ภิรมย์รัก
กุลสตรี!

รุจิรดาแอบเบ้ปากด้วยความเบื่อหน่ายปนขุ่นเคือง
หากนับว่าการที่เธอยื่นมือออกไปช่วยเหลือน้องสาวของ หม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์ นั้นไม่เป็นกุลสตรี
หญิงสาวก็ยอมรับตามความจริง
แต่เมื่อคนที่ชี้ความจริงข้อนี้ให้เธอรู้เป็นพี่ชายของคนที่เธอช่วยเอาไว้
หญิงสาวจึงรู้สึกเหมือนตนกำลังทำคุณบูชาโทษ
ต่อแต่นี้ไปก็อย่าได้มาเจอะมาเจอกันอีกเลยเป็นดีที่สุด!

หากภาวนาไปไม่พ้นสามวัน
คนที่เธอไม่อยากพบเจออีกในชาตินี้ กลับมาเป็นอาจารย์ของเธอเอง
คราวนี้คงต้องฟังแลกเชอร์ว่าด้วย “ความเป็นกุลสตรี” เสียจนหูชาแน่ๆ
เธอต้องหาทางหนีสถานเดียว!

แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร...
ยิ่งพยายามหนีให้ไกลจากดวงตาสีดำคูคมนั้นเท่าไหร่
กลับยิ่งเหมือนอีกฝ่ายจะไล่ตามมาไม่ปล่อยเสียอย่างนั้น!

Tags: ย้อนยุค,ศิษย์,อาจารย์,ท่านชาย,ท่านหญิง,ความรัก,พีเรียด

ตอน: บทที่ 7 [100%]


ปฏิกิริยาของท่านหญิงอรกัญญามิใช่สิ่งเกินคาดแต่อย่างใด...

พักตร์งามที่หันมาจับจ้องอีกฝ่ายซีดก่อนจะกลับแดงก่ำ นิลเนตรพราวระยับทั้งคู่เบิ่งค้างพอๆ กับเรียวโอษฐ์สีกุหลาบสวยที่อ้าน้อยๆ คล้ายประหลาดใจเหลือแสนที่จู่ๆ อีกฝ่ายก็เอ่ยถามออกมาตรงๆ เสียอย่างนั้น

รุจิรดาอมยิ้มขณะเฝ้ามองเรียวโอษฐ์บางสวยขยับขึ้นลงน้อยๆ อย่างจะเอ่ยอะไรออกมา แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีรับสั่งไหนหลุดออกมาเสียที นอกจาก

“รดา... หญิง...”

“ฝ่าบาททำไมหรือเพคะ? ตกลงชอบณัฐแน่หรือเพคะ?”

คราวนี้เนตรคู่งามหลุบต่ำ ซ่อนร่องรอยบางอย่างมิให้อีกฝ่ายได้เห็น

รุจิรดาถอนหายใจน้อยๆ ยามมองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกเอื้อเอ็นดูคล้ายกำลังมองดูน้องน้อยที่เขินอายเสียจนมิรู้จะทำประการใดนอกจากวิ่งไปหลบอยู่ในผ้าห่ม ทว่าขณะนี้ท่านหญิงอรกัญญามิได้มีที่หลบภัยแบบผ้าห่ม จึงทรงเสเบือนพักตร์ไปทางอื่นเสียให้พ้นสายตาเธอ

หญิงสาวโคลงศีรษะน้อยๆ พลางอมยิ้ม เธอสังเกตมานานแล้ว ตั้งแต่รู้จักกันเมื่อแรกๆ ดูเหมือนท่านหญิงอรกัญญาจะสนิทสนมกับมนต์ณัฐเสียเหลือเกิน แม้ว่าจะบอกว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงเพื่อนชายคนเดียวที่ทรงคบหาอยู่ หากเพราะแววเนตรที่ทอดไปหาร่างสูงเพรียวของชายหนุ่มนั้นมี ‘อะไร’ ที่รุจิรดามองออกว่ามัน ‘เกินกว่าความเป็นเพื่อน’ ไปเสียแล้ว นี่ยังมินับสายพระเนตรที่จ้องมองในยามที่ทรงคิดว่าเธอเผลอ เวลาที่เธอกับมนต์ณัฐใกล้ชิดสนิทสนมกัน นิลเนตรงามคู่นั้นฉายแววเช่นไรเหตุใดเธอจึงมิรู้...

คนไม่รู้เรื่องอะไรเอาเสียเลยมีแต่มนต์ณัฐนี่ล่ะ!

พักตร์งามที่หรุบลงกลับเงยขึ้นสบสายตาคนที่จ้องมองมาอยู่แล้ว ก่อนจะทำเพียงพยักพักตร์น้อยๆ เป็นเชิงตอบรับเท่านั้น มิได้รับสั่งอันใด มีเพียงแววเนตรที่ทวีความหม่นหมองอย่างรวดเร็วเท่านั้นที่ทำให้คนมองใจหายระคนไม่เข้าใจว่าเหตุใด แววเนตรนั้นนอกจากจะเจือแววเขินอาย และหมองเศร้าที่ทรงคิดว่าเธอกับมนต์ณัฐสนิทกันมาก ยังมีอีกความรู้สึกหนึ่งที่แอบซ่อนอยู่ภายใน...

...ตัดพ้อ เสียพระทัย และกล้ำกลืน...

“ฝ่าบาท...”

“หญิงขอโทษนะ คงทำให้รดาลำบากใจมากเลยใช่ไหม?” โอษฐ์บางแย้มสรวลน้อยๆ ก่อนรับสั่งเสียงขื่น “ความจริงมันไม่ควรเกิดเรื่องเช่นนี้เลย หญิงผิดเอง”

“ทำไมต้องโทษองค์เองด้วยล่ะ?”

