวที่ศึกษามาเกี่ยวกับเจ้าชายรัชทายาทแห่งราชวงศ์โอซาน ก็ทราบเพียงแค่เรื่องของประวัติการศึกษา งานอดิเรกที่ทรงโปรด และก็ข่าวทั่วไปตามสำนักข่าวต่างประเทศ ก็เพียงเท่านั้น ไม่สามารถจินตนาการหรือคาดเดาได้เลยว่า การเข้าเฝ้าพระองค์อย่างใกล้ชิดจะเป็นเช่นไร
“คุณมาร์ลิค เชิญทางนี้สักครู่ได้หรือไม่”
เสียงผู้เป็นพ่อบ้านวัยกลางคนดังคล้ายเสียงกระซิบใกล้ๆกับมาร์ลิค เขาหันมามองธรณ์ที่พยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง แล้วจึงเดินตามพ่อบ้านผู้นั้นเข้าไปด้านในพระราชวัง ธรณ์กวาดสายตามองไปรอบๆตัว และเริ่มรู้สึกว่าตนเองกำลังกระหายน้ำ จึงตัดสินใจเดินไปตรงซุ้มเครื่องดื่มเพื่อขอเครื่องดื่มจากพนักงานสาวที่กำลังง่วนอยู่กับการผสมเครื่องดื่มราวกับเป็นเรื่องน่าสนุกเหลือเกิน แม้จะมองเห็นเพียงดวงตาที่เปิดเผยอยู่ภายใต้ผ้าคลุมศีรษะก็ตาม ธรณ์อดคิดไปถึงภาพดวงตาข้างเดียวที่ยังคงติดอยู่ในความรู้สึกของเขาตั้งแต่เมื่อวานไม่ได้ หากเมื่อเทียบกับหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้านี้แล้ว ช่างให้ความรู้สึกต่างกันลิบลับ อย่างน้อยที่สุด ดวงตาของหญิงสาวที่เขากำลังยืนมองอยู่ตรงนี้ก็มีความเป็นมิตรและมีความซุกซนแฝงอยู่อย่างชัดเจน เขาพอทราบมาบ้างว่า ประชาชนในประเทศนี้ นับถือทั้งศาสนาอิสลามและศาสนาคริสต์ในอัตราส่วนครึ่งต่อครึ่งเลยทีเดียว แต่ในเมืองไซเบิ้ลแห่งนี้ จะมีชาวมุสลิมในอัตราส่วนที่มากกว่าพอสมควร ชายหนุ่มคิดในใจเล่นๆเรื่อยเปื่อยว่า หากหญิงสาวเกือบทุกคนแต่งกายมิดชิดขนาดนี้ การจดจำใครสักคนคงต้องจำที่นัยน์ตาเท่านั้นหรืออาจจะเป็นความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละคนยามที่ได้มองสบตา
“จะรับชาหรือกาแฟดีคะ “
น้ำเสียงสุภาพอ่อนหวานที่เอ่ยขึ้นของหญิงสาวหลังซุ้มเครื่องดื่ม ทำให้ธรณ์ต้องหยุดความคิดของตนเองไว้เพียงแค่นั้นและเดินเข้าไปใกล้พร้อมกับยิ้มตอบนัยน์ตาที่อ่อนโยนและเป็นมิตรของหญิงสาว
“ชาแล้วกันครับ ผมชอบกลิ่นหอมของใบชา”
เขาตอบและมองไปยังโถใส่เครื่องดื่มทั้งร้อนและเย็นหลากชนิดบนโต๊ะตรงหน้า
“แล้วจะรับชาอะไรดีคะ มีทั้งชาดำ ชาเขียว ชาเอิร์ลเกรย์ ชาจัสมิน …”
“เอ่อ เดี๋ยวครับเดี๋ยว ผมว่าพอก่อนดีกว่าครับ”
ธรณ์รีบยกมือห้ามอย่างนึกขันกับท่าทางกระตือรือล้นในการแนะนำชาชนิดต่างๆของหญิงสาว
“คือ ผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องชาเท่าไหร่นะครับ เคยดื่มอยู่ไม่กี่ชนิด เอาเป็นว่าผมขอชาจีนร้อนแบบหอมๆสักถ้วยแล้วกัน”
“ถ้าอย่างนั้น ก็เป็นชาจัสมินแล้วกันนะคะ”
