ภิรมย์รัก
กุลสตรี!

รุจิรดาแอบเบ้ปากด้วยความเบื่อหน่ายปนขุ่นเคือง
หากนับว่าการที่เธอยื่นมือออกไปช่วยเหลือน้องสาวของ หม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์ นั้นไม่เป็นกุลสตรี
หญิงสาวก็ยอมรับตามความจริง
แต่เมื่อคนที่ชี้ความจริงข้อนี้ให้เธอรู้เป็นพี่ชายของคนที่เธอช่วยเอาไว้
หญิงสาวจึงรู้สึกเหมือนตนกำลังทำคุณบูชาโทษ
ต่อแต่นี้ไปก็อย่าได้มาเจอะมาเจอกันอีกเลยเป็นดีที่สุด!

หากภาวนาไปไม่พ้นสามวัน
คนที่เธอไม่อยากพบเจออีกในชาตินี้ กลับมาเป็นอาจารย์ของเธอเอง
คราวนี้คงต้องฟังแลกเชอร์ว่าด้วย “ความเป็นกุลสตรี” เสียจนหูชาแน่ๆ
เธอต้องหาทางหนีสถานเดียว!

แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร...
ยิ่งพยายามหนีให้ไกลจากดวงตาสีดำคูคมนั้นเท่าไหร่
กลับยิ่งเหมือนอีกฝ่ายจะไล่ตามมาไม่ปล่อยเสียอย่างนั้น!

Tags: ย้อนยุค,ศิษย์,อาจารย์,ท่านชาย,ท่านหญิง,ความรัก,พีเรียด

ตอน: บทที่ 8 [100%]