“ก็หญิง... หญิงทำตัวไม่ดี” เนตรงามเริ่มแดงก่ำ สุรเสียงเครือขึ้นเรื่อยๆ “หญิงทำตัวไม่สมกับที่หม่อมแม่เคยสอน ไม่ดีเท่ากับที่ท่านพี่ทรงหวังไว้ หญิงไม่เรียบร้อยเอาเสียเลย”

“ไม่เรียบร้อย?” รุจิรดาขมวดคิ้ว เธอกำลังพูดถึงเรื่องความรักความชอบไม่ใช่หรือ ทำไมจึงกลายเป็นเรื่องความประพฤติไปเสียได้?

“หม่อมแม่เคยรับสั่งเอาไว้” ท่านหญิงอรกัญญาเท้าความถึงดำรัสของหม่อมเจ้าหญิงผู้เป็นพระมารดา “ว่าสตรีที่เพียบพร้อมมิควรคร่ำครวญถึงชายใดให้ได้เสื่อมเสีย พี่ชายก็บอกเหมือนกันว่าหญิงต้องเรียบร้อย ไม่...”

“พอเถอะเพคะ” รุจิรดาห้าม ถอนหายใจอย่างหนักหน่วงเมื่อคิดถึงพักตร์คร้ามคมที่คอยแต่กำหนดชีวิตคนอื่นร่ำไป “อย่าพูดถึงพี่ชายฝ่าบาทเลย คนพระทัยเย็นชาอย่างนั้นจะรู้เรื่องอะไร!”

อารมณ์ของคนพูดเริ่มกรุ่นขึ้นมาอีกครั้ง ลืมสิ้นว่า ‘คนพระทัยเย็นชา’ ที่ว่าเป็นเชษฐาของท่านหญิงเอง ภาพแผ่นหลังกว้างที่ดำเนินจากไปโดยที่ไม่แม้แต่จะฟังเสียงวอนขออธิบายเพียงคำเดียวเพียงพอแล้วที่จะทำให้รุจิรดาทอดอาลัย

...คนใจร้ายแบบนั้น ไม่ฟัง ไม่เข้าใจใครทั้งนั้นล่ะ!

“พี่ชายไม่ได้เย็นชาหรือพระทัยร้ายขนาดนั้นนะ อีกอย่างที่พี่ห้ามเพราะมีเหตุผล...”

รุจิรดาทำหน้าเฉย มองไม่เห็นเลยว่าจะมีเหตุผลอะไรที่มาบังคับใจคนอื่นไม่ให้คิดอย่างนั้นอย่างนี้ หรือบังคับความต้องการคนอื่นไม่ให้เขาทำให้สิ่งที่อยากทำ

จะเพราะเห็นแก่ศักดิ์ตระกูล เห็นแก่ความเป็นกุลสตรี หรือเห็นแก่ฐานะ หน้าตา หรืออะไรหลายๆ อย่าง แต่สุดท้ายหญิงสาวก็มองได้แค่ว่ามันเป็นความเห็นแก่ตัวดีๆ นี่เอง

ถ้าหม่อมเจ้าอดุลยวิทย์ทรงมาเป็นสตรีเองบ้าง คงจะรู้บ้างว่าไม่ใช่สตรีทุกคนที่ต้องการอยู่ในกรอบประเพณี เรียบร้อย สงบเสงี่ยมคล้าย ยินดีที่จะทำตัวเป็นตุ๊กตามากกว่าที่จะแสดงออกถึงความมีชีวิต เพียงเพื่อให้ผู้ชายมาประเมินและเลือกเอาไปเป็นคู่ครอง

ก็ในเมื่อชายกับหญิงก็คือมนุษย์เท่าเทียมกัน แล้วทำไมฝ่ายหนึ่งถึงครองสิทธิ์ในการเลือก การตัดสินใจ ในขณะที่อีกฝ่ายไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะปฏิเสธ แม้ในเรื่องที่เกี่ยวพันถึงความสุขชั่วชีวิตของตน

ไม่เห็นยุติธรรม!

รุจิรดาเบ้ปาก หากไม่โต้เถียงอะไรออกไปให้ต้องขุ่นเคืองกันอีกเพราะระลึกได้ว่าคนที่เธอว่าเสียมากมายเกี่ยวดองอย่างไรกับวรองค์บางที่นั่งข้างๆ กันตอนนี้

“ช่างเถอะ...” หญิงสาวยกมือนวดขมับของตนเองครู่หนึ่งจึงลดมือลง “ว่าแต่ตกลงที่ทรงเบี่ยงไปมาเนี่ย ชอบณัฐเข้าจริงๆ ล่ะสินะเพคะ?”

กิริยาลุกลี้ลุกลนของท่านหญิงอรกัญญากลับมาอีกครั้ง ดวงพักตร์งามแหงนเงยขึ้นมองก่อนที่นิลเนตรคู่นั้นจะมีน้ำใสคลอขึ้นมาทันควัน “หญิง...หญิงอายเหลือเกิน ไม่ควรเลยจริงๆ”

“อย่าคิดอย่างนั้น ความรักไม่ใช่เรื่องผิดหรือเรื่องน่าอาย” รุจิรดาเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง

พักตร์งามหม่นลงด้วยความโศก“แต่รักคนที่เขาไม่รักเรา...มันน่าอับอายนะคะ”

“อายอะไรกัน ใครกำหนดเพคะว่ารักจะต้องมีการรักตอบ จึงจะเป็นรักที่ดี อย่างนั้นคนครึ่งโลกก็ควรอับอาย เพราะรักข้างเดียวนี่สิเพคะ”

“หญิงกลัว... กลัวเป็นเหมือนแวว รดาก็รู้ว่าแววรักพี่ชาย”

