Knight At Night ... สงครามรัตติกาล
กาลเวลาพลิกกลับอีกครั้ง...ทุกอย่างกำลังจะได้เวลาเริ่มต้นใหม่ หรือว่าความจริงแล้ว...เพียงแค่ซ้ำรอยเดิมเท่านั้นกัน ? นับพันปีที่ผ่านไป ที่รอคอยคือเธอ หรือว่า..?



เขาส่งเสียงคำรามในลำคอ เสียงกึกก้องคล้ายเสียงสัตว์บาดเจ็บ ...ร้าวราน หากก็มากพอที่จะทำให้หักใจผละจากริมฝีปากหวานล้ำมาเคล้าเคลียพวงแก้มเนียนที่เย็นเฉียบนั่นพร้อมพร่ำกระซิบคำข้างหู

“แต่ถึงอย่างนั้น... ผมก็ยัง...” เขาอ้าปาก งับลงบนติ่งหูก่อนเลื่อนมือข้างหนึ่งไปด้านหลัง ดึงผมที่ท้ายทอยให้วงหน้างามดวงตาสีนิลจับจ้องฟากฟ้าแทน

“ต้องการเธอ”

“ต้องการ...”

".......เธอ"

"........."

"พลังของเธอ!"


Tags: สงคราม, แฟนตาซี, ไซไฟ, รัตติกาล, ปีศาจ, วิวัฒนาการ, อารยธรรม, รัก, โรแมนติก

ตอน: Ch.3


3/0

อรอินทุกลับออกไปแล้ว

หญิงสาวรับข้อมูลกลับไปด้วยความยิ้มแย้ม เห็นชัดถึงความยินดีที่แฝงอยู่แม้จะพยายามเก็บซ่อน แต่หยางก็ยังเห็นมันได้ชัดเจน

เขาเอนกาย พิงพนักเก้าอี้ และเอ่ยปาก
“นั่งก่อนสิ ดื่มอะไรไหม ?”

หญิงสาวก้าวเข้ามาในห้อง ผ่านประตูที่เลื่อนต้อนรับตามคำสั่งเจ้าของ

หล่อนยังไม่มีท่าทีจะทรุดลงนั่งตามคำเชิญ กลับมองมาที่ชายหนุ่มด้วยแววตานิ่งงัน

หยาง กุลนววงศ์สืบเชื้อสายที่ชัดเจนมาจากสองชาติ...ตามชื่อและนามสกุลของเขา วงหน้าคร้ามดูคมคายขึ้นกว่าเดิมด้วยร่องรอยของกาลเวลาที่หล่อนไม่ได้เห็นมาหลายปี ขณะที่ความอ่อนโยนในดวงตายาวเรียวเหมือนมารดาของเขากลับสลายหายไปแทบหาเค้าไม่เจอ

“หยาง” หล่อนเรียก อย่างไม่รู้จะเริ่มต้นอะไรดีไปกว่านั้น

“นั่งสิ” หยางบอกคำเดิม และขยับรอยยิ้มให้

“นายแปลกไป” หล่อนเอ่ยตามที่คิด เมื่อมองเขาอีกครั้ง

หยางเพียงแปลกใจเล็กน้อยเท่านั้น กับคำพูดของหญิงสาว
“ไม่ใช่เปลี่ยนไปหรือ ?” เขาถามง่ายๆ เป็นการยอมรับกลายๆ

หนนี้คนถูกถามกลับนิ่ง เปิดช่องให้คู่สนทนาเอ่ยบ้าง
“เธอก็เปลี่ยนไป”

“อาจจะ” หญิงสาวตอบรับเช่นกัน

หลังจากนั้น ความเงียบก็เข้ามาครอบงำในห้อง และระหว่างคนทั้งคู่ คล้ายจะเน้นย้ำชัด ถึงช่องว่างของห้วงเวลาที่ห่างหายกันไปของแต่ละฝ่าย

จนในที่สุด หยางก็ถอนหายใจ

“นั่งลงก่อนเถอะ จิงเมิ่ง”



3/1

อรอินทุลงมาถึงชั้นล่างด้วยความปลอดโปร่งสบายขึ้น หยาง กุลนววงศ์ผู้เป็นหัวหน้าโครงการที่หล่อนเพิ่งตอบรับไปหมาดๆ แนะนำว่าถ้าหล่อนมีปัญหากับทางที่มา ก็สามารถใช้อีกประตูของตัวตึกได้

พิกัดและทางออกตามที่อีกฝ่ายบอก ได้รับการบันทึกไว้ที่อุปกรณ์ประจำตัวของอรอินทุเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวตั้งค่าให้มันเริ่มการทำงานตั้งแต่เมื่อหล่อนลงมาถึงชั้น 1

