ลิขิตรักในสายลม # จุฬามณี
รัก หวานๆ ขม ของสาวไทยกับหนุ่มมาเลย์
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: 2.1

บทที่ 2

ในงานฌาปนกิจศพวิมลรัตน์เพื่อนสมัยเรียนคอนแวนต์ที่ปีนังประเทศมาเลเซียเมื่อสองเดือนก่อนหน้านี้แน่งน้อยมีโอกาสได้พบกับหลินซิ่วอินอีกครั้ง หลังจากที่ทั้งคู่ไม่ได้เจอหน้ากันไม่ได้คุยกันเพียงแต่ทราบข่าวของกันและกันผ่านคนกลางอย่างวิมลรัตน์เกือบยี่สิบ ครั้งนั้นทั้งคู่นั่งคุยกันถึงความหลังครั้งที่แน่งน้อยไปเรียนอยู่ปีนังพร้อมเพื่อนที่ล่วงลับไปแล้ว...

วันคืนเก่า ๆ ในความทรงจำนั้น ทำให้แน่งน้อยที่เกษียณอายุราชการมาสิบกว่าปีนั้นรู้สึกว่า เพื่อนเมื่อครั้งแตกเนื้อสาวที่อยู่คนละประเทศนั้นแม้ไม่ได้เจอกันเนิ่นนานก็ใช่ว่าความเป็นเพื่อนที่เคยพูดคุยความในใจจะเลือนหายไป และยิ่งผ่านวันเวลาของโลกจวบจนเข้าสู่วัยไม้ใกล้ฝั่ง แน่งน้อยก็รู้สึกว่า มิตรภาพนี้ควรจะรักษาไว้ตราบจนกระทั่งร่างกายนี้ปราศจากลมหายใจ...

ในงานศพคราวนั้น แน่งน้อยเอ่ยปากชวนให้หลินซิ่วอินนั้นมาเที่ยวเมืองไทยบ่อย ๆ และบ้านหลังที่ปราศจากสามีเป็นหัวหน้าครอบครัวนี้ก็ยินดีต้อนรับเป็นอย่างยิ่ง หลินซิ่วอินนั้นเมื่อรู้ว่าเพื่อนไม่มีภารกิจหน้าที่การงานประจำเช่นอดีตกาล และต้องเป็นม่ายเพราะสามีเสียชีวิตด้วยโรคร้ายมีกิจวัตรเพียงเข้าวัดทำบุญและเที่ยวเตร่ไปตามไปประสาคนที่ทำประโยชน์ให้กับตนเอง ให้กับคนอื่นและประเทศชาติมาแล้ว หลินซิ่วอินจึงชักชวนให้แน่งน้อยได้ไปพักผ่อนที่ปีนังบ้าง...

และเมื่อหลินซิ่วอินเดินทางกลับมาเลเซีย แน่งน้อยก็ได้รับโทรศัพท์ข้ามแดนจากหลินซิ่วอิน โทรมาพูดคุยถามไถ่เรื่องสุขภาพร่างกายชีวิตความเป็นอยู่ประจำวันพอให้ชีวิตมีชีวิตชีวาขึ้นมา...และตามประสาคนแก่ย่อมเผลอไผลพูดคุยเรื่องในอดีตครั้งเมื่ออยู่คอนแวนต์ เพราะถือว่าเป็นความทรงจำที่ทั้งคู่มีด้วยกัน นอกจากนั้นก็จะมีเรื่องในปัจจุบันของคนรอบ ๆ ตัว เรื่องสุขภาพอนามัย ยารักษาโรคแบบทางเลือก รวมถึงสนทนาธรรมกันเพราะหลินซิ่วอินนั้นนับถือศาสนาพุทธแบบเถรวาท หลินซิ่วอินกับพวกหมู่ญาติพี่น้องนั้นนั่งรถข้ามแดนมาทำบุญรดน้ำมนต์ที่วัดในอำเภอหาดใหญ่จังหวัดสงขลาอยู่เป็นประจำ หรือไม่ก็ไปเที่ยวพักผ่อนที่สิงคโปร์เพราะหลินซิ่วฮัวผู้เป็นพี่สาวแต่งงานแล้วย้ายไปอยู่กับครอบครัวสามีที่ตั้งรกรากอยู่ที่นั่น...