คิ้วเรียวเลิกขึ้นสูง “หม่อมฉันไม่รู้หรอกเพคะ แต่รู้อยู่อย่างว่าฝ่าบาทจะไม่มีทางเหมือนคุณแวววรรณเธอเด็ดขาด คนมีรักไม่จำเป็นที่จะต้องแสดงออกเหมือนๆ กันนี่เพคะ อย่าโทษว่าเป็นเพราะความรัก แต่ต้องบอกว่าเป็นเพราะคนๆ นั้นจะแสดงออกอย่างไรต่างหาก”

น้ำเสียงหวานใสหยุดพูด กระแอมสองสามทีก่อนจะเอื้อนเอ่ยทำนองเพลงออกมาอย่างไพเราะ “รักเหมือนโคถึกที่คึกพิโรธ ความรักเช่นนั้นให้โทษ จะไปโกรธโทษรักไม่ได้ ... ขนาดเพลงเขายังบอกเลยเพคะว่าไม่ใช่ความผิดของความรัก อยู่ที่คนต่างหากที่จะยึดถือความรักเอาไว้แบบใด หากเห็นแก่ตัว รักนั้นก็จะร้อนร้าย เผาทำลายทั้งตัวเองและคนอันเป็นที่รัก แต่ฝ่าบาทเลือกที่จะไม่เป็นเช่นนั้นได้”

พักตร์งดงามฉายแววสดใสขึ้น หากยังมีร่องรอยไม่แน่ใจครามครัน จนหญิงสาวต้องหยอกเย้าให้อีกฝ่ายหายกังวล “นั่นแน่... กังวลขนาดนี้ หม่อมฉันคงไม่ต้องถามอีกใช่ไหมเพคะว่าตกลงทรงชอบณัฐรึเปล่า”

“รดา! เซี้ยวจริง! หญิงไม่พูดด้วยแล้ว” ปรางนวลทั้งสองข้างกลายเป็นสีแดงก่ำ ท่านหญิงอรกัญญาทำได้เพียงแต่เมินหนีเสียงหัวเราะเบาๆ อย่างรื่นรมย์ของพระสหายเท่านั้น

สามล้อแล่นไปเรื่อยๆ ผ่านความร่มรื่นของต้นไม้และตึกรามบ้านช่องที่ต่างวางขายสินค้าบริการของตนอย่างคึกคัก จนกระทั่งถึงที่หมายซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ รุจิรดาบอกให้คนขับจอดรถก่อนจะดึงหัตถ์ท่านหญิงอรกัญญาเข้าไปในนั้นอย่างร่าเริง

“ไปกันเถอะเพคะ”

“ไปไหนรดา...” ท่านหญิงทำได้เพียงดำเนินให้ทันคนข้างหน้าเท่านั้น “รดาอยากมาซื้อของหรือ?”

“ทั้งหม่อมฉันและฝ่าบาทต้องมาซื้อต่างหากเพคะ” หญิงสาวหันมายิ้มร่า “หม่อมฉันจะพาฝ่าบาทมาดูของขวัญวันเกิดให้ณัฐ เลยต้องหนีเขามาไงเพคะ”

“อย่างนั้นหรือ...” วรองค์บอบบางรับสั่งเบาๆ ขนงเรียวขมวดน้อยๆ เพราะต้องดำริว่าจะประทานของอะไรให้ชายหนุ่ม

“ดำริไว้หรือยังเพคะว่าอยากให้อะไรณัฐ”

“คิดไม่ออก หญิงก็เห็นณัฐมีทุกอย่างแล้ว” พักตร์งามส่ายไปมาเป็นเชิงปฏิเสธ

“ถ้าอย่างนั้นก็ให้อะไรที่สามารถเป็นสิ่งแทนตัวเราได้สิเพคะ พี่ชายหม่อมฉันเคยบอกว่า หากจะมีหญิงคนไหนให้ของขวัญเขา เขาก็อยากได้สิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นต้องการมอบให้เขาด้วยใจจริง”

“อย่างนั้นหรือ...” ท่านหญิงรำพึง สายตากวาดมองข้าวของประดามีที่จัดวางอย่างสวยงามแล้วจึงแย้มสรวลออกมา “ถ้าอย่างนั้นเราไปเลือกของกันเถอะนะ หญิงคิดออกแล้วว่าจะให้อะไรณัฐ”

“ตามประสงค์เลยเพคะ”

รุจิรดายิ้มตอบ กำลังจะออกเดินเมื่อแขนเรียวถูกเกาะเกี่ยวเอาไว้แน่นหนาโดยหัตถ์บางของอีกฝ่าย “รดา...”

“เพคะ?”

“รดาอย่าบอกเรื่องนี้กับใครนะ...” ทรงทอดสุรเสียงอ่อนอ่อย ดวงเนตรที่ช้อนขึ้นมองอีกฝ่ายออดอ้อนอ่อนหวาน นวลปรางขึ้นสีเรื่อจัด “นะรดา... หญิงอาย”

หญิงสาวมองวรองค์บางที่องค์เล็กกว่าแล้วยิ้มอ่อนๆ ก่อนเอ่ยปลอบเสียงนุ่ม “ไม่บอกเพคะ หม่อมฉันจะรอวันที่ฝ่าบาทจะรับสั่งออกมาเองดีกว่า อยากเห็นหน้านายณัฐวันนั้นจริงๆ”

ร่างสูงกว่าหัวเราะเสียงพลิ้วก่อนออกเดินนำ ทิ้งให้วรองค์น้อยยืนพักตร์แดงก่ำพลางรับสั่งอุบอิบคล้ายๆ ‘ใครเขาจะบอก’ อยู่องค์เดียว


รุจิรดาเดินมองข้าวของละลานตาไปเรื่อยๆ ยังไม่ได้คิดว่าจะซื้ออะไรเป็นของขวัญวันเกิดเพื่อนดี ก็พอดีกับมีเสียงทักมาจากข้างหลังดังก้อง

“รดา!”

