The Recapture ร้ายทวงรัก(สำนักพิมพ์ sugar beat)
ฉันจะทำให้คุณสยบแทบเท้า เพราะรักฉัน!
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 6

ตอนที่ 6

แม้ไฟในทรวงจะถูก ‘จุด’ จนเกือบลุกโชน แต่ความละอาย ปนอับอายในหลายประการ กลับผุดขึ้นมาในความคิด มีอิทธิพลเข้ามารบกวนจิตใจ...เธอจึงขืนตัว หักห้ามอารมณ์ระอุทรวง แล้วผลักอกเขาเต็มแรง จนฝ่ายนั้นผงะหงายหลัง

เมื่อร่างกายเป็นอิสระ ต่างฝ่ายต่างนิ่งไปชั่วอึดใจ จนเหมือนเสียงหายใจของกันและกันจะชัดเจนยิ่งกว่าเสียงคลื่นลม ในอาการสั่นพร่าด้วยความหนาวเหน็บทั้งกายและใจ ความโกรธ เกลียดกลับวิ่งพล่านจนสะท้าน ทำตัวไม่ถูก

เธอไม่ใช่คนใจง่าย...ไม่ใช่!

ปีวราปรี่เข้าไปตบหน้าเขาเต็มแรง “ฉันเกลียดคุณ เกลียดผู้ชายที่มักง่าย ฉวยโอกาส ข่มเหงคนที่อ่อนแอกว่าอย่างคุณ ไม่สนใจว่าคนๆนั้นที่ถูกคุณทำร้ายจิตใจ จะต้องจมปลักอยู่กับความเจ็บปวด เป็นทุกข์ขนาดไหน คุณทำลายความหวังของฉัน...”

ดวงตาของเธอตัดพ้อ เมื่อ ‘ความหวัง’ ในหัวใจของเธอกับการรอคอยสูรย์ พังทลายลงด้วยความเชื่อว่าเธอถูกผู้ชายมักง่ายตรงหน้า ฉกชิงเรือนร่างของเธอไปครอบครองตั้งแต่เมื่อคืนนี้

เขาได้แต่ยืนนิ่ง...

เธอจึงหันหลังกลับ สาวเท้าจากเร็วเป็นวิ่ง เลาะไปตามทางเพื่อจะกลับเข้าบ้าน เหลียวหลังเป็นระยะ ไม่เห็นวี่แววว่าเขาจะตามมา จึงชะลอฝีเท้ากลับไปเดิน ผ่านทิวมะพร้าวสูงชะลูด ซ้อนด้วยต้นสนสูงแผ่กิ่งก้านตามแนวรั้วไม้ไผ่ เมื่อพ้นทางโรยกรวด จึงก้าวขึ้นสะพานไม้ระแนงเป็นแนวยาวทอดสู่ตัวบ้านสองชั้นขนาดใหญ่โต ก่อนจะหยุดกึก เมื่อได้ยินเสียงพูดจาพาทีของคนในบ้าน

วินาทีนั้น เธอจึงนึกขึ้นได้ว่า...สูรย์อาจกำลังนั่งรับประทานอาหารกับทุกคนในครอบครัวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ชั่วอึดใจที่สองเท้าก้าวผ่านกรอบประตูไม้บานหนาหนัก สายตาเธอมองกวาดไปยังห้องรับประทานอาหาร ซึ่งตกแต่งไว้ติดกับห้องรับแขก เพียงแค่มีฉากไม้ตั้งกั้นจากผนังไม้สีน้ำตาลโอ๊กกำบังสายตา

เธอไล่สายตามองทุกคนบนโต๊ะ...นายหัวของบ้านกำลังดื่มบรั่นดี สีหน้าแช่มชื่น แถมยังชวนคุยกับคุณนายใหญ่อย่างออกรส โดยที่ผู้เป็นภรรยามีใบหน้าเปี่ยมสุขไม่แพ้กัน ต่างกับอีกบุคคลหนึ่ง นั่นคือนางปราณี มารดาของเธอ ซึ่งมีท่าทีกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด

แต่รอบโต๊ะอาหาร กลับไม่พบหน้าบุคคลที่เธอคาดหวัง!