“ไปเที่ยวไหนมาหรือจ๊ะหญิง หน้าตาผ่องใสเทียว”
หม่อมเจ้าอดุลยวิทย์ดำเนินเข้าไปในห้องนั่งเล่น ก่อนจะประทับยืนนิ่งให้ขนิษฐามาปรนนิบัติด้วยการช่วยถอดสูทตัวนอกออกอย่างเบามือ นิลเนตรดำสนิททอดพระเนตรท่านหญิงอรกัญญาที่พยายามจะทำพักตร์เป็นปกติอย่างเอ็นดู
“ก็... ไปหาซื้อของขวัญเนื่องในวันคล้ายวันเกิดของณัฐเขาน่ะค่ะ...” รับสั่งตอบพร้อมรอยแย้มสรวลน้อยๆ หากเมื่อดำริได้ว่าเชษฐาอาจจะไม่ชอบพระทัยนักจึงต้องรีบรับสั่งต่อสุรเสียงเบา “พี่ชายคงไม่โกรธหญิงใช่ไหมคะ ที่ไปไหนโดยไม่บอกก่อน”
“เห็นพี่เป็นยักษ์มารไปได้” หัตถ์หนาลูบเศียรน้องน้อยเบาๆ สุรเสียงสดใสอย่างที่น้อยครั้งและน้อยคนจะได้ยิน “พี่ไม่ว่าอะไรหรอกหากหญิงไม่ไปขี่ม้าหรือโลดโผนโจนทะยานอย่างอื่นอีก”
ท่านหญิงอรกัญญาเอนองค์เข้าสวมกอดเชษฐา พักตร์งามซบลงตรงอุระกว้างก่อนรับสั่งอย่างออดอ้อน “แล้วถ้าหญิงขออนุญาตก่อนล่ะคะ อย่าง... ไปยิงปืน...”
“ใครชวนหญิงไปทำอะไรพิลึกอย่างนั้น! รุจิรดาล่ะสิ พี่ควรสั่งห้ามไม่ให้เขาคบกับหญิงดีไหม มีแต่เอาความคิดพิลึกพิลั่นมาเสนอ”
“พี่ชายอย่าโกรธรดาเลยนะคะ” นิลเนตรงดงามช้อนขึ้นสบตาเชษฐาพลางกระพริบปริบๆ ดูน่าสงสาร “รดาเขาไม่เข้าใจว่าทำไมพี่ชายถึงต้องห้ามหญิงไม่ให้ทำอะไรมากมายอย่างนั้น เธอเพียงแต่กลัวว่าหญิงจะเบื่อ จึงชวนหญิงไปทำอะไรที่หญิงไม่เคยทำเท่านั้นเอง เธอไม่ได้มีเจตนาไม่ดีเลยนะคะ”
“เพียงแค่เจตนาดีไม่ได้ทำให้ทุกอย่างมันดีได้หรอกนะ”
สุรเสียงเรียบนั้นมิบ่งบอกอารมณ์ใดเมื่อเอ่ยถึงสหายของท่านหญิง แต่วรองค์บางกลับแปรความว่าทรงไม่พอพระทัยหญิงสาว
“พี่ชาย พี่ชายไม่ชอบรดาหรือคะ?”
หม่อมเจ้าอดุลยวิทย์เหลือบเนตรมองขนิษฐาก่อนจะนั่งลงบนโซฟานุ่ม พลางดึงท่านหญิงอรกัญญาให้นั่งลงด้วย “พี่ไม่ได้ไม่ชอบเขา เพียงแต่คิดว่าเขาโลดโผนปราดเปรียวเกินไปหรือเปล่า พี่กลัวว่าหญิงจะตามเขาไม่ทัน”
“ก็พี่ชายไม่เคยปล่อยให้หญิงไปเสียทีนี่คะ หญิงจะไปตามใครเขาทัน” ท่านหญิงอรกัญญาย่นนาสิกโด่งพลางรับสั่งเสียงโอดครวญ
“อย่ามาโอดกับพี่ อยากไปโลดเต้นกับเขาพี่ก็ไม่ว่า แต่ที่ไม่อยากให้ไปเพราะ...”
“หญิงทราบค่ะ” นิลเนตรงามหม่นลงคล้ายดาวราแสง พลางรับสั่งซ้ำอีกครั้ง “หญิงทราบค่ะ ทราบทุกอย่างว่าทำไมหญิงจึงต้องทำตัวเอี้ยมเฟี้ยมเรียบร้อย หญิงรู้ว่าตัวเองอ่อนแอ แต่หญิงก็แค่... แค่อยากมีโอกาสที่จะได้ทำอะไรเหมือนคนอื่นเขาบ้างสักครั้งเท่านั้น”
ท้ายประโยคสุรเสียงหวานเบาหวิวแทบขาดหาย หลงเหลือเพียงความเงียบงันที่คลี่ลงมาปกคลุมสององค์พี่น้องหม่อมเจ้าอดุลยวิทย์นิ่งงัน หัตถ์ใหญ่โอบขนิษฐามาชิดองค์ ริมโอษฐ์เม้มน้อยๆ คล้ายกำลังตริตรองอะไรบางอย่าง
ใช่ว่าจะไม่สงสารขนิษฐาที่ต้องทนอยู่ในกรอบม่านประเพณีอย่างนี้ คนภายนอกหลายๆ คน ตัวอย่างก็เช่นรุจิรดากับเพื่อนชายของเธอนั่นปะไร ที่คิดว่าพระองค์พระทัยร้าย กักขังให้น้องนางให้เป็นตุ๊กตาไร้ชีวิตจิตใจ หากทรงรู้กับองค์เองว่าไม่ใช่อย่างที่เธอพูดมาเลยแม้แต่น้อย...
เพียงแค่ทรงต้องการปกป้องวรองค์บางในอ้อมกรนี้ให้มีความสุข ไม่มีสิ่งใดมาแผ้วพานได้ทั้งนั้น แม้แต่โรคประจำตัวอย่างโรคหัวใจที่ท่านหญิงอรกัญญาต้องเผชิญอยู่ก็ตาม!