หญิงสาวหันขวับไปตามเสียงเรียก หากไม่ทันได้มองต้นเสียง คนเรียก ‘พุ่ง’ มาหาก่อนคว้าแขนเธอไว้อย่างรวดเร็วพร้อมกับละล่ำละลักบอก “รดาอย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะ ผมกับมยุรินไม่ได้มีอะไรกันจริงๆ อย่าเดินหนีผมไปอย่างนี้”

คนถูกแอบอ้างกระพริบตาปริบๆ มองเพื่อนชายคนเดียวที่ตอนนี้ดึงแขนเธอไว้ พลางมองด้วยสายตาอ้อนวอนแปลกประหลาด เมื่อแลเลยไปเบื้องหลังจึงได้เห็นหญิงสาวรูปสวยคนหนึ่งยืนมองด้วยสายตาเปล่งประกายวาววับ ใบหน้างามราวนางละครนั้นบึ้งตึง และยิ่งตึงหนักเข้าไปอีกเมื่อเห็นความใกล้ชิดของคนทั้งคู่ ร่างบอบบางในชุดนิสิตเช่นเดียวกับมนต์ณัฐและรุจิรดาเดินเข้ามาใกล้ก่อนพยายามข่มอารมณ์ตนเองถาม

“พี่ณัฐคะ นั่นเพื่อนพี่หรือคะ” โดยไม่เว้นจังหวะให้อีกฝ่ายได้ตอบ หญิงสาวก็ต่อประโยคด้วยการแนะนำตัวอย่างรวดเร็ว ส่งยิ้มแข็งเกร็งมาให้อีกฝ่าย “สวัสดีค่ะ คุณคงเป็นเพื่อนของพี่ณัฐใช่ไหมคะ ฉันเป็น ‘แฟน’ ของณัฐค่ะ”

...คู่หมาย?

ไม่มีใครสังเกตถึงวรองค์บางที่ประทับอยู่ตรงร้านขายนาฬิกา บังเอิญที่ชั้นวางนาฬิกานั้นสูงพอที่จะบังท่านหญิงอรกัญญาให้พ้นจากสายตาของคนทั้งหมด

...หมายความว่าอย่างไรกัน...

รุจิรดาหันมามองหน้าเพื่อนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม ชายหนุ่มเจ้าของเรื่องอึกอักเพราะไม่ต้องการหักหน้าอีกฝ่าย แต่ก็ไม่ต้องการให้เพื่อนคนสำคัญเข้าใจผิดเช่นเดียวกัน ดวงตาสีน้ำตาลเข้มพยายามสื่อออกมาว่า... ไม่ใช่

หญิงสาวเม้มริมฝีปากอิ่ม ตอนนี้ใครจะผิดจะถูกก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่จะต้องไม่ให้ท่านหญิงได้ทอดพระเนตรเหตุการณ์พวกนี้เด็ดขาด หากทรงรู้เธอเองก็ไม่ทราบว่าจะทรงโทมนัสปานใด รุจิรดาจึงตัดสินใจหันกลับไปมองเพื่อนก่อนเอ่ยเสียงเครือ

“ณัฐ... หมายความว่าอย่างไรกัน! ไหนณัฐบอกว่าชอบรดา มีรดาคนเดียวอย่างไรล่ะ?”

ชายหนุ่มคนเดียวในที่นั้นตาเหลือก ในใจหวิววับเพราะอีกฝ่ายพูดคล้ายรู้ความรู้สึกของเขาเข้าแล้ว “เอ้อ...”

“อะไรกันคะ! หมายความว่าอย่างไรกัน!”

มยุรินเดือดดาลกับภาพตรงหน้าจนเผลอเอ่ยเสียงดัง “พี่ณัฐทำอย่างนี้ได้ยังไงกัน ยุจะฟ้องคุณพ่อ!”

“ยุ พี่ก็บอกแล้วว่าพี่ไม่เคยคิดอะไรกับยุเกินเลยไปจากความเอื้อเอ็นดูฉันพี่น้องเลยนะ” ชายหนุ่มถอนใจน้อยๆ อดที่จะคิดโทษผู้เป็นบิดาที่เป็นคนก่อเรื่องให้กับเขาไมได้

บิดาของเขาและมยุรินนั้นเป็นสหายกันมานาน ดังนั้นเขากับมยุรินจึงได้เห็นกันตั้งแต่ยังเล็ก คุณพ่อของเขานั้นพึงพอใจมยุรินมาก เคยเอ่ยเลียบเคียงกับเขาหลายครั้งแล้วว่าอยากได้บุตรีของสหายมาเป็นสะใภ้ของตัว ทว่าชายหนุ่มก็ปฏิเสธมาโดยตลอด แต่บิดาของเขาก็ยังไม่ยอมแพ้ พยายามให้ชายหนุ่มต้องเกี่ยวพันกับมยุรินอยู่นั่น

วันนี้ก็เช่นเดียวกัน มนต์ณัฐมีเรียนตอนเช้าเสร็จก็กลับบ้าน กะว่าจะเตรียมตัวออกมารับรุจิรดาและท่านหญิงอรกัญญาไปเที่ยวกันอีก ทว่ากลับไปเจอมยุรินที่มาพร้อมกับบิดาของหล่อน และอย่างไรก็ไม่รู้ได้... เขาก็ต้องกลายมาเป็นสารถีให้หญิงสาวอีกคนหนึ่ง ทั้งๆ ที่ปฏิเสธไปแล้ว...