หญิงสาวจึงเบี่ยงตัว หวังจะเดินผ่านหน้าห้องรับประทานอาหาร เลี่ยงไปขึ้นบันไดสูงซึ่งขัดด้วยไม้เนื้อดีลงชะแล็กเป็นเงา หลีกการพบปะหน้าคนทั้งหมด ทว่าไม่อาจรอดสายตาของแม่ ที่ใจจดใจจ่อมาทางประตูบ้านตลอดเวลา

“ปี...กลับมาแล้วหรือลูก มาทานข้าวก่อน นายหัวท่านรอลูกนานแล้วนะ”

นางปราณีกระวีกระวาดลุกจากโต๊ะ รี่เข้ามาถึงตัวบุตรสาว แต่เมื่อเห็นสภาพเนื้อตัวเปียกชุ่ม ท่านก็แสดงความตกอกตกใจ หญิงสาวจึงกลายเป็นเป้าสายตาต่อทุกคนในที่นั้น

แล้วผู้ที่เหมือนจะรอ ‘สาดคำ’ อยู่เป็นนาน ก็ลุกพรวดจากเก้าอี้เข้ามาสมทบ “ต๊ายตายแล้ว...นี่เธอไปทำอะไรมา ถึงได้เปียกยังกับลูกหมาตกน้ำขนาดนี้”

คุณนายสาวิตรีตวัดค้อนใส่เธอ ประหนึ่งว่าการที่เนื้อตัวเปียกนั้นเป็นการสร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้ก็ไม่ปาน นางปราณีจึงหันมาสำทับ “นั่นสิลูก ไปทำอะไรมา”

“ไหนแม่เธอบอกว่าไปงานแต่งเพื่อนที่กรุงเทพฯ กลับมาตั้งหลายชั่วโมงแล้วไม่ใช่หรือไง นี่ไปทำอีท่าไหนล่ะ ถึงได้ตัวเปียกขนาดนี้”

“หนูแค่พลัดตกท่าน้ำที่สะพาน”

ผู้พูดกวาดตาขึ้นลงคล้ายจับผิด “แล้วไปยืนทำไมแถวนั้นจนมืดค่ำ เธอน่าจะรู้ดีนะว่าบ้านนี้ทานข้าวเย็นตอนทุ่มตรง นี่มันเลยมาตั้งหลายนาทีแล้ว”

ปีวราไม่สนใจคำต่อขานของคุณนายใหญ่แห่งบ้าน ไม่คิดจะต่อความยาว ด้วยเกรงว่าไม่อาจระงับตะกอนในใจที่ยังตกค้างได้ จึงเลี่ยงที่จะตอบ เอ่ยขอตัวทันใด ในแวบนั้น เธอลอบปรายตามองไปยังโต๊ะอาหารอีกครั้งจนแน่ใจว่า ไม่พบคนที่เธอคาดหวัง

“หนูขอตัวไปอาบน้ำก่อนค่ะแม่”

เธอเดินจ้ำขึ้นบันไดอย่างเร็ว ได้ยินเสียงของคุณนายใหญ่พูดฉอดๆไล่หลัง “นังเด็กคนนี้มันหยิ่งจองหองเหมือนแม่มันไม่มีผิด มีบ้านให้คุ้มกะลาหัวก็บุญโข ยังริทำตัวอวดดี”

แล้วเสียงฝีเท้าของมารดาก็ไล่ตามมา เรียกให้เธอหยุดเดิน “เดี๋ยวก่อนสิลูก แม่อยากคุยด้วย”

เธอจึงหมุนตัวกลับ บริเวณหน้าประตูห้องนอนของตนเอง เอ่ยเสียงแผ่วสั่นด้วยความหนาวจนต้องกอดอก “แม่มีอะไรคะ”

วินาทีนั้น นางปราณีเป็นฝ่ายโผเข้าไปกอดบุตรี กระชับลำตัวไว้แนบอกไม่ต่างจากครั้งที่เธอยังเยาว์ กระซิบเสียงเบา “แม่ผิดเอง...ผิดที่ไม่เข้มแข็ง อ่อนแอจนเรื่องมันเลยเถิด”

ความหนาวเยือกในอกที่เธอเก็บมาร่วมสัปดาห์ จวนจะทะลักหลั่งออกมาเป็นสายน้ำตา ไม่บังเอิญได้ยินเสียงของคุณนายใหญ่เอะอะมะเทิ่งที่ด้านล่างอีกครั้ง ซึ่งเป็นประโยคที่คล้ายคลึงกับเมื่อครู่ตอนพูดกับเธอไม่ผิดเพี้ยน

“ตายแล้ว! ตาสูรย์ของแม่ ไปตกน้ำตกท่าที่ไหนมา เนื้อตัวถึงได้เปียกไปหมดล่ะ เห็นนายเกลี้ยงบอกว่าลูกแวะไปที่ฟาร์มฯมาไม่ใช่หรือไง”

เพียงแค่ได้ยินชื่อของผู้ที่เธอรอคอย...หัวใจของเธอก็พุ่งโลดโผนโจนทะยานราวกับติดปีก แต่กระนั้นกลับมีบางคำชวนสะกิดใจว่า ‘ตกน้ำตกท่า’ ภาพของผู้ชายมักง่ายฉวยโอกาส กลับลอยเด่นเข้ามาบดบัง เธอจึงผละจากอกมารดา แล้วก้าวลงบันไดทีละขั้นอย่างช้าๆ พยายามชะโงกหน้าลงไปมองยังมุมที่พอมองเห็นว่า ‘พี่ชาย’ ของเธออยู่ตรงมุมไหน

“ผมแค่พลัดตกท่าน้ำที่สะพานครับ ไม่เป็นอะไรมาก”

เรื่องราว...น้ำเสียง เริ่มชัดเจนมากขึ้นในมโนสำนึก!