“โปรดเลี้ยวไปทางขวา”

เสียงบอกนุ่มนวลนำพาให้หญิงสาวขยับเท้าเดินตาม ไปยังอีกฟากของทางที่ผ่านมา ซึ่งออกแบบเป็นระเบียงยาว ไม่มีภาพประดับติดผนัง เพราะฟากตรงข้ามเจาะเป็นหน้าต่างบานยาวใหญ่ เรียงต่อๆกัน เผยให้เห็นทิวทัศน์ด้านนอก คลับคล้ายเป็นศิลปะแบบยุคโบราณที่ไหนสักแห่ง

อรอินทุเดินไปตามแนวระเบียงนั่น เหลียวไปมองภายนอก ที่เป็นร่มไม้ใหญ่อย่างอดไม่ได้

ลมเย็นพัดสบาย กระทบนาสิกประสาท พร้อมกลิ่นหอมชื่น

เสียงฝีเท้าแผ่วเบา ดังตามหลัง...สะท้อนเป็นจังหวะเดียวกับของหญิงสาว



3/0 P.2

จิงเมิ่ง โหยว มองอดีตเพื่อนร่วมงานที่ไม่ได้เจอกันนานสามปีนิ่งงัน

หากท้ายที่สุด เมื่อเขาชูแก้วให้เป็นเชิงเชิญชวน หล่อนก็ขยับกายลงไปนั่งตามที่เขาบอก

“น้ำชาใช่ไหม” หยางถาม พลางกดโปรแกรมเครื่องทำเครื่องดื่มที่อยู่ใกล้ๆโต๊ะทำงาน “ใบชาจากแอเรียที่ 2 ของภูมิภาคบูรพา บ้านเกิดเธอ”

หญิงสาวไม่ตอบ และไม่ปฏิเสธคำพูดที่บ่งบอกให้รู้ถึงความจำอันแม่นยำในเรื่องเล็กน้อยที่อีกฝ่ายมีเกี่ยวกับเธอ หญิงสาวเสมองไปด้านนอก ซึ่งกระจกห้องใสสะอาดพอที่จะมองเห็นท้องฟ้าและเมฆขาวสะอาดตาได้

เช่นเดียวกับที่แสงแดดแจ่มจ้าสาดส่องเข้ามาในห้อง

สิ่งสุดท้ายทำให้จิงเมิ่งหันกลับมามองผู้ชายที่อยู่ตรงข้ามและเลื่อนแก้วใส่น้ำชาร้อนกรุ่นมาให้เธอ
“นายไม่ได้เปลี่ยนไป” หล่อนบอก

หยาง กุลนวนวงศ์ยิ้มให้กับถ้อยคำนั้นช้าๆ....บ่งบอกชัด ว่าเขารู้ดีว่าหญิงสาวหมายถึงอะไร

และหยางก็ยินดีตอบ

“ใช่” เขารับ “ฉันไม่ได้เปลี่ยน”

เห็นได้ชัดว่าความหมายของประโยคนั้นส่งผลบางอย่างต่อคู่สนทนาของชายหนุ่ม เรียกให้หยางนึกถึงหญิงสาวที่ทำอะไรตรงไปตรงมาที่เขาเคยรู้จักคนนั้น

“นี่ ยัยหนู” เขาเรียกแบบวันเก่าอีกครั้ง “เธอเองก็...ไม่แปลกใจเท่าที่ควรเลยนะ ฉันควรจะถามมากว่าใช่ไหม ว่าเธอรู้เรื่องใน วันนั้น มากน้อยแค่ไหน”

หยางมองวงหน้าที่จ้องมองมา รับแสงระเรื่อของดวงอาทิตย์ขับเน้นดวงตาดำขลับ

เขาถามต่ออีก
“เธอรู้จัก พวกนั้น มาก่อนแล้วใช่ไหม จิงเมิ่ง”



3/1 P.2

อรอินทุเหลียวกลับไปโดยสัญชาตญาณ เมื่อตระหนักถึงเสียงฝีเท้าที่ตามมาด้านหลัง

หล่อนถอนหายใจด้วยความโล่งอก...ที่ตนเองก็บอกไม่ถูก เมื่อเห็นหญิงสาวที่มารับเธอขึ้นไปบนชั้นบน เดินตามมาพร้อมรอยยิ้ม

เจ้าหล่อนออกปากทักอรอินทุขึ้นก่อน ว่า
“เสร็จธุระเรียบร้อยแล้วหรือคะ คุณหลง”

“ค่ะ” อรอินทุตอบคำ อย่างไม่รู้จะตอบอะไรมากไปกว่านั้น

หล่อนจึงได้แต่แปลกใจเล็กน้อย เมื่อฝ่ายตรงข้ามเร่งจังหวะก้าวยาวๆมาใกล้ พลางยื่นมือส่งให้พร้อมแนะนำตัวเอง