“ถ้าหญิงอยากไปขนาดนั้น พี่ก็จะอนุญาต แต่หญิงต้องรับปากว่าจะระวังตัวให้ดี ถ้าเป็นอะไรที่มีเสียงดังๆ หญิงก็ต้องพยายามถอยห่าง ถ้าเป็นอะไรที่น่าตกใจหญิงต้องควบคุมตัวเองให้ได้ แล้วอย่าลืมว่าหญิงต้องเอายาติดตัวไปด้วยทุกครั้ง รับปากกับพี่ได้ไหม?”
“พี่ชาย!” สุรเสียงหวานดังขึ้นอย่างยินดี ก่อนที่คนเคยเรียบร้อยอยู่เสมอจะโอบกรเข้ากับวรองค์สูงสง่าแน่นด้วยความปิติ “ขอบคุณค่ะ ขอบคุณมากๆ หญิงจะระวังตัวค่ะ”
“อีกอย่าง คือพี่จะไปด้วย”
“อะไรนะคะ!”
“ถ้าวันไหนหญิงอยากไปเที่ยวเล่น หรือคิดว่ารุจิรดาเขาจะชวนหญิงเล่นอะไรแผลงๆ หญิงต้องให้พี่ไปด้วยทุกครั้ง จนกว่าพี่จะวางใจได้ว่าหญิงหรือเขาดูแลหญิงได้ แล้วจะไปเที่ยวกันเมื่อไหร่ล่ะ บอกไว้ก่อนนะว่าวันศุกร์พี่มีประชุมอาจารย์ในสาขาวิชา ถ้าจะไปก็ต้องขอให้เลื่อนรอพี่ก่อน”
รอยแย้มสรวลงดงามผุดขึ้นบนพักตร์อ่อนหวานของท่านหญิงอรกัญญา ก่อนที่วรองค์บางจะกระพุ่มมือไหว้แล้วก้มกราบลงที่อกของพี่ชายองค์เดียวที่เป็นทั้งท่านพ่อและหม่อมแม่ให้กับพระองค์มาตลอดตั้งแต่ท่านทั้งสองจากไปอย่างซาบซึ้ง
“หญิงขอบคุณพี่ชายมากเลยค่ะ ขอบคุณมากจริงๆ”
กิริยาอ่อนหวานนั้นเรียกรอยแย้มสรวลน้อยๆ จากพักตร์คมเข้มให้แย้มออกมาได้ “อย่ามาอ้อนเลย รู้ทันหรอกว่าสมใจแล้ว จึงมาอ้อนพี่อย่างนี้”
ท่านหญิงอรกัญญาสรวลเสียงใสแทนการตอบคำถาม ก่อนจะทำเนตรโตเหมือนเพิ่งคิดได้ “จริงสิ วันศุกร์หญิงก็คงไปไม่ได้เหมือนกันเพคะ หญิงว่าจะมาขอพี่ชายอยู่เชียว...”
“มีอะไรหรือ?”
“วันศุกร์นี้เป็นวันคล้ายวันเกิดมนต์ณัฐเพคะ หญิงว่าจะขออนุญาตจากพี่ชายไปร่วมงานเลี้ยงของเธอเสียหน่อย พี่ชายอนุญาตใช่ไหมคะ?”
เนตรคมหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อทอดพระเนตรขนิษฐา ก่อนรับสั่งเรียบเรื่อย “ไม่อนุญาต... ถ้าหญิงไม่มีเพื่อนผู้หญิงไปด้วย”
“หญิงมีรดาไปด้วยแล้วอย่างไรล่ะคะพี่ชาย”
...เป็นอันว่าเธอคนนั้นก็ไปด้วยสินะ...
“อ้อ...” หม่อมเจ้าอดุลยวิทย์เพียงตอบรับคำเดียวสั้นๆ แล้วจึงถามอีก “แล้วคุณแวววรรณล่ะ เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยไปไหนมาไหนด้วยกันเลยนะ”
“ช่วงนี้แววไม่ค่อยว่างค่ะพี่ชาย เห็นว่าต้องทำงานส่งอาจารย์เพราะเกรดของเธอไม่ค่อยดีนัก แต่ถ้าพี่ชายอยากพบเธอ...”
“พี่ไม่ได้บอกว่าอยากพบเธอเสียหน่อย” สุรเสียงที่เคยราบเรียบตลอดกลั้วเสียงสรวลแล้วในตอนนี้ “หญิงก็รู้... นี่เดี๋ยวนี้ช่างพูดขึ้นเยอะเลยนะเรา ติดจาก ‘คนนั้น’ มาล่ะสิ”
ขนงเรียวขมวดมุ่นเมื่อได้ยินรับสั่งคล้าย ‘โยนความผิด’ กลายๆ ให้เพื่อนสนิท “อย่าโทษรดาสิคะ”
“พี่เปล่าโทษ เพียงแต่คิดว่าพอหญิงคบเขาก็รู้จักพูดมากขึ้นเท่านั้น” หัตถ์หนาวางเบาๆ บนเกศานุ่มสลวยที่ดัดเป็นลอนของขนิษฐา ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วหันมาตรัสอีกครั้งก่อนเสด็จออกไปจากห้องนั่งเล่น “อย่าลืมบอกรุจิรดาเขาว่าให้มาหาหญิงที่นี่แล้วพี่จะพาไปร่วมงานวันเกิดของมนต์ณัฐเอง หากเขาไม่มาพี่ก็ไม่ให้หญิงไป อ้อ!... บอกเขาด้วยว่าพี่ไม่รับการต่อรองใดๆ ทั้งสิ้น”
รับสั่งเสร็จก็เสด็จออกไปจากห้องโดยเร็ว ทิ้งให้ท่านหญิงอรกัญญานั่งนิ่ง ขมวดขนงอยู่องค์เดียวอย่างนั้น...