จนกระทั่งได้เห็นชัดเต็มสองตา ว่าผู้ชายที่คุณนายใหญ่เรียกว่าสูรย์ มีหน้าตาเหมือนกับนายคนนั้นทุกกระเบียดนิ้ว

ไม่สิ...ไม่ใช่แค่เหมือน แต่เขาคือคนๆเดียวกันต่างหาก

เท่านั้น หัวใจเธอก็แทบจะหยุดเต้น!

...............................................

เข่าเกือบทรุด แข้งขาอ่อนลงฉับพลัน เดินกลับเข้าห้องนอนอย่างซวนเซ ปล่อยให้มารดามองตามด้วยความครุ่นคิด เมื่อถึงเตียงก็ทิ้งตัวลงนอนอย่างหมดแรง หน้าซบลงบนหมอนสีครีมลายดอกไม้

...ภาพในวันวานผุดพราย...

ตอนที่เธอมาถึงเกาะไข่มุกแห่งนี้ เมื่อสิบเอ็ดปีก่อน เธอจำความรู้สึกได้ว่าหวั่นกลัว ทั้งผู้คนและสถานที่ เสี่ยสวัสดิ์หรือที่ใครๆบนเกาะแห่งนี้เรียกว่า ‘นายหัว’ แม้จะเอ็นดูเธอเสมือนบุตรีแท้ๆ แต่ความไม่คุ้นเคย ทำให้เธอรู้สึกแปลกแยก โดดเดี่ยว ไม่รักใคร่สนิทใจนัก

แม่เคยบอกเธอว่า ‘นายหัวเขาใจดี ปีอย่าไปกลัวเขาเลย...เขารับปากว่าจะรักหนูเหมือนลูกของเขาแท้ๆ’

ทว่าคำพูดของแม่ กลับขัดแย้งกับสีหน้าและน้ำเสียงโดยสิ้นเชิง ทำให้เธอเก็บความรู้สึกนั้นไว้ยังส่วนลึก เธอเริ่มเรียนรู้พฤติกรรมที่นายหัวแสดงออกต่อเธอกับแม่ ถึงจะยังไม่สนิทสนม แต่ก็เริ่มเปิดรับชายสูงวัยผู้นั้นมากขึ้นตามลำดับ โดยที่ไม่เคยติดใจถามผู้เป็นแม่เลยสักครั้ง ว่าแม่เธอล่ะ เข้ามาอยู่ในบ้านหลังใหญ่ที่นี่ ในฐานะอะไร

จนความจริงที่บิดเบือนไปมา ปรากฏธาตุแท้ที่คุณนายสาวิตรี ‘ข่ม’ แม่เธอลับหลังมายาวนานได้เปิดเผยต่อหน้าเธอ

‘แกสองคนแม่ลูกมันก็แค่กาฝาก บุญคุ้มกะลาหัวแค่ไหนแล้ว ที่ตลอดเวลาสิบกว่าปี ฉันไม่เคยพูดถึงเรื่องอัปยศของครอบครัวแก ต้องทนใช้ผัวร่วมกับแก ทั้งๆที่ไม่มีเมียหลวงหน้าไหนหรอกที่จะยอมอดทนแล้วก็ใจดีเท่ากับฉัน แต่นี่แกคิดจะมาลำเลิกบุญคุณเอากับฉัน...สมองน่ะมีไว้สำนึกบ้างไหม รู้อย่างนี้น่าจะปล่อยให้แกกับลูกตายตกตามผัวเก่าของแกไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราว’

ประโยคยาวๆที่คุณนายใหญ่ของบ้านระเบิดโทสะใส่เธอกับแม่ ไม่สนแม้นหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน

‘ฉันสาบานตรงนี้ก็ได้ค่ะคุณนายใหญ่ ฉันไม่เคยคิดจะมาอยู่ที่นี่แบบนี้ แต่ฉันไม่มีทางเลือก’

‘ชิชะ! อย่ามาบีบน้ำตาหน่อยเลยย่ะ ที่เธอพูด มันก็แค่ข้ออ้างทั้งเพ มีอย่างที่ไหน ผัวตายยังไม่ทันไร ก็คิดจะหาผัวใหม่...ฉันถามจริงๆเถอะ ตอนที่เธอเอาผัวฉันไปกกกอด เธอรู้มาก่อนหรือเปล่ายะ ว่าเขามีเมียอยู่แล้ว’

‘ฉันไม่รู้จริงๆค่ะ ว่านายหัวมีเมียอยู่ก่อนแล้ว’ นางปราณีสะอึกสะอื้นเป็นระยะ แต่อนิจจัง ยิ่งท่านพูดเท่าไหร่ ยิ่งเหมือนแก้ตัว คุณนายสาวิตรีจึงด่ากระแทกไม่หยุด

‘นึกหรือว่าฉันจะเชื่อ ตอนนั้นแกคงกลัวจะลำบากสินะ เพราะหนี้สินที่ผัวเก่าแกมันทำไว้จนหมดตัวน่ะ เท่ากับว่าส่งแกไปเป็นขอทานดีๆนี่เอง แกก็เลยคิดจะจับผัวของฉัน...’