“ฉันชื่อ วีรยา เอ็ม แม็กนาสค่ะ คุณหลง เป็นหนึ่งในคนที่จะร่วมโครงการโบราณคดีเกี่ยวกับการสังเกตปรากฏการณ์สุริยุปราคาครั้งนี้ค่ะ”

“คุณทราบได้ยังไงคะ” อรอินทุถามขณะยื่นมือไปสัมผัสผิวหนังที่ค่อนข้างเย็นของอีกฝ่าย “ว่าฉันเข้าร่วมโครงการนี้แล้ว”

วีรยายิ้มให้ เห็นเขี้ยวเล็กๆเก๋ไก๋ขาววับตัดกลีบปากสีชมพูระเรื่อสวยสด และค่อนข้างเข้ากับนัยน์ตาสีทับทิมประหลาดของหล่อน

“ฉันคิดว่าทันทีที่คุณออกจากห้องไป หยางคงรีบใส่ข้อมูลสมาชิกโครงการคนสุดท้ายที่พวกเรากำลังรอลงในระบบทันทีเลยล่ะค่ะ”

อรอินทุยิ้มตอบอย่างไม่สนิทนัก... แอบรู้สึกละอายขึ้นมาในใจเล็กน้อยเหมือนกัน ที่แต่แรกหล่อนตั้งใจจะมาเดินๆแล้วก็กลับออกไป หนำซ้ำยังตั้งท่าจะเตะเรื่องส่งไปให้เพื่อนอีกต่างหาก

“คุณหลงเคยเห็นสุริยุปราคาไหมคะ ?” วีรยาถามเหมือนชวนคุย

“เคยค่ะ” ในฐานะนักศึกษาสาขาดาราศาสตร์ ไม่มีทางที่อรอินทุจะพลาดปรากฏการณ์ทำนองนี้ “ฉันเคยทำงานวิจัยเรื่องการเรียงตัวของดวงดาวเรื่องนี้อยู่ 2 เล่มด้วยค่ะ”

วีรยาเอียงคอ ให้เรือนผมสีทองที่หวีเปิดทัดหูขยับไหวแทบแตะโดนอรอินทุ

“แล้วก่อนหน้าจะมาเรียนล่ะคะ คุณหลงเคยเห็นไหม ?”

“น่าจะเคยนะคะ” อรอินย่นหัวคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนสั่นหน้า “แต่ฉันจำไม่ค่อยได้เท่าไร คงเพราะช่วงนั้นทางสถาบันศึกษาระดับเริ่มต้นเองก็ไม่ได้ให้ความสนใจในเรื่องนี้ด้วยน่ะค่ะ”

“งั้นคุณหลงมาเริ่มสนใจดาราศาสตร์ช่วงไหนเหรอคะ”

“ตอนอยู่สถานศึกษาระดับพื้นฐานขั้นปลายเท่านั้นเองล่ะค่ะ” หล่อนตอบแต่โดยดี เพราะพอเข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายก็คงอยากรู้จักเพื่อนร่วมงานคนใหม่ เช่นเดียวกับหล่อน “แล้วคุณแม็กนาสล่ะคะ”

“คุณเรียกฉันว่า วี ก็ได้ค่ะ” หล่อนแนะ ก่อนจะตอบ “ฉันสนใจในยุคโบราณค่ะ เพราะรู้สึกว่าในยุคนั้นมีอะไรหลายอย่างที่มันคลุมเครือดี”

วีรยาหยุดเดิน พลอยให้อรอินทุต้องหยุดไปด้วย หล่อนหัวเราะกิ๊กเบาๆ ก่อนชี้ให้อรอินทุดูรูปสลักที่อยู่เหนือขอบหน้าต่างบานใหญ่

มันค่อนข้างแปลกตาสำหรับคนถูกชี้ชวน อาคารสาขาวิชาดาราศาสตร์มักมีภาพประดับมากกว่า ซึ่งภาพส่วนมากก็เกี่ยวข้องกับเรื่องดวงดาว แต่ก็นั่นแหละ สาขาวิชาไหน ก็ย่อมติดเรื่องเกี่ยวกับสาขาวิชานั้นอยู่แล้ว

อรอินทุเขม้นตามองภาพนั้น นั่นเป็นรูปแกะสลักของมนุษย์ตัวเล็กๆที่สวมใส่เสื้อผ้าประหลาด และรายล้อมด้วยสัตว์หลายอย่าง ที่หล่อนไม่รู้จัก ทั้งที่มีปีก หรือมีสี่ขาขนยาว ล้วนแต่หน้าตาพิกลทั้งสิ้น

หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคอ... เริ่มระแวงขึ้นมาเล็กๆว่าหล่อนกำลังถูกทดสอบความรู้หรือไม่ และหากเป็นอย่างนั้นจริงๆล่ะก็ บางทีหล่อนอาจจะถูกปฏิเสธเร็วๆนี้แหละ

ใครใช้ให้นอกจากดาราศาสตร์แล้ว ความรู้ด้านอื่นของหล่อนมันแค่พอสอบพื้นฐานผ่านกันเล่า !