มีอยู่เรื่องหนึ่งที่หลินซิ่วอิน แน่งน้อย และวิมลรัตน์ เคยปรารถนากันไว้เมื่อครั้งก่อนจะสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมบริบูรณ์ นั่นก็คือ ทั้งสามคนปรารถนาที่จะเกี่ยวดองกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง...

แต่ว่าความปรารถนานั้นก็หาได้สัมฤทธิผลเพราะหลินซิ่วอินไม่ได้แต่งงานด้วยคู่หมั้นคู่หมายที่ผู้ใหญ่จัดการไว้ให้นั้นประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิต จะมีก็แต่ ลูก-หลาน ของพี่ชายที่ล่วงลับไปแล้วที่คอยดูแลเพราะถือว่าหลินซิ่วอินยังเป็นคนในครอบครัว ส่วนวิมลรัตน์นั้นแม้จะแต่งงานเหมือนแน่งน้อย แต่ว่าทั้งคู่ก็มีแต่ลูกสาว วิมลรัตน์มีลูกสาวถึงสามคน ลูกสาวคนโตแต่งงานมีลูกชายสองคน คนรองไม่ยอมแต่งงานเป็นสาวเทื้อคาบ้าน ส่วนคนเล็กแต่งงานมีหลานชายสองคนให้วิมลรัตน์เช่นกัน

ส่วนแน่งน้อยมีลูกสาวเพียงคนเดียว ลูกสาวของแน่งน้อยนั้นแต่งงานกับข้าราชการกระทรวงมหาดไทยปัจจุบันเป็นนายอำเภอประจำอยู่ทางจังหวัดในภาคเหนือ

...แน่งน้อยมีหลานยายถึงสองคน เป็นหลานชายหนึ่งคนและหลานสาวที่หนึ่งคน...ซึ่งพอหลินซิ่วอินรู้ว่าหลานสาวของแน่งน้อยเป็นถึงดาราดังของประเทศไทย หลินซิ่วอินก็ปรารถนาที่จะให้หลานชายคนเล็ก ลูกของลูกพี่ชายที่ยังเป็นโสดมาเห็นหน้า มานึกรักเหมือนที่ตนเองเห็นแล้วนึกรัก...

เกมจับคู่อย่างกราย ๆ เพื่อระลึกนึกถึงคำมั่นสัญญาในอดีตในจึงได้เกิดขึ้น...

แน่งน้อยเองนั้นไม่คาดคิดหรอกว่า ความปรารถนาของหลินซิ่วอินจะประสบความสำเร็จ เพราะว่า ขวัญชีวีนั้นมีคนรักอยู่แล้ว แถมยังเป็นคนในวงการเดียวกันเสริมส่งต่อหน้าที่การงานของกันและกัน แต่พอหลินซิ่วอินพูดเรื่องนี้ขึ้นมาบ่อย ๆ แน่งน้อยก็ระลึกนึกถึงคำทำนายจากเพื่อนของสามีผู้ซึ่งสามารถดูลายมือได้

...เมื่อสิบปีก่อนนั้น ประจักษ์เพื่อนของสามีแวะมาเยี่ยมที่บ้าน...ครั้งนั้นมือของหลานชายคนรองกับมือขวัญชีวีถูกดึงไปหงายดูเส้นชีวิต เส้นจิตใจ เส้นวาสนา และคำทำนายก็หลุดออกมาจากปาก...

ขวัญชัย หลานชายคนโตนั้นจะได้ไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ และได้ทำงานตั้งรกรากอยู่ที่นั่น ไม่กลับมาอยู่เมืองไทยอีก...ซึ่งปัจจุบันคำทำนายก็เป็นเป็นตามนั้น ขวัญชัยสอบชิงทุนไปเรียนต่อปริญญาโทที่อเมริกาและปัจจุบันเขาก็แต่งงานกับลูกคนไทยที่ไปเติบโตตั้งรกรากอยู่ที่นั่น เรื่องที่จะกลับมาอยู่เมืองไทยอีกเห็นจะเป็นเรื่องเรื่องยาก

