สื่อสลับขั้ว
เมื่อ "วุ้น" สาวหวานเรียบร้อย กับ "ปาล์ม" หนุ่มตี๋ขี้อาย คิดจะปลูกต้นรักออนไลน์ เลยร้อนถึงเพื่อนซี้ อย่าง "แพท" กับ "บิ๊ก" ที่ต้องเข้ามาช่วยแก้ปัญหาให้คนทั้งคู่
ก็เพราะว่าจีบกันดีๆก็คงจะไม่สนุก จึงต้องลากเอาเพื่อนๆ เข้ามาวุ่นวายด้วย เนื่องจากสาวเจ้าไม่มั่นใจในความงามของตัวเองจึงส่งรูปเพื่อนสาวตัวดีไปให้หนุ่มดูซะได้ ทางฝ่ายชายก็กำมะลอไม่แพ้กัน ส่งรูปหนุ่มหล่อระเบิดมาให้สาววุ้นฝันหวานถึงขั้นเก็บไปเพ้อแล้วเพ้ออีก เรื่องราวรักวุ่นๆ ครั้งนี้จะลงเอยอย่างไร
ก็เพราะว่าจีบกันดีๆก็คงจะไม่สนุก จึงต้องลากเอาเพื่อนๆ เข้ามาวุ่นวายด้วย เนื่องจากสาวเจ้าไม่มั่นใจในความงามของตัวเองจึงส่งรูปเพื่อนสาวตัวดีไปให้หนุ่มดูซะได้ ทางฝ่ายชายก็กำมะลอไม่แพ้กัน ส่งรูปหนุ่มหล่อระเบิดมาให้สาววุ้นฝันหวานถึงขั้นเก็บไปเพ้อแล้วเพ้ออีก เรื่องราวรักวุ่นๆ ครั้งนี้จะลงเอยอย่างไร
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอนที่ 3
ผ่านงานมหาโหดไปได้อีกหนึ่งวัน พราวตะวันต้องถอนใจเฮือกใหญ่ เมื่อนึกถึงภาพตัวเองยืนบรรยายสรรพคุณอาหารเสริมสุขภาพยี่ห้อใหม่สลับกับร่วมเล่นเกมกับผู้ที่สนใจ มาตลอดช่วงบ่ายจนถึงเย็น รวมทั้งเสียดุลทางสายตาให้หนุ่มน้อย หนุ่มใหญ่ และไม่หนุ่มทั้งหลายมาหลายชั่วโมง
หญิงสาวกระโดดขึ้นรถไม่ทันได้เช็ดหน้าเช็ดตา เพราะเหนื่อยเกินกว่าที่จะทำอะไรได้ หวังแค่ขับรถกลับให้ถึงบ้านเสียก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง เว้นจากนัดครั้งสุดท้ายกับ ‘คุณปาล์มกำมะลอ’ และได้พบกับนางร้ายตุ๊กแก มาได้เกือบอาทิตย์แล้ว ‘คุณปาล์มกำมะลอ’ ติดต่อมาทุกวัน แต่ก็ยังไม่มีเวลาเจอกันตาม ‘แผนดัดนิสัย’ เสียที
รถคันกลางเก่ากลางใหม่แล่นออกจากห้างสรรพสินค้าดังใจกลางกรุงเทพ ได้พักเดียว เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ‘คุณปาล์มกำมะลอ’ ส่งเสียงนุ่ม ทุ้มชวนฟัง ผ่านหูฟังโทรศัพท์มา เมื่อหญิงสาวกดรับสาย
“สวัสดีครับ คุณวุ้น”
น้ำเสียงยั่วเย้า น่ารักชะมัด พราวตะวันรู้สึกว่าความเหนื่อยล้า หายเป็นปลิดทิ้ง
“นี่คุณ เลิกเรียกฉันว่าวุ้นได้แล้วนะ รู้ ๆ กันอยู่ ยังมายั่วอยู่ได้”
น่าโมโหนะ ถ้าเป็นคนอื่น พราวตะวันคงแฟ่ด ๆ ใส่ไปแล้ว แต่กับชายหนุ่มปลายสายคนนี้ น้ำเสียงกลับปนด้วยความขวยไปเสียได้
“ก็ซ้อมไว้ให้เคยชินไงครับ เพราะคราวหน้าเราต้องจับสองคนนั้นมาเจอกันพร้อม ๆ กับเราด้วยจะได้ไม่หลุด”
“ค่า...คุณปาล์ม”
อดไม่ได้ที่จะหยอกกลับเหมือนกัน พลางนึกถึงเมื่อตอนกลับจากนัดครั้งที่แล้ว แล้วโทรไปหลอกเวณิกาตามแผนการของบดินทร์ว่า ตนยังไม่ได้บอกความจริงเพราะไม่กล้า กลัวชายหนุ่มจะเสียใจ น้ำเสียงของเวณิกาที่ส่งมาตามสายทำเอาหล่อนสงสารเพื่อนอยู่ตะหงิด ๆ แต่ไหน ๆ วางแผนมาแล้ว ก็เลยต้องเล่นบทเสียอกเสียใจที่ไม่ได้บอกความจริงแทนเพื่อน
เวณิกาก็เหมือนเคย หัวอ่อนเชื่อง่าย ทำเอาพราวตะวันต้องมานั่งนึกว่าคบกันมาเป็นสิบปี เวณิกาไม่นึกรู้เลยหรือว่าผู้หญิงอย่างพราวตะวันไม่ใช่คนที่จะมานั่งกลัว นั่งสนใจความรู้สึกใคร
‘โธ่...แพทน่ะ วุ้นก็นึกว่าแพทบอกความจริงกับคุณปาล์มเขาไปแล้วเสียอีกนะ’
‘คราวหน้าวุ้นก็บอกเขาเองสิ ถ้าเขานัดมาอีก ฉันไม่ได้ขอเบอร์เขาไว้ ก็ติดต่อกันให้มันรู้เรื่องรู้ราวกันไป ถ้าเขาโทรมาที่ร้านอีก วุ้นจะบอกเขาเองก็ได้นี่นา’
พราวตะวันพูดเสียงอ่อนหวานอย่างที่ตัวเองก็ยังแปลกใจตัวเอง สมใจอยู่ลึก ๆ อยู่เหมือนกันที่ได้ดัดนิสัยเพื่อนเสียบ้าง เวณิกาควรจะเป็นผู้ใหญ่ขึ้น รับผิดชอบการกระทำของตัวเองให้มากขึ้น
‘ไม่ดีมั้งแพท ฉันว่าบอกทางโทรศัพท์มันดูยังไงก็ไม่รู้เหมือนกันนะ’
‘งั้นก็บอกเขาตอนนัดครั้งหน้าก็แล้วกัน เฮ้อ...แต่บอกตรง ๆ นะวุ้น ว่าเขาคงทำใจยาก เขาดูปลื้มฉันมาก ๆ เลย’
พูดไปแล้วหญิงสาวยังนึกแปลกใจตัวเองที่พูดได้แนบเนียนมากขนาดนั้น อาจจะเพราะออกจะมั่นใจนิด ๆ ว่า ‘คุณปาล์ม’ ตามความเข้าใจของเวณิกานั้น ปลื้มหล่อนอยู่เหมือนกัน
‘แล้วจะทำยังไงดีละแพท ฉันไม่อยากให้คุณปาล์มเขาเสียความรู้สึก’
เสียงเพื่อนฟังหดหู่ จนพราวตะวันอดจะสงสารไม่ได้ เลยพูดปลอบไปตามจริง เป็นประโยคที่พูดจริงประโยคแรก หลังจากโกหกมาชุดใหญ่
‘ก็ค่อย ๆ แก้ไขกันไป ไม่มีอะไรร้ายแรงหรอกวุ้น เชื่อฉัน’
อีกฝ่ายรับคำเบา ๆ ก่อนที่จะตัดสายไป
“ช่วงนี้งานคุณหมดรึยัง”
เสียงจากปลายสายยังน่าฟังเสมอต้นเสมอปลาย แต่จะว่าไปแล้ว ต้นกับปลายก็ยังห่างกันไม่ชนอาทิตย์ดี พราวตะวันถอนใจเหนื่อยหน่าย
“หมดแล้วค่ะ วันนี้ฉันฉีกยิ้มจนปากใกล้จะกว้างกว่าหน้าอยู่แล้ว พูดทั้งวันเหมือนคนบ้า”
หญิงสาวละไว้ว่าชุดที่ใส่ก็สั้นกว่ามาตรฐานไปสักหน่อย ทำเอาพราวตะวันอึดอัดเมื่อเห็นสายตากะลิ้มกะเหลี่ยหลายคู่มองมา ขนาดเดินมากับเมีย กับลูกเต้าแท้ ๆ แต่ด้วยหน้าที่จึงทำได้แค่นึกเคืองในใจ
“ขยันนะคุณ”
“ไม่ขยันก็ลำบากสิคะ ฉันไม่ใช่ลูกเศรษฐีคาบทัพพีทองฝังเพชรมาเกิดนะคะ จะได้อยู่เฉย ๆ แล้วมีกิน”
ปลายสายหัวเราะเบา ๆ กับการเปรียบเปรยของหล่อน คนบ้าอะไรก็ไม่รู้ ขนาดเสียงหัวเราะยังฟังอบอุ่น น่ารักขนาดนี้
“ขยัน ๆ อย่างนี้ดีนะคุณ ผมชอบ เอาล่ะคุณขับรถอยู่ใช่ไหม ผมก็กวนก็แล้วกันนะ คุณจะได้มีสมาธิขับ ช่วงนี้ถ้าคุณว่าง เดี๋ยวเราค่อยนัดกันอีกที แล้วพรุ่งนี้ผมจะโทรไปอีก”
พราวตะวันได้แต่รับคำ ยิ้มให้กับตัวเอง โลกสดใสขึ้นเป็นกอง สนิมที่เกาะบนรถเมล์คันที่จอดนิ่งข้าง ๆ ยังดูสวยแปลกตาไปได้ หญิงสาวถอนใจ เขาจะชอบหล่อนมากแค่ไหนกันเชียว อาจจะแค่ไม่เคยเจอผู้หญิงปากไว พูดอะไรโผงผาง ตรงไปตรงมาอย่างหล่อนก็เป็นได้ อีกหน่อยไอ้ที่ว่าดีตอนนี้ อาจจะกลายเป็นข้อเสียไปก็ได้ พวกหนุ่ม ๆ หลายคนที่มาจีบพอเจอฝีปากหล่อนไปเท่านั้นแหละ เผ่นกันป่าราบไปหลายราย
แม้จะกลับถึงบ้านเวลาล่วงเข้าเกือบสี่ทุ่มแล้ว แต่ตาพุธกับยายแวว ยังนั่งอยู่ที่ชุดรับแขกหน้าบ้าน จ้องเครื่องรับโทรทัศน์ตาไม่กระพริบ ยายแววนั้นติดละคร ส่วนตาพุธติดยายแวว ทั้งสองจึงนั่งคู่กันดูละครโทรทัศน์จนดึกดื่นทุกคืน
“อ้าว นั่นหลานกลับมาแล้วยาย”
ตาพุธลุกขึ้นมาชะโงกหน้ามอง รีบเดินออกมาเปิดประตูรั้วให้หลานสาว แม้วันจะล่วงเลยจะย่างเข้าเจ็ดสิบกันในอีกไม่กี่ปีแล้ว แต่สองตายายก็ยังแข็งแรง กระฉับกระเฉง สุขภาพดี เพราะไม่เคยอยู่เฉย ออกกำลัง ทำงานบ้านอยู่ตลอดเวลา เมื่อหลานสาวคนเดียวขับรถเข้ามาจอดในบ้าน ตาพุธก็ปิดล็อคกุญแจประตู ยิ้มแย้มทักทายหลานสาว
“เป็นไงบ้าง ยายแพท ตากำลังนึกห่วงอยู่เชียว”
“สบายมากค่ะคุณตา แพท...”