ปีวราอดทนฟังสตรีสูงวัยทั้งสองอย่างเหลืออด จึงค้านเสียงแข็ง ‘ไม่จริง! แม่ฉันไม่มีทางทำแบบนั้น’

‘จริงหรือไม่จริง ก็ไปถามแม่เธอดูเอาเองเถอะ แต่ถึงยังไง เรื่องที่แม่เธอยอมเป็นเมียของผัวฉันอีกคน มันก็เป็นเรื่องจริง’

ปีวราหันไปสบตา คาดคั้นมารดา ที่บัดนี้น้ำตาพรั่งพรูเป็นสาย ‘ไม่จริงใช่ไหมคะแม่ ไหนแม่บอกว่าคุณลุงเขาเป็นญาติคนนึงของเราไงคะ...เขารักและเอ็นดูหนูเหมือนลูกสาวแท้ๆ ถึงได้รับอุปการะหนูแบบลูกบุญธรรม’

‘สำออย!”

คุณนายใหญ่แห่งบ้านได้กล่าววาจากระแนะกระแหนคำสุดท้าย ก่อนจะสะบัดหน้าพรืดไปอย่างไม่แยแส ทิ้งร่องรอยความเจ็บช้ำระกำใจไว้มากมายขนาดไหนกับเธอและแม่

เมื่อคิดเรื่องนี้ทีไร ในใจของปีวราก็เจ็บจี๊ด แต่มิได้มีน้ำตาสักหยด มีแต่ความเจ็บใจ แรงแค้นสุมอยู่ในทรวง...เธอลุกขึ้นจากเตียง ค่อยๆปลดกระดุมเสื้อทีละเม็ด จากที่เปียกชุ่มเหลือเพียงความชื้นหมดออกจากร่างกาย คว้าผ้าขนหนูตรงเข้าห้องน้ำ

ห้องน้ำภายในห้องนอนของหญิงสาวตกแต่งเรียบง่าย โทนสว่างตัดกับความเรียบขรึม ด้วยการผสมงานไม้สีน้ำตาลเข้มเข้ากับการกรุกระเบื้องสีครีมซึ่งปูที่พื้นห้องน้ำรวมถึงผนังด้านที่ติดอ่างล้างมือ ถัดจากส่วนนั้นเป็นอ่างอาบน้ำแบบกึ่งเอ๊าต์ดอร์ สามารถมองเห็นวิวภายนอกได้

หญิงสาวทอดกายลงในอ่าง หลังจากเปิดน้ำจนเต็ม ผินหน้าออกไปยังฟ้าเบื้องนอกอันมืดมิด ที่มองเห็นจันทร์สลัวราง นิ่งอยู่นานด้วยการจมอยู่ในความคิดของตนเอง

ภาพของสูรย์ที่เธอเจอในยามโตเป็นหนุ่ม กระจ่างชัดทุกอิริยาบถที่จดจำได้ ตั้งแต่เมื่อคืนไล่เรียงมาจนถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ ความขยะแขยงปนรังเกียจเข้ามาสิงสู่ในฉับพลัน เธอจึงสะบัดหน้ากลับมายังฝั่งปลายเท้าที่เหยียดตรง ซึ่งกรุด้วยกระจกเงาเต็มแผงขนาดใหญ่

เงาของเธอสะท้อนอยู่ในนั้น!

เธอวักน้ำลูบหน้า ปลายนิ้วลากจากช่วงคิ้วเรียว ผ่านมาถึงจมูก เปิดเปลือกตาขึ้น ดวงตากลมใสสะท้อนความ ‘คิดถึง’ ขึ้นมาแวบหนึ่ง ท่ามกลางความชิงชังในอก

“ทำไมมันต้องเป็นแบบนี้...”

เสียงเธอพึมพำแผ่วเบา ขบเม้มริมฝีปากไว้แน่นทั้งที่ยังสั่น เมื่อปลายนิ้วลากมาถึง ด้วยความรังเกียจรสจูบอันหักหาญน้ำใจ ปลายนิ้วนั้นจึงขยี้ ถูขึ้นลงบนริมฝีปากเต็มแรง

นี่หรือ ‘พี่ชาย’ ที่เธอคาดหวังและรอคอย เขาไม่ใช่เทพบุตรอย่างที่เธอจดจำอีกต่อไป แต่เขาคือซาตานที่ทำร้ายใจ ทำลายตัวของเธอ

ยิ่งนึกถึง ในทรวงยิ่งสั่นกระเพื่อมขึ้นลง...