ระหว่างนั้นเอง เสียงวงดนตรีก็บรรเลงเพลงสำหรับใช้ต้อนรับการเสด็จมาถึงของเจ้าชายฟารินอส และมาร์ลิคก็วิ่งมาดึงแขนธรณ์ให้เดินตามเขาไปหลังจากชายหนุ่มเอื้อมมือไปรับถ้วยชาพอดี เขาเหลียวหลังไปมองหญิงสาวคล้ายอยากจะกล่าวขอบคุณ แต่ก็ทำได้แค่เพียงขอบคุณผ่านทางสายตาเท่านั้น
มาร์ลิคพาเขามายังที่นั่งที่โต๊ะเสวยซึ่งแต่ละคนที่มาในคืนนี้ก็จะมีที่นั่งเป็นของตนเองอยู่แล้ว และเมื่อเจ้าชายฟารินอสเสด็จมาถึงที่ประทับตรงหัวโต๊ะ ทุกคนก็พร้อมใจกันถวายความเคารพอย่างนอบน้อม ธรณ์ชำเลืองมองพระพักตร์แบบไม่เต็มสายตานัก แม้จะฉลองพระองค์ด้วยชุดผ้าพื้นเมืองแบบเรียบง่าย แต่ก็ไม่สามารถบดบังรัศมีที่เปล่งออกจากพระวรกายได้เลย
“ฝ่าบาท กระหม่อมขอแนะนำให้รู้จักกับคุณธรณ์ วิศวกรชาวไทยที่จะมาร่วมงานกับพวกเราพะยะค่ะ”
มาร์ลิคพูดจบ ธรณ์ก็ลุกขึ้นยืนและก้มศีรษะถวายความเคารพและนั่งลงตามเดิม เจ้าชายฟารินอสทอดพระเนตรอาคันตุกะคนสำคัญในค่ำคืนนี้อย่างยินดี
“หวังว่าอาหารและงานเลี้ยงต้อนรับในวันนี้คงถูกใจคุณไม่มากก็น้อย”
“ไม่เป็นไรมิได้กระหม่อม ขอขอบพระทัยในพระกรุณาของฝ่าบาทเป็นอย่างยิ่ง นับเป็นเกียรติและความภาคภูมิใจสูงสุดในชีวิตของกระหม่อมที่ได้ร่วมโต๊ะเสวยกับพระองค์ พะยะค่ะ”
ธรณ์ตอบกลับอย่างสุภาพ
“ถ้าเช่นนั้น ก็เชิญรับประทานอาหารให้อร่อยนะทุกๆคน หลังจากนั้น เราจะมาดูความคืบหน้าของโครงการกัน”
“ไม่รู้ว่าอาหารพื้นเมืองของเราจะถูกปากคุณรึเปล่า ผมเลยสั่งให้ในครัวทำอาหารไทยมาเผื่อด้วย เป็นยำทะเล แต่ผมไม่รู้ว่าจะอร่อยสู้ที่เมืองไทยได้รึเปล่า พอดีแถวนี้มีแต่อาหารทะเลเป็นจำนวนมาก อาหารส่วนใหญ่ก็จะเป็นปลา กุ้ง ปู ปลาหมึก มากกว่าเนื้อสัตว์ชนิดอื่น”
มาร์ลิคกระซิบบอกธรณ์ และเลื่อนจานยำทะเลมาตรงหน้าเขา
“ขอบคุณมากมาร์ลิค แต่ผมไม่เรื่องมากเรื่องอาหารการกินหรอก ผมถือคติว่ากินเพื่ออยู่น่ะ อีกอย่างอาหารพื้นเมืองที่เห็นอยู่ตอนนี้ ก็ดูน่าอร่อยทั้งนั้นเลย”
ธรณ์บอกด้วยความรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ
“งั้นผมขอแนะนำเมนูนี้ ข้าวห่อใบองุ่น เป็นข้าวพันธุ์พื้นเมืองที่นึ่งในเตาถ่านโดยการห่อด้วยใบองุ่น ในข้าวจะมีใส้คือ กุ้งและปูสับละเอียดกับเครื่องเทศต่างๆ ที่เมืองไทยก็รับประทานข้าวเป็นอาหารหลักใช่หรือไม่”
“ใช่สิ แล้วเมนูนี้ก็คล้ายกับอาหารไทยอย่างหนึ่งเหมือนกันนะ ถ้าคุณมีโอกาสไปเที่ยวบ้านผมเมื่อไหร่ ผมจะพาคุณไปทานข้าวห่อใบบัว อ้อ ใบตองก็มีนะ”
มาร์ลิคดูมีท่าทางสนอกสนใจกับอาหารที่ธรณ์พูดถึงมาก
“ผมอยากไปเที่ยวเมืองไทยในสักวันเหมือนกัน ถ้ามีโอกาส ผมจะต้องไปเยือนบ้านเกิดของคุณให้ได้”