หญิงสาวพูดไม่ทันจบก็ยกมือปิดปากหาว
“เอ่อน่ะ ท่าทางจะง่วงมากนะเรา ไป ๆ ไปอาบน้ำอาบท่า นอนหลับพักผ่อนได้แล้ว พรุ่งนี้ตากับยายว่าจะชวนไปเดินจตุจักรสักหน่อย อยากจะเปลี่ยนสภาพอ่างปลาดูบ้าง”
“ค่ะ พรุ่งนี้แพทจะเป็นสารถีขับรถให้คุณตาคุณยายเต็มที่เลย”
หญิงสาวเดินตามผู้เป็นตาเข้าบ้าน แล้วชะงักกับเสียงแว้ด ๆ ที่ดังจากเครื่องรับโทรทัศน์
“ดูอะไรอยู่คะคุณยาย เสียงดังแสบหูพิกล”
พราวตะวันนั่งลงบนโซฟาข้าง ๆ ยายแวว โอบกอดหญิงชราอย่างออดอ้อนเอาใจ
“ละครเรื่องนี้สนุกดีนะยายแพท ยายดูแล้วติด ดูตัวร้ายตัวนี้สิ เล่นร้ายได้น่าชังเสียจริง ๆ”
พราวตะวันมองภาพบนจอโทรทัศน์ ตวงพร แม่สาวตุ๊กแกของบดินทร์ กำลังเต้นเร่า ๆ ส่งเสียงกรี๊ด ๆ ชนิดที่คนปกติคงทำไม่ลง ถึงนิสัยจะรั้นร้ายแค่ไหนก็ตาม พระเอกของเรื่องนั้นเป็นดาราหน้าใหม่ ที่พราวตะวันเคยเห็นแสดงละครอยู่สองสามเรื่อง และยังคงเล่นได้เป็นธรรมชาติของก้อนหิน ท่อนไม้ได้คงเส้นคงวา ส่วนนางเอกนั้น เป็นดาราที่โด่งดังมาตั้งแต่เล่นละครเด็ก โชคดีที่โตขึ้นหน้าตายังคงเค้าความสวยงาม น่ารักเหมือนวัยเด็ก และการแสดงก็ถือว่าเข้าขั้นทีเดียว เพราะได้ฝึกหัดตั้งแต่ยังเล็ก
“ตัวจริงไม่รู้จะร้ายเหมือนในละครรึเปล่านะ ดูตา ดูปากเขาร้าย ๆ เอาเรื่องเหมือนกัน”
ผู้เป็นตาตั้งข้อสังเกต ตวงพรมีเค้าหน้าของนางร้ายละครไทย และจะด้วยเล่นร้ายต่อเนื่องหรือไม่ก็ยากจะคาดเดา ดวงตาจึงดูดุดัน เหมือนจะถลนออกจากเบ้าอยู่ตลอดเวลา โชคดีที่ใบหน้ามีเค้าความงามอยู่มาก จึงเป็นนางยักษ์ภาคแปลงกาย ไม่ใช่นางยักษ์ภาคน่าเกลียดน่ากลัวตัวจริง
“ก็คงจะคล้าย ๆ ในละครมั้งคะคุณตาคุณยาย”
พราวตะวันตอบอย่างไม่สนใจนัก นึกเบื่อหน้านางร้ายคนนี้ขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนก็เคยผ่านตาผลงานของนางร้ายสาวมาไม่น้อย
“แพทขอขึ้นไปอาบน้ำ นอนแล้วนะคะคุณตาคุณยาย”
หญิงสาวยกมือปิดปากหาวอีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นยืน มองภาพในจอโทรทัศน์ก่อนจะผละไป กล้องกำลังจับภาพตวงพร ถลึงตาใส่นางเอกเข้าพอดี พราวตะวันลูบแขนป้อย น่าขนลุกพิกล ผู้หญิงอะไรก็ไม่รู้ นางร้ายเสียไม่มีล่ะ นึกแล้วหญิงสาวก็ชักแหยง เพี้ยง ! ขออย่าให้ได้เจอแม่ตุ๊กแกตัวเป็น ๆ อีกเลย ยิ่งถ้าเกิดแม่คุณเฮี้ยน โผล่มาจ๊ะเอ๋ตอนกำลังปฏิบัติการดัดหลังเพื่อนอยู่ด้วยแล้วละก็ มีหวังแผนแตก
ช่วงบ่ายของวันหยุดค่อนข้างวุ่นวาย คนเข้าออกร้านตลอดเวลา ปริวัตรจึงหัวหมุน ช่วยรับออเดอร์และเสิร์ฟอาหารวุ่นอยู่ในร้าน ร่างเจ้าเนื้อเคลื่อนที่ว่องไวกว่าที่ใครจะคาด
“ป๊า ๆ ขาหมูสอง หมูกรอบหนึ่ง แข็งเปล่าสาม โค้กสาม โต๊ะแปด”
ปริวัตรตะโกนสั่งก่อนที่จะเอากระดาษที่จดรายการอาหารไปวาง ปาดเหงื่อที่ไหลซึมบนใบหน้า มองไปทางหน้าร้าน เห็นบดินทร์เดินมาแต่ไง
“ไงวะไอ้บิ๊ก วันนี้จะมาช่วยข้าหรือว่าจะมาเป็นลูกค้า”
“มาช่วย ข้าจะต้องไปจัดงานโชว์สินค้าที่เชียงใหม่อาทิตย์หน้า เอ็งไปเป็นเพื่อนข้าหน่อยสิ”
“ห๊า...”
เสียงชายหนุ่มลูกเจ้าของร้าน ตัวอวบ ๆ ขาว ๆ เรียกสายตาลูกค้าในร้านได้ชะงัก ปริวัตรหันไปเห็นสายตาพิฆาตของผู้เป็นพ่อแล้วกลืนน้ำลาย
“เดี๋ยวค่อยคุยกัน จะกินอะไรไปบอกพ่อข้าโน่นเลย”
ปริวัตรบอกแล้วผละไปรับรายการอาหารจากลูกค้าโต๊ะที่เพิ่งจะเข้ามานั่งใหม่
บดินทร์จัดการข้าวหมูแดงจานพิเศษที่พ่อเพื่อนประเคนใส่ทั้งหมู ทั้งไข่เต็มที่ คนในร้านเริ่มซา อาหารเหลือเพียงแค่ไม่กี่รายการแล้ว ปริวัตรจึงมีเวลาได้นั่งพัก
“เอ็งจะไปเชียงใหม่ แล้วเรื่องที่จะช่วยข้าล่ะ ที่เอ็งจะบอกความจริงกับคุณวุ้นให้ข้า”
บดินทร์ทำสีหน้าเรียบเฉย ทั้งที่ในใจนึกหงุดหงิดอยู่บ้าง ที่ปริวัตรมักจะให้เขาช่วยสะสางเรื่องต่าง ๆ อยู่เสมอ ส่วนตัวปริวัตรเองนั้นลอยตัวเหนือปัญหา แต่ด้วยความที่สนิทสนมคุ้นเคยกัน อีกทั้งปริวัตรเองก็คอยช่วยบดินทร์อยู่หลายเรื่อง ชายหนุ่มจึงไม่ได้ว่ากล่าวอะไรเพื่อนนัก
“แล้วทำไมเอ็งต้องเอาข้าไปด้วย พ่อข้าได้เอาตายสิ ไม่อยู่ช่วยงานร้าน”
“เมื่อกี้ข้าพูดให้แล้ว ส่วนเหตุผลที่ข้าต้องเอาเอ็งไป...ก็...”
“คุณตุ๊กของแกล่ะสิ” ปริวัตรเดา
“ไม่ใช่ของข้า คุณตุ๊กเฉย ๆ เว้ย…คุณตุ๊กเขาเป็นหนึ่งในบรรดานางแบบที่จะไปโชว์สินค้าของบริษัท”
ตวงพรนั้นเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป หุ้นส่วนคนอื่น ๆ ของบริษัทนั้นต้องการให้หญิงสาวเป็นแบบสินค้าตัวใหม่ บดินทร์จึงไม่อาจจะปฏิเสธได้
“เอ็งก็รู้ว่าข้า.......”
“แพ้ลูกตื้อผู้หญิง......” ปริวัตรดักคอ “เอ็งนี่ทำตัวเหมือนพระเอกหนังไทยจริง ๆ ปฏิเสธบ้างไม่เป็นหรือไงห๊า...”