เธอจึงปล่อยให้แผ่นหลังเปลือย ไล้ไปตามความลื่นของพื้นอ่าง ผมยาวสยายลอยกระจายตัวบนผิวน้ำ วงหน้าถูกล้อมกรอบด้วยระดับผิวน้ำ ดวงตามองแสงสีส้มอ่อนในกรอบวงกลมบนเพดาน รู้สึกได้ว่าแสงนั้นเริ่มพร่ามัวเป็นระยะ

วินาทีนั้นจึงผลุบหน้าลงในอ่างจนมิด ปล่อยให้น้ำตาไหลปนไปกับสายน้ำที่หวังชำระล้างความสกปรกทางกายทิ้งไป พลางคำนึงอย่างเจ็บแค้น

ฉันจะเอาคืนทุกคนที่นี่ ให้สาสมแก่ใจ!

..................................................

เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับสูรย์ที่กรุงเทพฯ นับจากวันนี้ไป เธอจะปิดบังไม่ให้ใครรู้เด็ดขาด เธอจะใช้ความเจ็บปวดในหัวใจเป็นเครื่องร้องเตือน ให้รู้จัก ‘จดจำ’ เพื่อที่จะ ‘ลืม’ มัน

กว่าเธอจะข่มตาลงจนหลับสนิท ก็ผ่านไปค่อนคืน จนกระทั่งรุ่งอรุณ เธอยังคงตื่นเช้าอย่างเคยเป็น ลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวอยู่หน้ากระจกจนได้เวลาอาหารเช้าประจำบ้านตอนเจ็ดโมงตรง

ปีวราสวมชุดกระโปรงผ้าแพรพิมพ์ลายเป้าธนูขนาดเต็มผืน คอปาดกว้างเผยหัวไหล่กลมกลึง ชายกระโปรงสั้นเหนือเข่าเกินกว่าสองคืบ สีน้ำทะเลของชุดเข้ากับโทนสีในการปรุงแต่งเครื่องหน้า ด้วยการปัดมาสคาร่าสีน้ำเงินเข้มเต็มแผงอันงอนงาม รูปปากบางเฉียบลงลิปสติกสีบานเย็นเข้ากับอายแชโดว์ทาเปลือกตาและเล็บมือเรียว

องค์ประกอบทุกส่วนบนเรือนกายจึงเฉิดฉาย เป็นที่สะดุดตาแก่ทุกคนที่นั่งรวมกันอยู่บนโต๊ะอาหาร ไม่มีวี่แววของความทุกข์ตรมหลงเหลืออยู่ ไม่ว่าเรื่องใดทั้งสิ้น

โดยเฉพาะสายตาของสูรย์...ซึ่งตื่นตระหนก ร้อนรนกระวนกระวาย บัดนี้เต็มไปด้วยคำถาม?

หญิงสาวเลื่อนเก้าอี้ข้างมารดาลงนั่ง ตวัดตามองไปยังชายหนุ่มซึ่งนั่งฝั่งตรงข้าม เอ่ยทักทายโดยไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ที่อิงไปทางบวก รวมถึงน้ำเสียงนั้นก็ห่างเหินยิ่งนัก

“เห็นคุณแม่บอกว่าพี่สูรย์กลับมาเมืองไทย...ตั้งแต่หลายวันก่อน เมื่อวานคุณแม่ก็ย้ำเหมือนกัน ว่าพี่สูรย์กลับมาถึงเกาะแล้ว แต่พอดีปีกำลังยุ่ง ก็เลยลืม...”

ผู้ถูกทักทายไม่ทันได้ตอบ คุณนายใหญ่ผู้นั่งฟังตาขวางขุ่นก็พูดแทรกขึ้น “ถ้าเธอใส่ใจซะหน่อย ว่าใครจะไปใครจะมาที่บ้านนี้ เมื่อวานเธอคงอยู่ทานข้าวเย็นพร้อมกันแล้วล่ะ”

หญิงสาวหันไปยิ้มเรียบกับผู้อาวุโส กล่าวลอยๆกระทบกระเทียบกลับ “ปีเรียงลำดับความสำคัญของเรื่องที่ต้องทำก่อนหรือหลังเสมอค่ะ...บางที เรื่องที่ใครๆมองว่ามีความสำคัญนักหนา แต่สำหรับปี มันอาจจะไม่ได้มีความสำคัญเลยแม้แต่นิดเดียว”

