พระอาทิตย์ขึ้นในคืนหนาว # จุฬามณี (ลิขสิทธิ์ สนพ.มายดรีม)
เรื่องย่อ พระอาทิตย์ขึ้นในคืนหนาว

เป็นเรื่องราว ของ มาลี สาวน้อยวัย 20 ปี ลูกกำพร้าพ่อซึ่งเสียชีวิตเพราะโรคมะเร็ง มาลี กับแม่และน้องชาย มารุต อาศัอยู่กับญาติห่าง ๆ ข้างพ่อ ซึ่งทำรีสอร์ตและการท่องเที่ยงท้องถิ่นอยู่ที่อุ้มผาง..

วันหนึ่ง กลยุทธและคณะไปเที่ยวล่องแก่งน้ำตกทีลอซู แล้ว เขาชอบมาลีจึงสานความสัมพันธ์ ส่วนมาลีนั้น เจอลูกทัวร์จีบจนชาชิน แต่กลยุทธก็ทำให้มาลีหวั่นใจอยู่ไม่น้อย..

หลังจากคณะของกลยุทธกลับไป..ทางป้า ก็บีบบังคับให้มาลีไปเรียนต่อกรุงเทพฯ พักอยู่กับนันทาลูกสาว เพราะว่าต้องการให้อนันต์ลูกชายของตัวเองแต่งงานกับคนที่รวยกว่า..

มาลีมาอยู่กรุงเทพฯ โดยที่ชัชชัย เพื่อนของนันทา ซึ่งเคยไปหาข้อมูลเขียนหนังสือมารับที่แม่สอด(ชัชชัยอ้างว่ามาธุระแถวนั้นพอดี)..มาลีกับชัชชัยนั้นเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมา เพราะตอนที่ชัชชัยมาอยู่อุ้มผางเพื่อหาข้อมูลเขียนสารคดี ตามคำแนะนำของ นันทา (ชัชชัยเป็นเพื่อนกับนันทา) มาลีแกล้งชัชชัยเพราะว่าไม่ชอบผู้ชายไว้ผมยาวกับปากไม่ค่อยดี..

ที่บ้านทาวเฮ้าส์ของนันทานั้นอยู่หมู่บ้านเดียวกับกลยุทธที่มีน้องสาวชื่อกุลกัญญา และช่วงที่ยังไม่ได้เข้าเรียน ต่อที่รามคำแหงมาลีก็ได้คำแนะนำจากศรีวรรณเพื่อนข้างบ้านของนันทาให้ให้ไปทำงานฆ่าเวลาเป็นแม่บ้านบนตึกสูงกลางเมือง มาลีที่อยู่กับนันทาแบบคนใช้ (นันทากดไว้เพราะมาลีมาด้วยทุนของแม่) ที่คิดเบื่อบ้านจึงไปทำงานตามคำแนะนำของศรีวรรณ

และบนตึกสูงนั้น มาลีก็ได้รู้ว่าเธอทำงานในตำแหน่งแม่บ้านซึ่งมีกลยุทธทำงานที่นั่นด้วย และมาลีก็ได้รู้จักสังคมรอบ ๆ ตัวของกลยุทธมากขึ้น มาลีรู้ว่ากลยุทธเป็นที่หมายปรองของรมมณีย์ลูกสาวของเจ้าของประธาน
บริษัทฯ

กลยุทธนั้นอึดอัดกับความรักที่รมณีย์มีให้ เพราะเขาทนกับปากของเพื่อนร่วมงานไม่ได้ เขาสานความสัมพันธ์กับมาลีมากขึ้น จนกระทั่งรมณีย์ที่เป็นเพื่อนกับชัชชัย ต้องดึงชัชชัยมาช่วยทำให้มาลีกับกลยุทธเข้าใจผิดกัน...

ชัชชัยนั้นชอบมาลีเป็นอย่างมาก เขาพยายามเอาอกเอาใจมาลีสารพัด แต่มาลีคิดว่า ชัชชัยนั้นเป็นคู่รักของนันทา ทำให้มาลีไม่เปิดใจให้ชัยชัย..

และมาลีจะเลือกใครระหว่างกลยุทธกับชัชชัย..