แน่นอน...ว่านอกจากเรื่องโบราณคดี ยุคโบราณแล้ว มันก็ต้องรวมถึงเรื่องสัตววิทยาด้วย

“นั่นคือหมาป่าค่ะ คุณเห็นไหม ตัวที่มีสี่ขานั่น” วีรยาอธิบายให้ฟัง “ฉันว่าเสน่ห์อย่างหนึ่งของการเรียนเรื่องยุคโบราณก็อยู่ตรงนี้แหละค่ะ เพราะเราต้องศึกษาเรื่องของยุคนั้น เราก็เลยพลอยรู้กว้างๆเรื่องต่างๆไปด้วย แต่เราก็ไม่ชำนาญเฉพาะทาง”

ชะรอย วีรยาอาจเห็นท่าทางเกร็งขึ้นมาของอรอินทุ หล่อนจึงกล่าวดังนั้น หรือไม่ก็แค่พูดด้วยความบังเอิญ แต่ไม่ว่าอย่างไหน อรอินทุก็ได้แต่ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก และเอ่ยกับอีกฝ่าย

“ฉันไม่ถนัดในเรื่องอื่นนอกจากดาราศาสตร์เลยค่ะ” เธอออกตัว “ถ้าถามด้านอื่นๆล่ะก็ ความรู้ฉันคงพอๆกับเด็กพื้นฐานระดับล่างสุดแน่ๆ”

หญิงสาวที่มีผมสีทองปัดเรือนผมที่ไพล่มาเคลียไหล่ของหล่อนไปด้านหลัง ก่อนพูดกลั้วหัวเราะ

“ความจริง ถ้าเป็นในยุคโบราณ นั่นคงเป็นความรู้พื้นฐานโดยทั่วไปยิ่งกว่าทั่วไปอีกล่ะค่ะ แต่ก็ช่วยไม่ได้นี่คะ ใครใช้ให้พวกมันเป็นหลักฐานทางโบราณคดีในปัจจุบันแล้วกัน”

“นั่นสิคะ” ไม่มีอะไรดีไปกว่าคำนั้น...เท่าที่อรอินทุจะนึกออกในเวลานี้ เพราะต่อให้ถูกบอกว่านั่นคือตัวอะไร แต่นอกจากนั้น เธอก็ไม่รู้อะไรอยู่ดีนั่นแหละ !

เคราะห์ดี ที่วีรยาไม่ได้ชี้อะไรอีก หล่อนก้าวเดินออกไป ให้อรอินทุเดินต่อไปด้วย ผ่านระเบียงยาวที่คราวนี้หล่อนเพิ่งเห็นถนัดว่า มีภาพสลักไล่ต่อเนื่องยาวไปเรื่อยๆ

ส่วนมากเป็นภาพของมนุษย์กับบางสิ่งบางอย่างที่อรอินทุไม่เคยรู้จัก

“งั้นนี่ก็เป็นครั้งแรกเลยสินะคะ ที่คุณหลงจะได้สังเกตปรากฏการณ์ด้วยอุปกรณ์ทางโบราณคดี”

เสียงของวีรยาดึงความสนใจของอรอินทุให้ละจากสิ่งเหล่านั้นอีกครั้ง และหนนี้หล่อนยิ่งกว่าเต็มใจตอบ

“ฉันเคยศึกษาการมองและภาพเหล่านั้นในห้องปฏิบัติการจำลองมาบ้างค่ะ ดังนั้นคิดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไร สำหรับโครงการนี้แน่ๆ”

“โอ๊ย เปล่าค่ะ” วีรยาโบกไม้โบกมือทันใด “ขอโทษนะคะ ฉันแค่ลองถามไปเรื่อยๆเท่านั้นเอง เอาล่ะค่ะ เดี๋ยวคุณจะอึดอัดเสียเปล่าๆ ฉันถามอีกข้อเดียวก็แล้วกันค่ะ....คุณหลง ว่าคุณพอจะมีความจำในด้านประวัติศาสตร์โบราณด้านไหนที่แจ่มชัดหรือเปล่าคะ เผื่อเราจะช่วยจัดข้อมูลเสริมให้คุณได้”

คำถามนั้นมีบางอย่างแปลกๆ แต่อรอินทุตอบไม่ได้ว่ามันแปลกตรงไหน เพราะตอนนั้น สมองของหญิงสาวกำลังเค้นความรู้ในสาขาที่ถูกถามอย่างหนัก

“น่าจะเป็นช่วง... ช่วง....เอ่อ ยุคพลังงานนิวเคลียร์นะคะ?”