เธอจ้องตาฝ่ายชายแน่วนิ่ง จนเขาอึกอัก ผู้เป็นประมุขของบ้านอย่างเสี่ยสวัสดิ์ ซึ่งนั่งสังเกตสังกาอยู่จึงท้วงลูกชายขึ้นว่า “สูรย์จำน้องไม่ได้หรือไง พ่อเห็นนั่งจ้องหน้าน้องไม่ละสายตาเลย”

“เอ่อ...” เขาไม่ตอบคำถาม แต่กลับย้อนไปยังหญิงสาวว่า “ปีเองก็คงจำผมไม่ได้เหมือนกันมั้งครับ”

เธอสวนทันควัน “ปีจะจำเฉพาะเรื่องที่น่าจดจำเท่านั้นล่ะค่ะ”

นางปราณีซึ่งนั่งสงบเสงี่ยมข้างลูกสาวในทีแรก สะกิดเบาๆไปที่หน้าตักลูก ใช้สายตาปรามไม่ให้เธอโต้ตอบอีกฝ่ายมากไปกว่านี้ และยุติบทสนทนานั้นด้วยการเหลียวไปมองที่ป้าสุดใจกับหลาน ซึ่งยืนคอยรับใช้อยู่ทางด้านหลัง

“พี่ใจตักข้าวเถอะจ้ะ เลยเวลามามากแล้ว เดี๋ยวนายหัวจะข้ามไปบนฝั่งอีก ตอนสายแดดมันจะร้อน”

เป็นอันว่าก่อนจะมีการเท้าความถึงเรื่องราวต่างๆ บทสนทนาเบื้องต้นถูกยุติลง โดยที่นางสุดใจหันไปสั่งหลานสาวนามว่าน้ำนวลให้เดินไปยังส่วนของแพนทรี่ ซึ่งตกแต่งไว้ด้านหนึ่งติดกัน หยิบเหยือกแก้วใสบรรจุน้ำสะอาดรินใส่แก้วของทุกคนที่นั่งร่วมโต๊ะ โดยที่ตัวป้าสุดใจเป็นผู้ตักข้าวหอมมะลิหุงสุกคดใส่จาน

แต่ขณะเดียวกัน เหมือนว่าคุณนายสาวิตรีไม่อาจห้ามปาก จึงพูดลอยหน้าลอยตา “นี่ถ้าต้องรอนานไปกว่านี้สักห้านาที กว่าที่ฉันจะได้ทานข้าวเช้าล่ะก็ เห็นทีจะต้องเจรจากันเรื่องเวลาอาหารในแต่ละมื้อกันบ้างละ”

‘นายหัว’ จึงตัดบทอีกคน “เอ้า...นานๆจะได้ทานข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตาสักครั้ง อย่ามัวเสียเวลาเลยดีกว่า...แกไปอยู่เมืองนอกมาซะนาน ไม่รู้จะลืมรสมือกับข้าวฝีมือน้าปราณีที่เคยบ่นว่าอร่อยนักหนาแล้วรึยัง” ท้ายประโยคหันไปถามบุตรชาย

เจ้าตัวชำเลืองตาไปมองแม่ครัวที่เขาเคยถูกใจรสอาหารสมัยเด็ก เห็นท่านกำลังอมยิ้มน้อยๆ จึงพูดชมไม่ให้เสียกำลังใจว่า “ผมจำได้ว่าน้าปราณีทำอาหารรสจัดพวกแกงเผ็ดได้อร่อยเหาะอย่าบอกใคร โดยเฉพาะฝีมือตำน้ำพริกกะปิ แล้วกินกับชะอมทอดไข่ อร่อยอย่างนี้เลยครับ”

เขายกนิ้วโป้งชื่นชม พลอยให้ผู้ที่ถูกชมยิ้มหน้าบาน ต่างจากมารดาของเขาที่แอบเบ้ปากและเมินมอง อดไม่ได้ที่จะค่อนแคะ “แม่ว่าก็ไม่ถึงกับอร่อยนักหรอก แม่สุดใจกับหลานยังจะทำอร่อยซะกว่า”

ปากคุณนายใหญ่ของบ้านก็พร่ำบ่น แต่ไม่วายยังเอื้อมไปตักแกงจืดรสเด็ดฝีมือของคนที่เพิ่งตำหนิใส่จาน แล้วทานอย่างเอร็ดอร่อย จนนายหัวที่นั่งมอง ยังแอบส่ายหน้า

ระหว่างมื้ออาหารเช้าอันเรียบง่ายแต่โอชะ ด้วยกับข้าวไม่กี่อย่าง นายหัวซึ่งกำลังตักข้าวใส่ปาก เหลือบไปมองยังหนุ่มสาวที่นั่งตรงข้ามกัน ลอบมองสายตาของทั้งคู่อย่างพินิจ เหมือนว่าท่านจะเล็งเห็นอาการแปลกแปร่งบางประการ