เวลาต่อมา หลังจากมื้ออาหารผ่านไปด้วยความอิ่มหนำสำราญเรียบร้อยแล้ว เสียงดนตรีก็เงียบลงและจอโปรเจคเตอร์ด้านหลังที่เตรียมไว้ก็ฉายภาพถ่ายดาวเทียม เป็นลักษณะภูมิประเทศของออสเตคินโดยมีเจ้าชายฟารินอสเป็นผู้บรรยายให้กับผู้ร่วมโต๊ะเสวยด้วยพระองค์เอง
“ภาพที่ทุกท่านเห็นอยู่ในขณะนี้ เป็นภาพถ่ายดาวเทียม แสดงลักษณะภูมิประเทศของออสเตดิน ซึ่งจะเห็นได้ว่า ประเทศของเรามีรูปทรงคล้ายฝักถั่วเหลือง และก็เคยมีนักภูมิศาสตร์ตั้งสมญานามให้ว่า เดอะ บีนส์ ด้วย ประเทศเล็กๆแห่งนี้ มีประชากรราวสองล้านคนเศษ และมีเมืองหลวงคือบาตูฮาน กับเมืองท่าที่สำคัญคือไซเบิ้ลและไทลาน ลักษณะภูมิประเทศที่เกาะและรายล้อมไปด้วยทะเล ทำให้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ในแง่ของการเดินทางกับเส้นทางคมนาคม และอย่างที่ทุกคนรู้กันดี จากทำเลที่ตั้งและความเหมาะสม ของไซเบิ้ล ทำให้เราและคณะรัฐบาลได้คิดโปรเจคการสร้างท่าเรือน้ำลึกขึ้นมา เพื่อขยายโอกาสทางเศรษฐกิจครั้งสำคัญของประเทศ และนี่คือพื้นที่ที่จะใช้ก่อสร้าง”
ภาพบนจอโปรเจคเตอร์เปลี่ยนไปเป็นโมเดลสามมิติจำลองภาพท่าเรือน้ำลึกซึ่งกินพื้นที่ตามแนวหาดทรายด้านทิศใต้ห่างจากที่ตั้งพระราชวังประมาณ 15 กิโลเมตร
“แต่เราจะไม่ได้เริ่มต้นที่จุดนี้ จุดเริ่มต้นเฟสแรกของเราคือ การสร้างถนนซุปเปอร์ไฮเวย์จากเมืองหลวงคือบาตูฮานมายังเมืองไซเบิ้ล โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 1 ปี และในช่วงระยะเวลา 1 ปี นี้ สิ่งที่เราต้องทำให้สำเร็จก็คือ การทำความเข้าใจกับประชาชนเรื่องความจำเป็นในการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึก เนื่องจากว่าในช่วงต้นปีที่ผ่านมา รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยาการธรรมชาติและศิลปะวัฒนธรรม ได้อนุมัติงบประมาณให้กับกลุ่มนักวิชาการ นักอนุรักษ์ กับนักผังเมืองกลุ่มหนึ่ง ให้ดำเนินการตามขั้นตอนเรื่องที่จะเสนอโครงการให้รัฐบาลขอขึ้นทะเบียนกับยูเนสโก้ให้เมืองนี้เป็นเมืองมรดกโลก พวกเขาย่อมไม่พอใจและต้องต่อต้านโครงการของเราอย่างถึงที่สุดแน่นอน ถ้าใครสนใจประเด็นนี้ พรุ่งนี้ ผู้นำสมัชชาประชาชนแห่งเมืองไซเบิ้ล จะทำการเปิดปราศัยที่สวนสาธาณะกลางเมือง ซึ่งการรับฟังข้อมูลอีกด้านหนึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี ไม่ใช่เรื่องเสียหายแต่อย่างใด”