นั่นเป็นศัพท์ที่เคยออกข้อสอบ และอรอินทุสอบตกมาแล้ว ! เจ้าคำบ้านี่ ทำให้หล่อนต้องนั่งทำรายงานส่งเพื่อจะสอบผ่านวิชาประวัติศาสตร์ยุคโบราณเชียว !

“อ๋อ...” วีรยารับคำในลำคอ ท่ามกลางอาการใจเต้นตุ่มๆต่อมๆของคนตอบ “ประวัติศาสตร์ยุคโบราณช่วงประมาณ 3 - 5 ศตวรรษก่อนยุคภัยพิบัติที่ทำให้อารยธรรมล่มสลายไปทั้งหมดสินะคะ”



3/0 P.2.5

“ตอนนั้นเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ พลังงานใต้โลกปะทุขึ้นมา ทำให้อารยธรรมต้องล่มสลายไป”

นั่นเป็นการเริ่มเรื่องเล่าของประวัติศาสตร์...ช่วงก่อนที่จะมาเป็นประวัติศาสตร์ยุคปัจจุบันหรือยุคใหม่ที่รู้จักกันดี

ขึ้นต้นด้วยตอนท้ายของประวัติศาสตร์โบราณ...หรือก็คือของโลกยุคเก่าก่อนที่อารยธรรมที่สั่งสมผ่านกาลเวลามาหลายสหัสวรรษจะจบสิ้นลงในพริบตา

แต่มนุษย์กลับยังอยู่

“เล่ากันว่า ภัยพิบัติที่เกิดนั้นรุนแรงในระดับเดียวกับที่ทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์เลยทีเดียว” หยางเอ่ยต่อเหมือนกำลังสอนนักเรียนชั้นพื้นฐาน “และจากหลักฐานทางโบราณคดีก็ยืนยันได้เช่นนั้น แทบจะบอกได้เลยว่า แทนที่จะเรียกมันว่าเป็นภัยพิบัติที่ทำให้อารยธรรมล่มสลาย เรียกอีกนัยหนึ่งว่า ภัยพิบัติที่เกิดมาเพื่อล้างเผ่าพันธุ์ในโลกนี้ไปเลยก็ได้”

“แต่ดีที่เหตุการณ์พวกนั้น...อยู่ในการคาดคะเนของนักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ซึ่ง ด้วยความรู้ที่พัฒนามานี่เอง ทำให้แม้จะไม่สามารถรักษาอารยธรรมหรืออะไรอีกหลายๆอย่างไว้ได้ แต่อย่างน้อย มนุษย์ก็ไม่สูญพันธุ์ หนำซ้ำ วิทยาการต่างๆก็มีการบันทึกไว้อย่างละเอียด พอที่จะทำให้เวลาแค่ไม่ถึงสามพันปี เราก็สามารถวิวัฒนาการอย่างทุกวันนี้ได้”

บทบรรยายพื้นฐาน...ที่เด็กทุกคนต้องเรียนจบลงแค่นี้ และหยางก็เงียบไปเช่นกัน ขณะที่ผู้ฟังเพียงหนึ่งเดียวซึ่งพ้นวัยเรียนพื้นฐานระดับล่างไปเนิ่นนานแล้วค่อยๆสูดกลิ่นหวานหอมของชาที่ตนเองคุ้นเคย

ชายหนุ่มถอนหายใจ แหงนหน้าขึ้น มองโคมไฟที่ตกแต่งตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ยุคโบราณ ช่วงศตวรรษที่ 19

“ฉันก็เคยเชื่อแบบนั้น โดยไม่มีข้อสงสัยเลย” เขาว่า

น้ำเสียงแปลกแปร่ง ที่เกือบจะแฝงความสะเทือนใจนั่นเกือบทำให้จิงเมิ่งทอดถอน

“มันก็เป็นความจริงนี่” หล่อนบอกเขา “อย่างน้อยเรื่องพวกนั้นก็ไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องโกหก”

“อ้อ...” เขาเลิกคิ้ว ท่าทางล้อเลียน “แค่ “บอกไม่หมด” ไม่ถือว่าโกหกใช่ไหมล่ะ”

หญิงสาวนิ่งไปอึดใจ

“หยาง...” หล่อนเรียกเขาได้ในท้ายที่สุด “ฉันไม่รู้หรอกนะ ว่าจะเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น”