“ปัดโธ่เว้ย...นี่เอ็งจะช่วยข้าไหมเนี่ย เอ็งอย่าลืมนะ ว่าข้ายังช่วยเอ็งเรื่องคุณวุ้นได้ เอาเป็นว่าเป็นของแลกเปลี่ยนกันดีไหม”
บดินทร์เว้นช่วง แล้วทำสีหน้าหนักใจ ถอนใจยาว
“เป็นอะไรของเอ็ง”
“พอนึกเรื่องที่ต้องบอกความจริงกับคุณวุ้นให้เอ็งแล้ว ข้าหนักใจว่ะ...คุณวุ้นดูเขา...เอ่อ....มีท่าทีชอบข้าเอามากเลย ข้าว่าเขาคงเสียใจมาก”
บดินทร์ตีหน้าลำบากใจ แต่ในใจนั้น สนุกที่ได้เห็นปริวัตรนั่งทำหน้าซีด อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ หาทางไปไม่เจอ
ใบหน้าขาว ที่มีเค้าของเชื้อสายจีนของปริวัตรยิ่งดูซีดขาวกว่าปกติ บดินทร์เลยอดที่จะสงสารเพื่อนไม่ได้
“ไม่ต้องทำหน้าเหมือนโดนบังคับให้กินยาเบื่อคลุกยาฆ่าหญ้าขนาดนั้นก็ได้ ก่อนไปเอ็งลองหาทางนัดคุณวุ้นของเอ็งก็แล้วกัน วันอาทิตย์นี้ข้าว่าง ข้าจะพยายามบอกความจริงกับเขา”
“ขอบใจมากเพื่อนรัก”
ปริวัตรยิ้มแฉ่ง ดวงตาค่อนข้างเล็กยิ่งเล็กเข้าไปอีกเมื่อชายหนุ่มฉีกยิ้มกว้าง หนุ่มร่างอวบกุลีกุจอเติมน้ำอัดลมใส่แก้วน้ำให้เพื่อนอย่างเอาใจ
“ระริกระรี้ เชียวนะเอ็ง อย่าเพิ่งระรื่นไป ข้าบอกแล้วไง ว่าข้าไม่อยากให้คุณวุ้นเขาเสียความรู้สึก เอ็งลองไปเห็นเขาตอนอยู่กับข้า แล้วเอ็งจะลำบากใจเหมือนข้า”
“เอ่อ...น่า อย่างน้อย ขอให้เอ็งไปเจอเขาอีกสักที แล้วค่อยพาข้าไปขอโทษเขาทีหลัง”
ปริวัตรยิ้มแย้มอารมณ์ดี รีบลุกไปทันทีเมื่อลูกค้าโต๊ะหนึ่งกวักมือเรียกให้คิดเงินค่าอาหาร
บดินทร์กับปริวัตรรู้จักกันตั้งแต่เรียนชั้นประถมจนปัจจุบันอายุอานามเลยเบญจเพสเกือบจะขึ้นเลขสามอยู่อีกไม่กี่ปีแล้ว
เมื่อเจอกันครั้งแรก ปริวัตรนั้นติดจะขี้อายอยู่มาก ด้วยความที่เป็นเด็กอ้วน น้ำหนักเกินพิกัดอยู่ไม่น้อยจึงโดนเพื่อน ๆ ล้ออยู่บ่อย ๆ ผิดกับบดินทร์ที่เป็นลูกนักธุรกิจดัง รูปร่างหน้าตาดีจึงเป็นที่สนใจของเพื่อน ๆ แต่แรกเด็กชายบดินทร์ก็ออกจะปลื้มใจที่มีเพื่อนล้อมหน้าล้อมหลัง แต่ไม่นานก็ได้คิดว่า เพื่อนเหล่านั้นมารุมล้อมก็เพราะเด็กชายกระเป๋าหนัก เลี้ยงเพื่อนได้ไม่อั้น จึงเริ่มทำตัวให้ห่างจากกลุ่มมากขึ้นและเริ่มให้ความสนิทสนมกับปริวัตรที่ดูจริงใจมากกว่า
จนกระทั่งเข้าเรียนมัธยมต้น เด็กชายบดินทร์กับเด็กชายปริวัตรก็ยังดวงสมพงศ์ได้เรียนห้องเดียวกันตลอด เด็กชายบดินทร์ยังคงเป็นที่สนใจของบรรดาเพื่อนฝูง ในขณะที่เด็กชายปริวัตรแม้จะไม่ขี้อายเหมือนตอนเด็ก ๆ แต่ก็ยังเป็นคนที่เพื่อนฝูงไม่ได้ให้ความสนใจกันเป็นพิเศษ แต่เพราะเด็กหนุ่มเป็นเพื่อนที่บดินทร์สนิทด้วยที่สุด เพื่อน ๆ จึงพอจะเห็นความสำคัญอยู่บ้าง
วันหนึ่งบดินทร์เกิดเขม่นกับเพื่อนนักเรียนรุ่นพี่ ที่เป็นลูกนักธุรกิจใหญ่โตไม่แพ้กัน ผิดแต่รุ่นพี่นั้นมีกลุ่มใหญ่กว่า เมื่อมีเรื่องวิวาท เพื่อนคนอื่น ๆ แทบทุกคนพากันหนีหน้า จะมีปริวัตร กับเพื่อนอีกสองสามคนเท่านั้น ที่อยู่ร่วมสู้กับกลุ่มรุ่นพี่ด้วยกัน บดินทร์จึงยิ่งรักและให้ความสนิทสนมกับเพื่อนร่างอวบคนนี้มากขึ้น และคบหากันมาจนถึงตอนนี้
ปริวัตรเมื่อได้กลุ่มเพื่อนสามสี่คนที่สนิทสนมกันดี จึงเริ่มมีความกล้ามากขึ้น แต่ก็เป็นความกล้าเชิงสนุกสนาน รักสนุกเสียมาก ส่วนเรื่องใหญ่ที่ต้องตัดสินใจนั้น เขามักจะให้เพื่อนช่วยคิดช่วยตัดสินเสมอ และเมื่อบดินทร์เองก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรกับการคอยช่วยเหลือ ตัดสินใจ แก้ปัญหาให้เพื่อน ปริวัตรจึงยิ่งรู้สึกว่าเขาสามารถพึ่งพิงเพื่อนได้เสมอ
คิดเงิน เก็บเงิน และทอนเงินให้ลูกค้าแล้ว ปริวัตรก็กลับมานั่งลงตรงข้ามกับเพื่อน ยกแก้วน้ำอัดลมของตัวเองขึ้นดื่มอึก ๆ แล้วเริ่มขอร้องแกมบังคับต่อ
“เอ็งต้องช่วยข้าให้ได้นะ ไอ้บิ๊ก ข้าชอบคุณวุ้นเขาจริง ๆ นะเว้ย”
“ชอบตรงไหน”
“เขาเป็นคนเรียบร้อย เป็นแม่บ้านแม่เรือน โอ้ย...อ่อนหวาน น่ารักออก เอ็งไม่คิดเหมือนข้ารึไงว่ะ ไอ้บิ๊ก เอ็งก็เจอเขามาตั้งสองครั้งแล้ว”
“เอ่อ...คุณวุ้นของเอ็งน่ะ อ่อนหวาน น่ารัก เรียบร้อยจริง ๆ ข้ายอมรับ”
บดินทร์พูดแต่ละเอาไว้ว่า ต้องเป็นคุณวุ้นตัวจริง ไม่ใช่คุณวุ้นจำเป็น ที่นิสัยจริงไม่ได้อ่อนหวานอะไร ติดจะเป็นคนพูดจาโผงผาง ปากไว อารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่ไม่น้อย
ชายหนุ่มคิดแล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย แปลกใจตัวเอง ทั้งที่เห็นว่าหญิงสาวปากไว พูดจาขวานผ่าซาก อารมณ์ไม่คงที่ แต่เขากลับรู้สึกว่าพราวตะวันนั้น ถูกตาต้องใจตนอยู่ไม่น้อย
“เฮ้ย...ข้าหวังว่า เอ็งคงไม่หลงรักคุณวุ้น ของข้านะเว้ย”
“จะไม่มากไปหน่อยเหรอไอ้ปาล์ม คุณวุ้นเขาไม่ใช่สิ่งของนะ พลาดจากเอ็งเขาก็อาจจะไปชอบคนอื่นก็ได้ ทำไมต้องมากีดกันจำเพาะกับข้าด้วย”
“ไม่มีทางเลยไอ้ปาล์ม”
ปริวัตรโบกมืออวบเป็นเชิงปฏิเสธ สีหน้ามั่นอกมั่นใจ
“ข้าคุย ข้าจีบของข้า มาเป็นปี คุณวุ้นไม่มีทางไปชอบคนอื่น”
บดินทร์ได้แต่ถอนใจ ปกติแล้วปริวัตรไม่ใช่คนมั่นใจในตัวเองอะไรนัก ดีแต่พูดเล่นไปวัน ๆ แต่พอจะปักใจเชื่ออะไรแล้ว ชายหนุ่มกลับเชื่อเป็นตุเป็นตะ ไม่ได้ไตร่ตรองพิจารณาอะไรเอาเสียเลย
พราวตะวันเป็นผู้หญิงสวย แต่บุคลิกรูปร่าง หน้าตานั้น ห่างไกลกับคำว่า อ่อนหวาน น่ารัก เรียบร้อยอยู่มาก ดูเป็นคนมั่นใจ ติดจะหัวรั้นเสียด้วยซ้ำ บดินทร์เองยังบอกได้แทบจะทันทีที่ได้เห็นรูปจากจอคอมพิวเตอร์
‘นี่ไง คุณวุ้น เอ็งเห็นไหมว่าเขาสวย น่ารัก’
ปริวัตรพูดขณะที่กดเม้าส์ให้ภาพหญิงสาวแสดงขึ้นบนจอ
‘แล้วนิสัยใจคอ เอ็งรู้จักเขาดีแค่ไหนล่ะ ไอ้ปาล์ม’
‘ข้าคุยกับเขามาเป็นปีแล้วโว้ย เขาน่ะอ่อนหวาน น่ารัก จริง ๆ’
หนุ่มอวบยังยืนกราน ทำเอาบดินทร์ทำหน้าเซ็ง
‘ไอ้ที่ว่าคุยกันนี่ ออนไลน์ใช่ไหม’
บดินทร์ลากเสียง ส่งสายตาเป็นเชิงคำถาม จะรู้จักกันดีขนาดไหนเชียว กับการพิมพ์ข้อความโต้ตอบกัน
‘เอ่อ...’