โชคดีหน่อยที่มาเจอรุจิรดามาซื้อของที่เดียวกัน

“แต่ยุ... แต่ยุ...” ร่างงามเริ่มถอนสะอื้น คล้ายกับความกร้าวแกร่งที่มีเมื่อครู่ระเหยหายไปเมื่อมองสบสายตาของชายหนุ่ม “พี่ณัฐก็รู้ว่ายุรู้สึกอย่างไร คุณพ่อเราสองคนต้องการอะไร”

“พี่รู้” มนต์ณัฐถอนหายใจอีกครั้ง “แต่พี่ไม่ได้ชอบยุ เรื่องความเหมาะสมนั่นมันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่พ้นพี่ไปยุก็มีคนที่เหมาะสมรออยู่มากมาย”

“ไม่รู้ล่ะ ยังไงยุก็จะไปบอกคุณพ่อ!” หญิงสาวพยายามเชิดหน้าขึ้น ก่อนจะมองมาทางรุจิรดาที่ได้แต่ยืนนิ่งปล่อยให้ทั้งคู่ชำระความกันเอง “ยุจะบอกให้หมด รวมทั้งเรื่องที่มีผู้หญิงมายุ่งกับพี่ณัฐด้วย!”

ฉันไม่ได้อยากยุ่งด้วยเสียหน่อย...

รุจิรดาขมวดคิ้ว ในใจเอือมระอาเหลือทนกับเรื่องเหล่านี้ แต่เห็นแก่ดวงตาแป๋วคล้ายออดอ้อนให้ช่วย กับภาพพักตร์งามของท่านหญิงอรกัญญาที่แดงก่ำขณะเผยความนัยแล้วก็ต้องยอม ‘เล่นละคร’ ไปตามเรื่อง

“ฉันเป็นคนรักของณัฐ เธออย่าเอาใครเข้ามาเกี่ยวเรื่องนี้เลย ยอมรับเสียว่าณัฐไม่ได้ชอบเธอ ถ้ายังละอายอยู่บ้างก็ควรจะรู้นะว่ากิริยาแบบนี้คนเป็นผู้ดีเขาไม่ทำในที่สาธารณะกัน”

“แล้วเธอล่ะ” อีกฝ่ายแทบเต้นเร่า แต่เพราะถูกร่างสูงกว่าพูดดักทางไว้จึงต้องพยายามวางท่าสงบอย่างยากเย็น “ประกาศตัวว่าเป็นคนรักกับผู้ชายปาวๆ ทั้งๆ ที่เขาก็ไม่ได้เอ่ยปากอะไรออกมาซักอย่างนี่ไม่เป็นสิ่งที่น่าอายมากกว่าหรือ อย่างน้อยฉันกับพี่ณัฐก็เหมาะสมกัน คุณพ่อของเขาก็ชอบฉัน”

นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนใสเหลือบมองเพื่อนวาววับ บังคับให้เขาพูดออกมาให้จบๆ เรื่องเสียก่อนที่คนที่เธอกลัวที่สุดจะผ่านมาเห็นเข้า

มนต์ณัฐเห็นสายตาคาดคั้นก็นิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจพูดตรงๆ “มยุริน พี่ชอบรดา ไม่ได้ชอบเรา ขอโทษด้วยที่ทำให้เสียใจ”

“พี่ณัฐ!”

ร่างงามกรีดร้องเสียงไม่ดังนัก อาจเป็นเพราะไม่ต้องการเป็นเป้าสนใจแก่ผู้คนที่จับจ่ายซื้อของ ทั้งร่างของมยุรินสั่นระริกคล้ายเสียใจอย่างหนัก ก่อนจะสะบัดหน้าวิ่งหนีไปทันควัน

ทั้งสองคนที่ยังยืนอยู่ตรงที่เก่ามองตามร่างนั้นจนลับตา ก่อนจะหันมาสบตากันแล้วเผยสีหน้าอ่อนอกอ่อนใจออกมาด้วยคนละเหตุผล

รุจิรดามองเพื่อนนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจยาว สั่นศีรษะน้อยๆ เมื่อเอ่ย “คราวหน้าอย่าให้มีเรื่องแบบนี้อีกนะณัฐ”

หญิงสาวไม่ตัดพ้อ ไม่ถามไถ่ว่าทำไมจู่ๆ ตนถึงต้องแสดงละครออกมา เพราะสถานการณ์เฉพาะหน้าอีกทั้งบทสนทนาเมื่อครู่ได้คลายความสงสัยไปบ้างแล้ว

คงเป็นการจับคู่ ‘ด้วยความเหมาะสม’ อีกคู่แล้วกระมัง...

ร่างโปร่งบางยักไหล่น้อยๆ ด้วยกิริยาไม่ใส่ใจ คนที่คิดว่าตนเองอาจถูกเอ็ดตะโรจึงโล่งอกขึ้นมาก สบายใจจนเย้าแหย่เพื่อนได้ “เมื่อครู่นี้รดาแสดงบทเป็นคนรักเราได้ดีจริงๆ นะ เราคิดว่าเรื่องจริงไปแล้วนะนั่น”

“อย่างนั้นหรือ?” คิ้วเรียวเลิกขึ้นเป็นเชิงขัน หากคำพูดกลับบาดอารมณ์คนฟัง “สำหรับเรา เรื่องหลอกก็คือเรื่องหลอก แสดงก็คือแสดง ไม่มีวันและไม่มีทางที่จะเป็นความจริงไปได้หรอก”

นัยน์ตาคมสลดลง ทว่ายังพยายามพูดยิ้มๆ “เราก็แค่เย้าเล่นหน่อยเดียว ตอบมาเสียจริงจัง ยังไงก็ขอบคุณมากสำหรับการช่วยเหลือนี้นะ”

“ต้องบอกไว้ก่อนเผื่อเธอจะแอบชอบเราเข้าสักวันไง” อีกฝ่ายหัวเราะคิกคัก ไม่ได้คิดว่าสิ่งที่ตนเองพูดจะตรงกับความเป็นจริง หญิงสาวเอื้อมมือไปแตะแขนแข็งแรงเป็นเชิงปลอบ “อย่างไรเราก็เป็นเพื่อนกัน เพื่อนช่วยเพื่อนจะเป็นไรไปล่ะ”

มนต์ณัฐสบดวงตาใสแจ๋วนั้นอีกครั้งก่อนถอดถอนใจ คิดว่าคนตรงหน้าคงไม่รู้แน่ว่าเขาคิดอย่างไรกับเธอ “นั่นสิ ก็แค่เพื่อน...”