ธรณ์นิ่งฟังเจ้าชายฟารินอสและมองพระองค์ด้วยสายตาทึ่งจัด ในความเยาว์วัยและอ่อนพระชันษาในความรู้สึกของใครหลายๆคน กับพระจริยวัตรที่ดูอ่อนโยน นุ่มนวล แท้จริงคือความฉลาด เฉียบแหลม และเฉียบคม มากกว่าที่เขาคาดคิดไว้ก่อนหน้าที่จะเดินทางมาที่นี่ พระเนตรสีเขียวเข้มนั้นแม้ดูอ่อนหวานหากก็มีความหนักแน่นมั่นคงในความคิดของพระองค์เองยิ่งนัก
“ไม่ใช่ว่าเราไม่เห็นความสำคัญของการทุ่มเทเพิ่อจะเป็นเมืองมรดกโลก ของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคน เรารู้ดีว่า ทุกคนรักและหวงแหนดินแดนประวัติศาสตร์แห่งนี้ ทุกคนอยากให้ประเทศของเรามีชื่อเสียงทัดเทียมนานาอารยะประเทศทั่วโลก แต่การเปิดประตูบานใหม่เพื่อความก้าวหน้าของประเทศในอนาคตระยะยาว ก็ถือเป็นโอกาสอันดีที่เราจะแสดงให้ทั่วโลกได้เห็นว่าประเทศเล็กๆของเราก็มีศักยภาพในการเป็นโลจิสติกส์ฮับระหว่างภูมิภาคเอเชียและยุโรปได้ด้วยความสามารถของพวกเราเองเช่นกัน อย่างที่เราได้บอกและย้ำไปหลายครั้งแล้วว่าเราไม่ได้ละเลยหรือไม่เห็นความสำคัญของการเป็นเมืองมรดกโลก ถ้าเพียงแต่ ผลตอบแทนที่ได้รับ จะส่งผลดีกับการพัฒนาประเทศได้มากกว่าการเปิดประตูเศรษฐกิจ ซึ่งนอกจากในแง่ของการส่งเสริมการท่องเที่ยวแล้ว เราก็ยังมองไม่เห็นมูลค่าของผลตอบแทนด้านอื่นเลย ถ้าจะบอกว่าเป็นเรื่องของจิตใจ บางที เลือดนักอนุรักษ์นิยมของเราคงน้อยเต็มที เพราะเราเลือกที่จะมองไปข้างหน้า มากกว่ามองย้อนกลับหลัง ที่สำคัญในบริเวณพื้นที่หรืออาคารที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ เราก็ให้ความเคารพและทุกพื้นที่ยังอยู่ภายใต้ความคุ้มครองของกฏหมายอนุรักษ์ศิลปกรรมตามพระราชบัญญัติการผังเมืองตามเดิม ไม่คิดจะให้มีการเปลี่ยนแปลงจนสูญเสียความเป็นเอกลักษณ์ใดๆอยู่แล้ว”
ภาพบนจอโปรเจคเตอร์เปลี่ยนไปอีกครั้ง กลายเป็นภาพจำลองในเฟสที่สาม ซึ่งเป็นระยะสุดท้ายของโครงการหลังจากการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกสำเร็จแล้ว ภายใน 5 ปีข้างหน้า นั่นก็คือการสร้างนิคมอุตสาหกรรมบนพื้นที่ราวหนึ่งแสนไร่ โดยแบ่งเป็นโซนต่างๆ ตามศักยภาพและทรัพยากรของประเทศ มาถึงตรงนี้แล้ว ธรณ์ก็ถอนใจยาวออกมา เริ่มรู้สึกสองจิตสองใจว่าอยากให้เมืองเล็กๆที่เต็มไปด้วยเสน่ห์แห่งสถาปัตยกรรมเมืองนี้ เป็นเมืองมรดกโลก หรือ เมืองที่เศรษฐกิจก้าวหน้าถึงขีดสุดในอนาคตดี ภาพจำลองความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ชวนให้เสียดายและใจหายไม่น้อย ทั้งที่เขาก็เพิ่งมาเยือนเมืองนี้ได้เพียงวันเดียว แล้วประชาชนชาวเมืองที่มีความผูกพันกับเมืองนี้มาตั้งแต่เกิดล่ะ จะรู้สึกอย่างไร เท่าที่พอรู้มาบ้าง การขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลกไม่ใช่เรื่องง่ายก็จริง แต่อย่างน้อยก็ก่อให้เกิดกระแสการอนุรักษ์ในพื้นที่นั้นๆได้เป็นอย่างดี