Tags: รักสามเส้า เราสามคน

ตอน: 42.2“รับความปรารถนาดีนี้ไว้นะจักษ์”

หลังจากทานข้าวผัดจากร้านริมถนนพลางหยอกเอินกันตามประสาคนรักกัน ชัชชัยก็ถอยรถคันหรูออกจากซอยไปด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม มาลีเองก็กลับขึ้นห้องด้วยความรู้สึกตัวเบาหวิว เหมือนเท้าทั้งสองข้างเหยียบอยู่บนปุยนุ่น แล้วโทรศัพท์จากพี่วรรณาก็ดึงสติของมาคืนสู่ความเป็นจริง

“มาลีคืนนี้ว่างไหมเอ่ย”

“ว่างค่ะมีอะไรหรือคะ”

“เลี้ยงส่งเจ้านายคนเก่งของพี่ค่ะ ที่เก่าจำได้ไหม แต่ไม่เป็นไร ฝากให้คุณจ๊ะกับคุณนนท์แวะรับแล้ว อีกสักชั่วโมงคงถึงหอพักมาลี แล้วเขาจะโทรเข้ามาหามาลีเอง โอเคนะแต่งตัวเลยนะจ๊ะ”

อยากจะปฏิเสธแต่พี่วรรณาก็วางสายไปเสียแล้ว มาลีถอนหายใจออกมา พวกเขายังอยากให้เธอกลับเข้าไปร่วมสังสรรค์ด้วยอีกอย่างนั้นหรือ มีอะไรเคลือบแคลงหรือเปล่า มาลีโทรไปปรึกษาเรื่องนี้กับพี่ศรีวรรณทันที

“ไปเถอะมาลี เลี้ยงส่งแค่เฉพาะกลุ่มเค้ามั้ง คุณยุทธคงไม่ได้ชวนใครหรอก ไปเถอะ ถ้าไม่ไปคราวนี้ ต่อๆ ไป ก็ยากที่จะได้เจอกันอีก มีเพื่อนไว้ดีกว่าไม่มีใคร ดูคราวงานศพน้องกุลนั่นปะไร ถ้าไม่ได้มาลี ไม่ได้พวกคุณวรรณ คุณยุทธเขาก็แย่”
พี่ศรีวรรณพูดยืดยาว จนมาลีต้องรีบขอตัวอาบน้ำแต่งตัวรอให้จริญญามารับ


เมื่อไปถึงสถานที่นัดพบ มาลีก็ได้ยินเสียงอรชุมาร้องเพลง ที่ไม่มีความหมายสื่อไปในทางอกหักรักคุดอยู่กับวรรณา ส่วนสมศักดิ์กับสุชินยังเป็นคู่หูที่ดูรู้ใจกันเหมือนเดิม กลยุทธนั้นยิ้มกว้างเมื่อเห็นมาลี มาลีก้าวตามคุณจริญญากับอานนท์ ที่ร้องทักทายทุกๆ คนขณะก้าวเข้ามาในห้อง

“นั่งก่อนมาลีมาตรงนี้”

สมศักดิ์ตบเบาะข้างตัวที่อยู่กึ่งกลางระหว่างตนกับกลยุทธ มาลีเลี่ยงไปนั่งติดวรรณาที่หันมายิ้มให้ “สบายดีนะมาลี” กลยุทธยิ้มเต็มปากเหมือนเคย

“สบายดีค่ะ”

“มานั่งตรงนี้ซิ อยากคุยอะไรด้วยหน่อย คุยห่างกันไม่ได้ยิน”

มาลีชักสีหน้าว่าลำบากใจ แต่เมื่อมาลีไม่ยอมไป ใช่ว่ากลยุทธจะยอมจำนน เขาลุกมาหาแล้วนั่งลงตรงระหว่างมาลีกับจริญญา

“ผมยังไม่ได้ขอบคุณมาลีเลยนะที่ช่วยเหลือเรื่องกุลจนงานเสร็จสิ้น ช่วงนั้นผมแย่”
กลยุทธพยายามชวนคุยจนมาลีรู้สึกว่าเขาดูผ่อนคลายขึ้น หรือเป็นเพราะเขาหมดภาระเรื่องกุลกัญญาหรือเป็นเพราะเขาสามารถออกจากงานได้ แล้วความจริงจากปากเขาก็ถูกเฉลยออกมา