“ได้เพคะ”
คำตอบง่ายๆ ของเพื่อนทำให้ท่านหญิงอรกัญญาแย้มสรวลออกมาอย่างโล่งพระทัย “ขอบใจนะจ๊ะรดา ถ้ารดาไม่ไปหญิงก็คงไม่ได้ไปด้วย”
พักตร์งามในยามนี้สดใสเปล่งปลั่ง ปรางใสมีสีซับโลหิตจางๆ ระบายอยู่คล้ายกุหลาบสีชมพูด้วยคนรับสั่งนั้นอยู่ในพระอาการเขินอาย ทำให้รุจิรดายิ้มน้อยๆ อย่างเอ็นดู
“เพียงออกโอษฐ์มาหม่อมฉันก็ต้องไปอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องดำริอะไรมากเลย”
“ไม่ได้หรอก ตั้งแต่ที่รดาไปส่งหญิงเมื่อวันก่อน รดาก็ไม่มาหาหญิงอีกเลยนี่” สุรเสียงหวานเจือปนด้วยความเหงาจนหญิงสาวสัมผัสได้ “หญิงกลัวว่ารดากับพี่ชายจะมี เอ้อ... ปัญหาอะไรกันหรือเปล่า รดาถึงไม่ไปที่วังอีก พี่ชายก็ไม่มีใครช่วยตอนทรงงานด้วย”
คนที่ถูกคาดว่ามี ‘ปัญหา’ กับหม่อมเจ้าอดุลยวิทย์เบิกตาโตฉงนฉงาย หากในใจคล้ายน้ำขุ่นที่ถูกกวนตะกอนให้ฟุ้งอีกครั้ง
“อาจารย์รับสั่งว่าหม่อมฉันมีปัญหาอะไรหรือเพคะ?”
“เปล่าหรอก พี่ชายน่ะไม่ได้พูดถึงรดาเลย” ท่านหญิงอรกัญญารับสั่งไปเรื่อยๆ โดยไม่ทันได้สังเกตสีหน้าของคนฟังที่มุ่ยลงทันทีที่ได้ยิน “แต่เหมือนจะทำงานหนักขึ้น ข้าวปลาก็ไม่รับตรงเวลา บางครั้งก็ปวดท้องเสียอย่างนั้น”
รุจิรดาขมวดคิ้วเมื่อได้ยินประโยคท้าย ความขุ่นข้องใดๆ ล้วนเลือนหายไปหมดสิ้นเมื่อเธอเอ่ยถาม “อาจารย์... ประชวรเป็นอะไรหรือเพคะ?”
“โรคกระเพาะ พี่ชายเป็นโรคกระเพาะ หมอสั่งให้ทานอาหารให้ตรงเวลาก็ไม่ปฏิบัติตาม รู้ไหมตอนรดาไปช่วยพี่ชายทำงานน่ะหญิงดีใจมาก เพราะรดาทำให้พี่ชายทานอาหารได้ ไม่อย่างนั้นก็คงลืมรับอาหารอีกจนปวดท้องกำเริบเหมือนตอนนี้อย่างไรล่ะ”
ใบหน้านวลของหญิงสาวเรียบเฉย ทว่าในใจกลับนึกเคืองเชษฐาของสหายตนเองที่ไม่ได้สนพระทัยพลานมัยขององค์เองเท่าที่ควร ดูทีรึ... รู้ทั้งรู้ว่าเป็นโรคอะไร ยังรับกาแฟไปไม่รู้วันละกี่แก้ว ไม่รู้อยากจะให้กระเพาะตัวเองทะลุอะไรนักหนา ดีที่ตอนเธออยู่แทบจะไม่รับกาแฟเลย เปลี่ยนมาเป็นโกโก้ที่เธอชงให้แทน
ไม่รู้ว่าตอนเธอไม่ไป จะมีใครชงถวายบ้างหรือเปล่า...
แต่จะว่าไปก็ทรงเป็น ‘ผู้ใหญ่’ พอที่ไม่จำเป็นที่จะต้องมีใครมาจ้ำจี้จ้ำไชว่าควรทำหรือไม่ควรทำอะไรแล้วนี่ เพราะฉะนั้นเรื่องเสวยยา หรือเรื่องต้องระวังรักษาพระพลานมัยอย่างไร เธอก็ไม่เห็นจะต้องสนใจ ก็เหมือนอย่างตอนที่เกิดเรื่องหนังสือนั่นไง คงจะทรงมีเหตุผลขององค์เอง ไม่เห็นจำเป็นที่จะต้องไต่สวนเรื่องราว ก็คงสรุปแล้วว่าเธอผิด จึงไม่รับอุทธรณ์หรือฎีกาใดๆ จากจำเลยอย่างเธอเลย แล้วเธอจะห่วงไปทำไม
ปล่อยให้ ‘ผู้ใหญ่ที่มีเหตุผลเหลือเกิน’ รู้รักษาตัวเอาเองเถอะ!
“แต่จะว่าไปช่วงนี้งานของพี่ชายก็หนักขึ้นจริงๆ นั่นล่ะ ช่วงนี้ทรงต้องวิเคราะห์การเมืองภายในประเทศเราส่งไปให้ท่านทูตที่อเมริกา... รดาคงรู้ใช่ไหมว่าทางนั้นติดตามการเมืองของเราอย่างค่อนข้าง... ใกล้ชิด”
“ทราบเพคะ”
หญิงสาวรับคำแล้วก็นิ่งงันไป ในใจครุ่นคิดถึงความวุ่นวายทางการเมืองที่ผ่านมาในปีนี้ “มีความวุ่นวายทางการเมืองมากเหลือเกินในปีนี้ ทั้งเรื่องคราวเลือกตั้งในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2500 จะได้ชื่อว่าเป็นการเลือกตั้งที่สกปรกที่สุดในประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยของไทย มีการใช้เครื่องบินโปรยใบปลิวโจมตีฝ่ายตรงข้าม ข่มขู่ชาวบ้าน ประชาชน ให้เลือกแต่ผู้สมัครของพรรคเสรีมนังคศิลาของรัฐบาล หรือ ‘การเวียนเทียน’ มาลงคะแนน การสลับหีบบัตร การแอบหย่อน ‘บัตรผี’ เข้าไปในหีบบัตรเลือกตั้ง”