“กับข้าวฝีมือแม่ไม่อร่อยหรือปี...เห็นตักไม่กี่คำ”

ปีวราสะดุ้งเล็กน้อย ด้วยเหตุที่มัวแต่ใจลอย แต่ก็ฝืนยิ้มให้สดใส “หนูแค่ไม่หิวค่ะ” เธอว่าพลาง ก่อนจะรวบช้อน ตั้งท่าจะลุกไปจากที่ตรงนั้น พอดีว่านายหัวเอ่ยทักเสียก่อน

“เดี๋ยวอยู่คุยกับลุงก่อนสิ อย่าเพิ่งรีบลุกออกไป”

เธอจึงปฏิบัติตาม ลงนั่งที่เก้าอี้ตามเดิม...แล้วนายหัวผู้มีบทบาทในการปกครองครอบครัวทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องงาน ก็ถามเธอด้วยน้ำเสียงแสดงความเอ็นดูอย่างเคย

“ลุงว่าจะหาเวลาคุยกับปีมาตั้งหลายวัน แต่ลุงยังไม่ว่างซะที...ไหนๆวันนี้ก็มีจังหวะ ลุงว่าจะคุยกับปีเรื่องทำงานซะหน่อย เห็นแม่ของปีบอกกับลุงว่า ปีอยากจะขอไปทำงานที่กรุงเทพฯ”

“ค่ะ...หนูว่าจะไปหาประสบการณ์ทำงานให้ตรงกับสายงานที่เรียนมา”

“จะไปทำที่อื่นทำไมกัน ในเมื่อลุงคุยกับปีไว้ตั้งแต่เพิ่งเข้ามหาลัยไม่ใช่หรือ ถ้าจบแล้วจะมาทำงานที่ฟาร์มไข่มุกของเรา”

ปีวรานิ่งตรอง เพราะแต่ก่อนนั้น เธอสัญญากับชายสูงวัยตรงหน้าไว้ตามนั้น...เมื่อไหร่ที่เธอเรียนจบปริญญาตรี เธอจะมาช่วยเหลือธุรกิจของที่นี่ แต่นั่นมันก็เป็นความคิดของเธอ ก่อนที่จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร

“แต่นั่นมันเป็นความคิดในตอนโน้น...”

“ไม่เอาน่า...ปีน่าจะมาอยู่ช่วยงานลุงที่ฟาร์มฯดีกว่า ปีนี้ลุงก็อายุไม่ใช่น้อยแล้ว อยากจะหาคนมาช่วยดูแลกิจการต่อซะที แล้วตอนนี้ตาสูรย์ก็เรียนจบโททางด้านบริหารกลับมาพอดี ส่วนปีจบประชาสัมพันธ์มา ลุงว่าถ้าเราสองคนพี่น้องช่วยกัน ธุรกิจฟาร์มไข่มุกของครอบครัวเราจะไปได้ไกลกว่านี้”

พี่น้องอย่างนั้นหรือ?

ธุรกิจของครอบครัวเราอย่างนั้นหรือ?

เธออยากจะยิ้มเยาะให้เสียงดัง แต่ก็ไม่ได้แสดงกิริยาใดบ่งชี้ความรู้สึกอันแท้จริง จนนายหัวหันไปถามบุตรชายแทน

“ว่าไงล่ะสูรย์ พ่ออยากให้เรามารับช่วงต่อ แล้วขยายธุรกิจการพัฒนาไข่มุกบนฝั่งให้มันก้าวไกลไปกว่านี้ อย่าลืมนะว่าตอนนี้คนบนเกาะหลายครอบครัวมีงานทำ มีรายได้เป็นกอบเป็นกำ ก็จากธุรกิจที่ฟาร์มของเราเป็นหลัก พ่อไม่อยากให้แกเสียเวลาไปเรียนต่อดอกเตอร์ หรือว่าพักร้อน เที่ยวเล่นไปก่อนที่จะมาลงมือทำงานจริงจัง”

ผู้เป็นพ่อรู้ว่าบุตรชายยังคงติดความสำราญอยู่บ้าง เมื่อครั้งไปเยี่ยมเยียนที่เมืองนอก ดังนั้นตัวท่านจึงเป็นห่วง เกรงว่าบุตรชายจะห่วงเที่ยว มากกว่าที่จะลงมือสานต่อในธุรกิจครอบครัว ท่านเห็นบุตรชายเงียบเช่นเดียวกัน จึงพูดย้ำ

“ถ้าตกลงทั้งคู่ พ่อจะได้ให้คุณณรงค์ ที่ตอนนี้เป็นผู้จัดการในฟาร์มเป็นคนช่วยสอนงานให้ทุกอย่าง...”