การบรรยายสรุปจากเจ้าชายฟารินอสจบลงไปในอีกไม่กี่นาทีถัดมา จากนั้นพระองค์ก็ทรงเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนร่วมซักถามข้อสงสัยต่างๆ อยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะเสด็จกลับเข้าไปด้านในพระที่นั่ง
“เป็นยังไงบ้าง นั่งฟังเงียบเชียว ไม่มีข้อสงสัยอยากซักถามองค์ชายเหมือนคนอื่นๆบ้างหรือ”
มาร์ลิคเอ่ยถามระหว่างเดินออกมาด้านนอกตรงที่จอดรถเพื่อเตรียมตัวกลับ ธรณ์ไม่ตอบคำถามนี้ เพราะในใจกำลังคิดถึงอีกเรื่องหนึ่ง
“มาร์ลิค ผมอยากไปฟังปราศัยในวันพรุ่งนี้”
มาร์ลิคมองหน้าเขาด้วยสายตาอึ้งๆ และพอจะคาดเดาความคิดของเพื่อนชาวไทยได้ไม่ยากนัก
“เอาสิ ผมจะสั่งคนขับรถไว้ให้แล้วกัน การปราศัยน่าจะเริ่มราวๆหกโมงเย็น ถ้าจำไม่ผิด มีทั้งการปราศัยเป็นภาษาอังกฤษและภาษาอารบิก แต่ผมคงไม่ไปด้วยหรอกนะ ผมฟังจนเบื่อแล้ว แล้วมันก็ไม่มีประโยนช์อะไรเลย จะว่าไป ก็ดีเหมือนกัน เพราะผมก็อยากรู้ว่าพวกนั้นจะพูดล้างสมองคุณได้รึเปล่า”
มาร์ลิคพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ด้วยอารมณ์ที่ธรณ์ไม่อาจรู้ว่าเขากำลังคิดอะไร สายตาที่เอาแต่จับจ้องคู่สนทนาระหว่างกำลังก้าวเดินอย่างเร่งรีบทำให้เขาไม่ทันได้ระวังว่ามีหญิงสาวผู้หนึ่งที่ถือถ้วยชาเดินมุ่งหน้ามาทางนี้ และกว่าจะรู้ตัวก็เป็นตอนที่ธรณ์ร้องเตือนว่า ระวัง ! มาร์ลิคจึงหยุดและหันไปมองหญิงสาวที่หยุดตัวเองก่อนจะชนกับเดินชนกับเขาเช่นกัน และในวินาทีนั้นเอง มาร์ลิคก็ก้มศีรษะลงตรงหน้าหญิงสาวพร้อมกับเอ่ยว่า
“ขอประทานอภัย ฝ่าบาท”
เพียงแค่ประโยคนี้ที่ได้ยิน ธรณ์ก็รับรู้ได้โดยไม่ต้องมีใครบอก ว่าหญิงสาวนัยน์ตาซุกซน เป็นประกายชวนฝัน ที่ชงชาจัสมินให้กับเขาตอนก่อนรับประทานอาหารค่ำ ก็คือ องค์หญิงชารีด้า รัชทายาทลำดับที่สองแห่งราชวงศ์โอซานนั่นเอง
……………………………………………………………………………………………………
จบตอนที่ 2
** จากตอนที่แล้ว ขอบคุณ คุณอนัญชนินทร์มากนะคะ ที่แวะเข้ามา
และก็ขอบคุณทุกๆคนที่คลิกเข้ามาอ่านเช่นกันค่ะ พบกันใหม่ตอนต่อไปนะคะ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 พ.ย. 2555, 20:48:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 พ.ย. 2555, 20:48:43 น.
จำนวนการเข้าชม : 1368
<< ตอนที่ 1 'กลับไป ถ้าไม่อยากตาย' | ตอนที่ 3 ความลับของมาร์ลิค >> |


อนัญชนินทร์ 12 พ.ย. 2555, 02:06:45 น.
แปะโป้งไว้ก่อนเดี๋ยวมาอ่านนะคะ >,,<
แปะโป้งไว้ก่อนเดี๋ยวมาอ่านนะคะ >,,<