“ฉันรู้น่า” เขายิ้มให้หล่อน ด้วยรอยยิ้มเดิมอีกครั้ง “มันไม่ได้เป็นความรับผิดชอบของเธอเลย ฉันไม่ได้จะโทษเธอเรื่องนี้หรอกนะ อย่าคิดมากเลย ความจริง....คนที่ผิดคาดกับเรื่องนั้นจริงๆก็ไม่ใช่ใครในคณะสำรวจทั้งนั้นแหละ”

ท้ายประโยค หางเสียงของเขาต่างไปอีกครั้ง และเป็นสิ่งที่ทำให้จิงเมิ่งต้องมองชายหนุ่มผิวคล้ำนิ่งงัน

“คนที่ผิดคาด” หล่อนทวนคำ หากก่อนที่จะเอ่ยอะไรมากกว่านั้น หยางก็ส่ายหน้า

“อย่าคิดมากกว่านั้น จิงเมิ่ง” เขาเรียก อย่างที่น้อยครั้งจะเรียก แต่ก็บอกให้รู้ว่ามันจริงจังเพียงไหน “ฉันอยากให้เธอถอยห่างออกจากเรื่องนี้ซะ ยัยหนู ถ้าจะให้ดี...ก็เชื่ออย่างที่ฉันเคยเชื่อดีกว่า”

เขาถอนหายใจ ขณะที่หญิงสาวผู้ฟังได้แต่สั่นหน้า

หยางมองหล่อนกลับ ดวงตาของเขาทอประกายประหลาด ก่อนคิ้วคมเข้มจะขมวดเข้าหากันแน่น ชายหนุ่มทำท่าคล้ายจะขยับปากเอ่ยบางสิ่ง หากสุดท้ายเขาก็ก้มหน้าลง กรามบดเข้าหากันแน่นจนเป็นสันนูน

“หยาง...” หญิงสาวร้องเรียก ขยับลุกขึ้นยืนก่อนชะงัก

หยางเงยหน้าขึ้น แต่หล่อนรู้ดีว่านี่ไม่ใช่หยางที่หล่อนรู้จักอีกต่อไป

เมื่อมองสบดวงตาสีทับทิมเข้มจัดบนวงหน้าคร้ามคมคู่นั้น



3/1 P.2.5
“แล้วค่อยพบกันนะคะ คุณหลง” วีรยาเอ่ยกับหญิงสาวที่กำลังจะก้าวขึ้นรถรับส่ง ซึ่งฝ่ายนั้นก็ผงกหัวและโบกมือให้หล่อนเช่นกัน

หญิงสาวร่างระหง แลดูปราดเปรียวด้วยความสูงตามแบบชาติพันธุ์ฟากตะวันตกหันกายกลับ เมฆก้อนใหญ่เคลื่อนเข้าบังแสงอาทิตย์ในชั่วพริบตา ก่อนที่หล่อนจะก้าวกลับเท้าเข้าไปในอาคาร จนหญิงสาวต้องเงยหน้าขึ้น

เสียงหวีดร้องแหวกผ่านอากาศก้อง แหลมคมจนแทบจะต้องยกมือขึ้นอุดหู เมื่อพญาวิหคร่างสีดำปลอดทะยานผ่านไปในอย่างฉิวเฉียด

เมฆทะมึนเคลื่อนที่ เผยให้เห็นเงารางที่ปรากฏอย่างฉับพลัน.....ของเรือนร่างสูงใหญ่กำยำ ตามแบบฉบับของบุรุษเพศทุกประการ พร้อมส่งเสียงคำรามกลับ

“ไปให้พ้น อย่ามายุ่ง !”

เขาข่มขู่กึ่งคำราม นัยน์ตาที่เป็นสีแดงฉานส่องประกายวาบคล้ายแต้มด้วยหยาดโลหิต

“หนนี้....จะไม่พลาดเหมือน ตอนนั้น แน่นอน !”


ปักษาร่างดำส่งเสียงร้องตอบบางอย่าง ก่อนโผบินขึ้นบนฟ้าพร้อมเมฆที่เลื่อนลับปล่อยให้แสงอาทิตย์สาดลงมา

วีรยา เอ็ม แม็กนาส ได้แต่เบิกดวงตาสีแดงของหล่อนกว้าง...พร้อมเนื้อตัวที่สั่นเทาไปหมดอย่างไม่อาจห้ามได้



3/2

“คุณเป็นใคร” จิงเมิ่ง โหยว ถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา

ร่างที่นั่งอยู่ตรงหน้า ยังคงเป็นเพื่อนสนิทในโครงการศึกษาสาขาวิชาเดียวกันกับหล่อนไม่ผิดแน่ หากจะมีผิดแผก...ก็คงเป็นดวงตาสีแดงเหมือนอัญมณีสีสดคู่นั้น

ทว่า จิงเมิ่งรู้ดีกว่านั้น ว่ามีอีกสิ่งที่ผิดแผกไป

‘ภายใน’ นั้น...ไม่ใช่ หยาง กุลนววงศ์อีกต่อไป !