รุจิรดาถอนหายใจเมื่อนึกถึงผลของการเลือกตั้งที่กลายมาเป็นชนวนการลงจากอำนาจของจอมพล ป. ผลการเลือกตั้งพรรคเสรีมนังคศิลาของจอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้ที่นั่งไป 83 ที่นั่ง ในขณะที่28 ที่นั่ง พรรคเสรีประชาธิปไตย 11 ที่นั่ง พรรคธรรมาธิปัตย์ 10 ที่นั่ง พรรคเศรษฐกร 8 ที่นั่ง พรรคชาตินิยม 3 ที่นั่ง พรรคขบวนการไฮด์ปาร์ค 2 ที่นั่ง พรรคอิสระ 2 ที่นั่ง และผู้สมัครอิสระไม่สังกัดพรรค 13 ที่นั่ง รวม 160 ที่นั่ง
การเลือกตั้งนั้นเป็นเหตุให้นิสิตนักศึกษาและประชาชนทั่วไปรับผลการเลือกตั้งไม่ได้ มีการออกมาประท้วงผลการเลือกตั้งในวันที่ 2 มีนาคม หม่อมฉันก็ไปกับเขาด้วยเหมือนกัน ถือว่าเป็นการชุมนุมเรียกร้องทางการเมืองครั้งแรกเลยกระมังตั้งแต่เรามีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง... ทางรัฐบาลได้ส่งกำลังไปสกัดกั้นนำโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่กลับเข้าร่วมกับประชาชนและเดินหน้าเรียกร้องเรื่องนี้จนมีการรับปากจากรัฐบาลว่าจะเลือกตั้งใหม่
“หม่อมฉันคิดว่าอาจารย์คงจะยุ่งยากมากทีเดียวในการสรุปและรวบรวมความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองส่งไปให้ท่านทูตที่สหรัฐฯ นัยยะทางการเมืองของปีนี้มีมากมายเหลือเกิน อย่างที่ทรงรู้ว่าไม่กี่เดือนมานี่เองเป็นวันเกิดของท่านจอมพล ป. แล้วจอมพลสฤษดิ์ก็เข้าพบเพื่ออวยพรวันเกิดพร้อมมอบสุนัขหนึ่งตัวให้ แล้วปฏิญาณว่าจะขอจงรักษ์ต่อท่านเฉกเช่นสุนัข”
“เพื่อสยบข่าวลือทางการเมืองหรือจ๊ะรดา?”
“ใช่เพคะ ก็อย่างที่ทรงรู้นั่นแหละว่าเมื่อ 16 กันยาที่ผ่านมาก็มีการปฏิวัติ จอมพล ป. ต้องลี้ภัยทางการเมืองไปนอกประเทศโดยผู้ที่บอกกับท่านว่าจะจงรักภักดีต่อท่านให้เหมือนสุนัขนั่นแหละ”
“เฮ้อ! การเมือง... นี่แหละเป็นสาเหตุหนึ่งที่หญิงไม่เคยคิดอยากเลือกเรียนรัฐศาสตร์เลย หญิงไม่เคยเข้าใจคนเล่นการเมืองเลยว่าเขาคิดอย่างไร จึงเอาตัวเข้าไปพัวพันกับเรื่องยุ่งแบบนี้”
คนเล่าหัวเราะเบาๆ พลางยิ้มกว้าง “สนุกนะเพคะ เวลามองการเมือง มองอย่างเป็นกลาง มองเหมือนเราดูละครโรงใหญ่ แล้วฝ่าบาทจะเห็นว่าการเมืองมันก็แค่นี้ มันไม่ได้สกปรกอะไรเลย นักการเมืองต่างหากที่ทำให้มันสกปรก อีกอย่างเมื่อถอดหัวโขนนักการเมืองออก เขาก็เป็นมนุษย์เหมือนเรา เพียงแต่เขามี ‘พื้นที่’ ให้แสดงออกถึงความต้องการมากกว่าเราเท่านั้นเอง ไม่ได้เลวร้ายมากไปกว่าเราหรอกเพคะ ดูอย่างคุณพ่อของมนต์ณัฐก็เป็นนักการเมืองคนหนึ่ง ท่านเป็นคนดี... ตราบเท่าที่ท่านไม่ต้องสวมหัวโขนที่ชื่อว่านักการเมือง”
คำพูดนั้นทำให้พักตร์งามก้มต่ำลงดุจกำลังใคร่ครวญอะไรบางอย่าง แต่ก็แค่แวบเดียวเท่านั้น ท่านหญิงอรกัญญาก็กลับมาแย้มสรวลอ่อนๆ พักตร์งามส่ายไปมา “ถึงเลือกได้หญิงก็ไม่ยุ่งกับการเมืองหรอก ยุ่งยากเหลือเกิน รดาไปคุยเรื่องแบบนี้กับพี่ชายเถอะรับรองสนุก แต่ตอนนี้หญิงสงสารพี่ชาย... ไม่เข้าใจว่าทำไมยังต้องรับปากหม่อมเจ้าวิรัชตวรรณด้วย ทั้งๆ ที่เป็นงานที่ต้องทรงทำเองแท้ๆ นี่แย่งเอาตำแหน่งและทุกสิ่งทุกอย่างไปจากพี่ชายก็ยังไม่พอ ยังตามมารังควาญ...”
รับสั่งยืดยาวชะงักค้างทันควันเมื่อท่านหญิงอรกัญญารู้องค์ว่าตรัสมากเกินไป เปลือกเนตรบางกระพริบปริบๆ ก่อนช้อนขึ้นทอดพระเนตรรุจิรดาที่กำลังจ้องพระองค์อย่างสนใจ “ช่างมันเถอะ พี่ชายไม่อยากให้ใครพูดถึงเรื่องนี้อีก เพราะฉะนั้นรดาก็... ทำเป็นลืมๆ ที่หญิงพูดเมื่อครู่เสียได้ไหม?”
หญิงสาวเพียงแต่ยิ้ม ไม่รับปาก หากเสพูดถึงเรื่องอื่นเสียจนท่านหญิงอรกัญญาเพลิดเพลินไปกับเรื่องใหม่ ทั้งๆ ที่คนเปิดประเด็นยังหยุดอยู่กับเรื่องเดิม...
หม่อมเจ้าวิรัชตวรรณ ตำแหน่ง... คงหมายถึงตำแหน่งเลขานุการเอกของท่านทูต แล้วทุกสิ่งทุกอย่าง... จะหมายถึงอะไรได้บ้างนะ...
รุจิรดาเริ่มอยากรู้เสียแล้ว...