“ผมเป็นอิสระแล้วมาลี ต่อไปเราจะเดินไปด้วยกัน โดยที่มาลีไม่ต้องหยุดให้ผมเดินไปก่อน”

“คุณยุทธ”

มาลีตกใจ ไม่คิดว่าเขาจะวกกลับมาหาเธอจริงๆ มาลีเริ่มครุ่นคิดถึงทางออกของปัญหาตรงนี้ ถ้าเขาผิดหวังจากเธอในครั้งนี้ เขาจะเป็นอย่างไร จะกลับไปบ้าหรือไม่ แค่นี้ใครๆ ก็ว่าเขาเพี้ยนจากคนเดิมไปเยอะแล้ว

“มาลี ตลอดเวลาที่ผมเดินออกหน้ามาลีไปหนึ่งก้าวสองก้าว ใช่ผมไม่ได้ทิ้งหัวใจไว้ข้างหลัง”

ในเวลาที่เขากำลังพร่ำเพ้ออยู่กับเธอนั้น มาลีอยากให้ทุกๆ คนที่นั่งอยู่ในห้องนั้นช่วยคลายสถานการณ์ แต่ว่าไมค์สองตัวอยู่ที่อรชุมากับวรรณาแทบไม่ได้หยุดพัก ส่วนสมศักดิ์กับสุชินก็คุยกันเรื่องบอลอย่างออกรสออกชาติ คุณจริญญากับสามีที่มาพร้อมกันต่างก็เปิดเมนูเลือกเพลง พลางตักอาหารเข้าปากเหมือนว่าในห้องนั้นอยู่กันแค่สองคน

เมื่อไม่อยากรับฟัง เมื่อไม่อยากรับรู้ให้ใจเศร้าหมอง มาลีจำต้องช่วยเหลือตัวเอง

“คือฉันปวดห้องน้ำนะ ขอตัวนะคะ”

มาลีลุกหนีออกไปแล้ว กลยุทธที่ปั้นหน้าเป็นยิ้มชื่นทำคะแนนนั้นถึงกับระงับอารมณ์ผิดหวังไว้ไม่อยู่…เขาจะทำอย่างไรถึงจะได้มาลีคืนมา เขาเสียเธอไม่ได้


เมื่อจริญญากับอานนท์โบกมือลาไปแล้ว มาลีก็รีบวิ่งขึ้นห้องเพื่อหายาพาราเซตามอลมาระงับอาการปวดหัว

เรื่องระหว่างเธอกับกลยุทธคงยังไม่จบง่ายๆ เธอเองก็ยังใจแข็งทำร้ายเขาไม่ลง แต่เมื่อไม่ได้หวังให้เป็นคนร่วมทางเดินชีวิต ใช่ว่าเธออยากเห็นเขามีชีวิตที่ตกต่ำลง การลาออกจากงานเก่าไปสู่สภาพงานที่ตำแหน่งต่ำกว่าเดิมนั้น ก็ยังไม่เท่าอาการที่รินเบียร์ลงแก้วแล้วยกขึ้นดื่มเป็นว่าเล่น

แถมจริญญายังเล่าให้ฟังถึงพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปมากมาย ช่วงก่อนที่จะออกจากงาน บางครั้งเขาทำตัวคล้ายกับว่า ไม่อยากให้ใครมารักหรืออาลัยอาวรณ์ และใครคนนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่คุณรมณีย์

‘เป็นครั้งแรกที่พี่จ๊ะได้ยินคุณยุทธปฏิเสธน้ำใจคุณรมณีย์ บางคนก็ว่าในห้องประชุมมอบหมายงาน คุณยุทธกล้าโต้แย้งความคิดเห็นคุณรมณีย์ด้วย’

เมื่อนึกถึงอาการหงอที่ผ่านของเขากับคุณรมณีย์ กับภาพที่ จริญญาเล่านั้น มาลีนึกไม่ออกเลยว่า คนที่เคยมีเสียงเหนือคนทั้งบริษัทจะรู้สึกเช่นไร ความรักที่มอบให้ไปแล้วนั้นเรียกกลับคืนได้ไหม?