‘ของอย่างนี้ มันโกหก มันปลอมกันได้นะ ไอ้ปาล์ม ก็เหมือนกับที่เอ็ง ส่งรูปข้าไปให้เขานั่นแหละ เขาอาจจะเอารูปใครส่งให้เอ็งแทนรูปจริง ๆ ของเขาก็ได้’
‘ข้าขอเบอร์ร้านเขาไว้ด้วยนะเว้ย โทรไปหาแล้วด้วย เสียงเพราะมาก หน้าตาก็คงจะเหมือนในรูปจริง ๆ’
บดินทร์ฟังแล้วไม่รู้จะเอาหัวตัวเองหรือจับหัวเพื่อนเขกข้างฝาดี เอ่อนะ...ฟังเสียงก็รู้เสร็จสรรพได้ด้วยว่าหน้าตาประมาณไหน
‘ข้าให้เอ็งไปแทนข้า ก็จะได้รู้ด้วยไง ว่าเขาหลอกข้ารึเปล่า’
‘เอ็งรู้ได้ว่าเขาหลอกเอ็งรึเปล่า แต่เขาไม่รู้ งานนี้ข้าว่าเอ็งอย่าสานต่อเลย จะวุ่นวายเปล่า ๆ’
บดินทร์บอกเพื่อนพลางมองรูปภาพที่แสดงบนจอคอมพิวเตอร์ ผู้หญิงคนนี้สวยเอาการ เสน่ห์พราวอยู่ไม่น้อย แล้วเพื่อนเขาล่ะ บดินทร์มองเพื่อนอย่างสำรวจตรวจตรา ที่จริงปริวัตรก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ เพียงแค่รูปร่างออกจะใหญ่โต เจ้าเนื้อไปสักหน่อย หน้าตาก็จัดว่าดูดีอยู่ไม่น้อย แต่จะว่าเหมาะกับผู้หญิงในรูปก็ว่าไม่ได้ เอาเป็นว่าถ้าหญิงสาวในรูปมาตกล่องปล่องชิ้น ลงเอยกับปริวัตรจริง ๆ ก็ออกจะน่าเสียดายไม่น้อย
‘ไม่ได้ ๆ คนนี้นางในฝันของข้าเชียวนะเว้ย เอ็งช่วยข้าหน่อยเถอะ ข้าขอร้อง นะ ๆ ๆ ไอ้เพื่อนรัก’
รู้ตัวอีกทีบดินทร์ก็ไปเจอกับพราวตะวันที่ร้านดอกแก้ว เบเกอรี่ และวางแผนดัดหลังเพื่อนเข้าไปแล้ว ชายหนุ่มนึกในใจว่าเห็นทีแผนการดัดหลังอาจจะไม่พอเสียแล้ว คงต้องเล่นบทวางแผนสื่อรักให้เวณิกากับปริวัตรไปด้วยในตัว ถึงว่าเวลานั้น ‘คุณวุ้นจำเป็น’ กับ ‘คุณปาล์มจำเป็น’ ก็จะได้หลุดบ่วงสลับคู่เสียที จากนั้นค่อยว่ากันอีกทีว่าจะทำอย่างไรกันต่อ
คิดแล้วชายหนุ่มก็ตั้งใจว่าออกจากร้านไปแล้ว คงต้องโทรศัพท์ไปคุยกับพราวตะวันอีกทีเพื่อปรึกษาแผนจับคู่ให้เวณิกากับปริวัตร ชายหนุ่มรู้สึกครึ้มอกครึ้มใจเป็นพิเศษเมื่อนึกว่าหาเรื่อง ไม่ใช่สิ มีเรื่องให้คุยกับหญิงสาวเพิ่มขึ้นอีกเรื่องหนึ่ง
ในศูนย์การค้าของโรงภาพยนตร์ระบบมัลติเพล็กซ์คลาคล่ำไปด้วยผู้คนในช่วงบ่ายวันอาทิตย์ พราวตะวันฉีกยิ้มพูดกับผู้ร่วมสนุกในช่วงก่อนการเปิดตัวภาพยนตร์ไทยเรื่องใหม่ หญิงสาวรับหน้าที่เป็นพิธีกรในส่วนของกิจกรรมด้านล่างเวที ส่วนบนเวทีในช่วงสัมภาษณ์ผู้กำกับและดาราแสดงนำนั้นเป็นหน้าที่ของนักจัดรายการวิทยุและพิธีกรรายการโทรทัศน์ชื่อดัง งานวันนี้จึงใช้เวลาในช่วงสั้น ๆ
หญิงสาวกำลังทำหน้าที่พิธีกร ชวนคนที่ผ่านไปมาร่วมสนุกชิงรางวัลอยู่ สายตาก็สะดุดกับชายวัยราวสี่สิบกว่าคนหนึ่ง ผิวขาว รูปร่างอ้วน เตี้ย สวมเสื้อเชิ้ตลาย สร้อยคอทองคำเส้นใหญ่เท่าเชือกผูกช้างห้อยพระเครื่องห้าองค์ นิ้วมือทั้งสิบสวมแหวนทองคำเกือบจะครบสิบนิ้ว
‘อีตาเสี่ยตัณหากลับนี่อีกแล้ว’
พราวตะวันนึกในใจอย่างเซ็ง ๆ ดูเหมือนเสี่ยหมูตู้ทองรายนี้ จะตามติดหล่อนได้เก่งจริง ๆ น่ากลัวจะตระเวนหาเหยื่อสาว ๆ จนเชี่ยวชาญ คราวก่อนยื่นขอเสนอจะส่งเสียเลี้ยงดูรายเดือน ดีที่พราวตะวัน อารมณ์ดี เลยแค่สะบัดหน้าพรืด เดินหนี แต่เห็นทีวันนี้เอาไว้ไม่ได้เสียแล้ว ไม่นึกว่าจะรังควานเก่งขนาดนี้ พราวตะวันทำงานต่ออย่างไม่ค่อยจะมีสมาธินัก เพราะต้องลอบมองท่ากะลิ้มกะเหลี่ยของเสี่ยร่างอ้วนเป็นระยะ ๆ
หญิงสาวถือโอกาสช่วงพัก เดินหนีลิ่วเข้าห้องน้ำ กดโทรศัพท์มือถือถึงเพื่อนรุ่นพี่ที่เคยรับงานด้วยกัน รายนั้นทำงานมานานเจอเสี่ยเล็กเสี่ยใหญ่มามาก ข้อมูลแน่น ทั้งวงนอกวงใน
“สวัสดีจ้ะน้องแพท มีอะไรให้พี่ช่วยรึเปล่าเนี่ย”
“สวัสดีค่ะ พี่ตา นี่เธอจำตาเสี่ยหมูตู้ทองเคลื่อนที่ได้ไหม ที่คราวก่อนมายืนจ้อง ๆ มอง ๆ แพทน่ะค่ะ แพทจำได้ว่าพี่ตาบอกว่าเมียเขาเปิดร้านทองอยู่ในห้าง...”
หญิงสาวนึกชื่อห้างไม่ออก แต่ปลายสายเหมือนจะจำได้ในทันที
“จำได้สิ เสี่ยสมพล”
ในตอนนั้นต้องตาก็บอกข้อมูลของเสี่ยสมพลกับหญิงสาวพอสมควร แต่พราวตะวันไม่ได้สนใจอะไรนัก รู้แต่ว่าเป็นเสี่ยที่ชอบเข้ามาทาบ พริตตี้หรือพิธีกร สาว ๆ ตามงานต่าง ๆ ภรรยาเสี่ยสมพลดุก็จริง แต่ก็ยุ่งกับการดูแลธุรกิจไม่มีเวลาจะสนใจติดตาม ที่สำคัญออกจะมั่นใจตัวเองว่าคุมสามีอยู่ พราวตะวันจำได้ว่าต้องตาเคยหัวเราะหึ ๆ ตอนที่พูดถึงเสี่ยสมพลให้หญิงสาวฟัง
‘พี่เคยได้ยินนะแพท ว่าพวกผู้ชายที่มีเมียแล้วนี่ พวกที่กลัวเมียมาก ๆ หลับหลังเมียน่ะ ระริกระรี้ยิ่งกว่าปลากระดี่ได้น้ำเสียอีกนะ ยิ่งเสี่ยงก็ยิ่งตื่นเต้นไง’
“แพทอยากรู้ว่าเมียเขาเปิดร้านชื่ออะไร อยู่ห้างไหนคะ”
ปลายสายบอกชื่อร้านทองของภรรยาเสี่ยสมพลมา พราวตะวันบอกขอบคุณ ก่อนที่จะกดตัดสัญญาณ แล้วกดหมายเลขสอบถามเบอร์โทรศัพท์ ยิ้มเย็น เสร็จฉันแน่ละ ตาเสี่ยตัณหากลับ
เมื่อโทรศัพท์จัดการตามแผนเชือดหมูเสร็จ หญิงสาวก็ปิดมือถือ เสียบไว้กับกระเป๋าด้านหน้าของกระโปรงยีนส์ตัวสั้น ก่อนที่จะเดินออกจากห้องน้ำ เสี่ยสมพลเดินไปเดินมาเป็นหมู...ไม่ใช่สิ หนูติดจั่นอยู่ เมื่อเห็นพราวตะวันก้าวออกจากห้องน้ำ สายตากะลิ้มกะเหลี่ยก็ทำงานทันที พราวตะวันแสร้งยิ้มน้อย ๆ ให้
เสี่ยสมพลยิ้มย่องอย่างภาคภูมิใจ นึกในใจว่า หญิงสาวเล่นตัวเพื่อโก่งค่าตัว คราวนี้เขากะจะบอกราคาให้สูงขึ้นหน่อย เสี่ยร่างอ้วนได้แต่คิดว่าสวรรค์ก็อยู่ไม่ไกลแล้ว ในขณะที่พราวตะวันมองท่าทีของเสี่ยสมพลแล้วยิ้ม ถ้าเพียงแต่เสี่ยสมพลจะมองอย่างถี่ถ้วนก็จะพบว่ารอยยิ้มนั้นติดจะเยาะอยู่ในที
พราวตะวันเริ่มเกมแจกของที่ระลึกจากหนังในช่วงสุดท้าย ก่อนที่พิธีกรบนเวที ผู้กำกับ และดารานักแสดงจะเตรียมตัวพร้อม หน้าที่ของหญิงสาวในวันนี้จึงจบลง หญิงสาวเดินเข้าห้องน้ำอีกครั้ง ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า กะเวลาให้พอเหมาะ ก่อนที่จะเดินออกจากห้องน้ำ ทำทีเป็นมองกลับไปทางเสี่ยสมพล ยิ้มน้อย ๆ ให้เป็นทีเชิญชวน
เสี่ยสมพลทำท่าซู่ซ่า สดชื่นขึ้นมาอีกจม ก่อนที่จะเดินตามพราวตะวันไปขึ้นเขียง เอ้ย...ไปที่ประตูกระจกซึ่งเชื่อมต่อกับลานจอดรถ
“หนูจ้ะ หนู รอเดี๋ยวสิจ้ะ”