ร่างสูงโปร่งลงจากรถรับจ้างที่มาส่ง ก่อนจะเดินเข้าไปในเขตรั้ววังนฤบดินทราทิพย์
ไม่ว่าจะมาเมื่อไหร่รุจิรดาก็อดที่จะยิ้มเมื่อเห็นสถาปัตยกรรมที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้ เพราะวังนฤบดินทราทิพย์มิได้เน้นความโอ่โถงหรือความหรูหรา หากบริเวณวังนั้นเต็มไปด้วยพืชพรรณนานา ซึ่งล้วนแล้วแต่ผลิใบเขียวชอุ่มร่มเย็น ส่วนมากจะเป็นไม้ยืนต้นที่มีดอกส่งกลิ่นหอมกรุ่นอย่างดอกปีบหรือโมกข์ ที่ตอนนี้หล่นร่วงพร่างพราวขาวสล้างลงมาบนถนนที่ทอดไปสู่ตัววัง ตึกสีครีมอ่อนสะอาดตานั้นมิได้ใหญ่โตโอ่อ่าเหมือนเช่นที่ใครๆ คิด หากเน้นความงดงามตามศิลปกรรมแบบยุโรป ที่ทำให้ที่ประทับของหม่อมเจ้าอดุลยวิทย์และหม่อมเจ้าหญิงอรกัญญานั้นดูทรงคุณค่า และน่าอยู่อาศัยมากกว่าใหญ่โตแต่อ้างว้าง
หญิงสาวเดินทอดน่องชมดอกไม้ไปเรื่อยๆ มองดูนาฬิกาข้อมือก็เห็นว่าเพิ่งจะบ่ายสี่โมงเย็น ท่านหญิงผู้เป็นขนิษฐาของเจ้าของวังนัดเธอมาแต่งตัวก่อนที่จะไปงาน เจ้าของงานนั้นบอกเพียงว่าขอให้ทำตัวตามสบาย แต่เมื่อดูสถานที่จัดงานที่เป็นบ้านของชายหนุ่มเอง และด้วยตำแหน่งหน้าที่ของบิดาเขา ทำให้สองสาวต่างเข้าใจโดยไม่ต้องบอกว่า ‘ตามสบาย’ ที่ว่านี่ต้องทำตัวเช่นไร
สำหรับท่านหญิงอรกัญญาก็คงตามสบายจริงๆ แต่สำหรับเธอ... อย่างนี้ไม่เรียกว่าสบายเลยสักนิด
รุจิรดาเดินมาจนถึงบันไดหน้าวัง ก่อนจะเจอกับแม่แผ้วที่กระวีกระวาดออกมาพอดี
“คุณรดา โอ้ย... คุณรดาเจ้าขา แผ้วดีใจเหลือเกินที่คุณมา”
กิริยาดีใจจนเกินเหตุของคุณแม่บ้านประจำวังทำให้หญิงสาวเลิกคิ้วอย่างฉงน “รดาก็ดีใจจ้ะที่ได้เจอแม่แผ้วอีก แต่... มีอะไรหรือ ทำไมหน้าตาตื่นๆ”
“ก็ท่านชายสิเจ้าคะ... กริ้วแผ้วอีกแล้ว ท่านหญิงก็ยังไม่กลับจากที่ออกไปข้างนอก ถ้าคุณรดาไม่มาแผ้วต้องตายแน่ๆ”
“กริ้วเรื่องอะไรอีก...” จะตั้งหน้าหาเรื่องอะไรนักหนา “...แล้วท่านหญิง’เด็จไหนหรือจ๊ะ?”
“ออกไปกับคุณแวววรรณเมื่อบ่ายค่ะ วันนี้ทรงมีเรียนตอนเช้าแล้วกลับมาเตรียมตัว แต่พอดีคุณแวววรรณเธอมาขอให้ท่านหญิงออกไปช่วยเลือกชุดไปงานของคุณมนต์ณัฐ เห็นว่าชุดที่เธอเตรียมเอาไว้ก่อนหน้ามีปัญหาอะไรซักอย่างนี้แหละเจ้าค่ะ ท่านหญิงก็ไม่ทันได้เตรียมองค์อะไรก็ถูกลากออกไปเสียแล้ว แต่ทรงสั่งไว้ว่าคุณจะมาเวลานี้ แล้ววันนี้ท่านชายก็กลับมาเร็วกว่าปกติ เห็นว่าจะต้องรีบมาสะสางงาน แล้วหาเอกสารอะไรไม่พบสักอย่างนี้แหละเจ้าค่ะ ทำพักตร์เรียบเฉยแต่เนตรวาวๆ น่ากลัว แผ้วเลยกลัวว่าจะโดนกริ้ว เลยต้องรีบลงมารับคุณนี่แหละค่ะ”
ฟังแม่แผ้วพูดยืดยาว สุดท้ายรุจิรดาก็เลิกคิ้วขึ้นสูงอีกหน่อยพลางถาม “ตกลง... แค่อาจารย์ยังหาเอกสารไม่เจอ ยังไม่ได้กริ้วแผ้วใช่ไหม?”
“กำลังตั้งท่ากริ้วเจ้าค่ะ”
“อ้อ... ตั้งท่าจะกริ้วสินะ...” แค่ ‘จะ’ ยังไม่ได้กริ้วเสียหน่อย คุณแม่บ้านก็พูดเสียน่ากลัว ร่างโปร่งบางถอนหายใจน้อยๆ ก่อนพูดต่อ “ท่านหญิงก็ไม่อยู่สินะ แต่คงใกล้จะกลับแล้วล่ะเพราะทรงนัดกับฉันไว้แล้ว อย่างนั้นฉันนั่งรออยู่ที่ห้องรับแขกก็แล้วกัน แผ้วจะไปทำอะไรก็ไปทำเถอะจ้ะ”
“ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ” แม่แผ้วก้มหน้าลงคล้ายกริ่งเกรงอะไรบางอย่าง “ท่านหญิงรับสั่งกับท่านชายไว้แล้วว่าคุณจะมากี่โมง แล้วท่านชายก็สั่งให้แผ้วมารอคุณที่นี่ รับสั่งว่าถ้าคุณมาให้แผ้วพาขึ้นไปเฝ้าเจ้าค่ะ”
“อย่างนั้นหรือ...” คิ้วเรียวขมวดมุ่น ดวงตาสีน้ำตาลใสนั้นตวัดค้อนไปทางที่ตั้งของห้องทรงงานที่คาดว่าคนสั่งจะต้องประทับอยู่ในนั้นแน่นอน “อย่างนั้นก็นำไปเลยจ้ะแผ้ว”
หญิงทั้งสองคนเดินตัดห้องรับแขกก่อนจะขึ้นบันไดไปยังห้องทรงงานชั้นสอง เมื่อทั้งสองเดินไปหยุดที่หน้าประตูแล้ว คุณแม่บ้านประจำวังก็เคาะประตูสองสามทีแล้วเอ่ย
“ท่านชายเพคะ คุณรดามาขอเฝ้าเพคะ”
ไม่ได้ขอเฝ้าเสียหน่อย ถูกเรียกให้มาเฝ้าต่างหาก...
หญิงสาวทำปากขมุบขมิบแก้คำของคุณแม่บ้าน ก่อนจะก้าวเข้าไปในห้องทรงงานที่เธอไม่ได้มาเพียงสองสามวัน แต่ในความรู้สึกนั้นเหมือนระยะเวลาห่างไกลเหลือเกิน
...ไกลพอๆ กับความเข้าใจที่เธอมีต่อ ‘อาจารย์’ ด้วย