ร่างโปร่งบางกลับหัวเราะน้อยๆ เมื่อได้ยินน้ำเสียงคล้ายปลงตก “อะไรกัน... ทำเสียงแบบนั้น... ตายจริง!” จู่ๆ รุจิรดาก็อุทานเสียงไม่ดังนัก “ลืมท่านหญิงไปเลย ไปไหนเสียแล้วก็ไม่รู้”

หญิงสาวผลุนผลันเดินออกไปตามหาวรองค์บอบบาง ไม่ทันได้มองว่าสีหน้าของมนต์ณัฐนั้นแปรเปลี่ยนไปเช่นไร

“ท่านหญิง!”

ชายหนุ่มร้องบอกเพื่อนว่าจะไปตามหาท่านหญิงอรกัญญาอีกทางหนึ่ง ก่อนจะวิ่งหายไปทันควัน รวดเร็วเสียจนรุจิรดาต้องขมวดคิ้วด้วยความสงสัย...

เธอบอกว่าคลาดสายตากับท่านหญิง ไม่ได้บอกว่าท่านหญิงถูกลักพาองค์ไปเสียหน่อย อะไรจะรีบร้อนปานนั้นหนอ


รุจิรดาที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งร้อนรน ดวงตาสีน้ำตาลใสกวาดมองหาวรองค์บางของท่านหญิงอรกัญญาอย่างรวดเร็ว

ก่อนที่จะไปเจอว่ากำลังยืนอยู่หน้าร้านขายเครื่องประดับอยู่เพียงองค์เดียว นิลเนตรคู่งามนั้นจับจ้องไปที่สร้อยคอแบบต่างๆ ที่สะท้อนแสงวูบวาบพร่างพรายด้วยเพชรเม็ดงามที่ประดับอยู่กับเรือนสร้อย

“ท่านหญิง!”

หญิงสาวตรงเข้าไปหาท่านหญิงอรกัญญารวดเร็ว เมื่อหยุดยืนตรงเบื้องพักตร์อีกฝ่ายแล้วรุจิรดาก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกังวล “คลาดกันนิดเดียวเลยต้องตามหากันเสียนาน ทรงหายไปไหนมาเพคะ ตอนแรกไหนว่าจะทอด’เนตรของให้ณัฐที่ร้านนาฬิกาแถวนั้น? หม่อมฉันเป็นห่วงเสียแทบแย่...”

รุจิรดาไม่ได้บอกว่าที่เป็นห่วงเสียแทบแย่นั้น ไม่ได้ห่วงว่าจะทรงหายไปที่ใด แต่ห่วงว่าจะทรงเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่หรือไม่ต่างหาก

หญิงสาวมองพักตร์งามตรงหน้าแล้วอดที่จะทอดถอนใจมิได้... งดงาม บอบบางคล้ายตุ๊กตาแก้วเจียระไนแบบที่เธอเคยเปรียบจริงหนอ อย่างนี้เล่าจึงทำให้เธอไม่ต้องการให้อีกฝ่ายต้องมารับรู้เรื่องราวใดๆ ที่จะโน้มนำให้โทมนัสได้

วรองค์แบบบางตรงหน้าควรสำหรับแต่ความสุข ความแช่มชื่น ไม่ใช่ความหม่นหมองของความรัก...

“หญิงได้มาแล้วล่ะ” ท่านหญิงอรกัญญาแย้มสรวลน้อยๆ ก่อนยื่นถุงกระดาษใบหนึ่งมาตรงหน้าพระสหาย “ของขวัญของณัฐเขา”

“ท่านหญิง!”

ไม่ทันที่รุจิรดาจะได้ตอบอะไร ร่างสูงของชายหนุ่มหน้าตาคมสันก็เดินเร็วๆ มาหยุดตรงเบื้องพักตร์ของท่านหญิงอรกัญญาอีกครั้ง สายตาคมกวาดมองทั่วพระวรกายก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนรน “ทรงเป็นอะไรหรือเปล่า เห็นรดาบอกว่าคลาดกับฝ่าบาท หม่อมฉันก็ร้อนใจจนต้องวิ่งตามหาเสียแทบทั้งชั้น”

ใบหน้าคมของคนพูดมีเหงื่อเม็ดน้อยผุดขึ้นประปราย หอบหายใจน้อยๆ อาการเหล่านั้นไม่ได้แสแสร้งแต่งขึ้นมา หากเขาเป็นห่วงวรองค์บางตรงหน้าจริงๆ

...จริงๆ เพราะเป็นเพื่อนกันอย่างไรล่ะ

คนที่ณัฐรักก็คือคนที่อยู่ข้างๆ พระองค์ต่างหาก...

ท่านหญิงอรกัญญาเบือนเนตรจากดวงหน้าคมสันนั้น หากรับสั่งตอบสุรเสียงอ่อน “เราไม่เป็นไร แค่เดินดูของเพลินเท่านั้นเอง ขอโทษด้วยที่ทำให้เป็นห่วงกัน”

“แล้วนี่...” ชายหนุ่มหันไปมองร้านรวงทั้งสองด้านก่อนหันกลับมา “ทรงอยากได้เครื่องประดับหรือกระหม่อม?”