ส่วนขวัญชีวีนั้น ข้อแรกของคำทำนาย ขวัญชีวีจะได้เป็นดาราดัง เป็นคนมีชื่อเสียง ซึ่งปัจจุบันมันก็เป็นไปตามนั้น ส่วนข้อที่สอง เนื้อคู่ของขวัญชีวีเป็นคนต่างชาติ

...ข้อนี้เองที่แน่งน้อยหวนคิดได้ว่า คนที่ขวัญชีวีคบหาอยู่นั้นอาจจะยังไม่ใช่ คนไม่ใช่จะต้องมีเหตุให้จากกันไป และคนที่ใช่ของขวัญชีวีนั้นจะเป็นใคร?

เป็นหนุ่มรูปงามชื่อ หลินฮันหมิง ที่นั่งอยู่ตรงหน้า หลานชายของหลินซิ่วอินหรือเปล่า?
ประวัติของหลินฮันหมิงจากปากของหลินซิ่วอินนั้น แม้จะมีแต่ข้อดีตามประสาคนของตัวเองก็ต้องเข้าข้างกันเอง แต่ว่าไปแล้วมันก็เรื่องน่าแปลกใจสำหรับแน่งน้อย เพราะในบรรดาลูกทั้งสี่คนของหลินมู่กุ้ยกับเฉินเจียรี่หญิงสาวที่มีคุณตาทวดเป็นคนอังกฤษนั้น มีหลินฮันหมิงเพียงคนเดียวเท่านั้นที่พูดภาษาไทยได้ชัดเจน...

หลินฮันหมิงเรียนระดับชั้นมัธยมที่โรงเรียนอินเตอร์ ที่นั่นมีนักเรียนไทยไปเรียนอยู่จำนวนไม่น้อย เขาจึงได้เรียนรู้ภาษาไทยมาจากเพื่อน ๆ ครั้งที่อยู่มหาวิทยาลัยเพื่อนสนิทของเขายังเป็นเพื่อนกลุ่มเดิมซึ่งเป็นคนไทยที่มาจากหาดใหญ่บ้างภูเก็ตบ้าง และเมื่อไปเรียนต่อระดับปริญญาโทที่อเมริกาเขาก็ไปสนิทสนมกับเพื่อนคนไทยเสียอีก

...หลินฮันหมิงจึงพูดคุยโต้ตอบภาษาไทยได้เป็นอย่างดี จวบกระทั่งปัจจุบันหลินฮันหมิงที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานในบริษัทผลิตเครื่องสำอางของครอบครัวต้องเข้ามาติดต่อประสานงานกับบริษัทตัวแทนจำหน่ายที่เมืองไทยใช้ภาษาไทยสื่อสารกับคนไทยได้เป็นอย่างดี และแน่งน้อยเองเมื่อได้เห็นหน้าของเขาเมื่อวันที่หลินซิ่วอินเดินทางมาฌาปนกิจศพของวิมลรัตน์ แน่งน้อยก็รู้สึกถูกชะตากับเขาอยู่ไม่น้อย...

แต่เรื่องที่จะเอ่ยปากกับหลานสาวเพื่อลองหยั่งเชิงให้หนุ่มสาวสานความสัมพันธ์คบหารู้จักกันไว้ แน่งน้อยก็พูดไม่ออก ดังนั้น แน่งน้อยจึงได้แต่ระลึกไว้ในใจว่า หากคนทั้งคู่เป็นเนื้อคู่กัน ก็คงจะมีเหตุให้ทั้งสองคู่ได้สานความสัมพันธ์ที่จะเรียนรู้นิสัยใจคอของกันและกันเอง...

และเมื่อหลินฮันหมิงขอตัวกลับไปพร้อมกับคำขอบคุณถึงหลินซิ่วอิน สนามหรือคุณแม่บ้านก็เดินมาทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาตัวที่ห่างออกไป...