พักตร์คมเข้มเรียบเฉยเป็นนิจมิได้เงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารที่วางไว้เต็มโต๊ะทรงงาน แต่แม้จะมีทั้งหนังสือและเอกสารมากมายก่ายกองขนาดไหน แต่เธอก็เห็นว่าทรงวางของเหล่านั้นไว้เป็นระเบียบ เป็นมุมฉากกับโต๊ะทรงงานพอดีไม่ขาดไม่เกินเลยด้วยซ้ำ แสดงให้เห็นพระอุปนิสัยเจ้าระเบียบของเจ้าของโต๊ะเป็นอย่างดี
รุจิรดาไม่ได้กล่าวสิ่งใด นอกจากยอบกายลงเล็กน้อยเพื่อถวายความเคารพคนตรงหน้า ก่อนจะถอยไปยืนอยู่ด้านข้างเงียบๆ รอให้อีกฝ่ายรับสั่งออกมาเอง
...ก็ตอนที่เธออยากพูดไม่ให้เธอพูดนี่
“นั่งก่อนสิ”
“เป็นพระกรุณาเพคะ”
หญิงสาวถอยไปนั่งที่เก้าอี้บุนวมนุ่มใกล้ๆ กับชั้นวางหนังสือ แต่คราวนี้ไม่แม้แต่จะเหลือบมองหนังสือแม้สักเล่ม บังคับตนเองให้ก้มต่ำ พินิจมือของตนเองไปเรื่อยๆ เหมือนมันเพิ่งงอกออกมาใหม่กระนั้น
“มีอะไรอยากจะพูดไหม?”
“ไม่...” ร่างโปร่งบางเกือบหลุดปากออกไปแล้วว่า ไม่มี ทว่าสายตากลับเหลือบไปเห็นถ้วยกาแฟที่แม่แผ้วอาจจะลืมเก็บ จึงยังวางอยู่ที่โต๊ะทรงงานอยู่แล้วก็อดปากไม่ได้ “มีเพคะ เสวยกาแฟไปกี่แก้วแล้วเพคะวันนี้?”
คราวนี้หม่อมเจ้าอดุลยวิทย์ทรงเงยหน้าขึ้นมาจากเอกสารที่กำลังทอดพระเนตร ก่อนรับสั่งเรียบๆ “สอง”
“สอง!” รุจิรดาผุดลุกขึ้นก่อนที่จะทันควบคุมตัวเองได้ “สองแก้ว ทรงอยากกระเพาะทะลุหรืออย่างไรเพคะ! ทรงทราบดีว่าเป็นโรคกระเพาะข้อห้ามคือไม่ให้ดื่มกาแฟ แล้วทรงดื่มไปตั้งสองแก้ว!”
รอยวาบบางอย่างพาดผ่านดวงเนตรสีดำสนิทคมกริบ ทรงวางปากกาก่อนจะเลิกขนงขึ้นข้างหนึ่งคล้ายกังขา... คล้ายพึงพระทัยอะไรบางอย่างด้วย “รู้ได้อย่างไรว่าฉันเป็นโรคกระเพาะ”
“ก็เดาได้ไม่ยากหรอกเพคะ ไม่เสวยตรงเวลา ดื่มกาแฟ ทรงงานเคร่งเครียด ปวดพระนาภี อยู่บ่อยๆ แค่นี้ก็บอกได้แล้วว่าประชวรเป็นอะไร”
“เก่ง” รับสั่งสั้นๆ ก่อนจะก้มลงทอดพระเนตรเอกสารต่อ
“เป็นพระกรุณาเพคะที่ชม”
“ความจริงฉันก็อยากดื่มอย่างอื่นนอกจากกาแฟฝีมือแม่แผ้วอยู่หรอกนะ แต่ไม่มีใครที่จะทำได้อร่อยเอาเสียเลย”
“อะไรเพคะที่ทรงอยากดื่ม”
อีกครั้งที่พักตร์คมเข้มเงยขึ้นจากเอกสาร ก่อนที่นิลเนตรทั้งคู่จะจับจ้องเธอคล้ายเหยี่ยวบนเวหากำลังจับจ้องเหยื่อที่หนีอย่างไรก็ไม่พ้น “โกโก้ ไม่ได้ดื่มโกโก้อร่อยๆ มาสามวันแล้ว”
รุจิรดาชะงักงัน ความคิดตำหนิรับสั่งเมื่อครู่ว่า ‘เรื่องมาก’ หายวับไปเพียงชั่วกระพริบตาเมื่อได้ยินสิ่งที่ทรงประสงค์ ใจหนึ่งก็อยากนั่งนิ่งทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ปล่อยให้รับสั่งไปเรื่อยๆ เพราะยังเคืองอยู่กับเรื่องหนังสือ แต่อีกใจนั้นอ่อนยวบลงไปตั้งแต่ได้ยินรับสั่งคำแรกแล้วด้วยซ้ำ
สุดท้ายหญิงสาวก็ถอนใจยาว ออกจากห้องไปชงโกโก้มาอย่างรวดเร็วก่อนขึ้นมาวางถวายเงียบๆ มีเพียงอาการปรายเนตรมองเท่านั้น
“เธอไปชงมาให้ฉันหรือ?”
“เพคะ ถึงแม้หม่อมฉันจะไม่ทราบเกล้าว่าโกโก้ที่โปรดนั้นเป็นแบบไหน แต่เนื่องจากเมื่อหลายวันก่อนหม่อมฉันก็เคยชงถวายมาบ้าง จึงคิดว่าอย่างน้อยๆ ก็รับของหม่อมฉันแก้ขัดไปก่อนก็ยังดี”
“ขอบใจ”
รับสั่งง่ายๆ สั้นๆ ก่อนที่จะทรงวางหัตถ์จากเอกสาร แล้วยกเครื่องดื่มที่ยังกรุ่นกลิ่นหอมเข้มข้นขึ้นเสวย ท่ามกลางสายตา ‘ลุ้น’ ของคนชง เมื่อเสวยหมดแล้วหม่อมเจ้าอดุลยวิทย์ก็รับสั่งเพียงสั้นๆ
“เหมือนเมื่อสามวันก่อนแล้ว”
ประโยคสั้นๆ ง่ายๆ น่าแปลกที่มันทำให้หัวใจของหญิงสาวเต้นผิดจังหวะ นวลแก้มร้อนผ่าว
และยิ่งแดงจัดขึ้นเมื่อหม่อมเจ้าอดุลยวิทย์รับสั่ง “ฉันรู้ว่าเธอไม่ได้ทำ... เรื่องหนังสือ”
“หม่อมฉันไม่ได้ทำ...” น้ำเสียงที่เอ่ยนั้นหม่นจัด เมื่อหวนรำลึกว่าตนเองเฝ้าพยายามอยากให้อีกฝ่ายรับฟังเธออย่างไร และผิดหวังมาอย่างไร คำพูดต่อมาจึงไม่ปิดบังความน้อยใจแม้แต่น้อย “...แต่จะสนพระทัยทำไมตอนนี้เพคะ เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว”
นิลเนตรคมกริบทั้งคู่ทอประกายบางอย่าง... คล้ายๆ ขบขัน “ฉันรู้ว่าเธอไม่ได้ทำตั้งแต่แรกแล้ว”
“อ้าว...”
“หากเธอต้องการโยนหนังสือเล่นจริง คงไม่ทำตอนที่กำลังจะเรียนกับฉันอยู่รอมร่อหรอก แต่ฉันยอมรับว่าโกรธเธอในตอนแรก เธอบอกฉันว่าจะรักษาหนังสือเอาไว้อย่างดี ฉันเข้าใจว่ามันเป็นเหตุสุดวิสัย แต่ฉันก็เป็นปุถุชนธรรมดาที่มีอารมณ์อยู่ และฉันก็คิดในตอนนั้นว่าเธอรับผิดชอบมันได้ไม่ดีพอ”