“เปล่า หญิงแค่อยากดูเท่านั้นเอง”

วรองค์บางรับสั่งเรียบเรื่อย หากรุจิรดากลับเอ่ย “เมื่อครู่รดาเห็นทรงมองสร้อยเส้นนี้อยู่นี่ สวยนะเพคะ”

หญิงสาวชี้มือไปที่สร้อยคอเส้นน้อย เป็นสร้อยทองเส้นเล็ก มีมุกเม็ดน้อยร้อยอยู่ในเรือนสร้อยเพียงเม็ดเดียว หากกระจุ๋มกระจิ๋มน่ารักยิ่งนัก

“เส้นนี้หรือฝ่าบาท ก็งามดีนะกระหม่อม” ชายหนุ่มหันมายิ้มแย้ม “อยากได้แล้วไม่ทรงซื้อหรอกหรือ?”

“หญิง...” ท่านหญิงอรกัญญาหลุบเนตรลงพื้น มิได้สบตากับอีกฝ่ายที่ยิ้มระรื่นอยู่ตรงหน้า “ไม่ได้อยากได้ขนาดนั้น”

“ทรงมุสากระหม่อมอยู่หรือเปล่าเนี่ย” มนต์ณัฐเอ่ยเย้าเมื่อเห็นปรางขาวนวลขึ้นซับสีระเรื่อ ชมพูอ่อนคล้ายกลีบดอกกุหลาบนวล

ชักอยากจะรู้เสียแล้วว่าจะหอมเหมือนกุหลาบด้วยหรือเปล่าหนอ...

ร่างสูงสะดุ้งกับความคิดอาจเอื้อมของตนเอง ก่อนหันไปเอ่ยกับคนขายที่ยืนรออยู่ไม่ไกล “คุณครับ ผมขอซื้อสร้อยเส้นนี้นะครับ”

หญิงสาวคนขายกุลีกุจอหยิบสร้อยออกมาจากกระบะ ท่ามกลางสายพระเนตรตกตะลึงของท่านหญิงอรกัญญา และแววตาวิบวับของรุจิรดา

“ณัฐ! อย่าซื้อเลย ของมีราคา หญิงรับไว้ไม่ได้หรอก”

“ไม่ได้หรอกกระหม่อม หม่อมสั่งเขาไปแล้วนี่นะ”

“ถ้าอย่างนั้นหญิงซื้อเอง”

ท่านหญิงอรกัญญาหยิบกระเป๋าที่ทรงสะพายติดองค์ไว้ก่อนจะเปิดเอากระเป๋าสตางค์ออกมา เมื่อทอดพระเนตรเห็นเงินข้างในนั้นก็พักตร์เผือดลงเล็กน้อย พลางหันไปมองเพื่อนหญิงคนเดียวอย่างขอความช่วยเหลือ

รุจิรดากลับไปอยู่ที่ร้านข้างๆ คุยกับคนขายอย่างเพลิดเพลินเสียอย่างนั้น!

มนต์ณัฐมองตามสายพระเนตรไปก่อนจะหัวเราะขันๆ เมื่อเห็นกิริยาคล่องแคล่วของเพื่อนสาว แล้วจึงหันมาสบเนตรกับท่านหญิงอรกัญญาอีกคราด้วยดวงตาวาววับอย่างสนุกสนาน “รดาไม่อยู่ช่วยแล้วนะกระหม่อม”

“อย่างนั้นหญิงก็ไม่รับ” เนตรงามเผลอตวัดค้อนคนมองก่อนหันพักตร์ไปอีกทาง การแสดงพระอารมณ์ออกมาแจ่มชัดเป็นครั้งแรกทำให้มนต์ณัฐหัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจ

ชายหนุ่มเอื้อมมือไปรับเอาเครื่องประดับที่บรรจุหีบห่อเรียบร้อยแล้วก็กลับยื่นให้วรองค์บาง พลางเอ่ยเสียงอ่อนโยน “รับไปเถิดกระหม่อม หม่อมอยากถวาย สร้อยเส้นนี้เหมาะแก่ฝ่าบาทจริงๆ หม่อมอยากให้มันอยู่กับผู้ที่คู่ควรใช้มันได้อย่างงามที่สุด”

ท่านหญิงอรกัญญายังนิ่งเงียบ หากดวงหทัยกำลังเต้นไม่เป็นจังหวะ

ภาพเมื่อครู่ยังตามติดอยู่ในห้วงดำริ แม้จะพยายามบอกองค์เองว่ามันเป็นเพียงแค่การแสดงให้หญิงสาวอีกคนละมือเสียจากมนต์ณัฐ ทว่าทรงหวั่นไหวไปเสียแล้ว

...ยังมีหญิงสาวอีกกี่คนที่ติดตาต้องใจเพื่อนของพระองค์ แล้วจะต้องมีฉากละครแบบเมื่อครู่อีกกี่คราให้ต้องบาดพระทัยอีก

“ก็เอาให้รดาก็ได้นี่” รับสั่งสุรเสียงเบาหวิว

“ไม่ได้หรอกกระหม่อม” มนต์ณัฐหันไปมองร่างโปร่งบางของเพื่อนอีกคนก่อนโคลงศีรษะเป็นเชิงขัน “รดาเขาไม่รับแน่ๆ อีกอย่างหม่อมอยากถวายฝ่าบาทด้วย หรือว่าทรงรังเกียจ?”