“นี่เหรอคะ หลานคุณซิ่วอิน หน้าตาดีเหลือเกิน จะว่าไปก็คล้าย ๆ ฝรั่ง”

“ตาทวดของเขามาจากอังกฤษน่ะ แต่งงานกับคุณยายทวดที่เป็นคนจีน ยายของเขาเป็นลูกครึ่งอังกฤษฮกเกี้ยนนะ...มาถึงชั้นแม่ของเขาแต่งงานกับคนจีนอีก มาถึงชั้นเขา เลือดฝรั่งก็เลยจางลงแต่ว่าก็ได้ข้อดีตรงสรีระของฝรั่งมาเต็ม ๆ”

“นี่ถ้าอยู่เมืองไทยคงได้เป็นดารานายแบบแน่ ๆ”

“ริทำตัวเป็นแมวมอง”

“หรือจะให้คุณกนกอรเป็นคนมองดี” กนกอรนั้นเป็นผู้จัดการส่วนตัวของขวัญชีวี

“อย่าไปยุ่งกับเขาเลย เขามีงานมีการทำ แล้วอายุอานามก็ไม่น้อยแล้ว”

“เท่าไหร่กันคะ”

“สามสิบสอง”

“ยังโสดใช่ไหมคะ”

“ใช่ หลินซิ่วอินบอกว่ายังโสดนะ แต่ไม่รู้โสดจริงหรือเปล่า หน้าตาดีหุ่นก้านดีซะขนาดนี้ ไม่น่าโสดสนิทหรอก”

“คุณหนูขวัญน่าจะอยู่บ้านนะคะ ไม่น่ารีบออกไปแต่เช้า เจอกันสักหน่อย เผื่อปิ้ง ๆ กัน”

“หนูขวัญเขามีแฟนแล้ว”

“แหม..ใช่ว่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้นี่คะ...”

“อย่าไปวุ่นวายกับเขาเลย...ถ้าเขาเป็นเนื้อคู่กัน เขาก็คงได้เจอกันเองแหละ...” ตัดบทแล้วแน่งน้อยก็หยิบของฝากที่เป็นผ้าปาเต๊ะสีครามลายดอกไม้สีขาวผสมสีทองขึ้นมาดู....ส่วนสนามก็คว้าถุงใส่อินทผาลัมแห้งกับช็อคโกแลตเดินเข้าไปเก็บในครัว


ออกมาจากบ้านของคุณยายแน่งน้อยเพื่อนสมัยเรียนคอนแวนต์ของคุณย่าหลินซิ่วอินมาแล้ว หลินฮันหมิงก็เรียกแท็กซี่ให้ไปส่งที่ห้างกลางกรุงซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมที่เขาพักอยู่

ระหว่างเดินรับแอร์เย็นฉ่ำพลางดูสินค้าดูผู้คนที่เดินสวนทางขวักไขว่ สายตาของเขามองเห็นกลุ่มไทยมุงอยู่เบื้องหน้าทางที่เขากำลังจะเดินตรงไป และพอเดินอ้อยอิ่งไปถึง เขาก็พบว่ามีกองถ่ายทำภาพยนตร์หรือละครที่เขาก็สรุปไม่ได้ทำงานกันอยู่ ซึ่งความสงสัยของเขานั้น ก็มีตรงกับสตรีนางหนึ่งที่เดินไปถึงก่อน...และเขาก็ได้รู้จากปากของสตรีที่ยืนอยู่ก่อนว่า “กองถ่ายละคร ลานลูกไม้”..

พอได้ยินว่าเป็นกองถ่ายละคร ภวังค์นั้นเขานึกถึงใบหน้าของขวัญชีวีขึ้นมา ดวงตาคมกล้าที่มองเขาเพียงแวบเดียวแล้วเมินหนี มันช่างทำให้เขารู้สึกเสียความมั่นใจเสียจริง ๆ หน้าตาอย่างเขาผู้หญิงร้อยทั้งร้อย ไม่ว่าจะเป็นโสดหรือแต่งงานแล้ว เมื่อได้เห็น ได้สบตาไม่มีสักคนเดียวที่ดูจะไม่ยินดี แต่ว่าขวัญชีวีกลับมองเมินเหมือนเขาไม่มีตัวตน ทั้งที่เขาเองก็ส่งสายตาเป็นมิตรไปให้ ข้อแก้ตัวที่ว่าเธอมีคู่รักอยู่แล้ว แม้จะเป็นข้ออ้างไม่ยอมสบตาของเขา ไม่ทักทายเขา ไม่แสดงความยินดีที่ได้รู้จักเขา แต่ว่ามันก็ยังเป็นการเสียมารยาทอย่างยากจะให้อภัย...และเขาก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ถ้าวันนี้เธออยู่บ้าน เธอจะปั้นหน้าต้อนรับเขาอย่างไร?