เสี่ยร่างอวบส่งเสียงแหบต่ำเรียกตามหลังหญิงสาว พราวตะวันหยุดเดิน แล้วหันกลับไปยิ้มหวานให้
“ขา...มีอะไรเหรอคะ เสี่ยสมพล”
พราวตะวันลากเสียงอ่อนหวาน
“นี่หนู รู้จักชื่อฉันด้วยเหรอจ้ะเนี่ย”
เสี่ยร่างอ้วนทำเสียงอ่อนเสียงหวาน ทั้งที่ระดับเสียงของตนต่ำเกินมาตรฐาน จากที่ควรจะฟังแล้วเสนาะหู จึงกลายเป็นตลกไปแทน พราวตะวันยิ้มเยาะ เรื่องตลกของจริงมันต้องต่อจากนี้
“รู้จักสิคะ เสี่ย หนูสนใจเสี่ยเป็นพิเศษเลยล่ะค่ะ”
“จริงเหรอจ้ะเนี่ย เสี่ยไม่ยักรู้ เห็นคราวก่อนหนูทำท่าไม่สนใจเสี่ย ไม่นึกเลยว่าที่จริงหนูเองก็มอง ๆ เสี่ยอยู่เหมือนกัน”
เสี่ยสมพลมองพราวตะวันสายตาโลมเลีย หน้ามืดตัวมัวจนมองไม่เห็นแววพิฆาตในสายตาของหญิงสาว
หญิงสาวกระโดดขึ้นรถไม่ทันได้เช็ดหน้าเช็ดตา เพราะเหนื่อยเกินกว่าที่จะทำอะไรได้ หวังแค่ขับรถกลับให้ถึงบ้านเสียก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง เว้นจากนัดครั้งสุดท้ายกับ ‘คุณปาล์มกำมะลอ’ และได้พบกับนางร้ายตุ๊กแก มาได้เกือบอาทิตย์แล้ว ‘คุณปาล์มกำมะลอ’ ติดต่อมาทุกวัน แต่ก็ยังไม่มีเวลาเจอกันตาม ‘แผนดัดนิสัย’ เสียที
รถคันกลางเก่ากลางใหม่แล่นออกจากห้างสรรพสินค้าดังใจกลางกรุงเทพ ได้พักเดียว เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ‘คุณปาล์มกำมะลอ’ ส่งเสียงนุ่ม ทุ้มชวนฟัง ผ่านหูฟังโทรศัพท์มา เมื่อหญิงสาวกดรับสาย
“สวัสดีครับ คุณวุ้น”
น้ำเสียงยั่วเย้า น่ารักชะมัด พราวตะวันรู้สึกว่าความเหนื่อยล้า หายเป็นปลิดทิ้ง
“นี่คุณ เลิกเรียกฉันว่าวุ้นได้แล้วนะ รู้ ๆ กันอยู่ ยังมายั่วอยู่ได้”
น่าโมโหนะ ถ้าเป็นคนอื่น พราวตะวันคงแฟ่ด ๆ ใส่ไปแล้ว แต่กับชายหนุ่มปลายสายคนนี้ น้ำเสียงกลับปนด้วยความขวยไปเสียได้
“ก็ซ้อมไว้ให้เคยชินไงครับ เพราะคราวหน้าเราต้องจับสองคนนั้นมาเจอกันพร้อม ๆ กับเราด้วยจะได้ไม่หลุด”
“ค่า...คุณปาล์ม”
อดไม่ได้ที่จะหยอกกลับเหมือนกัน พลางนึกถึงเมื่อตอนกลับจากนัดครั้งที่แล้ว แล้วโทรไปหลอกเวณิกาตามแผนการของบดินทร์ว่า ตนยังไม่ได้บอกความจริงเพราะไม่กล้า กลัวชายหนุ่มจะเสียใจ น้ำเสียงของเวณิกาที่ส่งมาตามสายทำเอาหล่อนสงสารเพื่อนอยู่ตะหงิด ๆ แต่ไหน ๆ วางแผนมาแล้ว ก็เลยต้องเล่นบทเสียอกเสียใจที่ไม่ได้บอกความจริงแทนเพื่อน
เวณิกาก็เหมือนเคย หัวอ่อนเชื่อง่าย ทำเอาพราวตะวันต้องมานั่งนึกว่าคบกันมาเป็นสิบปี เวณิกาไม่นึกรู้เลยหรือว่าผู้หญิงอย่างพราวตะวันไม่ใช่คนที่จะมานั่งกลัว นั่งสนใจความรู้สึกใคร
‘โธ่...แพทน่ะ วุ้นก็นึกว่าแพทบอกความจริงกับคุณปาล์มเขาไปแล้วเสียอีกนะ’
‘คราวหน้าวุ้นก็บอกเขาเองสิ ถ้าเขานัดมาอีก ฉันไม่ได้ขอเบอร์เขาไว้ ก็ติดต่อกันให้มันรู้เรื่องรู้ราวกันไป ถ้าเขาโทรมาที่ร้านอีก วุ้นจะบอกเขาเองก็ได้นี่นา’
พราวตะวันพูดเสียงอ่อนหวานอย่างที่ตัวเองก็ยังแปลกใจตัวเอง สมใจอยู่ลึก ๆ อยู่เหมือนกันที่ได้ดัดนิสัยเพื่อนเสียบ้าง เวณิกาควรจะเป็นผู้ใหญ่ขึ้น รับผิดชอบการกระทำของตัวเองให้มากขึ้น
‘ไม่ดีมั้งแพท ฉันว่าบอกทางโทรศัพท์มันดูยังไงก็ไม่รู้เหมือนกันนะ’
‘งั้นก็บอกเขาตอนนัดครั้งหน้าก็แล้วกัน เฮ้อ...แต่บอกตรง ๆ นะวุ้น ว่าเขาคงทำใจยาก เขาดูปลื้มฉันมาก ๆ เลย’
พูดไปแล้วหญิงสาวยังนึกแปลกใจตัวเองที่พูดได้แนบเนียนมากขนาดนั้น อาจจะเพราะออกจะมั่นใจนิด ๆ ว่า ‘คุณปาล์ม’ ตามความเข้าใจของเวณิกานั้น ปลื้มหล่อนอยู่เหมือนกัน
‘แล้วจะทำยังไงดีละแพท ฉันไม่อยากให้คุณปาล์มเขาเสียความรู้สึก’
เสียงเพื่อนฟังหดหู่ จนพราวตะวันอดจะสงสารไม่ได้ เลยพูดปลอบไปตามจริง เป็นประโยคที่พูดจริงประโยคแรก หลังจากโกหกมาชุดใหญ่
‘ก็ค่อย ๆ แก้ไขกันไป ไม่มีอะไรร้ายแรงหรอกวุ้น เชื่อฉัน’
อีกฝ่ายรับคำเบา ๆ ก่อนที่จะตัดสายไป
“ช่วงนี้งานคุณหมดรึยัง”
เสียงจากปลายสายยังน่าฟังเสมอต้นเสมอปลาย แต่จะว่าไปแล้ว ต้นกับปลายก็ยังห่างกันไม่ชนอาทิตย์ดี พราวตะวันถอนใจเหนื่อยหน่าย
“หมดแล้วค่ะ วันนี้ฉันฉีกยิ้มจนปากใกล้จะกว้างกว่าหน้าอยู่แล้ว พูดทั้งวันเหมือนคนบ้า”
หญิงสาวละไว้ว่าชุดที่ใส่ก็สั้นกว่ามาตรฐานไปสักหน่อย ทำเอาพราวตะวันอึดอัดเมื่อเห็นสายตากะลิ้มกะเหลี่ยหลายคู่มองมา ขนาดเดินมากับเมีย กับลูกเต้าแท้ ๆ แต่ด้วยหน้าที่จึงทำได้แค่นึกเคืองในใจ
“ขยันนะคุณ”
“ไม่ขยันก็ลำบากสิคะ ฉันไม่ใช่ลูกเศรษฐีคาบทัพพีทองฝังเพชรมาเกิดนะคะ จะได้อยู่เฉย ๆ แล้วมีกิน”
ปลายสายหัวเราะเบา ๆ กับการเปรียบเปรยของหล่อน คนบ้าอะไรก็ไม่รู้ ขนาดเสียงหัวเราะยังฟังอบอุ่น น่ารักขนาดนี้
“ขยัน ๆ อย่างนี้ดีนะคุณ ผมชอบ เอาล่ะคุณขับรถอยู่ใช่ไหม ผมก็กวนก็แล้วกันนะ คุณจะได้มีสมาธิขับ ช่วงนี้ถ้าคุณว่าง เดี๋ยวเราค่อยนัดกันอีกที แล้วพรุ่งนี้ผมจะโทรไปอีก”
พราวตะวันได้แต่รับคำ ยิ้มให้กับตัวเอง โลกสดใสขึ้นเป็นกอง สนิมที่เกาะบนรถเมล์คันที่จอดนิ่งข้าง ๆ ยังดูสวยแปลกตาไปได้ หญิงสาวถอนใจ เขาจะชอบหล่อนมากแค่ไหนกันเชียว อาจจะแค่ไม่เคยเจอผู้หญิงปากไว พูดอะไรโผงผาง ตรงไปตรงมาอย่างหล่อนก็เป็นได้ อีกหน่อยไอ้ที่ว่าดีตอนนี้ อาจจะกลายเป็นข้อเสียไปก็ได้ พวกหนุ่ม ๆ หลายคนที่มาจีบพอเจอฝีปากหล่อนไปเท่านั้นแหละ เผ่นกันป่าราบไปหลายราย
แม้จะกลับถึงบ้านเวลาล่วงเข้าเกือบสี่ทุ่มแล้ว แต่ตาพุธกับยายแวว ยังนั่งอยู่ที่ชุดรับแขกหน้าบ้าน จ้องเครื่องรับโทรทัศน์ตาไม่กระพริบ ยายแววนั้นติดละคร ส่วนตาพุธติดยายแวว ทั้งสองจึงนั่งคู่กันดูละครโทรทัศน์จนดึกดื่นทุกคืน
“อ้าว นั่นหลานกลับมาแล้วยาย”
ตาพุธลุกขึ้นมาชะโงกหน้ามอง รีบเดินออกมาเปิดประตูรั้วให้หลานสาว แม้วันจะล่วงเลยจะย่างเข้าเจ็ดสิบกันในอีกไม่กี่ปีแล้ว แต่สองตายายก็ยังแข็งแรง กระฉับกระเฉง สุขภาพดี เพราะไม่เคยอยู่เฉย ออกกำลัง ทำงานบ้านอยู่ตลอดเวลา เมื่อหลานสาวคนเดียวขับรถเข้ามาจอดในบ้าน ตาพุธก็ปิดล็อคกุญแจประตู ยิ้มแย้มทักทายหลานสาว
“เป็นไงบ้าง ยายแพท ตากำลังนึกห่วงอยู่เชียว”
“สบายมากค่ะคุณตา แพท...”