“เจ้านาย...” คนแปลกหน้าเอ่ย..ด้วยเสียงของหยาง แต่ต่างด้วยจังหวะจะโคนและโทนทุ้มที่ต่ำกว่าเล็กน้อย “เจ้านายของคนๆนี้”

หญิงสาวที่ยืนอยู่หรี่ตา ขณะที่สองมือกำแน่น น้ำเสียงที่ถามกลับยังเป็นปกติ
“งั้นฉันควรจะถาม ว่าคุณเป็นอะไรมากกว่าหรือเปล่า”

เขาเอียงคอ...อันเป็นกริยาที่หยางไม่มีวันทำ คล้ายจะมองทะลุบางอย่างผ่านร่างของหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้า
“ได้สิ” เขาตอบในที่สุด “แลกกับที่เธอจะบอกผม ว่าเธอเป็นทายาทของใคร”

ริมฝีปากบางเฉียบเม้มไปเล็กน้อย แต่ก่อนที่จะเอ่ยอะไรออกไป ฝ่ายตรงข้ามก็คล้ายจะเดาออก
“ผมจะตัดสินเอง” สุ้มเสียงของเขาไม่แข็งกร้าว แต่ก็หนักแน่นบอกความมั่นใจตนเองเสียยิ่งกว่าเธอด้วยซ้ำ “ว่าผมจะรู้จักหรือไม่รู้จัก เธอก็ตอบ...ตามน้ำหนักที่เธอเห็นสมควร ดีไหม?”

มันเหมือนเป็นทางเลือก ทว่าสำหรับคนที่มองสบนัยน์ตาคู่นั้นในชั่ววูบอย่างจิงเมิ่งยิ่งกว่ารู้...หล่อนไม่มีทางเลือก !

“โหยว ฟ่านไฉ” เธอเอ่ยออกไป เลือกใช้วิธีเรียกแบบโบราณที่ไม่ปรากฏแล้วในปัจจุบัน พลางดึงกระดาษแผ่นหนึ่งที่แน่ใจว่าไม่ใช่ของสำคัญ เขียนอักษรตามคำบอกนั้น

ชายหนุ่มกวาดตามองสิ่งที่หล่อนเขียนให้เพียงชั่วแล่น ก่อนหันมาหาเธอ และเอ่ยด้วยน้ำเสียงของหยาง..ที่ไม่เหมือนหยาง

“ผมเป็น....สิ่งมีชีวิตที่ครั้งหนึ่งผู้คนเขียนให้ผมไม่สามารถอยู่ใต้แสงอาทิตย์ได้ ไม่งั้นจะต้องตาย และดื่มเลือดเป็นอาหาร เว้นจากโดนเสียบที่หัวใจ ตัดคอ หรือทิ้งไว้กลางแสงแดดแล้ว จะไม่มีวันตาย และไม่แก่”

เขาเว้นจังหวะ ก่อนคลี่ยิ้ม

“เอาล่ะ เธอรู้หรือยัง ว่าจะเรียกผมว่าอะไร ?”

จิงเมิ่งเบิกตากว้างกับคำบอกที่ตรงไปตรงมายิ่งกว่าที่เธอคิด และถ้อยคำแผ่วเบาหลุดออกมาจากริมฝีปาก



3/3

อรอินทุปิดปากหาวเล็กน้อย เมื่อลงจากรถกลับมาที่ตึกเรียนของสาขาวิชาตนเองในที่สุด ซึ่งถึงไม่ต้องเหลือบมองเวลา เธอก็พอจะเดาได้ว่าป่านนี้ คาบวิชาคงเริ่มไปพักใหญ่แล้ว

หญิงสาวยักไหล่ ตัดสินใจส่งข้อความบอกมิคาเงะ ว่าหล่อนขอเปลี่ยนสถานที่นัดจากห้องเรียนเดิมของหล่อน ไปเป็นที่คลังข้อมูลของภาควิชาแทน

คลังข้อมูลของสาขาวิชาดาราศาสตร์อยู่ที่ชั้น 3, 14 , 15 และ 22 อรอินทุเลือกใช้บริการชั้นใกล้ที่สุดคือ ชั้น 3 ซึ่งช่วงเวลานี้เริ่มมีผู้คนหนาแน่นเล็กน้อย เนื่องจากนักเรียนของสาขาทั้งหลายเริ่มตื่นกันขึ้นมาแล้ว