หลินฮันหมิงฆ่าเวลาว่างระหว่างรอเดินทางกลับมาเลเซียในวันพรุ่งนี้โดยการเดินทอดน่องดูร้านรวงจำหน่ายสินค้าแบรนด์เนมในห้างหรูพลางคิดแผนการตลาดให้บริษัท เอ็ม.แอล.ซี. คอสเมติก มาเลเซีย ที่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยผ่านบริษัท แอลวีอาร์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) ที่วิศรุต ลิ้มวรรักษ์เพื่อนสนิทของเขานั่งแท่นเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาด...กระทั่งรู้สึกเมื่อยขา และขณะคิดจะหาร้านนั่งพักผ่อนเพื่อหากาแฟเย็นใส่ท้อง

... โทรศัพท์มือถือระบบสองซิมการ์ดของเขาที่มีซิมหนึ่งเป็นซิมการ์ดของประเทศไทยยามเมื่อเขามาติดต่องานที่เมืองไทยก็ดังขึ้น...มีวิศรุตคนเดียวที่รู้ว่าเขาใช้เบอร์นี้..เขากดรับสายพลางเดินเข้าไปในร้านกาแฟที่อยู่หมายตาไว้...เลือกที่นั่งด้านที่ติดกระจกข้างทางเดินพลางสนทนากับวิศรุตไปด้วย

“ธุระส่วนตัวของยูเสร็จหรือยัง” ด้วยไปเรียนอยู่อเมริกาตั้งแต่จบชั้นประถม วิศรุตจึงไม่สนิทสนมกับขวัญชีวีกระทั่งรู้พื้นเพของเจ้าหล่อน และอีกอย่างเขาก็ไม่รู้ด้วยว่า เพื่อนของคุณย่าเล็กของหลินฮันหมิงนั้นคือคุณยายแน่งน้อยของขวัญชีวี

“เรียบร้อยแล้ว...” หลินฮันหมิงลังเลใจที่จะเล่าเรื่องที่เขาก็คิดไม่ถึงว่ามันจะเป็นไปได้ กับลึก ๆ หลังจากที่เพื่อนสร่างเมาแล้วเขาก็มั่นใจว่า วิศรุตนั้นลืมเรื่องที่ได้พูดไปแล้ว

“แล้วกินข้าวกลางวันหรือยัง...”

“ยังไม่หิว อยู่ในห้าง...กำลังหากาแฟเย็นกับขนมใส่ท้องอยู่” ขณะที่คุยกับวิศรุตสายตาของเขาก็ดูเมนูที่ผนังไปด้วยเพราะร้านนี้เป็นร้านแบบบริการตัวเอง

“อืม...บ่ายนี้เข้ามาในบริษัทหน่อยซิ ตอนเย็นจะพาไปหาอะไรอร่อย ๆ ใส่ท้อง...มีเรื่องงานจะปรึกษานิดหน่อยด้วย”

“เรื่องอะไร...”

“โฆษณาตัวใหม่ครีมยกกระชับผิวหน้าของเวอซ่าดีโก้”

ผลิตภัณฑ์เวอซ่าดีโก้ (Versa Dico)เป็นเครื่องสำอางประทินผิว ผลิตที่ปีนังประเทศมาเลเซีย กว่าสิบปีที่ผ่านมา ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ได้เข้าไปเจาะตลาดที่ประเทศสิงคโปร์ บรูไน และอินโดนีเซียภายใต้การบริหารงานของพ่อและพี่ชายคนโต หลินฮันเฉิง พี่สาวอีกสองของเขาคนคือ หลินเล่ออี้ และ หลินเล่อเจิน จนกระทั่งสินค้าได้รับความนิยม แต่พอเขาเรียนจบการศึกษา กลับมาทำงาน เขาก็เข้ามาช่วยงานในบริษัทฯ ของตระกูล เข้ารับผิดชอบหน้าที่ด้วยตำแหน่งผู้จัดการส่วนภูมิภาคแทนพี่ชายที่ก้าวขึ้นไปนั่งตำแหน่งประธานบริษัทฯ แทนพ่อของเขาที่ขอเกษียณเพื่อไปรักษาสุขภาพ...พันธกิจของบริษัทฯ คือขยายตลาดสู่ประเทศในกลุ่มอาเซียนให้ครบทุกประเทศโดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานกระจายสินค้าประเทศในลุ่มแม่น้ำโขง...