หญิงสาวพูดไม่ทันจบก็ยกมือปิดปากหาว
“เอ่อน่ะ ท่าทางจะง่วงมากนะเรา ไป ๆ ไปอาบน้ำอาบท่า นอนหลับพักผ่อนได้แล้ว พรุ่งนี้ตากับยายว่าจะชวนไปเดินจตุจักรสักหน่อย อยากจะเปลี่ยนสภาพอ่างปลาดูบ้าง”
“ค่ะ พรุ่งนี้แพทจะเป็นสารถีขับรถให้คุณตาคุณยายเต็มที่เลย”
หญิงสาวเดินตามผู้เป็นตาเข้าบ้าน แล้วชะงักกับเสียงแว้ด ๆ ที่ดังจากเครื่องรับโทรทัศน์
“ดูอะไรอยู่คะคุณยาย เสียงดังแสบหูพิกล”
พราวตะวันนั่งลงบนโซฟาข้าง ๆ ยายแวว โอบกอดหญิงชราอย่างออดอ้อนเอาใจ
“ละครเรื่องนี้สนุกดีนะยายแพท ยายดูแล้วติด ดูตัวร้ายตัวนี้สิ เล่นร้ายได้น่าชังเสียจริง ๆ”
พราวตะวันมองภาพบนจอโทรทัศน์ ตวงพร แม่สาวตุ๊กแกของบดินทร์ กำลังเต้นเร่า ๆ ส่งเสียงกรี๊ด ๆ ชนิดที่คนปกติคงทำไม่ลง ถึงนิสัยจะรั้นร้ายแค่ไหนก็ตาม พระเอกของเรื่องนั้นเป็นดาราหน้าใหม่ ที่พราวตะวันเคยเห็นแสดงละครอยู่สองสามเรื่อง และยังคงเล่นได้เป็นธรรมชาติของก้อนหิน ท่อนไม้ได้คงเส้นคงวา ส่วนนางเอกนั้น เป็นดาราที่โด่งดังมาตั้งแต่เล่นละครเด็ก โชคดีที่โตขึ้นหน้าตายังคงเค้าความสวยงาม น่ารักเหมือนวัยเด็ก และการแสดงก็ถือว่าเข้าขั้นทีเดียว เพราะได้ฝึกหัดตั้งแต่ยังเล็ก
“ตัวจริงไม่รู้จะร้ายเหมือนในละครรึเปล่านะ ดูตา ดูปากเขาร้าย ๆ เอาเรื่องเหมือนกัน”
ผู้เป็นตาตั้งข้อสังเกต ตวงพรมีเค้าหน้าของนางร้ายละครไทย และจะด้วยเล่นร้ายต่อเนื่องหรือไม่ก็ยากจะคาดเดา ดวงตาจึงดูดุดัน เหมือนจะถลนออกจากเบ้าอยู่ตลอดเวลา โชคดีที่ใบหน้ามีเค้าความงามอยู่มาก จึงเป็นนางยักษ์ภาคแปลงกาย ไม่ใช่นางยักษ์ภาคน่าเกลียดน่ากลัวตัวจริง
“ก็คงจะคล้าย ๆ ในละครมั้งคะคุณตาคุณยาย”
พราวตะวันตอบอย่างไม่สนใจนัก นึกเบื่อหน้านางร้ายคนนี้ขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนก็เคยผ่านตาผลงานของนางร้ายสาวมาไม่น้อย
“แพทขอขึ้นไปอาบน้ำ นอนแล้วนะคะคุณตาคุณยาย”
หญิงสาวยกมือปิดปากหาวอีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นยืน มองภาพในจอโทรทัศน์ก่อนจะผละไป กล้องกำลังจับภาพตวงพร ถลึงตาใส่นางเอกเข้าพอดี พราวตะวันลูบแขนป้อย น่าขนลุกพิกล ผู้หญิงอะไรก็ไม่รู้ นางร้ายเสียไม่มีล่ะ นึกแล้วหญิงสาวก็ชักแหยง เพี้ยง ! ขออย่าให้ได้เจอแม่ตุ๊กแกตัวเป็น ๆ อีกเลย ยิ่งถ้าเกิดแม่คุณเฮี้ยน โผล่มาจ๊ะเอ๋ตอนกำลังปฏิบัติการดัดหลังเพื่อนอยู่ด้วยแล้วละก็ มีหวังแผนแตก
ช่วงบ่ายของวันหยุดค่อนข้างวุ่นวาย คนเข้าออกร้านตลอดเวลา ปริวัตรจึงหัวหมุน ช่วยรับออเดอร์และเสิร์ฟอาหารวุ่นอยู่ในร้าน ร่างเจ้าเนื้อเคลื่อนที่ว่องไวกว่าที่ใครจะคาด
“ป๊า ๆ ขาหมูสอง หมูกรอบหนึ่ง แข็งเปล่าสาม โค้กสาม โต๊ะแปด”
ปริวัตรตะโกนสั่งก่อนที่จะเอากระดาษที่จดรายการอาหารไปวาง ปาดเหงื่อที่ไหลซึมบนใบหน้า มองไปทางหน้าร้าน เห็นบดินทร์เดินมาแต่ไง
“ไงวะไอ้บิ๊ก วันนี้จะมาช่วยข้าหรือว่าจะมาเป็นลูกค้า”
“มาช่วย ข้าจะต้องไปจัดงานโชว์สินค้าที่เชียงใหม่อาทิตย์หน้า เอ็งไปเป็นเพื่อนข้าหน่อยสิ”
“ห๊า...”
เสียงชายหนุ่มลูกเจ้าของร้าน ตัวอวบ ๆ ขาว ๆ เรียกสายตาลูกค้าในร้านได้ชะงัก ปริวัตรหันไปเห็นสายตาพิฆาตของผู้เป็นพ่อแล้วกลืนน้ำลาย
“เดี๋ยวค่อยคุยกัน จะกินอะไรไปบอกพ่อข้าโน่นเลย”
ปริวัตรบอกแล้วผละไปรับรายการอาหารจากลูกค้าโต๊ะที่เพิ่งจะเข้ามานั่งใหม่
บดินทร์จัดการข้าวหมูแดงจานพิเศษที่พ่อเพื่อนประเคนใส่ทั้งหมู ทั้งไข่เต็มที่ คนในร้านเริ่มซา อาหารเหลือเพียงแค่ไม่กี่รายการแล้ว ปริวัตรจึงมีเวลาได้นั่งพัก
“เอ็งจะไปเชียงใหม่ แล้วเรื่องที่จะช่วยข้าล่ะ ที่เอ็งจะบอกความจริงกับคุณวุ้นให้ข้า”
บดินทร์ทำสีหน้าเรียบเฉย ทั้งที่ในใจนึกหงุดหงิดอยู่บ้าง ที่ปริวัตรมักจะให้เขาช่วยสะสางเรื่องต่าง ๆ อยู่เสมอ ส่วนตัวปริวัตรเองนั้นลอยตัวเหนือปัญหา แต่ด้วยความที่สนิทสนมคุ้นเคยกัน อีกทั้งปริวัตรเองก็คอยช่วยบดินทร์อยู่หลายเรื่อง ชายหนุ่มจึงไม่ได้ว่ากล่าวอะไรเพื่อนนัก
“แล้วทำไมเอ็งต้องเอาข้าไปด้วย พ่อข้าได้เอาตายสิ ไม่อยู่ช่วยงานร้าน”
“เมื่อกี้ข้าพูดให้แล้ว ส่วนเหตุผลที่ข้าต้องเอาเอ็งไป...ก็...”
“คุณตุ๊กของแกล่ะสิ” ปริวัตรเดา
“ไม่ใช่ของข้า คุณตุ๊กเฉย ๆ เว้ย…คุณตุ๊กเขาเป็นหนึ่งในบรรดานางแบบที่จะไปโชว์สินค้าของบริษัท”
ตวงพรนั้นเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป หุ้นส่วนคนอื่น ๆ ของบริษัทนั้นต้องการให้หญิงสาวเป็นแบบสินค้าตัวใหม่ บดินทร์จึงไม่อาจจะปฏิเสธได้
“เอ็งก็รู้ว่าข้า.......”
“แพ้ลูกตื้อผู้หญิง......” ปริวัตรดักคอ “เอ็งนี่ทำตัวเหมือนพระเอกหนังไทยจริง ๆ ปฏิเสธบ้างไม่เป็นหรือไงห๊า...”