น้ำเสียงน้อยใจที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมาทำให้พักตร์งามหันกลับมาทันควัน “ไม่ใช่อย่างนั้น เราไม่ได้รังเกียจ”

“อย่างนั้นก็รับไว้เสียสิกระหม่อม ไม่ต้องห่วงว่าหม่อมจะใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย เงินที่จ่ายไปเป็นเงินเก็บของหม่อมเองที่ได้จากการรับจ้างทำงานกับพี่ชายหม่อม” มนต์ณัฐเอ่ยถึงลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งที่ต้องการผู้ช่วยงานในหลายๆ คราว “นี่ไม่ใช่เงินที่เป็นของใคร เพราะฉะนั้นหม่อมมีสิทธิ์ที่จะใช้มันเต็มที่ และหม่อมอยากใช้มันซื้อของถวายคนที่คู่ควรกับ ‘ค่า’ ของมัน”

กล่องผ้ากำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มถูกยื่นมาตรงเบื้องพักตร์ นิลเนตรงามทั้งคู่ทอดมองไปยังของ ก่อนจะช้อนขึ้นทอดพระเนตรคนให้อย่างเขินอาย โอษฐ์บางแย้มสรวลอ่อนหวานยามรับสั่ง “ขอบใจมากนะณัฐ”

รอยแย้มสรวลงดงามนั้นคล้ายมีแสงสว่างพร่าพรายจนผู้ยลต้องตะลึงงัน มนต์ณัฐนิ่งมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนยิ้มอ่อนๆ “อย่าลืมทรงไปงานวันเกิดหม่อมด้วยนะ”

หัตถ์บางรับกล่องน้อยมาถือไว้ พักตร์งามยังแดงซ่านจนคนมองรู้สึกถึงความอ่อนหวานในหัวใจตนเอง หากไม่รู้ว่ามันร้อยรัดไปถึงเพียงใดแล้วเท่านั้น...


รถของมนต์ณัฐที่มีสองสาวนั่งมาแล่นไปหยุดอยู่ตรงข้างบันใดใหญ่

หนุ่มสาวทั้งสามคนลงจากรถโดยมีเสียงหัวเราะเบาๆ จากการพูดคุยดังขึ้นเป็นระยะ ทั้งหมดพากันเดินขึ้นบันใดยังห้องนั่งเล่นก่อนนั่งพูดคุยกันสักครู่ แล้วรุจิรดากับมนต์ณัฐจึงขอตัวกลับโดยอ้างว่าถึงเวลาเย็นแล้ว

“ไม่อยู่ทานข้าวกันเสียที่นี่หรือ?”

ท่านหญิงอรกัญญารับสั่งถามขณะที่ดำเนินมาส่งเพื่อนทั้งสองไปที่รถ

“ไม่ดีกว่าเพคะ ที่บ้านรอทานข้าวอยู่ วันนี้รดาไม่ได้บอกว่าจะทานข้าวข้างนอกเสียด้วย” รุจิรดาเอ่ยยิ้มๆ หากนัยน์ตาเหลือบมองนาฬิกาข้อมือของตนเองอย่างรวดเร็ว

...รีบไปเสียตอนนี้น่าจะดีกว่า ดีแล้วที่วันนี้ท่านชายทรงกลับเย็นกว่าปกติ ตอนนี้เธอยังไม่อยากเผชิญหน้ากับคนพระทัยร้ายอย่างนั้นหรอก...

“หม่อมก็ไม่ได้บอกทางบ้านไว้เหมือนกัน อีกอย่างคุณแม่ก็บอกให้ไปช่วยดูช่วยเลือกอะไรซักอย่างที่จะใช้ในงานวันเกิดนี่แหละกระหม่อม เลยต้องรีบไปก่อนที่คุณหญิงท่านจะพื้นเสีย”

มนต์ณัฐทูลเสียงกลั้วหัวเราะเมื่อพูดถึงมารดาของตนเองที่เป็นคุณหญิงพระราชทานด้วยสามีเป็นข้าราชการการเมือง ก่อนจะเดินไปที่รถพร้อมกับรุจิรดาและท่านหญิงอรกัญญาที่เสด็จตามมาส่ง

ขึ้นรถได้รุจิรดาก็เปิดกระจก รับลมเย็นรื่นที่โชยเข้ามาจากภายนอกจนทำให้ปอยผมบางส่วนระมาที่ดวงหน้านวล หญิงสาวใช้มือปัดออกจากใบหน้าก่อนจะพบว่าตนเองกำลังสบเนตรคมของใครบางคน

หม่อมเจ้าอดุลยวิทย์!

วรองค์สูงสง่าของเจ้าของวังประทับนั่งอยู่บนเบาะหลังของรถคันหรูสีดำสนิทที่สวนทางเธอเข้าไป รุจิรดารีบหลบเนตรวูบ หากประกายบางอย่างจากเนตรคมกริบสีดำสนิทนั้นก็ตามติดเธอให้รู้สึกหวั่นไหวและเต็มไปด้วยคำถาม

คนพระทัยร้ายนั่นกำลังดำริอะไรกัน!


......................................................
สวัสดีค่ะ

มาลงนิยายเสียจนเช้าเลย ยังไงก็ขอนอนก่อนนะคะ แล้วพอตื่นมาค่อยมาคุยกันเน้อ



ปณัชญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 พ.ย. 2555, 05:34:07 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 พ.ย. 2555, 05:34:07 น.

จำนวนการเข้าชม : 2640





<< บทที่ 6 [2/2]   บทที่ 8 [100%] >>
ใบบัวน่ารัก 24 พ.ย. 2555, 07:57:11 น.
อยากจะรักใครก็บอกไป
ก่อนเพื่อนอีกคนจะเสียใจหรือ
เข้าใจผิด


lovemuay 24 พ.ย. 2555, 09:27:48 น.
ถ้านายณัฐไม่รู้ใจตัวเองสักทีแบบนี้ ก็มีแต่จะทำให้หญิงอรเจ็บปวดเสียเท่านั่น


ม่านฟ้า 24 พ.ย. 2555, 09:55:50 น.
น่าเห็นใจหญิงอรจริง ๆ นายบื้อเขายังไม่รู้ใจตัวเอง


wind 24 พ.ย. 2555, 13:40:35 น.
เมื่อไรนายณัฐจะรู้ตัวซะที


ukkanirut 24 พ.ย. 2555, 15:13:30 น.
เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ ... แถมยังไม่รู้ตัวซะอีกนะพ่อคุณ
ท่านชายก็ดูจะขี้งอนอยู่พอตัวเนาะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account