“มีอะไรว่ามา”

“ไหน ๆ ก็จะปล่อยโฆษณาตัวใหม่แล้ว ไอว่าใช้พรีเซนเตอร์เป็นสาวไทยดีกว่า ถ่ายทำโฆษณาใหม่ทั้งหมด ไม่เอาของเดิมที่ใช้ในมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซียมาใช้แล้วพากย์เสียงไทยใส่....”

“ค่าใช้จ่ายมันสูงนะ”

“แล้วยูคิดว่ามันคุ้มค่ากับที่ลงทุนไหมละ ทำโฆษณาโดยใช้พรีเซนเตอร์เป็นคนไทยใช้สักสิบล้านบาท อาจจะได้ส่วนแบ่งการตลาดไปมากกว่าเดิมก็ได้ ยูก็เห็นตัวเลขในรายงานผลการดำเนินงานในไตรมาสนี้ไปแล้วนี่ว่าเวอซ่าดีโก้แรงแค่ไหนในประเทศไทย”

“ต้องเข้าที่ประชุมที่มาเลเซียก่อน ยังตัดสินใจอะไรไม่ได้หรอก...”

“เสนอให้เก็บไปคิดแล้วกัน...”

“อืม..สรุปว่าเย็นนี้ต้องเจอกันอีกไหม”

“เจอซิ...ยูจะเหงาอยู่โรงแรมทำไม หรือว่ามีที่ไปเอง”

“ไม่มีหรอก...”

“แล้วเมื่อคืนได้ฝันถึงขวัญชีวีบ้างหรือเปล่า”

“ทำไมต้องฝัน”

“ชอบเขาไหมละ”

“เปลี่ยนเรื่องคุยเลย” ด้วยไม่อยากผิดใจกับเพื่อนเขาจึงต้องตัดบท

“งั้น เข้ามาหา แล้วค่อยว่ากัน...”

ตัดสัญญาณของวิศรุตแล้วหลินฮันหมิงก็เดินไปที่เคาน์เตอร์สั่งกาแฟกับเค้กช็อกโกแลต หลังจากที่จ่ายเงินแล้วขณะถือแก้วกาแฟกับจานใส่ขนมเดินกลับมายังโต๊ะตัวเดิม เขาก็ต้องชะงักเท้า เพราะที่ตรงนั้นมีดาราดังนามขวัญชีวีเข้าไปนั่งแทนที่



จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 พ.ย. 2555, 12:30:07 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 พ.ย. 2555, 13:43:23 น.

จำนวนการเข้าชม : 2219





<< 1.2 เรียน้ำย่อย(กันต่อ)   2.2 >>
รอให้เป็นเล่ม 21 พ.ย. 2555, 12:33:25 น.
คนแรก


จุฬามณีเฟื่องนคร 21 พ.ย. 2555, 12:38:25 น.
ขอกำลังใจ "อย่างแรง ๆ"...


saralun 21 พ.ย. 2555, 13:42:51 น.
เป็นกำลังใจให้ค่า ^^


กมลภัทร 22 พ.ย. 2555, 09:05:57 น.
ชุดอาเซียนสินะครับ สู้ ๆ


Orathai 23 พ.ย. 2555, 00:10:12 น.
เป็นไงต่อง่ะ รอค่ะ


loveleklek 23 พ.ย. 2555, 20:58:30 น.
รอต่อปายยยยย


นิภารัตน์ 23 พ.ย. 2555, 21:25:50 น.
รออ่านต่อค่ะ ^__^


Zephyr 1 ธ.ค. 2555, 00:14:58 น.
ต่อๆค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account