“ปัดโธ่เว้ย...นี่เอ็งจะช่วยข้าไหมเนี่ย เอ็งอย่าลืมนะ ว่าข้ายังช่วยเอ็งเรื่องคุณวุ้นได้ เอาเป็นว่าเป็นของแลกเปลี่ยนกันดีไหม”
บดินทร์เว้นช่วง แล้วทำสีหน้าหนักใจ ถอนใจยาว
“เป็นอะไรของเอ็ง”
“พอนึกเรื่องที่ต้องบอกความจริงกับคุณวุ้นให้เอ็งแล้ว ข้าหนักใจว่ะ...คุณวุ้นดูเขา...เอ่อ....มีท่าทีชอบข้าเอามากเลย ข้าว่าเขาคงเสียใจมาก”
บดินทร์ตีหน้าลำบากใจ แต่ในใจนั้น สนุกที่ได้เห็นปริวัตรนั่งทำหน้าซีด อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ หาทางไปไม่เจอ
ใบหน้าขาว ที่มีเค้าของเชื้อสายจีนของปริวัตรยิ่งดูซีดขาวกว่าปกติ บดินทร์เลยอดที่จะสงสารเพื่อนไม่ได้
“ไม่ต้องทำหน้าเหมือนโดนบังคับให้กินยาเบื่อคลุกยาฆ่าหญ้าขนาดนั้นก็ได้ ก่อนไปเอ็งลองหาทางนัดคุณวุ้นของเอ็งก็แล้วกัน วันอาทิตย์นี้ข้าว่าง ข้าจะพยายามบอกความจริงกับเขา”
“ขอบใจมากเพื่อนรัก”
ปริวัตรยิ้มแฉ่ง ดวงตาค่อนข้างเล็กยิ่งเล็กเข้าไปอีกเมื่อชายหนุ่มฉีกยิ้มกว้าง หนุ่มร่างอวบกุลีกุจอเติมน้ำอัดลมใส่แก้วน้ำให้เพื่อนอย่างเอาใจ
“ระริกระรี้ เชียวนะเอ็ง อย่าเพิ่งระรื่นไป ข้าบอกแล้วไง ว่าข้าไม่อยากให้คุณวุ้นเขาเสียความรู้สึก เอ็งลองไปเห็นเขาตอนอยู่กับข้า แล้วเอ็งจะลำบากใจเหมือนข้า”
“เอ่อ...น่า อย่างน้อย ขอให้เอ็งไปเจอเขาอีกสักที แล้วค่อยพาข้าไปขอโทษเขาทีหลัง”
ปริวัตรยิ้มแย้มอารมณ์ดี รีบลุกไปทันทีเมื่อลูกค้าโต๊ะหนึ่งกวักมือเรียกให้คิดเงินค่าอาหาร
บดินทร์กับปริวัตรรู้จักกันตั้งแต่เรียนชั้นประถมจนปัจจุบันอายุอานามเลยเบญจเพสเกือบจะขึ้นเลขสามอยู่อีกไม่กี่ปีแล้ว
เมื่อเจอกันครั้งแรก ปริวัตรนั้นติดจะขี้อายอยู่มาก ด้วยความที่เป็นเด็กอ้วน น้ำหนักเกินพิกัดอยู่ไม่น้อยจึงโดนเพื่อน ๆ ล้ออยู่บ่อย ๆ ผิดกับบดินทร์ที่เป็นลูกนักธุรกิจดัง รูปร่างหน้าตาดีจึงเป็นที่สนใจของเพื่อน ๆ แต่แรกเด็กชายบดินทร์ก็ออกจะปลื้มใจที่มีเพื่อนล้อมหน้าล้อมหลัง แต่ไม่นานก็ได้คิดว่า เพื่อนเหล่านั้นมารุมล้อมก็เพราะเด็กชายกระเป๋าหนัก เลี้ยงเพื่อนได้ไม่อั้น จึงเริ่มทำตัวให้ห่างจากกลุ่มมากขึ้นและเริ่มให้ความสนิทสนมกับปริวัตรที่ดูจริงใจมากกว่า
จนกระทั่งเข้าเรียนมัธยมต้น เด็กชายบดินทร์กับเด็กชายปริวัตรก็ยังดวงสมพงศ์ได้เรียนห้องเดียวกันตลอด เด็กชายบดินทร์ยังคงเป็นที่สนใจของบรรดาเพื่อนฝูง ในขณะที่เด็กชายปริวัตรแม้จะไม่ขี้อายเหมือนตอนเด็ก ๆ แต่ก็ยังเป็นคนที่เพื่อนฝูงไม่ได้ให้ความสนใจกันเป็นพิเศษ แต่เพราะเด็กหนุ่มเป็นเพื่อนที่บดินทร์สนิทด้วยที่สุด เพื่อน ๆ จึงพอจะเห็นความสำคัญอยู่บ้าง
วันหนึ่งบดินทร์เกิดเขม่นกับเพื่อนนักเรียนรุ่นพี่ ที่เป็นลูกนักธุรกิจใหญ่โตไม่แพ้กัน ผิดแต่รุ่นพี่นั้นมีกลุ่มใหญ่กว่า เมื่อมีเรื่องวิวาท เพื่อนคนอื่น ๆ แทบทุกคนพากันหนีหน้า จะมีปริวัตร กับเพื่อนอีกสองสามคนเท่านั้น ที่อยู่ร่วมสู้กับกลุ่มรุ่นพี่ด้วยกัน บดินทร์จึงยิ่งรักและให้ความสนิทสนมกับเพื่อนร่างอวบคนนี้มากขึ้น และคบหากันมาจนถึงตอนนี้
ปริวัตรเมื่อได้กลุ่มเพื่อนสามสี่คนที่สนิทสนมกันดี จึงเริ่มมีความกล้ามากขึ้น แต่ก็เป็นความกล้าเชิงสนุกสนาน รักสนุกเสียมาก ส่วนเรื่องใหญ่ที่ต้องตัดสินใจนั้น เขามักจะให้เพื่อนช่วยคิดช่วยตัดสินเสมอ และเมื่อบดินทร์เองก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรกับการคอยช่วยเหลือ ตัดสินใจ แก้ปัญหาให้เพื่อน ปริวัตรจึงยิ่งรู้สึกว่าเขาสามารถพึ่งพิงเพื่อนได้เสมอ
คิดเงิน เก็บเงิน และทอนเงินให้ลูกค้าแล้ว ปริวัตรก็กลับมานั่งลงตรงข้ามกับเพื่อน ยกแก้วน้ำอัดลมของตัวเองขึ้นดื่มอึก ๆ แล้วเริ่มขอร้องแกมบังคับต่อ
“เอ็งต้องช่วยข้าให้ได้นะ ไอ้บิ๊ก ข้าชอบคุณวุ้นเขาจริง ๆ นะเว้ย”
“ชอบตรงไหน”
“เขาเป็นคนเรียบร้อย เป็นแม่บ้านแม่เรือน โอ้ย...อ่อนหวาน น่ารักออก เอ็งไม่คิดเหมือนข้ารึไงว่ะ ไอ้บิ๊ก เอ็งก็เจอเขามาตั้งสองครั้งแล้ว”
“เอ่อ...คุณวุ้นของเอ็งน่ะ อ่อนหวาน น่ารัก เรียบร้อยจริง ๆ ข้ายอมรับ”
บดินทร์พูดแต่ละเอาไว้ว่า ต้องเป็นคุณวุ้นตัวจริง ไม่ใช่คุณวุ้นจำเป็น ที่นิสัยจริงไม่ได้อ่อนหวานอะไร ติดจะเป็นคนพูดจาโผงผาง ปากไว อารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่ไม่น้อย
ชายหนุ่มคิดแล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย แปลกใจตัวเอง ทั้งที่เห็นว่าหญิงสาวปากไว พูดจาขวานผ่าซาก อารมณ์ไม่คงที่ แต่เขากลับรู้สึกว่าพราวตะวันนั้น ถูกตาต้องใจตนอยู่ไม่น้อย
“เฮ้ย...ข้าหวังว่า เอ็งคงไม่หลงรักคุณวุ้น ของข้านะเว้ย”
“จะไม่มากไปหน่อยเหรอไอ้ปาล์ม คุณวุ้นเขาไม่ใช่สิ่งของนะ พลาดจากเอ็งเขาก็อาจจะไปชอบคนอื่นก็ได้ ทำไมต้องมากีดกันจำเพาะกับข้าด้วย”
“ไม่มีทางเลยไอ้ปาล์ม”
ปริวัตรโบกมืออวบเป็นเชิงปฏิเสธ สีหน้ามั่นอกมั่นใจ
“ข้าคุย ข้าจีบของข้า มาเป็นปี คุณวุ้นไม่มีทางไปชอบคนอื่น”
บดินทร์ได้แต่ถอนใจ ปกติแล้วปริวัตรไม่ใช่คนมั่นใจในตัวเองอะไรนัก ดีแต่พูดเล่นไปวัน ๆ แต่พอจะปักใจเชื่ออะไรแล้ว ชายหนุ่มกลับเชื่อเป็นตุเป็นตะ ไม่ได้ไตร่ตรองพิจารณาอะไรเอาเสียเลย
พราวตะวันเป็นผู้หญิงสวย แต่บุคลิกรูปร่าง หน้าตานั้น ห่างไกลกับคำว่า อ่อนหวาน น่ารัก เรียบร้อยอยู่มาก ดูเป็นคนมั่นใจ ติดจะหัวรั้นเสียด้วยซ้ำ บดินทร์เองยังบอกได้แทบจะทันทีที่ได้เห็นรูปจากจอคอมพิวเตอร์
‘นี่ไง คุณวุ้น เอ็งเห็นไหมว่าเขาสวย น่ารัก’
ปริวัตรพูดขณะที่กดเม้าส์ให้ภาพหญิงสาวแสดงขึ้นบนจอ
‘แล้วนิสัยใจคอ เอ็งรู้จักเขาดีแค่ไหนล่ะ ไอ้ปาล์ม’
‘ข้าคุยกับเขามาเป็นปีแล้วโว้ย เขาน่ะอ่อนหวาน น่ารัก จริง ๆ’
หนุ่มอวบยังยืนกราน ทำเอาบดินทร์ทำหน้าเซ็ง
‘ไอ้ที่ว่าคุยกันนี่ ออนไลน์ใช่ไหม’
บดินทร์ลากเสียง ส่งสายตาเป็นเชิงคำถาม จะรู้จักกันดีขนาดไหนเชียว กับการพิมพ์ข้อความโต้ตอบกัน
‘เอ่อ...’