ความเจ็บช้ำอย่างคุณอ๋อ อย่างกุล อย่างคุณวรรณ และแม้แต่อย่างคุณรมณีย์ มันจะเกิดขึ้นกับเธอไหม วันหนึ่งข้างหน้าชัชชัยที่มาขายขนมจีบให้กับเธอจะเปลี่ยนไปไหม และเมื่อนึกถึงเขาแล้วมาลีก็อยากจะถามเอาความจริงเสียเดี๋ยวนั้น

“มีอะไร” เสียงงัวเงียของเขาทำให้มาลีได้สติ

“นอนเถอะ แค่คิดถึง” เมื่อรู้แล้วว่าอารมณ์รักเป็นเช่นไร มาลีก็ถึงกับยิ้มแล้วหัวเราะออกมา ก่อนจะปิดโทรศัพท์แล้วหลับใหลไปด้วยความรู้สึกที่ว่าชัชชัยนั้นนอนกอดเธออยู่ทั้งคืน


พอได้รับข่าวดีจากพี่ต้น วิจักษ์แทบกระโดดตัวลอยถึงฟ้า แล้วคนแรกที่เขาอยากให้ร่วมแสดงความยินดีด้วยนั้นก็คือนันทา

“คุณนันทา พี่ต้นบอกว่าผมได้รับเลือกให้ถ่ายโฆษณาสบู่คู่กับนุ่น”

วิจักษ์เอ่ยถึงชื่อดาราสาวที่กำลังโด่งดัง

“จริงเหรอ กรี๊ดดดดดดด กรี๊ดดดดดดดด กรี๊ดดดดดด อย่างนี้ต้องฉลอง เห็นไหมว่าฉันบอกแล้วว่าจักษ์ต้องทำได้ ดีใจด้วยจริงๆ ก้าวแรก ต่อไปจะมีก้าวที่สองสามสี่”

เมื่อคุยกับนันทาจนตัวเริ่มฟูยิ่งๆ ขึ้น วิจักษ์ก็โทรศัพท์หามาลี และมาลีก็กรี๊ดเสียยกใหญ่อีกคน

ต่อจากนั้นเขาก็โทรหานิวัฒน์ ซึ่งน้ำเสียงที่ตอบกลับมานั้นบอกให้รู้ว่า ‘ดีใจ’ ด้วยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น วิจักษ์เข้าใจว่าคนที่ผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า กับสิ่งที่ตนมุ่งหวังแต่คนอื่นสมหวังนั้นมันเป็นเช่นไร เขาวางโทรศัพท์ลงครุ่นคิดถึงคำพูดของพี่ต้นที่คุยกับเขาระหว่างเดินทางไปแคสติ้ง

‘ต่อไปจักษ์จะต้องรู้จักวางตัว รู้จักตอบคำถาม รู้จักยกมือไหว้คน รู้จักยิ้ม รู้จักเล่นกับสื่อ และที่สำคัญจักษ์ต้องเชื่อพี่คนนี้ทุกอย่าง แต่สิ่งที่จักษ์เป็นอยู่ ณ เวลานี้ พี่นับว่าดีอยู่แล้วนะ นิ่งๆ ยิ้มๆ แบบนี้มันน่าค้นหา ถ้าได้เล่นโฆษณาแล้วต่อไปพี่อาจจะพาจักษ์สู่วงการเดินแบบก่อน หลังจากนั้นจักษ์จะต้องออกงานบ่อยๆ จนเริ่มเป็นข่าวกับดาราสาวสักคน คงเป็นเด็กในสังกัดของพี่นี่แหละ เรื่องรักจริงไม่มีหรอกนะบอกไว้ก่อน แต่ต้องควงกันบ่อยๆ และสร้างภาพต่างๆ ออกมา ทำให้มีคลิปหลุดยิ่งจะทำให้โด่งดังใหญ่ แล้วพี่สจ๊วตคนที่จักษ์อยู่ด้วยนะ พี่ไม่อยากรู้ความสัมพันธ์ที่แน่ชัด แต่ถ้าเลี่ยงการเดินทางไปด้วยกันได้หรือถ่ายรูปด้วยกันก็จะเป็นการดี และแม้แต่นันทาเอง นันทาชอบจักษ์มากนะ แต่อีกนั่นแหละ วันนี้จักษ์เองอาจจะมีใจให้เธอ แต่ช่วงนี้จักษ์จะยังมีใครไม่ได้ สี่ห้าปีทีเดียวที่จักษ์จะต้องอดทน เก็บงำทุกสิ่งทุกอย่างไว้ นี่ยังคิดถึงว่า จักษ์ควรจะออกมาอยู่คอนโดและมีรถยนต์ขับสักคันแต่พี่ก็ลงทุนให้จักษ์ไม่ได้หรอก ของอย่างนี้มันก็ต้องอยู่ที่วาสนาของคนๆ นั้นด้วย แต่ตอนนี้พี่ดีใจอย่างที่จักษ์มีบ้านอยู่ และตัดสินใจลงทะเบียนเรียนในรามคำแหง ถึงแม้จะเป็นมหาวิทยาลัยเปิด แต่ดาราทุกคนจะต้องมีที่มาที่ไปแบบดูดีมีอนาคต เหมือนไม่ได้คิดง้อวงการ แต่ภาพของจักษ์คงไม่ขึ้นไปถึงพระเอกละครที่คนต่างสนใจ แต่พี่รับรองเลยว่า จักษ์จะไม่ตกแน่นอน’