สูรย์ใช้เวลาคิดเพียงแวบเดียว จึงตอบตกลงอย่างว่าง่าย “ผมตั้งใจแต่แรกแล้วเหมือนกันครับ ว่าจะกลับมาช่วยงานที่บ้านของเรา ส่วนเรื่องที่ผมตั้งใจจะเที่ยวให้คุ้มก่อนที่จะทำงานจริงจังเรื่องนั้น ผมคงพักไว้ก่อนครับ”

นายหัวยิ้มอย่างพอใจในคำตอบ “ดีมากลูก...แล้วปีล่ะ...ว่ายังไง”

ท่านหันมาถามย้ำทางเธออีกครั้ง แต่ปีวรายังเกิดการชั่งใจ เมื่อนึกถึงเรื่องที่เจ็บแค้นในใจ เธอจึงแอบคิดว่า...เธอจะเอาธุรกิจของตระกูลสมบูรณ์พูนผลนี่ล่ะ มาเป็นเครื่องชี้วัดในการเดิมพัน

เธอจะช่วยบริหาร ประชาสัมพันธ์ให้มันล่มจม!

แต่ยังไม่ทันตอบตกลง คุณนายใหญ่ก็รีบค้านหัวชนฝา “จะดีหรือคะคุณพี่ ที่จะปล่อยให้แม่ปีมาช่วยทำงาน เพิ่งจะจบแค่ชั้นตรี ปริญญาออกจะเกลื่อน ประสบการณ์ก็ไม่มี ถ้ามอบหมายงานที่สำคัญให้ทำ เดี๋ยวธุรกิจที่ครอบครัวเราสร้างมา มันจะพังเอาง่ายๆน่ะสิคะ”

นายหัวพอเข้าใจความคิดผู้เป็นภรรยา จึงตอบเสียงเรียบเรื่อยแบบผู้ที่นิยมให้โอกาสคนว่า “เด็กที่จบปริญญาตรีสมัยนี้มันมีเกลื่อนจริงอย่างที่คุณว่านั่นล่ะ แต่ละคนที่จบมา ก็ใช่ว่าจะมีประสบการณ์การทำงานจริงอย่างที่คุณว่า ก็ถูกอีกนั่นล่ะ...แต่ถ้าเราไม่ให้โอกาสคนได้เริ่มต้น แล้วเมื่อไหร่พวกเขาจะมีประสบการณ์จริงกันล่ะ ที่ผมพูด...มันถูกไหม”

ผู้เป็นภรรยาหน้าง้ำอย่างชัดเจน แสดงความไม่พอใจ “ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจคุณ แล้วอย่าหาว่าฉันไม่เตือน”

“ว่าไงล่ะปี...ลุงไม่อยากบังคับ อยากให้ทำด้วยความสมัครใจมากกว่า”

ผู้ถูกถามยังไม่ทันตอบเช่นเดิม มีผู้ที่เอ่ยค้านขึ้นอีกราย คราวนี้เป็นแม่ของเธอเอง “จะดีหรือคะคุณ ปีเพิ่งจะจบมาหมาดๆ ให้ไปทำงานตำแหน่งสำคัญในบริษัท เกรงว่างานจะ...”

เสี่ยสวัสดิ์ยกมือขึ้นห้ามให้หยุดพูด สายตาตำหนิ “พอเถอะคุณปราณี แม้แต่คุณเองก็ยังไม่เชื่อใจลูกสาวตัวเองหรอกหรือ”

นางปราณีแทบสะอึก...มิใช่ว่าท่านจะไม่ไว้ใจหรือเชื่อมือบุตรี แต่เป็นเพราะท่าน ‘รู้’ ในสิ่งที่คนอื่นไม่รู้ ว่ามีเรื่องราวใดเกิดขึ้นในอดีตของหนุ่มสาวทั้งคู่ เมื่อสมัยยังเป็นเด็ก ท่านจึงไม่อยากให้ทั้งสองคนได้อยู่ใกล้ชิด ด้วยเกรงว่า...

“หนูตกลงค่ะคุณลุง” จู่ๆปีวราก็โพล่งขึ้นกลางปล้อง รับคำด้วยรอยยิ้มแจ่มใส

นายหัวจึงยิ้มร่าอย่างพึงใจ รวบช้อนในมือทันที “เห็นไหมละ ลุงเชื่อว่าปีจะไม่ปฏิเสธ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเราสองคนไปเตรียมตัว จะได้พาไปพบคุณณรงค์พร้อมๆกัน”

เสี่ยสวัสดิ์เป็นผู้เดียวที่ยิ้มระรื่น ต่างจากทุกคนรอบโต๊ะ ซึ่งมีความรู้สึกแตกต่างกันออกไป

.............................................................



พู่ไหมบุรามฉัตร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 พ.ย. 2555, 14:02:49 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 พ.ย. 2555, 14:02:49 น.

จำนวนการเข้าชม : 1711





<< ตอนที่ 5   ตอนที่ 7...100% >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account