‘ของอย่างนี้ มันโกหก มันปลอมกันได้นะ ไอ้ปาล์ม ก็เหมือนกับที่เอ็ง ส่งรูปข้าไปให้เขานั่นแหละ เขาอาจจะเอารูปใครส่งให้เอ็งแทนรูปจริง ๆ ของเขาก็ได้’
‘ข้าขอเบอร์ร้านเขาไว้ด้วยนะเว้ย โทรไปหาแล้วด้วย เสียงเพราะมาก หน้าตาก็คงจะเหมือนในรูปจริง ๆ’
บดินทร์ฟังแล้วไม่รู้จะเอาหัวตัวเองหรือจับหัวเพื่อนเขกข้างฝาดี เอ่อนะ...ฟังเสียงก็รู้เสร็จสรรพได้ด้วยว่าหน้าตาประมาณไหน
‘ข้าให้เอ็งไปแทนข้า ก็จะได้รู้ด้วยไง ว่าเขาหลอกข้ารึเปล่า’
‘เอ็งรู้ได้ว่าเขาหลอกเอ็งรึเปล่า แต่เขาไม่รู้ งานนี้ข้าว่าเอ็งอย่าสานต่อเลย จะวุ่นวายเปล่า ๆ’
บดินทร์บอกเพื่อนพลางมองรูปภาพที่แสดงบนจอคอมพิวเตอร์ ผู้หญิงคนนี้สวยเอาการ เสน่ห์พราวอยู่ไม่น้อย แล้วเพื่อนเขาล่ะ บดินทร์มองเพื่อนอย่างสำรวจตรวจตรา ที่จริงปริวัตรก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ เพียงแค่รูปร่างออกจะใหญ่โต เจ้าเนื้อไปสักหน่อย หน้าตาก็จัดว่าดูดีอยู่ไม่น้อย แต่จะว่าเหมาะกับผู้หญิงในรูปก็ว่าไม่ได้ เอาเป็นว่าถ้าหญิงสาวในรูปมาตกล่องปล่องชิ้น ลงเอยกับปริวัตรจริง ๆ ก็ออกจะน่าเสียดายไม่น้อย
‘ไม่ได้ ๆ คนนี้นางในฝันของข้าเชียวนะเว้ย เอ็งช่วยข้าหน่อยเถอะ ข้าขอร้อง นะ ๆ ๆ ไอ้เพื่อนรัก’
รู้ตัวอีกทีบดินทร์ก็ไปเจอกับพราวตะวันที่ร้านดอกแก้ว เบเกอรี่ และวางแผนดัดหลังเพื่อนเข้าไปแล้ว ชายหนุ่มนึกในใจว่าเห็นทีแผนการดัดหลังอาจจะไม่พอเสียแล้ว คงต้องเล่นบทวางแผนสื่อรักให้เวณิกากับปริวัตรไปด้วยในตัว ถึงว่าเวลานั้น ‘คุณวุ้นจำเป็น’ กับ ‘คุณปาล์มจำเป็น’ ก็จะได้หลุดบ่วงสลับคู่เสียที จากนั้นค่อยว่ากันอีกทีว่าจะทำอย่างไรกันต่อ
คิดแล้วชายหนุ่มก็ตั้งใจว่าออกจากร้านไปแล้ว คงต้องโทรศัพท์ไปคุยกับพราวตะวันอีกทีเพื่อปรึกษาแผนจับคู่ให้เวณิกากับปริวัตร ชายหนุ่มรู้สึกครึ้มอกครึ้มใจเป็นพิเศษเมื่อนึกว่าหาเรื่อง ไม่ใช่สิ มีเรื่องให้คุยกับหญิงสาวเพิ่มขึ้นอีกเรื่องหนึ่ง
ในศูนย์การค้าของโรงภาพยนตร์ระบบมัลติเพล็กซ์คลาคล่ำไปด้วยผู้คนในช่วงบ่ายวันอาทิตย์ พราวตะวันฉีกยิ้มพูดกับผู้ร่วมสนุกในช่วงก่อนการเปิดตัวภาพยนตร์ไทยเรื่องใหม่ หญิงสาวรับหน้าที่เป็นพิธีกรในส่วนของกิจกรรมด้านล่างเวที ส่วนบนเวทีในช่วงสัมภาษณ์ผู้กำกับและดาราแสดงนำนั้นเป็นหน้าที่ของนักจัดรายการวิทยุและพิธีกรรายการโทรทัศน์ชื่อดัง งานวันนี้จึงใช้เวลาในช่วงสั้น ๆ
หญิงสาวกำลังทำหน้าที่พิธีกร ชวนคนที่ผ่านไปมาร่วมสนุกชิงรางวัลอยู่ สายตาก็สะดุดกับชายวัยราวสี่สิบกว่าคนหนึ่ง ผิวขาว รูปร่างอ้วน เตี้ย สวมเสื้อเชิ้ตลาย สร้อยคอทองคำเส้นใหญ่เท่าเชือกผูกช้างห้อยพระเครื่องห้าองค์ นิ้วมือทั้งสิบสวมแหวนทองคำเกือบจะครบสิบนิ้ว
‘อีตาเสี่ยตัณหากลับนี่อีกแล้ว’
พราวตะวันนึกในใจอย่างเซ็ง ๆ ดูเหมือนเสี่ยหมูตู้ทองรายนี้ จะตามติดหล่อนได้เก่งจริง ๆ น่ากลัวจะตระเวนหาเหยื่อสาว ๆ จนเชี่ยวชาญ คราวก่อนยื่นขอเสนอจะส่งเสียเลี้ยงดูรายเดือน ดีที่พราวตะวัน อารมณ์ดี เลยแค่สะบัดหน้าพรืด เดินหนี แต่เห็นทีวันนี้เอาไว้ไม่ได้เสียแล้ว ไม่นึกว่าจะรังควานเก่งขนาดนี้ พราวตะวันทำงานต่ออย่างไม่ค่อยจะมีสมาธินัก เพราะต้องลอบมองท่ากะลิ้มกะเหลี่ยของเสี่ยร่างอ้วนเป็นระยะ ๆ
หญิงสาวถือโอกาสช่วงพัก เดินหนีลิ่วเข้าห้องน้ำ กดโทรศัพท์มือถือถึงเพื่อนรุ่นพี่ที่เคยรับงานด้วยกัน รายนั้นทำงานมานานเจอเสี่ยเล็กเสี่ยใหญ่มามาก ข้อมูลแน่น ทั้งวงนอกวงใน
“สวัสดีจ้ะน้องแพท มีอะไรให้พี่ช่วยรึเปล่าเนี่ย”
“สวัสดีค่ะ พี่ตา นี่เธอจำตาเสี่ยหมูตู้ทองเคลื่อนที่ได้ไหม ที่คราวก่อนมายืนจ้อง ๆ มอง ๆ แพทน่ะค่ะ แพทจำได้ว่าพี่ตาบอกว่าเมียเขาเปิดร้านทองอยู่ในห้าง...”
หญิงสาวนึกชื่อห้างไม่ออก แต่ปลายสายเหมือนจะจำได้ในทันที
“จำได้สิ เสี่ยสมพล”
ในตอนนั้นต้องตาก็บอกข้อมูลของเสี่ยสมพลกับหญิงสาวพอสมควร แต่พราวตะวันไม่ได้สนใจอะไรนัก รู้แต่ว่าเป็นเสี่ยที่ชอบเข้ามาทาบ พริตตี้หรือพิธีกร สาว ๆ ตามงานต่าง ๆ ภรรยาเสี่ยสมพลดุก็จริง แต่ก็ยุ่งกับการดูแลธุรกิจไม่มีเวลาจะสนใจติดตาม ที่สำคัญออกจะมั่นใจตัวเองว่าคุมสามีอยู่ พราวตะวันจำได้ว่าต้องตาเคยหัวเราะหึ ๆ ตอนที่พูดถึงเสี่ยสมพลให้หญิงสาวฟัง
‘พี่เคยได้ยินนะแพท ว่าพวกผู้ชายที่มีเมียแล้วนี่ พวกที่กลัวเมียมาก ๆ หลับหลังเมียน่ะ ระริกระรี้ยิ่งกว่าปลากระดี่ได้น้ำเสียอีกนะ ยิ่งเสี่ยงก็ยิ่งตื่นเต้นไง’
“แพทอยากรู้ว่าเมียเขาเปิดร้านชื่ออะไร อยู่ห้างไหนคะ”
ปลายสายบอกชื่อร้านทองของภรรยาเสี่ยสมพลมา พราวตะวันบอกขอบคุณ ก่อนที่จะกดตัดสัญญาณ แล้วกดหมายเลขสอบถามเบอร์โทรศัพท์ ยิ้มเย็น เสร็จฉันแน่ละ ตาเสี่ยตัณหากลับ
เมื่อโทรศัพท์จัดการตามแผนเชือดหมูเสร็จ หญิงสาวก็ปิดมือถือ เสียบไว้กับกระเป๋าด้านหน้าของกระโปรงยีนส์ตัวสั้น ก่อนที่จะเดินออกจากห้องน้ำ เสี่ยสมพลเดินไปเดินมาเป็นหมู...ไม่ใช่สิ หนูติดจั่นอยู่ เมื่อเห็นพราวตะวันก้าวออกจากห้องน้ำ สายตากะลิ้มกะเหลี่ยก็ทำงานทันที พราวตะวันแสร้งยิ้มน้อย ๆ ให้
เสี่ยสมพลยิ้มย่องอย่างภาคภูมิใจ นึกในใจว่า หญิงสาวเล่นตัวเพื่อโก่งค่าตัว คราวนี้เขากะจะบอกราคาให้สูงขึ้นหน่อย เสี่ยร่างอ้วนได้แต่คิดว่าสวรรค์ก็อยู่ไม่ไกลแล้ว ในขณะที่พราวตะวันมองท่าทีของเสี่ยสมพลแล้วยิ้ม ถ้าเพียงแต่เสี่ยสมพลจะมองอย่างถี่ถ้วนก็จะพบว่ารอยยิ้มนั้นติดจะเยาะอยู่ในที
พราวตะวันเริ่มเกมแจกของที่ระลึกจากหนังในช่วงสุดท้าย ก่อนที่พิธีกรบนเวที ผู้กำกับ และดารานักแสดงจะเตรียมตัวพร้อม หน้าที่ของหญิงสาวในวันนี้จึงจบลง หญิงสาวเดินเข้าห้องน้ำอีกครั้ง ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า กะเวลาให้พอเหมาะ ก่อนที่จะเดินออกจากห้องน้ำ ทำทีเป็นมองกลับไปทางเสี่ยสมพล ยิ้มน้อย ๆ ให้เป็นทีเชิญชวน
เสี่ยสมพลทำท่าซู่ซ่า สดชื่นขึ้นมาอีกจม ก่อนที่จะเดินตามพราวตะวันไปขึ้นเขียง เอ้ย...ไปที่ประตูกระจกซึ่งเชื่อมต่อกับลานจอดรถ
“หนูจ้ะ หนู รอเดี๋ยวสิจ้ะ”
เสี่ยร่างอวบส่งเสียงแหบต่ำเรียกตามหลังหญิงสาว พราวตะวันหยุดเดิน แล้วหันกลับไปยิ้มหวานให้
“ขา...มีอะไรเหรอคะ เสี่ยสมพล”
พราวตะวันลากเสียงอ่อนหวาน
“นี่หนู รู้จักชื่อฉันด้วยเหรอจ้ะเนี่ย”
เสี่ยร่างอ้วนทำเสียงอ่อนเสียงหวาน ทั้งที่ระดับเสียงของตนต่ำเกินมาตรฐาน จากที่ควรจะฟังแล้วเสนาะหู จึงกลายเป็นตลกไปแทน พราวตะวันยิ้มเยาะ เรื่องตลกของจริงมันต้องต่อจากนี้
“รู้จักสิคะ เสี่ย หนูสนใจเสี่ยเป็นพิเศษเลยล่ะค่ะ”
“จริงเหรอจ้ะเนี่ย เสี่ยไม่ยักรู้ เห็นคราวก่อนหนูทำท่าไม่สนใจเสี่ย ไม่นึกเลยว่าที่จริงหนูเองก็มอง ๆ เสี่ยอยู่เหมือนกัน”
เสี่ยสมพลมองพราวตะวันสายตาโลมเลีย หน้ามืดตัวมัวจนมองไม่เห็นแววพิฆาตในสายตาของหญิงสาว

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 พ.ย. 2555, 11:54:07 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 พ.ย. 2555, 11:54:07 น.
จำนวนการเข้าชม : 1619
<< ตอนที่ 2 | ตอนที่ 4 >> |


lovemuay 17 พ.ย. 2555, 12:44:29 น.
ผู้หญิงไม่กล้ามาเจอที่นัดพบ ไม่แปลกหรอกค่ะ อันตรายจะตายนัดพบกับคนแปลกหน้า
แต่ผู้ชายที่ไม่กล้ามาพบ ไม่กล้าเผยความจริง บอกตามตรงขี้ขลาดจริงๆ จะให้หวังให้มาเป็นผู้นำครอบครัวได้หรอ? สมแล้วที่จะโดนดัดหลังเสียให้เข็ด
ผู้หญิงไม่กล้ามาเจอที่นัดพบ ไม่แปลกหรอกค่ะ อันตรายจะตายนัดพบกับคนแปลกหน้า
แต่ผู้ชายที่ไม่กล้ามาพบ ไม่กล้าเผยความจริง บอกตามตรงขี้ขลาดจริงๆ จะให้หวังให้มาเป็นผู้นำครอบครัวได้หรอ? สมแล้วที่จะโดนดัดหลังเสียให้เข็ด

dee_jung 17 พ.ย. 2555, 15:41:51 น.
หน้ามืด ระวังเมียมา...
หน้ามืด ระวังเมียมา...