วิจักษ์ครุ่นคิด พลางเช็ดถูทำความสะอาดบ้านตามแบบที่ตรีทศกระทำ คือใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กซักแล้วบิดจนหมาด แล้วตามไล่เช็ดไปยังทุกซอกทุกมุมของเฟอร์นิเจอร์ ผนัง พื้นห้อง วงกบ และหน้าต่าง

ถ้าต้องจากไปอยู่ที่อื่น ถ้าเขาจะต้องรักษาภาพความเป็นดาราไว้ตลอดเวลา เขากับพี่ตรีทศจะเป็นอย่างไร


“คุยกับใคร ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ หึงนะโว้ย”

ชัชชัยเดินมาถาม ขณะที่มาลีนั่งอยู่บนพื้นตัวหนอนริมทะเลของดอนหอยหลอดแล้วคุยโทรศัพท์ไปด้วยรอยยิ้ม มาลีทำเฉไฉไม่ตอบคำถามนั้น แล้วโทรศัพท์ของเจ้าหล่อนก็ดังขึ้นมาอีกรอบ เมื่อเพ่งมองลงไปจนรู้ว่าเป็นเบอร์ใคร มาลีทำหน้าขออนุญาตแล้วยกโทรศัพท์ขึ้นมารับสาย

“มาลีอยู่ที่ไหน”

“ต่างจังหวัดค่ะ”

“ผมออกจากงานแล้วนะ เริ่มงานใหม่กับที่ใหม่ในเดือนหน้า เดือนนี้ทั้งเดือนผมว่าง”
เมื่อได้ยินคำพูดของคุณกลยุทธมาลีนิ่งเงียบทันที

“อยากชวนมาลีไปพักผ่อนเปิดสมอง”

“ฉันต้องทำงานและต้องเรียนหนังสือ ตอนนั้นคงเปิดเทอมแล้ว”

“แค่สัปดาห์เดียวคงไม่มีปัญหาหรอก นะ ขับรถลงใต้ไปเรื่อยๆ ค่ำไหนนอนนั่น ไปเป็นเพื่อนหน่อยได้ไหม แล้วจะจ่ายค่าเสียหายรายวันให้”

“ฉันเลิกทำอาชีพลีดเดอร์ทัวร์แล้วนะคะ ลงใต้ฉันจะไปรู้อะไร”

“ก็เที่ยวกันไป ศึกษากันไป”

มาลีนิ่งเงียบ เขายังมีคำหวานเข้ามาเรื่อยๆ จนมาลีรู้สึกไม่อยากให้ความหวังกับเขาอีกแล้ว “คุณยุทธคะ ฟังให้ดีนะคะ ฉันเคยบอกคุณแล้วว่า ฉันขอเวลาจนกว่าฉันจะเรียนจบ และตอนนี้ฉันยังไม่ได้เรียนหนังสือ เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งคิดอะไรมากไปกว่าพี่น้องเลยค่ะ” เขาเงียบไปเมื่อได้รับฟัง