“อาจารย์ไม่ฟังหม่อมฉันพูดเลย เสด็จหนีเสียอย่างนั้น ทั้งๆ ที่...” ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้ว... คำถามปรากฏขึ้นเด่นชัดในดวงตาของหญิงสาว
...ทำไมจึงไม่ฟังเธอเสียครั้งเดียวก็ยังดี
“วันนั้นฉันรีบ มีประชุม ไม่มีเวลามาฟังเธออธิบายหรอก” หม่อมเจ้าอดุลยวิทย์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนจะดำเนินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ สุรเสียงทุ้มเคร่งขรึมเป็นการเป็นงานเมื่อรับสั่งต่อ “เรื่องนี้ฉันต้องขอโทษด้วย”
รุจิรดาสั่นศีรษะน้อยๆ รวดเร็ว “หม่อมฉันไม่กล้าเอาโทษอาจารย์หรอกเพคะ”
“เราเอาผิดตัวเองแล้ว ด้วยการไม่เรียกให้เธอมาทำงานอย่างไรล่ะ เลยอดดื่มโกโก้ไปด้วยตั้งสามวันแน่ะ” คราวนี้สุรเสียงกลับเปลี่ยนเป็นหยอกเย้าแกมสรวลนุ่มๆ หากในหทัยระลึกถึงวันที่เธอนั่งอยู่บนรถสวนกับพระองค์ออกไปจากวัง วันที่เธอนั่งรถไปกับมนต์ณัฐนั่นล่ะ
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเช่นกันที่ทรงไม่พอพระทัยนักเมื่อได้ทอดพระเนตรอย่างนั้น ตอนนี้ยังไม่ทรงแน่พระทัยองค์เองว่าความไม่พอพระทัยนั้นมาจากตัวมนต์ณัฐ ที่ทรงรู้ว่าขนิษฐามีความรู้สึกเช่นไรต่อชายคนนั้น และอีกฝ่ายหนึ่ง
...รุจิรดา...
เมื่อยังไม่ทรงรู้ชัดก็ไม่ได้พยายามจะรู้ต่อ อย่างน้อยๆ ก็เก็บไว้เป็นความสับสนเสียก่อน รออีกไม่กี่เดือนก็ทรงสามารถหาต้นตอความรู้สึกนี้ได้เสียที
เพราะในตอนนั้นพันธนาการที่เรียกว่า ‘ศิษย์-อาจารย์’ จะหายไป
ผิวหน้าของหญิงสาวแดงจัด รุจิรดาพยายามหาคำพูดหรือทางออกที่จะทำให้พ้นไปจากสถานการณ์ที่ค่อนข้างกระอักกระอ่วนนี้ แต่ก่อนที่หญิงสาวจะคิดออกก็คล้ายมีระฆังช่วยชีวิตเมื่อมีเสียงอ่อนหวานดังขึ้น
“พี่ชาย รดา อยู่กันตรงนี้เอง รดารีบไปที่ห้องหญิงเถอะ ยังต้องแต่งตัวอีกมากนะ”
วรองค์แบบบางของท่านหญิงอรกัญญาปรากฏขึ้นที่ประตูห้องทรงงาน สีพระพักตร์อิดโรยเล็กน้อยหากเทียบไม่ได้กับแววเนตรสดใสตื่นเต้นจนทำให้รุจิรดาต้องยิ้มตอบ ส่วนหม่อมเจ้าอดุลยวิทย์ก็รับสั่งถามเรียบๆ
“คุณแวววรรณล่ะ?”
“กลับไปก่อนค่ะพี่ชาย ตอนแรกเธอจะมาแต่งตัวที่นี่เหมือนกัน แต่เห็นว่าไม่ได้เอาเครื่องเพชรมา เลยกลับไปแต่งที่บ้าน แล้วจะมาที่นี่อีกทีถ้าทันเวลาที่เราจะออกไปงาน”
รุจิรดาลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินเข้าไปหาวรองค์บางที่รออยู่ ได้ยินสุรเสียงเรียบรับสั่งคล้ายสนเท่ห์ขึ้นมา “งานเลี้ยงวันเกิดของบุตรชายท่านรัฐมนตรีนี่คงโก้หรานน่าดูเลยนะ”
“หญิงถึงต้องพารดาไปแต่งตัวก่อนอย่างไรล่ะคะ” พักตร์งดงามแย้มสรวลสดใสให้เชษฐา ก่อนรับสั่ง “พี่ชายเองก็ควรไปแต่งตัวได้แล้วนะคะ เดี๋ยวหญิงจะพารดาไปแต่งตัวก่อน รับรองกลับมาอีกทีพี่ชายจะต้องจำรดาไม่ได้แน่ๆ!”
รับสั่งจบท่านหญิงอรกัญญาก็คว้าข้อมือของคนตัวสูงกว่าแล้วพาไปที่ห้องขององค์เอง โดยที่หญิงสาวที่ถูกลากนั้นเพียงหันกลับมาโคลงศีรษะเล็กน้อยก่อนจะส่งยิ้มให้กับท่านชายแล้วหายลับไป
เมื่ออยู่เพียงลำพัง ท่านชายอดุลยวิทย์จึงสรวลน้อยๆ พลางคิดถึงสีหน้าประหลาดของหญิงสาวยามที่ขนิษฐาบอกว่าจะแต่งตัวให้ ทำอย่างกับเธอเป็นตุ๊กตาอย่างนั้น
...หญิงอรคงต้องเหนื่อยหน่อย เพราะดูท่าแม่ตุ๊กตาคงไม่ได้ยอมให้เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าได้ง่ายๆ หรอก



ปณัชญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 ธ.ค. 2555, 05:32:32 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 ธ.ค. 2555, 05:32:53 น.

จำนวนการเข้าชม : 2883





<< บทที่ 7 [100%]   บทที่ 9 [45%] >>
บัวขาว 2 ธ.ค. 2555, 09:41:57 น.
=^_^=


lovemuay 2 ธ.ค. 2555, 11:29:02 น.
ฮั่นแน่ที่แท้ท่านชายรอรดาเรียบจบก่อนนิเอง


ไม้เอก 2 ธ.ค. 2555, 11:31:15 น.
รดาจะเปลี่ยนไปขนาดไหนน้าาาา


ukkanirut 2 ธ.ค. 2555, 13:17:22 น.
ซื้อหวยไม่เคยถูก ... เป็นโรคหัวใจจริงๆด้วย
อยู่ใกล้กันยิ่งหวั่นไหว ห้ามใจตัวเองไม่ได้เลย


nunoi 2 ธ.ค. 2555, 23:58:42 น.
ท่านชายตะลึงแน่ๆเลย


phakarat 6 ธ.ค. 2555, 22:04:49 น.
รออ่านอยู่ทุกๆวันเลยนะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account