ถึงจะเรียกว่าเป็นคลังข้อมูล แต่ที่นี่ก็ไม่มีข้อมูลอะไรเก็บไว้ มีแต่จุดปล่อยสัญญาณคลื่นพิเศษที่ได้ตั้งค่าไว้ เพื่อให้ผู้มาใช้บริการสามารถเข้าไปในระบบข้อมูลที่เก็บไว้ และเลือกอ่านเรื่องที่ตนสนใจได้ ดังนั้น ถึงแม้จะเริ่มมีคนเยอะ แต่เมื่อมาคนเดียว อรอินทุก็จัดแจงเลือกเก้าอี้หน้าบาร์เครื่องดื่มที่อยู่มุมหนึ่งของคลัง และจัดแจงเชื่อมต่อคลื่นสัญญาณทันที

เนื่องจากหลายคนกำลังคร่ำเคร่งกับการดูข้อมูล ที่นี่จึงถูกห้ามใช้เสียงเกินกว่าระดับที่ตั้งไว้ หากเกินเมื่อไร คนนั้นจะเด้งออกจากระบบข้อมูลทันที อรอินทุจึงต้องเปลี่ยนระบบการระบุรหัสผ่านยืนยันตัวตนไปเป็นการยืนยันด้วยลายนิ้วมือแทน ก่อนที่ระบบข้อมูลจะปรากฏขึ้นเป็นหน้าจอเล็กๆเบื้องหน้า

หากเป็นโดยปกติ...วันนี้อรอินทุคงจะเรียกแฟ้มข้อมูลเกี่ยวกับบันทึกสภาพท้องฟ้าเมื่อคืนมาดูเป็นแน่ แต่หนนี้เธอลังเลเล็กน้อย ก่อนกรอกคำว่า “ประวัติศาสตร์” ลงไปในสิ่งที่ต้องการค้นหา

หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ เมื่อจำนวนแฟ้มที่ปรากฏคือ 1,123,638,965 แฟ้ม...ซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับดาราศาสตร์

“ขอโทษที” หล่อนหันไปหาคนของบาร์ที่เดินไปมาอยู่ใกล้ๆ “ถ้า...เอ่อ ถ้าฉันอยากได้หนังสือประวัติศาสตร์ระดับพื้นฐานนี่จะ... เอ่อ?”

แววแปลกใจปรากฏในดวงหน้าฝ่ายตรงข้าม หากเขาก็ยอมตอบแต่โดยดี

“ถ้าคุณต้องการใช้งานแบบละเอียดและยาวนาน ผมแนะนำให้คุณซื้อใหม่ดีกว่า เพราะหนังสือประวัติศาสตร์ระดับพื้นฐานมีข้อมูลค่อนข้างมาก และอาจมีคนใช้งานมากด้วย แต่ถ้าคุณใช้งานเฉพาะหัวข้อบางเรื่องในนั้น คุณไปที่ชั้น 22 แล้วติดต่อบรรณารักษ์ที่นั่นได้เลย เขาจะเชื่อมต่อข้อมูลให้คุณอีกสัญญาณ”

หญิงสาวกะพริบตาปริบ ไม่อยากบอกว่า ที่หล่อนต้องการ....ไม่ใช่อะไรทั้งนั้นแต่เป็นคำตอบตอนท้ายสุดๆของเขานี่แหละ หากหล่อนก็ไม่ลืมที่จะขอบคุณเขา ก่อนออกจากคลังข้อมูลของชั้น 3

หนนี้อรอินทุยังไม่ตัดสินใจส่งข้อความให้มิคาเงะ เพราะหล่อนจะต้องแน่ใจก่อนว่าหล่อนจะยังนั่งอยู่ที่ชั้น 22 ได้จนกว่าอีกฝ่ายจะมาจริงๆ

หญิงสาวกำลังจะก้าวเท้าเข้าไปในลิฟต์....ตอนนั้นเอง ที่แขนของหล่อนโดนกระชากอย่างแรงจนตัวปลิว !

อรอินทุอยากอุทาน แต่หล่อนไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ หนึ่งนั้นเพราะร่างกายเจ็บจนพูดไม่ออก

กับอีกประการคือ หล่อนไม่รู้จะพูดอะไรดีกับภาพที่เห็นเบื้องหน้านั่น

......นั่น.....คือสิ่งที่ราวกับก้าวออกมาจากภาพแกะสลัก ในสาขาวิชาโบราณคดียุคประวัติศาสตร์โบราณ !


+ + + + + +

ฟู่ เกือบมาไม่ทัน(?)ส่งตอนนี้แล้วค่ะ ><

อ่านแล้วมีใครรู้สึกไหมคะ ว่านี่มันเรื่อง(บ้า)อะไรกันย^^"




อมราวตี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 พ.ย. 2555, 00:15:27 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 พ.ย. 2555, 00:15:27 น.

จำนวนการเข้าชม : 954





<< Ch.2   Ch.4 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account