“บอกตามตรงนะคะ ฉันห่วงคุณแบบน้องสาวห่วงพี่ชาย แบบที่คุณศักดิ์ คุณชิน คุณวรรณห่วงคุณ เข้มแข็งนะคะ สักวันคุณคงได้พบคนที่ดีกว่าฉันอย่างแน่นอน และอีกอย่าง เราไม่สามารถรับรักคนที่รักเราได้ทุกคนหรอกค่ะ”

เขาตัดสัญญาณทิ้งไปแล้ว มาลีเก็บโทรศัพท์มือถือเข้ากระเป๋าถือด้วยอารมณ์อาวรณ์ ทางสองเส้นที่อยู่ตรงหน้า เมื่อเลือกก้าวไปอีกทางหนึ่ง อีกทางหนึ่งคงเป็นปริศนาให้ครุ่นคิดตลอดไป ว่าถ้าไปทางนั้นแล้วชีวิตจะเป็นอย่างไร ถ้าเส้นทางที่เลือกไม่ทำให้มีความสุขคงได้หวนไห้..ให้นึกถึงอีกเส้นทาง แต่ทุกชีวิตมันก็เป็นเช่นนี้


เมื่อรู้จากนักสืบที่แจ้งว่า กลยุทธยกกระเป๋าใบใหญ่ใส่ท้ายรถแล้วขับรถออกจากบ้านมุ่งสู่ทางภาคใต้ของประเทศ รมณีย์ก็เริ่มคิดเกมหัวใจกระดานสุดท้ายระหว่างเธอกับเขา

‘รักแล้วถอยไม่ได้’

รมณีย์เร่งเคลียร์งานจนกระทั่งกลับบ้านบอกเล่าเหตุผลให้ผู้เป็นพ่อได้รับรู้ “ถ้าครั้งนี้ เขาปฏิเสธ หนูจะยอมแต่งงานกับใครสักคนที่คุณพ่อเห็นสมควรนะคะ”

“ขอให้ลูกชนะกลับมาแล้วกัน”

“คุณพ่อหนูใจดีที่สุดในโลกเลย”

“ก็เขาไม่ใช่คนเห็นแก่ตัว เห็นแก่เงิน อย่างที่พ่อเคยคิดไง แบบนี้ค่อยน่าอยากได้มาเป็นลูกเขยหน่อย”

แต่เมื่อเห็นว่ารมณีย์กำลังจะเดินจากไป ผู้เป็นพ่ออดให้สติลูกสาวไม่ได้

“ถ้าเขาไม่ต้องการหนู หนูยังมีพ่ออยู่ทั้งคนนะ”

รมณีย์ยิ้มแล้วเบะเหมือนเด็กๆ ก่อนจะวิ่งกลับมากอดพ่อแล้วหอมแก้มฟอดใหญ่


เมื่อได้ฟังทิศทางชีวิตของวิจักษ์จากปากของพี่ต้นอีกครั้ง นันทาเริ่มครุ่นคิด ถ้าจะให้เขาดูดีที่สุดในสายตาของนักข่าวสายบันเทิง วิจักษ์จะต้องมีออฟชั่นเสริมนั่นก็คือรถยนต์สักคัน

“ถ้าหนูจะให้เขายืมรถ”

“คิดดีแล้วหรือ”

“มันก็น่าดันให้ถึงที่สุดไม่ใช่หรือคะพี่”

“ตามใจแล้วกัน ตกลงกันเอาเองนะ”

เมื่อได้อยู่กับวิจักษ์ในร้านอาหารญี่ปุ่น นันทาจึงได้เอ่ยความในใจออกมา

“คุยกับพี่ต้นแล้ว ช่วงนี้ฉันอยากให้จักษ์มีรถไว้ใช้สักคัน”

“ผมคงไม่มีปัญญาหรอกครับ ขึ้นรถแท็กซี่ไปก่อนดีกว่า”

“มันก็จะดูกระจอกในความรู้สึกของคนที่มอง เอารถฉันไปใช้ จนกว่าเราจะเห็นทิศทางที่แน่ชัดว่าเราจะเดินไปถึงจุดไหนได้ หมายถึงถ้าดังจักษ์ก็จะดังไปเลย เป็นหนุ่มในฝันของสาวๆ แต่ถ้าไม่มีใครสนใจ อย่างน้อยจักษ์ก็ได้พยายามทำมันขึ้นมาแล้ว”

“แล้วคุณ”

“ฉันก็ทนขึ้นรถเมล์ไปทำงาน แต่ฉันเชื่อนะ ไม่เท่าไหร่หรอก จักษ์ก็จะต้องมีเงินซื้อรถคันใหม่ รถเงินไม่ถึงล้าน ถ้ามันรุ่งจักษ์หาได้สบายอยู่แล้ว ลำบากด้วยกันไปก่อนไง ดีไหม”

วิจักษ์มองความขวยเขินที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของนันทาแล้วนึกเห็นใจ หากเรารักใครสักคน เราก็ต้องการทำทุกอย่างให้เขามีความสุข

“ผมขอบคุณในความปรารถนาดีนั้น แต่ผมคงรับไว้ไม่ได้หรอกครับ ผมเป็นผู้ชายผมต้องมีความอดทนมากกว่า”

“แต่เรากำลังคุยกันถึงเรื่องงานนะจักษ์ เรากำลังคุยกันเรื่องอนาคตที่ต้องมีการวางแผนทำ ตัวเองให้เป็นสินค้าให้ได้นะจักษ์ เพราะฉะนั้นจักษ์รับความหวังดีนี้ไปเถอะ ไปถ่ายโฆษณางานแรกนี่จักษ์ขับรถไปเลย อย่าไปกับพี่ต้น อย่ากลับกับพี่ต้น คนก็จะมองว่าจักษ์มีอยู่แล้ว ไม่ใช่พึ่งใครมากมายจนได้ดี มันเป็นจิตวิทยาทางสังคมอย่างหนึ่งนะ”

วิจักษ์เริ่มครุ่นคิดตาม แต่ถึงอย่างไรเขาก็รับความปรารถนาดีนั้นไว้ไม่ได้

“ต่อไปเสื้อผ้าหน้าผมจักษ์จะต้องดูดีตลอด ใครเห็นจักษ์ที่ไหนต้องหันหลังกลับมามอง”

สายตาของนันทาที่ส่งมาให้ขณะพูดคุยนั้น วิจักษ์รู้สึกว่ามันมีทั้งความสุขและความเศร้า ถึงวันนี้เขาจะไม่ได้รักนันทาจนสุดหัวใจ แต่เขาก็มั่นใจว่าชั่วชีวิตนี้คงไม่มีทางลืมผู้หญิงคนนี้เป็นแน่

“รับความปรารถนาดีนี้ไว้นะจักษ์”

“ครับ รับไว้ แต่เรื่องรถผมคงต้องปรึกษาพี่ตรีทศอีกทีหนึ่ง ถ้าในเวลานี้มันจำเป็นจริงๆ พี่ตรีทศคงช่วยผมได้เหมือนกัน”

“งั้นแล้วแต่จักษ์แล้วกัน” นันทาพูดพลางเชิดหน้าที่บึ้งตึงนั้นขึ้นมา





จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 พ.ย. 2555, 08:07:10 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 พ.ย. 2555, 08:07:10 น.

จำนวนการเข้าชม : 1978





<< 41.2/42.1“แต่ผมรักมาลีจริงๆ นะ”   43.1“ทำไมคุณไม่ตัดใจจากผมไป” >>
จุฬามณีเฟื่องนคร 15 พ.ย. 2555, 08:09:41 น.
ขอบคุณจากทุก ๆ แรงใจนะครับ //ตอนนี้ พระอาทิตย์ขึ้นในคืนหนาว ทางเว็บสถาพร มีรายการให้สั่งซื้อแล้วนะครับ เล่มละ 350 บาท สนับสนุนมาลีกันด้วยนะครับ ขอบคุณล่วงหน้าครับ




Orathai 15 พ.ย. 2555, 13:31:50 น.
เคลียร์กับกลยุทธได้ซะทีนะมาลี...ตอนนี้ก็เหลือแต่รมณีย์นี่ละเอาใจช่วยละกัน


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account